The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by K'kosanah Awae, 2023-03-10 13:13:04

จิตวิทยาสังคม

จิตวิทยาสังคม

จิตวิทยาสังคม (Social Psychology)


ความเป็นมาและแนวคิดของจิตวิทยาสัง สั คม 1. ความนำ จิตวิทยาสังคมเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคมของ มนุษนุย์ มุ่งสนใจศึกษาวิธีที่บุคคลคิดเกี่ยวกับผู้อื่น มีอิทธิพลต่อผู้อื่นและ สัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น วิธีที่บุคคลเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่นและตัดสินผู้อื่น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลตั้งแต่สองคนหรือมากกว่า อาทิ เจตคติและการ เปลี่ยนเจตคติ การคล้อยตามอำ นาจทางสังคมและภาวะผู้นำ ในระยะแรก ๆ การศึกษาจิตวิทยาสังคมใช้การอ้างทฤษฎี การพรรณนาและการคาดคะเน พฤติกรรมของมนุษนุย์จนปลายศตวรรษที่ 19 จึงใช้แนวทางศึกษาแบบ วิทยาศาสตร์ในการวัดพฤติกรรม ทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคมบางทฤษฎีค่อนข้างสามัญเพราะจิตวิทยา สังคมศึกษา อธิบายในสิ่งที่ใกล้ตัว จึงอาจเกิดคำ ถามว่าทำ ไมต้องหาคำ ตอบตัว ด้วยวิธีการวิจัย ใช้ประสบการณ์หณ์รือสามัญสำ นึกคิดเอาก็ได้คำ ตอบแล้วไม่ ต้องวิจัยก็ได้ ธีระพร อุวรรณโณ (2537, น. 1/1) สรุปประเด็นคำ ตอบนี้ไว้ว่า จิตวิทยาสังคมเชิงวิทยาศาสตร์สามารถให้คำ ตอบบางอย่างที่สามัญสำ นึกของ เราอาจไม่ได้คาดคิดถึง เช่น แนวคิดที่กล่าวว่าคนที่มีอะไรคล้าย ๆ กันก็มักจะ ชอบพอกัน ผลการวิจัยพบว่าหลักข้อนี้ไม่เป็นจริงเสมอไป บางครั้งคนที่มีความ แตกต่างกันก็มีความชอบพอกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าความแตกต่างนั้น ช่วยเกื้อกูลซึ่งกันและกันสอดคล้องกับนพมาศ อุ้งพระ ธีรเวคิน (2555, น. 1) อธิบายไว้ว่าจิตวิทยาสังคมศึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ วัน หลายอย่างที่ รายงานคนอาจบอกว่ารู้แล้ว การที่รู้เพราะมีการบอกแล้ว ในการศึกษาทาง จิตวิทยาสังคมพบว่าเมื่อตรวจสอบจริง ๆ แล้วสามัญสำ นึกหลายอย่างตรงข้าม กับที่ค้นพบ (Myers,2002, น. 14) ฉะนั้นจิตวิทยาสังคมไม่ใช่สามัญสำ นึกแต่ เป็นการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ด้วยการทดลองและการสังเกตการณ์ บทที่ 1


จุดเด่นและความน่าสนใจของจิตวิทยาสังคมที่แตกต่างจากจิตวิทยา แขนงอื่น 2 ประการ คือ1) จิตวิทยาสังคมศึกษาพฤดิกรรมของแต่ละคนใน ขณะที่รวมกลุ่มอยู่ในสังคม ไม่ได้ศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มคน โดยสนใจ ศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่แสดงออกเมื่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่นเท่านั้น 2) จิตวิทยา สังคมเป็นพฤติกรรมศาสตร์ที่ใช้แนวทางศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ในการวัด พฤติกรรม ทำ ให้ทราบถึงสาเหตุและผลของพฤติกรรมอันเป็นประโยชน์ต่น์ ต่อ การควบคุมเหตุการณ์ต่ณ์ ต่าง ๆ ในสังคม การเข้าใจเนื้อหาทางด้านจิตวิทยาสังคม และนำ มาประยุกต์ร่วมกับศาสตร์อื่น ๆ ช่วยให้เข้าใจปัญหาสังคมและสามารถ ปรับปรุงการทำ งานและความเป็นอยู่ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น 2. ความเป็นมาของจิตวิทยาสังคม จิตวิทยาสังคมเจริญเติบโตขึ้นมาจากกระแสแห่งความเชื่อ 2 ประการ (สิ ทธิโซค วรานุสันุสันติกูล (2546, น. 27-28) ประการแรก ได้แก่ ความคิดของนักปราชญ์ทั้งหลายในยุคก่อนที่เสนอว่า พฤติกรรมของมนุษนุย์นั้นมีกฎกณฑ์ หมายความว่ามนุษนุย์สามารถทำ นาย พฤติกรรมทางสังคมได้ถ้ารู้กฎเกณฑ์พฤติกรรม ในศตวรรษที่ 18 และ 19 นัก ปราชญ์ทั้งหลายได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์ เชน มิดล์ (MI) และสเปนเซอร์(Spencer) เสนอว่า พฤติกรรมทางสังคมทุกชนิด ของมนุษนุย์ล้วนแล้วแต่กำ เนิดขึ้นมาจากการเข้าหาความสุขสำ ราญและหลีก เลี่ยงความเจ็บปวด แนวคิดเช่นนี้ภายหลังเรียกว่าลัทธิสุขนิยม (Hedonism) ส่วนคนอื่นๆ เช่น ตังเต (Dante) และนิตเช่ (Nietzsche) เห็นว่าความ ปรารถนาในอำ นาจเป็นรากเหง้าของพฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์ แนว ทัศนะเช่นนี้เรียกว่าอัตนิยม (Egoism) อย่างไรก็ดี ทฤษฎีทั้งหลายในช่วงเวลา นี้มีลักษณะรวบรัดง่ายดายจนเกินไป เช่น การเป็นนักมวยเพื่อให้ได้เงินมาใช้ ในการดำ รงชีวิตเป็นการสร้างความสุขดูจะมีเหตุผลน้อน้ยเพราะเงินนั้นได้มา ด้วยความเจ็บปวดซึ่งทุกคนอยากหลีกเลี่ยง และในความเป็นจริงนั้น พฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์ชับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายด้วยทฤษฎีที่ รวบรัดง่ายดายเหล่านั้น ทฤษฎีเหล่านี้จึงเสื่อมความนิยมไปเรื่อยๆ เหลือไว้แด่ ข้อคิดสำ คัญคือ พฤติกรรมทางสังคมนั้นมีกฎเกณฑ์และทำ นายได้


ประการที่สอง มาจากความเจริญก้าวหน้าน้ของวิธีการทางวิทยาศาสตร์และ นักจิตวิทยาสังคมรับเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์จากสาขาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มาใช้ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์ในปลายศตวรรษที่ 19 ด้วยการผนวกกระแสแห่งความเชื่อ 2 ประการคือ ความเชื่อว่า พฤติกรรมทางสังคมนั้นมีกฎเกณฑ์และสามารถที่จะศึกษาได้ด้วยวิธีการทางวิ ทยาตาสตร์จิตวิทยาสังคมจึงเข้าสู่ยุคใหม่ที่เป็นที่ยอมรับกันต่อมาว่าเป็นสาขา วิชาที่สำ คัญมากสาขาหนึ่งในพฤติกรรมศาสตร์ ที่เพิ่งเริ่มดันเมื่อปลาย ศตวรรษที่ 19 ดังนั้น (นพมาศ อุ้งพระ ธีรเวดิน, 2555, น. 3-6; โยธิน ตันสน ยุทธ และจุมพล พูลภัทรชีวิน, 2529, น. 2-4) ค.ศ. 1897-1898 นอร์แมน ทริพเพล็ทท์ (Norman Triplett) ทำ การ ทดลองทางจิตวิทยาสังคมเป็นครั้งแรก จากการสังเกตพบว่านักขี่จักรยานเมื่อ แข่งกับผู้อื่นจะขี่จักรยานเร็วกว่าการขี่จักรยานตามลำ พังทริพเพล็ทห์จัดการ ทดลองในห้องทดลองเพื่อทดสอบข้อสังเกตดังกล่าว โดยให้เด็กม้วนเอ็นดัน เบ็ดพร้อมกับคนอื่นเปรียบเทียบกับการมัวนเอ็นคันเบ็ดตามลำ พัง ปรากฏว่า พวกที่ทำ งานร่วมกับผู้อื่นทำ งานเร็วกว่าผู้ที่ทำ งานตามลำ พัง เขาจึงสรุปว่าการ ทำ งานใดงานหนึ่งขณะมีผู้อื่นอยู่ด้วยหรือทำ งานพร้อมกันช่วยให้เรานำ พลัง แฝง (Latent energy) ซึ่งปกติเราไม่ได้ใช้ออกมาใช้ (ธีระพร อุวรรณโณ, 2537,น. 1/17) การศึกษาของเขานำ ไปสู่การปรากฎที่เรียกว่า "การหนุนนุจากสัง ดม (social facilitation)" ในระยะเวลาต่อมา ค.ศ. 1908 มีการตีพิมพ์หนังสือจิตวิทยาสังคมเป็นครั้งแรกซึ่งเป็นจุด สำ คัญในการปูพื้นฐานวิชาจิตวิทยาสังดม จำ นวน 2 เล่ม เล่มหนึ่งเขียนโดยวิล เลียม แมดดูกอล (William McDugall) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ เขาเห็นว่า พฤติกรรมทางสังคมเกือบทั้งหมดสามารถอธิบายได้ด้วยกลุ่มของ สัญชาตญาณ ส่วนหนึ่งเขียนโดยนักสังคมวิทยา ชื่อ เอ็ดเวิร์ต รอสส์ (Edward Ross) ซึ่งเขาเห็นว่า พฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์สามารถอธิบายได้ด้วย หลักการเลียนแบบเพียงอย่างเดียว


ค. ศ. 1921 วารสารจิตวิทยาชื่อ The Journal of Abnormal Psychology เปลี่ยนชื่อเป็น The Journal of Abnormal Psychology and Social Psychology และได้แยกออกเป็น Journal of Abnormal Psychology และ Journal of Personality and Social Psychology ในปี ค.ศ.1960 ตามลำ ดับ ค.ศ. 1924 ฟลอยด์ อัลล์พอร์ต (Floyd Allport) ได้ตีพิมพ์ตำ ราจิตวิทยา สังคมที่มีอิทธิพลมาก ซึ่งตำ ราเล่มนี้ถือว่าเป็นตันกำ เนิดของวิชาจิตวิทยาสั่ง คมอย่างแท้จริง เนื้อหาในตำ รานี้เสนอแนวคิดว่าพฤติกรรมทางสังคมของ มนุษนุย์มีมูลเหตุจากองค์ประกอบหลายอย่าง รวมทั้งการปรากฏตัวของผู้อื่น และของเขาเหล่านั้น และเนื้อหาเกี่ยวกับการอ่นภาษาท่าทางจากใบหน้าน้การ คล้อยตามทางสังคม การเหนี่ยวรั้งทางสังคม ค.ศ. 1934 จอร์จ เฮอร์เบอร์ด มี้ด (George Herbert Mead) เขียน หนังสือชื่อ Mind, Self, and society เน้นน้เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างอัตตากับผู้ อื่น ค.ศ. 1935 มีการตีพิมพ์หนังสือ Handbook of Social Psychology เป็นครั้งแรก ค.ศ. 1936 มูชาเฟอร์เชอรีฟ (Muzafer Sheri') ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปทัส ถานทางสังคมของมนุษนุย์ เขาได้อธิบายกระบวนการของความคล้อยตามใน หนังสือ The Psychology of Social Norms ค.ศ. 1939 จอห์น ดอลลาร์ด (John Dollard) และคณะได้เสนอทฤษฎี ความคับข้องใจ-ความก้าวร้าว โดยอธิบายว่าความคับข้องใจเป็นสาเหตุของ การแสดงความก้าวร้าว ค.ศ. 1940-1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นักจิตวิทยาสังคมสนใจ ศึกษาเรื่องการซักชวน การโฆษณาชวนเชื่อ เช่น เยอรมนีทำ ตามอดอล์ฟ ฮิต เลอร์ซึ่งฆ่าหมู่ชาวยิวและบุกประเทศเพื่อนบ้าน หรือสาเหตุที่ทำ ให้ทหารสู้ต่อ ทั้ง ๆ ที่อาจตายในสนามรบได้ รวมทั้งมีการเสนอทฤษฎี Social Learning and Imitation ซึ่งได้ขยายกฎของแนวคิดพฤติกรรมนิยมไปสู่พฤติกรรมทาง สังคม


ค.ศ. 1945 เคิร์ต เลวิน (Kurt Lewin) ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำ และพลวัตกลุ่ม เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยพลวัตของกลุ่ม ตั้งอยู่ ณ สถาบัน เทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา (Research Center for Group Dynamics Study at MIT) ซึ่งได้กลายเป็นแหล่งกำ เนิดการฝึก อบรมแบบกลุ่มสัมพันธ์ในเวลาต่อมา ค.ศ. 1950-1960 ลีออน เฟสดินเจอร (Leon Festinger) เสนอ ทฤษฎีความไม่คล้องจองของปัญญา (Cognitive Dissonance Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่าเมื่อเกิดความไม่สอดคล้องต้องกันของความติดต่อสิ่ง หนึ่งสิ่งใด จะเกิดสภาวะตึงเครียดภายในตัวเอง ซึ่งเราไม่ซอบสภาวะเช่นนี้ จึงต้องลดความตึงเครียด โดยทำ ให้เกิดความสอดคล้องต้องกันของความ คิดเหล่านั้น ค.ศ. 1960-1969 นักจิตวิทยาสังคมได้ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับ พฤติกรรมทางสังคมของบุคคลในเรื่องที่เกี่ยวกับการต่อสู้และดวามรุนแรง ความรักและความดึงดูดใจระหว่างบุคคล การร่วมมือ การแข่งขัน การรับรู้ บุคคล ค.ศ.1970-ปัจจุบันจิตวิทยาสังคมใช้แนวกรศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ในการวัดพฤติกรรม การศึกษาที่ได้รับความสนใจในระยะแรกคือการระบุ เหตุแห่งพฤติกรรม (attribution) พฤติกรรมกผู้อื่น รวมถึงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับตัวตนทั้งเรื่องการเห็นคุณค่าในตนเอง (self-esteem) การควบ คุมห(self-regulation/self-control) โครงสร้างความคิดแห่งตน (selfschema) และการนำ เตนเอง (self-presentation) เป็นต้น


ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 แนวคิดทางจิตวิทยาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดอ ก สุมพฤติกรรมนิยม (behaviorism) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้และ บทบาทของสิ่งเร้าภายนอกด้วยวิธีการทดลองและวิธีการศึกษาแบบวิทยาตา สตร์อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มจิตวิเคราะห์ซึ่งใช้วิธีศึกษาจากปัจจัยภายในตัว บุดคล ส่วนวิชาจิตวิทยาลังคมเน้นน้การทดลองและใช้วิธีการศึกษาแบบ วิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับกลุ่มพฤติกรรมนิยม แต่ก็สนใจกระบวนการ ภายในจิตและสภาพความรู้สึกในใจเช่นเดียวกับกลุ่มจิตวิเคราะห์ เนื่องจาก วิชาจิตวิทยาสังคมไม่เข้ากับทั้งสองกลุ่มจึงเริ่มก่อตัวเป็นวิชาเฉพาะของ ตนเอง และช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 จิตวิทยาสังคมก็พบแนวทางของ ตนเองนั่นคือการศึกษาความคิด ดวามรู้สึกและสภาพทางจิตอื่น ๆ โดยใช้ แนวการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ในการวัดพฤติกรรม กล่าวโดยสรุปวิชาจิตวิทยาสังคมเริ่มจากกระแสความเชื่อ 2 ประการ คือ พฤติกรรมทางสังคมนั้นมีกฎเกณฑ์และลามารถที่จะศึกษาได้ด้วยวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์และได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสตร์เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 โดยการทดลองของทริพเพล็ทท์ ตำ ราจิตวิทยาสังคมที่มีความสำ คัญ และมีอิทธิพลมากคือตำ ราของฟลอยด์ อัลล์พอร์ต ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1924 ใน ช่วงปี 1930 จิตวิทยาสังคมมีพัฒนาการเด่นชัดมากขึ้น เมื่อมีการเผยแพร่ งานเขียนและงานวิจัยที่สำ คัญจำ นวนมาก และในช่วงปี 1970-1980 จิตวิทยาสังคมสามารถนิยามขอบเขตของตนเองได้ชัดเจนคือ วิชาจิตวิทยา สังคมศึกษาความคิด ความรู้สึกและสภาพทางจิตอื่น ๆ โดยใช้แนวการ ศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ในการวัดพฤติกรรม


แนวคิดของจิตวิทยาสังคมจะกล่าวใน 4 ประเด็นคือ 1) ความหมาย ของจิตวิทยาสังคม 2) ความสำ คัญของจิตวิทยาสังคม 3) ขอบข่ายของจิต วิทยาสังดม และ 4) ความสัมพันธ์ของจิตวิทยาสังคมกับศาสตร์แขนงอื่น ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ความหมายของจิตวิทยาสังคม นักจิตวิทยาสังคมได้นิยามความหมายของคำ ว่าจิตวิทยาสังคมไว้ หลายความหมาย สิทธิโชดวรานุสันุสันติกูล (2546, น. 22) เสนอไว้ดังนี้ จิตวิทยาสังคม คือ วิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งซึ่งศึกษาพฤติกรรม ความรู้สึก หรือความคิดของบุคคลหนึ่ง ซึ่งได้รับอิทธิพลหรือถูกกำ หนดจาก พฤติกรรมและ/หรือคุณลักษณะของบุคคลอื่น (Baron & Byrnc,1981, p. 7) จิตวิทยาสังคม คือ วิชาการซึ่งศึกษาค้นคว้าวาองค์ประกอบของ บุคคลและองค์ประกอบจากสถานการณ์มีณ์ มีผลกระทบต่อพฤติกรรมทาง สังคมของบุคคลอย่างไร (Shaver, 1981, p. 12) จิตวิทยาสังคม คือ วิชาการซึ่งศึกษาพฤติกรรมของเอกบุคคลอัน เนื่องมาจากสิ่งเร้าทางสังคมด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Shaw & Coztanso, 1983, p. 4 สรุปได้ว่า จิตวิทยาสังคมคือ สาขาวิชาที่ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาเพื่อให้เข้าใจและอธิบายว่าความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของ ปัจเจกบุคคลได้รับอิทธิพลจากผู้อื่นอย่างไร ไม่ว่าผู้อื่นจะอยู่ด้วยจริง ๆ อยู่ ด้วยเพียงในจินตนาการหรืออยู่ด้วยโดยทางอ้อม (Gordon Allport, 1985, p. 3 อ้างถึงใน Franzoi, 2009, p. 5) จากความหมายนี้มีข้อความ ที่ต้องอธิบายเพิ่ม คือ (1) การมีผู้อื่นอยู่ด้วยจริงๆ หมายถึง มีผู้อื่นอยู่ต่อ หน้าน้ (2) การมีผู้อื่นอยู่ด้วยเพียงในจินตนาการ หมายถึง ก่อนที่คนคน แนวคิดของจิตวิทยาสัง สั คม บทที่ 2


หนึ่งจะมีความคิดจะมีความรู้สึกหรือจะมีพฤติกรรมอย่างไร เขาได้นึกถึงคน อื่นขึ้นมาในความคิด ซึ่งคนที่นึกถึงมีอิทธิพลผลต่อความคิด ความรู้สึกหรือ พฤติกรรมที่แสดงออกมา (3) การมีผู้อื่นอยู่ด้วยโดยทางอ้อม หมายถึง การ คิด ความรู้สึกและพฤติกรรม ที่เรากระทำ เป็นเพราะสถานภาพ (Status) และบทบาท (Role) ในสังคมภายใต้วัฒนธรรมในสังคมนั้นๆ กล่าวโดยสรุป จิตวิทยาสังคมเป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจและอธิบาย ว่า ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลได้รับอิทธิพลจากผู้ อื่น ตลอดจนสถานการณ์รณ์อบตัวเราอย่างไร ด้วยวิธีการศึกษาแบบ วิทยาศาสตร์ ชอบเขตเนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ทั้งระดับ บุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่ม 2. ความสำ คัญของจิตวิทยาสังคม จากการศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับจิตวิทยาสังคม กล่าว ได้ว่า จิตวิทยาสังคมมีบทบาททำ ให้เกิดความเข้าใจปัญหาและมีส่วนในการ ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงระดับสังคม 3 ประการ (สุนทรี โดมิน, 2522, น. 112) ได้แก่ 2.1 ชี้ให้เห็นจุดของปัญหาหรือประเด็นปัญหา (to discern needs for change) การศึกษาของนักจิตวิทยาสังคมช่วยให้เห็นจุดที่เป็นปัญหา ในสังคมที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยการชี้ให้เห็นว่าระบบการ จัดการทางสังคมที่เป็นอยู่ก่อให้เกิดผลร้ายทางจิตใจในกลุ่มคนที่อยู่ภายใต้ ระบบนั้นอย่างไร ตัวอย่างเช่น ผลงานวิจัยของนักจิตวิทยาสังคม ในปี ค.ศ. 1947 และ 1950 เคนเนทและคลาร์ก (Kenneth and Clark) ซี้ไห้เห็นผล ร้ายของการแยกโรงเรียนผิวดำ ผิวขาวที่มีต่อภาพลักษณ์แณ์ห่งตน (Selfimage) ผิวดำ ในสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดผลในการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ของศาลสูงในปีค.ศ. 1954เป็นต้นมา 2.2 ใช้ประเมินคุณค่าของทางเลือกวิธีแก้ปัญหา (to estimate costs/benefits of alternatives of change) ผลการศึกษาวิจัยของนัก จิตวิทยาสังคม สามารถใช้เป็นข้อมูลสำ หรับประเมินข้อดี ข้อเสียของทาง เลือกการแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อที่จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกทางที่เหมาะสม


2.3 ช่วยหาวิธีการและเทดนิคที่จะนำ ไปใช้ในการเปลี่ยนแปลง สังคม (to provide means for change) จิตวิทยาสังคมชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่ เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมส่วนใหญ่มักจะเป็นปัจจัยทางจิต เช่น ค่านิยม เจตคติ ความกลัวและพฤติกรรมต่างๆ ที่จำ เป็นต้อง เปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากจะเปลี่ยนแปลงสังคมจะต้องเปลี่ยนโดยใช้เทคนิค ทางจิตวิทยาสังคมใดบ้าง บทบาทของจิตวิทยาสังคมในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงระดับ สังคม 3 ประการข้างต้น สอดคล้องกับจุดหมายของการศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์ของนักจิตวิทยาสังคม ตามที่สิทธิโชด วรานุสันุสันติกูล (2546, น. 32-33) จำ แนกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 เพื่อทำ ความเข้าใจพฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์ (Understanding) เพื่ออธิบายให้ได้ว่าพฤติกรรมทางสังคมนั้นมีสาเหตุ หรือมีความสัมพันธ์กับการปรากฏตัวของสิ่งใด อันเป็นขั้นที่นักจิตวิทยา สามารถสรุปจากการวิจัยดันดว้าทำ ความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษนุย์ออกมา เป็นทฤษฎีได้แล้วและนำ ทฤษฎีที่สรุปนั้นมาอธิบายพฤติกรรมมนุษนุย์โดย ทั่วไปในภายหลัง ขั้นที่ 2 เพื่อจะทำ นายหรือพยากรณ์ (Predicting) ให้ได้ว่าพฤติกรรม ทางสังคมใดจะถูกแสดงออกมาเมื่อมีเงื่อนไขที่กำ หนดให้อย่างใดอย่างหนึ่ง ขั้นที่ 3 เพื่อที่จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษนุย์ (Controlling) จุด หมายนี้เป็นจุดสุดยอด ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ความรู้ที่ได้จากการดันดว้าจะ เป็นประโยชน์แน์ก่การจัดการให้มนุษนุย์อยู่กันอย่างเป็นสุขในสังคมต่อไป


ทำ ความเข้าใจพฤติกรรม ทำ นายหรือพยากรณ์ ควบคุมพฤติกรรมของมนุษ นุ ย์ โดยสรุป จิตวิทยาสังคมมุ่งเน้นน้ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่มีผลกระทบต่อ สัมพันธภาพของบุคคลในสังคม เป็นหลัก เมื่อบุคคลสามารถเข้าใจและ ยอมรับพฤติกรรมของกันและกันได้มากขึ้น ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้ เราดํา รงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ดังที่พิสมัย วิบูลย์สวัสดิ์ และคณะ (2527 น. 9) ได้อธิบายถึง บทบาทของนักจิตวิทยาสังคมว่า งานของนัก จิตวิทยาสังคมคือศึกษาถึงพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมซึ่งมีการ ปฏิสัมพันธ์กันโดยการค้นคว้าหาข้อมูลด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อตอบ ข้อปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามี ที่มาหรือมีสาเหตุมาจากสิ่งใด อันจะนําไปสู่การหา ทางควบคุมหรือป้อป้งกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป ทั้งนี้ นักจิตวิทยาสังคม พยายามค้นคว้าวิจัยและสร้างทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาสังคมเพื่ออธิบายถึง ปรากฏการณ์ต่ณ์ ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยําด้วย


3.ขอบข่ายของจิตวิทยาสังคม การพิจารณาขอบข่ายของจิตวิทยาสังคมของนักวิชาการมีความแตก ต่างกันออกไป พิสมัย วิบูลย์สวัสดิ์ และคณะ (2537, น. 8) เสนอขอบข่าย ของวิชาจิตวิทยาสังคมดังนี้ การอบรมขัดเกลาทางสังคมและสังคมประกิต การสื่อสารระหว่างบุคคล ทัศนดติและการเปลี่ยนทัศนคติ อคติ การ โฆษณาชวนเชื่อ การรับรู้เกี่ยวกับสังคม ความดึงดูดใจระหว่างบุคคล แรง จูงใจทางสังคม เช่น การใฝ่สัฝ่ สัมพันธ์ พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง การเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือผู้อื่น กระบวนการกลุ่มและการเป็นผู้นำ ของกลุ่ม การคล้อยตาม การให้ความร่วมมือและการแข่งขัน และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ส่วนสิทธิโชด วรานุสันุสันติกูล (2546, น. 24) สรุปขอบข่ายของจิตวิทยา สังคมไว้ว่าคือ การศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของมนุษนุย์ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) อิทธิพลของสังคมที่มีต่อพฤติกรรมของบุคคล 2) พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน 3) พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในกลุ่ม นอกจากนี้ นพมาศ อุ้งพระ (ธีรเวดิน) (2555, น. 6) อธิบายขอบเขต ของจิตวิทยาสังคมจากความหมายของวิชาจิตวิทยาสังคม ดังนี้ จิตวิทยาสังคมสนใจผลกระทบที่บุคคลอื่น (จริงหรือคิดเอาเอง) มีต่อ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของเรา หลัก 3 ประการซึ่งเป็นฐานของ จิตวิทยาสังคมคือ ABC triad ประกอบด้วย A คือ ความรู้สึก (Affect) สิ่งที่คนรู้สึกในใจ นักจิตวิทยาสังคมสนใจ วิธีที่คนรู้สึกกับตัวเอง (เช่น การเห็นคุณค่าในตนเอง Self-esteem) วิธีที่ คนรู้สึกต่อผู้อื่น (เซ่น อดติ-Prejudice) และวิธีที่รู้สึกต่อประเด็นต่างๆ (เช่น เจตคติ-Attitudes) B คือ พฤติกรรม (Behavior) ซึ่งก็คือสิ่งที่คนทำ หรืการกระทำ นัก จิตวิทยาสังคมสนใจศึกษาพฤติกรรม เช่น การเข้ากลุ่ม การช่วยเหลือ การ ทำ ร้ายกัน การชอบพอกันและกัน


