The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียน ม. 3 ภาคเรียนที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียน ม. 3 ภาคเรียนที่ 1

ชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียน ม. 3 ภาคเรียนที่ 1

นำยลำ. ถำ้ หมดผมจะไปเอำทไ่ี หนอีกล่ะ? ผมไม่โงน่ ะเจ้ำคุณ ถำ้ ใหผ้ มไปอยเู่ สีย
กับลกู สำวผม เงนิ กจ็ ะไมเ่ สยี มำก.
พระยำภกั ดี. เงนิ น่ะฉนั ไม่เสยี ดำยหรอก ฉันเสยี ดำยชอื่ และเสยี ดำยควำมสขุ ของแม่ลออ
มำกกวำ่ .
นำยลำ. คุณจะใหผ้ มขำยลกู ผมยังงันหรอื ?
พระยำภักดี. จะเรียกว่ำกระไรกต็ ำมใจเถอะ แตท่ ่ีจรงิ ฉันตังใจซือควำมสุขให้แก่แม่ลออ
เทำ่ นนั .
นำยลำ. ท่ีคุณจะมำพรำกพ่อกับลกู เสยี เช่นนีน่ะ คณุ เห็นสมควรแลว้ หรือ?
พระยำภกั ดี. ฉันเห็นสมควรแลว้ ฉันจงึ ไดป้ ระสงคท์ ่จี ะทำ แมล่ ออน่ะดเี กินท่ีจะเป็นลูกคน
เช่นแก ยงั ไง! จะต้องกำรเงนิ เท่ำไร วำ่ มำ! (ลุกขนึ้ ยืนจ้องนายลา้ .)
นำยลำ. ผมไม่ตอ้ งกำรเงนิ ของคณุ ผมจะพบกบั ลูกผม.
พระยำภกั ดี. ฉนั ไมย่ อมใหแ้ กพบ จะเอำเงนิ เทำ่ ไรจะให้.
นำยลำ. ผมไม่เอำเงินของคณุ .
พระยำภกั ดี. ถ้ำยงั งันกไ็ ปให้พ้นบำ้ นฉนั , ไป!
นำยลำ. ผมไมไ่ ป, จะทำไมผม?
พระยำภักดี. นี่แน่, แกอยำ่ มำทำอวดดกี บั ฉัน ไป!
นำยลำ. ผมไมไ่ ป. (นั่งไขวห่ ้างกระดิกขาเฉย.)
พระยำภักดี. อย่ำทำใหเ้ กิดเคอื งมำกขึนหน่อยเลย ประเดีย๋ วฉนั จะเหน่ยี วใจไวไ้ มอ่ ยู่.
นำยลำ. คณุ จะทำไมผม?
พระยำภักดี. ฉันไม่อยำกทำอะไรแก แตถ่ ำ้ แกไม่ไปล่ะก็...
นำยลำ. จะทำไมผม แหม! ทำเกง่ จริงนะ เจำ้ คุณนะ่ แก่แลว้ นะครับ จะประพฤติเป็นเด็ก
ไปได.้
พระยำภักดี. จรงิ , ฉนั แกจ่ ริง แตข่ อใหเ้ ข้ำใจวำ่ แกสู้ฉันไม่ได้นะ ฉนั ได้เปรยี บแกมำก
กำลงั ฉนั ยังมพี อตวั กำลงั แกน่ะมันออ่ นเสยี แลว้ ฤทธเิ์ หล้ำมันเขำ้ ไปฆ่ำกำลงั แก
นำยลำ. เสยี หมดแล้ว.
พระยำภักดี. (หัวเราะเยาะ.) ฮะๆ! ชำ่ งพดู จรงิ ยงั ไมเ่ บำบำงลงกวำ่ เมอื่ หนมุ่ ๆ เลย.
นำยลำ. (โกรธ.) ยงั ไง จะเอำเงนิ หรือจะเอำแสม้ ำ้ ?
พระยำภกั ดี. ผมไม่เอำทังสองอย่ำง.
ถำ้ อยำ่ งงนั ก็ได้.

แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ ๑๕ : ภำษำสะท้อนตัวตน (๓) ๙7

นำยลำ. คุณพดู ซำซำกผมเบ่ือเต็มทีแล้ว.
พระยำภักดี.
กถ็ ำ้ เม่ือพดู กนั ดๆี ไม่ชอบ ก็ตอ้ งพูดกนั อย่ำงเดยี รฉำน! (ไปหยิบแสม้ ้าที่
นำยลำ. แขวนไวท้ ี่ผนงั ลงมา.) เอำเถอะ! เปน็ ไรก็เปน็ ไป จะต้องเล่นงำนเสยี ใหล้ ำย
ไปทังตัวละ. (เงอ้ื แส้ม้าจะตนี ายล้า.)
อ้ำยคำ. (ตกใจลุกขนึ้ ยนื .) อ๊ะ! อะ๊ ! เจ้ำคุณ!
(ยกแขนขึ้นปอ้ ง.)
นำยลำ. (อา้ ยคาเขา้ มาทางขวา พระยาภักดีหยอ่ นมือลง.)
ใตเ้ ท้ำขอรับ คณุ ลออขึนกระไดมำน่ีแลว้ . (ออกไปตามทางเดมิ .)
แมล่ ออ. (พระยาภกั ดรี บี เอาแสม้ ้าไปแขวนไวต้ ามที่เดิม.)
(หวั เราะ.) ฮะๆ! เครำะห์ดีจรงิ ตกรกซิ.
พระยำภักด.ี (แมล่ ออเข้ามาทางขวา แมล่ อออายุประมาณ ๑๗ ปี แตง่ กายอยา่ งไปเท่ยี ว
แม่ลออ. นอกบา้ น พึ่งกลับมา.)
พระยำภกั ดี. แหม! คุณพอ่ อะไรวนั นีกลับบ้ำนวันจรงิ ฉันหมำยจะกลบั มำใหท้ ันคุณพ่อ
นำยลำ.
กลบั ทีเดยี ว.
แมล่ ออ.
(ย้ิม.) พอ่ ไดเ้ ลกิ งำนเร็วหน่อยก็รีบกลับมำ.
นำยลำ. (มองดูนายลา้ แล้วหันไปพูดกับพระยาภักดี.) นัน่ ใครคะ?
แมล่ ออ. คนเขำมำหำพ่อ.
นำยลำ.
ฉันเป็นเกลอเกำ่ ของเจำ้ คณุ ท่ำนนับถือฉันเหมอื นน้องยังไงขอรับ?
แม่ลออ.
นำยลำ. (พระยาภักดพี ยกั หน้า.)
ออ้ ! (ลงนัง่ ไหว้.) ถ้ำยังงนั ดฉิ ันก็ตอ้ งนบั ถือคุณเหมือนอำดิฉันเหมือนกนั
ทำไมดิฉนั ยังไม่รู้จกั คุณอำเลย.

ฉนั อยูห่ วั เมือง พง่ึ เข้ำมำ แตฉ่ ันเคยเหน็ หล่อนแล้ว.

เม่อื ไหรค่ ะ? ทำไมดิฉนั จำไม่ได้ ดฉิ ันเปน็ คนท่ีจำคนแน่นกั .

(ยม้ิ .) หลอ่ นเห็นจะจำฉนั ไม่ไดเ้ ลย เมอ่ื ฉันได้เห็นหลอ่ นครงั ก่อนนนี ่ะ
อำยุหล่อนไดส้ องปีเท่ำนนั .

แหม! ถ้ำยังงนั คณุ คงรูจ้ ักคุณแม่ดฉิ ันละซิคะ.

(แลดูตาพระยาภกั ดแี ล้วจงึ พดู เสียงออกเครอื ๆ.) ฉนั รู้จกั คุณแมห่ ล่อนด.ี

แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ ๑๕ : ภำษำสะท้อนตวั ตน (๓) ๙8

แมล่ ออ. ถ้ำยงั งันดฉิ นั กย็ ่ิงดีใจมำกขึนทไ่ี ดพ้ บคุณ กค็ ุณพ่อดิฉันท่ีตำยล่ะคะ ร้จู กั ไหม?

นำยลำ. (นายล้าพยักหนา้ .) ถำ้ ยังงนั คุณกด็ ีกวำ่ ดิฉัน ดิฉันไมร่ จู้ กั เลย, เคยเหน็ แต่รปู ที่
แม่ลออ. ในหอ้ งคณุ แม่ รูปร่ำงสูงๆ หนำ้ อกกวำ้ ง ดิฉันชำ่ งชอบหน้ำเสียจรงิ ๆ หน้ำตำ
นำยลำ. เป็นคนซื่อ ใจคอกว้ำงขวำง, ถ้ำใครบอกดิฉนั ว่ำเป็นคนไม่ดี ดฉิ ันไม่ยอมเชือ่
แม่ลออ. เป็นอนั ขำดเทยี ว แตท่ ำ่ นกเ็ ปน็ คนดจี รงิ ๆ อยำ่ งทด่ี ิฉันนึกเดำเอำในใจ
นำยลำ. คณุ พอ่ นีก่ ไ็ ด้บอกดิฉันวำ่ งนั จรงิ ไหมคะคุณพอ่ ? (พระยาภักดีพยักหนา้ .)
แมล่ ออ. ถำ้ ใครบอกหลอ่ นว่ำ พอ่ หลอ่ นที่ตำยนะ่ เป็นคนไมด่ ลี ะก็หล่อนเป็นไม่ยอมเช่ือเลย
นำยลำ. เทยี วหรือ?
แม่ลออ. ดิฉันจะเช่อื ยงั ไง ดใู นรปู กเ็ ห็นว่ำเป็นคนดี. เออ! นี่คุณพอ่ บอกแลว้ หรือยังเรื่องดฉิ ัน
จะแต่งงำน?
นำยลำ.
บอกแล้ว, ฉันยินดดี ว้ ย.
พระยำภักดี. คุณอำตอ้ งมำรดนำดิฉนั นะคะ.
นำยลำ. ฉัน - เออ้ - ฉันจะต้องรีบกลับไปหวั เมือง.
โธ!่ จะอย่รู ดนำดิฉนั หนอ่ ยไม่ไดเ้ ทียวหรือคะ?
พระยำภกั ดี. ฉันจะขอตรติ รองดกู ่อน แตย่ ังไงๆ ก็ดี ถงึ ฉันจะอยู่รดนำหล่อนไม่ได้
นำยลำ.
พระยำภกั ดี. ฉนั กค็ งตงั ใจอวยพรให้หล่อนมีควำมสขุ .
(ไหว้.) ดฉิ นั รับพรลว่ งหน้ำไว้ก่อน. คณุ พอ่ คะ ช่วยพดู จำชวนคุณอำให้อยู่
รดนำดิฉนั หนอ่ ยนะคะ ดิฉันจะเข้ำไปในเรอื นเสียทีละ คณุ พอ่ กับคณุ อำคง
อยำกคุยกันอย่ำงผูช้ ำยๆ สนุกกวำ่ . (ออกไปทางประตซู า้ ย.)
(น่ิงอยู่ครูห่ น่งึ แล้วพูด เสยี งออกเครือๆ.)
เจ้ำคณุ ขอรบั ใตเ้ ทำ้ พูดถูก, เด็กคนนีดเี กินท่จี ะเปน็ ลกู ผม ผมมนั เลวทรำม
เกินทจ่ี ะเปน็ พอ่ เขำ ผมพ่ึงรสู้ กึ ควำมจริงเดี๋ยวนีเอง.
(ตบบ่านายล้า.) พอ่ ลำ!
หล่อนไดเ้ ขยี นรูปพ่อของหล่อนขนึ ไว้ในใจเปน็ คนดีไมม่ ีที่ติ ผมไมต่ อ้ งกำร
จะลบรูปนนั เสียเลย. (ถอดแหวนวงหนง่ึ จากนิ้ว.) นีแ่ นะ่ ครับ แหวนนเี ป็น
ของแม่นวล ผมไดต้ ดิ ไปดว้ ยสงิ่ เดียวเทำ่ นีแหละ เจ้ำคุณไดโ้ ปรดเมตตำ
ผมสักที พอถึงวันแต่งงำนแม่ลออ เจำ้ คุณได้โปรดใหแ้ หวนนีแกเ่ ขำ บอกว่ำ
เปน็ ของรับไหว้ของผม สง่ มำแทนตวั .
(รบั แหวน.) ไดซ้ ิเพือ่ นเอย๋ ฉนั จะจดั กำรตำมแกส่ัง อยำ่ วติ กเลย.
แล้วผมขออะไรอีกอยำ่ ง.

