ใบความรู้
“บทละครเรอื่ งรามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบนนทก”
(กลุ่มท่ี 1)
๏ชาตรีโฉมเอยโฉมเฉลา เสาวภาคยแ์ น่งน้อยพสิ มัย
เจ้ามาแต่สวรรค์ชั้นใด นามกรชอ่ื ไรนะเทวี
ประสงคส์ ิ่งใดจะใคร่รู้ ทาไมมาอย่ทู นี่ ี่
ขา้ เห็นเป็นนา่ ปรานี มารศรจี งแจ้งกจิ จา
นางนารายณเ์ ยาวลกั ษณ์เสนห่ า
ฯ ๔ คา ฯ ชาเลอื งนยั นาแล้วตอบไป
๏ร่ายเมอ่ื น้นั ลวนลามบุกรุกเขา้ มาใกล้
ได้ฟังยิง่ ทามารยา เราเป็นข้าใช้เจา้ โลกา
ทาไมมาลว่ งไถถ่ าม ช่อื สุวรรณอัปสรเสนห่ า
ทา่ นนี้ไม่มีความเกรงใจ หวังว่าจะใหค้ ลายร้อน
พนกั งานฟ้อนราระบาบนั โฉมประหลาดลา้ เทพอปั สร
มีทุกขจ์ ่งึ เทย่ี วลงมา ควรเป็นนางฟ้อนวไิ ลลักษณ์
หนกั เบาจงแจง้ ให้ประจักษ์
ฯ ๖ คา ฯ ก็จะเป็นภักษ์ผลสบื ไป
๏ร่ายสุดเอยสดุ สวาท จะถอื ความส่งิ นีน้ ไ่ี ม่ได้
ท้ังวาจาจริตก็งามงอน พีไ่ รค้ ู่จะพึ่งแตไ่ มตรี
อนั ซงึ่ ธุระของเจา้ นางเทพนมิ ิตโฉมศรี
ถา้ วาสนาเราเคยบารุงรัก วา่ นี้ไพเราะเป็นพน้ ไป
ตัวพ่ีมิได้ลวนลาม ขอ้ นนั้ อย่าวา่ หารไู้ ม่
สาวสรรคข์ วญั ฟา้ ยาใจ จะมมี ติ รที่ใจผูกพนั
จงึ่ จะผ่อนด้วยความเกษมสนั ต์
ฯ ๖ คา ฯ น่ันแหละจะสมดั่งจนิ ดา
๏เมือ่ น้ัน
คอ้ นแลว้ จ่ึงตอบวาที
อันซ่งึ จะฝากไมตรขี ้า
เราเปน็ นางราระบาใน
ใครมาราเกลงเพลงฟ้อน
ราไดก้ ็มาราตามกัน
ฯ ๖ คา ฯ
แผนการจดั การเรยี นรู้ 5 : วรรณคดีบทพากย์ (๓) 46
-46-
ใบความรู้
“บทละครเรอ่ื งรามเกยี รติ์ ตอนนารายณป์ ราบนนทก”
(กลุ่มที่ 2)
๏บัดน้นั นนทกผูใ้ จแกลว้ กลา้
ไมร่ ้วู ่านารายณแ์ ปลงมา กโ็ สมนสั าพนั ทวี
ยมิ้ แลว้ จึ่งกล่าวสุนทร ดูก่อนนางฟ้าเฉลิมศรี
เจา้ จกั ปรารมภไ์ ปไยมี พเี่ ปน็ คนเก่าพอเข้าใจ
เชิญเจา้ ราเถดิ นะนางฟ้า ใหส้ ิ้นทา่ ทีน่ างจาได้
ตวั พ่จี ะราตามไป มใิ ห้ผดิ เพลงนางเทวี
ฯ ๖ คา ฯ
๏เม่ือน้นั พระนารายณ์ทรงสวัสดริ์ ศั มี
เห็นนนทกหลงกลกย็ นิ ดี ทาทีเยื้องกรายใหย้ วนยนิ
ฯ ๒ คา ฯ เจรจา
๏พระทองเทพนมปฐมพรหมส่หี น้า สอดสรอ้ ยมาลาเฉดิ ฉิน
ทง้ั กวางเดินดงหงสบ์ นิ กนิ รนิ เลียบถ้าอาไพ
อกี ชา้ นางนอนภมรเคลา้ ท้งั แขกเต้าผาลาเพยี งไหล่
เมขลาโยนแกว้ แววไว มยเุ รศฟอ้ นในอัมพร
ลมพัดยอดตองพรหมนมิ ิต ท้งั พสิ มัยเรียงหมอน
ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร พระสก่ี รขว้างจกั รฤทธริ งค์
ฝา่ ยวา่ นนทกกร็ าตาม ดว้ ยความพิสมยั ใหลหลง
ถึงทา่ นาคาม้วนหางวง ชตี้ รงถกู เพลาทันใด
ฯ ๘ คา ฯ เพลง
๏ดว้ ยเดชนว้ิ เพชรสทิ ธิศักดิ์ ขาหกั ลม้ ลงไม่ทนได้
นางกลายเป็นองคน์ ารายณ์ไป เหยยี บไวจ้ ะสงั หารราญรอน
ฯ ๒ คา ฯ เชิด
๏บดั น้ัน นนทกแกลว้ หาญชาญสมร
เหน็ พระองคท์ รงสังขค์ ทาธร เป็นสี่กรกร็ ูป้ ระจกั ษใ์ จ
ว่าพระหรวิ งศ์ทรงฤทธ์ิ ลวงล้างชวี ติ กเ็ ป็นได้
จึ่งมวี าจาถามไป โทษข้าเป็นไฉนให้ว่ามา
ฯ ๔ คา ฯ
แผนการจัดการเรยี นรู้ 5 : วรรณคดีบทพากย์ (๓) 47
-47-
ใบความรู้
“บทละครเรอ่ื งรามเกียรติ์ ตอนนารายณป์ ราบนนทก”
(กลมุ่ ที่ 3)
๏เมอ่ื น้นั พระนารายณ์บรมนาถา
ไดฟ้ งั จง่ึ มบี ญั ชา โทษามึงใหญ่หลวงนกั
ดว้ ยทาโอหังบังเหตุ ไม่เกรงเดชพระอศิ วรทรงจกั ร
เอง็ ฆา่ เทวาสุรารกั ษ์ โทษหนกั ถงึ ที่บรรลัย
ตัวกูก็คิดเมตตา แต่จะไวช้ ีวามงึ ไมไ่ ด้
ตรัสแล้วแกว่งตรเี กรียงไกร แสงกระจายพรายไปดั่งไฟกาล
ฯ ๖ คา ฯ
๏บดั นัน้ นนทกผ้ใู จแกล้วหาญ
ได้ฟังจง่ึ ตอบพจมาน ซงึ่ พระองคจ์ ะผลาญชวี ี
เหตใุ ดมทิ าซ่ึงหน้า มารยาเป็นหญิงไมบ่ ัดสี
ฤๅว่ากลัวนว้ิ เพชรน้ี จะชพี้ ระองคใ์ ห้บรรลยั
ตัวข้ามมี ือแต่สองมอื ฤๅจะสู้ท้ังสี่กรได้
แม้นสีม่ อื เหมอื นพระองค์ทรงชยั ท่ีไหนจะทาได้ดง่ั น้ี
ฯ ๖ คา ฯ
๏เมอ่ื นนั้ พระนารายณท์ รงสวสั ดิร์ ัศมี
ไดฟ้ ังจึ่งตอบวาที กูนีแ้ ปลงเป็นสตรีมา
เพราะมึงจะถงึ แกค่ วามตาย ฉบิ หายด้วยหลงเสนห่ า
ใชว่ า่ กลัวฤทธา ศักดาน้วิ เพชรน้ันเม่อื ไร
ชาตินี้มึงมีแต่สองหัตถ์ จงไปอุบัตเิ อาชาตใิ หม่
ใหส้ บิ เศียรสบิ พักตร์เกรยี งไกร เหาะเหินเดนิ ไดใ้ นอัมพร
มมี ือย่ีสิบซา้ ยขวา ถือคทาอาวธุ ธนศู ร
กจู ะเป็นมนุษย์แต่สองกร ตามไปราญรอนชวี ี
ใหส้ ิ้นวงศพ์ งศ์มึงอันศักดา ประจักษ์แก่เทวาทุกราศี
ว่าแล้วกวดั แกว่งพระแสงตรี ภมู ีตัดเศยี รกระเด็นไป
ฯ ๑๐ คา ฯ เชิด โอด
๏คร้ันลา้ งนนทกมรณา พระจกั ราผมู้ อี ัชฌาสัย
เหาะระเหจ็ เตรด็ ฟ้าดว้ ยวอ่ งไว ไปยังกระเษียรวารี
ฯ ๒ คา ฯ เชิด
แผนการจดั การเรียนรู้ 5 : วรรณคดีบทพากย์ (๓) 48
-48-
ใบความรู้
“บทละครเรื่องรามเกียรต์ิ ตอนนารายณป์ ราบนนทก”
(กลุ่มท่ี 3)
๏ช้าเมอ่ื น้นั ฝา่ ยนางรัชดามเหสี
องค์ท้าวลสั เตยี นธบิ ดี เทวมี รี าชบุตรา
คือวา่ นนทกมากาเนิด เกดิ เป็นพระโอรสา
ชื่อทศกัณฐก์ ุมารา สบิ เศียรสบิ หน้ายีส่ ิบกร
อันน้องซึง่ ถดั มาน้นั ชอื่ กมุ ภกรรณชาญสมร
องค์พระบติ เุ รศมารดร มิใหอ้ นาทรสกั นาที
ฯ ๖ คา ฯ
จากหนงั สอื เรยี นวรรณคดีวจิ กั ษ์
มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 หน้า 68-71
แผนการจัดการเรียนรู้ 5 : วรรณคดบี ทพากย์ (๓) 49
-49-
ใบงาน
“สรปุ เหตุการณจ์ ากเร่อื งรามเกียรติ์ ตอนนารายณป์ ราบนนทก”
คาชแี จง ใหน้ ักเรียนเขยี นแผนภาพความคดิ สรปุ เหตุการณ์จากเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ตอนนารายณป์ ราบนนทก
พรอ้ มทั้งข้อคดิ ที่ไดร้ ับจากเรอื่ ง
แผนการจัดการเรียนรู้ 6 : วรรณคดีบทพากย์ (๔) 50
-50-
ใบความรู้
“คานามราชาศพั ท์”
ข้อสงั เกตบางประการในการใช้ราชาศพั ท์
คาราชาศัพท์ในภาษาไทย ส่วนหนง่ึ สรา้ งข้ึนจากคาศพั ทภ์ าษาบาลีสันสกฤต บางคาได้จากคาเขมร
และหลายคาสรา้ งจากคาไทย คาทตี่ ้องใชร้ ูปราชาศพั ท์ ได้แก่ คานาม คาสรรพนาม คากริยา และคาลงท้าย
วิธีการสรา้ งคาราชาศพั ท์มีหลักโดยยอ่ ดังนี้
๑. การสร้างคานาม ใช้คาว่า พระบรม พระรำช หรือ พระ นาหน้าคาว่า พระบรม ใช้สาหรับ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สาหรับพระบรมวงศ์บางคาใช้ พระรำช บางคาใช้ พระ สว่ นพระอนุวงศม์ ักใช้ พระ
เช่น
คาสาหรับพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว เช่น
พระบรมมหาราชวงั พระบรมราชชนนี พระบรมราชินี พระบรมโอรสาธิราช
พระบรมวงศานวุ งศ์
คาสาหรับพระบรมวงศ์ เช่น
พระราชวงั พระราชชนนี พระราชโอรส พระราชธดิ า พระราชนดั ดา
พระราชภารกิจ
คาสาหรับพระอนวุ งศ์ เช่น
พระชนนี พระโอรส พระธดิ า พระนดั ดา พระภารกิจ
คานามทั่วไปใชพ้ ระนา เชน่
พระเชษฐา (พีช่ าย) พระภคินี (พส่ี าว) พระวรกาย (ร่างกาย)
พระพักตร์ (หน้า) พระนลาฏ (หนา้ ผาก) พระขนง (ค้ิว)
พระเนตร (ตา) พระนาสกิ (จมกู ) พระสนับเพลา (กางเกง)
พระภษู าไหม (ผา้ นุ่งไหม) พระราชอาสน์ (เกา้ อ)้ี พระแท่นบรรทม (เตียงนอน)
พระกลด (ร่ม) พระสธุ ารส (นา้ ) จดหมาย (พระราชหัตถเลขา)
จากหนงั สอื เรียนววิ ิธภาษา
มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 หนา้ 180
แผนการจัดการเรยี นรู้ 7 : วากยะแห่งราชา (๑) 51
-51-
ใบความรู้
“คากรยิ าราชาศัพท์”
๒. การสรา้ งคากริยา ใช้คาวา่ ทรงพระราช ทรงพระ ทรง นาหน้า
คาสาหรบั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชน่
ทรงพระราชสมภพ (เกิด) ทรงพระราชดาริ (คิด ดาริ)
ทรงพระราชนพิ นธ์ (แต่ง แตง่ หนงั สอื ) ทรงพระราชปฏิสันถาร (ทกั ทาย)
มพี ระราชกระแส (พดู ) ทรงบาเพ็ญพระราชกศุ ล (ทาบญุ )
คาสาหรับพระบรมวงศ์ เช่น