C คือ การรู้คิด (Cognition) หรือสิ่งที่คนคิด นักจิตวิทยาสังคมสนใจ วิธีคนคิดเกี่ยวกับตนเอง (เช่น Self-concept-อัตมโนทัศน์)น์และสิ่งที่คน คิดเกี่ยวกับผู้อื่น เช่น การเหมารวม (Stereotyping)และคิดเกี่ยวกับปัญหา ต่างๆ เช่น เรื่องอนุรันุกษ์สิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน ภาพ หลัก 3 ประการซึ่ง ซึ่ เป็นฐานของจิตวิทยาสัง สั คม คือ ABC tried กล่าวโดยสรุป ขอบข่ายการศึกษาจิตวิทยาสังคมที่นำ เสนอข้างตัน เป็นคนละระดับกัน กล่าวคือขอบข่ายของพิสมัย วิบูลย์สวัสดิ์ และคณะ เป็น ระดับประเด็นที่ใช้ทำ ความเข้าใจหรืออธิบายทฤษฎีหรือปรากฏการณ์ทณ์าง จิตวิทยาสังคมแต่ประเด็น ส่วนขอบข่ายของสิทธิโชด วรานุสันุสันติกูล เป็นการมองในลักษณะที่ว่าการศึกษาวิจัยทั้งหลายเกี่ยวกับจิตวิทยาสังคมมี อิทธิพลต่อพฤติกรรมทางสังคมระดับใดระดับหนึ่งใน 3 ระดับ และ ขอบข่ายของนพมาศ อุ้งพระ (ธีรเวคิน) เป็นระดับประเด็นที่ใช้ทำ ความ เข้าใจหรืออธิบายหลักใดหลักหนึ่งในหลัก 3 ประการซึ่งเป็นฐานของ จิตวิทยาสังคม แม้ขอบข่ายการศึกษาจิตวิทยาสังคมข้างต้นเป็นคนละระดับ แต่เป็นทฤษฎี/ปรากฏการณ์ทณ์างจิตวิทยาสังคมเดียวกัน A Affective B Behavior C Cognition


4. ความสัมพันธ์ของจิตวิทยาสังคมกับศาสตร์แขนงอื่น การศึกษาความสัมพันธ์ของจิตวิทยาสังคมกับศาสตร์แขนงอื่น ผู้ เรียนจะได้เข้าใจขอบเขต ความสำ คัญของจิตวิทยาสังคมชัดเจนขึ้น 4.1 จิตวิทยาสังคมกับสังคมวิทยา จิตวิทยาสังคมกับสังคมวิทยาต่าง สนใจพฤติกรรมมนุษนุย์ในกลุ่มและในสังคม ลักษณะประการสำ คัญที่บ่ง บอกถึงความแตกต่างคือ หน่วยในการศึกษา จิตวิทยาสังคมสนใจศึกษา ปัจเจกบุดคลในสภาพแวดล้อมทางสังคม เช่น กลุ่ม กลุ่มทางสังคม วัฒนธรรม ประเด็นที่ศึกษาเช่น การรับรู้ระหว่างบุคคล ความก้าวร้าว ภาวะ ผู้นำ ส่วนนักสังคมวิทยาศึกษากลุ่มคน หัวข้อที่ศึกษาเน้นน้เกี่ยวกับกลุ่มคน เช่น โครงสร้างของกลุ่ม สถานภาพและบทบาททางสังคม เป็นตัน นัก สังคมวิทยา บางส่วนเรียกตัวเองว่านักจิตวิทยาสังดม บางครั้งนักวิชาการ การทั้งสองสาขาวิซานี้ศึกษาหน่วยข้ามสาขากันคือนักจิตวิทยาสังคมอาจ ศึกษากลุ่มคน ขณะที่นักสังคมวิทยาศึกษาบุคคลในกลุ่ม อย่างไรก็ตามการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิซาการทั้งสองสขาวิชาทำ ให้ใด้เรียนรู้มุมมอง ที่ต่างกันต่อปัญหาเดียวกันซึ่งการเป็นประโยชน์ต่น์ ต่อวงวิชาการ 4.2 จิตวิทยาสังคมกับจิตวิทยา จิตวิทยาทุกสาขาสนใจศึกษา พฤติกรรมของคนและสัตว์ แต่สนใจในการศึกษาอาจแตกต่างกันออกไป ลักษณะประการสำ คัญที่บ่งถึงความแตกต่างระหว่างจิตวิทยาสาขาอื่นคือ จิตวิทยาศึกษาความคิด พฤติกรรมและอารมณ์ขณ์องบุคคล ส่วนจิตวิทยาษา ปัจเจกบุคคลภายในกลุ่มคนหรือกลุ่มสังคม (Goldstein, 2011, P. 208) ทั้งนี้จิตวิทยาสังคมมีความสัมพันธ์กับจิตวิทยาแขนงอื่นๆ เช่น จิตวิทยา พัฒนาการ จิตวิทยาบุคลิกภาพและจิตวิทยาพัฒนาการนำ ความรู้จาก จิตวิทยาสังคมไปอธิบายว่าพ่อแม่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของลูก เป็นต้น 4.3 จิตวิทยาสังคมกับมานุษนุยวิทยา มานุษนุยวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษา เกี่ยวกับวัฒนธรรมหนึ่งๆ และศึกษาในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒธรรม ด้วย วัฒนธรรมของมนุษนุย์ประกอบด้วย ค่านิยม ความเชื่อ และแนวการ ปฏิบัติร่วมของกลุ่มคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีการถ่ายทอดจากชนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น หนึ่ง บริบททางวัฒนธรรมซึ่งพฤติกรรมเกิดขึ้น ช่วยให้นักจิตวิทยาสังคม ขจัดความลำ เอียง/อดติและสามารถเทียบเคียงความแตกต่างของ พฤติกรรมของคนในแต่ละวัฒนธรรมได้


4.4 จิตวิทยาสังคมประยุกต์กับการประยุกต์จิตวิทยาสังคม จิตวิทยา สังคมประยุกต์ หมายถึง การศึกษาวิจัยทางจิตวิทยาสังคมที่มุ่งแก้ปัญหาบาง อย่างในสังคมหรือมุ่งทำ ความเข้าใจกับปรากฏการณ์ทณ์างสังคม จิตวิทยา สังคมบริสุทธิ์มุ่งศึกษาวิจัยเพื่อทำ ความเข้าใจและทำ นายพฤติกรรมสังคม ของมนุษนุย์ โดยที่ผู้ศึกษาวิจัยจิตวิทยาสังคมบริสุทธิ์อาจจะมีหรือไม่มีเป้าป้ หมายการประยุกต์ก็ได้ การประยุกต์จิตวิทยาสังคมบริสุทธิ์ไปในด้านต่างๆ ขยายขอบเขตมากขึ้น ธีระพร อุวรรณโณ (2537, น. 1/29-30) ตัวอย่างการ ประยุกต์จิตวิทยาสังคมไปในด้านหลัก ๆ ได้แก่ การประยุกต์ในวงการศึกษา ปัญหาอาชญากรรมธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมทั้งการเมืองและดวาม สัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในที่นี้ขอเสนอตัวอย่างเฉพาะ การประยุกต์ในวงการ ศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จิตวิทยาสังคมกับวงการศึกษา แมคเดวิดและฮารารี (McDavid & Harari, 1974) ให้ความเห็นว่าการศึกษาแท้จริงแล้วก็เป็นกระบวนการสังคม ประกิตนั่นเอง โดยบุคคลพยายามที่จะถ่ายทอดลักษณะและความคิดต่าง ๆ ให้ผู้อื่น ครูก็จะเป็นตัวแบบ (Model) ให้นักเรียนเลี่ยนแบบหรือเรียนรู้จาก การสังเกต ครูให้คุณให้โทษในการกล่อมเกลาพฤติกรรมของนักเรียนและ การวิจัยเกี่ยวกับสังคมประกิดก็ช่วยให้ครูและพ่อแม่เข้าใจและรู้จักใช้วิธีการ อบรมและสั่งสอนที่มีประสิทธิภาพ การรับรู้(Perception) และเจตคติ (Attitude) ที่ครูและนักเรียนมีต่อ กันก็เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างหรือเหนี่ยวรั้งการเรียนการสอนได้ ดวามคาด หวังที่ครูและนักเรียนมีต่อกันก็ได้มีการวิจัยแสดงให้เห็นมาแล้วว่ามีอิทธิพล ต่อนักเรียนไม่น้อน้ย การจัดชั้นเรียนในการศึกษาในลักษณะที่ครูเป็น ศูนย์กลางของการตัดสินใจทั้งหมด ก็ทำ ให้เกิดบรรยากาศและผลต่อการ เรียนการสอนในทางที่แตกต่างกับการจัดชั้นเรียนแบบให้นักเรียนได้ออก ความคิดเห็นและร่วมตัดสินใจสิ่งต่างๆ ด้วย


โดยสรุปกล่าวได้ว่า จิตวิทยาสังคม สังคมวิทยา จิตวิทยาและ มานุษนุยวิทยาเป็นสาขาวิชาของพฤติกรรมศาสตร์ มุ่งศึกษาประเด็นที่ต่าง กันแล้วแต่เป้าป้หมายของสาขานั้นๆ จุดสำ คัญที่ทำ ให้จิตวิทยาสังคมต่างจาก พฤติกรรมศาสตร์สาขาอื่นคือขนาดของหน่วยในการศึกษาและกระบวนการ ในการศึกษาก็ดี พฤติกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ มีการเชื่อมโยงความรู้ ระหว่างสาขาวิซาเพื่อการพัฒนาความรู้ของในสาขาของตนเอง และการ ประยุกต์จิตวิทยาสังคมไปใช้ในการพัฒนาวิชาการ วิซาชีพและการดำ รง ชีวิตมีแนวโน้มน้เพิ่มขึ้น


เมื่อเราอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เราต้องเรียนรู้ที่จะประพฤติปฏิบัติตัวใน ทางที่กลุ่มต้องการหรือคาดหวังให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่ม กระบวนกร เรียนรู้นี้เกิดอย่างต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิตของเราและเป็นกระบวนการที่เรา ได้รับอิทธิพลจากผู้อื่น ที่เราเรียกว่าสังคมประกิต ซึ่งเรื่องนี้ ผู้เขียนจะกล่าว เป็น 4 ประเด็น คือ 1) ความหมายของสังคมประกิต 2) แหล่งที่มาของสังคม ประกิต 3) กระบวนการสังคมประกิต 4) ผลของสังคมประกิต ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1. ความหมายของสังคมประกิต สังคมประกิต (socialization) มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง เช่น การเรียน รู้ระเบียบทางสังคม การกล่อมเกลาทางสังคม การอบรมขัดเกลาทางสังคม หรือสังคมปกรณ์ เช่นเดียวกับความหมายของสังคมประกิตมีนักวิชาการให้ ความหมายไว้ดังนี้ ประหยัด ลักษณะงาม (2546, น. 13) สังคมประกิตเป็นกระบวนการ ทางสังคม ที่มุ่งจะให้สมาชิกได้เรียนรู้กฎระเบียบของสังคม เพื่อให้เขาเหล่า นั้นสามารถอยู่ในสังดมได้อย่างเหมาะสม สิทธิโชค วรานุสันุสันติกูล (2547, น. 46) กล่าวว่า สังคมประกิตเป็นกระ บวนการพัฒนาบุคคลให้มีจิตลักษณะที่สอดดล้องเป็นไปในทางซึ่งสังคม ต้องการคือเป็นกระบวนการที่บุคคลเรียนรู้และรับเอาความเชื่อค่านิยม เจตคติ และพฤติกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการของสังคมนั้นเข้ามาสู่ ตนเอง ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร (2554, น. 46) ให้ความหมายของสังคมประกิตไว้ ว่า หมายถึง กระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งมีผลทำ ให้พฤติกรรมขอ งบุดคลเปลี่ยนไปให้สอดคล้องกับความคาดหวังของสมาชิกในกลุ่ม สถาบัน หรืองค์การเมื่อบุคคลนั้นข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ กระบวนการสังคมประกิต เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่เกิดจนสิ้นชีวิต สัง สั คมประกิต บทที่ 3


กล่าวโดยสรุปได้ว่า สังคมประกิตเป็นกระบวนการที่สมาชิกในสังคม เรียนรู้และรับเอาความเชื่อค่านิยมและแบบแผนพฤติกรรมที่มีลักษณะ เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสังคมที่ตนเป็นสมาชิก พัฒนาเข้า มาสู่ตนเอง จากความหมายสังคมประกิต จะเห็นได้ว่าสังคมประกิดเป็นกระบวน การที่บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ซึ่งลักษณะของการเปลี่ยนแปลงที่เกิด จากสังคมประกิตแตกต่างไปจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อย่างเด่น ชัดอยู่ 2 ประการคือ 1. เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเรียนรู้เท่านั้น 2. การเปลี่ยนแปลงนั้นมีที่มาจากการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นใน สังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น นักศึกษาดูการประกวดร้องเพลงทางโทร ทัตน์ แล้วเลียนแบบท่าร้องเพลงและการแต่งตัวของนักร้องที่ชื่นชอบ 2. แหล่งที่มาของสังคมประกิต ตัวแทนทางสังคมสำ คัญซึ่งเป็นแหล่งที่มาของสังคมประกิตในที่นี้จะ กล่าวถึง 4 แหล่ง ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน โรงเรียนหรือสถาบันการ ศึกษาและสื่อมวลชน 2.1 ครอบครัว เป็นสังคมเริ่มแรกที่ให้การอบรมเลี้ยงดู ความรัก โอกาส และประสบการณ์พื้ณ์ พื้นฐานของการดำ รงชีวิตและการเรียนรู้ ครอบครัวจึงมี ความสำ คัญมากที่สุดต่อพัฒนาการของบุคคล แต่ละครอบครัวมีวิธีการ อบรมเลี้ยงดูต่างกันเด็กแต่ละคนจึงมีค่านิยม ความเชื่อ เจตคติและ บุคลิกภาพที่แตกต่างกัน การศึกษาวิจัยของไดอานา บอมไรน์ (1960) แสดง ให้เห็นว่าการเลี้ยงดูแบบใช้อำ นาจจะทำ ให้เด็กเชื่อฟังว่านอนสอนง่ายหาก แต่ไม่มีความสุขและไม่มีการเห็นคุณค่าในตนเอง การเลี้ยงดูให้เกิดความไว้ วางใจจะทำ ให้เป็นเด็กที่มีความสุข มีศักยภาพและประสบความสำ เร็จใน อนาคต ส่วนการเลี้ยงดูแบบยอมตามมักทำ ให้ไม่มีความสุขไม่สามารถ ควบคุมตนองได้ มักมีแนวโน้มน้ที่จะมีปัญหาเอาแต่ใจตัวเองและไม่ประสบ ความสำ เร็จในการเรียนและการเลี้ยงดูแบบเพิกเฉยมักจะทำ ให้มีศักยภาพ ต่ำ ในทุกๆ ด้าน ควบคุมตนเองไม่ดี ไม่มีการเห็นคุณค่าในตนเอง