อะไร? ว่ำมำเถอะ ฉนั ไม่ขัดเลย.

แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ ๑๕ : ภำษำสะทอ้ นตัวตน (๓) ๙9

นำยลำ. อย่ำได้บอกควำมจรงิ แกแ่ มล่ ออเลย ใหเ้ ขำคงนบั ถือรูปผมอนั เกำ่ นัน

พระยำภกั ด.ี ว่ำเปน็ พอ่ เขำ และใหน้ บั ถือตัวผมเปน็ เหมือนอำ.
นำยลำ. เอำเถอะ, ฉันจะทำตำมแกประสงค.์
พระยำภักด.ี ผมลำที พรุ่งนเี ชำ้ ผมจะกลบั ไปพษิ ณโุ ลก.
เอำเงินไปใชม้ ง่ั ซิ. (ไปไขกุญแจ เปิดลนิ้ ชักโต๊ะหยบิ ธนบัตรออกมาปนั้ หน่ึง.)
นำยลำ. เอ้ำ! นีแ่ น่ะ มสี กั สำมสร่ี อ้ ยบำทได้อยู่ เอำไปใช้กอ่ นเถอะ ต้องกำรอีกถงึ ค่อยบอกมำ
พระยำภักด.ี
นำยลำ. ใหฉ้ ันทรำบ.
พระยำภักด.ี (เสียงเครอื .) เจำ้ คณุ ! ผม...ผม... (เชด็ นา้ ตา.)
นำยลำ. อ๊ำย! ไมร่ ับไม่ได้ ไม่รบั โกรธกันเทยี ว. (ยัดเยยี ดธนบัตรใหน้ ำยลำ.)
(รบั ธนบตั ร.) ผมจะไมล่ ืมพระเดชพระคณุ ใต้เท้ำจนตำยทีเดียว ขอให้เชือ่ ผมเถอะ.
พระยำภักด.ี อยำ่ พดู ใหม้ ำกนักเลย เงินใสก่ ระเปำ๋ เสียเถอะ แลว้ ก็คดิ อ่ำนหำทำงทำมำหำกินต่อไปนะ.
นำยลำ. ขอรบั ผมจะตังใจทำมำหำกนิ ในทำงอันชอบธรรมจรงิ ๆ ทีเดียว
ถ้ำผมน่ะคิดโยกโยไ้ ปอยำ่ งใดอยำ่ งหนึง่ อกี ขออย่ำใหผ้ มแคลว้ อำญำจกั รเลย.
พระยำภกั ด.ี เออๆ ตังใจไว้ใหด้ ีเถอะ นกึ ถึงแมล่ ออบำ้ งน่ะ.
นำยลำ. ผมจะลมื หลอ่ นไมไ่ ดเ้ ลย จะเห็นหนำ้ หลอ่ นติดตำไปจนวนั ตำยทเี ดียว.

ผมลำที ผมไมจ่ ำเป็นทจ่ี ะต้องฝำกแม่ลออแก่เจำ้ คุณ เพรำะเจ้ำคุณได้เปน็ พ่อหลอ่ น
ดียิง่ ไปกว่ำผมร้อยเทำ่ พันทวี. (เช็ดนา้ ตา.)
เอำเถอะ อยำ่ วิตกเลย แม่ลออนะ่ ฉันคงจะรักถนอมเหมือนอยำ่ งเดิม.
ผมเชื่อ, เช่อื แนน่ อน!
(ยกมอื ขึ้นไหว้.) ผมลำเจำ้ คุณที.
(พระยาภกั ดเี ขา้ ไปจับมือนายล้า ตา่ งคนตา่ งแลดตู ากนั อยคู่ รหู่ นึง่ แล้วพระยาภักดี
นึกอะไรขึ้นมาออกเดนิ ไปท่ีโต๊ะเขยี นหนังสือ หยบิ รปู แมล่ ออทง้ั กรอบดว้ ย สง่ ให้นายลา้
นายลา้ รบั รปู ไปดอู ยคู่ รหู่ นึ่ง ไหว้พระยาภกั ดีอีก แลว้ กร็ บี เดนิ ออกไปทางประตขู วา
พระยาภกั ดียนื มองไปทางประตคู รู่หน่ึง แลว้ กเ็ ดินออกไปท่ีหน้าตา่ งทางด้านหลงั
ยืนพิงกรอบหนา้ ต่าง ตามองออกไปนอกหน้าต่างนิ่งอยู่จนปดิ มา่ น.)

จบเรอ่ื ง

พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจำ้ อยู่หวั

จำกหนงั สอื เรยี นรำยวชิ ำพนื ฐำน ภำษำไทย วรรณคดีวิจกั ษ์
ชนั มธั ยมศึกษำปีที่ ๓ หน้ำ ๒๔ – ๓๗

แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ๑๕ : ภำษำสะทอ้ นตวั ตน (๓) 100

ใบควำมรู้
“กำรพดู ในที่ประชมุ ชน”

กำรโตว้ ำที คือ กำรพูดโต้กันของบุคคล 2 ฝ่ำยในที่ประชุมตำมหัวข้อหรือญัตติท่ีกำหนด
ขึน ฝ่ำยหน่ึงเป็นฝ่ำยเสนอปัญหำหรือหัวข้อซึ่งเรียกว่ำญัตติอีกฝ่ำยหน่ึงคัดค้ำนญัตติ ผู้พูด
ใช้คำพดู เพอื่ โนม้ น้ำวใจผูฟ้ ังให้มคี วำมคิดคล้อยตำมและสนบั สนนุ เหตุผลของตน

กำรพูดโต้วำทีเป็นกำรแข่งขันมีกำรตัดสินแพ้ชนะโดยผู้ตัดสินจะพิจำรณำว่ำเหตุผลของ
ฝ่ำยใด มีนำหนักน่ำเช่ือถือ สำมำรถหักล้ำงเหตุผลของฝ่ำยตรงข้ำมได้มำกกว่ำ มีกำรใช้คำพูดท่ี
ดงึ ดดู ควำมสนใจ และมกี ำรใชส้ ำนวนภำษำได้ดีกว่ำ หัวข้อหรือญัตติในกำรพูดโต้วำที ควรเป็น
เร่ืองที่เสริมสร้ำงสติปัญญำ เป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง มีคุณค่ำ ไม่เป็นภัยต่อสังคม ผู้โต้วำที
ประกอบด้วย ประธำน เป็นผู้กล่ำวชีแจงญัตติ และแนะนำผู้พูดโตวำทีทังสองฝ่ำย หัวหน้ำ
ฝ่ำยเสนอ เป็นผู้พูดก่อนเพื่อสนับสนุนญัตติ หัวหน้ำฝ่ำยค้ำน เป็นผู้พูดต่อจำกหัวหน้ำ
ฝ่ำยเสนอใช้เวลำพูดนำนเท่ำกับหัวหน้ำฝ่ำยเสนอ ผู้สนับสนุนฝ่ำยเสนอจะมีกี่คนก็ได้ส่วนมำก
มีประมำณ 3 คน ผู้สนับสนุนฝ่ำยค้ำนมีจำนวนเท่ำกับผู้สนับสนุนฝ่ำยเสนอ ผู้โตวำทีควรมี
ควำมรู้เร่ืองทีต่ งั เปน็ ญตั ติ มวี ำทศลิ ป์ มีเหตุผล มมี ำรยำทดที ังในกำรพูดและกำรฟัง ไม่พูดเสียดสี
หรือนำเรอื่ งส่วนตัวมำพดู ไมม่ ุ่งเอำชนะอยำ่ งเดยี วจนไม่นกึ ถึงผลเสยี ของสว่ นรวม

แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ 1๖ : ชุมนมุ ชนวำที (1) 1๐1

หน่วยท่ี ๓
นิรมติ ผา่ นปญั ญา

เรียงร้ อยถ้ อยคา

พร่าเรียนเพยี รสอน

ภาษาสะท้อน ปริศนาหฤหรรษ์
ความคิด

รังสรรค์คาประพนั ธ์

ใบความรู้
“งานเขยี นสร้างสรรค์”

ความหมายของความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางปัญญาที่สามารถคิดได้กว้างไกลหลายทิศ หลายทาง

คิดดดั แปลงปรุงแตง่ ผสมผสานความคิดเดิมเกิดเป็นความคิดใหม่ อันนาไปสู่การค้นพบสิ่งแปลกใหม่ท่ีมี
ประโยชนต์ อ่ สังคม ลักษณะความคิดสรา้ งสรรค์ อาจอธบิ ายไดห้ ลายลกั ษณะ ดงั น้ี

๑. การประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ เช่น ผลงานการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าของโทมัส อัลวา เอดิสัน
นักวทิ ยาศาสตร์ผยู้ งิ่ ใหญช่ าวอเมริกัน