มีพระราชสมภพ (เกดิ ) ทรงพระดาริ (คดิ ดาริ)
ทรงพระนิพนธ์ (แตง่ แต่งหนงั สือ) ทรงพระปฏิสันถาร (ทักทาย)
มพี ระดารัส (พดู ) ทรงบาเพ็ญพระกุศล (ทาบญุ )
คาสาหรบั พระอนวุ งศ์ เชน่
ประสูติ (เกดิ ) ทรงดาริ (คดิ ดาริ) ทรงนิพนธ์ (แตง่ แต่งหนังสอื )
ทรงทักทาย (ทกั ทาย) มีรบั ส่ัง (พดู ) ทรงบาเพญ็ กศุ ล (ทาบุญ)
คาบางคาเปน็ กริยาราชาศัพท์อยู่แล้วไม่ตอ้ งมี ทรง ทรงพระ หรือ ทรงพระรำช นาหน้า เช่น
เสวย (กนิ ) บรรทม (นอน) โปรด (ชอบ)
พระราชทาน (ให)้ ประทบั (นั่ง อยู่) กรวิ้ (โกรธ)
เสดจ็ ข้นึ (ขน้ึ ) ประสตู ิ (เกดิ ) ประชวร (ปว่ ย)
เขา้ พระราชหฤทัย (เข้าใจ) พอพระราชหฤทัย (พอใจ)
เสด็จพระราชดาเนนิ ไป (เดินทางไป)
จากหนงั สือเรียนวิวธิ ภาษา
มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 หน้า 181
แผนการจดั การเรยี นรู้ 8 : วากยะแหง่ ราชา (๒) 52
-52-
บทอ่าน
“บทละครเร่ืองรามเกยี รต์ิ ตอนนารายณป์ ราบนนทก”
๏บัดนัน้ นนทกผู้มีอชั ฌาสัย
นอ้ มเศียรบังคมแล้วทลู ไป จะขอพรเจ้าไตรโลกา
ใหน้ ้วิ ขา้ เปน็ เพชรฤทธี จะชีใ้ ครจงมว้ ยสงั ขาร์
จะไดร้ องเบอื้ งบาทา ไปกว่าจะสิ้นชวี ี
ฯ ๔ คา ฯ
๏เมอื่ นนั้ พระสยมภูวญาณเรืองศรี
ไดฟ้ งั นนทกพาที ภูมนี ่ิงนึกตรกึ ไป
อา้ ยนี่มชี อบมาชา้ นาน จาจะประทานพรให้
คดิ แลว้ กป็ ระสทิ ธพ์ิ รชยั จงได้สาเร็จมโนรถ
ฯ ๔ คา ฯ
๏บดั นัน้ นนทกผ้ใู จสาหส
รับพรพระศลุ มี ยี ศ บงั คมแลว้ บทจรไป
ฯ ๒ คา ฯ เสมอ
๏คร้ันถงึ บันไดไกรลาส ขดั สมาธนิ ั่งย้ิมริมอา่ งใหญ่
คอยหมู่เทวาสุราลัย ดว้ ยใจกาเริบอหังการ์
ฯ ๒ คา ฯ
๏เมอ่ื นั้น เทวาสรุ าฤทธ์ทิ กุ ทศิ า
สุบรรณคนธรรพว์ ทิ ยา ตา่ งมาเฝ้าองคพ์ ระศลุ ี
ฯ ๒ คา ฯ เหาะ
๏ครนั้ ถงึ ซง่ึ เชิงไกรลาส คนธรรพเ์ ทวาราชฤๅษี
กช็ วนกนั ย่างเยอื้ งจรลี เข้าไปยงั ที่อัฒจนั ทร์
ฯ ๒ คา ฯ
๏นนทกกล็ ้างเทา้ ให้ เมื่อจะไปก็จบั หวั ส่นั
สัพยอกหยอกเลน่ เหมือนทุกวัน สรวลสนั ตเ์ ยาะเย้ยเฮฮา
ฯ ๒ คา ฯ เจรจา
จากหนงั สอื เรยี นวรรณคดวี ิจักษ์
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 หนา้ 65
แผนการจัดการเรียนรู้ 9 : วากยะแหง่ ราชา (๓) 53
-53-
บทอา่ น
“บทละครเรื่องรามเกยี รติ์ ตอนนารายณ์ปราบนนทก” (ต่อ)
๏ชาตรีโฉมเอยโฉมเฉลา เสาวภาคย์แนง่ น้อยพสิ มัย
เจา้ มาแตส่ วรรคช์ ้ันใด นามกรชือ่ ไรนะเทวี
ประสงคส์ ิ่งใดจะใคร่รู้ ทาไมมาอยู่ท่ีนี่
ข้าเหน็ เป็นน่าปรานี มารศรีจงแจง้ กจิ จา
ฯ ๔ คา ฯ นางนารายณ์เยาวลักษณ์เสนห่ า
๏รา่ ยเมอ่ื นน้ั ชาเลอื งนัยนาแลว้ ตอบไป
ไดฟ้ งั ย่ิงทามารยา ลวนลามบุกรุกเขา้ มาใกล้
ทาไมมาล่วงไถถ่ าม เราเปน็ ขา้ ใช้เจา้ โลกา
ทา่ นน้ีไมม่ ีความเกรงใจ ชอื่ สวุ รรณอปั สรเสนห่ า
พนักงานฟ้อนราระบาบัน หวงั วา่ จะใหค้ ลายร้อน
มีทุกข์จง่ึ เที่ยวลงมา
โฉมประหลาดล้าเทพอปั สร
ฯ ๖ คา ฯ ควรเปน็ นางฟอ้ นวิไลลักษณ์
๏ร่ายสดุ เอยสุดสวาท หนักเบาจงแจ้งใหป้ ระจักษ์
ทง้ั วาจาจรติ กง็ ามงอน กจ็ ะเป็นภกั ษ์ผลสืบไป
อนั ซงึ่ ธุระของเจา้ จะถอื ความสงิ่ นนี้ ีไ่ ม่ได้
ถ้าวาสนาเราเคยบารงุ รัก พ่ไี รค้ ู่จะพงึ่ แต่ไมตรี
ตัวพ่ีมิไดล้ วนลาม
สาวสรรค์ขวญั ฟา้ ยาใจ นางเทพนิมิตโฉมศรี
ว่านี้ไพเราะเป็นพ้นไป
ฯ ๖ คา ฯ ข้อนนั้ อยา่ วา่ หาร้ไู ม่
๏เม่อื นน้ั จะมมี ติ รทใี่ จผูกพัน
ค้อนแล้วจง่ึ ตอบวาที จง่ึ จะผ่อนด้วยความเกษมสนั ต์
อันซงึ่ จะฝากไมตรีข้า น่นั แหละจะสมด่งั จนิ ดา
เราเปน็ นางราระบาใน
ใครมาราเกลงเพลงฟอ้ น
ราไดก้ ม็ าราตามกนั
ฯ ๖ คา ฯ
จากหนงั สือเรยี นวรรณคดีวิจกั ษ์
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 หน้า 68-69
แผนการจดั การเรียนรู้ 9 : วากยะแห่งราชา (๓) 54
-54-
ใบความรู้
“การยอ่ ความ”
เรยี นรูเ้ รอื่ งยอ่ ความ
ส่งิ สาคัญทค่ี วรเรียนรใู้ นการย่อความ มดี ังนี้
๑. ความหมายของการยอ่ ความ
การย่อความมีความสาคัญในชีวิตประจาวันท้ังในทางตรงและทางอ้อม เพราะในชีวิตบุคคลทั่วไป
มีโอกาสและความจาเป็นทีจ่ ะต้องยอ่ ส่งิ ท่ีฟงั หรอื อา่ น เพ่อื เก็บสาระและจดจาหรือไว้เป็นความรู้ หรือนาไปใช้
ประโยชน์
การย่อความ คือ การเก็บใจความสาคัญของเร่ืองจากข้อความท่ีอ่านหรือฟัง แล้วนาสาระสาคัญ
มาเรียบเรียงใหม่ให้สั้นด้วยภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย ได้ความถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์มากหรือน้อย
แล้วแตต่ ้องการ เช่น ย่อเร่ืองจากหนังสือทั้งเล่มให้เหลือเพียง ๑ - ๒ หน้า ย่อบทความท่ีมีความยาว ๕ หน้า
เหลอื เพยี งคร่งึ หนา้ เป็นตน้
๒. การจบั ประเด็นสาคญั
การย่อความ ผู้อ่านต้องจับประเด็นสาคัญให้ได้ครบถ้วน งานเขียนแต่ละเรื่องประกอบด้วยย่อหน้า
หลาย ๆ ย่อหน้า แต่ละย่อหน้าประกอบด้วยประโยคหลายประโยค ตามปรกติย่อหน้าแต่ละย่อหน้าจะมีท้ัง
ใจความและพลความ
ใจความ คอื ประโยคหรอื ขอ้ ความสาคัญของย่อหน้า ถ้าตัดออกจะเสียความหรือความเปล่ียนไปทา
ใหผ้ ู้อา่ นผู้ฟังไม่เข้าใจหรอื เขา้ ใจเร่อื งผดิ ได้
ประโยคใจความสาคญั อาจอยู่ต้นยอ่ หน้า กลางย่อหน้า ทา้ ยย่อหนา้ หรอื อยทู่ ้งั ตอนต้นและตอนท้าย
ยอ่ หน้ากไ็ ด้
พลความ คือ ประโยคหรือข้อความที่เป็นส่วนขยายความ ทาหน้าท่ีขยายใจความให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
หากตัดส่วนประกอบส่วนนี้ ก็ยังเข้าใจเนื้อความสาคัญอยู่ ข้อความท่ีขยายใจความสาคัญมีหลายลักษณะ
ดงั น้ี
๑) อธิบายให้รายละเอียดหรอื ใหค้ าจากดั ความขอ้ ความที่เปน็ ใจความ
๒) แสดงตวั อย่างประกอบเพอื่ ใหเ้ ข้าใจใจความชดั เจนแจม่ แจ้งขน้ึ
๓) เปรียบเทียบด้วยถ้อยคาที่เป็นสานวน หรือยกเร่ืองราวเป็นอุทาหรณ์เพื่อทาให้เข้าใจ
ใจความได้ดขี นึ้
๔) ให้เหตผุ ลโดยยกขอ้ มลู สถติ ิ หลักฐาน เปน็ ต้น
แผนการจัดการเรียนรู้ 12 : พชิ ิตใจความ (๑) 55
-55-
ใบความรู้
“การย่อความ” (ต่อ)
ขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แสดงประโยคใจความหรือขอ้ ความสาคัญด้วยตัวพิมพ์หนา ส่วนพลความแสดงด้วย
ตวั พมิ พเ์ อน
วัฒนธรรมไทยน้ัน เด็กทารกให้นอนในเปล เปลที่ให้เด็กนอนน้ัน นอกจากบอกความสบาย
แล้ว ยังบ่งบอกฐานะของครอบครัวอีกด้วย เช่น ครอบครัวที่มีฐำนะทำงเศรษฐกิจดี ก็จะมีเปล
ที่ประดิษฐ์ด้วยวัสดุท่ีมีรำคำ ครอบครัวฐำนะปำนกลำง บำงครอบครัวอำจซื้อเปลท่ีมีจำหน่ำย
ในท้องตลำดมำใช้ แต่บำงครอบครัวก็ทอเปลใช้เอง ส่วนครอบครัวท่ีฐำนะไม่ดีอำจใช้ผ้ำขำวม้ำ
หรือผ้ำท่ีมีขนำดใหญ่ และมีขนำดยำวพอควรนำมำผูกไว้เป็นเปลระหว่ำงเสำบ้ำน ๒ ต้น หรือผูกไว้
ระหวำ่ งตน้ ไม้ ๒ ต้น
หรอื
การดื่มสุราและสูบบุหรี่เป็นส่ิงไม่ดี ท้ังเปลืองเงินเปลืองทอง และเป็นการทาลายชีวิต
และสุขภาพ กำรด่ืมสุรำเป็นสำเหตุทำให้เกิดโรคเรื้อรังมำกกว่ำ ๖๐ ชนิด กำรดื่มสุรำเป็นสำเหตุ
อนั ดบั ๑ ของอบุ ตั เิ หตุจรำจร ซ่ึงร้อยละ ๕๐ เกดิ จำกเมำแล้วขับ ส่วนกำรสูบบุหรี่เป็นกำรเร่งให้เสียชีวิต
เร็วกว่ำที่ควร ทำให้เกิดโรคเรื้อรังทุกข์ทรมำน เช่น มะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ และโรค
หลอดเลือดในสมอง
ประโยคใจความจากตัวอย่างข้างต้น อาจไม่ใช่ประโยคที่กะทัดรัด จึงสามารถตัดคา แต่งคา รวมคา
เพ่ือให้ไดข้ ้อความสละสลวยข้นึ ดังตอ่ ไปนี้
๑. “ในวัฒนธรรมไทยนั้น เดก็ ทารกใหน้ อนในเปล เปลทใ่ี หเ้ ด็กนอนนั้น นอกจากจะบอกความสบายแล้ว
ยงั บ่งบอกฐานะของครอบครวั อีกด้วย”
