The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียน ม. 2 ภาคเรียนที่ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียน ม. 2 ภาคเรียนที่ 2

ชุดกิจกรรมสำหรับนักเรียน ม. 2 ภาคเรียนที่ 2

ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู (สาํ หรบั นกั เรียน)
กลุม สาระการเรยี นรูภาษาไทย ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี ๒

ภาคเรียนท่ี ๒ รายวิชาภาษาไทย

ชอื่ - ชอ่ื สกลุ ......................................................................................................................เลขท.ี่ .................................
ชนั้ มัธยมศึกษาปท .ี่ ..................................โรงเรยี น.....................................................................................................

สาํ นักงานโครงการสวนพระองคส มเดจ็ พระกนิษฐาธิราชเจา
กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ (สำ�หรับนักเรยี น)

กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒
ภาคเรยี นท่ี ๒ รายวิชาภาษาไทย

ช่อื - ช่ือสกุล เลขท่ี.............................................................................................................................................................................................................

ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี โรงเรยี น.....................................................................................................................................................................................

สำ�นักงานโครงการสว่ นพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจา้
กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี



สารบัญ หนา้
1
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 5 ประสทิ ธ์ิงานประสานสามคั คี 2
แผนการจดั เรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง เรียนร้เู ขียนรายงาน 3
แผนการจดั เรียนรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง กลอนกานท์สุนทรีย์ (1) 7
แผนการจดั เรยี นร้ทู ี่ 3 เรื่อง กลอนกานทส์ ุนทรีย์ (2) 8
แผนการจัดเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง กลอนกานท์สุนทรีย์ (3) 9
แผนการจดั เรียนรู้ท่ี 5 เร่อื ง กลอนกานทส์ ุนทรีย์ (4) 10
แผนการจดั เรยี นร้ทู ี่ 6 เรื่อง วรรณคดมี ีคุณคา่ 11
แผนการจัดเรียนรู้ท่ี 7 เรื่อง คน้ หาขอ้ มลู ทารายงาน (1) 14
แผนการจดั เรยี นรทู้ ี่ 8 เรื่อง ค้นหาขอ้ มลู ทารายงาน (2) 15
แผนการจดั เรียนรู้ท่ี 9 เรื่อง คน้ หาขอ้ มลู ทารายงาน (3) 18
แผนการจดั เรยี นรทู้ ่ี 11 เรื่อง ค้นหาข้อมูลทารายงาน (5) 19
แผนการจัดเรยี นรู้ท่ี 15 เรือ่ ง ร่วมกนั ระดมสมอง (1) 29
30
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 6 เพลนิ พาที ชป้ี ระเดน็ 33
แผนการจดั เรียนรู้ท่ี 1 เรื่อง วาทะ วาที (1) 36
แผนการจดั เรียนรทู้ ่ี 2 เรือ่ ง วาทะ วาที (2) 41
แผนการจัดเรียนรทู้ ่ี 3 เรื่อง วรรณคดีบทพากย์ (1) 46
แผนการจดั เรียนรู้ที่ 4 เรอ่ื ง วรรณคดีบทพากย์ (2) 50
แผนการจดั เรียนรทู้ ี่ 5 เรอ่ื ง วรรณคดีบทพากย์ (3) 51
แผนการจดั เรียนรู้ท่ี 6 เร่ือง วรรณคดบี ทพากย์ (4) 52
แผนการจดั เรียนรทู้ ่ี 7 เร่อื ง วากยะแหง่ ราชา (1) 53
แผนการจัดเรียนรูท้ ี่ 8 เร่ือง วากยะแหง่ ราชา (2) 55
แผนการจัดเรยี นรู้ท่ี 9 เรอ่ื ง วากยะแหง่ ราชา (3) 60
แผนการจัดเรียนรทู้ ่ี 12 เรือ่ ง พิชติ ใจความ (1) 62
แผนการจดั เรียนรทู้ ี่ 13 เรื่อง พชิ ติ ใจความ (2) 65
แผนการจัดเรียนรทู้ ี่ 14 เรอ่ื ง งามคาเลือกสรร (1) 66
แผนการจัดเรยี นรทู้ ่ี 15 เรอื่ ง งามคาเลือกสรร (2)
แผนการจดั เรยี นรทู้ ี่ 16 เรื่อง งามคาเลือกสรร (3)

สารบญั (ตอ่ ) หนา้
69
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 7 สอื่ ความเห็นเน้นกระบวนการ 70
แผนการจดั เรยี นรทู้ ่ี 1 เรื่อง ชวนคดิ แสดงความคดิ เห็น (1) 73
แผนการจดั เรียนรู้ท่ี 3 เรื่อง จับประเด็นเน้นคุณค่า (1) 77
แผนการจัดเรียนรทู้ ่ี 4 เรอื่ ง จบั ประเด็นเนน้ คุณค่า (2) 78
แผนการจัดเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง จับประเดน็ เน้นคุณคา่ (3) 79
แผนการจดั เรยี นรทู้ ่ี 6 เรอ่ื ง จบั ประเด็นเนน้ คุณค่า (4) 80
แผนการจดั เรยี นรู้ที่ 7 เรอื่ ง จบั ประเด็นเน้นคุณค่า (5) 81
แผนการจัดเรียนรู้ที่ 8 เรือ่ ง จบั ประเดน็ เน้นคุณค่า (6) 82
แผนการจดั เรยี นรู้ที่ 9 เรอ่ื ง จับประเดน็ เนน้ คุณคา่ (7) 83
แผนการจดั เรยี นรู้ที่ 11 เรื่อง รอ้ ยภาษาเปน็ บทกลอน (1)

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 5
ประสทิ ธ์ิงานประสานสามัคคี

คน้ หาข้อมลู ทารายงาน เรียนรเู้ ขยี นรายงาน
กลอนกานทส์ นุ ทรีย์

วรรณคดมี คี ณุ ค่า

วิเคราะห์วจิ ารณ์สร้างสรรค์

ร่วมกันระดมสมอง
เพื่อนพอ้ งนาเสนอผลงาน

-1-

ใบความรู้
“รูปแบบและองค์ประกอบการเขียนรายงาน”

วิธีการเขียนรายงาน ฉบับสมบูรณ์ การเขียนรายงานเป็นส่วนประกอบหน่ึงในการเรียน
ของนักเรียนที่จะต้องมีการจัดวางรูปแบบและโครงสร้างของบทความให้ถูกต้อง ซึ่งการเขียน
รายงานท่ถี ูกตอ้ งควรมรี ูปแบบ ดังนี้
- ปกใส
- ปกนอก
- หน้ารองปก
- หน้าปกใน
- คานา
- สารบญั
- เนือ้ เรื่อง โดยประกอบดว้ ย บทนา สว่ นเนือ้ หา
- บทสรปุ บรรณานุกรมหรือเอกสารอา้ งอิง
- ภาคผนวก
- รองปกหลงั
- ปกใน รายละเอียดเหมอื นหนา้ ปกแตใ่ ชก้ ระดาษสีขาว
- ปกใส เหมอื นด้านหนา้

คานา
เล่าถึงวัตถุประสงค์ ทาข้ึนเพื่ออะไร รายงานเล่มน้ีมีความสาคัญอย่างไรบ้าง และขอบเขต

ของเนอ้ื หา หวงั ว่าจะเปน็ ประโยชนใ์ ห้กับผู้อ่านอยา่ งไร และไม่ควรเขียนยาวหรอื ส้นั เกนิ ไป

อ้างองิ
บอกถึงท่ีมาของเอกสารที่เก่ียวข้องกับการค้นคว้าทุกชนิด ทั้งหนังสือ อินเทอร์เน็ต

เอกสาร ขา่ ว ฯลฯ ซ่งึ การเขียนบรรณานุกรมตอ้ งเขยี นให้มีแบบแผนชัดเจน ตามรูปแบบการอ้างอิง
บรรณานกุ รมแบบต่าง ๆ เชน่

หนงั สือภาษาไทย
ผแู้ ตง่ . / / ชือ่ เร่อื ง. / / ครงั้ ที่พิมพ์. / / สถานท่พี มิ พ์ / : / สานกั พิมพ์, / / ปพี ิมพ์.

หนังสือแปล
ผู้แตง่ . / / ชื่อเรอื่ ง. / / แปลโดย ช่อื ผูแ้ ปล. / / สถานทพี่ ิมพ์ / : / สานกั พมิ พ์, / / ปพี มิ พ.์

แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 : เรียนรเู้ ขียนรายงาน 2

-2-

ใบความรู้
“บทวเิ คราะหบ์ ทเสภาสามัคคเี สวก”

บทวเิ คราะห์
อันชาติใดไร้ช่างชานาญศลิ ป์ เหมอื นนารินไรโ้ ฉมบรรโลมสงา่

คากลอนนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย แต่มักไม่ใคร่มีใครทราบว่ามาจากวรรณดีเร่ืองใดและ
ใครเป็นผู้แต่ง บทประพันธ์น้ีมาจากบทเสภาสามัคคีเสวก ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอย่หู วั ทรงพระราชนพิ นธข์ ึน้ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๗
บทเสภาสามคั คีเสวก

บทเสภาสามัคคีเสวกเป็นบทสาหรับขับอธิบายนาเร่ืองในการฟ้อนราตอนต่าง ๆ
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงอธบิ ายสาเหตุท่ที รงพระราชนิพนธ์บทเสภาชดุ นี้ ไวว้ ่า

เมื่อข้าพเจ้าออกไปพักผ่อนอิริยาบถอยู่ที่พระราชวังสนามจันทร์, ได้มีข้าราชการใน
ราชสานกั ผลดั เปล่ยี นกนั จดั อาหารเล้ยี งกันทุก ๆ วันเสาร์, และเมื่อเลี้ยงแล้วมักจะมีอะไรดูกันเล่น
อย่าง ๑ …คร้ันเมื่อจวนจะถึงคราวที่เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดีจัดเลี้ยง, เจ้าพระยาธรรมาได้
ขอใหข้ า้ พเจ้าคดิ หาการเล่นสักอยา่ ง ๑, ขา้ พเจ้าจึ่งได้คิดผกู ระบา “สามัคคีเสวก” ขึ้น ระบาที่กล่าว
นี้ได้เล่นตามแบบใหม่เป็นครั้งแรก, กล่าวคือไม่มีบทร้องเลย, มีแต่หน้าพาทย์1ประกอบกับท่าระบา
เทา่ น้นั คราวนี้ราพึงขนึ้ ว่า ในเวลาพักระหว่างตอนแห่งระบาน้ัน, คร้ันจะให้พิณพาทย์บรรเลง พิณพาทย์
นั้นก็ได้ตีเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลาที่เล่นระบา ควรให้พิณพาทย์ได้พักหายเหนื่อยบ้าง, ข้าพเจ้าจึ่ง
ตกลงแต่งบทเสภาขึน้ สาหรบั ขบั ระหวา่ งตอน

บทเสภาโดยทั่วไปมักจะแต่งเป็นเร่ืองราว เชื่อกันว่าการขับเสภาพัฒนามาจากการเล่า
นทิ าน เมื่อฟังนิทานท่ีเล่าเป็นร้อยแก้วกันจนเบ่ือ จึงมีผู้คิดแต่งนิทานให้เป็นบทกลอนคล้องจองกัน
ใชข้ ับเปน็ ลานาโดยมกี รบั ขยับใหจ้ ังหวะ บทเสภาชุดสามัคคีเสวกมีลักษณะต่างจากเสภาเร่ืองอ่ืน ๆ
คือเป็นบทเสภาขนาดส้ัน แบ่งออกเป็น ๔ ตอน แต่ละตอนมุ่งเสนอแนวคิดมากกว่าจะเป็น
การเล่าเรื่อง โดยมีความคิดสาคัญที่ผูกร้อยแต่ละตอนเข้าด้วยกันคือ ความสมาน สามัคคี
และความจงรักภักดีของข้าราชการต่อองค์พระมหากษัตริย์และต่อชาติตามชื่อของตอนท่ี ๔
ซ่งึ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงนามาเปน็ ชื่อเรื่องดว้ ย

1หน้าพาทย์ คอื เพลงประเภททีใ่ ช้บรรเลงในการแสดงกิริยาอาการเคล่ือนไหวของตัวโขนละคร หรือใช้อัญเชิญเทพเจ้า
ฤาษี หรือบรู พาจารย์ให้มารว่ มชุมนุมในพิธีมงคลตา่ ง ๆ เช่น เพลงเชิดใชใ้ นการเดนิ ทางไกล เพลงเสมอใช้ในการเดินระยะใกล้ เพลง
สาธกุ ารใชใ้ นการเรมิ่ พิธีต่าง ๆ เพลงตระใชใ้ นการบูชาและอัญเชิญเทวดามาสูพ่ ธิ ี เปน็ ตน้

แผนการจัดการเรียนรู้ 2 : กลอนกานทส์ ุนทรยี ์ (๑) 3

-3-

ใบความรู้
“บทวิเคราะห์บทเสภาสามัคคเี สวก” (ตอ่ )

บทเสภาตอนที่ 1 กิจการแห่งพระนนที มีเนื้อความกล่าวสรรเสริญพระนนทีผู้เป็นเทพ
เสวก เวลาพระอิศวรจะเสด็จไปไหน พระนนทีก็แปลงเป็นโคอุสุภราชให้ประทับ เม่ือเสร็จเทวกิจ
แล้วก็กลับเป็นเทพตามเดิม ทาหน้าท่ีรับใช้พระอิศวรอย่างขยันขันแข็ง ถือเป็นการแสดงตัวอย่าง
ของเสวกทีด่ ี เม่อื ขับเสภาจบ เป็นการแสดงระบาซึ่งมีเรื่องราวว่า ขณะที่พระอิศวรและพระอุมาจะ
เสด็จออกใหเ้ ทวดาเฝ้า ยกั ษก์ าลเนมไี ดเ้ ขา้ มากอ่ กวนไล่จบั นางฟา้ พระนนทผี ู้เป็นกรมวังจึงบัญชาให้
เหลา่ เทพเสวกช่วยกันจับยักษ์และชาระความ โดยลงอาญาตีกาลเนมีแล้วขับไป จากนั้นพระอินทร์
และจตั โุ ลกบาลจงึ ออกมาเฝ้าพระอิศวร

บทเสภาตอนท่ี ๒ กรีนิรมิต กล่าวสรรเสริญพระคเณศผู้เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาและ
เป็นผู้สร้างช้างตระกูลต่าง ๆ ในแผ่นดินเพ่ือประดับพระยศของพระมหากษัตริย์ การแสดงระบา
เริ่มต้นด้วยช้าง ๘ ตระกูลซึ่งเป็นช้างประจาทิศทั้ง ๘ ออกมาถวายบังคมพระคเณศและจับระบา
ยกั ษ์กาลเนมอี อกมาไลจ่ ับช้าง ทาใหพ้ ระคเณศโกรธ จงึ ลงไปต่อสู้กับยักษ์และขับยักษ์ไปได้ จากน้ัน
พระคเณศมอบช้างประจาแต่ละทิศให้ท้าวโลกบาลท้ัง ๘ และร่ายมนตร์สร้างพญาช้างเผือก
เมอ่ื สรา้ งเสร็จกบ็ ญั ชาใหห้ มอเฒ่าจบั ช้างเผือกและต้ังกระบวนแห่พญาช้างเผือก

บทเสภาตอนท่ี ๓ วิศวกรรมา (อ่านว่า วิด-สะ-วะ-กัน-มา) กล่าวสรรเสริญพระวิศวกรรม
ผู้เป็นเทพเจา้ แห่งการก่อสร้างและการช่างนานาชนิดและกล่าวถึงความสาคัญของศิลปะท่ีมีต่อชาติ
การแสดงระบาเริ่มต้นด้วยพระวิศวกรรมออกมารา ต่อจากนั้นนางวิจิตรเลขามาราทาท่าวาดภาพ
ถวาย และพระรูปการมาราทาท่าปั้นรูปถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสมมุติ
ให้นางวิจิตรเลขาเป็นเทพเจ้าแห่งการวาดภาพ และพระรูปการเป็นเทพเจ้าแห่งการปั้น จากน้ัน
มีการแสดงอาวุธต่าง ๆ ซ่ึงประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตงดงามและปิดท้ายด้วยระบา นพรัตน์
คืออญั มณีท้งั ๙ มาจบั ระบาราโคม