๒. ความคิดอเนกนัย เป็นการคิดกว้าง คิดไกล หลายแง่หลายมุม ลักษณะความคิดเช่นน้ี
จะนาไปสู่การคิดประดิษฐ์ส่ิงแปลกใหม่ รวมท้ังการค้นพบวิธีแก้ปัญหาแบบใหม่ ๆ นอกจากน้ี ความคิด
อเนกนัยยังเน้นด้านปริมาณความคิด คือ ย่ิงคิดปริมาณมากก็ยิ่งดี หากคิดได้มากประเภทและ
มรี ายละเอยี ดดว้ ย กย็ ่ิงทาใหค้ วามคิดอเนกนัยสมบูรณย์ ิ่งข้ึน

๓. จินตนาการ เป็นลักษณะสาคัญของความคิดสร้างสรรค์ เป็นการคิดถึงส่ิงท่ียังไม่เกิด
หรือดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เช่น ในอดีตท่ีมนุษย์ฝันอยากจะบินเหมือนนก ซ่ึงดูเป็นเร่ืองเหลือเชื่อ
แต่ก็กลายเป็นความจริงไดใ้ นเวลาต่อมา

๔. ความสามารถที่จะมองเห็นและมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว เช่น คนที่มองเห็นความสวยงาม
ของทะเล เกดิ ความชนื่ ชม มคี วามรสู้ กึ ตอบสนองเขียนเปน็ กลอนได้

ความคิดสร้างสรรค์ มิใช่พรสวรรค์ แต่เป็นสิ่งท่ีพัฒนาให้เกิดข้ึนได้ในตัวทุกคน เพียงขอให้เรา
กลา้ คดิ คดิ แล้วทดลองทา ทาแล้วนามาคิดใหม่ จากความคิดหนึ่งสู่อีกความคิดหน่ึง ความคิดสร้างสรรค์
กจ็ ะเกิดข้ึนในทสี่ ดุ
องคป์ ระกอบของการเขยี นสร้างสรรค์

การเขียนสร้างสรรค์อาจมีเนื้อหาแล่ะรูปแบบต่าง ๆ ตามความคิดของผู้เขียน อาจใช้รูปแบบ
หรือฉันทลักษณ์ที่มีการกาหนดไว้เป็นที่รู้จักทั่วไป หรือมีการดัดแปลง หรือสร่งสรรค์ใหม่ ตาม
ความประสงคข์ องผูเ้ ขยี น องคป์ ระกอบสาคัญทม่ี กั พบในการเขยี นสรา้ งสรรคม์ ดี ังนี้
เนอ้ื หา

การเขียนสร้างสรรค์นั้นน่าสนใจตรงท่ีอาจเป็นเรื่องท่ีนามาจากชีวิตจริงหรือประสบการณ์
ของผู้เขียน เป็นเรื่องที่ผู้เขียนแต่งขึ้น หรือเป็นทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่งรวมอยู่ด้วยกัน เพ่ือนาไปสู่
จุดมุ่งหมายของการนาเสนอความคิดเห็นที่ซ่อนไว้ในเรื่องราวเหล่านั้น ผู้เขียนจะต้องใช้ประโยชน์
จากเรอ่ื งทีน่ ามาแฝงไวอ้ ย่างเต็มท่มี ิใช่สร้างขึน้ เพียงลอย ๆ

แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 : เรยี งร้อยถ้อยคา (๑) 1๐3

ใบความรู้
“งานเขยี นสร้างสรรค์” (ตอ่ )

รูปแบบ
การเขียนสร้างสรรคน์ นั้ ไม่จากดั รูปแบบ ดงั ท่ไี ด้กล่าวไว้แลว้ ผเู้ ขียนสามารถเลือกใช้ตามใจชอบ

ความถนัด หรือใช้สอดคล้องกับเน้ือหาและความมุ่งหมายที่ต้องการเสนอได้ เราจึงพบการเขียน
สร้างสรรค์ได้ ท้ังท่ีเป็นร้อยแก้ว เช่น บันทึกส่วนตัวประจาวันไปจนถึงบทความ ความเรียง เร่ืองส้ัน
นวนยิ าย และบทร้อยกรองประเภทต่าง ๆ
ภาษา

การเขียนสร้างสรรค์นั้น ไม่จากัดระดับของภาษาว่าต้องใช้ระดับภาษาใด ผู้เขียนอาจเลือกใช้
ภาษาพูดหรอื ภาษาเขยี นหรอื ใชท้ ้งั สองระดับก็ได้ แต่ต้องให้เหมาะสมกับรูปแบบและความมุ่งหมายของ
การเขียน หากผู้เขียนต้องการเสนออารมณ์ความรู้สึกซาบซึ้งประทับใจเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ก็ต้องเลือกใช้
ภาษาเขียนแบบพรรณนาเพื่อแสดงอารมณ์นั้น แต่หากเป็นการเล่าเรื่องที่นามาจากชีวิตจริงก็ต้อง
ถ่ายทอดด้วยภาษาและถ้อยคาที่ใช้ในชีวิตจริง เช่น เร่ือง ใส่บาตร ผู้เขียนใช้คาว่า ใส่บาตร ซึ่งคนท่ัวไป
ใช้เปน็ ปรกติ มไิ ด้ใชว้ ่า ตักบาตร ซึ่งเป็นภาษาทางการ
ความมุ่งหมาย

ความมุ่งหมายในการเขียนสร้างสรรค์น้ัน อาจเริ่มได้ต้ังแต่ผู้เขียนต้องการส่ือความคิด อารมณ์
หรือความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึงหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หน่ึงหรือต้องการแสดงความคิดของผู้เขียน
ท่ีมีต่อสังคม ไปจนกระท่ังถึงการโน้มน้าวใจให้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ผู้เขียนคิดว่า
เหมาะสม

แผนการจัดการเรยี นรู้ 1 : เรียงรอ้ ยถ้อยคา (๑) 1๐4

ใบงาน
“งานเขียนสร้างสรรค์

คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นชว่ ยกนั นาประโยคของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมาเขียนใหม่ใหเ้ ป็นเร่ืองราวเดยี วกนั
พรอ้ มต้งั ช่อื เรอ่ื งใหส้ อดคล้องกบั เนื้อหา

ประโยคของสมาชิกในกลุ่ม
๑. ........................................................................................................................... ................................
๒. ........................................................................................................................... .................................
๓. ............................................................................................................................................................
๔. ........................................................................................................................... .................................
แนวคดิ ของการแต่งเร่ือง
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
โครงเรือ่ งทจี่ ะแต่ง
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
คาศัพท์สาคญั
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................

ชอ่ื งานเขียนสร้างสรรค์ของกลมุ่
.................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................

แผนการจดั การเรียนรู้ 1 : เรยี งร้อยถ้อยคา (๑) 1๐5

ใบความรู้
“ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย”

ความหมายโดยตรง
คือ ความหมายที่ใชต้ ามปกตใิ นภาษา

ความหมายโดยนัย
คอื ความหมายของคาทไี่ มใ่ ชธ่ รรมดาแตเ่ ป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ (อปุ มา)

ตัวอย่าง

คา ความหมายตรง ความหมายโดยนัย
หิน ของแข็งที่ประกอบดว้ ยแร่ชนดิ เดยี ว เรือ่ งท่ียาก ไม่ง่าย
หรือหลายชนดิ รวมกนั อยตู่ ามธรรมชาติ ตวั อย่างเชน่
ตัวอยา่ งเชน่ แบบฝึกหัดท่โี รงเรยี นวนั น้ีหินจริง ๆ
เขาขว้างกอ้ นหิน
หมู ชื่อสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม เปน็ สัตวก์ บี คู่ เรือ่ งท่งี ่าย ๆ สบาย ๆ
ตวั อ้วน จมกู และปากยนื่ ยาว ปลาย ตัวอยา่ งเชน่
จมูกบานใชส้ าหรับดุนดินหาอาหาร แบบฝกึ หัดที่โรงเรยี นวนั นี้หมูมาก ๆ
ตัวอยา่ งเช่น
ฉันชอบกนิ หมกู ระทะ

แผนการจดั การเรียนรู้ ๒ : เรยี งร้อยถ้อยคา (๒) 1๐6

ใบงาน
“ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั ”

คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรียนเขยี นคาที่มคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั คู่ละ ๓ คา
พรอ้ มทั้งยกตวั อยา่ งประโยคประกอบความหมายท้ัง ๓ คา

คา ประโยค ความหมายตรง ประโยค ความหมายโดยนยั
๑. ........................
๒. ........................ ............................................................... ...............................................................
๓. ........................ ประโยค ประโยค
............................................................... ...............................................................
ประโยค ประโยค
............................................................... ...............................................................

แผนการจัดการเรยี นรู้ ๒ : เรียงร้อยถ้อยคา (๒) 1๐7

บัตรความรู้
“ฐานกจิ กรรมเบาะแสความจริง”

บตั รความรู้
“ฐานกิจกรรมเบาะแสความจรงิ ๑”
ชือ่ เร่อื ง : อศิ รญาณภาษติ หรือ “เพลงยาวเจ้าอิศรญาณ” หรอื “ภาษิตอิศรญาณ”
ผทู้ รงนิพนธ์ : หมอ่ มเจ้าอิศรญาณ
ประวัตผิ ทู้ รงนิพนธ์ : กวีสาคญั ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว หมอ่ มเจา้ อศิ ร
ญาณเป็นพระโอรสพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงมหศิ วรินทรามเรศ มพี ระนามเดิมว่าอะไรนนั้ ไม่
ปรากฏ แตม่ ีสมณฉายาขณะผนวชอยู่ท่วี ัดบวรนเิ วศวหิ ารวา่ อิสสรญาโณ

บัตรความรู้
“ฐานกจิ กรรมเบาะแสความจริง ๒”
เรื่องเล่าเกยี่ วกบั ท่ีมาของเรื่องอศิ รญาณภาษิต
มีเรื่องเล่ากันว่า คร้ังหน่ึงหม่อมเจ้าอิศรญาณทรงทาอะไรแปลกไป จนมีผู้ตาหนิให้รู้สึกน้อย
พระทัย วรรณคดีเร่ืองอิศรญาณภาษติ ซง่ึ ทรงนพิ นธ์ขึน้ ในเวลาต่อมา จึงแฝงด้วยน้าเสียงบ่นแกมเสียดสี
ประชดประชัน

บตั รความรู้
“ฐานกิจกรรมเบาะแสความจริง ๓”
จดุ ม่งุ หมายของเร่อื ง “อิศรญาณภาษติ ”
๑.เพอ่ื สั่งสอนเตอื นใจใหฉ้ กุ คิดก่อนทีจ่ ะทาสง่ิ ใด
๒.เพ่ือสอนเกย่ี วกับการปฏบิ ัติตนตอ่ ผู้อน่ื ในสังคมเพื่อให้อย่รู ว่ มกันได้อยา่ งมีความสขุ

แผนการจัดการเรยี นรู้ ๓ : พรา่ เรยี นเพียรสอน (๑) 1๐8

ใบงาน
“ท่ีมาของอิศรญาณภาษิต”

คาชี้แจง ให้นกั เรยี นเขยี นแผนผงั ความคดิ จากการทากิจกรรม “นกั สบื อศิ รญาณ”
ตามหวั ข้อตอ่ ไปน้ี
๑. ชอื่ เรอื่ ง
๒. ช่ือผแู้ ต่ง
๓. เรอ่ื งเลา่ เกีย่ วกบั ทีม่ าของเร่อื ง
๔. จุดมงุ่ หมายของเรื่อง

แผนการจดั การเรยี นรู้ ๓ : พรา่ เรยี นเพียรสอน (๑) 1๐9

ใบงาน
“คาสอนในอศิ รญาณภาษติ ”

คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามในบทประพันธข์ องกลุม่ ตนเอง
ชอื่ สมาชกิ ในกลุ่ม

๑. ....................................................................................
๒. ...................................................................................
๓. ...................................................................................
๔. ...................................................................................