ไม่มั่นใจในการคบเพื่อน นอกจากนี้มีการศึกษาวิจัยที่พบว่าพ่อแม่ที่ทำ งาน มี ลักษณะความเสี่ยงสูง การแข่งขันสูงและรายได้สูงมักมีผลกระทบต่อภาวะ สุขภาพจิตและปัญหาการเรียนของเด็กมากกว่าพ่อแม่ที่มีรายได้ปานกลาง ส่วนพ่อแม่ที่ทำ งานที่มีความมั่นคงปลอดภัยและสวัสดิการเด็กสามารถปรับ ตัวและมีผลการเรียนสม่ำ เสมอ (Luthar & Becher, 2002) ลัดตา กิติวิภาต (2526, น. 12-13) กล่าวว่าโรงเรียนจะเป็นตัวแทนทาง สังคมที่มีประสิทธิภาพมากแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับครอบครัวของเด็กด้วยว่าเด็ก มาจากครอบครัวประเภทใด ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่ทำ ให้ครูผู้สอนสามารถ เข้าใจเด็กได้ดีคือการศึกษาสภาพของครอบครัว ครูอาจศึกษาภูมิหลังของ ครอบครัวของเด็กได้จากระเบียนสะสมที่โรงเรียน เช่น เด็กเป็นลูกคนที่ เท่าไร ลักษณะครอบครัวของเด็ก พ่อแม่อยู่ด้วยกันหรือแยกกันอยู่ ครอบครัวแตกแยกหรือไม่ ซึ่งสภาพของครองครัวดังกล่าวมีผลต่อการเรียน ในชั้น ตลอดจนความสำ เร็จในการเรียนในชั้นของเด็ก ได้มีการวิจัยเพื่อ ศึกษาอิทธิพลของครอบครัวต่อการมุ่งหวังในรางวัล พบว่าเด็กที่อยู่ในภาวะที่ ขาดพ่อ พ่อแม่เพิ่งหย่าร้างกัน เด็กจะต้องการรางวัลอย่างทันทีทันใด ทนรอ รางวัลไม่ได้ ตรงกันข้ามกับเด็กที่มาจากครอบครัวที่รักใคร่กันดีเด็กจะทนรอ รางวัลได้ อาจจะอธิบายได้ว่าเด็กที่ขาดพ่อ ขาดความมั่นใจในอนาคตจึงไม่ ค่อยวางใจในตัวผู้ใหญ่ 2.2 กลุ่มเพื่อน ในที่นี้หมายถึงกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกัน เด็กจะได้เรียนรู้ ลักษณะของคนในวันเดียวกัน ได้เปรียบเทียบความสามารถ ความสนใจและ ความต้องการในกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อน โดยปกติคนเรามีกลุ่มเพื่อนหลาย กลุ่ม เช่น เพื่อนบ้าน เพื่อนในห้องเรียน เพื่อนร่วมชมรมต่างๆ เมื่อกลุ่ม เพื่อนต่างๆ กัน ย่อมจะมีความสำ คัญต่อเราในลักษณะต่าง ๆ กันจึงเป็นผล ให้มีการแสดงบทบาทที่แตกต่างกันไปในกลุ่มเพื่อนแต่ละกลุ่ม กลุ่มเพื่อนจึง เข้ามามีอิทธิพลในฐานะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สมาชิกในกลุ่ม เด็กจะมีดวามยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้นและจะนำ ไปสู่การ พัฒนาทักษะทางสังคม (Social skills) การอยู่ในกลุ่มเพื่อนจะช่วยสร้างและ พัฒนาการรู้จักตัวตนของเด็ก โดยทำ ให้เขาสามารถเรียนรู้บทบาทของ ตนเองกับเพื่อนๆรวมทั้งความเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่นอกบ้าน


2.3. โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา โรงเรียนต่างจากกลุ่มเพื่อนคือให้ เด็กได้รู้จักเรียนรู้การเข้ากลุ่มหรือสังคมอย่างเป็นทางการเป็นแห่งแรกเด็ก ได้พัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคม นอกจากนั้นโรงเรียนยังเป็นหน่วยแรก ของสังคมในการเชื่อมโยงระหว่างเด็กกับสังคมระดับอื่นๆ เช่น มีการอบรม สั่งสอนเจตคติ แนวคิดและความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับระบบการเมือง อบรมให้ เด็กมีความซื่อตรงต่อหน้าน้ที่ มีความจงรักภัคดีต่อประเทศชาติรวมทั้ง ถ่ายทอดกฎเกณฑ์และระบบต่างๆ ของสังคมมาสู่เด็ก ในโรงเรียนนอกจาก ได้เรียนรู้วิชาการต่าง ๆ เด็กจะเรียนรู้คำ ศัพท์ต่างๆ เช่น คำ คุณศัพท์ด้านดี- ชั่ว เอื้อเฟื้อ เห็นแก่ตัว คำ ศัพท์ต่างๆ เหล่านี้จะเป็นคำ ศัพท์ที่จะย้อนกลับมา ใช้ประเมินตัวเขาเองและบุคคลอื่นๆ ในโรงเรียน ครูอาจารย์ยังนำ เอาวิธีการ เปรียบเทียบทางสังคม (Social comparison) มาใช้ในโรงเรียนกล่าวคือนำ ผลงานของนักเรียนในโรงเรียนมาเปรียบเทียบกันอย่างเป็นธรรมซึ่งเป็นการ ฝึกให้เด็กเป็นคนยอมรับกฏกติกาในสังคมและพร้อมที่จะต่อสู้แข่งขัน ภายในกรอบที่ถูกต้องต่อไป นักจิตวิทยาเห็นว่าการนำ เปรียบเทียบกันมี ความสำ คัญมากเพราะผลการเปรียบเทียบที่ออกมาอย่างชัดเจนคือ มีบุคคล ที่เหนือกว่าด้อยกว่าตามผลงานจะจัดลำ ดับตัวเองเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ และผู้แพ้ก็สามารถพัฒนาให้มีคุณภาพดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามการเปรียบ เทียบผลงาน การจัดกิจกรรมให้เด็กแข่งขันครูต้องระมัดระวังผลการแข่งขัง เขาจะรู้สึกตัวเองต่ำ ต้อยและความเชื่อมั่นในตนเอง ครูจึงควรใช้ช่วงเวลานี้ จัดกิจกรรมหรือสร้างสถานการณ์ใณ์ห้เด็กได้มีการเรียนรู้หรือพัฒนาความ สามารถส่วนที่ขาดไปให้มากขึ้น เช่น ให้เด็กแข่งขันสะกดคำ ศัพท์ จากนั้นครู เฉลยโดยให้เด็กๆ สะกดคำ ถูกและสะกดทวนซ้ำ อีกหนึ่งหรือสองครั้งและให้ กำ ลังใจเมื่อจบการแข่งขัน


2.4 สื่อมวลชน มีหลายประเภท เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์หนังสือ ซึ่งมีส่วนในกระบวนการสังคมประกิตแก่มนุษนุย์ในด้าน ต่างๆ ตั้งแต่ความคิด ความเชื่อ แบบของความประพฤติ เพราะสื่อมวลซนมี ทั้งการให้ความรู้และความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะอิทธิพลของสื่อมวลชนที่ สำ คัญคือการให้ข่าวสาร นอกจากสื่อประเภทต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงในเบื้องตัน แล้ว สื่อออนไลน์ (Online media) ได้เข้ามามีบทบาทกับสังคมปัจจุบันอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อมูลข่าวสารบนสื่อออนไลน์ที่น์ ที่มีอยู่มากมายมีทั้งข้อมูลจริง ข่าวลือและข่าวลวง เนื่องจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ต น็ สามารถทำ หน้าน้ที่ได้ทั้งผู้ส่งสาร และผู้รับสารโดยมีสื่อใหม่ (New media) อาทิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ ยูทูป เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำ วันช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว หลากหลายจากทุกสถานที่และทุกเวลา ดังนั้นเด็กจึงสามารถเข้าถึงได้ง่ายได้ เห็นและได้รู้อยู่เป็นประจำ ก็จะจดจำ นำ เอาสิ่งที่สนใจและชอบไปปฏิบัติตาม เช่น การลอกเลียนแบบแฟชั่นแปลกๆ ใหม่ๆ เพื่อให้เข้าสมัยนิยม บ่อยๆ เข้า อาจกลายเป็นบุคลิกภาพของเขา ทั้งนี้อิทธิพลของสื่อมวลชนนี้จะมีมากน้อน้ยเพียงไรขึ้นอยู่กับแต่ละ บุคคล ภูมิหลังของครอบครัวว่าได้สอนลูกให้รู้จักเหตุและผลหรือเลือกเฟ้นฟ้ ข่าวสารต่าง ๆ ได้แค่ไหน รวมถึงเจตคติของแต่ละบุคคลต่อสิ่งที่ตนได้รับ ด้วย (htp://www.baanjomyut.com สืบดันเมื่อ 24 มิถุนายน 2560) 3. กระบวนการสังคมประกิต จุดประสงค์สำ คัญของสังคมประกิต คือ การคงอยู่ของแนวคิดและ บรรทัดฐานต่างๆ ของสังคมเมื่อมีสมาชิกใหม่จึงเกิดกระบวนการเรียนรู้และ รับเอาค่านิยม ความเชื่อ บรรทัดฐานของสังคมนั้น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของ สังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งคนเรามีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปตาม สภาพการณ์แณ์ละสิ่งที่จะเรียนรู้ดังนี้ 3.1 การเสริมแรงและการลงโทษ เป็นการเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไข 3.1.1 การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นการทำ ให้ความถี่ของ พฤติกรรมคงที่หรือเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลการกระทำ ที่ตามหลังพฤติกรรมนั้น


ตัวเสริมแรง (Reinforce) คือ สิ่งที่ทำ หน้าน้ที่เสริมแรงให้บุคคลทำ พฤติกรรมซ้ำ ตัวเสริมแรงที่ใช้แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ตัวเสริมแรงปฐมภูมิ ตัวเสริมแรงประเภทนี้โดยตัวเองสามารถตอบสนองความต้องการทาง ชีวภาพได้โดยตรง เช่น อาหาร น้ำ ความร้อน ความเจ็บปวด และตัวเสริม ทุติยภูมิ ตัวเสริมแรงนี้ที่ต้องผ่านกระบวนการที่นำ ไปสัมพันธ์กับตัวเสริม แรงปฐมภูมิ เช่น คำ ชม เงิน หรือ ตำ แหน่ง การเสริมแรงทำ ได้ใน 2 ลักษณะ คือ การเสริมแรงทางบวก หมายถึง การเสริมแรงที่พึ่งปรารถนาแล้วมีผลทำ ให้พฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรง นั้นมีความถี่เพิ่มขึ้น เช่น ให้ขนม ให้เงิน ให้เล่นเกมส์ และการเสริมแรงทาง ลบ หมายถึง การนำ สิ่งที่ไม่ชอบ ไม่พึ่งพอใจออกไปแล้วมีผลทำ ให้พฤติกรรม มีความถี่คงที่หรือเพิ่มขึ้น เช่น นักเรียนอ่านหนังสือเพราะไม่อยากสอบตก ตัวอย่างการเริมแรง เช่น คุณแม่เพิ่มเงินค่าขนมให้น้อน้งพุดเมื่อเขาช่วย ทำ งานบ้าน ทำ ให้น้อน้งพุดทำ งานบ้านบ่อยมากขึ้น ในที่นี้พฤติกรรมที่ได้รับ การเสริมแรงคือการช่วยทำ งานบ้าน ตัวเสริมแรงที่น้อน้งพุดได้รับคือเงิน วิธี การเสริมแรงที่คุณแม่ใช้คือการเสริมแรงทางบวก การเสริมแรง สามารถเสริมแรงแบบต่อเนื่องทุกครั้งที่กระทำ พฤติกรรมหรือให้เป็นครั้งคราวก็ได้ การเสริมแรงแบบต่อเนื่องทุกครั้งจะ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีในช่วงของการฝึกฝนหรือฝึกหัด ทั้งนี้การเสริม แรงด้วยวิธีที่แตกต่าง ย่อมมีผลต่อการคงอยู่ของพฤติกรรมที่เรียนรู้ต่างกัน ด้วย