บทเสภาตอนท่ี ๔ สามัคคีเสวก กล่าวถึงการสมานสามัคคีในหมู่ราชเสวกผู้สวามิภักด์ิ
ใต้เบื้องพระยุคลบาทให้ม่ันคงในความจงรักภักดี ซ่ือตรง และขยันต่อการงาน ให้รักษาเกียรติของ
ข้าราชการอย่าให้เสื่อมเสีย การแสดงระบาเร่ิมด้วยราชเสวก ๒๘ หมู่แต่งกายเต็มยศเดินแถว
ออกมาหมู่ละ 1 คู่ เมื่อเดินสวนสนามจนครบแล้ว ทุกคนออกมาร้องเพลงแสดงความจงรักภักดี
พร้อมกนั

แผนการจัดการเรียนรู้ 2 : : กลอนกานท์สนุ ทรยี ์ (๑) 4

-4-

ใบความรู้
“บทวเิ คราะหบ์ ทเสภาสามัคคเี สวก” (ตอ่ )

วศิ วกรรมา

บทเสภาตอนท่ี ๓ ซึง่ คดั มาใหน้ กั เรียนไดศ้ ึกษาน้ี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงเร่ิมตน้ ดว้ ยการอธิบายถงึ พระวิศวกรรมว่า

ตามตารับไสยศาสตร์ประกาศไว้ ว่าในหมู่เทพไททกุ ทิศา

ผู้ชานาญหตั ถกรรมศิลปา สุดจะหาเทียมพระวศิ วกรรม

เธอฉลาดชานิชานาญในการชา่ ง ถ้วนทกุ อย่างเออื้ เฟ้อื เพ่ืออปุ ถัมภ์

บารุงแคนดินด้วยศิลปกรรม ใหแ้ ลล้าล้วนอรา่ มและงามงอน

จากนน้ั จึงกล่าวโดยละเอยี ดว่าพระวศิ วกรรมมีความเชยี่ วชาญในการช่างสาขาต่าง ๆ

สอนช่างเขียนให้เพยี รเขยี นวาดสี แบบกระหนกนารศี รีสมร

อีกกระบค่ี ชะสงา่ งอน แบบสนุ ทรจิตรการสมานรงค์

เร่ิมผูกลายลวดเลศิ ประเสรฐิ กอ่ น อรชรกา้ นก่งิ ยิง่ ประสงค์

สลับสเี พยี บเพญ็ เบญจรงค์ จดั ประจงเปน็ ภาพพไิ ลตา

อน่ึงปั้นเป็นรปู เทวฤทธิ์ ดูประหนง่ึ นริ มิตวิเลขา

ทัง้ รูปคนรปู สตั วน์ านา ประหนึ่งวา่ มชี วี ติ พศิ เพลนิ ใจ

อีกสถาปนะการชาญฉลาด ปลูกปราสาทเคหฐานท้ังนอ้ ยใหญ่

กอ่ กาแพงกาแหงรอบกรุงไกร ทา้ ประยุทธช์ งิ ชัยแห่งไพรี

สรา้ งศาสตราอาวุธรุทธก์ าแหง เพื่อใชแ้ ย้งยทุ ธากรสมรศรี

ทวยทหารได้ถือเคร่อื งมอื ดี ก็สามารถราวีอรลี าน

อน่งึ เครอ่ื งประดบั สลับแกว้ วะวับแววแกว้ ทองสองสมาน

ชา่ งประดษิ ฐค์ ดิ ประจงคงตระการ เครอื่ งสาราญนยั นาน่าพึงใจ

เป็นที่น่าสังเกตว่า เน้ือความในส่วนต้นนี้ แม้จะมุ่งกล่าวถึงพระวิศวกรรมเป็นหลัก

แตพ่ ระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัวได้ทรงแฝงความคิดสาคัญเก่ียวกับศิลปะไว้ ๒ ประเด็น

คือ ศิลปะมีคุณค่าในฐานะที่เป็น “เคร่ืองสาราญนัยนาน่าพึงใจ” และศิลปินสร้างงานศิลปะข้ึน

เพ่อื “บารงุ แดนดินดว้ ยศิลปกรรม ใหแ้ ลลาล้วนอรา่ มและงามงอน”

แผนการจัดการเรยี นรู้ 2 : กลอนกานทส์ นุ ทรยี ์ (๑) 5

-5-

ใบความรู้
“บทวิเคราะหบ์ ทเสภาสามคั คเี สวก” (ตอ่ )

บทกลอนตอนที่คัดมาให้นักเรียนอ่านมุ่งแสดงความสาคัญของศิลปะทั้งต่อปัจเจก บุคคล

และตอ่ ชาติบ้านเมือง กวไี ด้แสดงอานาจของศิลปะท่ชี กั นาใหม้ นุษย์ ไดร้ บั ความสุขผ่านบทกลอนที่ว่า

ศิลปกรรมนาใจใหส้ รา่ งโศก ช่วยบรรเทาทกุ ข์ในโลกใหเ้ หอื ดหาย

จาเริญตาพาใจให้สบาย อีกร่างกายกจ็ ะพลอยสขุ สราญ

แมผ้ ู้ใดไมน่ ยิ มชมสิ่งงาม เมอื่ ถงึ ยามเศร้าอุรานา่ สงสาร

เพราะขาดเคร่ืองระงบั ดบั ราคาญ โอสถใดจะสมานซึ่งดวงใจ

ด้วยเหตุท่ีศิลปะเป็นเครื่อง “จำเริญตำ” ซ่ึงจะ “พำใจให้สบำย” นานาประเทศจึงยกย่อง

ศิลปะวา่ เปน็ สง่ิ “ศรวี ิไลวิลำสดเี ปน็ ศรเี มือง” ชาตใิ ดไมม่ ีชา่ งผ้เู ช่ยี วชาญในการสร้างงานศิลปะประเภท

ต่าง ๆ ย่อมเป็นที่อับอายแก่เพื่อนบ้านและชาวโลก ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าชาตินั้นไม่มีความสงบสันติ

ในแง่น้ีศิลปะจึงมีความสาคัญในฐานะเป็นเคร่ืองแสดงความเจริญและแสดงเกียรติภูมิของประเทศ

พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัวทรงกระตุ้นให้ผู้อ่านผู้ฟังบทเสภานี้เกิดความภูมิใจในชาติไทย

ซ่ึงมีศิลปะอันงดงามแขนงต่าง ๆ เป็นมรดกตกทอดมา และทรงจบบทเสภาตอนนี้ด้วยการเชิญชวน

ให้ชาวไทยสนับสนุนศลิ ปนิ และวชิ าช่างไทย ใหบ้ ารงุ รักษาไว้ใหถ้ าวรสืบไป โดยทรงเน้นว่า "เราช่วยช่าง

เหมือนอย่างช่วยบ้านเมือง ใหป้ ระเทอื งเทศไทยอันไพศาล“

จากหนังสือวรรณคดีวจิ ักษ์
มัธยมศึกษาปีที่ 2 หน้า 32 - 36

แผนการจัดการเรยี นรู้ 2 : กลอนกานท์สุนทรยี ์ (๑) 6

-6-

ใบความรู้
“กลอนสุภาพ”

กลอนสุภาพ หรือ กลอนแปดเป็นคาประพันธ์อีกชนิดหน่ึงที่ได้รับความนิยมกันท่ัวไป

เพราะเป็นร้อยกรองชนิดท่ีมีความเรียบเรียงง่ายต่อการส่ือความหมาย และสามารถสื่อได้
อย่างไพเราะ ซ่งึ กลอนแปดมีการกาหนดพยางคแ์ ละสัมผัส มีหลายชนดิ แต่ท่ีนยิ มคอื กลอนสุภาพ

ลกั ษณะคาประพนั ธ์
๑. บท บทหน่งึ มี ๔ วรรค
วรรคท่ีหนง่ึ เรยี กวรรคสดับ วรรคทส่ี องเรียกวรรครับ วรรคที่สามเรียกวรรครอง
วรรคทีส่ เ่ี รียกวรรคส่ง แต่ละวรรคมีแปดคาจึงเรยี กวา่ กลอนแปด
๒. เสยี งคา กลอนทุกประเภทจะกาหนดเสียงคาท้ายวรรคเป็นสาคญั กาหนดได้ ดังน้ี
คาท้ายวรรคสดับ กาหนดให้ใช้ได้ทกุ เสยี ง
คาท้ายวรรครับ กาหนดหา้ มใชเ้ สียงสามัญกบั ตรี
คาท้ายวรรครอง กาหนดให้ใชเ้ ฉพาะเสียงสามัญกบั ตรี
คาทา้ ยวรรคสง่ กาหนดให้ใชเ้ ฉพาะเสียงสามญั กบั ตรี
๓. สมั ผัส
ก. สัมผัสนอก หรือสัมผัสระหว่างวรรค อนั เป็นสัมผสั บงั คับ มดี ังนี้
คาสดุ ทา้ ยของวรรคทหี่ น่ึง (วรรคสดบั ) สมั ผัสกบั คาทสี่ ามหรอื ท่หี ้า ของวรรคทส่ี อง (วรรค
รบั )
คาสุดท้ายของวรรคที่สอง (วรรครบั ) สัมผัสกบั คาสดุ ทา้ ยของวรรคท่ีสาม (วรรครอง) และ
คาทส่ี ามหรอื ทห่ี า้ ของวรรคทีส่ ่ี (วรรคสง่ )
สมั ผสั ระหวา่ งบทของกลอนแปด คอื คาสุดทา้ ยของวรรคทส่ี ี่ (วรรคสง่ ) เป็นคาสง่ สมั ผัส
บังคับใหบ้ ทตอ่ ไปตอ้ งรับสัมผสั ท่คี าสุดท้ายของวรรคท่สี อง (วรรครบั )
ข. สมั ผัสใน แต่ละวรรคของกลอนแปด แบ่งช่วงจังหวะออกเป็นสามชว่ ง ดงั น้ี
หนงึ่ สองสาม – หนึ่งสอง – หน่ึงสองสาม
ฉะนั้นสมั ผสั ในจงึ กาหนดได้ตามชว่ งจังหวะในแต่ละวรรคน่นั เอง ดังตวั อยา่ ง
อนั กลอนแปด– แปด คา– ประจาวรรค วางเป็นหลัก– อกั ษร– สนุ ทรศรี

แผนการจัดการเรยี นรู้ 3 : กลอนกานทส์ ุนทรีย์ (๒) 7

-7-

ใบความรู้
“บทเสภาสามคั คเี สวก ตอนวศิ วกรรมา”

อนั ชาตใิ ดไร้ศานตสิ ุขสงบ ต้องมัวรบราญรอนหาผ่อนไม่

ณ ชาตนิ ัน้ นรชนไมส่ นใจ ในกจิ ศลิ ปะวไิ ลละวาดงาม
แตช่ าตใิ ดรุ่งเรอื งเมอื งสงบ ว่างการรบอรพิ ลอนั ลน้ หลาม
ยอ่ มจานงศิลปาสงา่ งาม เพอื่ อรา่ มเรืองระยบั ประดับประดา
เหมือนนารนิ ไรโ้ ฉมบรรโลมสง่า
อนั ชาตใิ ดไรช้ ่างชานาญศลิ ป์ เขาจะพากนั เยย้ ใหอ้ ับอาย
ใครใครเห็นไม่เป็นทจ่ี าเรญิ ตา ชว่ ยบรรเทาทุกข์ในโลกให้เหอื ดหาย
ศลิ ปกรรมนาใจใหส้ รา่ งโศก อีกรา่ งกายก็จะพลอยสขุ สราญ
จาเริญตาพาใจให้สบาย เมอื่ ถงึ ยามเศร้าอรุ าน่าสงสาร
แมผ้ ้ใู ดไมน่ ิยมชมสิง่ งาม โอสถใดจะสมานซงึ่ ดวงใจ
เพราะขาดเคร่อื งระงับดับราคาญ ทกุ ประเทศนานาทั้งน้อยใหญ่
เพราะการช่างน้ีสาคัญอนั วิเศษ ศรวี ิไลวิลาสดเี ป็นศรีเมือง
จงึ ยกยอ่ งศลิ ปกรรม์น้นั ทัว่ ไป ความคดิ ขวางเฉไฉไมเ่ ข้าเรอื่ ง
ใครดถู ูกผชู้ านาญในการชา่ ง จะพูดด้วยนั้นก็เปลืองซ่ึงวาจา
เหมือนคนป่าคนไพรไมร่ งุ่ เรอื ง จงึ มชี ่างชานาญวเิ ลขา
แต่กรุงไทยศรีวิไลทนั เพื่อนบ้าน อกี ช่างสถาปนาถูกทานอง
ทงั้ ช่างปัน้ ช่างเขยี นเพยี รวิชา ช่างประดษิ ฐ์รชั ดาสงา่ ผอ่ ง
ทัง้ ช่างรปู พรรณสวุ รรณกิจ อกี ชา่ ชองเชงิ รัตนประกร
อีกชา่ งถมลายลกั ษณะจาลอง เครื่องสาอางแบบไทยสโมสร
ควรไทยเราช่วยบารุงวิชาชา่ ง อย่าให้หยอ่ นกวา่ เขาเราจะอาย
ช่วยบารุงช่างไทยให้ถาวร เปน็ หลายอย่างต่างพรรณเข้ามาขาย
อันของชาตไิ พรัชช่างจดั สรร ต้องใชท้ รพั ยส์ ุรุ่ยสุร่ายเปน็ ก่ายกอง
เราต้องซอื้ หลากหลากและมากมาย เอออานวยช่างไทยให้ทาของ
แม้พวกเราชาวไทยต้งั ใจช่วย และทาของงามงามขน้ึ ตามกาล
ชา่ งคงใฝ่ใจผูกถกู ทานอง ใหป้ ระเทอื งเทศไทยอนั ไพศาล
เราชว่ ยชา่ งเหมือนอย่างชว่ ยบา้ นเมอื ง พอไมอ่ ายเพอ่ื นบ้านจึง่ จะดี
สมเปน็ เมอื งใหญโ่ ตมโหฬาร

แผนการจดั การเรียนรู้ 4 : กลอนกานท์สนุ ทรยี ์ (๓) 8

-8-

ใบความรู้
“บทเสภาสามัคคเี สวก ตอนสามัคคเี สวก”

ประการหนึ่งพงึ คดิ ในจติ มั่น วา่ ทรงธรรมเ์ หมอื นบิดาบังเกดิ หวั
ควรเคารพยาเยงและเกรงกลวั ประโยชน์ตวั นกึ นอ้ ยหนอ่ ยจะดี
ควรนกึ วา่ บรรดาขา้ พระบาท ลว้ นเป็นราชบริพารพระทรงศรี
เหมอื นลูกเรืออยใู่ นกลางหว่างวารี มีมติ รจติ สนิทกนั
แมล้ กู เรอื เช่ือถอื ผ้เู ป็นนาย ตอ้ งมุ่งหมายชว่ ยแรงโดยแข็งขนั
คอยต้ังใจฟังบังคับกปั ปิตัน นาวาน้นั จง่ึ จะรอดตลอดทะเล

แม้ลกู เรืออวดดีมที ิฐิ และเริ่มริเฉโกยุ่งโยเส

เมอ่ื คลื่นลมแรงจดั ซัดโซเซ เรือจะเหล่มระยาคว่าไป

แมต้ า่ งคนต่างเถยี งเก่ียงแก่งแย่ง นายเรอื จะเอาแรงมาแต่ไหน

แม้ไมถ่ อื เครง่ คงตรงวินัย เมอ่ื ถงึ คราวพายใุ หญ่จะครวญคราง

นายจะสง่ั ส่งิ ใดไมเ่ ข้าจิต จะตอ้ งติดตนั ใจใหข้ ดั ขวาง

จะยงุ่ แล้วยงุ่ เล่าไมเ่ ขา้ ทาง เรอื กค็ งอับปางกลางสาคร

ถึงเสวีที่เป็นข้าฝา่ พระบบทาทเสภาสามัคคเี สวก ตอนสไมาค่มวคั รคขาีเสดวควกามสมคั รสโมสร
ในพระราชสานกั พระภธู ร เหมือนเรอื แล่นสาครสมทุ รไทย

เหลา่ เสวกตกทีก่ ะลาสี ควรคดิ ถึงหนา้ ทน่ี ัน้ เปน็ ใหญ่

รักษาตนเครง่ คงตรงวินยั สมานใจจงรักพระจกั รี

ไม่ควรเลือกท่ีรกั มักทช่ี งั สามัคคีเปน็ กาลังพลงั ศรี

ควรปรองดองในหมูร่ าชเสวี ใหส้ มท่ีร่วมพระเจา้ เราองคเ์ ดียว

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั
จากหนังสือวรรณคดวี จิ กั ษ์ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 หนา้ 39 - 40

แผนการจดั การเรียนรู้ 5 : กลอนกานท์สนุ ทรีย์ (๔) 9

-9-

ใบงาน
“คณุ คา่ วรรณคดี”

คาชีแจง ใหน้ ักเรยี นวเิ คราะห์คุณคา่ วรรณคดีเรอื่ ง บทเสภาสามัคคเี สวก

..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................