เลอื กอิศรญาณภาษติ บทที่ ..........................................................
บทท่เี ลอื กสอนเก่ียวกบั

๑. ........................................................................................................................... ........
๒. ........................................................................................................................... ........
๓.....................................................................................................................................
การนาข้อคิดทีไ่ ดร้ ับไปปรับใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................

แผนการจดั การเรยี นรู้ ๔ : พรา่ เรียนเพียรสอน (๒) 110

ใบงาน
“คาสอนในอิศรญาณภาษติ ”

คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนบอกคาสอนจากอิศรญาณภาษิตทปี่ ระทบั ใจ

แผนการจัดการเรียนรู้ ๕ : พร่าเรยี นเพียรสอน (๓) 1๑1

ใบงาน
“คาทมี่ ีความหมายตรงและความหมายเปรียบเทียบในเรอ่ื งอิศรญาณภาษิต

ตอนที่ ๒”

คาช้ีแจง ให้นกั เรียนหาคาท่ีมคี วามหมายตรงและความหมายเปรยี บเทียบในเรือ่ งอิศรญาณภาษิต
ตอนที่ ๒

แผนการจดั การเรียนรู้ ๖ : พร่าเรียนเพียรสอน (๔) 1๑2

ใบงาน
“โวหารเปรยี บเทยี บในเรื่องอศิ รญาณภาษิต”

คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นแต่ละกล่มุ อ่านบทประพันธ์ตามทกี่ ลุ่มของตนเลือก และปรกึ ษากัน
ในกลุ่มเกีย่ วกับคาสอนที่ปรากฏ
โวหารเปรียบเทียบในอิศรญาณภาษิต

การใชค้ าในโวหารเปรยี บเทียบในอศิ รญาณภาษติ เปน็ คางา่ ย ๆ เช่นคาว่าแรง หิว ชัง่ ใจ สู้
ช้าง แต่เมอื่ นามาเรยี บเรียงเข้าด้วยกันแลว้ ทาให้เปน็ โวหารเปรียบเทยี บท่มี คี วามนัยซอ่ นอยู่
จึงเป็นคาสงั่ สอนเชงิ เสียดสีท่ีคมคายทาให้เป็นท่ีจดจากนั ต่อๆมา โดยเฉพาะสานวนต่าง ๆ เช่น
เดินตามรอยผู้ใหญห่ มาไมก่ ัด น้าพง่ึ เรือเสอื พึง่ ป่า ฆ่าควายเสียดายพรกิ เป็นต้น
กลมุ่ ที่ ๑

กลกุ่มลทุม่ี ๒ที่ ๑

กลมุ่ ที่ ๓

กล่มุ ท่ี ๔

แผนการจดั การเรยี นรู้ ๗ : พร่าเรียนเพียรสอน (๕) 1๑3

ใบความรู้
“คาสอนในอศิ รญาณภาษติ ”

เดินตามรอยผู้ใหญห่ มาไม่กดั
คาประพันธ์ในอิศรญาณภาษิตบทหน่ึง ๆ อาจมีคาสอนหลายเร่ืองอยู่ด้วยกัน แทนท่ีจะกล่าวถึง
เรอ่ื งใดเรอื่ งหนึ่งใหจ้ บเป็นเร่ือง ๆ ไป เช่น
เดินตามรอยผใู้ หญ่หมาไม่กดั ไปพูดขดั เขาทาไมขัดใจเขา
คาประพันธ์วรรคแรกสอนให้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่ผู้ใหญ่ทามาก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้เกิด
ความเสียหาย สว่ นวรรคหลงั สอนใหร้ ะมัดระวังคาพดู ไม่พดู ขดั คอผอู้ ืน่
ชายข้าวเปลอื กหญิงข้าวสารโบราณว่า นา้ พงึ่ เรือเสอื พงึ่ ป่าอชั ฌาสยั
คาประพันธ์วรรคแรกเปรียบผู้ชายเหมือนข้าวเปลือก ซึ่งเมื่อตกที่ใดก็งอกและเจริญเติบโตได้
แต่ผู้หญิงเปรียบเหมือนข้าวสารซ่ึงไม่อาจเจริญงอกงามต่อไปได้ ส่วนคาประพันธ์วรรคท่ีสองเปรียบคนใน
สงั คมเดียวกนั เหมอื นน้ากับเรอื และเสือกับป่าที่ต้องพ่ึงพาอาศัยกัน
อศิ รญาณภาษิตมีเน้ือหาคาสอนทห่ี ลากหลาย ดังต่อไปน้ี
สอนให้เห็นความสาคัญของปัญญาแต่อย่าอวดรู้ ดังท่ีว่า "จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปิดฝัก"
คือให้เป็นคนใฝ่รู้ แต่ให้เก็บความรู้ไว้ใช้เม่ือถึงเวลาสมควร เช่นเดียวกับการสอนให้รู้จริงแต่มิให้โอ้อวด
ดงั ทกวี่ ล่ามุ่ "ทถี่ึง๑รู้จรงิ นงิ่ ไวอ้ ยา่ ไขรู้"
สอนใหร้ ู้จกั คิดใครค่ รวญ ไตร่ตรองก่อนจะพูดหรือทาสง่ิ ใด ดงั ทีว่ ่า
เห็นตอหลกั ปักขวางหนทางอยู่ พเิ คราะห์ดคู วรท้ึงแล้วจึงถอน
เหน็ เต็มตาแล้วอย่าอยากทาปากบอน ตรองเสียกอ่ นจึงค่อยทากรรมทั้งมวล
สอนให้รู้จักอดทนลาบาก หม่ันขวนขวายหาความรู้ เมื่อเติบใหญ่จึงจะสบาย ดังท่ีว่า "เอาหลังตาก
แดดเปน็ นิจคิดคานวณ รูถ้ ี่ถว้ นจงึ สบายเมือ่ ปลายมือ"
สอนให้พิจารณาข้อบกพร่องของตนเองเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไข ดังที่ว่า "อย่านอนเปล่าเอากระจก
ยกออกมา ส่องดูหน้าเสียที่หนึ่งแล้วจึงนอน" คากลอนนี้สอนว่าเราควรสารวจจิตใจของตนเองอยู่เป็นนิจว่า
คดิ ดีใฝด่ อี ยหู่ รอื ไม่ เพอื่ จะได้เตือนตนได้ทันการณ์
สอนให้หม่ันพิจารณาใจของตน ดังท่ีว่า "เกิดเป็นคนเชิงดูให้รู้เท่า ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน"
เราจงึ ต้องสารวจใจตน เพ่ือว่าหากมีข้อผิดพลาดใดก็จะไดแ้ กไ้ ขเสยี
สอนให้รู้จักพิจารณาการกระทาของผู้อื่น ว่าการกระทานั้นอาจไม่ใช่ความจริงใจทั้งหมด
จงึ ควรแยกแยะให้ได้ ไม่ควรหลงใหลกบั คาปอ้ ยอซึง่ อาจจะถูกหลอกลวงได้ ดังทีว่ ่า
อันยศศกั ดิ์มใิ ช่เหล้าเมาแตพ่ อ ถ้าเขายอเหมือนอยา่ งเกาใหเ้ ราคัน
บา้ งโลดเล่นเตน้ ราทาเป็นเจ้า เปน็ ไรเขาไมจ่ บั ผิดคดิ ดูขัน
ผีมนั หลอกชา่ งผตี ามทมี ัน คนเหมือนกันหลอกกนั เองกลวั เกรงนกั

แผนการจัดการเรียนรู้ ๘ : พรา่ เรียนเพียรสอน (๖) 1๑4

ใบความรู้
“คาสอนในอศิ รญาณภาษติ ” (ต่อ)

สอนให้มีใจหนักแน่น ไม่หลงเชื่อคาพูดยุยงโดยง่าย ให้รู้จักไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะคล้อยตาม
คาพูดของผู้อ่นื ดงั ท่วี า่
อันเสาหนิ แปดศอกตอกเปน็ หลกั ไปมาผลกั บอ่ ยเข้าเสายงั ไหว
จงฟังหูไวห้ ูคอยดูไป เชอ่ื นา้ ใจดีกว่าอย่าเชือ่ ยุ
คาสอนนี้เปรยี บว่า ถงึ แมว้ า่ จะมัน่ คงดังเสาหินใหญส่ ูงแปดศอก แตเ่ มื่อถกู ผลักบ่อยเข้าเสาหินก็อาจ
คลอนแคลนได้ เปรียบเหมือนใจของคนท่ีย่อมอ่อนไหวไปตามคาพูดของผู้อ่ืน จึงควรฟังหูไว้หูและคิดให้
รอบคอบก่อนท่ีจะเชื่อใครสอนให้ระมัดระวังคาพูด ซึ่งต้องระมัดระวังว่าจะทาให้ผู้อื่นไม่สบายใจ เช่น
สอนว่าไม่ควรพูดขัดใจผู้อ่ืน จะทาให้ผิดใจกันได้ ดังท่ีว่า "ไปพูดขัดเขาทาไมขัดใจเขา" หรือเมื่อรู้เห็นส่ิงใด
แล้วก็อย่าพูดเร่ืองของผู้อื่นออกไป ดังท่ีว่า "เห็นเต็มตาแล้วอย่าอยากทาปากบอน" และถ้าเรามียศศักด์ิ
ไม่เทียบเท่าผู้อื่น ก็ควรอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ อย่าไปพูดโต้เถียงเขา เพราะเราอยู่ในฐานะต่าต้อยจึงควร
สงบเสงีย่ มไว้ หากพดู พลอ่ ย ๆ ไปจะเป็นทรี่ งั เกยี จได้ ดังทวี่ า่
วาสนาไมค่ ู่เคียงเถยี งเขายาก ถงึ มีปากมีเสียเปลา่ เหมือนเตา่ หอย
ผีเรือนตวั ไม่ดผี ีอืน่ พลอย พูดพลอ่ ยพล่อยไมด่ ปี ากขี้ริว้
สอนใหเ้ คารพและใหค้ วามสาคญั แก่ผอู้ าวุโส ให้ทาตามผู้ใหญ่ ไม่อกตัญญู ดังท่ีว่า "ค่อยดาเนินตาม
ไต่ผู้ไปหน้า ใจความว่าผู้มีคุณอย่าหุนหวน" ท่ีเรียกผู้ใหญ่ว่า "ผู้ไปหน้า" หมายถึง คนท่ีเกิดก่อนย่อมมี