ย่อเปน็ “เด็กไทยนอนเปลและเปลนัน้ ใหค้ วามสบายและบ่งบอกฐานะของครอบครวั ด้วย”
๒. “การดืม่ สุราและสูบบุหรเ่ี ปน็ ส่ิงไม่ดี ส้นิ เปลืองเงินทอง ทาลายชวี ิต และสุขภาพ”
ย่อเป็น “การด่มื สรุ าและสูบบุหรีท่ าใหส้ ้นิ เปลือง ทาลายชีวติ และสขุ ภาพ”
๓. วธิ ีการย่อความ
๑) อ่านเรื่องท่ีจะย่อให้ละเอียด แล้วจับใจความรวมของเรื่อง เช่น อ่านให้รู้ว่า ใครทาอะไรท่ีไหน
เมือ่ ไร ทาอยา่ งไร และเหตุใดจงึ ทา ควรจดั ลาดบั ของเรอ่ื ง เหตกุ ารณ์ หรอื เวลาให้ชดั เจน
๒) แยกข้อความทอี่ ่านในแต่ละย่อหนา้ และจับใจความสาคัญของเร่ืองให้ได้ว่า แต่ละย่อหน้าว่าด้วย
เร่อื งอะไร เขยี นบนั ทกึ สรปุ และอา่ นทวนทุกยอ่ หน้าจนครบ
แผนการจดั การเรยี นรู้ 12 : พิชติ ใจความ (๑) 56
-56-
ใบความรู้
“การย่อความ” (ต่อ)
๓) ข้อความท่ีย่อแล้วใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ ไม่ใช้สรรพนามบุรุษท่ี ๑ และที่ ๒ ถ้าจาเป็นต้องเอ่ยถึง
ผู้เกย่ี วข้องในเร่อื งท่ีย่อน้นั ใหใ้ ช้ชื่อโดยตรง
๔) รายละเอียดบางประเด็น เช่น ตัวอย่าง ถ้อยคาฟุ่มเฟือย คาศัพท์ที่ทาให้เร่ืองนั้นยาวเยิ่นเย้อ
ให้ตัดท้ิง แต่ถ้ามีรายละเอียดท่ีมีสาระสาคัญสอดคล้องและสนับสนุนใจความสาคัญให้นามาพิจารณารวมไว้
ในเนอ้ื หาของยอ่ ความนัน้ ดว้ ย
๕) ถา้ ข้อความเดมิ ใช้คาราชาศัพท์ เม่ือยอ่ ยงั คงใช้ราชาศพั ทน์ ัน้
๖) ไมใ่ ช้เคร่ืองหมายอญั ประกาศ และไม่ย่อคาโดยใชอ้ ักษรย่อ หรอื คาย่อ
๗) หาถ้อยคาใหม่แทนกลุ่มคาบางกลุ่ม เพ่ือให้ได้ความหมายเท่าเดิม แต่ลดคาลง เช่น ใช้คาว่า
พระรตั นตรยั แทน พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เปน็ ตน้
๘) นาข้อความที่เป็นสาระสาคัญของแต่ละย่อหน้ามาเรียบเรียงด้วยภาษาของตนเองให้มีเน้ือความ
ต่อเนื่องกัน โดยใช้คาเช่ือมเพื่อให้เนื้อความสัมพันธ์กัน ควรใช้สานวนภาษาท่ีสั้น กะทัดรัด ได้ใจความ
ไมจ่ าเปน็ จะตอ้ งคงลาดบั ของเรื่องเดิมไว้ อาจสลับลาดับความใหมต่ ามท่เี ห็นเหมาะสม
๙) อ่านทบทวนแก้ไขให้เร่ืองท่ีย่อน้ันมีเนื้อความต่อเน่ืองกันดี มีใจความสาคัญและสาระของเรื่อง
ครบถ้วนถูกต้อง
๔. รูปแบบของย่อความ
สงิ่ ทน่ี ามายอ่ ความนั้น เป็นได้ทัง้ งานเขียนประเภทตา่ ง ๆ เชน่ ขอ้ เขียนในหนังสือ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ
และข้อความท่ีได้ฟังมา เชน่ ขอ้ ความท่ไี ดฟ้ ังจากวทิ ยุ โทรทัศน์ และการอภิปราย ฯลฯ การย่อความจึงต้องมี
คานาและที่มาเพื่ออธบิ ายประเภทของเร่ืองที่นามาย่อนนั้ ดังนน้ั ยอ่ ความจึงประกอบด้วยส่วนสาคญั ๒ ส่วน คือ
๑) ส่วนท่ีเป็นคานา ใช้เขียนนาเป็นย่อหน้าแรก มีจุดมุ่งหมายให้ทราบรายละเอียดว่า ย่อหน้านี้
ประกอบดว้ ยส่วนสาคัญ ๆ ดังน้ี
(๑) ลักษณะของเร่ืองที่นามาย่อ ให้บอกว่า เป็นเอกสารร้อยกรอง หรือร้อยแก้วประเภทใด
ชอ่ื เร่อื งใด ถ้าเป็นหนังสือราชการจะต้องระบุว่า เร่ืองอะไร เลขที่เท่าไร ลงวันที่เท่าไร เช่น กลอนนิราศเรื่อง
นิราศภูเขาทอง บทความเร่ืองปฏิรูปประเทศไทย หนังสือราชการเรื่องพระราชทานพระบรมราชานุญาติ
หนงั สือท่ี สว ๐๐๐๒/๐๓ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๒ เปน็ ต้น
แผนการจดั การเรยี นรู้ 12 : พิชติ ใจความ (๑) 57
-57-
ใบความรู้
“การยอ่ ความ” (ต่อ)
(๒) ข้อมูลเก่ียวกับผู้แต่ง ให้บอกช่ือและนามสกุลผู้แต่ง ถ้าเป็นพระราชดารัส พระบรมราโชวาท โอวาท
ปาฐกถา คาปราศรัย สุนทรพจน์ หนังสือราชการ และจดหมายทั่วไป ให้เพ่ิมว่าพระราชทานแก่ใคร แสดงแก่
ใคร และถึงใคร เช่น พระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชบรมนาถบพิตร
พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ คาปราศรัยของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แสดงแก่ข้าราชการครู
และนักเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน หนังสือราชการของสานักราชเลขาธิการ
ถึงประธานคณะกรรมการอานวยการจดั ทาโครงการเทิดพระเกียรติของวฒุ สิ ภา เป็นต้น
(๓) แหล่งข้อมูล ถ้าข้อความท่ีย่อมาจากเอกสารท่ัวไปให้บอกว่ามาจากเอกสารใด หน้าใด
และวัน เดือน ปีใด ถ้าเป็นพระราชดารัส พระบรมราโชวาท โอวาท ปาฐกถา คาปราศรัย สุนทรพจน์ ให้เพิ่มว่า
แสดงในโอกาสใด ณ สถานท่ใี ด เช่น
พระบรมรำโชวำทพระบำทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหำภมู พิ ลอดลุ ยเดชบรมนำถบพติ ร
เร่ืองควำมรกั และควำมศรัทธำในหนำ้ ทีท่ ่ีรบั ผดิ ชอบ พระรำชทำนแกข่ ำ้ รำชกำรพลเรอื น
เนื่องในโอกำสวนั ขำ้ รำชกำรพลเรอื น ณ พระตำหนกั จติ รลดำรโหฐำน วนั ที่ 1 เมษำยน
พ.ศ. ๒๕๓๙ มีใจควำมว่ำ
กรณีเรื่องท่ีย่อไม่มีช่ือเร่ือง ให้บอกว่าไม่ปรากฏช่ือเรื่อง หรืออาจตั้งชื่อเรื่องข้ึนเองได้ ถ้าไม่ มี
ชื่อผู้แต่ง หรือไม่มีแหล่งข้อมูลใช้ว่า ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง ไม่ปรากฏ วัน เดือน ปี ถ้าค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต
ใหร้ ะบุแหล่งเขา้ ถงึ และ วัน เดือน ปี ท่เี ขา้ ถึง ตอ่ จากขอ้ (๑) และ (๒) เช่น
บทควำมเรื่องศิลปะกำรต่อสู้แบบเอเซียของทมี งำนตว่ ย'ตนู จำก
www.thairath.co.th เขำ้ ถึงวนั ที่ ๒๗ มถิ ุนำยน ๒๕๕๓ มใี จควำมว่ำ
แผนการจัดการเรียนรู้ 12 : พิชติ ใจ-ค5ว8าม- (๑) 58
ใบความรู้
“การยอ่ ความ” (ตอ่ )
๒) ส่วนที่เปน็ ใจความสาคญั ของเรอ่ื ง คอื สว่ นทีเ่ ป็นเนื้อความท่เี รียบเรยี งแล้ว เขียนตดิ ตอ่ กัน
เป็นยอ่ หนา้ เดยี ว ไมต่ อ้ งย่อหน้าตามเรอื่ งเดมิ แต่ถา้ เป็นบทร้อยกรองควรถอดความเปน็ รอ้ ยแก้วแลว้ จึงย่อ
ตัวอย่างการย่อความรอ้ ยแกว้
ยอ่ บทควำมเรือ่ งออมไว้ใสถ่ ุงแดง ของศิริภรณ์ จิรัปปภำ จำกหนงั สอื เรียน รำยวชิ ำพ้นื ฐำน
ภำษำไทย ววิ ธิ ภำษำ ชนั้ มัธยมศกึ ษำปีที่ ๒ กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ หน้ำ ๑๘ - ๒๐
มีใจควำมว่ำ
เงินถุงแดงเปน็ พระรำชทรัพยส์ ว่ นพระองค์ท่ีพระบำทสมเดจ็ พระนั่งเกลำ้ เจ้ำอยู่หัวทรงได้รบั จำก
กำรคำ้ ขำยกบั ตำ่ งประเทศ และทรงเก็บไว้ในถุงแดง พระองค์ทรงนำเงนิ สว่ นหนึง่ มำทำนุบำรุงพระศำสนำ
และสำรองไวเ้ ป็นเงินแผ่นดิน ในสมัยพระบำทสมเด็จจลุ จอมเกล้ำเจำ้ อยู่หวั ไดท้ รงใชเ้ งนิ ถงุ แดงชดใชเ้ ปน็ ค่ำ
ปฏกิ รรมสงครำมแก่ประเทศฝรัง่ เศสในเหตกุ ำรณ์กรณพี ิพำทเรอื่ งดนิ แดน ร.ศ. ๑๑๒ ทำใหไ้ ทยสำมำรถรกั ษำ
อธิปไตยไว้ได้ คนไทยควรดำเนินตำมรอยเบอ้ื งพระยคุ ลบำทในพระบำทสมเดจ็ พระนัง่ เกลำ้ เจ้ำอยู่หวั ใช้
จำ่ ยเงินใหเ้ หมำะสมและออมเงินไว้ใชใ้ นครำวจำเป็น
แผนการจดั การเรยี นรู้ 12 : พิชิตใจความ (๑) 59
-59-
ใบความรู้
“การยอ่ ความ” (ต่อ)
การยอ่ ความรอ้ ยกรอง
เนื้อเรื่องคาประพันธ์บทหน่ึงที่จะนามาย่อความอยู่ในกลอนบทละครเรื่องพระร่วง มีช่ือว่า
“ไทยรวมกาลังตงั้ ม่ัน” พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ ัว
ไทยรวมกาลงั ต้ังมัน่
ไทยรวมกาลงั ตั้งม่นั จะสามารถปอ้ งกนั ขันแข็ง,
ถงึ แม้ว่าศัตรูผมู้ ีแรง มายุทธ์แยง้ ก็จะปลาตไป
ขอแตเ่ พียงไทยเราอยา่ ผลาญญาติ; ร่วมชาตริ ว่ มจติ เป็นข้อใหญ่;
ไทยอยา่ มุ่งร้ายทาลายไทย, จงพรอ้ มใจพรอ้ มกาลงั ระวงั เมือง
ใหน้ านาภาษาเขานิยม ชมเกียรติยศฟเู ฟอื่ ง;
ชว่ ยกันบารงุ ความรงุ่ เรือง, ให้ชือ่ ไทยกระเดอื่ งทว่ั โลกา.
ช่วยกันเตม็ ใจใฝผ่ ดุง บารุงทั้งชาตศิ าสนา,
ใหอ้ ย่จู นส้นิ ดนิ ฟ้า; วฒั นาเถดิ ไทย, ไชโย !