ข้อสังเกตประการหนึ่งคือการเสริมแรงกับการให้รางวัล (Reward) มี ความแตกต่างกัน กล่าวคือการเสริมแรงเป็นการทำ ให้ความถี่ของพฤติกรรม ที่ได้รับการเสริมแรงคงที่หรือเพิ่มขึ้น ส่วนการให้รางวัลคือการให้สิ่งใดสิ่ง หนึ่งพอสมควรไม่จำ เป็นต้องทำ ให้พฤติกรรมมีความคงที่หรือเพิ่มขึ้น เช่น นักเรียนแข็งขันปาเป้าป้ในกีฬาสี เมื่อชนะการแข่งขันได้รับเหรียญทองและ เงินจำนวนหนึ่ง ถ้าเหรียญทองและเงินทำ หน้าน้ที่เสริมแรง เสริมแรง พฤติกรรมปาเป้าป้ของเด็กนักเรียนคนดังกล่าว ในทางตรงกันข้ามถ้านักเรียน คนดังกล่าวไม่มีการฝึกซ้อมหรือเล่นกีพาประเภทนี้อีกหลังจากการรับเหรียญ ทองและเงินจากการแข่งขัน เหรียญทองและเงินที่ได้รับเรียกว่ารางวัล ข้อ สังเกตประการที่สองคือรางวัลและการเสริมแรง ผู้เรียนจะได้รับหลังจาก กระทำ พฤติกรรมแล้ว 3.1.2 การลงโทษ เป็นวิธีที่สังคมใช้เพื่อหยุดหรือยุติพฤติกรรมที่ไม่ ต้องการให้บุคคลกระทำ เช่น การตี การดุ ว่ากล่าว การแสดงอาการเฉยเมย เป็นต้น การลงโทษไม่เป็นที่นิยมด้วยเหตุผลคือ 1. การลงโทษเป็นเพียงการ ระงับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาไว้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมีโอกาสก็จะแสดง พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อีก 2. การลงโทษทำ ให้ผู้ถูกลงโทษรู้ว่าไม่ควรทำ พฤติกรรมนั้นแต่ไม่รู้ว่าควรทำ พฤติกรรมใด 3. ผู้ถูกลงโทษจะเลียนท่าทีที่ ก้าวร้าวและเรียนรู้การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาและการถูกลงโทษ บ่อยจะทำ ให้ผู้ถูกลงโทษเกิดดวามเคยชิน การลงโทษจะมีประสิทธิผลน้อน้ย ลง 4. การลงโทษทำ ให้เกิดปัญหาทางอารมณ์ เช่น กลัวอย่างรุนแรงจนกลาย เป็นความเรียดและ 5. ผู้ถูกลงโทษรู้สึกต่อต้านการลงโทษหาทางเลี่ยงและ หลบหนีผู้ลงโทษ ทำ ให้ผู้ลงโทษขาดโอกาลที่จะสอนสิ่งอื่นในภายหลัง กรณีจำเป็นต้องการลงโทษ มีหลักการลงโทษคือ (1) ก่อนลงโทษควร ซักถามสาเหตุ ให้ผู้ถูกลงโทษยอมรับเสียก่อนว่าผิดจริงและสมควรได้รับ โทษนั้น (2) ต้องลงโทษด้วยเหตุผลอย่างยุติธรรม ทันทีที่เห็นว่าทำ ผิดพร้อม ทั้งบอกพฤติกรรมที่ถูกต้องเพื่อให้ผู้ถูกทำ โทษทราบว่าควรทำ อย่างไร เพื่อให้ ได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่ถูกลงโทษ (3) เลือกวิธีลงโทษให้เหมาะสมกับผู้ถูก ลงโทษและสถานการณ์ โดยไม่ใช้อารมณ์แณ์ต่ต้องลงโทษจริงจัง ไม่ใช่การขู่


การเสริมแรงและการลงโทษอาจทำ เป็นกลุ่มหรือเดี่ยวก็ได้ อย่างไร ก็ตามหากใช้วิธีการเสริมแรงและ/หรือการลงโทษแบบเดียวซ้ำ ๆจำ เจหรือ บ่อยครั้งเกินไป ผู้ได้รับตัวเสริมแรงหรือลงโทษก็จะไม่เห็นว่ามีความสำ คัญ ทำ ให้การวางเงื่อนไขไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการเสริมแรงหรือการลงโทษ ต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับด้วยความยุติธรรมและมีความคงเส้นคงวา 3.2 การสอนโดยตรง สังคมประกิตที่เกิดจากการสอนโดยตรงมี ลักษณะคือพฤติกรรมที่ให้ทำ นั้น เกิดจากการชี้แนะและการเสริมแรง โดยใช้ ภาษาเป็นสื่อกลางทำ ให้เกิดความเข้าใจและทำ ให้เกิดพฤติกรรมที่พึ่งปราถ นา พฤติกรรมที่หมาะสมเมื่อได้แสดงออกมาแล้วอาจได้รับการแนะนำ เพิ่ม เติมและได้รับการเสริมแรงโดยใช้สัญลักษณ์ ในการเรียนรู้โดยการสอน โดยตรงสิ่งแวดล้อมมีความสำ คัญเท่าๆ กับสิ่งที่เรียนรู้จากผู้สอน เพราะผู้ สอนเป็นผู้ซี้แนะแต่เพียงอย่างเดียวจึงต้องอาศัยอุปกรณ์กณ์ารฝึกฝน ซึ่งผลที่ ตามมาอาจจะมีทั้งความสมหวังและผิดหวัง 3.3 การเรียนรู้โดยบังเอิญ การเรียนรู้ในลักษณะนี้เป็นการเรียนรู้ที่ผู้ สอนไม่ได้จงใจจะสอน ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนนุจากคนอื่นโดยบังเอิญหรือ ได้รับการเสริมแรงโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เด็กเล็กๆ เริ่มหัดพูดแล้วไปจำ คำ หยาบมาพูด ผู้ใหญ่รู้สึกขบขันคำ พูดของเด็กจึงหัวเราะ เสียงหัวเราะจาก ผู้ใหญ่จึงเป็นตัวเสริมแรงให้เขาพูดคำ นั้นอีก ต่อมาเด็กอาจจะพบว่าการ กล่าวสิ่งนั้นซ้ำ อีกทำ ให้ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ซึ่งเด็กก็อาจจะพบกับการ เสริมแรงด้วย 3.4 การเลียนแบบ พฤติกรรมของบุคคลเกิดขึ้นได้จากการเลียนแบบ (Imitation) เด็กๆ จะสนใจสังเกตและเลียนแบบท่าทางของผู้ที่ใกล้ชิดซึ่งให้ ความรักความอบอุ่น ให้การเลี้ยงดู เช่น พ่อ แม่ พี่ๆ นอกจากนี้เด็กอาจเลือก เลียนแบบคนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเขา เช่น เพื่อนบ้าน เพื่อนที่โรงเรียน ในบางครั้งบุคคลจะเลือกเรียนแบบการการะทำ ของคนแปลกหน้าน้เพราะ สังเกตเห็นว่าการกระทำ ของคนแปลกหน้าน้ทำ ให้ตัวผู้กระทำ ได้รับผลดึ จึง เลือกที่จะทำ ตามเพื่อให้ได้รับผลดีบ้าง เช่น เลียนแบบวีรบุรุษจากโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์และสิ่งอื่นๆ


แบนดูรา (Bandura อ้างถึงใน สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, 2539, น. 47) เชื่อว่าการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของบุคคลเกิดจาการสังเกตตัวแบบ เพราะตัว แบบเพียงคนเดียวสามารถถ่ายทอดทั้งความคิดและการแสดงออกให้บุคคล อื่นปฏิบัติตามได้ การเรียนรู้ไม่จำ เป็นต้องแสดงออกเป็นพฤติกรรม ภายนอกในทันที แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในแล้วจึงแสดงออกเป็น พฤติกรรมภายหลังเมื่อสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์เณ์อื้ออำ นวย 3.4.1 หน้าน้ที่ของตัวแบบ ฟิสเซอร์และโกโคลส (Fischer & Gochros, 1975 อ้างใน สมโภช เอี่ยมสุภาษิต, 2539, น. 51) กล่าวว่าตัวแบบมีหน้าน้ที่ 3 ประการ ได้แก่ ประการแรก คือ หน้าน้ที่สร้างพฤติกรรมใหม่ให้กับผู้เรียนที่ยังไม่เคย เรียนรู้พฤติกรรมดังกล่าวมาก่อน เช่น เด็กเรียนรู้วิธีซับซ้อนเป็นครั้งแรก ประการที่สอง คือ หน้าน้ที่เสริมพฤดิกรรมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น เช่น คน ที่ชอบร้องเพลง อาจจะติดตามการร้องเพลงของนักร้องคนโปรด เพื่อจดจำ ลีลาการร้องเพลงของนักร้องนั้น ประการที่สาม คือ หน้าน้ที่ยับยั้งการเกิดพฤติกรรม ในกรณีที่ผู้ สังเกตเคยมีหรือไม่เคยมีพฤดิกรรมที่ไม่พึงปรารถนามาก่อน ตัวแบบจะช่วย ลดพฤติกรรมนั้นได้ เช่น เพื่อนถูกลงโทษเพราะพูดคำ หยาบ ย่อมทำ ให้ผู้ สังเกตกลัว และไม่ทำ พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการถูกลงโทษ 3.4.2 ประเภทของตัวแบบ ตัวแบบแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท (Bandura, 1977, pp. 40-51) คือ 1) ตัวแบบที่เป็นบุคคลที่มีชีวิตจริง (Live mode) หมายถึง ตัวแบบ ที่มีชีวิต ซึ่งผู้สังเกตสามารถปฏิสัมพันธ์หรือสังเกตโดยตรง ไม่ต้องผ่านสื่อ หรือสัญลักษณ์อื่ณ์ อื่น เช่น เด็กได้เห็นพ่อแม่อ่านหนังสือจึงเลียนแบบการอ่าน หนังสือของพ่อแม่ หรือเด็กๆ ได้เห็นเพื่อนยืนเข้าแถวรอรับแจกขนมจึง เข้าไปยืนต่อแถวตามแบบเพื่อน


2) ตัวแบบสัญลักษณ์ (Symbolic mode) หมายถึง ตัวแบบที่ บุคคลสังเกตผ่านสื่อหรือสัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่ปรากฏตามการบอกเล่า ในหนังสือหรือผ่านทางสื่อมวลซนต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือ ตัวอย่าง เด็กๆ แปรงฟันด้วยตนเองเหมือนเป็ดน้อน้ยในนิทานที่ได้ฟังจากคุณครู 3.4.3 กระบวนการเรียนรู้แบนดูราอธิบายว่า การเรียนรู้ด้วยการ สังเกตจากตัวแบบประกอบด้วย 4 กระบวนการ ดังนี้ 1) กระบวนการตั้งใจ จะเป็นตัวกำ หนดว่าเราจะสังเกตอะไร จาก ตัวแบบ ผู้เลียนแบบจะสนใจสังกตตัวแบบที่มีลักษณะเด่นชัดและ พฤติกรรมที่แสดงออกไม่สลับซับซ้อนมากนัก 2) กระบวนการเก็บจำ ผู้เลียนแบบจะแปลงข้อมูลจากตัวแบบ เป็นรูปของสัญลักษณ์แณ์ละจัดโดรงสร้างเพื่อให้จำ ได้ง่ายขึ้น ผู้สังเกตที่ได้ สังเกตตัวแบบช้ำ ๆ จะจดจำ ได้ดีขึ้น 3) กระบวนการกระทำ เป็นกระบวนการที่ผู้สังเกตแปลง สัญลักษณ์ที่ณ์ ที่เก็บจำไว้มาเป็นการกระทำ ซึ่งจะทำ ได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งที่จำ ได้จากการสังเกตการกระทำ ของตนเอง การได้ข้อมูลย้อนกลับจากการกระ ทำ ของตนเอง และการเทียบเคียงการกระทำ กับภาพที่จำ ได้ อีกทั้งยังขึ้นอยู่ กับลักษณะของผู้สังเกตอีกด้วย ได้แก่ ความสามารถทางกายและทักษะใน พฤติกรรมย่อยต่างๆ ที่จะทำ ให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ตามตัวแบบ 4) กระบวนการจูงใจ ผู้สังเกตคาดหวังว่าตนจะได้รับประโยชน์ จากการเลียนแบบพฤติกรรมเหมือนตัวแบบที่ตนสังเกต เช่น การได้รับ รางวัล ได้รับแรงเสริม ได้ประโยชน์บน์างอย่าง หรืออาจจะเป็นการหลีกเลี่ยง ปัญหาที่จะมาสู่ตนถ้าไม่แสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ ความคาดหวังเหล่า นั้นจูงใจให้เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมตามตัวแบบ


4. ผลของสังคมประกิต สังคมประกิตเป็นกระบวนการที่บุคคลได้ความรู้ ทักษะ ค่านิยม เจตคติ และความเชื่อทั้งหลายสิทธิโซค วรานุสันุสันติกูล (2547. น. 55) อภิปรายถึงผล สำ คัญบางประการของสังคมประกิตต่อบุดคล สรุปได้ดังนี้ 4.1 ตัวตน (Self) และมโนทัศน์เน์กี่ยวกับตนเอง (Self-concept) ผล ของสังคมประกิตที่สำ คัญอย่างหนึ่งคือ สังคมประกิตเป็นกระบวนการที่ก่อให้ เกิดตัวตน (Self) ในคนเราซึ่งสำ คัญสำ หรับการที่เราชีวิตอยู่ในสังคม เนื่องจากว่าตัวคนทำ ให้เราจำ แนกตนเองออกจากคนอื่น ในที่นี่ให้ความ หมายคำ ว่าตัวตน (Self) ว่าหมายถึง ตัวตนของบุคคลแต่ละคน อันเกิดจาก การที่แต่ละคนมีนโนทัศน์เน์ที่ยวกับตน (Self-concept) มโนทัศน์เน์กี่ยวกับตนเอง (Self-concept) คือ เรารับรู้เกี่ยวกับตัวเรา เองว่าเป็นคนอย่างไร ทั้งในด้านบุคลิกลักษณะ ความสามารถ คำ นิยม เจตติ ที่เรามีต่อตัวเอง การรับรู้มโนทัศน์เน์กี่ยวกับตนแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ ตน ตามการรับรู้(Perceived self) หมายถึง เราคิดว่าเราเป็นคนอย่างไร ซึ่งอาจ จะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ก็ได้ เช่น เราคิดว่าเราสวยมาก คนอื่นอาจเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยก็ได้ และตนตามความเป็นจริง (Actual self) หมายถึง ตัว ตนของเราความคิดของผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือในความเป็นจริงคนอื่นมอง ว่าเราเป็นคนอย่างไร ซึ่งเราอาจจะรับรู้หรือไม่ได้รับรู้มาก่อนว่าเรามีลักษณะ เช่นนั้นในตัวก็ได้ มโนทัศน์เน์กี่ยวกับตนเกิดขึ้นมาจากการรับรู้ตนเอง (selfperception) เป็นผลจาก 1) ปฏิกิริยาที่คนรอบข้างแสดงต่อเรากล่าวคือ เมื่อ เราได้แสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสถานการณ์ทณ์างสังดมอย่างหนึ่งอย่าง ใดออกไปแล้ว ผลการกระทำ (Consequence) ที่เกิดขึ้นกับเราน่าพึงพอใจ หรือไม่นำ พึงพอใจ ยิ่งผลของการกระทำ นั้นเป็นที่รับรู้ของคนรอบข้าง พวก เขาจะเหมือนกับเป็นกระจกสะท้อนภาพของเรา พวกเขาจะตั้งความหวังกับ การกระทำ ของเราในทำ นองนั้นอีกเหมือนกัน เช่น เด็กหัดเดิน เมื่อเด็กก้าว เดินได้ด้วยตนเอง คนรอบข้างปรบมือชื่นชม เด็กจะรับรู้ว่าการกระทำ ของ เขาเป็นสิ่งที่ดี ในทางตรงกันข้ามถ้าเด็กจะเดิน กลับถูกห้ามเพราะคนเลี้ยง เหนื่อยที่จะวิ่งตาม เด็กจะรู้สึกผิด และ 2) การที่เรารับรู้ตนเองด้วยการ