ควากมลรุ่มู้แทละ่ี ๑มีประสบการณ์มากกว่า อีกบทหนึ่งสอนให้ขอคาปรึกษาจากผู้เฒ่าผู้แก่ ดังท่ีว่า "คนสามขามี
ปัญญาหาไว้ทัก ที่ไหนหลักแหลมคาจงจาเอา "คนสามขา" ในท่ีนี้หมายถึง ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เดินไม่ค่อยไหว
ต้องใชไ้ ม้เท้าคา้ ตัว จงึ เปรยี บวา่ เป็นคนสามขา คนเหล่านีม้ ปี ระสบการณ์มาก ควรที่เราจะฟังคาทักท้วงของ
ทา่ น คาสอนทกี่ ลา่ วว่า "เดินตามรอยผูใ้ หญ่หมาไม่กัด" ก็สอนให้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางท่ีผู้ใหญ่ได้เคย
ทามาก่อนแลว้ จะทาใหไ้ มม่ ีผู้ใดว่ากลา่ วได้ และจะไม่เกดิ ความเสียหายในภายหลัง
สอนให้ทาความดี หากมีบุญแต่ไม่ทาความดี ก็ไม่เกิดผลดีแก่ตัว เม่ือวันใดท่ีหมดบุญแล้ว ก็จะไม่
เปน็ ทีร่ กั ของคนท้ังปวงได้ ดังท่ีว่า

ถงึ บุญมไี มป่ ระกอบชอบไม่ได้ ต้องอาศยั คดิ ดจี งึ มผี ล
บุญหาไม่แลว้ อย่าไดท้ ะนงตน ปถุ ชุ นรักกบั ชงั ไม่ยง่ั ยนื
คาสอนส่วนใหญ่ในอศิ รญาณภาษติ มีเนอื้ หาที่ใชไ้ ด้ทุกยคุ ทกุ สมยั แม้สังคมปัจจุบันจะเปล่ียนไปจาก
สังคมแต่ก่อนมาก คาสอนเหล่าน้ีก็ยังคงใช้ได้ดีอยู่ เช่น สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน เม่ือจะต้องขอความ
ช่วยเหลอื จากผูใ้ ด ดงั ที่วา่ "อยากใชเ้ ขาเราตอ้ งก้มประนมกร" หรือทีว่ ่า "หญงิ เรยี กแมช่ ายเรียกพอ่ ยอไวใ้ ช้“
นอกจากนัน้ คาสอนดังกล่าวยงั สะทอ้ นให้เหน็ แนวคิดในสงั คมไทยซ่งึ ถอื ว่าผู้ใหญ่เป็น "ผู้อาบน้าร้อน
มาก่อน" ย่อมมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า จึงมีหน้าที่ส่ังสอนเยาวชน เพ่ือให้ดารงตนเป็นคนดี อยู่ในสังคม
ไดอ้ ย่างมีความสุข ไม่เบยี ดเบยี นผู้อน่ื ไม่ทาตนให้เป็นปัญหาแก่ผู้อื่น และเป็นคนท่ีมีความนอบน้อมถ่อมตน
ไม่โอ้อวด ตลอดจนเป็นคนมีจิตใจหนักแน่น ไม่หลงเชื่อคนง่าย แนวคิดดังกล่าวสืบทอดมาช้านานจนนับได้
ว่าเป็นสว่ นหนึ่งของวิถชี วี ติ ไทยท่มี ีคณุ คา่ ควรแก่การธารงรักษาใหส้ ืบต่อไป

แผนการจัดการเรียนรู้ ๘ : พร่าเรียนเพียรสอน (๖) 1๑5

ใบงาน
“คาสอนในเร่อื งอิศรญาณภาษติ ”

คาชี้แจง ให้นกั เรียนยกคาสอนในเร่อื งอศิ รญาณภาษิตมา ๑ เรือ่ งพร้อมบอกแนวทางในการนาไปใช้
ในชีวิตประจาวัน

กลุ่มท่ี ๑

แผนการจดั การเรียนรู้ ๘ : พร่าเรียนเพยี รสอน (๖) 1๑6

ใบงาน
“คาสอนในเรอื่ งอิศรญาณภาษติ ”

คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนยกคาสอนในเร่ืองอิศรญาณภาษติ มา ๑ เร่ืองพร้อมบอกแนวทางในการนาไปใช้
ในชีวติ ประจาวัน

บ้างโลดเล่นเต้นราทาเป็นเจา้ เป็นไรเขาไมจ่ บั ผดิ คดิ ดูขัน
ผีมันหลอกชา่ งผตี ามทมี นั คนเหมือนกนั หลอกกันเองกลวั เกรงนัก
จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปดิ ฝัก
สูงอย่าให้สูงกว่าฐานนานไปลม้ ทีไ่ หนหลักแหลมคาจงจาเอา
คนสามขามีปัญญาหาไวท้ ัก ไปพดู ขดั เขาทาไมขัดใจเขา
นกั เลงเกา่ เขาไม่หาญราญนักเลง
เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กดั ชายมกั ยั่วทาเลยี บเทียบข่มเหง
ใครทาตึงแล้วหย่อนผ่อนลงเอา ทาอวดเกง่ กบั ขื่อคาว่ากระไร
ไปมาผลกั บอ่ ยเขา้ เสายงั ไหว
เป็นผูห้ ญิงแม่หมา้ ยท่ีไร้ผัว เชอ่ื นา้ ใจดกี วา่ อย่าเชอ่ื ยุ
ไฟไหม้ยงั ไม่เหมอื นคนทจ่ี นเอง มนั ชอบใจขา้ งปลอบไมช่ อบดุ
คนจักษุเหล่หลิว่ ไพลพ่ ลวิ้ พลิก
อันเสาหินแปดศอกตอกเปน็ หลกั บนบกหนออุตส่าหเ์ สอื กกระเดือกกระดิก
จงฟงั หูไวห้ คู อยดไู ป รกั หยอกหยิกยบั ทั้งตวั อยา่ กลัวเลบ็
แต่หนามตาเขา้ สกั นิดกรดี ยังเจ็บ
กลุม่ ทที่หี่ ๑า่ งปิดหทญ่ชี ิดิงไเรชียใหกท้แมะ่ชลาุ ยเรยี กพอ่ ยอไว้ใช้ เมยี รู้เกบ็ ผวั รู้ทาพาจาเรญิ
เต็มท่คี รเู่ ดียวเทา่ น้นั เขาสรรเสรญิ
เอาปลาหมอเปน็ ครูดูปลาหมอ อยา่ เพลิดเพลนิ คนชงั นกั คนรักนอ้ ย
เขาย่อมวา่ ฆ่าควายเสียดายพรกิ ถงึ มีปากมเี สยี งเปลา่ เหมอื นเต่าหอย
พูดพล่อยพล่อยไม่ดีปากข้ีร้ิว
มิใชเ่ น้อื เอาเปน็ เนอ้ื กเ็ หลือปล้า สแี หยะแหยะตอกตะบันเป็นควันฉิว
อันโลภลาภบาปหนาตณั หาเยบ็ แรงหรือหวิ ชงั่ ใจดูจะสูช้ า้ ง
แตว่ ่าอยา่ ยกั เยื้องเข้าเบือ้ งหาง
ถงึ รูจ้ รงิ นง่ิ ไว้อย่าไขรู้ ตบหวั ผางเดยี วม้วนจงึ ควรลอ้
ไมค่ วรก้าเกนิ หนา้ ก็อย่าเกิน ถ้าแม้ให้เสยี ทกุ คนกลวั คนขอ
จนแล้วหนอเหมือนเปรตเหตดุ ้วยจน
วาสนาไมค่ เู่ คยี งเถยี งเขายาก ต้องอาศยั คดิ ดจี ึงมผี ล
ผเี รอื นตัวไม่ดผี อี น่ื พลอย ปถุ ชุ นรักกบั ชงั ไมย่ ง่ั ยนื

แต่ไม้ไผอ่ ันหน่ึงตันอนั หน่ึงแขวะ
ช้างถีบอยา่ วา่ เล่นกระเดน็ ปลวิ

ล้องเู หา่ เล่นก็ได้ใจกล้ากลา้
ตวั ว่องไวในทานองคลอ่ งท่าทาง

ถึงเพ่ือนฝูงท่ีชอบพอขอกันได้
พ่อแม่เลี้ยงปดิ ปกเป็นกกกอ

ถงึ บุญมีไม่ประกอบชอบไม่ได้
บุญหาไม่แลว้ อย่าไดท้ ะนงตน

แผนการจดั การเรียนรู้ ๙ : พรา่ เรยี นเพยี รสอน (๗) 1๑7

ใบความรู้
“คาสอนในอิศรญาณภาษิต”

คาประพันธ์ในอิศรญาณภาษติ บทหนึง่ เปน็ เรอื่ งๆ เช่น เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด ไปพูดขัด
เขาทาไมขัดใจเขา คาประพันธ์วรรคแรกสอนให้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางท่ีผู้ใหญ่ทามาก่อนแล้ว
เพอ่ื ไม่ใหเ้ กดิ ความเสียหาย สว่ นวรรคหลังสอนใหร้ ะมัดระวังคาพดู ไม่พูดขดั คอผ้อู ่นื
อศิ รญาณภาษติ มเี น้ือหาคาสอนที่หลากหลาย ดังต่อไปนี้