บทละคร “พระรว่ ง” พระราชนพิ นธ์ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู วั
ก่อนนาเน้อื ความจากคาประพันธ์ “ไทยรวมกาลงั ต้ังมนั่ ” ไปย่อความนน้ั ต้องถอดความก่อนดังน้ี
เม่ือใดที่คนไทยพร้อมใจกัน รวมกาลังให้มั่นคง เข้มแข็ง
ไม่แตกความสามัคคี ไม่ทาร้ายคนไทยด้วยกันเอง เม่ือน้ันคนไทย
จะสามารถต่อสู้ข้าศึกท่ีเข้ามารุกรานประเทศได้ คนไทยต้องร่วมมือ
รวมพลังใจให้เป็นหนึ่งเดียว หมั่นทานุบารุงประเทศชาติ และพระศาสนา
ให้เจริญรุ่งเรืองก้องไปทั่วโลก ให้นานาประเทศยกย่องสรรเสริญ
คนไทยและประเทศไทยไปท่วั โลก
หลังจากถอดความคาประพนั ธแ์ ลว้ นาขอ้ ความมายอ่ ความใหม่ไดด้ งั น้ี
ย่อคำประพันธ์ “ไทยรวมกำลังต้ังมั่น” ในบทละครพูดคำกลอน
เรื่องพระร่วง พระรำชนิพนธ์ในพระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัว
พ.ศ. ๒๕๓๗ มีใจควำมวำ่
แผนการจัดการเรยี นรู้ 13 : พิชติ ใจความ (๒) 60
-60-
คนไทยทุกคนต้องมั่นคง เข้มแข็ง จึงจะสำมำรถต่อสู้ข้ำศึกศัตรู
ที่เข้ำมำรุกรำนประเทศไทยได้ อย่ำแตกควำมสำมัคคี อย่ำมุ่งทำร้ำยกันเอง
นอกจำกน้ันยังต้องรวมพลังใจให้เป็นหน่ึง ต้องทำนุบำรุงชำติ และพระศำสนำ
ให้เจริญรุ่งเรือง นำนำประเทศก็จะยกย่อง สรรเสริญคนไทยและประเทศไทย
ไปท่วั โลก
ความรูเ้ กี่ยวกับเครื่องหมายอัญประกาศ
เนื้อหาของบทความ เรื่องออมไว้ในถุงแดง มีลักษณะที่ควรสังเกตประการหนึ่ง คือ การยก
ข้อความบางตอนจากหนังสือ สาส์นสมเด็จเล่ม ๑๓ มาอ้างอิงหลักฐาน และแทรกประกอบเนื้อหาของ
บทความ การอ้างอิงหลักฐานเช่นนี้มีแนวทางปฏิบัติ คือ ถ้าข้อความที่อ้างอิงนั้นมีความยาวไม่เกิน
๓ บรรทัด ให้ยกข้อความที่อ้างอิงน้ันไว้ใน เครื่องหมายอัญประกาศ หากข้อความท่ีอ้างอิงน้ันยาวเกิน
๓ บรรทัด ให้ยกมาขึ้นย่อหน้าใหม่ และเขียนหรือพิมพ์ข้อความน้ันย่อเข้ามาประมาณ ๕ - ๗ อักษรทั้ง
ดา้ นซ้ายและขวา ของหน้ากระดาษ บอกแหล่งท่ีมา เพื่อให้เกียรติเจ้าของข้อความที่ยกมาอ้างอิง อันเป็น
มารยาทสากลทคี่ วรปฏิบัตใิ ห้เป็นกจิ นิสัย และเพ่ือประโยชน์สาหรับผอู้ า่ นจะคน้ ควา้ เพิ่มเติมได้สะดวกขึน้
เครื่องหมายอญั ประกาศมี ๒ ลักษณะคอื
๑. อญั ประกาศคู่ มรี ปู ดังน้ี “ ”ประกอบด้วยอัญประกาศเปิด “ และอัญประกาศปิด ”
มหี ลักเกณฑก์ ารใช้ดังนี้
๑) ใช้เพอ่ื แสดงว่าคาหรอื ข้อความนั้นเปน็ คาพดู บทสนทนา หรอื ความนึกคดิ
๒) ใช้เพอ่ื แสดงว่าคาหรือขอ้ ความนั้นคดั มาจากทีอ่ ่ืน
๓) ใช้เพื่อเน้นความให้ชัดเจนขน้ึ
๔) ใชเ้ พอ่ื เนน้ คาหรอื ขอ้ ความเพื่อให้รู้ว่าคาหรือข้อความน้ัน เป็นสานวนหรือเป็นภาษา
ปาก ซง่ึ มคี วามหมายผิดไปจากความหมายปรกติ
๒. อัญประกาศเดี่ยว มีรูปดังนี้ ‘ ’ ประกอบด้วยอัญประกาศเปิด ‘ และอัญประกาศปิด ’
ใช้แทนเครอ่ื งหมายอัญประกาศคู่ในข้อความท่มี กี ารใช้เครื่องหมายอญั ประกาศคู่อย่แู ลว้
จากหนังสอื เรียนววิ ิธภาษา
มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 หนา้ 22-29
แผนการจดั การเรยี นรู้ 13 : พชิ ิตใจความ (๒) 61
-61-
ใบความรู้
“คากรยิ า”
ในแต่ละวัน เรามีอาการต่าง ๆ เช่น หิว อ่ิม ง่วง เจ็บ ฯลฯ เราทาอาการต่าง ๆ เช่น ย้ิม พูด เดิน
กระโดด หวั เรำะ ฯลฯ เรามคี วามร้สู กึ ต่าง ๆ เช่น สนุก เบื่อ ร้อน หนำว เหน่ือย ฯลฯ เราเห็นเพื่อนบางคน
สวย ขยัน อว้ น สงู เราเห็นน้าไหล ฝนตก นกบิน พระอาทิตย์ขึ้น ฯลฯ แต่บางคร้ังเราก็ไม่เห็น ไม่หิว ไม่ง่วง
ไม่เจ็บ ไม่ย้ิม ไม่พูด ไม่เดิน ไม่หัวเรำะ ฯลฯ คาที่บอกอาการ บอกความรู้สึก บอกลักษณะของส่ิงต่าง ๆ
ดังกลา่ วขา้ งต้นนน้ั ในทางหลกั ภาษาเรียกว่า คากรยิ า คากริยาเป็นคาหลกั ของประโยค คากริยาเป็นคาที่ใช้
กบั คาว่า ไม่ นาข้างหน้าได้ ทาใหค้ วามหมายเป็นปฏเิ สธ
ในการใช้ภาษานนั้ ใช้เพยี งคากริยาไมต่ ้องมีคาอ่นื กเ็ ป็นประโยคได้ เช่น
พดู บอกน้องท่ีกาลงั ข้ามถนนว่า “ระวงั ”
บอกเพ่อื นทเ่ี รากาลงั ถ่ายรปู ใหว้ ่า “ยิม้ ”
ตอบคาถามทแ่ี มถ่ ามว่าอาหารอรอ่ ยไหมวา่ “อรอ่ ย”
เราเรียกคากริยาเมื่อทาหน้าที่เป็นหน่วยประโยคว่า กริยาวลี นักเรียนคงจาได้ว่าประโยค
ประกอบด้วย นามวลี ซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นประธาน กับ กริยาวลี ซึ่งทาหน้าที่เป็นภาคแสดง กริยาเป็นส่วนท่ี
สาคญั ที่สุดของกรยิ าวลี จึงเป็นส่วนที่สาคัญของประโยค ต่อไปน้ีเป็นประโยคท่ีมีนามวลีเป็นประธานและมี
กรยิ าวลเี ป็นภาคแสดง
ประธาน ภาคแสดง
นก บนิ
นอ้ ง อว้ น
ฉนั ไมห่ วิ ขา้ ว
นอ้ งสาวหมอ สวย
เรา ลอยกระทงกนั
เขา น่งั ชมธรรมชาติ
กรมศลิ ปากร ปรบั ปรุงทา่ ราวง
ตอ่ ไปนเ้ี ป็นประโยคทม่ี ีแตภ่ าคแสดง ภาคแสดง
ประธาน มานซ่ี ิ
-
- ไปกันเถอะ
- เปดิ ประตูหนอ่ ย
- ทนไมไ่ หวแล้ว
แผนการจัดการเรยี นรู้ 14 : งามคาเลือกสรร (๑) 62
-62-
ใบความรู้
“คากริยา” (ต่อ)
คากรยิ ามี ๒ ประเภท ได้แก่ กรยิ าท่ีมหี น่วยกรรมกับกรยิ าท่ไี ม่มีหน่วยกรรม
๑. กริยาที่มหี นว่ ยกรรม ได้แก่ คากรยิ าสกรรม และ คากรยิ าทวกิ รรม
คากริยาสกรรม คือ คากรยิ าทม่ี ีนามวลีตามหลังทาหน้าทเี่ ปน็ กรรม เชน่
- ชาวนาเกย่ี วขา้ ว -นกั เรยี นเขยี นรปู
-แมส่ อนลกู
คากรยิ าทวกิ รรม คอื คากริยาทมี่ นี ามวลี 2 หนว่ ยตามหลัง นามวลีหน่วยหนึง่ ทาหนา้ ที่เปน็
กรรมตรง นามวลอี กี หนว่ ยหนงึ่ ทาหนา้ ที่เป็นกรรมรอง เชน่
-เขาสอนภาษาไทยเด็ก ๆ
(ภำษำไทย เปน็ กรรมตรง เด็ก ๆ เปน็ กรรมรอง)
- แม่ใหเ้ งนิ นอ้ ง
(เงิน เปน็ กรรมตรง น้อง เป็นกรรมรอง)
๒. กรยิ าท่ไี ม่มหี นว่ ยกรรม ได้แก่ คากรยิ าอกรรม คากรยิ าคณุ ศัพท์ คากริยาตอ้ งเติมเตม็ คากริยานา และ
คากรยิ าตาม
คากรยิ าอกรรม คอื คากริยาทไี่ มต่ ้องมนี ามวลีทาหน้าท่ีกรรมตามหลงั เชน่
- พระอาทิตย์ขน้ึ - น้องหัวเรำะ
คากริยาคุณศพั ท์ คือ คากรยิ าท่แี สดงคุณสมบตั ิหรอื สภาพของคานาม เช่น
- เด็กคนนสี้ วย - ละครสนกุ
คากรยิ าคุณศัพท์มลี ักษณะพิเศษทน่ี า่ สงั เกตคือ อาจเกดิ ร่วมกบั คาว่า กวำ่ หรอื ท่ีสดุ ได้ เช่น
- เส้ือตวั น้ีสวยกว่ำเสื้อตัวนั้น -แว่นตาอันนี้เก๋ท่สี ดุ
คากรยิ าคณุ ศพั ท์สามารถเกิดร่วมกบั ลกั ษณนามได้ เช่น
- ลกู สาวคนเก่ง - หนังสือเล่มใหม่
- บา้ นหลงั เก่ำ - ดนิ สอแทง่ ยำว
คากริยาตอ้ งเตมิ เตม็ คอื คากรยิ าทีต่ ้องมนี ามวลีตามหลงั แตน่ ามวลนี นั้ ไมไ่ ด้เปน็ กรรมของ
กริยา คากรยิ าตอ้ งเติมเต็ม ไดแ้ ก่ คาวา่ เปน็ เหมอื น คล้ำย เกดิ เท่ำ มี ปรำกฏ เชน่
- ลูกชาวเขาเปน็ นักร้อง - ปนี ้ีเกดิ น้าท่วมใหญ่
- เด็กคนนี้เหมอื นพอ่ มาก - ท่าราคลำ้ ยทา่ สอดสร้อยมาลา
แผนการจดั การเรียนรู้ 14 : งามคาเลือกสรร (๑) 63
-63-
ใบความรู้
“คากรยิ า” (ต่อ)
คากริยานา คือ คากริยาที่ปรากฏหน้ากริยาหลกั เพอื่ เพ่ิมความหมายของคากริยาหลัก เชน่
- คณุ ชว่ ยเปิดพัดลมหน่อย - เขาอยำกเรียนหนังสอื
- ฉันเตรยี มเย็บกระทง - นกั เรียนต้งั ใจเรียน
คากรยิ าตาม คอื คากริยาท่ปี รากฏหลังคากริยาอน่ื ความหมายของคากรยิ าตามเปน็ เพียง
ความหมายทเี่ นน้ หรอื บอกทิศทางของคากริยาที่มาข้างหน้า ไมไ่ ดม้ ีความหมายตรง ๆ ตามความหมายของ
คากรยิ าน้นั ไดแ้ ก่ คาว่า ไป มำ ข้นึ ลง เข้ำ ออก ให้ ไว้ เสยี เอำ เช่น
- เดก็ คนนี้เก่งออก - ทางานเร็วเข้ำ
- รถวิง่ เร็วข้นึ - เราไปไหว้พระมำ
- กินขา้ วเสยี ซิ
จากหนังสอื เรยี นววิ ธิ ภาษา
มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 หนา้ 114-117
แผนการจัดการเรยี นรู้ 14 : งามคาเลอื กสรร (๑) 64
-64-
ใบความรู้
“คาวเิ ศษณ์”
คาวเิ ศษณ์
คาวิเศษณ์ คือ คาที่ทาหน้าที่ขยายกริยา และใช้เป็นส่วนหลักของวิเศษณ์วลี คาวิเศษณ์ปรากฏ
ตามหลังกริยาวลี คาวิเศษณ์แบ่งได้เป็น ๔ ประเภท ได้แก่ คาวิเศษณ์สามัญ คาวิเศษณ์ขยายเฉพาะ
คาวิเศษณแ์ สดงคาถาม และคาวิเศษณ์บอกเวลา
คาวเิ ศษณส์ ามัญ คอื คาวเิ ศษณท์ ่ีขยายคากริยาทัว่ ไป เช่น
- ฉันเบอ่ื งานจัง - เขาเจ็บจริง ๆ
- คณุ ไม่ควรกงั วลจนเกินไป
คาวิเศษณ์ขยายเฉพาะ คอื คาวเิ ศษณ์ทขี่ ยายคากรยิ าคาใดคาหน่งึ โดยเฉพาะ เช่น
- เดก็ คนนีข้ าวจ๊วั ะ (จว๊ั ะ เป็นคาวเิ ศษณข์ ยายเฉพาะ ใช้ขยายกรยิ า ขาว)
- น้องเคยี้ วข้าวตุย้ ๆ (ตุ้ย ๆ เป็นคาวเิ ศษณข์ ยายเฉพาะ ใชข้ ยายกริยา เค้ยี ว)
- กระโปรงสนั้ จุ๊ดจู๋ (จุ๊ดจู๋ เปน็ คาวเิ ศษณ์ขยายเฉพาะ ใช้ขยายกริยา สั้น)
คาวเิ ศษณ์แสดงคาถาม คอื คาวิเศษณ์ท่ีใช้แสดงคาถาม เช่น
- ทำไมคณุ จงึ ไมม่ าทางาน
- เพรำะเหตใุ ด เขาจึงมายมื เงินเธอ
- อบุ ตั เิ หตเุ กิดขึน้ ได้อย่ำงไร
คาวิเศษณบ์ อกเวลา คือ คาวิเศษณท์ ี่มคี วามหมายบอกเวลา เช่น
- กลำงคนื มรี า้ นอาหารโต้รงุ่
- พรงุ่ น้เี ขาจะไปภูเก็ต
- เมอื่ กใ๊ี ครมา
- เราเลน่ ราวงเวลากลำงคนื
จากหนงั สอื เรียนววิ ธิ ภาษา
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 หนา้ 118
แผนการจัดการเรยี นรู้ 15 : งามคาเลอื กสรร (๒) 65
-65-
ใบความรู้
“นามวลแี ละกริยาวลี”
วลี คือ หน่วยภาษาซ่ึงเป็นองค์ประกอบของประโยค ถ้าองค์ประกอบของประโยคมีหลายคา
วลีก็มีหลายคา ถ้าองค์ประกอบของประโยคมีคาเดียว วลีก็เป็นคาเดียว คาหรือคาหลายคาถ้ายังไม่มี
หน้าที่เป็นองค์ประกอบของประโยคก็ไม่เรียกว่าวลี องค์ประกอบของประโยคโดยปรกติประกอบด้วย
ภาคประธานกับ ภาคแสดง ภาคประธานมีนามวลีเป็นองค์ประกอบสาคัญ ส่วนภาคแสดงมีกริยาวลี
เป็นองคป์ ระกอบสาคญั เช่น
ตัวอย่างประโยคท่วี ลีเปน็ คาเพยี งคาเดียว
ประโยค
นามวลี = คา (ทาหนา้ ที่เปน็ ประธาน) กรยิ าวลี = คา (ทาหนา้ ท่เี ป็นภาคแสดง)
กระโดด
แมว รา่ เริง
นักเรยี น ขยับ
ใบไม้
ตวั อย่างประโยคท่ีวลีเปน็ คาหลายคา
ประโยค
นามวลี = คาหลายคา กริยาวลี = คาหลาคา
(ทาหนา้ ทเ่ี ป็นประธาน) (ทาหนา้ ท่เี ปน็ ภาคแสดง)
แมวตัวเลก็ ๆ ๔- ๕ ตวั กระโดดออกนอกหน้าตา่ ง
นกั เรยี นทุกคนในโรงเรียน รา่ เริงกันอยา่ งเตม็ ท่ี
ใบไมท้ ั้งใบอ่อนและใบแก่ ขยบั ไปตามแรงลม