สะท้อนมุมมองจากคนอื่นรอบตัวว่าเราเป็นอย่างไรและการเปรียบเทียบ ตนเองกับคนอื่น (social comparison) เพื่อรู้จักตนเองมากขึ้นเช่น เปรียบ เทียบตัวเองกับพี่หรือน้อน้ง 4.2 การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem) คือ ความคิดของคนคน หนึ่งเกี่ยวกับตนเองว่าเป็นคนที่มีคุณค่า มีความหมายและมีประสิทธิภาพ มากน้อน้ยเพียงใด (ธรรมนาถ เจริญบุญ, 2557) ถ้าบุคคลประเมินตนเองก ว้างๆ แล้วยังรู้สึกชอบตนเองและยอมรับในสิ่งที่ตนเองได้ทำ ลงไปโดยรวม เรียกว่าเขามีการเห็นคุณค่าในตนเองสูง จากนิยามที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การที่จะทำ ให้บุดคลมีการเห็นคุณค่า ในตนเองมากหรือน้อน้ยขึ้นอยู่กับกระบวนการรับรู้ตนเอง เพราะว่าการรับรู้ การกระทำ ของตนเองเกี่ยวข้องอยู่กับการมองว่าสิ่งที่ตนเองทำ ไปนั้นสำ เร็จ หรือลัมเหลว ตีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการที่เป็นอัตวิสัย (Subjective) อยู่มากคือแต่ละคนมองเหตุการณ์อณ์ย่างเดียวกันไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าใครรับรู้เหตการณ์นั้ณ์ นั้ นว่าสำ เร็จ คนอาจจะบอกว่าล้มเหลวก็ได้ ใน ระยะยาวการรับรู้ตนเองอย่างนี้นำ ไปสู่การเห็นคุณค่าในตนเองมากหรือน้อน้ย ได้ เพราะว่าถ้าได้รับรู้การกระทำ อย่างหนึ่งอย่างใดของตนเองอยู่เสมอว่าไม่ ได้เรื่อง ย่อมกระทบการ จากความหมายของการรับรู้ทางสังคมแสดงให้เห็นว่าการรับรู้ทาง สังคมก็คือ การรับระหว่างบุคคล(Interpersonal perception) นั่นเอง ความ สัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของคนสองคนเรียกว่า พฤติกรรมทางสังคม ระหว่างบุคคลขั้นพื้นฐาน ลักษณะที่สำ คัญที่สุดประการหนึ่งของพฤติกรรมทางสังคมของคน สองคนก็คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน กล่าวคือ พฤติกรรมของบุคคลหนึ่งที่แสดงออกจะไปกระตุ้นหรือเร้าให้อีกบุคคลหนึ่ง มีพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของบุคคลแรก และในทำ นอง เดียวกันพฤติกรรมของบุคคลที่สองก็ไปกระตุ้นให้บุคคลแรกแสดง พฤติกรรมสนองตอบด้วย ปฏิกิริยาการตอบสนองของบุดคลทั้งสองนี้เกิด ขึ้นอย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แสดงว่าบุคคลทั้งคู่ต่างก็


ยอมรับ "ความมีอยู่" ของแต่ละฝ่าฝ่ยหรือกล่าวได้อีกในหนึ่งว่าทั้งสองคนต่างก็ รับรู้(ตีความ) พฤติกรรมของกันและกัน การรับรู้ระหว่างบุดคลหรือการรับรู้ ทางสังคมจึงเป็นสิ่งที่กำ หนดลักษณะสัมพันธภาพที่บุคคลจะแสดงต่อกัน 1.2 มิติในการรับรู้ทางสังคม โยธิน ศันสนยุทธ และจุมพล พูลภัทร์ซีวิน (2529, น. 26-27) อธิบายว่า การรับรู้ของบุคคลหนึ่งที่มีต่ออีกบุคคลหนึ่ง เป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลายประการ เช่น ความเชื่อ ค่านิยม ความคาดหวังและความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับรู้กับผู้ถูกรับรู้ โดยที่การรับรู้ บุคคลอื่น มักจะประกอบด้วยมิติต่างๆ 3 ด้านคือ 1.2.1 ด้านกายภาพ (Physical dimension) หมายถึง ลักษณะรูป ร่างภายนอก เช่น สูง-ดำ ดำ -ขาว อ้วน-ผอม 1.2.2 ด้านพฤติกรรม (Behavioral dimension) หมายถึง บุคลิก ภายในที่สะท้อนออกมา โดยการแสดงพฤติกรรมต่างๆ เช่น ขี้เหนียว-ใจ กว้าง ใจร้าย-ใจดี 1.2.3 ด้านปฏิกิริยาสัมพันธ์ (Interactional dimension) หมายถึง ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างผู้รับรู้กับผู้ถูกรับรู้ เช่น เราต้องพึ่งพาอาศัยผู้ นั้น เป็นลูกศิษย์เรา เราชื่นชมในตัวเขา 2. ตัวแปรสำ คัญในการรับรู้ทางสังคม การรับรู้บุคดลหรือการรับรู้ทางสังคม มีตัวแปรสำ คัญที่จะทำ ให้การรับ รู้บุตคลเป็นไปอย่างสมบูรณ์ตณ์ามที่สิทธิโชด วรานุสันุสันติกุล (2546, น. 86- 89) สรุปรวบรวมไว้เป็น 3 ประการดังนี้ 2.1 ลักษณะประจำตัวของ (ผู้ถูกรับรู้) บุคคลที่เป็นสิ่งเร้า ผลจากการ ศึกษาวิจัยในเรื่องลักษณะประจำ ตัวของ (ผู้ถูกรับรู้) บุคคลที่เป็นสิ่งเร้าแสดง ให้เห็นว่า ผู้ถูกรับรู้ที่มีลักษณะดึงดูดใจมีความสวย มีเสน่ห์ มีตำ แหน่งทาง สังคมสูงหรือแสดงกิริยาอาการบางอย่างทำ ให้รับรู้รู้สึกประทับใจ การรับรู้ยิ่ง ไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่านั้น


ดังจะเห็นได้จากวิลสัน (Wilson, 1968 อ้างถึงใน โยธิน ตันสนยุทธ และจุมพล พูลภัทรชีวิน,2529, น. 30) ทำ การศึกษาผลของตำ แหน่งทาง สังคมที่มีต่อความถูกต้องในการรับรู้โดยวิลสันได้นำ บุคคลซึ่งเป็นบุคคลคน เดียวกันไปแนะนำ ตัวในชั้นเรียนกับนักศึกษา 3 กลุ่มในเวลาต่างกันและใน ตำ แหน่งต่างกันดังนี้ ในห้องเรียนแรกแนะนำ ว่าเป็นนักศึกษา ห้องที่สอง แนะนำ ว่าเป็นผู้ช่วยอาจารย์ ในห้องที่สามแนะนำ ว่าเป็นศาสตราจารย์ของมีห วิทยาลัยเคมบริตจ์แห่งประเทศอังกฤษ แต่ละครั้งที่มีการแนะนำ ตัวเรียบร้อย แล้วเขาจะขอให้นักศึกษาประมาณส่วนสูงของบุคคลผู้นั้น ปรากฏว่าเมื่อ ตำ แหน่งทางสังคมของบุคคลผู้นั้นสูงขึ้น นักศึกษาก็ประเมินความสูงของ บุคคลผู้นั้นสูงขึ้นด้วย ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการรู้ตำ แหน่งทางสังคมของ บุคคลมีผลต่อการรับรู้ระหว่างบุคคล จึงสรุปได้ว่าคุณลักษณะหรือบุคลิกประจำ ตัวของเรามีส่วนทำ ให้ผู้อื่น รับรู้เราผิดพลาดไปจากความเป็นจริงได้ 2.2 สถานการณ์ที่ณ์ ที่การรับรู้เกิดขึ้น การรับรู้บุคคลได้รับอิทธิพลจากสิ่ง แวดล้อมหรือสภาพแวดล้อม ในขณะที่มีการรับรู้เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเราผ่านไปเห็นคนที่หัวเราะคน เดียวคงเกิดความสงสัยว่าขบขัน อะไร สภาพจิตปกติหรือไม่ เพราะปกติคนเราจะไม่หัวเราะคนเดียว แต่ถ้าเรา เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยหรือคนผู้นั้นกำ ลังอ่านหนังสือหรือคุยโทรศัพท์อยู่การ หัวเราะของคนดังกล่าวก็จะเป็นเรื่องปกติ 2.3 คุณลักษณะของผู้รับรู้สภาวะภายในตัวของผู้รับรู้ในขณะที่ทำ การ รับรู้มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของบุคคล สภาวะภายในตัวบุคคล เช่น ความเชื่อ ค่านิยม เจตคติ ความต้องการ ความหิว ความชอบ


ฮาสทอร์ฟ และแคนตริล (Hastorf & Cantril, 1954) ได้เสนอผลการ ศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าบางกรณีผู้รับรู้ได้นำ เอาความรักความชอบในตัวผู้ถูก รับรู้เป็นสิ่งเร้าไปบิดเบือนการรับรู้เขาทำ การทดลอง โดยจัดให้นักศึกษา มหาวิทยาลัยดาร์ทมัธกับพรินสตันดูฟิลม์บันทึกการแข่งอเมริกันฟุตบอล ระหว่างทีมของมหาวิทยาลัยทั้งสองซึ่งเป็นเกมที่ถูกสื่อมวลชนวิจารณ์ว่ณ์ ว่าป่าป่ เถื่อนและเล่นสกปรกมากในเวลานั้น ปรากฏว่า นักศึกษาทั้งสองมหาวิทยาลัย เห็นว่า ทีมของมหาวิทยาลัยคู่แข่งเล่นนอกกติกามากกว่าทีมของ มหาวิทยาลัยตนเองเป็นอย่างมาก ความแตกต่างนี้แสดงออกมาชัดเจน แสดงว่านักศึกษาใช้เจตคติของตนเอง (ความชอบทีมของตนเอง ไม่ชอบ ทีมคู่แข่ง) มาบิดเบือนการรับรู้ กล่าวโดยสรุป คนเราเลือกรับรู้สิ่งที่เราอยากเห็น เราฟังแต่จะได้ยิน เฉพาะสิ่งที่เราอยากได้ยินนอกจากสิ่งที่เราอยากเห็นและอยากได้ยินเราไม่ รับข้อมูลเข้ามาในระบบการรับรู้ของเรา สอดคล้องกับที่นวลศิริ เปาโรหิตย์ (2535 อ้างถึงใน จุฑารัตน์ เอื้ออำ นวย, 2553, น. 151-152) อธิบายว่าการ เลือกรับรู้หมายถึง การพุ่งความสนใจไปรับรู้บางสิ่งบางอย่างในสิ่งแวดล้อมที่ มีอยู่และเพิกเฉยต่อสิ่งอื่นๆ ในแต่ละขณะ ตัวอย่างเช่น เรามองไปที่บุคคล เพียงไม่กี่คนในห้องที่เต็มไปด้วยคนจำ นวนมาก ทั้งนี้เป็นเพราะระบบ ประสาทของคนเราไม่สามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาได้ในเวลา เดียวกัน จึงต้องมีกระบวนการที่จะกรองเอาเฉพาะสิ่งเร้าบางอย่างที่มีความ หมายเข้ามาเท่านั้น สิ่งเร้าอื่นๆ ก็ถูกเพิกเฉยและไม่สนใจไป จากนั้นก็จะแปล ความหมายและตอบสนองสิ่งเร้าเป็นอย่าง ๆ ไป เช่น ผู้ชายไว้ผมสั้นรองทรง ยืนนิ่งๆ ตัวตรง เราก็ลงความเห็นสรุปจากประสบการณ์เณ์ดิมของเราเองว่า เขาคงเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งความเห็นนี้อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ และเนื่องจากการรับรู้ของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน กรณีนี้คนอื่นอาจม องสีผิว การแต่งกายของเขาแทน เนื่องจากประสบการณ์เณ์ดิมของเราต่างกัน จึงทำ ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะอื่นๆ แตกต่างกันไปด้วย