สอนให้เห็นความสาคญั ของปญั ญาแตอ่ ยา่ อวดรู้
สอนใหร้ ู้จักคิดใครค่ รวญ ไตรต่ รองกอ่ นจะพูดหรือทาส่ิงใด
สอนใหร้ ู้จกั อดทนลาบากมันขนขวายหาความรู้
สอนให้พจิ ารณาขอ้ บกพร่องของตนเองเพื่อจะได้ปรับปรงุ แก้ไข
สอนใหห้ มัน่ พจิ ารณาใจของตน
สอนให้รู้จักพิจารณาการกระทาของผอู้ ื่น

กลุ่มท่ี ส๑อนให้มใี จหนักแน่นไม่หลงเช่ือคาพูดยยุ งโดยงา่ ย

สอนให้ระมดั ระวงั คาพูด
สอนใหเ้ คารพและใหค้ วามสาคัญแก่ผูอ้ าวโุ ส
สอนให้ทาความดี
นอกจากนี้คาสอนดังกล่าวยังแสดงให้เห็นแนวคิดในสังคมไทยเก่ียวกับความคิดท่ีว่าผู้ใหญ่
เป็นผู้อาบน้าร้อนมาก่อนย่อมมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าจึงมีหน้าที่ส่ังสอนเยาวชนเพื่อให้ดารงตน
เป็นคนดอี ยใู่ นสังคมได้อย่างมีความสุขไม่เบียดเบียนผู้อื่นไม่ทาตนให้เป็นปัญหาแก่ผู้อ่ืนและเป็นคนท่ีมี
ความนอบนอ้ มถ่อมตนไมโ่ อ้อวดตลอดจนเป็นคนมีจิตใจหนกั แนน่ ไม่หลงเชื่อคนง่าย

แผนการจดั การเรียนรู้ ๑๐ : ภาษาสะท้อนความคดิ (๑) 1๑8

ใบงาน
“คาสอนในอศิ รญาณภาษิต”

คาช้ีแจง ให้นกั เรียนเลอื กคาสอนในอิศรญาณภาษติ ตามหัวข้อทก่ี าหนดให้
สอนใหเ้ หน็ ความสาคัญของปญั ญาแตอ่ ย่าอวดรู้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สอนใหร้ จู้ กั คดิ ใครค่ รวญ ไตรต่ รองกอ่ นจะพูดหรือทาส่ิงใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สอนให้รู้จกั อดทนลาบากหม่นั ขนขวายหาความรู้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สอนใหพ้ จิ ารณาข้อบกพร่องของตนเองเพื่อจะได้ปรับปรุงแกไ้ ข
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สอนให้หมั่นพิจารณาใจของตน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สอนใหร้ ูจ้ กั พิจารณาการกระทาของผู้อืน่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

แผนการจัดการเรียนรู้ ๑๐ : ภาษาสะท้อนความคดิ (๑) 1๑9

ใบงาน
“คาสอนในอศิ รญาณภาษติ ” (ต่อ)

คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนเลือกคาสอนในอิศรญาณภาษติ ตามหัวขอ้ ท่ีกาหนดให้
สอนให้มใี จหนักแน่นไมห่ ลงเช่ือคาพูดยุยงโดยงา่ ย
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สอนใหร้ ะมดั ระวงั คาพดู
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

สอนใหเ้ คารพและใหค้ วามสาคญั แก่ผูอ้ าวโุ ส
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

สอนใหท้ าความดี
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

แผนการจัดการเรียนรู้ ๑๐ : ภาษาสะทอ้ นความคดิ (๑) 120

ใบความรู้
“โวหารเปรียบเทยี บในอิศรญาณภาษิต”

เมื่อจะสอนให้รู้จักประมาณตนมิให้ทาอะไรเกินกาลังและฐานะของตน กวีก็กล่าวเปรียบว่า
จะสร้างส่ิงใดให้สูงก็อย่าสูงเกินกว่าท่ีฐานจะรับน้าหนักไว้ได้ เพราะจะทาให้ล้มและเมื่อมีความรู้สูง
ก็มิให้อวดกลา้ สามารถ แต่ให้เปน็ คน "คมในฝัก" ต่อเมอื่ ถึงคราวที่ตอ้ งแสดงภูมิรู้ให้ปรากฏจึงนาความรู้
น้ันออกมาใช้ เป็นคาสอนที่กล่าวเปรียบเทียบปัญญากับอาวุธท่ีมีความคมแต่ซ่อนเก็บไว้ในฝัก เม่ือจะ
นามาใชจ้ งึ ซกั ออกมาให้เหน็ ความคมนั้น ดังท่ีว่า "สูงอย่าให้สูงกว่าฐานนานไปล้ม จะเรียนคมเรียนเถิด
อยา่ เปดิ ฝัก"

เมื่อจะเตือนให้ประเมินกาลังของศัตรูโดยเฉพาะผู้ท่ีมีอานาจก่อนที่เราคิดจะต่อสู้ด้วย
กวีก็เปรียบเทียบกับการล้อเล่นกับงูเห่าซึ่งเป็นสัตว์ท่ีอันตรายมาก ผู้ที่คิดจะล้อเล่นต้องเป็นคนใจกล้า
มีความปราดเปรียวว่องไว ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดทันที ต้องควบคุมสถานการณ์ได้ ไม่ให้เพล่ียงพล้า
ดังทว่ี ่า

ล้องูเห่าเลน่ กไ็ ดใ้ จกลา้ กลา้ แตว่ า่ อย่ายักเย้ืองเข้าเบ้ืองหาง

ตอ้ งว่องไวในทานองคล่องท่าทาง ตบหวั ผางเดียวม้วนจึงควรลอ้

คาสอนหลายบทแฝงความหมายท่ีลึกซึง้ ต้องอา่ นอยา่ งตีความจงึ จะเขา้ ใจ ดังทีว่ า่

แต่ไมไ้ ผ่อนั หนึ่งตนั อนั หนึ่งแขวะ สีแหยะแหยะตอกตะบันเปน็ ควันฉวิ

ช้างถบี อย่าวา่ เล่นกระเด็นปลวิ แรงหรือหิวชง่ั ใจดูจะส้ขู ้าง

โวหารเปรียบเทียบข้างต้นส่ือความว่าอย่าประมาทการกระทาที่ดูเหมือนจะไม่เป็นพิษเป็นภัย
เชน่ การเอาไม้ไผ่มาสกี นั แม้จะเบาๆ กอ็ าจทาให้ไฟติดได้ และอย่าประมาทส่ิงที่ทรงพลังเช่นช้าง หาก
จะสู้หรือต่อกรด้วยก็ควรประเมินกาลังของเราว่าอยู่ในภาวะ "แรง"คือมีกาลัง หรือ "หิว" คืออ่อนแรง
จะไดเ้ ตรียมสหู้ รอื หนใี หเ้ หมาะแก่สถานการณ์

เมื่อพิจารณาคาศัพท์แต่ละดาที่กวีใช้ จะเห็นว่าเป็นคาง่ายๆ เช่น "แรง" "หิว" "ซ่ังใจ" "สู้"
"ช้าง" แต่เมื่อนามาเรียงร้อยเข้าด้วยกันแล้ว กลับเป็นโวหารเปรียบเทียบที่มีความนัยซ่อนอยู่ จึงเป็น
คาสั่งสอนเชิงเสียดสีท่ีคมคาย ทาให้เป็นที่จดจากันต่อๆ มาโดยเฉพาะสานวนต่างๆ เช่น เดินตามรอย
ผู้ใหญ่หมาไม่กัด น้าพึ่งเรือเสือพ่ึงป่า ฆ่าควายเสียดายพริก เป็นตัน นับได้ว่าอิศรญาณภาษิตเป็น
วรรณคดที ่ีทรงคุณคา่ สมควรจะศกึ ษาเพือ่ ให้เข้าใจวิธคี ิด ความเช่อื และวิถชี ีวิตของคนไทยสมัยก่อน

แผนการจัดการเรยี นรู้ ๑๑ : ภาษาสะทอ้ นความคิด (๒) 1๒1

ใบงาน
“โวหารเปรียบเทยี บในอิศรญาณภาษิต”

คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นหาโวหารทป่ี รากฏในบทประพันธ์ดงั นี้

ลอ้ งเู ห่าเล่นกไ็ ดใ้ จกล้ากล้า แตว่ า่ อย่ายักเยื้องเขา้ เบอื้ งหาง
ต้องว่องไวในทานองคล่องทา่ ทาง ตบหวั ผางเดียวมว้ นจงึ ควรล้อ

___________________________________________
___________________________________________

แต่ไมไ้ ผ่อนั หน่ึงตนั อันหนึ่งแขวะ สแี หยะแหยะตอกตะบนั เป็นควันฉวิ
ชา้ งถบี อย่าว่าเล่นกระเด็นปลวิ แรงหรอื หิวชง่ั ใจดูจะสขู้ า้ ง

___________________________________________

___________________________________________

แผนการจดั การเรยี นรู้ ๑๑ : ภาษาสะท้อนความคิด (๒) ๑๒2

ใบงาน
“แนวทางการนาอศิ รญาณภาษิตไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน”

คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นบอกแนวทางการนาคาสอนจากอิศรญาณภาษิตไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั

___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________
___________________________________________

แผนการจดั การเรยี นรู้ ๑๔ : ภาษาสะทอ้ นความคิด (๕) ๑๒3

ใบความรู้
“ความหมายของปริศนาคาทาย”

ปริศนาคาทาย หมายถึง ถ้อยคาที่ยกขึ้นมาเป็นเงื่อนงาเพื่อให้แก้ ให้ทายกัน เป็นการเล่น
อย่างหนึ่งของไทยที่นิยมเล่นกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาช้านานทุกภูมิภาค เป็นการคิดเล่นเพื่อให้เกิด
ความสนุกเพลิดเพลิน และทดสอบภูมิปัญญาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันของคนเรา
ช่วยฝึกให้รู้จักการสังเกต รู้จักใช้ความคิด ในสมัยโบราณเชื่อกันว่า นักปราชญ์หรือผู้มีปัญญา
จะสามารถแก้ปริศนาต่าง ๆ ที่ยกมาให้ทายได้ การเล่นทายปริศนาจะสนุกย่ิงขึ้นเม่ือมีรางวัล
เปน็ เครอื่ งล่อใจ