....................................................................บ......ท......เ....ส....ภ......า......ส....า......ม.....คั.....ค......เี ...ส.....ว......ก........ต......อ......น.....ส.....า......ม....ค.ั.....ค......เี ..ส......ว......ก......................................................................

..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
..................................................................

แผนการจดั การเรียนรู้ 6 : วรรณคดีมีคุณค่า 10

-10-

ใบความรู้
“ศิลปวฒั นธรรมการละเลน่ พืนบา้ น”

การละเลน่ พืนบ้าน

การละเลน่ พ้นื บา้ น หมายถึง มหรสพหรือการแสดงต่าง ๆ จัดขึ้นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงของผู้เล่น
และผู้ชม การละเล่นพื้นบ้าน หมายถึง การละเล่นที่เป็นของชาวบ้าน เกิดจากความต้องการ ความบันเทิง
ความสนุกสนานร่วมกันของคนในท้องถิ่น การละเล่นพื้นบ้านเป็นส่ิงที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ ท้ังยังช่วย
สร้างความสามัคคีให้แก่คนในแต่ละภาค การละเล่นพ้ืนบ้านมีสืบต่อกันมาช้านาน แต่มักจะไม่มีหลักฐาน
เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่ทราบท่ีมาหรือกาเนิด ลักษณะการเล่นและกติกาก็อาจเปลี่ยนแปลงแตกต่าง
กันไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ การละเล่นพื้นบ้านมีหลายรูปแบบ ท้ังการละเล่นแบบกิจกรรมร่ืนเริง เช่น
ราวง กลองยาว แอ่วซอ เซิ้ง ลิเกฮูลู ลิเกบันตน โนรา การละเล่นในลักษณะเพลงพื้นบ้านและเพลง
ปฏิพากย์ต่าง ๆ เช่น เพลงพวงมาลัย เพลงเก่ียวข้าว เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงอีแซว การละเล่นพ้ืนเมือง
ที่เป็นการแข่งขัน เช่น ว่ิงควาย ค่องอ้อย แข่งขันกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือความสนุกสนาน เช่น แข่งกินอาหาร
แขง่ รอ้ ยมาลัย เป็นตน้

ศกึ ษาคาศพั ท์
การเล่น หมายถึง การทากิจกรรมใด ๆ เพ่ือความสนุกสนาน เพลิดเพลิน การเล่นมีหลายรูปแบบ
การเล่นเป็นกีฬา เช่น เล่นฟุตบอล เล่นแบดมินตัน การเล่นเป็นการพนัน เช่น เล่นหุ้น (ไม่ใช่การพนัน
แต่เป็นการลงทุน) เล่นหวย เล่นไพ่ การเล่นของเด็กมีหลายอย่าง เช่น ต้องเต สะบ้า ตะกร้อ ตบแผละ
ตี่จับ เตย เสือข้ามห้วย ว่ิงเปี้ยว มอญซ่อนผ้า หมากเก็บ เล่นขายของ เล่นตุ๊กตา เล่นน้า การเล่นแบบ
การแสดง เชน่ เลน่ โขน เล่นละคร เลน่ หนงั เล่นดนตรไี ทย เล่นดนตรีสากล

พืนบ้าน หมายถึง ท้องถิ่น เฉพาะถ่ิน มีนัยความหมายว่าไม่ได้รับมาจากต่างถิ่น ไม่ใช่ของเจ้านาย
ของพื้นบ้านเป็นของท่ีมีอยู่หรือมีกาเนิดในท้องถิ่น เช่น สะล้อซอซึงเป็นดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ โนรา
หนังตะลุง ลิเกบันตน ลิเกฮูลู เป็นการละเล่นพ้ืนบ้านภาคใต้ อาหารพื้นบ้านภาคอีสานมีทั้งลาบ หลู้ ก้อย
แจ่ว ส้มตา ปลารา้ ปลาแดก

แผนการจดั การเรียนรู้ 7 : ค้นหาขอ้ มลู ทารายงาน (๑) 11

-11-

ใบความรู้
“ศิลปวฒั นธรรมการละเล่นพืนบ้าน” (ตอ่ )

พืนเมือง หมายถึง ท่ีมีในท้องถิ่นหรือในเมืองนั้น ๆ เช่น คนอินเดียนแดงเป็นคนพื้นเมืองใน
สหรัฐอเมรกิ า ผา้ แพรวาเปน็ ผา้ พืน้ เมอื งของชาวผู้ไท โปงลางเป็นดนตรีพ้ืนเมืองของชาวอีสาน ชาวเขาเต้น
ระบาพน้ื เมอื งอย่างสนกุ สนาน ชาวบ้านนาสินค้าพ้ืนเมืองมาขาย หัตถกรรมพ้ืนเมืองของไทยมักจะประณีต
งดงาม

พ้ืนบ้านกับพ้ืนเมือง มีลักษณะเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน เน่ืองจากเป็นส่ิงท่ีมีในท้องถิ่น แต่เมื่อใช้
คาว่าพ้ืนบ้านจะมีนัยความหมายว่าเป็นของธรรมดา ไม่มีลักษณะพิเศษใด ๆ ส่วนพ้ืนเมืองจะมีนัย
ความหมายว่า เป็นของบา้ นเมอื ง เป็นของประจาบา้ นเมือง และเป็นท่ีรู้จักของคนต่างถ่ินว่าเป็นของประจา
เมืองนั้น

เพลงปฏิพากย์ หมายถึง เพลงพ้ืนบ้านแบบท่ีมีการร้องโต้ตอบกันระหว่างชายกับหญิง เนื้อเพลง
มักเป็นการเก้ียวพาราสี ใช้ถอ้ ยคาสองแง่สองงา่ ม เช่น เพลงลาตดั เพลงฉอ่ ย เพลงโคราช เพลงปรบไก่

ราวง เป็นการเลน่ พื้นบ้านที่พัฒนามาจากการราโทน ซ่ึงเป็นการร้องราของหญิงชายเป็นคู่ ราตาม
บทเพลงที่มีทานองคึกคัก มีจังหวะเร้าใจ มีเคร่ืองดนตรี คือ โทน รามะนา ประกอบอย่างง่าย ๆ เน้ือเพลง
ราวงมเี นื้อรอ้ งส้ัน ๆ รอ้ งซ้าไปซา้ มาเพอ่ื ใหผ้ ู้ราร้องไดด้ ้วย

ท่ารา หมายถึง ท่าทางท่ีใช้มือจีบหรือแบ เคลื่อนไปมา รวมทั้งการขยับเท้า ยกเท้าก้าว
เดนิ เอยี งคอหรอื หนั หนา้ ไปตามลักษณะของท่าราท่าหน่ึง ๆ ท่ารามีช่ือต่าง ๆ เช่น เทพนม สอดสร้อยมาลา
ชกั แป้งผัดหน้า กินรนิ เลียบถา้ แขกเต้าเข้ารงั เปน็ ตน้

จากหนงั สอื วิวธิ ภาษา
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 หนา้ 113 - 114

แผนการจัดการเรียนรู้ 7 ค้นหาขอ้ มูลทารายงาน (๑) 12

-12-

ใบงาน
“การละเลน่ พ้ืนบา้ น”

คาชีแจง ให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้
๑. อธบิ ายประวัตคิ วามเปน็ มาของการละเล่นพืน้ บ้านในประเทศไทย
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
๒. ยกตวั อย่างการละเล่นพน้ื บ้านทีน่ กั เรียนรูจ้ กั มา ๑ การละเลน่ พรอ้ มท้งั อธบิ ายวิธีการเลน่

หรือเพลงประกอบการเลน่
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
๓. ระบุประโยชน์ของการละเลน่ พ้ืนบา้ นมา ๓ ขอ้
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
๔. นักเรยี นคิดว่าการละเล่นพ้ืนบา้ นของเด็กไทยสะท้อนความเปน็ ไทยอย่างไร
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................

แผนการจดั การเรยี นรู้ 7 : คน้ หาขอ้ มลู ทารายงาน (๑) 13

-13-

ใบความรู้
“วิธกี ารเกบ็ ข้อมูลการทารายงาน”

การรวบรวมขอ้ มูลเพอื่ เขยี นรายงาน แบ่งตามลักษณะข้อมูลจะแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ
ขอ้ มูลเอกสารและขอ้ มูลสนาม

๑. ข้อมูลเอกสาร (Documentary Data) เป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปเอกสาร และ หลักฐานต่าง ๆ
เป็นข้อมูลท่มี ีผ้คู ้นคว้าและบันทึกไว้แล้ว ก่อนนาไปอ้างอิงนักศึกษา ควรพิจารณาว่าข้อมูลเหล่านั้น
นา่ เชอื่ ถือเพียงใด

หนังสือนับเป็นแหล่งข้อมูลที่สาคัญ โดยทั่วไปหนังสือแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ หนังสือ
อ้างองิ และหนังสอื ประเภททว่ั ไป แต่หนงั สอื ทใ่ี ช้ในการทารายงานมกั เปน็ หนังสือประเภททว่ั ไป

หนังสืออ้างอิงเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และมีลักษณะพิเศษ
คอื มักจะเรยี งลาดบั เร่อื ง และเสนอเรื่องอย่างเป็นระเบียบ ทาให้ผู้อ่านสามารถค้นคว้าและสะดวก
และรวดเร็ว หนงั สอื อ้างอิงท่คี วรรู้จัก มดี ังน้ี

- พจนานุกรม
- สารานุกรม
- อักขรานุกรม
- หนงั สือประจาปี
- นามานกุ รม
- ดรรชนี
- บรรณานกุ รม
หนังสอื ท่ัวไป เป็นหนังสือประเภทตาราหรือเอกสารที่ใช่เอกสารอ้างอิง หนังสือประเภทน้ี
มีอยู่เป็นจานวนมาก วิธีง่ายที่สุดในการเลือกคืออ่านสารบัญว่าหนังสือเล่มน้ันมีประเด็นใดบ้าง
ท่ีตรงกบั เน้อื หาทต่ี นตอ้ งการ
๒. ข้อมูลสนาม (Field Data) เป็นข้อมูลที่ผู้ทารายงานได้มาจากการรวบรวมเองโดยตรง
การรวบรวมข้อมูลน้ีทาได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ การสังเกต การให้กลุ่มเป้าหมายตอบ
แบบสอบถาม การทดลอง ข้อมูลสนามน้ีผู้ทารายงานควรพิจารณาเองว่าวิธีใดเหมาะสมที่สุด
สาหรบั รายงานเร่ืองนัน้ ๆ เม่ือไดข้ ้อมูลมาแลว้ ก็ต้องจดบันทกึ ลงในกระดาษบันทึกข้อมลู
การจดบันทึกนิยมจดใส่กระดาษแข็ง ขนาด ๓ x ๕″ หรือ ๔ x ๖″ หรือ ๕ x ๘″ โดยผู้จด
บันทึกจะกาหนดหัวเรื่องไว้ท่ีมุมขวา และจัดเรียงตามโครงเรื่องของรายงาน ในส่วนต้น ของ
บัตรบันทึกอาจจะไม่ลงรายการไว้ท่ีมุมขวา และจัดเรียงตามโครงเรื่องของรายงาน ในส่วนต้นของ
บตั รบันทกึ อาจจะไมล่ งรายการทางบรรณานุกรมอย่างสมบูรณ์ อาจใส่เฉพาะช่ือผู้เขียน ช่ือหนังสือ
หรือเอกสาร เลขหน้า การบันทึกข้อมูลควรย่อเอาแต่ละประเด็นสาคัญ หากข้อความใดกระชับดี
แล้วอาจคดั ลอกข้อความ ทัง้ หมดลงมาใสเ่ ครื่องหมาย “…” ไวเ้ ป็นท่สี ังเกต

แผนการจดั การเรยี นรู้ 8 : คน้ หาขอ้ มลู ทารายงาน (๒) 14

-14-

ใบความรู้
“การเขียนรายงาน”

ส่วนประกอบของรายงานการศึกษาค้นควา้
ส่วนประกอบตอนต้น เป็นส่วนท่ีแสดงหัวข้อการค้นคว้าและอธิบายเนื้อหาโดยสังเขป

ประกอบดว้ ย
๑. ปกนอก ระบุชื่อเร่ือง ชื่อผู้ศึกษา ช่ือรายวิชา หลักสูตร สังกัดสถานศึกษา

ภาคเรียนและปกี ารศกึ ษา
๒. ใบรองปก คือกระดาษเปลา่ ที่คน่ั ระหวา่ งปกนอกและปกใน
๓. ปกใน ให้รายละเอียดเชน่ เดยี วกับปกนอก
๔. คานา เป็นสว่ นท่กี ล่าวเกริ่นหรอื แนะนาประเดน็ เนอื้ หาท่ีศึกษาในรายงาน
๕. สารบัญ กล่าวถึงรายละเอียด ประเด็นหัวข้อในการศึกษาในแต่ละบท

และระบุหมายเลขหน้าของหวั ข้อนั้น ๆ
๖. บัญชีตารางหรือบัญชีภาพประกอบ รายงานบางเรื่องมีตารางหรือ

ภาพประกอบท่ีทาให้เนื้อหาน้ันสมบูรณ์ยิ่งข้ึน ซึ่งอาจมีหลายตารางหรือหลายภาพ ซ่ึงควรจัดทา
สารบญั หรอื บัญชตี าราง และภาพประกอบในหน้าท่ีอยถู่ ัดจากสารบญั

ส่วนเนือหา เป็นส่วนที่สาคัญท่ีสุดของรายงาน เพราะเป็นส่วนนาเสนอวิธีการและผลของ
การศกึ ษาทง้ั หมด ประกอบดว้ ย

๑. บทนา เป็นส่วนท่ีกล่าวความสาคัญหรือสาเหตุในการศึกษา ตลอดจน
วตั ถปุ ระสงค์ ขอบเขต ขัน้ ตอน วธิ กี ารและประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะไดร้ บั จากรายงาน

๒. เน้ือหา เป็นส่วนการนาเสนอ โดยส่วนใหญ่มักจะแบ่งออกเป็นบท ๆ
ตามความยาวของเนอ้ื หา โดยแบ่งเป็นประเดน็ ใหญ่ ประเด็นย่อยของเรอ่ื งให้ชดั เจน

๓. สรุป คือส่วนท่ีสรุปผลการศึกษา อาจมีการอภิปรายหรือข้อเสนอแนะ
ในประเด็นการศกึ ษาเรื่องทส่ี ามารถศกึ ษาตอ่ ยอดจากการศึกษาคร้งั ท่ีนาเสนอนี้

๔. เชงิ อรรถ คือขอ้ ความท่ีอยู่ท้ายหน้า ท้ายบทหรืออ้างแทรกในเนื้อหา เพื่อบอก
แหล่งท่ีมาของข้อความท่ีใช้ยกมากล่าวถึง หรืออธิบายขยายความเน้ือหาท่ีเรียบเรียงไว้ในหน้า
เดยี วกัน

ส่วนประกอบตอนทา้ ย เปน็ ส่วนทใ่ี ห้รายละเอียดเกย่ี วกับการอา้ งอิง ดังนี้
บรรณานกุ รม หมายถึง รายชื่อหนังสือ เอกสาร โสตทัศนูปกรณ์ ผู้ให้สัมภาษณ์ท่ี

ใช้อ้างอิงในการทารายงาน สาหรับหลักการเขียนรายละเอียดการเขียนอ้างอิงแบบบรรณานุกรม
ท่วั ไปแล้ว มีรายละเอยี ดดงั นี้

แผนการจดั การเรียนรู้ 9 : ค้นหาข้อมูลทารายงาน (3) 15

-15-

ใบความรู้
“การเขียนรายงาน” (ตอ่ )

หนงั สือ
ชือ่ ผู้แต่ง. (ปีท่ีพมิ พ)์ . ช่อื หนังสือ (ครงั ทพ่ี ิมพ์). เมอื งทพี่ มิ พ์ : สถานที่พมิ พ.์

สารสนเทศอิเลก็ ทรอนิกส์
ช่อื ผแู้ ตง่ . (ปีทีจ่ ดั ทา). ช่อื บทความ. วัน เดือน ปี ท่ีสบื ค้น, แหล่งท่ีสบื ค้น.
๒. ภาคผนวก คอื เนื้อหาสว่ นประกอบท่แี ม้มิใชเ่ น้ือเร่ืองโดยตรง แตม่ คี วาม

เก่ียวขอ้ งกับการศึกษาคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ หรืออาจเปน็ ส่วนทผ่ี ู้ศึกษาเรยี บเรียงข้อมูลบางอยา่ งทผ่ี ู้อ่าน
ควรทราบ แต่ไมส่ ามารถใส่ไว้ในเนอื้ เร่อื งได้ เพราะเนื้อหาไม่สอดคล้องกัน

แผนการจัดการเรยี นรู้ 9 : ค้นหาขอ้ มลู ทารายงาน 3) 16

-16-

ใบงาน
“สบื ค้นเขียนรายงาน”

ประเด็นการลงพนื ที่เก็บข้อมูลในท้องถน่ิ
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................