แผนการจัดการเรียนรู้ 16 : งามคาเลอื กสรร (๓) 66
-66-
ใบความรู้
“นามวลแี ละกรยิ าวลี” (ต่อ)
วลมี ีหลายประเภท ไดแ้ ก่ นามวลี กรยิ าวลี วิเศษณ์วลี ปรมิ าณวลี และบุพบทวลี แต่ในหนังสือเรยี น
ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๒ นี้ จะกลา่ วถึงแต่กรยิ าวลี ซึ่งเปน็ วลที ี่สาคัญที่สดุ ในประโยค ประโยคอาจไมม่ ีนามวลี
วิเศษณ์วลี ปริมาณวลี หรือบพุ บทวลีก็ได้ แต่จะขาดกริยาวลไี มไ่ ด้ คอื ประโยคทกุ ประโยคยอ่ มตอ้ งมกี ริยาวลี
อยู่ด้วยเสมอ เชน่
ลีลาท่าราของราวง (ไมใ่ ช่ประโยค เพราะไม่มกี รยิ าวลี)
ลีลาท่าราของวงมีเพียงกำรกรำยมือไปมำ (เปน็ ประโยค กรยิ าวลีของประโยคน้ีคอื มเี พยี งกำรกรำยมอื ไปมำ)
นาฬิกาข้อมอื เรือนใหม่ (ไมใ่ ชป่ ระโยค เพราะไมม่ กี ริยาวลี)
นาฬิกาขอ้ มือเดินไม่ตรงเวลำ (เป็นประโยค กริยาวลขี องประโยคน้คี อื เดินไม่ตรงเวลำ)
นกั เรยี นโรงเรียนอาชีวศกึ ษา (ไมใ่ ช่ประโยค เพราะไม่มีกรยิ าวลี)
นักเรยี นขา้ มถนนตรงทำงม้ำลำย (เปน็ ประโยค กรยิ าวลีของประโยคนี้คือ ขำ้ มถนนตรงทำงม้ำลำย)
รา้ นขายอาหารตามส่งั (ไมใ่ ช่ประโยค เพราะไมม่ ีกริยาวลี)
เปิดร้านขายอาหารตามส่ัง (เป็นประโยค กริยาวลีของประโยคน้คี ือ เปิดรำ้ นขำยอำหำรตำมส่งั )
กริยาวลี คือ วลีทีป่ ระกอบดว้ ยคากรยิ าอยา่ งน้อย ๑ คา หรือประกอบด้วยคากริยาซ่ึงใช้เป็นส่วนหลัก
ของกรยิ าวลีกับคาอ่ืน ๆ ซึ่งทาหน้าที่เป็นกรรมของกริยา เป็นส่วนเติมเต็มของกริยา ส่วนขยายกริยา ฯลฯ
กริยาวลเี ป็นสว่ นประกอบสาคญั ของประโยค ใชแ้ สดงอาการ แสดงสภาพ แสดงสถานะ หรือแสดงความรู้สึก
ของคานามซ่ึงทาหน้าทเ่ี ปน็ ประธานของประโยค เช่น
ประโยค เพ่ือนสนิทของเขาผลุนผลันออกจำกบ้ำนไป กริยาวลีของประโยคนี้คือ ผลุนผลันออกจำก
บ้ำนไป แสดงอาการของประธานประโยคคือ เพ่ือนสนิทของเขา คากริยา ผลุนผลัน ใช้เป็นส่วนหลักของ
กริยาวลนี ี้
ประโยค สักต้นน้ีสูงใหญ่มำก กริยาวลีของประโยคน้ีคือ สูงใหญ่มำก แสดงสภาพของประธาน
ของประโยค คอื สกั ตน้ นี้
ประโยค ข้าวผัดกะเพราไก่เป็นอำหำรจำนโปรดของใครหลำยคน กริยาวลีของประโยคน้ีคือ
เป็นอำหำรจำนโปรดของใครหลำยคน แสดงสถานะของประธานของประโยค คือ ข้าวผัดกะเพราไก่ คากริยา
เป็น ใชเ้ ป็นสว่ นหลักของกริยาวลีนี้
ประโยค เจ้าหน้าที่ทุกคนต่ำงพำกันโล่งอก กริยาวลีของประโยคนี้คือ ต่ำงพำกันโล่งอก
แสดงความรสู้ ึกของประธานของประโยค คือ เจ้าหน้าทีท่ กุ คน
แผนการจดั การเรียนรู้ 16 : งามคาเลือกสรร (๓) 67
-67-
ใบความรู้
“นามวลีและกรยิ าวล”ี (ต่อ)
คาต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของกริยาวลีมักปรากฏอยู่หลังคากริยาซึ่งเป็นส่วนหลักของกริยาวลี
ยกเว้นคาชว่ ยกริยาซึ่งมกั ปรากฏอยู่หน้ากรยิ าวลี เช่น
ประโยค แม่ครัวเพ่ิงทำกับข้ำวเสร็จ กริยาวลีของประโยคนี้คือ เพิ่งทำกับข้ำวเสร็จ ส่วนหลักของ
กริยาวลีคอื คากรยิ า ทำ หนา้ คากริยามคี าช่วยกริยา เพิ่ง หลงั คากรยิ ามคี าอนื่ ๆ อีกหลายคา
ในประโยคสามัญประเภทใช้กริยาเรียง คากริยาซ่ึงเป็นส่วนหลักของกริยาวลีจะมีมากกว่า ๑ ส่วน
เช่น
ประโยค แต่ก่อนชาวนาจะช่วยกันปักดำข้ำวกล้ำในนำ กริยาวลีของประโยคนี้คือ จะช่วยกันปักดำ
ข้ำวกล้ำในนำ ส่วนหลักของกริยาวลีในประโยคนี้ คือ คากริยา ช่วย และคากริยา ปักดำ (จะ เป็นคาช่วย
กริยา กนั เป็นวิเศษณ์ ขา้ วกล้า เปน็ กรรม ในนา เปน็ วเิ ศษณ์)
ประโยค หนมุ่ สาวจับครู่ ำวงกนั สนุกสนำน กริยาวลีของประโยคน้ีคือ จับคู่รำวงกันสนุกสนำน ส่วน
หลักของกรยิ าวลีในประโยคนีค้ อื คากรยิ า จับคู่ และ คากรยิ า รำวง
จากหนังสือเรียนวิวิธภาษา
มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 หน้า 119-121
แผนการจัดการเรียนรู้ 16 : งามคาเลอื กสรร (๓) 68
-68-
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7
สือ่ ความเหน็ เนน้ กระบวนการ
ชวนคิดแสดงความเหน็
จบั ประเดน็ เน้นคณุ คา่
ร้อยภาษาเป็นบทกลอน
สะทอ้ นผลงานกลอนดอกสรอ้ ย
-69-
ใบความรู้
“ข้อคดิ เหน็ ”
ข้อคิดเห็น
ขอ้ คิดเห็นหรือความคิดเหน็ เปน็ ผลจากกระบวนการทางานของสมองมนษุ ยว์ า่ รสู้ ึกหรือคดิ เห็น
เก่ยี วกับเร่ืองต่าง ๆ ทร่ี บั รูอ้ ย่างไร เชน่ รู้สึกพอใจ ชอบ ชิงชงั เบ่อื คล้อยตาม ไม่เหน็ ดว้ ย ฯลฯ
เนอ่ื งจากมนษุ ยแ์ ต่ละคนรูส้ กึ และมีความคิดเห็นตอ่ สิ่งท่ีรับรู้ไม่เหมือนกัน ข้อคิดเห็นของมนุษย์
ตอ่ สิง่ เดยี วกนั จึงอาจเหมอื นกันหรือแตกต่างกันก็ได้ ความคิดเห็นอาจแตกต่างกันมากหรือแตกต่างกันน้อย
ก็ได้ เชน่ ความรู้สึกและความคิดตอ่ ดอกไม้ ๓ ชนิด คือ กุหลาบ มะลิ และเฟ่อื งฟา้ บางคนอาจชอบกุหลาบ
และมะลิเพราะมีกล่ินหอม ไม่ชอบเฟ่ืองฟ้าเพราะดอกของเฟื่องฟ้าไม่มีกล่ิน บางคนอาจชอบกลิ่นของ
กุหลาบมากกว่ามะลิ ในขณะที่บางคนกลับชอบกลิ่นของมะลิมากกว่า ส่วนคนท่ีแพ้กล่ินและเกสรดอกไม้
อาจชอบเฟ่ืองฟ้า และไม่ชอบกุหลาบไม่ชอบมะลิ มนุษย์แต่ละคนจึงแสดงความคิดเห็นต่อดอกไม้ทั้ง
๓ ชนิดเป็นข้อคิดเห็นต่าง ๆ กัน เช่น ดอกกุหลาบมีกลิ่นหอมน่าหลงใหลกว่าดอกมะลิ กลิ่นของมะลิหอม
สดช่ืนกว่ากล่ินกุหลาบ เฟ่ืองฟ้าสวย แต่ไม่มีเสน่ห์เพราะดอกไม่มีกล่ิน ถ้าเฟ่ืองฟ้ามีกล่ินหอมอย่างกุหลาบ
ก็น่าจะดี มะลมิ ีดอกสวยกล่นิ หอม แต่กล่ินฉนุ เกนิ ไป เป็นต้น
ขอ้ ความต่อไปน้เี ปน็ ตัวอยา่ งเพิม่ เติมแสดงภาษาทีใ่ ช้ถ่ายทอดข้อคิดเห็นหรือความคิดเหน็
- ถ้าทเุ รยี นไมม่ หี นามกค็ งจะดี
- พอเปลี่ยนสผี นังใหม่ หอ้ งนีก้ ด็ ูกว้างขน้ึ
- แสงดงึ อารมณ์ผูช้ มละครเวทีไดด้ ีกวา่ เสียง
- ไฟแยงตาแบบน้ี คงนอนไมห่ ลบั แน่ ๆ
- ผ้ชู ายทม่ี อี ารมณ์ขันเป็นคนมีเสนห่ ์
- ปัจจุบนั ประเทศไทยมีประชากรมากเกินไป
- อากาศของเมอื งไทย ถ้ารอ้ นน้อยกวา่ น้ีกค็ งจะดี
- กว๋ ยเตี๋ยวผัดซีอวิ้ เจ้านีน้ า่ กินมาก
- หนงั สือเลม่ นีใ้ ช้ศัพทย์ ากมาก
- โทรศัพท์มอื ถือเปน็ เครือ่ งมือสื่อสารที่แสดงความทนั สมยั
- อุบตั ิเหตคุ ร้งั นี้ไม่นา่ เกดิ ถ้าเขาไม่ขับรถเร็วจนเกนิ ไป
- ผมวา่ ทส่ี มศกั ดิท์ อ้ งเสยี คงเพราะอาหารรสจัดเมอื่ กลางวัน
- เขาคงงว่ ง เหน็ หาวมาหลายรอบแลว้
แผนการจดั การเรยี นรู้ 1 : ชวนคดิ แสดงความเห็น (๑) 70
-70-
ใบความรู้
“ข้อคดิ เห็น” (ต่อ)
- กินยาและพกั ผ่อนให้เตม็ ท่ีสกั ๒ - ๓ วัน อาการคงทุเลาขน้ึ
- ผมต่นื ข้ึนมายามสาย แตเ่ ปน็ วันทผี่ มไมส่ าย
- ภาพถา่ ยคอื อดตี ท่ีบันทึกไว้ได้
- เวลาของนกั โทษทถ่ี ูกจองจาเดนิ ชา้ กว่าเวลาของคนทวั่ ไป
ควรสังเกตว่าภาษาที่แสดงข้อเท็จจริงมักปรากฏคาที่บ่งชี้ว่าเป็นความรู้สึกหรือความคิดเห็น
เช่น วา่ คิดวา่ มีความเห็นวา่ สันนษิ ฐานว่า นา่ จะ ควร คง ฯลฯ เชน่
- ประเทศไทยคงลงทุนสรา้ งรถไฟความเร็วสูงในไม่ชา้ นี้
- ผมวา่ ถา้ เด็กติดเกมคอมพวิ เตอร์ จินตนาการของเดก็ จะถูกทาลาย
พัฒนาการทางรา่ งกายก็จะมีปัญหาเพราะเดก็ ไม่ค่อยไดอ้ อกกาลงั กาย
- ทว่ี ่าอดุ หนุนสนิ คา้ ไทยน้ัน เพยี งแค่ซ้อื ของท่ผี ลิตในประเทศไทยคงไม่พอ
เราควรใชข้ องทคี่ นไทยเปน็ ผู้ผลติ คนไทยเปน็ เจา้ ของกจิ การดว้ ย
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรถือเป็นหลักตายตัวว่า ข้อความที่ปรากฏคาดังกล่าวจะต้องเป็นข้อคิดเห็น
ไปทุกกรณี ควรพิจารณาด้วยว่า ข้อความน้ันเป็นข้อความที่แสดงปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นจริงหรือ
เป็นข้อความที่แสดงความคิดพิจารณาต่อปรากฏการณ์ เช่น ข้อความว่า บรรพตรู้ว่าตนเป็นคนสายตาสั้น
เป็นข้อเท็จจริงเพราะบรรพตเคยไปตรวจสายตามา จึงรู้สภาพความผิดปรกติเกี่ยวแก่สายตาของตน
แต่ขอ้ ความว่า ผมว่าบรรพตเป็นคนสายตาสน้ั เป็นข้อคิดเห็นท่ีผู้พูดมีต่อบรรพต ความคิดเห็นดังกล่าวอาจ
ได้จากการสังเกตว่าบรรพตชอบถามเพื่อน ๆ ว่ารถเมล์ที่กาลังแลน่ เข้าหาปา้ ยเป็นรถเมลส์ ายอะไร
จากหนังสือวิวิธภาษา
มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 หน้า 193 - 195
แผนการจัดการเรยี นรู้ 1 : ชวนคดิ แสดงความเห็น (๑) 71
-71-
ใบงาน
“วิเคราะหข์ อ้ เท็จจริงและขอ้ คดิ เห็นจากเร่อื ง ง้ิว”
คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนอา่ นเรือ่ งงิ้ว จากนน้ั วิเคราะหข์ อ้ เท็จจรงิ และข้อคิดเห็นจากบทอา่ นดังกลา่ ว
“งิ้วเป็นของคู่กับศาลเจ้า เม่ือมีงานฉลองศาลเจ้า คนที่ชอบดูงิ้วก็จะได้ชมงิ้วกันจุใจ
เพราะงานฉลองศาลเจ้าแต่ละคร้ัง มักมีไม่ต่ากว่า ๓ วัน สันนิษฐานว่างิ้วคณะแรกที่จัดแสดงใน
ประเทศไทยว่าจ้างมาจากเมอื งจนี ต่อเมื่อมีผ้นู ิยมชมงว้ิ กนั มากขึ้น จึงเกิดคณะฝึกหัดจิ๋วและจัดแสดง
งิ้วขน้ึ ในเมอื งไทย เอกสารทางประวัติศาสตร์หลายชิน้ ระบุว่า ในงานสมโภชพระนคร หรือสมโภชพระ
อารามใหญ่ ๆ มกั จดั แสดงงวิ้ ร่วมกบั มหรสพและ การแสดงอื่น ๆ ด้วย สมัยเม่ือง้ิวเฟ่ืองฟู ได้เกิดคณะ
ฝึกหัดและแสดง ง้ิวหลายคณะ แต่ปัจจุบันคณะแสดงง้ิวมีน้อยลง คงเป็นเพราะมีค่าใช้จ่ายมาก
ส่วนผูช้ มมีนอ้ ยลง ลูกหลานชาวจนี ในเมอื งไทย ไม่ดูง้ิวเพราะฟังภาษาจีนออกกันน้อยลง ประกอบกับ
หันไปนยิ มภาพยนตร์มากกว่า ผทู้ ี่ยงั ตดิ ง้ิวอย่จู งึ มเี พียงผ้เู ฒ่าผู้แก่ ชาวจนี เท่านน้ั ”
ข้อเท็จจรงิ ข้อคิดเหน็
แผนการจดั การเรียนรู้ 1 : ชวนคดิ แสดงความเหน็ (๑) 72
-72-
ใบความรู้
“ท่ีมา ความสาคญั และลกั ษณะคาประพันธ์
ของกลอนดอกสร้อยราพึงในป่าชา้ ”
จากทอมัส เกรย์ ถงึ พระยาอุปกิตศิลปสาร
กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้ามีที่มาจากกวีนิพนธ์เร่ือง Elegy Written in a Country
Churchyard ของ ทอมัส เกรย์ (Thomas Gray) กวีอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษ
ที่ ๑๘ กลา่ วกันว่ากวนี ิพนธ์บทน้ีเขียนข้ึนที่สุสานเก่าแก่ของเมืองสโตกโปจส์ (Stoke Poges) ในมณฑล
บักกิงแฮมเชอร์ (Buckinghamshire) เม่ือประมาณ พ.ศ. ๒๒๘๕ หลังจากมรณกรรมของญาติใกล้ชิด