3.การเกิดรอยประทับใจของบุคคล การเกิดรอยประทับใจของบุดคล (Forming Impression of People) เป็นกระบวนการที่บุคคลใช้ในการรับรู้ผู้ที่พึ่งรู้จักหรือคนแปลกหน้าน้กล่าวคือ เมื่อบุคคลหนึ่งพบคนแปลกหน้าน้ ปฏิกิริยาแรกเริ่มของเขาคือพยายามเชื่อม โยงประสบการณ์เณ์ดิมของเขาที่มีต่อคนอื่นๆ ที่คล้ายกับคนแปลกหน้าน้นั้น การเชื่อมโยงประสบการณ์เณ์ดิมกับคนที่ได้พบเห็นใหม่นี้ ผู้รับรู้อาจไม่รู้สึกตัว และยึดเอาประสบการณ์เณ์ดิมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการประทับใจครั้งแรก ต่อบุคลิกภาพของคนแปลกหน้าน้ การเกิดรอยประทับใจของบุคคลมีลักษณะการก่อตัวได้หลายวิธี ผู้ เขียนเรียบเรียง ตันสนยุทธ และจุมพล พูลภัทรชีวิน (2529, น. 31-34) ธีระ พร อุวรรณโณ (2537, น 3/41) และสิทธิโรด วรานูสันติกุล (2546, น. 86- 89) เสนอไว้ดังนี้ 3.1 การเหมารวม (Stereotype) และอคติ (Prejudice) 3. 1.1 การเหมารวม (Stereotype) หมายถึง ลักษณะบางสิ่งบาง อย่างที่เราคาดเอาว่ากลุ่มนี้หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ต้องเหมือนกันทุกคน ซึ่ง ลักษณะร่วมนี้อาจเป็นความจริงหรือไม่ก็ได้ (จุทารัตน์ เอื้ออำ นวย,2553, น. 157) เช่น เมื่อพูดถึงคนญี่ปุ่นปุ่เรามักจะรับรู้ว่าเป็นพวกที่มีชาตินิยมรุนแรง มี ระเบียบวินัย ทั้งๆที่เราก็ไม่เคยรู้จักคนญี่ปุ่นปุ่หรือไม่เคยไปญี่ปุ่นปุ่โดยตรง การ เกิดรอยประทับใจเช่นนี้เป็นการรับรู้ในลักษณะเหมารวมและเมื่อเราพบใคร ก็ตามที่มาจากชาตินั้นหรือกลุ่มนั้น เรามีแนวโน้มน้จะรับรู้บุคคลเหล่านั้นตาม กลุ่มที่เขาเป็นสมาชิกอยู่โดยไม่คำ นึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 3.1.2 อคติ (Prejudice) เป็นกระบวนการรับรู้ที่บุคคลรีบด่วนสรุป หรือรีบตัดสินบุคคลอื่น โดยการเหมารวมมีข่าวสารหรือข้อมูลไม่สมบูรณ์พณ์อ ทำ ให้เกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบโดยไม่มีเหตุผล กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการ ใช้อารมณ์คณ์วามรู้สึกตัดสินคนแปลกหน้าน้ตามลักษณะของกลุ่มที่เขาเป็น สมาชิก จึงอาจเกิดการรับรู้ที่ผิดพลาดได้ ตัวอย่างเช่น เราเคยได้ฟังมาว่าคน ทางภาคเหนือพูดจาไพเราะ ใจเย็น เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่มาจากทางภาค เหนือ เราจึงรู้สึกชอบเพื่อนใหม่คนนั้นเพราะเชื่อว่าเพื่อนใหม่ต้องพูดจา ไพเราะและใจเย็น


ในทางตรงกันข้ามเราเคยดูวิดีโอนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหนึ่งแย่ง กันตักอาหาร พูดคุยเสียงดัง เมื่อเราพบหรือรู้จักกับคนแปลกหน้าน้ที่มีเชื้อ ชาติเดียวกับนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้น เรารู้สึกไม่ชอบคนคนนั้นทันทีเช่นกัน 3.2. ผลแห่งรัศมี (Halo effects) การสรุปครอบคลุมประเภทหนึ่งซึ่ง เกี่ยวข้องกับลักษณะบุคลิกภาพที่สัมพันธ์กันโดยที่ลักษณะหนึ่งขยายไปเป็น อีกลักษณะหนึ่งเรียกว่าผลแห่งรัศมี ตัวอย่างเช่น บุคคลที่เป็นที่ทราบกันว่า เป็นคนใจดี เอื้อเฟื้อก็จะถูกรับรู้ว่าเป็นตนไว้ใจได้ เฉลียวฉลาดและทุกอย่างดี ไปหมด ในทางตรงข้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ได้แสดงลักษณะอย่างใดอย่าง หนึ่งที่เป็นรอยประทับใจไม่ดีต่อสังคมเขามักจะถูกรับรู้ว่าเป็นคนไม่ดีไป ทั้งหมด ผลแห่งรัศมีจะมีผลต่อการประทับใจเด่นชัดยิ่งขึ้นถ้าผู้รับรู้ได้ข่าวสาร เพียงเล็กน้อน้ยเกี่ยวกับผู้ถูกรับรู้หรือเมื่อมีการตัดสินผู้อื่นเกี่ยวกับด้านศีล ธรรม หรือเมื่อผู้รับรู้ไม่คุ้นกับลักษณะบุคลิกภาพที่เขากำ ลังตัดสินผู้อื่น 3.3 ผลของลำ ดับ: ก่อนและหลัง (Order effects: Primacy and recency) ผลจากการศึกษาเรื่องลำ ดับที่ของการเสนอข้อมูลพบว่า ความ ประทับใจครั้งแรกๆ จะมีอิทธิพลเหนือความประทับใจโดยส่วนรวมเพราะ ผู้รับรู้จะนำ เอาความประทับใจในครั้งแรก ๆ ที่ได้พบกันมาเป็นพื้นฐาน สำ หรับการรับรู้ครั้งต่อมา ปรากฏการณ์กณ์ารเกิดรอยประทับใจของบุคคลมักเกิดขึ้นในครั้งแรกๆ ที่ได้พบ จึงเป็นการรับรู้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่จำ กัดหรือมีข้อมูลเพียง บางส่วน การด่วนสรุปหรือตัดสินไปล่วงหน้าน้เช่นนี้อาจทำ ให้การรับรู้ไม่ตรง ตามความจริงได้


4. ทฤษฎีการระบุสาเหตุ (Attribution Theory) ทฤษฎีการระบุสาเหตุของพฤติกรรมเป็นกระบวนการรับรู้อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้รับรู้พยายามที่จะค้นหาสาเหตุของพฤติกรรมของเขาเองและของบุคคล อื่นโดยอาศัยพฤติกรรมที่แสดงออกเป็นข้อมูลเพื่อจะสันนิษฐานไปถึงเจตนา หรือแรงจูงใจเบื้องหลังพฤติกรรมนั้นและเพื่อจะสันนิษฐานไปถึงลักษณะ ประจำตัวของบุคคลด้วย เช่น เมื่อเราเห็นคนยืนที่ป้าป้ยรถประจำ ทาง ยืน ชะเง้อมองรถเป็นระยะๆ เราสรุปว่าเขาคงรอรถประจำ ทางอยู่ ทั้งๆ ที่เขาอาจ รอเพื่อน การระบุสาเหตุของพฤติกรรมช่วยในการคาดคะเนหรือทำ นายเจตนา ของอีกฝ่าฝ่ยหนึ่งและช่วยให้เราเกิดความมั่นใจว่าเราอาจจะควบคุม สถานการณ์ขณ์องความสัมพันธ์ระหว่างกันได้พอสมควร การระบุสาเหตุของ พฤติกรรมจึงช่วยให้คนเราสามารถรักษาความราบรื่นของความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลได้ 4.1 ขั้นตอนของกระบวนการระบุสาเหตุของพฤติกรรม สิทธิโชด วรานุ สันติกุล (2546, น. 98) กล่าวว่านักจิตวิทยาได้แบ่งกระบวนการระบุสาเหตุ ของพฤติกรรมออกเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วยชั้นสังเกตการกระทำ หรือ พฤติกรรม ขั้นพิจารณาเจตนาของผู้กระทำ และขั้นระบุสาเหตุของการกระ ทำ ว่ามาจากอะไร ผู้กระทำ จะต้องกระทำ จนครบ 3 ขั้นตอนจึงจะระบุสาเหตุ ของพฤติกรรมได้ ตัวอย่างสมมุติ เป็นพฤติกรรมปิดประตูหนีบนิ้ว เช่น พี่ ตุ่นปิดประตูห้องหนึบถูกนิ้วน้อน้งปุ้มปุ้ดังภาพที่ 12.3 ขั้นตอนของกระบวนการ ระบุสาเหตุของพฤติกรรมของพี่ตุ่น


4.2 ทฤษฎีการระบุสาเหตุของพฤติกรรม เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความ เข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีการระบุสาเหตุของพฤติกรรมในภาพกว้าง ผู้เขียนจึงขอ เสนอทฤษฎีการระบุสาเหตุของพฤติกรรมตามที่โยธิน ตันสนยุทธ์ และ จุมพล พูลภัทรชีวิน (2529, น. 32-33) อธิบายว่าลักษณะเด่นประการหนึ่ง ของการรับรู้ทางสังคมคือเมื่อบุคคลใดสัมพันธ์กับเหตุการณ์ใณ์ดเหตุการณ์ หนึ่งอย่างใกลัชิด มีแนวโน้มน้ที่จะระบุสาเหตุของความสามารถนั้นให้กับ บุคคลผู้นั้น ไฮเดอร์ (Heider, 1944) ได้แสดงถึงเรื่องนี้โดยอ้างถึงการ ทดลองของซิลลิก (Zillig, 1928) การทดลองประกอบด้วยเด็กสองกลุ่ม กลุ่ม หนึ่งเป็นที่ชอบพอของเพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งไม่เป็นที่ชอบพอของเพื่อนๆ เด็ก ทั้งสองกลุ่มแสดงการเต้นเข้าจังหวะให้เพื่อนๆ ดู กลุ่มที่เป็นที่ชอบพอแกล้ง เต้นผิดทำ นองบ้าง ส่วนกลุ่มที่ไม่เป็นที่ชอบพอเต้นอย่างถูกต้องที่สุด ต่อมา เพื่อนๆ ที่ชมการแสดงครั้งนั้นจำ กลุ่มเพื่อนที่เป็นที่ชอบพอว่าเต้นดี ส่วน กลุ่มที่ไม่เป็นที่ชอบพอเต้นไม่ดี นั่นคือยกการกระทำ ที่ไม่ดีให้กับคนไม่ดี ภาพ แสดงกระบวนการระบุสาเหตุพ ตุ ฤติกรรม


โจนส์และเดวิส (Jones & Davis, 1966) และเคลลี (Kelly,1972) ได้ อธิบายทฤษฎีการระบุสาเหตุของพฤติกรรมโดยแยกสาเหตุตามที่ถูกรับรู้ ออกเป็น 2 ประเภทคือ (1) สาเหตุทางสิ่งแวดล้อมหมายถึงการระบุสาเหตุ ของพฤดิกรรมให้กับสิ่งแวดล้อมและอำ นาจต่างๆ ภายนอกบุคคล (2) สาเหตุทางบุคคล หมายถึง การระบุสาเหตุของพฤติกรรมให้กับบุดคลผู้หนึ่ง หรือหลายคนที่เกี่ยวข้อง ดังการศึกษาของสทอร์มและนิสเบท (Storms & Nisbett, 1970) ได้ทำ การทดลองตามแนวทฤษฎีการระบุสาเหตุของ พฤติกรรม โดยใช้ผู้นอนไม่หลับเป็นผู้รับการทดลอง ผู้รับการทดลองได้รับ ยาที่เป็นแป้งป้ธรรมดาก่อนเข้านอนโดยที่กลุ่มหนึ่งได้รับการบอกเล่าว่ายา ไม่มีอันตรายกินแล้วจะรู้สึกถูกกระตุ้น (เพิ่มอุณหภูมิของว่างกาย เพิ่มอัตรา การเต้นของหัวใจ ฯลฯ) อีกกลุ่มหนึ่งได้รับการบอกเล่าว่ายาไม่มีอันตราย กิน แล้วจะรู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด (ลดอุณหภูมิของร่างกาย ลดอัตราการ เต้นของหัวใจ ฯลฯ) ผลปรากฎว่าผู้รับการทดลองที่ได้รับการบอกเล่าว่ายาจะ ทำ ให้ผ่อนคลายความตึงเครียดกลับนอนยากกว่าที่เคย ส่วนผู้รับการบอกเล่า ว่ายาจะกระตุ้น นอนหลับได้ง่ายกว่าคืนก่อนๆ ทฤษฎีการระบุสาเหตุของ พฤติกรรมอธิบายข้อค้นพบนี้ได้ว่า เมื่อผู้รับการทดลอง (ผู้นอนไม่หลับ) กิน ยาที่เชื่อว่ามีฤทธิ์กระตุ๋นมีอาการพลิกตัวไปพลิกตัวมาดังที่เคยเป็น เขาจะ ระบุสาเหตุของอาการกระสับกระส่ายให้กับผลของยา ทำ ให้ความวิตกกังวล ลดน้อน้ยลงจึงนอนหลับได้ง่ายขึ้น ตรงกันข้ามผู้รับการทดลองที่เชื่อว่าได้กิน ยาที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดแต่ยังรู้สึกกระสับกระส่าย นอนไม่หลับจึง ระบุสาเหตุของการนอนไม่หลับให้แก่ตนเองเพราะคิดว่าแม้กินยาแล้วก็ยัง ไม่สามารถช่วยได้ เป็นเหตุให้เกิดความวิตกกังวลสูงขึ้นและผลที่ตามมาก็ คือยิ่งนอนหลับยากกว่าที่เคย 4.3 ข้อควรคำ นึงในการระบุสาเหตุของพฤติกรรม การระบุสาเหตุของ พฤติกรรมเป็นกระบวนการที่มีเหตุผลและช่วยให้ผู้สังเกตพฤติกรรมมีความ เที่ยงตรงแม่นยำ ในการรับรู้บุคคลมากขึ้น แต่มีข้อควรคำ นึง ซึ่งอาจจะทำ ให้ เกิดความลำ เอียงในการรับรู้แหล่งที่จะทำ ให้เกิดความบกพร่องในการรับรู้ ได้แก่