แผนการจัดการเรียนรู้ 9 : ค้นหาขอ้ มลู ทารายงาน (๓) 17

-17-

ใบงาน
“ขอ้ มูลการลงพืน้ ท่ี” (ต่อ)

ข้อมูลในการลงพนื ที่
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................

แผนการจัดการเรียนรู้ 11 : ค้นหาขอ้ มลู ทารายงาน (๕) 18

-18-

ใบความรู้
“รายงานการประชมุ ”

รายงานการประชุม

๑. รายงานการประชุม หมายถึง บันทึกความคิดเห็นของผู้มาประชุม ผู้เข้าร่วมประชุม
และมติของที่ประชุมท่ีทาไว้เป็นหลักฐาน ทุกครั้งท่ีมีการประชุมฝ่ายเลขานุการมีหน้าท่ีรับผิดชอบจัดทา
รายงานการประชุม

๑) รายงานการประชุม ให้ลงช่ือคณะท่ีประชุม คือ ระบุว่าเป็นการประชุมของคณะกรรมการใด
เช่น รายงานการประชมุ คณะกรรมการชมรมอนรุ ักษ์ส่งิ แวดล้อม โรงเรยี นศึกษาวทิ ยา

๒) ครังท่ี ให้ลงคร้ังที่ท่ีประชุมเป็นรายปี โดยเริ่มคร้ังแรกจากเลข ๑ เรียงลาดับไปจนส้ินปีปฏิทิน
ทับเลขปีพุทธศักราชท่ีประชุม เม่ือขึ้นปีปฏิทินใหม่ให้เริ่มครั้งที่ ๑ ใหม่ เรียงไปตามลาดับ เช่น ครั้งที่ ๑/
๒๕๕๓ หรือจะลงจานวนคร้ังท่ีประชุมทั้งหมดของคณะท่ีประชุมหรือการประชุมน้ัน ประกอบกับคร้ังที่
ประชมุ เป็นรายปีก็ได้ เชน่ คร้งั ที่ ๒๐๕-๑/๒๕๕๓ เป็นต้น

๓) วัน เดือน ปีท่ีประชุม ให้ลงวันที่พร้อมตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลข
ของปีพุทธศักราช เช่น เม่ือวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๓

๔) สถานท่ีประชุม ใหร้ ะบหุ ้องท่ใี ช้ประชุมและอาคารท่ใี ชป้ ระชมุ

๕) ผู้มาประชุม ให้ลงชื่อและ/หรือตาแหน่งของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะท่ีประชุมซึ่งมา
ประชุม ในกรณีท่ีเป็นผู้ได้รับการแต่งต้ังเป็นผู้แทนหน่วยงาน ให้ระบุว่าเป็นผู้แทนจากหน่วยงานใด
ในฐานะท่ีดารงตาแหน่งใดของคณะท่ีประชุมหรือการประชุมน้ัน ในกรณีท่ีเป็นผู้มาประชุมแทน ให้ลงชื่อ
ผู้มาประชมุ แทนและลงด้วยว่ามาประชมุ แทนผูใ้ ดตาแหน่งใดหรือแทน ผ้แู ทนหนว่ ยงานใด

๖) ผู้ไม่มาประชุม ให้ระบุช่ือและ/หรือตาแหน่งของผู้ท่ีได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะที่ประชุม
ซึ่งมไิ ด้มาประชุม โดยระบุใหท้ ราบวา่ เป็นผแู้ ทนจากหนว่ ยงานใด พร้อมทง้ั ใหเ้ หตุผลที่ไม่สามารถมาประชุม

๗) ผู้เข้าร่วมประชุม ให้ระบุชื่อและ/หรือตาแหน่งของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะที่ประชุม
ซึ่งได้เขา้ ร่วมประชมุ ถา้ มีหนว่ ยงานทสี่ งั กัด ใหร้ ะบุด้วย

แผนการจัดการเรียนรู้ 15 : รว่ มกันระดมสมอง (๑) 19

-19-

ใบความรู้
“รายงานการประชมุ ” (ต่อ)

๘) เริม่ ประชมุ เวลา ให้ลงเวลาท่ีเริม่ ประชมุ
๙) ขอ้ ความ ใหบ้ นั ทึกขอ้ ความท่ปี ระชุม โดยปรกติเริ่มด้วยประธานกล่าวเปิดประชุม เร่ืองที่
ประชุมรวมทงั มติหรอื ขอ้ สรุปของทีป่ ระชมุ ในแตล่ ะเรือ่ งซ่ึงประกอบด้วยหัวขอ้ ต่าง ๆ ดงั น้ี

(๑) เรอื่ งทป่ี ระธานแจง้ ใหท้ ี่ประชมุ ทราบ
(๒) เรอื่ งรับรองรายงานการประชุม
(๓) เร่อื งท่ีเสนอใหท้ ่ีประชมุ ทราบ
(๔) เรอื่ งท่ีเสนอให้ที่ประชมุ พิจารณา
(๕) เรื่องอืน่ ๆ (ถา้ มี)
๑๐) เลกิ ประชุมเวลา ให้ลงเวลาที่เลิกประชุม
๑๑) ผบู้ ันทกึ รายงานการประชมุ ให้เลขานกุ ารหรอื ผทู้ ่ไี ด้รบั มอบหมายให้บันทกึ รายงานการ
ประชมุ ลงลายมือชื่อพร้อมทั้งพมิ พช์ ื่อเต็ม และนามสกุลไว้ใต้ลายมือชื่อในรายงานการประชมุ คร้งั น้นั ด้วย

การบันทกึ รายงานการประชมุ อาจทาได้ ๓ วธิ ี
๑. บนั ทกึ รายละเอียดทกุ คาพดู ของกรรมการ หรอื ผู้เข้าร่วมประชมุ ทุกคน
๒. บันทึกย่อคาพูดท่ีเป็นประเด็นสาคัญของกรรมการหรือผู้เข้าร่วมประชุมอันเป็นเหตุผลนาไปสู่
มติของทป่ี ระชุมพร้อมดว้ ยมติ
๓. บนั ทึกแต่เหตุผลกบั มติของทีป่ ระชุม

การบันทึกรายงานการประชุมโดยวิธีใดน้ัน ให้ที่ประชุมนั้นเป็นผู้กาหนด หรือให้ที่ประชุม
ปรึกษาหารอื กันและกาหนดเปน็ แนวปฏิบตั กิ ไ็ ด้

การรับรองรายงานการประชุมอาจทาได้ ๓ วิธี
๑. รับรองในการประชุมคร้งั นั้น ใชส้ าหรบั กรณเี ร่ืองเรง่ ด่วน ใหป้ ระธานหรือเลขานกุ ารของที่
ประชุม อา่ นสรปุ มติให้ท่ีประชมุ พิจารณารับรอง
๒. รับรองในการประชุมครงั้ ตอ่ ไป ประธานหรอื เลขานุการ เสนอรายงานการประชุมครงั้ ท่แี ล้วมา
ใหท้ ปี่ ระชมุ พจิ ารณารบั รอง

แผนการจัดการเรยี นรู้ 15 :ร่วมกนั ระดมสมอง (๑) 20

-20-

ใบความรู้
“รายงานการประชุม” (ต่อ)

๓. รับรองโดยการแจ้งเวียน ใช้ในกรณีท่ีไม่มีการประชุมคร้ังต่อไป หรือมี แต่ยังกาหนดเวลา
ประชุมครั้งต่อไปไมไ่ ด้ หรอื มีระยะเวลาหา่ งมากจากการประชุมคร้ังนน้ั ให้เลขานุการส่งรายงานการประชุม
ไปใหบ้ คุ คลในคณะกรรมการพจิ ารณารับรองภายในระยะเวลาทกี่ าหนด

แผนการจัดการเรียนรู้ 15 : ร่วมกันระดมสมอง (๑) 21

-21-

ใบความรู้
“รายงานการประชุม” (ตอ่ )

รายงานการประชมุ มรี ูปแบบดงั นี้

รายงานการประชมุ ………………………
คร้งั ท่ี………………

เม่อื …………………………………………….
ณ……………………………………………….

-----------------------------------

ผมู้ าประชมุ
ผ้ไู มม่ าประชมุ (ถ้าม)ี
ผเู้ ข้ารว่ มประชมุ (ถา้ ม)ี
เริม่ ประชุมเวลา…
ระเบียบวาระท่ี ๑ เรอ่ื งท่ปี ระธานแจง้ ให้ทป่ี ระชมุ ทราบ
……………………………………………………………………………………………………………………….……………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………….........
ระเบียบวาระท่ี ๒ เรื่องรับรองรายงานการประชมุ
……………………………………………………………………………………………………………………….……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………

ระเบียบวาระท่ี ๓ เรื่องท่เี สนอให้ทีป่ ระชุมทราบ
……………………………………………………………………………………………………………………….……………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....

ระเบยี บวาระท่ี ๔ เรอื่ งที่เสนอให้ทป่ี ระชุมพิจารณา
……………………………………………………………………………………………………………………….……………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....

ระเบียบวาระที่ ๕ เรื่องอ่ืน ๆ (ถา้ ม)ี
……………………………………………………………………………………………………………………….……………………

เลกิ ประชุมเวลา… 22
แผนการจดั การเรยี นรู้ 15 : ร่วมกนั ระดมสมอง (๑)

-22-

สถานการณจ์ าลองการประชุมตามใบทคอว่าานมขร้าู้งตน้ เลขานุการคณะกรรมการการประชมุ
อาจจดั ทาเป็นรายงานการป“ระรชาุมยดงังาตนัวกอยา่ารงปตร่อะไปชนมุ ี้” (ตอ่ )

รายงานการประชุมคณะกรรมการชมรมอนุรักษส์ งิ่ แวดลอ้ ม โรงเรียนศึกษาวทิ ยา
ครงั้ ท่ี ๒/๒๕๖๔

เม่ือวันท่ี ๑๔ มถิ ุนายน ๒๕๖๔
ณ หอ้ งประชุมชมรมอนุรกั ษ์ส่ิงแวดล้อมชั้น ๒ อาคาร ๑

ผมู้ าประชุม สมหวงั ประธานกรรมการ
๑. นายมารตุ รณรงค์ กรรมการ
๒. นางสาวพรทพิ ย์ เจรญิ สุข กรรมการ
๓.นางสาวนุจรี ดีมาก กรรมการ
๔. นายนพพร ไพศาลศลิ ป์ กรรมการ
๕. นายกนก สิริภิญโญ กรรมการ
๖. นางสาวจันทรา ทรพั ย์ยงิ่ กรรมการและเลขานุการ
๗. นางสาวฤดี

ผูไ้ มม่ าประชุม ลากิจ
นายกติ ตพิ งศ์ กอ่ เกิดยศ

ผ้เู ข้ารว่ มประชมุ อาจารยท์ ปี่ รกึ ษาชมรม
นายทรงพล ขจรเกียรติ

เรม่ิ ประชุมเวลา ๑๕.๐๐ น.

ประธานกล่าวเปิดประชุมแล้วดาเนนิ การประชุมตามวาระตอ่ ไปน้ี

ระเบยี บวาระท่ี ๑ เร่อื งทปี่ ระธานแจง้ ให้ที่ประชุมทราบ

ประธานแจ้งใหท้ ่ปี ระชุมทราบว่านายกิตตพิ งศ์ กอ่ เกดิ ยศ ขอลากิจ

ระเบียบวาระท่ี ๒ เร่ืองรบั รองรายงานการประชมุ

ท่ปี ระชมุ รับรองรายงานการประชมุ ครง้ั ท่ี ๑/๒๕๖๔ โดยไม่มีการแกไ้ ข

แผนการจัดการเรยี นรู้ 15 : ร่วมกนั ระดมสมอง (๑) 23

-23-

ใบความรู้
“รายงานการประชุม” (ต่อ)

ระเบยี บวาระที่ ๓ เรอ่ื งทีเ่ สนอให้ทปี่ ระชุมทราบ

ประธานเสนอให้ท่ีประชุมทราบว่า ในการประชุมคร้ังที่ ๑/๒๕๖๔ ชมรมฯ วางแผนและกาหนด
รูปแบบการจัดกิจกรรมรณรงค์โรงเรียนปลอดขยะในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมเป็นเวลา ๑ สัปดาห์
เน่ืองจากโรงเรียนเห็นความสาคัญของกิจกรรมนี้ จึงให้ชมรมฯ จัดกิจกรรมรณรงค์ปลอดขยะเป็นเวลา ๑
เดือน คอื ตลอดเดือนสิงหาคม

ทปี่ ระชมุ รบั ทราบ

ระเบยี บวาระท่ี ๔ เรื่องทเ่ี สนอใหท้ ี่ประชมุ พิจารณา

ประธานขอให้ที่ประชุมพิจารณาปรับรูปแบบการจัดกิจกรรม ที่ประชุมพิจารณาจัดกิจกรรม
เพิ่มข้ึน จากเดิมซึ่งมีเพียง ๓ กิจกรรม คือ ๑. ประกวดห้องเรียนสะอาด ๒. จัดประกวดวาดภาพโรงเรียน
ในฝัน ๓. ร่วมกันเก็บขยะบริเวณโรงเรียน ที่ประชุมมีมติให้เพ่ิมกิจกรรมประกวดสุนทรพจน์อีกกิจกรรม
หนง่ึ และเพิม่ เวลาการประกวดหอ้ งเรียนสะอาดและรว่ มกันเก็บขยะเป็นตลอดเดือนสิงหาคมตามข้อเสนอ
ของโรงเรยี น หลังจากน้นั ทปี่ ระชมุ พจิ ารณากาหนดรปู แบบกาหนดการและคณะทางานในการจัดกิจกรรม
สรปุ ผลตามเอกสารทแ่ี นบทา้ ยรายงานน้ี

การประชุมครั้งนี้อาจารย์ที่ปรึกษาได้ให้ข้อคิดว่าการทางานจะสาเร็จด้วยดี คณะกรรมการ ฯ
ต้องทางานร่วมกันเป็นคณะ และขอให้ดาเนินการอย่างประหยัด ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ใด
ขอให้ปฏบิ ตั ิหน้าท่ดี ว้ ยความรบั ผดิ ชอบเตม็ กาลังความสามารถของตน

ทีป่ ระชมุ รบั ทราบ
ประธานนัดหมายการประชุมคร้ังต่อไปในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น.
ณ หอ้ งประชมุ ชมรมอนรุ กั ษ์สงิ่ แวดล้อมช้ัน ๒ อาคาร 1

เลิกประชมุ เวลา ๑๖.๓๐ น.