และเพอ่ื นรกั ของเกรย์ในเวลาไลเ่ ลี่ยกัน โดยท่ัวไปงานประเภท elegy (ราชบัณฑิตยสถานใช้ว่า บทร้อย
กรองกาสรด) คือ โคลงไว้อาลัยซงึ่ มีเนอื้ หาเป็นการครา่ ครวญเก่ียวกับมรณกรรมของบุคคลใดบุคคลหน่ึง
โดยเฉพาะแต่กวีนิพนธ์ของเกรย์เร่ืองน้ี ใช้คาว่า eleg ให้กว้างออกไปในความหมายว่า การราพึง
เก่ียวกับความตายของมนุษย์ตลอดจนส่ิงที่บุคคลเหล่าน้ันเห็นว่ามีคุณค่า ด้วยเนื้อหาอันแสดงสัจธรรม
ของชีวิตและถ้อยคาภาษาที่สละสลวย ทาให้บทประพันธ์บทนี้เป็นบทร้อยกรองกาสรด ของอังกฤษที่มี
ช่ือเสยี งมากท่สี ุด
พระยาอุปกิตศิลปสาร (น่ิม กาญจนาชีวะ) ผู้ถ่ายทอด Elegy Written in a Country
Churchyard มาเป็นกลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า เป็นกวีคนสาคัญคนหนึ่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ผลงานประพันธ์ของท่านส่วนใหญ่
มีลักษณะเป็นกาพย์กลอนแห่งความคิด คือเป็นกวีนิพนธ์ขนาดสั้นที่มุ่งแสดงความคิดหรือความรู้สึก
ของกวี ต่างกับวรรณคดี ในยุคก่อนท่ีนิยมแต่งเป็นเร่ืองยาวโดยนาเร่ืองมาจากนิทานหรือ ชาดก
กวีนิพนธ์ขนาดส้ันซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากท่ีสุดของพระยาอุปกิตศิลปสารคือ เร่ืองกลอนดอกสร้อยราพึง
ในปา่ ช้าน่เี อง เนือ่ งจากไดร้ บั คัดเลือกให้เป็นบทเรียนของนักเรยี นระดับมธั ยมศึกษามานานหลายสิบปี
พระยาอุปกิตศิลปสารได้ประพันธ์กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้าจากต้นฉบับแปล ของ
เสฐียรโกเศศ โดยแต่งเป็นกลอนดอกสร้อยจานวน ๓๓ บท เพ่ิมขึ้นจากบทประพันธ์ภาษาอังกฤษหนึ่งบท
ในหนังสือเรียนนี้ได้คัดมาให้นักเรียนศึกษา ๒๑ บท ในหมายเหตุ ก่อนเข้าสู่ตัวบท ผู้ประพันธ์ได้แจ้งไว้
ชัดเจนว่า “จำกภำษำอังกฤษซึ่งท่ำนเสฐียรโกเศศ แปลให้ ข้ำพเจ้ำได้แต่งดัดแปลงให้เข้ำธรรมเนียมไทยบ้ำง”
การนาตัวบทวรรณคดีตะวนั ตก มาแปลและดัดแปลงให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและรสนิยมของคนไทย
นบั เปน็ ลักษณะเด่นประการหนึ่งของการประพันธ์วรรณคดีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยหู่ วั
แผนการจดั การเรยี นรู้ 3 : จบั ประเด็นเนน้ คุณคา่ (๑) 73
-73-
ใบความรู้
“ที่มา ความสาคัญ และลกั ษณะคาประพนั ธ์
ของกลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในป่าช้า” (ตอ่ )
การแต่งดดั แปลงใหเ้ ข้าธรรมเนียมไทย
การใช้กลวิธี “แต่งดัดแปลงให้เข้าธรรมเนียมไทย” ถือเป็นส่ิงสาคัญที่ทาให้กลอนดอกสร้อย
ราพึงในป่าช้าเป็นบทประพันธ์ที่มีคุณค่าสูง เพราะเนื้อหาอันเป็นสากลได้รับการถ่ายทอดผ่านฉันท
ลักษณ์ และขนบทาง วรรณศิลป์ของร้อยกรองไทย จึงเกิดเป็นบทประพันธ์อันไพเราะตรึงใจผู้อ่าน
คุณค่าในด้านเนื้อหาของบทราพึงในป่าช้าอยู่ที่การมุ่งแสดงความจริงเก่ียวกับชีวิตมนุษย์ โดยเสนอ
แนวคิดหลกั ว่ามนษุ ย์ทกุ ผู้ทกุ นาม ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสาคัญหรือชนสามัญ ไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายไป
ได้ ดงั กลอนบทหนง่ึ กล่าวไวว้ ่า
สกลุ เอย๋ สกุลสงู ชักจูงจิตฟูชูศักดศิ์ รี
อานาจนาความสง่าอา่ อนิ ทรีย์ ความงามนาให้มีไมตรีกัน
ความร่ารวยอวยสขุ ใหท้ ุกอย่าง เหล่าน้ีตา่ งรอตายทาลายขันธ์
วิถแี ห่งเกยี รติยศทงั้ หมดน้นั แต่ลว้ นผันมาประจบหลุมศพเอย
แนวคิดสาคัญเร่ืองความเป็นอนิจจังของชีวิตนี้สอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่
ว่าด้วยความไม่เท่ียงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง ส่ิงนี้น่าจะเป็นเหตุผลสาคัญประการหน่ึงท่ี
ทาให้พระยาอุปกิตศิลปสารเลือกกวีนิพนธ์ของ ทอมัส เกรย์บทนี้มาถ่ายทอดสู่ผู้อ่านชาวไทย โดย
ปรบั เปลยี่ นการอ้างถึงพืชพรรณและสัตว์ซ่ึงเป็นที่รู้จักกันดีในวัฒนธรรมตะวันตกให้เป็นพืชและสัตว์ท่ีมี
ในเมืองไทยได้อย่างสอดคล้องกลมกลืน เช่น เปลี่ยนต้นไอวี (Ivy) เป็น เถาวัลย์ ต้นเอล์ม (Elm) เป็นต้น
โพธ์ิ แมลงบีตเทิล (Beetle) เป็นจังหรีดและเรไร นอกจากนั้นยังได้ปรับเปล่ียนการอ้างถึงบุคคลสาคัญ
ของอังกฤษในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๗ มาเป็นบุคคลสาคัญของไทย เช่น เปลี่ยน จอห์น แฮมพ์เด็น
(John Hampden) นักการเมืองผู้มีชื่อเสียงในการต่อสู้เพื่อท้องถ่ินของตนเป็นชาวบ้านบางระจัน
เปลี่ยนจอห์น มิลตัน (John Milton) กวีเอกของอังกฤษ เป็นศรีปราชญ์ ในกรณีที่ไม่สามารถหาบุคคล
สาคัญของไทยท่ีเหมาะสมได้ ท่านผู้ประพันธ์จะใช้วิธีกล่าวถึงลักษณะเด่นโดยไม่ระบุนาม เช่น
“ผู้กู้บ้านเมืองเร่ืองปัญญา” ซ่ึงปรับมาจาก โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Oliver Cromwell) นักการทหาร
และนักการเมืองคนสาคัญ การปรับเปล่ียนการอ้างถึงบุคคลน้ี นอกจากจะทาได้อย่างแนบเนียนแล้ว
ยังสามารถสอื่ ความหมายของบทประพนั ธ์ได้อย่างชดั เจนแจ่มแจ้ง
แผนการจัดการเรยี นรู้ 3 : จบั ประเด็นเน้นคณุ ค่า (๑) 74
-74-
ใบความรู้
“ท่มี า ความสาคัญ และลกั ษณะคาประพันธ์
ของกลอนดอกสร้อยราพงึ ในป่าช้า” (ต่อ)
ลกั ษณะคาประพันธข์ องกลอนดอกสรอ้ ยราพึงในปา่ ชา้
กลอนดอกสร้อย เป็นกลอนที่ใช้เพ่ือกล่าวถึงเรื่องสั้น ๆ เรื่องใดเร่ืองหน่ึงแต่งเป็นสุภาษิต
หรือบทพรรณนาเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง กลอนดอกสร้อยกาหนดให้ วรรคที่ ๑ ใช้คา ๔ คาและคาที่ ๒
เป็น คาวา่ เอ๋ย เช่น วงั เอ๋ยวังเวง เดก็ เอ๋ยเด็กน้อย แมวเอย๋ แมวเหมียว กลอนดอกสร้อยนิยมแต่งให้บท
หน่งึ มี ๔ คากลอน และคาสุดทา้ ยต้องลงดว้ ยคาว่า เอย เช่น
วังเอ๋ยวงั เวง หงา่ งเหงง่ ! ย่าค่าระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผา่ นท้องทุง่ มุ่งถน่ิ ตน
ชาวนาเหน่ือยอ่อนตา่ งจรกลบั ตะวนั ลบั อบั แสงทกุ แห่งหน
ท้งิ ทุง่ ให้มืดมัวทัว่ มณฑล และทิ้งตนตเู ปลี่ยวอยเู่ ดยี วเอย
ราพงึ ในปา่ ช้า ของ พระยาอปุ กติ ศิลปสาร (น่ิม กาญจนาชีวะ)
แผนการจัดการเรียนรู้ 3 : จบั ประเดน็ เน้นคณุ คา่ (๑) 75
-75-
ใบงาน
“กลอนดอกสร้อยราพงึ ในปา่ ชา้ ”
คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเตมิ เครอื่ งหมาย หนา้ ขอ้ ความทถ่ี ูก และเติมเครอื่ งหมาย หนา้ ข้อความท่ผี ดิ
และแกไ้ ขข้อความที่ผิดใหถ้ กู ตอ้ ง
.................... ๑. ผู้แตง่ กลอนดอกสร้อยราพงึ ในป่าชา้ คือ เสฐียรโกเศศ
(............................................................................................................................ ........................)
.................... ๒. ต้นฉบับเดมิ ของกลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า คือหนังสือท่ีมีชื่อเรื่องว่า Elegy Written
In a Country Churchyard
(............................................................................................................................ ........................)
.................... ๓. ทอมัส เกรย์ กวีชาวอเมริกันเป็นผู้แต่งเรื่อง Elegy Written In a Country
Churchyard ขนึ้ เพราะการมรณกรรมของญาติใกล้ชิดและภรรยาทร่ี ักในเวลาไล่เลี่ยกัน
(............................................................................................................................ ........................)
.................... ๔. พระยาอุปกติ ศิลปสารเปน็ กวีในยุคสมยั รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั
(............................................................................................................................ ........................)
.................... ๕. บทประพันธ์กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้าท่ีพระยาอุปกิตศิลปสารแต่งข้ึนใหม่มีทั้งสิ้น
๓๓ บท โดยแตง่ เพม่ิ จากบทประพนั ธ์ภาษาอังกฤษ ๑ บท
(............................................................................................................................ ........................)
.................... ๖. แนวความคิดหลักของเรื่องกลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า คือเรื่องของบาปบุญคุณโทษ
และความเช่ือเรอื่ งกฎแห่งกรรม
(............................................................................................................................ ........................)
.................... ๗. กวีได้ใช้การปรับเปลี่ยนเน้ือหาให้เข้ากับสังคมไทยมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนบุคคลสาคัญ
ขององั กฤษให้เปน็ บุคคลสาคญั ของไทย
(............................................................................................................................ ........................)
.................. ๘. เรอ่ื งกลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในป่าชา้ ท่ีคดั มาเป็นบทเรียน มีทงั้ สิ้น ๓๓ บท
(............................................................................................................................ ........................)
.................. ๙. บทประพันธ์กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าช้า มีฉากของเรื่องอยู่ท่ีหมู่บ้านของชาวนาเป็น
หลัก
(............................................................................................................................ ........................)
.................. ๑๐. พระยาอุปกิตศิลปสาร คือผู้คิดคาว่า “สวัสดี” และเคยเป็นอาจารย์ท่ีคณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั
(............................................................................................................................ ...............)