คาปริศนาที่นามาทายน้ัน ไม่นิยมถามตรง ๆ แต่จะใช้ส่ิงเปรียบเทียบ มักใช้ภาษา
ที่เปน็ การเลน่ คา และสัมผัส ใช้คาง่าย ๆ สั้น ๆ กระชับ คล้องจองกันแต่ยากที่จะตีความตัวปริศนา
บางปริศนาอาจมีเค้าหรือแนวทางท่ีจะทาให้รู้คาตอบได้ ผู้ตอบต้องใช้ความสังเกต ความคิด
และไหวพริบในการคิดหาคาตอบ ปริศนาคาทายมักสะท้อนความเป็นอยู่ ความเช่ือ และวัฒนธรรม
ของคนในสังคมซึ่งแตกต่างกันไปตามสภาพของท้องถิ่น ปริศนาคาทายอาจใช้ภาษาร้อยกรอง เช่น
กลอน โคลง หรือภาษาร้อยแก้วธรรมดาก็ได้ เช่น อะไรเอ่ย…ใบหยัก ๆ ลูกรักเต็มคอ ซึ่งคาตอบ
ก็คอื มะละกอ

แผนการจัดการเรียนรู้ ๑๕ : ปริศนาหฤหรรษ์ (๑) 1๒4

ใบงาน
“พชิ ิตปรศิ นาคาทาย”

คาชีแ้ จง ให้นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ตามความสมคั รใจ กลมุ่ ละ ๓ - ๔ คน โดยใหแ้ ต่ละกลมุ่ สมั ภาษณ์
บุคคลจานวน ๒ - ๓ คน เก่ียวกับปรศิ นาคาทายอยา่ งนอ้ ยกลมุ่ ละ ๑๐ ปรศิ นาคาทาย
บุคคลที่สัมภาษณ์
๑.............................................................................................................................................................
๒.............................................................................................................................................................
๓.............................................................................................................................................................

ปรศิ นาคาทาย
๑..............................................................................................................................................................

คาตอบ
๒.............................................................................................................................................................

คาตอบ
๓..............................................................................................................................................................

คาตอบ
๔..............................................................................................................................................................

คาตอบ
๕..............................................................................................................................................................

คาตอบ
๖. ........................................................................................................................... .................................

คาตอบ
๗.............................................................................................................................................................

คาตอบ
๘..............................................................................................................................................................

คาตอบ
๙..............................................................................................................................................................

คาตอบ
๑๐............................................................................................................................................................

คาตอบ

แผนการจัดการเรียนรู้ ๑๕ : ปรศิ นาหฤหรรษ์ (๑) ๑๒5

ใบความรู้
“ฉันทลกั ษณข์ องโคลงสส่ี ภุ าพ”

ฉนั ทลักษณข์ องโคลง
โคลงสี่สุภาพ หนึ่งบทมี ๔ บาท หรือ ๔ บรรทัด แต่ละบาทมี ๒ วรรค บังคับจานวนคา

บังคับสัมผัสและบังคับว่าต้องมีคาหรือพยางค์ท่ีใช้เคร่ืองหมายวรรณยุกต์เอกจานวน ๗ แห่ง และ
เครือ่ งหมายวรรณยุกต์โทจานวน ๔ แห่ง คาหรือพยางค์ท่ีกาหนดให้เป็นวรรณยุกต์เอก อาจใช้คา
ตายแทนได้

วรรคหลังของบาทที่ ๑ และบาทที่ ๓ อาจมคี าสรอ้ ยได้ ๒ คา ดงั แสดงไวใ้ นเครื่องหมาย
วงเล็บ

ตวั อย่าง อันใด พเี่ อย
เสยี งลือเสยี งเล่าอา้ ง ทั่วหลา้
ลืมต่ืน ฤๅพ่ี
เสยี งย่อมยอยศใคร อยา่ ไดถ้ ามเผือ
สองเขือพ่ีหลบั ใหล (ลลิ ิตพระลอ)
สองพค่ี ิดเองอา้

แผนการจัดการเรียนรู้ ๑๖ : ปริศนาหฤหรรษ์ (๒) 1๒6

ใบงาน
“นกั คดิ พชิ ิตโคลงส่สี ุภาพ”

คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเลือกคาสอนจากเร่ืองอศิ รญาณภาษิต คาสอนทีส่ นใจ หรอื คาสอนเกย่ี วกบั
ค่านยิ มที่กาลังเป็นกระแสในสงั คมแตง่ เป็นโคลงสีส่ ุภาพ คนละ ๒ บท พร้อมตัง้ ขื่อเร่ือง
ให้นา่ สนใจ
หวั ขอ้ คาสอนท่ีเลือก

...................................................................................................................................................................

โครงเร่อื ง
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................

คาศพั ท์สาคัญ
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................

ชอ่ื ผลงาน ....................................

...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................

แผนการจัดการเรียนรู้ ๑๗ : รังสรรค์คาประพันธ์ (๑) 1๒7

ใบความรู้
“คาท่ีใช้ในกฎเกณฑข์ องฉันทลกั ษณ์”

คาทใี่ ช้ในกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณม์ คี วามหมายและลักษณะทต่ี ้องพิจารณา ดังน้ี
๑. ความหมายของคาในกฎเกณฑ์ของฉันทลกั ษณ์ มี 2 ความหมาย
๑.๑ คา หมายถึง หน่วยย่อยท่ีสุดของฉันทลักษณ์ และเป็นส่วนย่อยของวรรค คา ๑ พยางค์

สามารถนับเป็น 1 คาได้ การนับคาในทางฉันทลักษณ์จะแตกต่างจากการนับคาในทางไวยากรณ์ซ่ึงถือ
ตามความหมาย ตัวอย่างเช่น คาว่า พยายาม ในทางไวยากรณ์นับเป็น ๓ พยางค์ แต่ถือว่าเป็น ๑ คา
เพราะมีความหมายเดยี ว ส่วนในทางฉนั ทลักษณ์ คาว่า พยายาม สามารถนับเป็น ๒ คา หรือ ๓ คา ก็ได้
เพราะในทางฉันทลักษณ์ ๑ คา จะนับเป็น ๑ พยางค์ หรือ ๑ จังหวะท่ีลงเสียงหนัก ดังน้ัน จานวนคา
จึงอาจเปลยี่ นแปลงได้เพอื่ ให้สัมพันธ์กับกฎเกณฑข์ องฉนั ทลักษณแ์ ตล่ ะชนิด อาทิ กลอนสุภาพ กาหนดให้
แตล่ ะวรรคมคี าจานวน ๗ - ๙ คา กาพยย์ านีกาหนดให้วรรคหน้ามี ๕ คา และวรรคหลงั มี ๖ คา เปน็ ตน้

๑.๒ คา หมายถึง กลอน ๑ บาท หรือ ๑ คากลอน ประกอบด้วยกลอน ๒ วรรค เช่น
วรรคสดับ กับ วรรครับ รวมกันเป็น ๑ คากลอน วรรครอง กับ วรรคส่ง รวมกันเป็น ๑ คากลอน ในบท
ละครท่ีเขียนเป็นกลอน เมื่อจบบทของตัวละครช่วงหนึ่ง ๆ มักจะมีคาอธิบายบอกจานวนคากลอน เช่น
๖ คา ๘ คา ๖ คา หมายถึง คากลอน ๑๒ วรรค หรือ ๓ บท เป็นตน้

๒. ลักษณะของคาที่บรรจุลงในคาประพันธ์ชนิดหนึ่ง ๆ มีข้อกาหนดต่างกัน เป็นคาเอก
คาเอกโทษ คาโท คาโทโทษ คาตาย คาครุ คาลหุ

คาเอก คาโท เป็นลักษณะบังคับของคาในโคลง คาเอก คือ คาท่ีมีรูปวรรณยุกต์เอกกากับ เช่น
ทา่ คู่ ปี่ ค่า คาโท คือ คาทีม่ รี ูปวรรณยุกตโ์ ทกากับ เช่น น้อง น่า ซ่า ไซร้ ให้ ข้า สู้ ในโคลงส่ีสุภาพบังคับ
ให้มีคาเอก ๗ แหง่ คาโท ๔ แหง่ เปน็ ตน้

คาเอกโทษ โทโทษ หมายถึง คาที่ตามฉันทลักษณ์กาหนดให้เป็นคาเอกหรือคาโท แต่ผู้เขียน
ไม่สามารถหาคาท่ใี ชร้ ปู วรรณยกุ ตเ์ อกหรอื โทตามกาหนดได้ จึงเปลยี่ นมาใชค้ าที่มีรูปวรรณยุกตเ์ อกหรือโท
ซ่ึงมีเสียงเดียวกัน เช่น คาว่า ค่า เมื่อใช้แทน ข้า เรียกว่า คาเอกโทษ ถ้าใช้ ข้า แทน ค่า เรียกว่า
คาโทโทษ

คาตาย คือ คาที่ประสมด้วยสระเสียงสั้น ไม่มีตัวสะกดและออกเสียงหนัก เช่น ปะ ติ จุ
หรือท่ีประสมด้วยตัวสะกดในมาตราแม่กก กด กบ เช่น เมฆ ปิด ทึบ คาตายใช้แทนคาเอกในการแต่ง
โคลงได้

คาครุ ได้แก่ คาท่ีมีเสียงหนัก คือ คาที่ประสมกับเสียงสระยาวในมาตราแม่ ก กา เช่น ดู นา ค้า
ดี รวมท้ังคาท่ีประสมด้วยสระ อา ไอ ใอ เอา เช่น จา ไป ใบ เขา หรือคาท่ีมีตัวสะกด เช่น นก บิน ร้อง
สวย งาม

คาลหุ ไดแ้ ก่ คาที่มีเสียงเบา คอื คาทีป่ ระสมกับสระเสียงส้นั ไม่มีตัวสะกด และออกเสียงเบา เช่น
จะ ดุ รึ และคา ก็ บ บ่

แผนการจดั การเรียนรู้ ๑๘ : รงั สรรคค์ าประพนั ธ์ (๒) 1๒8

ใบความรู้
“คาท่ใี ช้ในกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณ์” (ตอ่ )

๓. คำซึ่งทำหน้ำที่ในส่วนต่ำง ๆ ของคำประพันธ์ตำมข้อบังคับของฉันทลักษณ์แบบหน่ึง ๆ
ไดแ้ ก่ คำนำ หรือ คำขน้ึ ต้น คำสร้อย คำลงท้ำย

คำนำ หรือ คำข้ึนต้น คือ ข้อบังคับของกลอน ชนิดกลอนบทละคร กลอนดอกสร้อย
กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนเพลงพื้นบ้านบางชนิด ซึ่งบังคับคาขึ้นต้นวรรคของบทตามประเภทของ
กลอนสน้ั ๆ