ฤดี ทรพั ยย์ ง่ิ
(นางสาวฤดี ทรพั ย์ยิ่ง)
ผบู้ ันทึกรายงานการประชุม

แผนการจัดการเรียนรู้ 15 :ร่วมกันระดมสมอง (๑) 24

-24-

ใบความรู้
“รายงานการประชมุ ” (ต่อ)

การทารายงานการประชุมต้องให้เป็นลาดับขั้นตอน ใช้ภาษาท่ีสั้น ง่ายกะทัดรัด และถูกต้องตาม
มติของการประชุม บันทึกสาระสาคัญให้ครบถ้วน และต้องเขียนให้แจ่มแจ้งปราศจากข้อสงสัย มิฉะนั้น
อาจเกดิ การโตแ้ ยง้ ขึน้ ภายหลังได้
ความรู้เกีย่ วกับการประชุม

จดุ มงุ่ หมายของการประชุม
การประชุมทาให้ผู้ร่วมประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและแสดงความคิดเห็นในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงหรือ
กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งท่ีจะดาเนินการต่อไป เพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่ดีท่ีสุดโดยเล็งเห็นผลของกิจกรรม
เพ่ือประโยชน์ส่วนรวมเป็นท่ีต้ัง ในสังคมประชาธิปไตยควรหาข้อยุติในลักษณะของการร่วมกันคิดและ
ร่วมกันอภิปรายโดยใช้ข้อมูลอย่างรอบด้าน มีการพิจารณาเหตุผลของแต่ละฝ่ายด้วยความเป็นธรรม
ข้อเสนอของฝ่ายใดมีเหตุผลและมีความเป็นไปได้มากกว่าก็จะนาไปปฏิบัติต่อไป และเม่ือได้ลงมติเพื่อ
ดาเนินการอย่างใดอย่างหน่ึง ผู้เข้าประชุมต้องยอมรับมติของที่ประชุม ไม่นาความคิดเห็นท่ีไม่ตรงกันมา
เป็นข้อขัดแย้งให้เกิดความบาดหมางกันในภายหลัง การแก้ปัญหาหรือหาข้อสรุปอาจจะมีความขัดแย้ง
เกิดขึ้นได้ เนื่องจากผู้เข้าประชุมแต่ละบุคคลมีภูมิหลังของครอบครัวการศึกษาและวิธีคิดท่ีเป็นของตนซึ่ง
อาจจะต่างกนั การใช้อารมณ์หรือยึดความคิดของตนเป็นใหญ่จะทาให้เกิดความบาดหมางกัน จึงควรรู้จัก
ข่มใจของตนให้มีความอดทน อดกล้ัน ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นโดยคานึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม
เปน็ สาคญั

แผนการจัดการเรยี นรู้ 15 : ร่วมกันระดมสมอง (๑) 25

-25-

ใบความรู้
“รายงานการประชมุ ” (ตอ่ )

คาศัพท์ทเี่ กีย่ วข้องกับการประชมุ

การประชุมทุกรูปแบบทั้งการประชุมเฉพาะกลุ่มและการประชุมสาธารณะ มีบุคคล
ที่เกี่ยวข้องหลายฝา่ ย มคี าศัพทเ์ ฉพาะทีส่ าคญั ๆ ดงั นี้

ผู้จัดประชุม คือ ผู้ริเริ่มให้เกิดการประชุมข้ึน เป็นผู้กาหนดเรื่องประชุม กาหนดจุดมุ่งหมาย
และขอบเขตของงาน แต่งต้ังกรรมการ บันทึกผลการประชุม เป็นต้น ผู้จัดประชุมอาจเป็นหน่วยงาน
สถาบัน สมาคม ชมรม

ผู้มาประชุม หมายถึง ผู้ได้รับแต่งต้ังเป็นคณะที่ประชุม และผู้มาประชุมแทนผู้ใด
หรือตาแหน่งใดในคณะท่ีประชุม ผู้มาประชุมแทนมีสิทธิ์อภิปรายเสนอความคิดเห็นให้ที่ประชุม
พจิ ารณาและมสี ิทธิ์ลงมตหิ ากไดร้ บั อนญุ าต

ผ้เู ข้ารว่ มประชุม หมายถึง ผทู้ ่ีมิไดร้ ับการแตง่ ตั้งเป็นคณะทป่ี ระชมุ ซงึ่ ได้เข้าร่วมประชุม อาจ
เป็นผู้ขอเข้าสังเกตการณ์การประชุม ซึ่งผู้จัดการประชุมอนุญาต ผู้สังเกตการณ์ อาจแสดงความ
คดิ เห็นในท่ีประชมุ ได้ แต่จะไม่มีสิทธ์ิลงมติ

องค์ประชุม หมายถึง จานวนผู้มาประชุมตามท่ีข้อบังคับได้ตราไว้ว่าต้องมีอย่างน้อยก่ีคนจึง
จะเปิดประชุมและดาเนนิ การประชมุ ได้ ถา้ ผูม้ าประชุมยังมาไมค่ รบตามจานวนที่กาหนดไว้ ก็ถือว่ายัง
ไมค่ รบองค์ประชมุ การประชุมจะดาเนินไปไมไ่ ด้ ในกรณที ี่ไม่มีข้อบังคับกาหนดไว้ มักจะถือว่าต้องมีผู้
มาประชุมไมน่ ้อยกวา่ กึ่งหนง่ึ จึงจะครบองคป์ ระชุม

ในขณะทีก่ าลงั ประชมุ อยู่ ถ้ามีผ้อู อกจากที่ประชมุ ไปจนเหลือผู้มาประชุมไมค่ รบองคป์ ระชมุ
การประชุมก็จาเปน็ ต้องยุตลิ ง

ท่ีประชุม หมายถึง กรรมการท้ังหมดที่เข้าประชุมและอยู่ในห้องประชุมขณะที่การประชุม
ดาเนนิ อยู่

เรือ่ งที่ประชุมหรอื ญัตติ หมายถึง ข้อเสนอท่กี าหนดใหท้ ีป่ ระชมุ พจิ ารณา

แผนการจัดการเรียนรู้ 15 : รว่ มกนั ระดมสมอง (๒) 26

-26-

ใบความรู้
“รายงานการประชุม” (ตอ่ )

มติ หมายถึง ข้อตกลงของที่ประชุมให้ดาเนินการอย่างหน่ึงอย่างใดซ่ึงจะต้องปฏิบัติต่อไป
มติของที่ประชุมอาจเป็นมติโดยเอกฉันท์ หมายความว่าผู้มาประชุมเห็นพ้องต้องกันทุกคน หรือมติ
โดยเสยี งขา้ งมาก หมายความวา่ ผ้มู าประชมุ ส่วนใหญ่เห็นดว้ ยกบั ข้อตัดสินนน้ั มีผู้มาประชุมส่วนน้อย
ท่ีไม่เหน็ ดว้ ย

ตาแหนง่ หน้าท่ีของผเู้ ข้าประชมุ
ในการประชุมผูเ้ ข้าประชุมจะมีตาแหน่งหน้าท่ีในการประชุม ผู้ที่เข้าประชุมควรปฏิบัติตนให้
ถกู ต้องตามตาแหนง่ และหนา้ ท่ีของตน ดงั น้ี

ประธาน คอื ผทู้ าหนา้ ท่ีควบคุมการประชมุ ใหด้ าเนนิ ไปตามหัวขอ้ และวาระทีว่ างไว้ และเปดิ
โอกาสใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มประชุมแสดงความคดิ เหน็ ให้ข้อเสนอแนะหรอื อภปิ รายร่วมกนั อยา่ งกวา้ งขวาง

รองประธาน คือ ผ้ทู าหน้าทแี่ ทนประธานเมอ่ื ประธานไม่อยู่
กรรมการ คือ ผทู้ าหน้าทพ่ี จิ ารณาเรอ่ื งที่อยูใ่ นวาระการประชุมและเสนอความคดิ เห็นที่มี
เหตผุ ล และเปน็ ประโยชนต์ ่อการประชมุ

เลขานุการ คือ ผู้ทาหน้าท่ีจัดเร่ืองที่จะประชุมโดยความเห็นชอบของประธาน ส่งจดหมาย
เชญิ ประชุม เตรยี มสถานที่ และเอกสารที่ใช้ในการประชุม บันทึกและทารายงานการประชุม และจัด
อานวยความสะดวกต่าง ๆ ในการประชุม เลขานุการไม่มีสิทธ์ิแสดงความคิดเห็นและลงมติในที่
ประชมุ ยกเว้นดารงตาแหนง่ กรรมการรว่ มดว้ ย

ผชู้ ว่ ยเลขานุการ คอื ผทู้ าหนา้ ท่ชี ว่ ยงานต่าง ๆ ของเลขานุการ

ภาษาทีใ่ ช้ในการประชุม
ประธานต้องกล่าวกับที่ประชุมโดยใช้ศัพท์ในการประชุมให้ถูกต้องและต้องให้เกียรติผู้เข้า

ประชุม ผู้เข้าประชุมต้องพูดเสนอความคิดเห็นต่อประธานในที่ประชุม ไม่เสนอความคิดเห็นหรือพูด
โต้ตอบกนั เองในระหวา่ งการประชุม การพูดกับประธานทาให้การประชุมเป็นระเบียบ ไม่สับสน และ
ลดความขัดแย้งระหว่างผู้เข้าประชุม เม่ือมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ผู้เข้าประชุมควรใช้คาที่สุภาพ
เพราะถ้อยคาภาษาทส่ี ุภาพจะช่วยทาให้เกดิ บรรยากาศฉนั มิตรในการประชมุ นัน้ เช่น

แผนการจัดการเรียนรู้ 15 : รว่ มกนั ระดมสมอง (๒) 27

-27-

ใบความรู้
“รายงานการประชมุ ” (ตอ่ )

ผมเหน็ ดว้ ยกับที่ท่านเสนอครบั
ขอใหฟ้ งั ประธานพดู ให้จบก่อนนะครบั
กรณุ าดูรายงานการประชุมในหนา้ หนง่ึ ครับ
ขอบคุณครบั ท่ีเสนอความคิดเห็นในการประชุมครั้งน้ี
ขอความกรุณาปดิ โทรศัพท์มอื ถอื ด้วยครับ

มารยาทในการประชมุ
ผูเ้ ข้าประชมุ ตอ้ งรักษามารยาทในการประชมุ คอื
๑. เข้าประชมุ ทุกคร้งั ถ้าเข้าประชมุ ไม่ได้ควรแจง้ ให้เลขานุการทราบลว่ งหน้า พรอ้ มแจง้ เหตผุ ล
ทีไ่ มเ่ ขา้ ร่วมประชมุ
๒. ควรมาก่อนเวลาท่ีประธานจะมาถงึ ที่ประชุมเลก็ น้อย และไมค่ วรออกจากทปี่ ระชมุ กอ่ นเวลา
เลกิ ประชมุ
๓. การแสดงความคิดเหน็ ต้องใช้คาพูดที่สุภาพ ไม่ใชถ้ อ้ ยคารนุ แรง หยาบคาย หรอื กริ ยิ าอาการ
ก้าวร้าว ไมพ่ ดู แทรกขณะทผี่ ู้อนื่ กาลงั พูดอยู่ ต้องร้จู ักควบคมุ อารมณท์ ีไ่ ม่พงึ ประสงค์ ยอมรับฟงั ความ
คดิ เหน็ ของผู้อ่นื แม้จะแตกต่างไปจากความคิดเหน็ ของตน
๔. ขณะประชุมไมพ่ ูดคุยกนั เอง ไมใ่ ช้โทรศัพท์มือถือหรือทางานอน่ื
๕. หากตอ้ งการบันทกึ ภาพ ไม่ควรรบกวนท่ปี ระชมุ

จากหนงั สอื วิวิธภาษา
มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 หนา้ 142 - 151

แผนการจดั การเรียนรู้ 15 : รว่ มกันระดมสมอง (๒) 28

-28-

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6
เพลินพาทชี ปี ระเดน็

วรรณคดีบทพากย์ วาทะ วาที
คุณค่าและขอ้ คิด วากยะแหง่ ราชา
งามคาเลือกสรร พชิ ติ ใจความ
หรรษาพาที

-29-

ใบความรู้
“ความรเู้ กีย่ วกับการพดู ”

ความรู้เก่ยี วกับการพดู

การพูดมีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตประจาวันของคนเรา เราต้องพูดจาสื่อสารกับคนที่แวดล้อม
ใกล้ตัว เช่น พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ครูอาจารย์ คนท่ีต้องพบปะเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในกิจกรรมการเรียน
การงานอาชีพ และวิถีทางดาเนินชีวิตในแต่ละวัน เช่น คนขายของ คนเก็บเงินค่าโดยสารรถประจาทาง คนเก็บ
ขยะ บุรุษไปรษณีย์ และอ่ืน ๆ การพูดกับคนที่แวดล้อมใกล้ตัว อาจมีเร่ืองราวที่หลากหลายทั้งมีสาระและไม่มี
สาระ เรือ่ งพดู คยุ เล่าสูก่ นั ฟัง เร่ืองการแสดงความคดิ ความเห็นเกี่ยวกับส่ิงที่ประสบพบเห็น ซึ่งอาจสอดคล้อง
ไปในแนวทางเดียวกันหรือขัดแย้งต่างมุมมองกัน แต่การพูดกับคนอ่ืนท่ีมิใช่คนที่แวดล้อมใกล้ตัว
อาจเปน็ การพูดทเี่ ฉพาะเจาะจงเกยี่ วกับกิจกรรมท่ีต้องดาเนินการร่วมกันหรือเก่ียวข้องกันโดยหน้าที่การงาน
การประกอบอาชีพ การร่วมกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ต่าง ๆ นอกจากน้ียังมีการพูดอย่างเป็นทางการ
กบั ที่ประชมุ ชน การพดู กบั คนจานวนมาก เชน่ กล่าวคาอวยพร กลา่ วปาฐกถา กลา่ วสุนทรพจน์ บรรยายทาง
วิชาการ อภิปราย โตว้ าที หรอื การพูดกึ่งทางการ เชน่ แสดงความคิดเห็นในท่ีประชุม แสดงความคิดเห็นทาง
วิชาการ เล่านิทาน เล่าประสบการณ์ เป็นต้น โดยท่ัวไป ผู้ที่ประสบความสาเร็จในธุรกิจการงาน
มีมนุษยสัมพันธ์ และทาประโยชน์ให้แก่สังคมประเทศชาติ ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการพูด
เป็นบุคคลที่ไดร้ ับการยอมรับว่า พูดดี พูดเก่ง กลา้ พูด และมีมารยาทในการพูด ส่วนหนึ่งเป็นความสามารถ
เฉพาะตัวของแต่ละคนที่ลอกเลียนแบบกันได้ยากเรียกว่ามีพรสวรรค์ อีกส่วนเป็นความสามารถที่ได้จาก
การศึกษาเรยี นรู้ ฝึกฝน พฒั นา ท่ีกล่าววา่ เป็นความสามารถท่ีไดจ้ ากพรแสวงนน่ั เอง

พูดดี หมายถงึ การพดู ทีใ่ ช้ถ้อยคาที่สุภาพไพเราะ ออกเสียงได้ชัดเจนถูกต้อง มีจังหวะหนักเบาและ
น้าเสียงตามความหมายของข้อความหรือเรื่องราว เลือกใช้ถ้อยคาและคาลงท้ายเหมาะสมกับเร่ืองราว
กาลเทศะ และบุคคล พูดคาจริง ไม่พูดคาเท็จ ไม่พูดบิดเบือนความจริง ไม่พูดส่อเสียดหรือยุยงใส่ร้ายป้ายสี
กัน รู้วา่ อะไรควรพดู อะไรไม่ควรพูด เช่น ไมพ่ ูดเรื่องท่เี ป็นการล่วงล้าหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งนอกจาก
เป็นการเสียมารยาทแล้วยังอาจผิดกฎหมายด้วย ไม่พูดสิ่งที่ทาให้กระทบกระเทือนใจ หรือทาให้ผู้อ่ืนเก้อ
กระดาก อับอาย โดยเฉพาะท่ามกลางท่ีประชุมชน ไม่พูดถึงสิ่งท่ีเป็นอัปมงคลในงานมงคล เป็นต้น พูดดียัง
หมายรวมถึงการมีมารยาทในการพูดท่ีให้ความสาคัญกับผู้ฟังหรือคู่สนทนา เช่น สบตา ย้ิมแย้มแสดงความ
เป็นมิตร เปิดโอกาสให้ผู้ฟังหรือคู่สนทนาได้พูดหรือแสดงความคิดเห็น ใส่ใจความรู้สึก ความพึงพอใจ
ของผู้ฟัง หรือคู่สนทนา ไมช่ ิงพูด ไมพ่ ดู ขดั หรอื แทรกกอ่ นท่ีค่สู นทนาจะพดู จบความทีส่ าคญั การพูดดตี ้องเป็น