แผนการจัดการเรียนรู้ 3 : จบั ประเด็นเนน้ คุณคา่ (๑) 76
-76-
ใบความรู้
“บทกถามุข กลอนดอกสร้อยราพึงในปา่ ช้า”
ดังได้ยินมา สมัยหนึ่ง ผู้มีช่ือต้องการความวิเวก, เข้าไปนั่งอยู่ ณ ที่สงัดในวัดชนบท เวลาตะวัน
รอน ๆ, จนเสียงระฆังย้าบอกสิ้นเวลาวัน ฝูงโคกระบือ และพวกชาวนาพากันกับท่ีอยู่เป็นหมู่ ๆ. เมื่อสิ้น
แสงตะวันแล้วได้ยินแต่เสียงจังหรีดเรไร กับเสียงเกราะในคอกสัตว์. นกแสกจับอยู่บนหอระฆังก็ร้องส่ง
สาเนียง. ณ ที่น้ันมีต้นไทรต้นโพธ์ิสูงใหญ่ ใต้ต้นล้วนมีเนินหญ้า กล่าวคือที่ฝังศพต่าง ๆ อันแลเห็นด้วย
เดือนฉาย. ศพในที่เช่นน้ันก็เป็นศพพวกชาวไร่ชาวนาน่ันเอง. ผู้นั้นมีความรู้สึกเยือกเย็นใจอย่างไร
แลว้ ราพงึ อย่างไรในหมูศ่ พ, ไดเ้ ขยี นความในใจนน้ั ออกมาสูก่ ารดังตอ่ ไปนี้
(กถามุขน้ี นาคะประทีป เรยี บเรยี ง)
แผนการจดั การเรียนรู้ 4 : จับประเดน็ เนน้ คุณค่า (๒) 77
-77-
ใบความรู้
“กลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในป่าช้า”
๑ วงั เอย๋ วงั เวง หงา่ งเหง่ง! ย่าคา่ ระฆงั ขาน
ฝงู ววั ควายผ้ายลาทวิ ากาล ค่อยค่อยผา่ นทอ้ งทุง่ มุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนอ่ื ยอ่อนตา่ งจรกลับ ตะวันลับอบั แสงทุกแหง่ หน
ทง้ิ ทุ่งใหม้ ดื มัวทว่ั มณฑล และทงิ้ ตนตูเปลีย่ วอยเู่ ดยี วเอย
ปถพมี ืดมวั ทว่ั สถาน
๒ ยามเอ๋ยยามนี้ สงัดปานปา่ ใหญ่ไรส้ าเนียง
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล เรไรหรงิ่ ! ร้องขรมระงมเสียง
มีก็แต่เสยี งจังหรดี กระกรดี กรง่ิ ! ร้วู า่ เสียงเกราะแวว่ แผ่วแผว่ เอย
คอกควายววั รัวเกราะเปาะแปะ ! เพียง จับจอ้ งร้องแจก๊ เพยี งแถกขวญั
มีเถาวลั ย์รงุ รงั ถงึ หลงั คา
๓ นกเอ๋ยนกแสก คนมาสู่ซอ่ งพักมันรักษา
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจนั ทร์ ให้เส่ือมผาสกุ สันตข์ องมันเอย
เหมอื นมนั ฟอ้ งดวงจนั ทรใ์ ห้ผนั ดู สูงใหญ่รากยอ้ ยห้อยระยา้
ถอื เปน็ ท่ีรโหฐานนมนานมา มีเนนิ หญ้าใต้ต้นเกลอ่ื นกลน่ ไป
ดษุ ณนี อนราย ณ ภายใต้
๔ ตน้ เอ๋ยตน้ ไทร เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวนั เอย
และตน้ โพธพ์ิ ุม่ แจ้แผ่ฉายา หมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ล้วนรา่ งคนในเขตประเทศน้ี เตอื นนกแอน่ ลมผายแผดสาเนียง
แหง่ หลมุ ลกึ ลานสลดระทดใจ ท้ังไกข่ นั แขง่ ดุเหวา่ ระเรา้ เสยี ง
พ้นสาเนยี งที่จะปลุกให้ลกุ เอย
๕ หมดเอย๋ หมดห่วง ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ถึงลมเช้าชวยชื่นร่นื สบาย ทุกเวลาเช้าเย็นเปน็ นริ ันดร์
อยตู่ ามโรงมุงฟางข้างข้างนน้ั เหน็ พอ่ กลบั ปล้มื เปรมเกษมสันต์
โอ้เหมอื นปลุกรา่ งกายนอนรายเรียง สารพันทอดทิ้งทุกส่งิ เอย
๖ ทอดเอ๋ยทอดทงิ้
ท้ิงเพอื่ นยากแม่เหย้าหาขา้ วปลา
ทงิ้ ท้งั หนูน้อยนอ้ ยร่อยร่อยรบั
เขา้ กอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ
พระยาอปุ กติ ศิลปสาร
จากหนงั สอื วรรณคดีวิจักษ์ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 หน้า 125 -126
แผนการจดั การเรียนรู้ 5 : จบั ประเด็นเน้นคุณคา่ (๓) 78
-78-
ใบความรู้
“กลอนดอกสรอ้ ยราพึงในปา่ ชา้ ”
๗ กองเอย๋ กองขา้ ว กองสูงราวโรงนายงิ่ นา่ ใคร่
เกดิ เพราะการเกบ็ เก่ียวด้วยเคยี วใคร ใครเลา่ ไถคราดพนื้ ฟน้ื แผ่นดิน
เชา้ กข็ ับโคกระบอื ถือคนั ไถ สาราญใจตามเขตประเทศถิน่
ยึดหางยามยักไปตามใจจนิ ต์ หางยามผนิ ตามใจเพราะใครเอย
อยา่ บนั ดาลดลใจให้ใฝฝ่ ัน
๘ ตัวเอ๋ยตัวทะยาน และความครอบครองกันอนั ช่นื บาน
ดถู กู กจิ ชาวนาสารพนั มีปวัตตเิ์ ป็นไปไม่วิตถาร
เขาเป็นสขุ เรยี บเรยี บเงยี บสงดั ดูหมิน่ การเปน็ อยเู่ พือ่ นตูเอย
ขออยา่ ได้เยย้ เยาะพดู เราะราน ชักจูงจิตฟชู ศู ักดศ์ิ รี
ความงามนาให้มไี มตรกี นั
๙ สกลุ เอ๋ยสกลุ สงู เหลา่ นี้ตา่ งรอตายทาลายขันธ์
อานาจนาความสงา่ อ่าอินทรีย์ แตล่ ว้ นผนั มาประจบหลุมศพเอย
ความรา่ รวยอวยสุขให้ทกุ อยา่ ง เจา้ อยา่ ชิงติซากวา่ ยากไร้
วิถีแห่งเกียรตยิ ศทงั้ หมดนนั้ ท่ีระลึกส่งิ ไรก็ไม่มี
เคร่ืองแสดงเกยี รติยศเลศิ ประเสรฐิ ศรี
๑๐ ตวั เอ๋ยตัวหยงิ่ เป็นอนุสาวรียส์ งา่ เอย
เห็นจมดินนา่ สลดระทดใจ ถงึ อธึกงามลบในภพพ้ืน
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาตติ บแตง่ เสียงชมชื่นเชดิ ชคู ณุ ผตู้ าย
สร้างสานการบญุ หนนุ พลี จะกระเทือนถงึ กรรณนัน้ อย่าหมาย
ชเู กียรตญิ าติไปภายภาคหน้าเอย
๑๑ ทีเ่ อ๋ยท่รี ะลึก ยามตายจมพน้ื ดาษด่ืนหลาม
ก็ไม่ชวนชีพทีด่ บั ใหก้ ลับคืน อาจขน้ึ ชอ่ื ลอื นามในกอ่ นไกล
เสยี งประกาศเกียรตเิ อกิ เกรกิ ลัน่ แห่งจอมภพจักรพรรดกิ ษัตรยิ ใ์ หญ่
ล้วนเป็นคุณแก่ผยู้ ังไม่วางวาย ณ สมัยกอ่ นกาลบุราณเอย
๑๒ ร่างเอ๋ยร่างกาย
อยา่ ดถู กู ถ่นิ น้วี า่ ที่ทราม
อาจจะเปน็ เจดยี ์มีพระศพ
ประเสริฐดว้ ยสัตตรัตน์จรสั ชยั
พระยาอปุ กติ ศลิ ปสาร
จากหนังสอื วรรณคดวี ิจกั ษ์ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 หน้า 127 -128
แผนการจัดการเรยี นรู้ 6 : จบั ประเด็นเนน้ คุณค่า (๔) 79
-79-
ใบความรู้
“กลอนดอกสร้อยราพึงในป่าชา้ ”
๑๓ ความเอ๋ยความรู้ เป็นเครือ่ งชชู ้ีทางสวา่ งไสว
หมดโอกาสท่ีจะช้ตี อ่ น้ไี ป ละหว่ งใยอยากรลู้ งสูด่ ิน
อนั ความยากหากให้ไร้ศกึ ษา ย่นปัญญาความรอู้ ยู่แค่ถิน่
หมดทุกข์ขลกุ แตก่ ิจคดิ หากนิ กระแสวิญญาณงันเพียงน้นั เอย
มักจะลลี้ ับอยูใ่ นภผู า
๑๔ ดวงเอ๋ยดวงมณี ก็เสื่อมซาสิ้นชมนิยมชน
หรือใตท้ ้องหอ้ งสมุทรสดุ สายตา อยใู่ นถ่นิ ท่ไี กลเช่นไพรสณฑ์
บุปผชาติชูสแี ละมกี ล่นิ ยอ่ มบานหล่นเปล่าดายมากมายเอย
ไมม่ ใี ครไดเ้ ชยเลยสกั คน อาจเป็นซากนักรบผู้กล้าหาญ
กบั หมมู่ ่านมาประทุษอยธุ ยา
๑๕ ซากเอย๋ ซากศพ นอนอนาถเลห่ ใ์ บไ้ ร้ภาษา
เชน่ ชาวบ้านบางระจนั ขันราบาญ อาจจะมานอนจมถมดินเอย
ไมเ่ ช่นนั้นทา่ นกวเี ช่นศรีปราชญ์ กน่ แต่ใฝฝ่ ันฟงุ้ ตามมงุ่ หมาย
หรอื ผกู้ ู้บ้านเมืองเรอื งปัญญา ไมค่ วรอายกต็ ้องอายหมายปิดบงั
คือความฟูมฟายสินลิ้นโอหงั
๑๘ มักเอ๋ยมกั ใหญ่ เปลวเพลิงปลง่ั หอมกลบตลบเอย
อาพรางความจริงใจไม่แพรง่ พราย
มงุ่ แต่โปรยเครือ่ งปรุงจรุงกลิน่
ลงในเพลิงเกียรตศิ กั ด์ปิ ระจกั ษ์ดงั
พระยาอุปกติ ศลิ ปสาร
จากหนังสอื วรรณคดีวจิ กั ษ์ มัธยมศึกษาปีที่ 2 หน้า 128 -129
แผนการจดั การเรียนรู้ 7 : จบั ประเด็นเนน้ คณุ คา่ (5) 80
-80-
ใบความรู้
“กลอนดอกสรอ้ ยราพึงในป่าชา้ ”
๑๙ หา่ งเอ๋ยหา่ งไกล หา่ งจากพวกมักใหญ่ฝักใฝห่ า
แต่สิ่งซึ่งเหลวไหลใสอ่ าตมา ความมกั นอ้ ยชาวนาไมน่ อ้ มไป
เพอื่ นรกั ษาความสราญฐานวเิ วก รม่ เช้อื เฉกหุบเขาลาเนาไศล
สนั โดษดบั ฟุง้ ซ่านทะยานใจ ตามวสิ ยั ชาวนาเยน็ กวา่ เอย
ไมม่ ีใครขนึ้ ชื่อระบือขาน
๒๐ ศพเอ๋ยศพไพร่ ไม่มกี ารจารกึ บันทกึ คุณ
ไมเ่ กรงใครนินทาว่าประจาน ก็ไมฉ่ ดู ฉาดเชดิ ประเสรฐิ สนุ ทร์
ถงึ บางทมี บี ้างเป็นอยา่ งเลิศ เป็นเครอ่ื งหนนุ นาเหตสุ งั เวชเอย
พอเตือนใจได้บ้างในทางบุญ เปน็ เคร่อื งจูงจิตใหเ้ ลือ่ มใสศานต์
๒๑ ศพเอ๋ยศพสงู ผิดกับฐานชาวนาคนสามญั
จารึกคาสานวนชวนสกั การ จารกึ ช่อื ปเี ดอื นวนั ดบั ขันธ์
ซึง่ อย่างดีก็มกี วีเถอ่ื น ของผูน้ น้ั ผนู้ ้แี ก่ผเี อย
อทุ ิศสิง่ ซึ่งสร้างตามทางธรรม์ ไมย่ ง่ิ ใหญเ่ ทา่ ห่วงดวงชีวติ
กย็ ังคดิ ขน้ึ ได้เมอ่ื ใกล้ตาย
๒๒ หว่ งเอย๋ ห่วงอะไร เคยเปน็ ทกุ ข์หว่ งใยเสียไดง้ ่าย
แมค้ นลมื สงิ่ ใดได้สนทิ โดยไม่ชายตาใฝอ่ าลยั เอย
ใครจะยอมละทิง้ ซึ่งสิ่งสขุ ลมื สนิทกจิ การงานท้ังหลาย
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย เคยเสยี ดายเคยวติ กเคยปกครอง
ซงึ่ เคยคิดใฝเ่ ฝ้าเปน็ เจา้ ของ
๒๓ วงเอย๋ ดวงจติ ไมผ่ นิ หลังเหลยี วมองด้วยซา้ เอย
ยอ่ มละชพี เคยสขุ สนุกสบาย
ละทงิ้ ถน่ิ ที่สาราญเบิกบานจติ
หมดวิตกหมดเสียดายหมดหมายปอง
พระยาอุปกติ ศิลปสาร
จากหนงั สอื วรรณคดีวจิ กั ษ์ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 หน้า 128 -129
แผนการจัดการเรยี นรู้ 8 : จบั ประเด็นเน้นคุณค่า (6) 81
-81-
ใบงาน
“การแสดงความคดิ เห็นจากกลอนดอกสรอ้ ยราพงึ ในปา่ ช้า”
คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนเขยี นกลอนดอกสรอ้ ยราพึงในปา่ ช้า จากนนั้ เขียนแสดงความคดิ เหน็ จากบทกลอน
ดังกลา่ ว
บทประพนั ธ์
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………...................................................