กลอนบทละคร บังคับคาขึ้นต้นว่า เมื่อน้ัน บัดนั้น มาจะกล่าวบทไป หรือขึ้นต้นแบบ
กลอนดอกสรอ้ ย เช่น รถเอย๋ รถทรง โฉมเอยโฉมเฉลา

กลอนดอกสร้อย บังคับคาขึ้นต้น ๔ คา โดยคาที่ ๒ ต้องเป็น เอ๋ย ส่วนคาที่ ๑
กับคาที่ ๓ ซ้าคาเดียวกัน และคาที่ ๔ เป็นคาท่ีมีความหมายรับกัน เช่น แมงมุมเอ๋ยแมงมุม เด็กเอ๋ยเด็ก
น้อย นา้ เอย๋ น้าใจ

กลอนเสภำ มักขึ้นต้นด้วยคาว่า คราน้ัน จะกล่าวถึง ในช่วงแรกของวรรคแรก
ของคากลอน เชน่ คราน้นั ขุนแผนแสนสนทิ ครานัน้ จึงโฉมเจา้ พลายแก้ว จะกล่าวถึงนางแกว้ กิริยา

กลอนเพลงพ้ืนบ้ำน บังคับขึ้นต้นบทตามลักษณะของการร้อง เช่น เพลงระบาชาวไร่
ขึ้นต้นบทว่า ระบ้าทางไหนเล่าเอ่ย เพลงพวงมาลัย ขึ้นต้นบทว่า เอ่อระเหยลอยมา เพลงพิษฐาน
ขน้ึ ตน้ บทว่า พิษฐานเอย

คำสร้อย หมายถึง คาท่ีลงท้ายบทหรือบาทของคาประพันธ์ ปรกติจะมีคาที่มี
ความหมายอยู่ข้างหน้าแต่เนื่องจากยังไม่ครบจานวนคาตามข้อบังคับ จึงต้องเติมคาสร้อยเพ่ือให้มี
จานวนคาครบและอาจเพ่ิมสาเนียง ให้ไพเราะในการอ่าน คาท่ีใช้เป็นคาสร้อยมักไม่มีความหมายใดเด่น
เช่น พอ่ แม่ พ่ี เทอญ นา นอ ฤา แล เฮย

คำลงท้ำย เป็นลักษณะบังคับของคากลอนบางชนิดซึ่งกาหนดให้ลงท้ายด้วยคาว่า เอย
เมื่อจบความ เช่น กลอนดอกสร้อยบทหน่ึงลงท้ายว่า เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย กลอนสักวาบทหนึ่ง
ลงท้ายว่า ดแู สงทองจบั ฟา้ ขอลาเอย

แผนการจดั การเรยี นรู้ ๑๘ : รังสรรคค์ าประพันธ์ (๒) 1๒9

ใบงาน
“นักคดิ พิชิตโคลงสส่ี ุภาพ”

คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนแตง่ โคลงสส่ี ุภาพ ๒ บท ให้ถกู ตอ้ งตามฉันทลกั ษณ์

แผนการจัดการเรียนรู้ ๑๙ : รงั สรรค์คาประพันธ์ (๓) 130

ใบงาน
“นกั คิด พชิ ติ โคลงสส่ี ุภาพ”

คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนแต่งโคลงสี่สภุ าพ ๒ บท ใหถ้ กู ตอ้ งตามฉนั ทลกั ษณ์

…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..

แผนการจัดการเรยี นรู้ ๒๐ : รังสรรค์คาประพนั ธ์ (๔) 1๓1

คณะผู้จดั ทำ

ท่ีปรึกษาสำนกั งานโครงการส่วนพระองคส์ มเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกมุ ารี

คณุ หญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ท่ีปรกึ ษาโครงการส่วนพระองคส์ มเดจ็ พระกนิษฐาธริ าชเจา้
นายสมเกียรติ ชอบผล กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
นางมัณฑนา ศงั ขะกฤษณ์ ประจำสำนักพระราชวังพิเศษ ระดับ ๑๐
ข้าราชการบำนาญ

ทปี่ รกึ ษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน
รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
นายอมั พร พินะสา ข้าราชการบำนาญ
นายกวนิ ทรเ์ กยี รติ นนธพ์ ละ ผู้ทรงคุณวฒุ ิ สำนักนโยบายและแผนการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
นายสุชาติ วงศ์สวุ รรณ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
นายชยั พฤกษ์ เสรรี ักษ์ ราชบัณฑติ

รองศาสตราจารย์ทศิ นา แขมมณี ทีป่ รึกษาพเิ ศษ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
นางเบญจลกั ษณ์ นำ้ ฟา้ ท่ปี รกึ ษาพิเศษ ศูนยบ์ ริหารงานการพัฒนาศักยภาพบุคคลเพ่ือความเปน็ เลิศ
นางวฒั นาพร ระงับทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ศาตราจารย์ชูกจิ ลิมปิจำนงค์ ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นนานาชาติ เซนต์ แอนดรวู ์ส กรงุ เทพ
นางศรนิ ธร วิทยะสิรนิ นั ท์ ผอู้ ำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
นางสาวรัตนา แสงบวั เผ่ือน

ที่ปรึกษากลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
คณะอกั ษรศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารยส์ ร้อยสน สกลรกั ษ์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์สมชาย สำเนียงงาม คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์บษุ บา บวั สมบรู ณ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ
ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์สรตี ปรชี าปัญญากุล คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์รัชนยี ์ญา กลิ่นน้ำหอม มหาวิทยาลัยราชภฏั เพชรบรุ ี
นายทรงฤทธ์ิ ฉมิ โหมด โรงเรียนสาธิตจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝา่ ยมธั ยม
โรงเรียนสาธติ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมธั ยม
นายสนั ติวัฒน์ จนั ทร์ใด โรงเรียนสาธติ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมธั ยม
นางสวุ ติ รา เลศิ วรรณวิทย์ ผ้อู ำนวยการสถาบนั ภาษาไทย
นางสาวสมุ ติ รา คณุ วฒั น์บณั ฑิต สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
นางสาวดวงใจ บญุ ยะภาส

-132-

คณะทำงานกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓

๑. นางสาวชนัตตา ปยุ งาม ศกึ ษานเิ ทศก์
๒. นายทศพล พูลพฒุ สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรอี ยธุ ยา
๓. นายนาทพงศ์ หนสู วสั ดิ์ ศกึ ษานเิ ทศก์
๔. นายณัฐนันท์ สาริโก สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2
๕. นางสาวธญั ญ์นรี สระทอง อาจารย์ โรงเรียนสาธิตจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ฝา่ ยมธั ยม
๖. นางสาวศุภษร นลิ นวล อาจารย์ โรงเรยี นสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ปทมุ วนั
๗. นายอนนั ต์ เตชะระ ครู โรงเรยี นบ้านแหลมรงั “ราษฎบ์ ำรงุ ”
๘. นางสาวณฐั กานต์ อยเู่ ยน็ สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาพจิ ิตร เขต 2
๙. นางสาวนสิ ากร ดษิ ฐก์ ระจนั ครู โรงเรยี นบรุ พรตั น์วทิ ยาคาร
๑๐. นางสาวปารจิ ิตร ไพเราะ สำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาพิจิตร เขต 2
๑๑. นางสาวกนกวรรณ เชื้อวงษ์ ครู โรงเรยี นบา้ นดง
๑๒. นายทรงกลด เจนจิรวรกานต์ สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาลำพูน เขต ๒
๑๓. นายสุนทร พรหมเพศ ครู โรงเรยี นวดั หนองหลุม
๑๔. นางสาวไพลิน ชศู รี สำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสพุ รรณบุรี เขต 2
๑๕. นายศภุ โชค ทยั ธษิ า ครู โรงเรยี นวัดบา้ นหนองโอ่ง
๑๖. นายอคั นิฤทธ์ิ เปรมพัฒนพนั ธ์ สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 2
ครู โรงเรยี นนวมนิ ทราชนิ ทู ศิ สตรีวทิ ยาพทุ ธมณฑล
สำนกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามธั ยมศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 1
ครู โรงเรียนราชวินติ บางเขน
สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๒
ครู โรงเรียนนวมินทราชนิ ทู ิศ บดินทรเดชา
สำนกั งานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๒
ครู โรงเรียนเขาพังไกร
สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
ครู โรงเรยี นป่าเดง็ วทิ ยา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศกึ ษาเพชรบรุ ี
นักวิชาการอสิ ระ
ชา่ งเขียนอิสระ

๑๗. นางสาวดวงใจ บุญยะภาส สถาบนั ภาษาไทย สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
๑๘. นางสาวพัชรา ตระกูลสิรพิ ันธ์ุ สถาบนั ภาษาไทย สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
๑๙. นางสาวอมราลักษณ์ วฒั นาปยิ รมย์ สถาบนั ภาษาไทย สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
๒๐. นางสาวสุชาดา สุดาชม สถาบนั ภาษาไทย สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา

-133-

ผูป้ ระสานงาน สถาบันภาษาไทย สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา
สถาบันภาษาไทย สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา
นางสาวปาริชาติ ศรจี ลุ ลา สถาบนั ภาษาไทย สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
นางสาวนัฐตยิ า จงจิตร นิสติ ฝกึ สหกิจ
นางสาวธนพร นิยมพานิช มหาวทิ ยาลยั วทิ ยาลัยนเรศวร
นางสาวศศธิ ร กล่อมจิตร นสิ ติ ฝึกสหกิจ
มหาวทิ ยาลัยวทิ ยาลยั นเรศวร
นางสาวพงษ์นภา กลอยเดช นิสิตฝกึ สหกิจ
มหาวทิ ยาลยั วิทยาลัยนเรศวร
นายบวร เหล่ือมไทย
รองผูอ้ ำนวยการสำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา
ผูร้ ับผดิ ชอบโครงการ ขา้ ราชการบำนาญ
นกั วชิ าการศึกษา
นางผาณติ ทวศี ักด์ิ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา
นางสาวพรทิพย์ ดินดี นกั วิชาการศกึ ษา
นางสาวภทั รา ด่านววิ ฒั น์ สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา
นกั วิชาการศึกษา
นางสาวอธิฐาน คงชว่ ยสถิตย์ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา
นักวิชาการศกึ ษา
นายอภศิ ักด์ิ สิทธิเวช สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา
พนักงานธรุ การ
นางสาวอจั ฉราพร เทยี งภักด์ิ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
นกั วิชาการศกึ ษา
นางสาวปรมาพร เรอื งเจรญิ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา

นางสาววศินี เขยี วเขนิ

-134-

-135-


Click to View FlipBook Version