แผนการจดั การเรียนรู้ 1 : วาทะ วาที (๑) 30

-30-

ใบความรู้
“ความรู้เกีย่ วกับการพูด” (ต่อ)

การพูดที่สื่อความหมายให้เข้าใจในทางสร้างสรรค์ พูดแล้วทาให้คนพอใจ สบายใจ มีความสุข
เกิดผลดี เกิดความรัก ความสามัคคี และความเจริญก้าวหน้าในหมู่คณะ สังคม และประเทศชาติ เช่น
การพดู ให้กาลงั ใจคนท่ีกาลงั ผดิ หวงั พดู ให้คนมมี านะอดทนต่อสู้กับความลาบากยากจน พดู ให้คนคลายความวิตก
กังวล ความโกรธ ความอิจฉารษิ ยา พดู ใหค้ นรว่ มคิด ร่วมทา รว่ มสรา้ งสรรค์สังคมและประเทศชาติ

พดู ดี มกั มพี ื้นฐานมาจากการคิดดี คิดถูกต้อง คิดสุจริต คิดอย่างมีเหตุผล คิดถูกวิธี คิดถึงประโยชน์
ท่ีจะเกิดขึ้นต่อส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ มากกว่าประโยชน์ส่วนตน การคิดดีนั้นควรคิดในทางที่
สร้างสรรค์ มีสติกากับ สติทาให้เกิดปัญญา ปัญญาทาให้รู้เห็นถึงแนวทางท่ีควรทาควรปฏิบัติ เม่ือต้องถ่ายทอด
ความคิดดีโดยการพูดเพื่อสื่อสารไปให้ผู้อื่นรับรู้หรือนาไปปฏิบัติ ก็ย่อมเป็นคาพูดที่ดีตามไปด้วย ส่ิงที่ต้อง
ระวังให้มากเกี่ยวกับการพูดน้ัน คือ ต้องคิดก่อนพูด คิดถึงความควรไม่ควร คิดถึงความรู้สึกของผู้ฟัง
คิดถึงผลได้ผลเสียที่พึงจะได้รับ การพูดโดยไม่คิดมักทาให้ผิดใจกัน ทาลายสัมพันธภาพที่เคยดีต่อกัน ทาให้
เสยี ประโยชน์ เกิดผลเสียหาย และอาจนาภัยมาสู่ตน สู่บุคคลที่แวดล้อมใกล้ชิดสู่สังคมและประเทศชาติ อย่างท่ีเรา
มักกล่าวกันว่าเป็นโอษฐภยั ดงั คาโคลงสุภาษติ นฤทมุ นาการท่ีวา่

พาทมี สี ติร้ัง รอคิด
รอบคอบชอบแลผดิ กอ่ นพรอ้ ง
คาพูดพ่างลขิ ติ เขยี นรา่ ง เรียงแฮ
ฟงั เพราะเสนาะต้อง โสตทัง้ ห่างภัย

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั

พูดเกง่ หมายถึง การพูดที่มีกลวิธีในการพูดเพื่อให้น่าสนใจ น่าประทับใจ พูดแล้วเกิดผลดีผลสาเร็จ
คนพูดเก่งมักมีวิธีการพูดที่ทาให้คนฟังสนใจ เพลิดเพลินสนุกสนาน มีลีลาการพูดท่ีเป็นแบบฉบับเฉพาะตน
ประกอบกับการแสดงสีหน้าท่าทาง น้าเสียงได้สอดคล้องกับเร่ืองราวและอารมณ์ความรู้สึก มีการสอดแทรก
มุกตลก คาคม สานวนโวหาร คาประพันธ์ที่ไพเราะ และน่าสนใจ ในช่วงจังหวะการพูดท่ีเหมาะสมก็เป็น
กลวิธีหน่งึ ในการสรา้ งบรรยากาศ ความน่าเชือ่ ถอื และความประทับใจแก่ผูฟ้ งั พูดเกง่ มลี ักษณะการพูด ดงั นี้

แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 : วาทะ วาที (๑) 31

-31-

ใบความรู้
“ความรเู้ กีย่ วกับการพดู ” (ตอ่ )

๑. พูดได้สาระความรู้ ได้เน้ือถ้อยกระทงความ อ้างอิงข้อมูลหรือข้อเท็จจริงได้ถูกต้อง แม่นยา
เกิดประโยชน์และผลสาเรจ็ ตามทมี่ งุ่ หมาย

๒. พูดตรงประเด็น ตรงตามหัวข้อท่ีพูด และตรงตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เนื้อหาสาระท่ีพูดไม่สับสน
วกวน ลาดับความให้เข้าใจง่าย เนื้อหาท่ีเป็นใจความสาคัญสอดคล้องสัมพันธ์กับเน้ือหาท่ีเป็นใจความรอง
หรือใจความท่ีเชอื่ มโยงกนั

๓. พูดคล่อง ออกเสียงได้ชัดเจน ถูกต้อง เป็นธรรมชาติ ไม่ติดขัด ใช้คาถูกต้องตามความหมาย
เลือกสรรถอ้ ยคาไดค้ มคาย สอดคล้อง เหมาะสมกบั เรื่องราว อารมณแ์ ละความรูส้ กึ รว่ มของผู้ฟัง

กล้าพูด หมายถึง การยอมพูดสิ่งท่ีควรพูด โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลหรืออันตราย มีความเชื่อมั่น
ในตนเอง กล้าแสดงความคิดเห็นของตนเองบนพื้นฐานความรู้ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์
ที่ตนมีตนรู้ เพ่ือประโยชน์และผลสาเร็จท้ังต่อตนเองและต่อส่วนรวม โดยคานึงถึงกาลเทศะที่ควรพูดด้วย
เช่น ทักท้วงเมื่อเห็นผู้ทาผิดหรือทาส่ิงท่ีไม่เหมาะสม เสนอความคิดเห็นหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ต่อการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนากิจการงาน กล้าพูดกล้าแสดงความจริงใจและรับผิดชอบต่อคาพูดของตน
เม่ือพูดเร่ืองใดไปแล้วเกิดผลเสียหายต้องยอมรับว่าตนพูดไปจริง และยอมรับผิด โดยกล่าวคาขอโทษ
หรือขอถอนคาพูด

มารยาทในการพูด
มารยาท หมายถึง กิริยาอาการที่แสดงออกให้ปรากฏทางกายและทางวาจาอย่างถูกต้อง เรียบร้อย
งดงาม ตามคตินิยมของคนในสังคม มารยาทเป็นเคร่ืองหมายของความเป็นผู้มีวัฒนธรรมท่ีดีงาม การพูด
ให้ประสบความสาเร็จต้องคานึงถึงมารยาทตามคตินิยมของสังคมดังกล่าว มารยาทในการพูดจะมุ่งเน้น
มารยาทที่แสดงออกทางวาจาเปน็ ประเด็นหลัก คอื การใช้ถอ้ ยคาทสี่ ุภาพ เหมาะสมกับบุคคล กาลเทศะ เช่น
เมอ่ื พดู กบั ผใู้ หญค่ วรใหเ้ กยี รติ ให้ความเคารพ สารวมกิริยาอาการให้สุภาพเรียบร้อย ใช้น้าเสียงพูดท่ีนุ่มนวล
ไม่พูดแทรก โต้เถียง ล้อเลียน หรือกล่าววาจาจาบจ้วง เป็นต้น เม่ือพูดกับเพ่ือน พูดอย่างมีมิตรไมตรีต่อกัน
มีความจริงใจ ไม่พูดคาหยาบคาคะนอง โดยเฉพาะในท่ีสาธารณะ ไม่พูดโอ้อวด ก้าวร้าว ยกตนข่มท่าน
หลีกเล่ียงการถามเร่ืองส่วนตัว ไม่ทักทายด้วยถ้อยคาท่ีทาให้เพ่ือนไม่สบายใจ รู้จักกล่าวคาขอโทษ
คาขอบคุณ เหมาะสมกับสถานการณ์ เปน็ ต้น

จากหนงั สอื เรยี นวิวธิ ภาษา
มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 หนา้ 6-9

แผนการจัดการเรียนรู้ 1 : วาทะ วาที (๑) 32

-32-

ใบความรู้
“การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ”

การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ
การทกั ทายปราศรยั
การทักทายเป็นมารยาทของทุกสังคม เม่ือพบคนท่ีรู้จักกันย่อมต้องทักทายปราศรัยกันเพ่ือแสดง

ไมตรที ีม่ ตี อ่ กนั ในการทกั ทายปราศรัยควรใช้ถอ้ ยคาท่ที าใหผ้ ้ฟู ังสบายใจ
คนแต่ละชาติอาจทักทายด้วยถ้อยคาท่ีต่างกัน เช่น คนไทยนิยมทักว่าไปไหนมา โดยมิได้มีเจตนา

แท้จริงว่าต้องการรู้คาตอบ หรืออยากรู้เรื่องส่วนตัวของผู้อ่ืน คนตอบจะตอบเพียงเพื่อแสดงไมตรีเท่าน้ัน
ไมถ่ ือเปน็ เร่อื งจริงจงั นกั

คนที่สนิทสนมกันอาจทกั ด้วยเรอื่ งท่ีใกลต้ ัว เชน่ ทำกำรบำ้ นหรือยงั กินขำ้ วหรอื ยัง มำโรงเรียนแต่เช้ำเลย
นะ วันน้ีใครมำส่ง การทักทายผู้ใหญ่หรือผู้ท่ีไม่คุ้นเคย ต้องใช้ถ้อยคาที่สุภาพตามแบบท่ีนิยมกัน เช่น สวัสดีค่ะ
หรือสวัสดีครับ พร้อมน้อมไหว้แสดงความเคารพ และอาจถามตามมารยาทว่า คุณครูสบำยดีหรือคะ
ท่ำนสบำยดีหรือครับ หรือทักทายตามสถานการณ์ เช่น ท่ำนออกกำลังกำยหรือคะ คุณครูกำลังจะไปสอน
หรือครับ คุณยำยมำทำบญุ หรอื คะ

การแนะนาตนเอง
ในบางโอกาส เราจาเป็นต้องแนะนาตนเองว่าเราเป็นใคร และเหตุที่แนะนาตนเองนั้นมีจุดมุ่งหมาย
ใด เช่น นักเรียนที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นาชมนิทรรศการของโรงเรียน เมื่อพบผู้มาชมงาน นักเรียนต้อง
พูดแนะนาตนเอง บอกช่ือ บอกชั้นเรียน และบอกหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย นักเรียนที่ไปติดต่อหน่วยงาน
หรือสถานท่ีบางแห่ง เช่น สถานท่ีฝึกงานระหว่างปิดภาคเรียน เมื่อไปถึงสถานที่นั้นต้องแนะนาตนเองว่า
ช่ืออะไร เรียนอย่ชู น้ั ใด โรงเรยี นใด และแจง้ ธรุ ะทม่ี าตดิ ตอ่ ให้ชัดเจน
ในงานเล้ียงต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส งานทาบุญขึ้นบ้านใหม่ บางคร้ังต้องน่ังร่วมโต๊ะอาหารกับ
ผู้อ่ืน อาจแนะนาตนเองด้วยการบอกช่ือ บอกความสัมพันธ์กับเจ้าของงาน แต่ควรระมัดระวังไม่ให้เป็นการ
อวดตน ฝา่ ยค่สู นทนากค็ วรแนะนาตนเอง ไมค่ วรรรี อ เพราะอาจทาใหอ้ กี ฝ่ายอดึ อัดไม่สบายใจ
การแนะนาตนเองไม่ว่าโอกาสใด ควรมีคาข้ึนต้นว่า สวัสดี และมีคาลงท้าย ครับ หรือ ค่ะ
แสดงความสุภาพด้วยเชน่ สวัสดคี รับ สวัสดคี ่ะ

แผนการจัดการเรยี นรู้ 2 : วาทะ วาที (๒) 33

-33-

ใบความรู้
“การพดู ” (ตอ่ )

การสนทนา
การสนทนาเป็นกิจกรรมท่ีคน ๒ คนหรือมากกว่าพูดคุยกันเพ่ือแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด
ความรู้สึก และประสบการณ์ระหว่างกันในโอกาสหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสนทนาในที่ประชุมชน
การสนทนาในรายการโทรทัศน์ การสนทนากับบุคคลแรกรู้จักในงานสังคมต่าง ๆ การสนทนากับผู้ที่รู้จัก
ค้นุ เคยกันดี
ในการสนทนาควรเลือกเร่ืองท่ีตนเองและคู่สนทนามีความรู้และความสนใจร่วมกัน อาจเป็น
เหตุการณ์ปัจจุบันหรือเร่ืองที่กาลังเป็นข่าว เรื่องที่เหมาะกับกาลเทศะ เช่น การสนทนาในงานมงคลสมรส
ควรพดู ถึงแต่สิ่งท่ีดีงาม ไม่พูดเร่ืองที่ทาให้ไม่สบายใจ ขณะรับประทานอาหารไม่ควรพูดเรื่องหวาดเสียวหรือ
เร่อื งท่ชี วนใหร้ ังเกียจหรือนา่ ขยะแขยง
ผู้สนทนาต้องเป็นผู้รู้จักฟังและรู้จักสังเกตความรู้สึกของผู้ร่วมสนทนา ควรเปิดโอกาสให้คู่สนทนา
ได้พูด ได้แสดงความคิดเห็นด้วย ถ้าคู่สนทนาพูดผิดไม่ตรงความเป็นจริง ไม่ควรตาหนิตรง ๆ ควรหาวิธี
อธิบายหรือช้ีแจงท่ีแยบคายให้คู่สนทนาเข้าใจได้เอง เช่น อาจบอกว่าเคยได้ยินเร่ืองมาอีกอย่างหนึ่งว่า
อย่างไร ถ้าหากหาวิธีชี้แจงไม่ได้ควรเปล่ียนเร่ืองสนทนาเสีย ขณะฟังแม้รู้สึกเบ่ือก็ควรควบคุมความรู้สึกไม่
แสดงความอดึ อัดเบือ่ หนา่ ย และควรหาวธิ จี บการสนทนาโดยไม่ทาลายความรู้สกึ ของคูส่ นทนา
ข้อควรระวังในการสนทนาทุกโอกาส คือ ไม่พูดแต่เรื่องส่วนตัวของตน โดยท่ีผู้อ่ืนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ไม่โอ้อวดความสามารถของตน ไม่ทับถมคู่สนทนา ไม่นินทาว่าร้ายผู้อ่ืน ไม่พูดเพ้อเจ้อส่อเสียด ไม่พูดเรื่อง
ลามกอนาจาร

แผนการจัดการเรยี นรู้ 2 : วาทะ วาที (๒) 34

-34-

ใบความรู้
“การพดู ” (ต่อ)

การพูดตดิ ต่อทางโทรศัพทแ์ ละการรบั โทรศัพท์
เมอ่ื มีผู้โทรศพั ทต์ ิดต่อไป ผู้รับโทรศัพท์ควรพูดทักทายก่อน ส่วนผู้ติดต่อไปควรแจ้งแก่ผู้รับโทรศัพท์
ให้ชัดเจนว่า ตนเป็นใคร ประสงค์จะพูดกับใคร เรื่องใด และควรพูดให้กระชับ เพ่ือจะได้ไม่เสียเวลา
ผู้รับโทรศัพท์ควรพูดด้วยน้าเสียงที่เป็นมิตร แสดงความมีน้าใจในการรับฝากข้อความ และถามเกี่ยวกับ
ขอ้ ความทร่ี ับฝากใหถ้ กู ต้องครบถ้วน เม่อื ต้องตามผอู้ นื่ ให้มารับโทรศัพท์ ควรบอกผู้ติดต่อให้ชัดเจนว่า บุคคล
ท่ีผตู้ ิดต่อตอ้ งการจะพูดด้วยน้ันอยทู่ ่ใี ด ถา้ ตอ้ งตามมารบั โทรศัพท์จะใช้เวลามากนอ้ ยเพยี งใด
ตวั อยา่ งการพดู โทรศัพท์
1. ผู้รับ : สวัสดคี ่ะ