...........................................................................................................................................................
.
บทประพนั ธ์ขา้ งตน้ สามารถนาไปปรับใช้ในการดาเนนิ ชวี ิตในสงั คมปจั จุบันไดอ้ ยา่ งไร เพราะเหตุใด
………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………
………………………………………….....……………….………………………………………………………………………………………
………………………………………..…………………………………………………………………………………….............................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรยี นรู้ 9 จบั ประเด็นเนน้ คุณคา่ (7) 82
-82-
ใบความรู้
“กลอนประเภทตา่ ง ๆ”
กลอนสี่ กลอนส่ี คอื กลอนท่ีมวี รรคละ ๔ คา จงั หวะลงช่วงละ ๒ คา สมั ผัสอนโุ ลมตามแบบกลอนแปด เชน่
ชาติไทยร่งุ เรอื ง เป็นเมืองเก่าแก่
ประเพณีงามแท้ ไม่แพช้ าตใิ ด
วดั วาอาราม งดงามย่ิงใหญ่
มีภาษาไทย คิดใชข้ ึน้ เอง
เด็กไทยวนั นี้ ตอ้ งดีต้องเกง่
ต้องชว่ ยตวั เอง ตอ้ งเรง่ ก้าวไป
ซอื่ สตั ยอ์ ดทน ฝึกฝนวินยั
เรารักภาษาไทย รว่ มใจทาดี
รักเมืองไทย ของ นภาลยั สวุ รรณธาดา
จากหนังสอื ววิ ิธภาษา มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 หนา้ 133
แผนการจดั การเรยี นรู้ 11 : รอ้ ยภาษาเปน็ บทกลอน (1) 83
-83-
ใบความรู้
“กลอนประเภทตา่ ง ๆ”
กลอนหก
กลอนหก คือ กลอนที่แตล่ ะวรรคมีคาจานวน ๖ คา หรือ ๖ พยางค์ จังหวะลงช่วงละ ๒ คา กาหนด
สัมผสั เหมือนกลอนแปด เชน่
เมืองใดไมม่ ีทหาร เมอื งน้ันไม่นานเปน็ ข้า
เมอื งใดไร้จอมพารา เมืองน้นั ไม่ชา้ อับจน
เมอื งใดไมม่ พี าณชิ เลศิ เมอื งนั้นยอ่ มเกิดขัดสน
เมืองใดไรศ้ ลิ ป์โสภณ เมืองนน้ั ไม่พน้ เสือ่ มทราม
เมืองใดไม่มกี วีแกว้ เมืองนน้ั ไม่แคล้วคนหยาม
เมอื งใดไรน้ ารงี าม เมอื งน้ันส้ินความภมู ิใจ
เมอื งใดไมม่ ีดนตรีเลิศ เมอื งน้ันไม่เพริศพิสมยั
เมืองใดไรธ้ รรมอาไพ เมอื งน้ันบรรลัยแนเ่ อย
เมอื งกังวล ของ ถนอม อคั รเศรณี
จากหนังสือววิ ิธภาษา มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 หนา้ 132
แผนการจดั การเรียนรู้ 11 : รอ้ ยภาษาเป็นบทกลอน (1) 84
-84-
ใบความรู้
“กลอนประเภทตา่ ง ๆ”
กลอนแปด
กลอนแปด อาจเรียกว่า กลอนสุภาพ หรือกลอนตลาด ก็ได้ ถ้าแต่งเป็นเร่ืองนิทานเพ่ืออ่านเล่น
ก็เรียกว่า กลอนนิทาน เช่น เร่ืองโคบุตร พระอภัยมณี ถ้าแต่งเป็นนิราศ ก็เรียกว่า กลอนนิราศ เช่น นิราศ
พระแท่นดงรัง นิราศเมืองแกลง นิราศลอนดอน ถ้าแต่งเป็นสุภาษิตต่าง ๆ ก็เรียกว่า กลอนสุภาษิต เช่น
สุภาษิตสอนหญิง พาลีสอนน้อง และอาจแต่งเป็นเพลงยาวหรือจดหมายท่ีชายหญิงมีไปมาถึงกัน เรียกว่า
กลอนเพลงยาว กลอนที่แต่งเรื่องดังกล่าวนี้บังคับให้ขึ้นต้นด้วยวรรครับ เช่น กลอนนิทานเรื่องพระอภัยมณี
ขึ้นต้นวา่
แตป่ างหลงั ยงั มกี รุงกษตั ริย์
สมมตวิ งศ์ทรงนามทา้ วสทุ ศั น์ ครองสมบตั ริ ัตนานามธานี
นิราศพระบาท ขนึ้ ตน้ ว่า
โอ้อาลยั ใจหายเปน็ หว่ งหวง
ดังศรศกั ดปิ์ กั ชา้ ระกาทรวง เสยี ดายดวงจันทราพงางาม
สุภาษติ สอนหญงิ ขึน้ ตน้ วา่
ประนมหตั ถน์ มสั การข้นึ เหนอื เศยี ร
ไมค่ วรชงั ฤามารานพานชงิ ชงั เออเป็นใจเออใครมัง่ ไมน่ ้อยใจ
กลอนเพลงยาว ขึน้ ต้นว่า
เสยี แรงหวังใจมุ่งผดุงหวัง
ไม่ควรชงั ฤามารานพานชิงชัง เออเปน็ ใจเออใครมัง่ ไม่น้อยใจ
กลอนทแี่ ต่งเป็นเรอื่ งยาวตดิ ต่อกันตลอดใช้ขับเสภาฟังกันเรียกว่า กลอนเสภา เช่น เรื่องขุนชา้ งขนุ แผนแต่ง
เปน็ กลอนเสภากลอนเสภา ขน้ึ ต้นด้วยวรรคสดับว่า
จะกล่าวถึงเร่อื งขุนแผนขนุ ช้าง ทง้ั นวลนางวันทองผอ่ งศรี
ศกั ราชร้อยสสี่ ิบเจ็ดปี พอ่ แมเ่ ขาเหล่านคี้ นครง้ั นั้น
แผนการจดั การเรยี นรู้ 11 : รอ้ ยภาษาเปน็ บทกลอน (1) 85
-85-
ใบความรู้
“กลอนประเภทตา่ ง ๆ”
กลอนสักวา
กลอนสักวา คือ กลอนท่ีใช้ในการเล่นสักวา ซึ่งเป็นการแต่งกลอนสด แล้วร้องเป็นเพลงโต้ตอบ
หรือต่อเน่ืองกันตามเร่ืองที่ได้ตกลงกัน เช่น การเล่นสักวาเรื่องสังข์ทอง ตอนมณฑาลงกระท่อม ต้องมีผู้แต่ง
กลอนเป็นบท ท้าวสามล นางมณฑา เจ้าเงาะ นางรจนา และเสนา เป็นต้น นอกจากแต่งบทสักวาร้องเป็น
เรอื่ งแลว้ กวีอาจแตง่ บทสกั วาแสดงความคดิ บรรยายเรื่องต่าง ๆ หรือโตต้ อบกนั กไ็ ด้
กลอนสักวา กาหนดให้วรรคที่ ๑ ข้ึนต้นด้วยคาว่า สักวา และแต่งกลอนต่อกัน ๒ บท คาสุดท้าย
ของบทท่ี ๒ ต้องลงดว้ ยคาวา่ เอย เชน่
สกั วาหวานอื่นมหี มืน่ แสน ไม่เหมอื นแม้นพจมานทหี่ วานหอม
กล่ินประเทยี บเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจติ โน้มด้วยโลมลม
แม้นลอ้ ลามหยามหยาบไมป่ ลาบปล้ืม ดังดูดดมื่ บอระเพด็ ตอ้ งเขด็ ขม
ผู้ดีไพรไ่ ม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมนิ หน้าระอาเอย
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงบดนิ ทรไพศาลโสภณ
จากหนังสอื วิวธิ ภาษา มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 หนา้ 133
แผนการจดั การเรยี นรู้ 11 : รอ้ ยภาษาเป็นบทกลอน (1) 86
-86-
ใบความรู้
“กลอนประเภทตา่ ง ๆ”
กลอนดอกสรอ้ ย
กลอนดอกสรอ้ ย เป็นกลอนทีใ่ ช้เพอ่ื กล่าวถึงเรื่องส้ัน ๆ เรือ่ งใดเรือ่ งหน่งึ แต่งเป็นสภุ าษติ หรือบท
พรรณนาเร่อื งใดเร่ืองหน่ึง กลอนดอกสรอ้ ยกาหนดใหว้ รรคที่ ๑ ใชค้ า ๔ คาและคาที่ ๒ เปน็ คาวา่ เอ๋ย
เช่น วังเอย๋ วังเวง เดก็ เอ๋ย เด็กนอ้ ย แมวเอย๋ แมวเหมยี ว กลอนดอกสรอ้ ยนิยมแต่งใหบ้ ทหน่ึงมี ๔ คากลอน
และคาสดุ ท้ายตอ้ งลงด้วยคาว่า เอย เชน่
วงั เอ๋ยวงั เวง หง่างเหงง่ ยา่ ค่าระฆงั ขาน
ฝงู ววั ควายผ้ายลาทวิ ากาล ค่อยคอ่ ยผ่านทอ้ งทุง่ มุ่งถน่ิ ตน
ชาวนาเหนื่อยออ่ นตา่ งจรกลบั ตะวันลบั อบั แสงทกุ แห่งหน
ท้งิ ทงุ่ ใหม้ ดื มัวท่ัวมณฑล และท้ิงตนตเู ปลีย่ วอยูเ่ ดียวเอย
กลอนดอกสรอ้ ยราพึงในปา่ ช้า ของพระยาอุปกิตศิลปสาร (น่ิม กาญจนาชวี ะ)
จากหนงั สอื วิวธิ ภาษา มัธยมศึกษาปที ี่ 2 หนา้ 134
แผนการจดั การเรียนรู้ 11 : ร้อยภาษาเป็นบทกลอน (1) 87
-87-
ใบความรู้
“กลอนประเภทตา่ ง ๆ”
กลอนบทละคร
กลอนบทละคร คือ กลอนที่แต่งขึ้นเพ่ือใช้เป็นบทร้องในการแสดง ละคร ทั้งละครใน ละครนอก
ละครชาตรี กลอนบทละครแต่งเป็นกลอนแปดมักมีจานวนคา ๗ คา วรรคสดับของกลอนแต่ละตอนมี
ลกั ษณะแตกตา่ งกนั ไปตามเน้อื เรื่อง ดังน้ี
ก. ตอนขึ้นต้นเร่อื งหรอื ข้ึนตอนใหมใ่ ช้ มาจะกลา่ วบทไป เช่น บทละครนอกเรอ่ื ง สังขท์ อง
พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย ขึ้นตน้ เรือ่ งว่า
มาจะกลา่ วบทไป ถึงท้าวยศวมิ ลไอศวรรย์
ไร้บตุ รสุดวงศพ์ งศ์พันธ์ุ วนั หน่ึงนน้ั ไปเลียบพระนคร
เมอื่ จะกล่าวถงึ เหตกุ ารณ์ใหม่ เริ่มเรื่องตอนใหม่ ก็จะใชว้ ่า มาจะกล่าวบทไป เช่น เม่ือจะกลา่ วถึงเหตกุ ารณ์
บทสวรรค์ บทละครเร่อื งเดยี วกนั นีใ้ ช้ว่า
มาจะกล่าวบทไป สรุ าลัยในดาวดึงส์สวรรค์
เมื่อผลจะส้นิ พระชนมน์ น้ั อศั จรรย์ร้อนรนเป็นพน้ ไป
ข. เม่อื กล่าวถึงตัวละครสงู ศักดอิ์ ย่างเทวดา พระราชา พระมเหสี พระฤๅษี จะใช้คาวา่ เมือ่ นนั
เม่ือกลา่ วถึงตวั ละครที่เปน็ ยกั ษ์ เสนา สามญั ชน หรือตวั ละครที่ตา่ ศักดจิ์ ะใช้คาวา่ บัดนัน ดังตวั อยา่ งจาก
เรือ่ งสังขท์ อง ดงั น้ี
เม่ือนัน พระสงั ข์ฟงั คายกั ษี
บอกพลางทางยกมอื ชี้ เห็นเหาะไปทิศนน้ี ะขนุ มาร
ฯ ๒ คา ฯ
บดั นนั ยักษาได้ฟังวา่ ขาน
ดีใจเสือกสนลนลาน เหาะทะยานตดิ ตามไปพลนั
ค. เมือ่ จะกลา่ วพรรณนาสิ่งท่งี ดงาม เชน่ ชมบา้ นเมอื ง ชมรถ ชมนก ชมป่าเขา หรอื ชมโฉมพระเอกนางเอก
หรอื ตวั ละครตัวใดใหเ้ ดน่ เช่น บทแปลงกายหรือบทเกย้ี วพาราสี จะขึน้ ตน้ บทแบบกลอนดอกสร้อย เชน่
บทหนมุ านเกย้ี วนางเบญจกายในเรอ่ื งรามเกยี รติ์ วา่
ดวงเอยดวงสมร เจ้างามงอนผยู้ อดพสิ มยั
แสนรกั พีร่ ักอรไท ว่าไยฉะน้กี ัลยา
ความจริงไมล่ อ่ ลวงเจา้ ยุพเยาว์แนง่ น้อยเสน่หา
อนั แสนสมบตั ิในลงกา จะได้แก่บดิ าของเทวี
เราสองกจ็ ะครองกันเป็นสขุ แสนสนุกภริ มย์เกษมศรี
วา่ พลางคว้าไขวไ่ ปในที ขุนกระบห่ี ยอกเยา้ กัลยา.
ฯ ๖ คา ฯ
จากหนงั สอื ววิ ธิ ภาษา
มัธยมศึกษาปที ่ี 2 หนา้ 132 - 135
แผนการจัดการเรยี นรู้ 11 : ร้อยภาษาเปน็ บทกลอน (1) 88
-88-
-89-