ผตู้ ิดตอ่ : สวสั ดคี รบั ผมอรรคพล ขอพูดกบั อาจารย์กาญจนาครบั
ผูร้ ับ : กาลงั พดู อยู่คะ่
ผู้ติดต่อ : ผมขอเวลาอาจารย์ตอนนไี้ ด้ไหมครับ
ผูร้ ับ : ได้ค่ะ
ผูต้ ิดต่อ : (พดู ธุระของตนเอง)
2. ผรู้ บั : สวสั ดคี รับ บ้านคณุ บรรเจิดครับ
ผู้ติดตอ่ : ขอพูดกับคุณบรรเจดิ ค่ะ
ผ้รู บั : ตอนน้ีคุณพ่อไม่อยู่ครบั จะฝากข้อความไหมครับ
ผูต้ ดิ ตอ่ : ขอฝากขอ้ ความว่า เพอ่ื นชือ่ วัชรินทร์ ขอเลอื่ นนัดส่งต้นฉบบั หนงั สือไปเปน็ วันพร่งุ นี้

เวลาเดิมได้หรอื ไม่ ใหต้ ิดต่อกลบั ดว้ ยค่ะ
ผู้รบั : ขอเบอรต์ ดิ ตอ่ กลบั ดว้ ยครบั
ผูต้ ดิ ต่อ : เบอร์ ๐ ๒๒๗๗ ๗๗๗๗ คะ่
ผู้รับ : ขอทวนนะครับ ฝากขอ้ ความว่า“เพื่อนชอ่ื วัชรินทร์โทรมาถามวา่ ขอเล่ือนนัดส่ง

ตน้ ฉบบั หนังสอื ไปเป็นวันพรุ่งน้เี วลาเดมิ ไดห้ รือไม่ ขอให้ตดิ ต่อกลับ
เบอร์ ๐ ๒๒๗๗ ๗๗๗๗
ผู้ติดตอ่ : ถกู ตอ้ งคะ่ ขอบคุณค่ะ สวัสดีคะ่
ผู้รับ : สวัสดคี รบั

จากหนังสือเรียนวิวิธภาษา
มัธยมศึกษาปที ี่ 2 หน้า 9-13

แผนการจัดการเรียนรู้ 2 : วาทะ วาที (๒) 35

-35-

ใบความรู้
“ที่มาและความสาคัญของรามเกยี รต์ิ

ตอนนารายณป์ ราบนนทก”

ทาการหยาบใหญถ่ ึงเพียงนี้
คนท่ที าความดีความชอบมาช้านาน สมควรได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน อาจเป็นทรัพย์สินเงินทอง

เช่น การขึน้ เงนิ เดือนให้ อาจเป็นยศถาบรรดาศกั ดิ์ เชน่ การเลื่อนจากร้อยตรีเป็นร้อยโท หรืออาจเป็นอานาจ
เช่น การมอบสิทธิ์ให้ว่าการได้ ในบรรดาส่ิงตอบแทนที่กล่าวมาน้ีอานาจเป็นสิ่งที่อันตรายมากที่สุด ถ้าไปตก
อยู่ในมือคนท่ีลืมตัวไม่นานผู้ท่ียื่นอานาจให้นั้นอาจจะต้องเสียใจว่าคิดผิด เหมือนดังท่ีพระอิศวรเคยรู้สึก
เมื่อได้ประทานอานาจให้แกน่ นทกไปไดส้ ักระยะหนึ่ง

นนทกนั่งประจาอยู่ท่ีเชิงเขาไกรลาส มีหน้าที่ล้างเท้าให้เหล่าเทวดาท่ีจะเข้าเฝ้าพระอิศวร
เหล่าเทวดาตา่ งพอใจท่นี นทกรับใชพ้ วกตนอย่างดี แต่บางครั้งก็นึกสนุก เมื่อยื่นเท้าให้ล้างแล้วก็แหย่เย้าถอน
ผมนนทกเลน่ นนทกแคน้ ใจ แต่จะหาทางตอบโต้ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีกาลังหรืออานาจ จึงไปเฝ้าพระอิศวรแล้ว
ทูลว่าตนทาหนา้ ท่ดี ้วยความรับผิดชอบมาช้านานแล้ว แต่ยังไม่ได้ขอส่ิงใดเป็นรางวัลเลย วันน้ีจะมาทูลขอให้
นวิ้ เปน็ เพชรมฤี ทธิ์สามารถลงโทษผู้ที่มารังแกตนได้ พระอิศวรประทานให้ตามต้องการ นนทกจึงมีน้ิวเพชรที่
สามารถชีส้ งั หารใคร ๆ ได้

ไม่ทันนาน นนทกก็มีใจกาเริบ ไม่ยับย้ังชั่งใจ และไม่ใคร่ครวญว่าจะใช้น้ิวเพชรน้ันอย่างไร เพียงแต่
ถูกหยอกเล่นเหมือนทุกวัน นนทกก็โกรธขึ้นมาทันที เทวดาท่ีมาย่ัวแหย่นนทกถูกสังหารเสียมากมาย
พระอินทร์ จึงไปทูลฟ้องพระอิศวร พระอิศวรทรงเห็นว่า นนทกได้รางวัลความดีความชอบไปแล้ว
แต่ "กลับทรยศกระบถใจ ทาการหยาบใหญ่ถึงเพียงนี้" สมควรจะต้องถูกลงโทษ

ผู้ท่ีพระอิศวรขอให้ไปลงโทษนนทก คือ พระนารายณ์ พระนารายณ์อยากจะให้นนทกรู้ฤทธิ์ของ
อานาจท่ีนนทกเที่ยวใช้ระรานผู้อื่น จึงลวงให้นนทกร่ายราตามท่าต่าง ๆ จนถึงท่าท่ีชี้น้ิวลงที่ขาของตนเอง
"นิ้วอานาจ" จึงวกกลับมาทาร้ายตัวนนทกเอง พอท่ีจะให้นนทกได้รู้สึกตัวเสียก่อนแล้วพระนารายณ์
กส็ ังหารนนทกเสียในที่สดุ

ถา้ นนทกไมล่ ืมตวั เพียงแต่ใชน้ ้วิ เพชรข่ผู ู้ทจี่ ะมารงั แกใหเ้ กรงขาม เพื่อป้องกันตัวให้มีโอกาสอยู่อย่าง
สบายใจในหมู่คนอื่น นนทกคงจะมีโอกาสช่ืนชมกับอานาจของตนไปได้อีกนาน และถ้าใช้ถูกทางและถูก
ทานองคลองธรรม อานาจ กอ็ าจทาใหเ้ กิดเป็นบารมีทีท่ าใหค้ นรอบขา้ งชน่ื ชมอย่างจรงิ ใจก็ได้

แผนการจดั การเรียนรู้ 3 : วรรณคดีบทพากย์ (๑) 36

-36-

ใบความรู้
“ท่มี าและความสาคัญของรามเกยี รต์ิ

ตอนนารายณ์ปราบนนทก” (ตอ่ )

จากนนทกมาเปน็ ทศกัณฐ์
พระนารายณ์ไปปราบนนทกโดยแปลงร่างเป็นนางราไปราย่ัวนนทกให้ราตามด้วยท่าต่าง ๆ เมื่อถึงท่า

ช้ีน้ิวลงที่ต้นขา นนทกก็ขาหัก เพราะเดชน้ิวเพชรของตนเอง นางรากลับคืนร่างเป็นพระนารายณ์แล้วเหยียบ
นนทกไว้เพื่อสังหาร นนทกจึงต่อว่าพระนารายณ์ว่าเอาเปรียบมีถึงส่ีมือแต่ก็ยังไม่กล้าสู้กันซึ่ง ๆ
หน้าพระนารายณท์ ้าวา่ ขอใหน้ นทกไปเกิดใหม่มีสิบหน้าย่ีสิบมือ และมีอาวุธพร้อมสรรพ ส่วนพระองค์จะไป
เกิดเป็นมนุษย์สองมือ จะได้สู้กันในโลกมนุษย์อีกคร้ังหน่ึง นนทกลงมาเกิดเป็นทศกัณฐ์ ส่วนพระนารายณ์
อวตารลงมาเป็นพระรามและไดท้ าศึกสงครามกนั ยาวนาน

พระรามเป็นโอรสของท้าวทศรถกษัตริย์สุริยวงศ์แห่งกรุงอยุธยา ต้นวงศ์กษัตริย์สุริยวงศ์ คือ
ท้าวอโนมาตันนัดดาของพระอิศวร พระอิศวรโปรดให้พระอินทร์ลงมาสร้างเมืองอยุธยาในชมพูทวีป โดยนา
พยางค์แรก ของช่ือฤๅษีส่ีตน ได้แก่ อจนคาวี ยุคอัคระ ทหะ และยาคะ มาประสมกันเป็นชื่อเมืองอยุทยา
(อยุธยา) แล้วใหอ้ โนมาตันลงมาครอง ต่อมาอโนมาตันยกราชสมบัติให้อัชบาลผู้เป็นโอรส และต่อมาถึงทศรถ
ผู้เป็นนัดดาตามลาดบั

ท้าวทศรถมีมเหสีสามองค์ คือ เกาสุริยาซึ่งมีโอรสช่ือพระราม ไกยเกษีซึ่งมีโอรสช่ือพระพรต
และสมุทรชาซ่ึงมโี อรสชื่อพระลกั ษณแ์ ละพระสัตรดุ พระรามเป็นโอรสองค์ใหญ่จึงมีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองอยุธยา
ต่อจากท้าวทศรถ แต่นางไกยเกษีทูลขอให้พระพรตโอรสของนางได้ครองราชย์แทน และขอให้พระรามออก
เดินป่าเปน็ เวลา ๑๔ ปี พระรามปรารถนาจะให้พระบิดาทาตามสัญญาที่ให้ไว้กับนางไกยเกษีว่าจะขอพรใดก็
ได้ จากการที่นางเคยช่วยท้าวทศรถให้พ้นจากข้าศึกในสมรภูมิ พระรามจึงสละสิทธ์ิครองราชย์แล้วออกเดิน
ป่าไปกับนางสีดาชายาและพระลักษณ์อนุชา ขณะที่อยู่ในป่า ทศกัณฐ์มาลักนางสีดาไป พระรามกับพระ
ลักษณจ์ ึงออกตดิ ตามและทาศกึ กับทศกัณฐ์จนได้นางสีดาคืนมาแลว้ กลับไปครองกรุงอยุธยา

ทศกัณฐ์เป็นโอรสทา้ วลัสเตยี นอสรู ผ้คู รองกรงุ ลงกา มารดา คือ นางรัชดา บิดาของท้าวลัสเตียน คือ
ท้าวจตุรพักตร์เป็นเทพในพรหมโลก (ซ่ึงอยู่สูงจากเทวโลกและไม่ข้องเกี่ยวกับกามคุณ) ทศกัณฐ์จึงเป็นอสูร
เช้ือพรหม ชาติก่อนของทศกัณฐ์ คือ นนทกข้ารับใช้ของพระอิศวร เมื่อลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์
ทศกัณฐ์เท่ียวเกะกะระรานสร้างความเดือดร้อนไปท่ัว พระอิศวรจึงขอให้พระนารายณ์อวตารลงมาเป็น
พระรามเพื่อปราบทศกณั ฐ์

แผนการจดั การเรียนรู้ 3 : วรรณคดบี ทพากย์ (๑) 37

-37-

ใบความรู้
“ทม่ี าและความสาคัญของรามเกียรติ์

ตอนนารายณ์ปราบนนทก”

จนิ ตภาพและแนวคดิ ในเร่อื งรามเกียรติ์ ตอนนารายณป์ ราบนนทก
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

นารายณ์ปราบนนทกเป็นเรื่องส้ัน ๆ ท่ีแทรกอยู่ตอนต้นเร่ือง เม่ือดาเนินเร่ืองมาถึงตอนท่ีมเหสีทั้งห้าของ
ทา้ วลัสเตยี นทรงครรภ์ และ มเหสีสอี่ งค์ประสตู ิโอรสแล้ว คงเหลอื แตน่ างรัชดา เรือ่ งก็ตัดมาท่ีนนทกบนสวรรค์
ให้สังเกตว่าในบทละครน้ันเม่ือจะเปลี่ยนเรื่องมาเล่าเรื่องใหม่จะใช้ว่า "มาจะกล่าวบทไป" ในตอนน้ีก็เช่นกัน
มีการเร่ิมเรื่องใหม่ว่า "มาจะกล่าวบทไป ถึงนนทกน้าใจกล้าหาญ" แล้วเล่าเรื่องด้วยบรรยายโวหารไปจนจบ
โดยมีบทพรรณนาแทรกเป็นบทชมโฉมนางราที่เป็นนารายณ์แปลง มีบทเจรจาตอนที่นนทกเกี้ยวนาง และ
ตอนที่นนทกเจรจาโต้ตอบกบั นางและกบั พระนารายณ์ (เมื่อนางกลับคนื รา่ งเปน็ พระนารายณ์)

ทั้งบทบรรยาย บทพรรณนา และบทเจรจามีการสรรคาใช้ได้อย่างกระชับและกินความได้มาก เช่น
นนทกถูกถอนผม "จนผมโกร่นโล้นเกล้ียงถึงเพียงหู" และนนทกดีใจที่ได้น้ิวเพชร เมื่อกลับมาทาหน้าที่ตรง
บันไดเขาไกรลาสก็มา "ขัดสมาธินั่งยิ้มริมอ่างใหญ่" เป็นต้น นอกจากน้ันยังมีการหลากคาใช้ได้ต่าง ๆ กัน
ทาให้เห็นความรุ่มรวยของศัพท์ในวรรณคดีไทยตัวอย่างเช่น การเรียกชื่อพระอิศวรว่า พระสยมภูวญาณ
(พระผู้มีอานาจหย่ังรู้ที่เกิดขึ้นเอง) พระอิศราธิบดี (พระผู้เป็นหัวหน้าของผู้เป็นใหญ่) พระศุลี (พระผู้ทรงถือ
ตรีศูล) และยังมีคาขยายนามซ่ึงแสดงความยิ่งใหญ่ของพระอิศวรได้หลากหลายอีกด้วย เช่น เรืองศรีบรม
รังสรรค์ พระทรงญาณ พระทรงธรรม มียศ บรมนาถา เจ้าไตรโลกา ฯลฯ เม่ือจะกล่าวถึงเหล่าเทวดา
กใ็ ชค้ าต่าง ๆ เชน่ สุราฤทธิ์ สุรารักษ์ สุราลัย เปน็ ต้น

ในการเปรยี บเทียบเพ่อื ให้ผ้อู า่ นเห็นภาพและเขา้ ใจความรสู้ ึกของตัวละคร กวกี ็จะใช้ภาพพจน์ง่าย ๆ
เช่น เปรียบอาการโกรธของนนทกว่า "ตาแดงด่ังแสงไฟฟ้า" ซึ่งทาให้เห็นภาพท้ังความสว่างและความแปลบ
ปลาบอยา่ งแสงไฟจากฟา้ แลบ และเปรียบฤทธ์ิของนิ้วเพชร "ดั่งพิษอสุนีไม่ทนได้" ซึ่งทาให้เห็นภาพของเหล่า
เทวดา ครฑุ และนาคทไี่ มอ่ าจทานฤทธ์ทิ ่ีรา้ ยแรงราวกับฟ้าผ่าได้ หรือการเปรียบเทียบความงามของนางราท่ี
เป็นนารายณ์แปลงว่า "งามองค์ย่ิงเทพอัปสร" ซ่ึงเป็นท่ีรู้กันว่านางฟ้าหรือเทพอัปสรนั้นงามมาก แต่นางรา
ตามสายตาของนนทกกลับงามย่ิงกว่า เม่ือจะเปรียบกับพระลักษมีชายาของพระนารายณ์และพระสุรัสวดี
ชายาของพระพรหม หรือจะหาหญิงท้ังสามโลก คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และบาดาล ก็ยัง "จะเอามาเปรียบไม่
เทียบทัน" นนั่ แสดงว่านนทกเห็นวา่ นางงามกวา่ ใครทง้ั สนิ้

แผนการจดั การเรียนรู้ 3 : วรรณคดบี ทพากย์ (๑) 39

-38-

ใบความรู้
“ทม่ี าและความสาคัญของรามเกยี รต์ิ

ตอนนารายณป์ ราบนนทก”

พระราชนิพนธ์เร่ืองรามเกียรต์ิตอนน้ีมิได้มีเพียงคุณค่าด้านวรรณศิลป์จากการใช้โวหารกวีด้วย
ภาพพจน์ท่ีทาให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพเท่านั้น แต่ยังมีเนื้อหาที่ให้ข้อคิดควรพิจารณาและนามาเปรียบกับ
พฤติกรรมของคนในสังคมปัจจุบันได้ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่ออานาจตกอยู่ในมือของคนที่ลืมตัว ก็จะเกิดผลร้าย
ตามมา ผ้มู อบอานาจจึงตอ้ งพิจารณาก่อนว่าจะจากัดขอบเขตของอานาจท่ีเป็นรางวัลอย่างไร มิฉะนั้นจะต้อง
มาแกไ้ ขภายหลงั เพราะมองคนผดิ ดงั ทพ่ี ระอิศวรพูดถึงนนทกวา่

อา้ ยนที่ าชอบมาชา้ นาน เราจ่งึ ประทานพรให้
มนั กลบั ทรยศกระบถใจ ทาการหยาบใหญถ่ งึ เพยี งนี้
นนทกอาจไดร้ บั ความเห็นใจเพราะถกู เทวดารังแกมาช้านาน นิ้วเพชรจึงเป็นอาวุธท่ีนนทกสมควรจะ
มีไว้ป้องกันตัวและปรามไม่ใหใ้ ครมารังแกไดอ้ กี แต่นนทกก็มีใจกาเริบอหังการไม่ยับย้ังช่ังใจและไม่ใคร่ครวญ
ว่าจะใช้ "นวิ้ อานาจ" นั้นอยา่ งไร เพียงแตถ่ ูก "สัพยอกหยอกเล่นเหมือนทกุ วัน" นนทกก็โกรธจัดขึ้นมาทันที
ที่จริงแต่ก่อนก็โกรธ แต่ก็ทาได้เพียง "ฮึดฮัดขัดแค้นแน่นใจ ตาแดงด่ังแสงไฟฟ้า" แล้วก็จาต้องสะกดกล้ัน
ความโกรธลง เพราะทาอะไรเขาไมไ่ ด้ แต่เมอื่ มอี านาจอยู่ในมือแล้ว ความโกรธของนนทกจึงถึงขีดที่ "สุดคิดท่ี
เราจะอดกลั้น" ราวกับอานาจผลักหลังให้วิ่งออกมาสู้ เมื่อนนทกสังหารเทวดาเสียมากมาย พระอิศวรผู้ให้
อานาจแกน่ นทกก็ต้องออกมาระงับเหตุโดยหาทางสังหารนนทกเสีย การท่ีนนทกขาหักล้มลงนั้นก็ "ด้วยเดช
นิว้ เพชรสทิ ธศิ ักดิ์" ของตนเอง อาจกล่าวได้วา่ อานาจทเ่ี ทย่ี วใชร้ ะรานผู้อนื่ น้นั ในทสี่ ุดกก็ ลับมาลงโทษตวั เอง
ก า ร อ่า น ว ร ร ณ ค ดีอ ย่า ง พินิจ แ ล ะ ตีค ว า ม ดัง ตัว อ ย่า ง ก า ร วิเ ค ร า ะ ห์เ รื่อ ง ร า ม เ กีย ร ติ์ต อ น
นารายณ์ปราบนนทกนี้ น่าจะทาให้ผู้อ่านเห็นว่าวรรณคดีมิใช่เรื่องไกลตัว แม้จะมีตัวละครและฉาก
อยูใ่ นโลกสมมตุ ิ แต่พฤตกิ รรมและความคิดอ่านต่าง ๆ ของตัวละครก็ไม่ต่างกับของคนท่ีตกอยู่ในสภาพและ
เง่ือนไขเดียวกับตัวละคร วรรณคดีจึงเป็นบทวิจารณ์ชีวิตท่ีทาให้เราเข้าใจชีวิตของเราและของเพื่อนมนุษย์ได้อีก
ทางหนงึ่

หนงั สือเรียนวรรณคดวี จิ ักษ์
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 หนา้ 60-62

แผนการจดั การเรยี นรู้ 3 : วรรณคดบี ทพากย์ (๑) 45

-39-

บทละครเรือ่ งรามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบนนทก

บทอา่ นจากเร่อื ง : บทละครเรื่องรามเกยี รติ์ ตอนนารายณป์ ราบนนทก
คดั มาจาก : หนังสอื วรรณคดวี ิจกั ษ์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๒ หน้า ๗๑
ลกั ษณะคาประพันธ์ : กลอนบทละคร
ทานองทใ่ี ช้อา่ น : ทานองนาคราชชนั้ เดียว

เม่อื น้นั พระนารายณ์ทรงสวสั ดิ์รศั มี
ได้ฟังจึง่ ตอบวาที กนู ี้แปลงเป็นสตรมี า
เพราะมงึ จะถึงแก่ความตาย
ใชว่ า่ จะกลวั ฤทธา ฉิบหายดว้ ยหลงเสนห่ า
ชาตนิ มี้ งึ มีแต่สองหัตถ์ ศักดาน้ิวเพชรนนั้ เมอ่ื ไร
ใหส้ ิบเศียรสิบพักตรเ์ กรยี งไกร จงไปอุบตั เิ อาชาติใหม่
มีมอื ย่สี ิบซา้ ยขวา เหาะเหินเดนิ ไดใ้ นอัมพร
กูจะเปน็ มนษุ ย์แต่สองกร ถือคทาอาวุธธนศู ร
ตามไปราญรอนชวี ี

(พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก)

แผนการจดั การเรียนรู้ 3 : วรรณคดบี ทพากย์ (๑) 40

-40-

ใบความรู้
“บทละครเรือ่ งรามเกยี รติ์ ตอนนารายณป์ ราบนนทก”

(กลมุ่ ที่ 1)

บทละครเร่อื งรามเกียรต์ิ ตอนนารายณป์ ราบนนทก

๏มาจะกล่าวบทไป ถงึ นนทกนา้ ใจกล้าหาญ
ตัง้ แต่พระสยมภูวญาณ ประทานให้ลา้ งเท้าเทวา
อยบู่ นั ไดไกรลาสเปน็ นิจ สุราฤทธิ์ตบหวั แลว้ ลูบหน้า
บา้ งใหต้ กั น้าล้างบาทา บา้ งถอนเส้นเกศาว่นุ ไป
จนผมโกรน๋ โล้นเกลยี้ งถงึ เพยี งหู ดูเงาในนา้ แลว้ รอ้ งไห้
ฮึดฮดั ขัดแคน้ แน่นใจ ตาแดงดง่ั แสงไฟฟ้า
เป็นชายดูดูม๋ าหมิ่นชาย มติ ายกจ็ ะไดเ้ หน็ หน้า
คิดแลว้ กร็ ีบเดนิ มา เฝ้าพระอศิ ราธิบดี

ฯ ๘ คา๑ ฯ เสมอ๒

๏ครั้นถงึ จึ่งประณตบทบงส์ุ ทลู องคพ์ ระอิศวรเรืองศรี
ว่าพระองคเ์ ปน็ หลกั ธาตรี ย่อมเมตตาปรานที ่ัวพักตร์
ผใู้ ดทาชอบตอ่ เบื้องบาท ก็ประสาททัง้ พรแลยศศักด์ิ
ตวั ข้าก็มชี อบนกั ลา้ งเทา้ สุรารกั ษถ์ ึงโกฏปิ ี
พระองคผ์ ทู้ รงศักดาเดช ไม่โปรดเกศแกข่ ้าบทศรี
กรรมเวรสิ่งใดด่งั น้ี ทลู พลางโศกีราพัน

ฯ ๖ คา ฯ โอด

๏เมื่อนั้น พระอศิ วรบรมรงั สรรค์
เห็นนนทกโศกาจาบลั ย์ พระทรงธรรมใ์ ห้คดิ เมตตา
จง่ึ มเี ทวราชบรรหาร เอง็ ต้องการสงิ่ ไรจงเร่งวา่
ตัวกจู ะใหด้ ัง่ จินดา อย่าแสนโศกาอาลยั

ฯ ๔ คา ฯ

แผนการจดั การเรยี นรู้ 4 : วรรณคดีบทพากย์ (๒) 41

-41-

ใบความรู้
“บทละครเรือ่ งรามเกยี รต์ิ ตอนนารายณ์ปราบนนทก”

(กลุ่มท่ี 1)

๏บัดนัน้ นนทกผมู้ อี ัชฌาสัย
น้อมเศยี รบังคมแลว้ ทลู ไป จะขอพรเจา้ ไตรโลกา
ใหน้ ว้ิ ข้าเปน็ เพชรฤทธี จะชีใ้ ครจงม้วยสงั ขาร์
จะได้รองเบ้ืองบาทา ไปกวา่ จะส้ินชีวี

ฯ ๔ คา ฯ

๏เมื่อนนั้ พระสยมภวู ญาณเรืองศรี
ได้ฟังนนทกพาที ภมู ีนิ่งนึกตรึกไป
อ้ายน่ีมชี อบมาช้านาน จาจะประทานพรให้
คดิ แลว้ กป็ ระสิทธ์ิพรชยั จงไดส้ าเร็จมโนรถ

ฯ ๔ คา ฯ

๏บดั นั้น นนทกผู้ใจสาหส
รบั พรพระศลุ ีมยี ศ บังคมแลว้ บทจรไป

แผนการจดั การเรยี นรู้ 4 : วรรณคดบี ทพากย์ (๒) 42
-42-

ใบความรู้
“บทละครเร่อื งรามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบนนทก”

(กลุ่มท่ี 2)

๏ครน้ั ถงึ บันไดไกรลาส ขัดสมาธนิ ่ังยิ้มรมิ อา่ งใหญ่
คอยหมู่เทวาสุราลยั ด้วยใจกาเรบิ อหงั การ์

ฯ ๒ คา ฯ

๏เมือ่ น้นั เทวาสรุ าฤทธท์ิ ุกทศิ า
สบุ รรณคนธรรพ์วิทยา ตา่ งมาเฝ้าองคพ์ ระศลุ ี

ฯ ๒ คา ฯ เหาะ

๏ครน้ั ถงึ ซงึ่ เชิงไกรลาส คนธรรพ์เทวาราชฤๅษี
กช็ วนกันยา่ งเยือ้ งจรลี เข้าไปยงั ทอี่ ัฒจนั ทร์

ฯ ๒ คา ฯ

๏นนทกกล็ า้ งเทา้ ให้ เม่ือจะไปกจ็ ับหวั ส่ัน
สัพยอกหยอกเลน่ เหมอื นทกุ วัน สรวลสนั ตเ์ ยาะเย้ยเฮฮา

ฯ ๒ คา ฯ เจรจา

๏บัดนน้ั นนทกน้าใจแกลว้ กล้า
กริ้วโกรธรอ้ งประกาศตวาดมา อนิจจาข่มเหงเล่นทุกวนั
จนหัวไม่มีผมติด สดุ คิดท่เี ราจะอดกลัน้
วนั นี้จะได้เหน็ กัน ขบฟันแล้วชี้นิ้วไป

ฯ ๔ คา ฯ

๏ตอ้ งสบุ รรณเทวานาคี ด่ังพษิ อสนุ ไี มท่ นได้
ลม้ ฟาดกลาดเกล่อื นลงทันใด บรรลยั ไม่ทนั พริบตา

ฯ ๔ คา ฯ โอด

แผนการจัดการเรยี นรู้ 4 : วรรณคดีบทพากย์ (๒) 43
-43-

ใบความรู้
“บทละครเรือ่ งรามเกียรต์ิ ตอนนารายณ์ปราบนนทก”

(กลมุ่ ท่ี 3)

๏เมือ่ น้ัน หสั นัยน์เจ้าตรัยตรึงศา
เห็นนนทกนั้นทาฤทธา ช้ีหมู่เทวาวายปราณ
ตกใจตะลึงราพงึ คดิ ใครประสทิ ธใิ์ ห้มนั สังหาร
คดิ แลว้ ขน้ึ เฝ้าพระทรงญาณ ยังพมิ านทพิ รตั น์รจู ี

ฯ ๔ คา ฯ เสมอ

๏ครัน้ ถงึ จงึ่ ประณตบทบงส์ุ ทูลองคพ์ ระอศิ วรเรืองศรี

วา่ นนทกมนั ทาฤทธี ช้หี มู่เทวาบรรลยั

อนั ซึง่ น้วิ เพชรของมัน พระทรงธรรม์ประทานฤๅไฉน

จงึ่ ทาอาจองทะนงใจ ไม่เกรงใต้เบื้องบาทา

ฯ ๔ คา ฯ พระอศิ วรบรมนาถา
๏ร่ายเมื่อน้นั จง่ึ มีบัญชาตอบไป
ได้ฟังองคอ์ มรนิ ทรา เราจ่งึ ประทานพรให้
อา้ ยน่ีทาชอบมาช้านาน ทาการหยาบใหญถ่ งึ เพียงน้ี
มันกลบั ทรยศกระบถใจ

ฯ ๔ คา ฯ ดูราพระนารายณเ์ รืองศรี
๏ตรัสแลว้ จง่ึ มบี ญั ชา เป็นท่พี ึง่ แกห่ มูเ่ ทวญั
ตัวเจา้ ผมู้ ฤี ทธี ใหเ้ ยน็ ทั่วพิภพสรวงสวรรค์
จงชว่ ยระงบั ดับเขญ็ ใหม้ ันสิ้นชีพชวี า
เชญิ ไปสงั หารอา้ ยอาธรรม์

ฯ ๔ คา ฯ

แผนการจัดการเรียนรู้ 4 : วรรณคดบี ทพากย์ (๒) 44

-44-

ใบความรู้
“บทละครเรื่องรามเกยี รต์ิ ตอนนารายณ์ปราบนนทก”

(กลุ่มที่ 4)

๏รา่ ยเมือ่ นั้น องคพ์ ระนารายณ์นาถา
รบั สั่งถวายบังคมลา ออกมาแปลงกายดว้ ยฤทธี

ฯ ๒ คา ฯ ตระ๑

๏เปน็ โฉมนางเทพอัปสร ออ้ นแอ้นอรชรเฉลมิ ศรี
กรายกรย่างเยอื้ งจรลี ไปอยทู่ ี่นนทกจะเดินมา

ฯ ๒ คา ฯ เชิด เพลง

๏บดั น้ัน นนทกผูใ้ จแกลว้ กลา้
สิ้นเวลาเฝ้าเจ้าโลกา สาราญกายาแลว้ เท่ียวไป

ฯ ๒ คา ฯ เชดิ

๏ชมโฉมเหลอื บเหน็ สตรวี ิไลลกั ษณ์ พิศพกั ตร์ผ่องเพยี งแขไข

งามโอษฐง์ ามแกม้ งามจุไร งามนัยนเ์ นตรงามกร

งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยงิ่ เทพอปั สร

งามจรติ กริ ิยางามงอน งามเอวงามอ่อนทง้ั กายา

ถงึ โฉมองค์อัครลกั ษมี พระสรุ สั วดเี สนห่ า

สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา จะเอามาเปรยี บไมเ่ ทียบทัน

ดูไหนกเ็ พลินจาเริญรกั ในองค์เยาวลกั ษณส์ าวสวรรค์

ย่ิงพิศยง่ิ คดิ ผกู พัน ก็เดินกระช้นั เข้าไป

ฯ ๘ คา ฯ เขา้ ม่าน

จากหนังสอื เรียนวิวิธภาษา
มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 หนา้ 64-67

แผนการจัดการเรียนรู้ 4 :วรรณคดีบทพากย์ (๒) 45

-45-


Click to View FlipBook Version