4.3.1 ความบกพร่องพื้นฐานของการระบุสาเหตุพฤติกรรม (Fundamental Attribution) ความบกพร่องในลักษณะนี้เกิดจากเมื่อต้อง อธิบายถึงสาเหตุของการกระทำ ของผู้อื่น เรามักจะระบุไปที่สาเหตุภายในตัว ของผู้กระทำ (Disposition) ในทำ นองเดียวกันเมื่ออธิบายหรือหาสาเหตุ การกระทำ ของตนเอง เรามักอ้างไปที่สาเหตุภายนอก (Situation) ทั้งนี้ วัฒนธรรมก็มีอิทธิพลต่อการระบุสาเหตุของพฤติกรรมด้วย เช่น เรานัดพบ กับเพื่อน เพื่อนมาช้า ระหว่างรอเราจะพยายามหาเหตุผลที่ทำ ให้เพื่อนมาช้า คือ เพื่อนตื่นสาย เพื่อนแต่งตัวช้า แต่ถ้าเรามาถึงที่นัดช้า เราจะอ้างว่ารีบ แล้วแต่รถติดทั้งๆ ที่ความจริงเราตื่นสายก็ตาม 4.3.2 ความลำ เอียงเข้าข้างตนเอง (Self-serving Bias) แนวคิดนี้ ได้อธิบายไว้ว่าในสถานการณ์ที่ณ์ ที่เราประสบความสำ เร็จ เราจะรู้สึกภูมิใจและ อ้างว่าความสำ เร็จที่ได้รับนั้นขึ้นเกิดขึ้นมาจากความสามารถของตนเอง แต่ เมื่อประสบกับความล้มเหลวเราจะปัดความรับผิดชอบที่ตนเองควรจะได้รับ ไปให้แก่สิ่งอื่นๆหรือ คนอื่น ๆ หมด ตนเองไม่ได้ทำ อะไรผิดเลย เช่น นักศึกษาสอบได้คะแนนดีมักจะบอกกับทุกคนว่าสอบได้คะแนนดีเพราะน เองตั้งใจเรียน แต่ถ้าสอบได้คะแนนน้อน้ยหรือสอบตกมักจะบอกว่าเพราะวิชา ยาก อาจารย์สอนไม่รู้เรื่องหรืองานยุ่งจนอ่านหนังสือไม่ทัน การระบุสาเหตุของพฤติกรรมไม่ตรงตามจริง เนื่องจากการเข้าใจ สาเหตุไม่ตรงตามจริงอาจทำ ให้หมดโอกาสที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เช่น เด็กนักเรียนที่สอบได้คะแนนไม่ดีเพราะไม่อ่านหนังสือแต่กลับโทษว่า เป็นเพราะครูหรืออาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง ตัวเด็กก็จะไม่ได้แก้ไขข้อผิดพลาด นั้น โดยสรุป การรับรู้ระหว่างบุคคลหรือการรับรู้ทางสังคมเป็นการพยายาม ทำ ความเข้าใจพฤติกรรมทางสังคมของบุคคลอื่นเพื่อหาข้อสันนิษฐานว่า บุคคลนั้นมีเจตนาหรือความต้องการอะไรอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมนั้น และ เขามีลักษณะประจำภายในตัวอย่างไรที่เป็นตันเหตุให้กระทำ พฤติกรรมเช่น นั้น เพื่อนำ เอามาเป็นข้อมูลในการมีความสัมพันธ์กับเขาต่อไปภายหน้าน้เรา จะได้เลือกพฤติกรรมตอบสนองกับเขาตามความเหมาะสม เพื่อควบคุม ความสัมพันธ์ให้คงอยู่ในขอบเขตที่เราต้องการ


ในเรื่องของเจตคตินี้ ผู้เขียนขอเสนอเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1) ความ รู้เกี่ยวกับเจตคติ 2) การเปลี่ยนเจตคติ ตามลำ ดับดังนี้ 1. ความรู้เกี่ยวกับเจตคติ หัวข้อความรู้เกี่ยวกับเจตตติ ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความหมายของ เจตคติ การเกิดเจตคติ เจตคติกับพฤติกรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 ความหมายของเจตคติ การจะให้นิยามเจตคติเช่นใดนั้นขึ้นอยู่กับว่า นัก จิตวิทยาสังคมผู้ให้ความหมายยึดถืออะไรเป็นลักษณะเด่นของเจตคติ นั่นเอง จึงปรากฏความหมายเจตคติหลายความหมาย ดังนี้ เจตคติ หมายถึง ความโน้มน้เอียงที่ได้เรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อสิ่งใดสิ่ง หนึ่งในทางที่ชอบหรือไม่ชอบอย่างคงเส้นคงวา (Fishbein & Ajzen, 1975, p. 6 อ้างถึงในโยธิน ตันสนยุทธ และจุมพล พูลภัทรชีวิน,2529, น. 35) เจตตติ หมายถึง สภาวะความพร้อมทางจิตซึ่งเกิดจากประสบการณ์ สภาวะความพร้อมทางจิตนี้จะกำ หนดทิศทางการตอบสนองของบุคคล สิ่งของ หรือสถานการณ์ที่ณ์ ที่เกี่ยวข้อง (Allport อ้างถึงในศักดิ์ไทย สุรกิจบวร. 2545, น. 137) เจตคติ หมายถึง ปฏิกิริยาการประเมินในทางที่ชอบหรือไม่ชอบต่อสิ่ง ใดสิ่ง หนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ปฏิกิริยาการประเมินนี้จะแสดงถึงความ เชื่อ ความรู้สึกหรือเจตนาทางพฤติกรรมของบุคคล (Myers,1993) ในปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกันแน่นอนว่านิยามใดเป็นนิยามที่ทุกคน ควรใช้กัน อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นแนวทางให้ครูนำ ไปใช้ประโยชน์สำน์ สำหรับการ สอน ผู้เขียนขอใช้ความหมายของเจตคติตามที่สิทธิโชด วรานุสันุสันติกูล (2546, น. 121) สรุปจากความหมายของเจตคติที่นักจิตวิทยา สังคม (Oskamp, 1977:Petty & Cacioppo, 1981: Eagly & Chaiken; 1993, Petty & Wegener, 1998) เสนอไว้ดังนี้ เจตคติและการเปลี่ย ลี่ นเจตคติ บทที่ 4


เจตคติ (Attitude) หมายถึง ความรู้สึก ความเชื่อ และแนวโน้มน้ของ พฤติกรรมของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในลักษณะของการประเมินค่า โดย ดวามรู้สึก ความเชื่อและแนวโน้มน้ของพฤติกรรมนี้เกิดจากการเรียนรู้และ ต้องคงอยู่นานพอสมควร 1.1.1. ลักษณะสำ คัญของเจตคติ ธีระพร อุวรรณโณ (2537) สรุป ลักษณะสำ คัญของเจตคติ ดังนี้ - เจตคติมีที่หมาย (Attitude object) ที่หมาย เช่น สิ่งของ คน สถานที่ แนวคิด สถานการณ์ และเหตุการณ์ เมื่อกล่าวถึงเจตคติ ต้องเป็น เจตคติที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง การวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนเจตคติ ของคนพบว่า การระบุที่หมายเฉพาะเจาะจงมีผลให้เปลี่ยนเจตคติได้ง่ายขึ้น - เจตคติต้องมีการประเมิน (Evaluative aspect) กล่าวคือ ต้องมี การระบุในแง่ดี-ไม่ดี - เจตคติต้องมีลักษณะค่อนข้างยืนยงคงทน (Relatively enduring) หมายความว่า เจตคติที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต้องมีลักษณะ คงอยู่พอสมควร จนกว่าจะมีข้อมูลใหม่เข้ามาจึงทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ได้ - มีความพร้อมในการตอบสนอง (Readiness for response) หมายถึงความพร้อมในการที่จะกระทำ หรือแสดงออกแต่ไม่ได้หมายถึงการ แสดงพฤติกรรม 1.1.2 องค์ประกอบของเจตคติ เจตคติประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ - องค์ประกอบด้านความรู้คิด (Cognitive component) หมายถึง ความรู้ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งของ บุคคลหรือสถนการณ์ต่ณ์ ต่างๆ ทางสังคม ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อนี้มีคุณภาพอย่างไร รูปทรงแบบไหน


- องค์ประกอบด้านอารมณ์/ณ์ความรู้สึก (Affective component) ในที่นี้คือ การประเมินความรู้สึก ความชอบ หรือการตอบสนองทางอารมณ์ที่ณ์ ที่ มีต่อสิ่งของหรือบุคคลในลักษณะของความชอบ-ไม่ชอบ มีความรู้สึกในทาง ที่ดีหรือไม่ดี พอใจ-ไม่พอใจ เช่น เรารู้สึกอย่างไรต่อโทรศัพท์ยี่ห้อนี้ชอบหรือ ไม่ชอบ - องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavioral component) เป็น แนวโน้มน้ที่จะแสดงการกระทำ อย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งของต่อบุคคล เช่น ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโทรศัพท์ยี่ห้อนี้ ไปชมของจริงหรือไปซื้อ 1.2 การเกิดเจตคติ นักจิตวิทยาสังคมมีความเห็นตรงกันว่าเจตคติที่ บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดมาจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ตณ์รงหรืออ้อม ต่อสิ่งนั้น ผ่านกลไกในสังคมตามที่สิทธิโชค วรานุสันุสันติกูล (2546, น. 126) สรุปไว้ 3 ประเภทคือ การเรียนรู้เจตคติจากการโยงความสัมพันธ์ การเรียนรู้ เจตตติจากผลกรรมและจากการสังเกตจากตัวแบบ 1.2.1 การเกิดเจตคติจากการเรียนรู้แบบโยงความสัมพันธ์ หลัก การเรียนรู้แบบโยงความสัมพันธ์คือ ถ้าเรานำ สิ่งเร้าที่เป็นกลางไปเข้าถูกับสิ่ง เข้าที่มีอำ นาจทำ ให้เราต้องตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อน ในที่สุดสิ่ง เร้าที่เป็นกลางจะมีอำ นาจทำ ให้เกิดการตอบสนองอย่างนั้นตามไปด้วยเช่น กัน (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องการเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไขแบบ Classical conditioning) ตัวอย่างการวิจัยที่อธิบายการเกิดเจตติจากการเรียนรู้แบบโยงความ สัมพันธ์ คือ การทดลองของสตัตส์และครอฟอร์ด (Stats & Crawford, 1968) ผู้วิจัยได้ฉายคำ ว่า "Dutch" (ซาวดัตช์) กับคำ ว่า "Swedish" (ซาว สวีเดน) ให้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม กลุ่มละดำ และขณะที่ดำ ดังกล่าวปรากฏอยู่ บนจอผู้วิจัยจะอ่านออกเสียงคำ คุณศัพท์ เช่น ดี สวย เลว ฯลฯ ในแต่ละกลุ่ม จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย โดยกลุ่มหนึ่งจะได้ฟังคุณศัพท์ในด้านดีและอีกกลุ่ม หนึ่งจะได้ฟังคุณศัพท์ด้านไม่ดี หลังจากนั้นผู้วิจัยได้ให้ทุกคนตอบ แบบสอบถามประเมินคำ คำ ว่า "Dutch" กับ "Swedish" ปรากฏว่า กลุ่มที่ได้ ฟังคำ คุณศัพท์ในด้านดีประเมินค่าคำ ดังกล่าวในทางดี ส่วนกลุ่มที่ได้ฟังคำ คุณศัพท์ในด้านไม่ดี ก็จะประเมินค่าไปในทางไม่ดี


1.2.2 การเกิดเจตคติเพราะหลักการเรียนรู้จากผลกรรม หลักการ เรียนรู้จากผลกรรมสรุปได้ว่า คนเราเรียนรู้จากผลการกระทำ ที่ผ่านมา ถ้าผล กรรมนั้นน่าพึ่งใจ เราจะมีแนวโน้นน้จะทำ อย่างนั้นเมื่อมีสิ่งเร้าเดิมปรากฏขึ้น มา และถ้าผลกรรมนั้นไม่น่าพึงพอใจเราจะหาทางหลีกเสี่ยงไม่ทำ อย่างนั้นอีก เมื่อสิ่งเร้าเดิมปรากฏขึ้นมาอีก ด้วยหลักการนี้นักจิตวิทยาสังคมบางคนเห็น ว่า บุคคลที่แสดงเจคติออกมาเป็นพฤติกรรมแล้วได้รับแรงเสริมย่อมจะ ทำ ให้เจตคตินั้นมั่นคงยิ่งขึ้น แต่ถ้าได้รับผลกรรมที่ไม่พึงพอใจ เขาจะ เปลี่ยนเจตคติไปในทิศทางอื่น 1.2.3 การเกิดเจตคติจากการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ การเรียน รู้ด้วยการสังเกตจากการหรือประสบการณ์ขณ์องผู้อื่นนั้น บุคคลมีแนวโน้มน้ที่จะ เลียนแบบพฤติกรรมที่เห็นผู้อื่นทำ แล้ว เช่น ได้รางวัลหรือคำ ชมและจะหลีก เลี่ยงการทำ พฤติกรรมที่ตัวแบบทำ แล้วถูกลงโทษ เช่น ได้เห็นผู้ทำ ผิดถูก ลงโทษ ผลจากการกระทำ ที่ตัวแบบได้รับจะสร้างเจตคติทางบวกหรือเจตตติ ทางลบให้แก่ผู้สังเกตได้ (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องสังคมประกิต) 1.3 เจตคติกับพฤติกรรม เจตคติกับพฤติกรรมของเราต่างกันเพราะ ทั้งคู่ได้อิทธิพลจากปัจจัยอื่นเข้าแทรก คำ ถามคือเจตคติทำ นายพฤติกรรม ได้หรือไม่หรือพฤติกรรมสามารถกำ หนดเจดคติได้หรือ นักจิตวิทยาสังคมสนใจศึกษาเพื่อตอบคำ ถามข้างตัน หากเจตตติเป็น ตัวทำ นายพฤติกรรมที่ดี หมายความว่าถ้ารู้เจตคติต่อสิ่งใดของบุคคลแล้วจะ ทำ นายพฤติกรรมต่อสิ่งนั้นของเขาได้ค่อนข้างถูกต้องแต่ผลการศึกษา ปรากฏว่า เจตคติเป็นเพียงตัวประกอบตัวหนึ่งในการทำ นายพฤติกรรมที่ บุคคลแสดงต่อเป้าป้หมาย เจตคติที่บุคคลแสคงออกจึงทำ นายพฤติกรรม ต่าง ๆ ของบุคคลได้เพียงเล็กน้อน้ยเท่านั้น ในทางกลับกันพฤติกรรมที่ แสดงออกสามารถกำ หนดเจตตติหรือเปลี่ยนเจตติของบุคคลให้เป็นไปใน ทิศทางเดียวกับพฤติกรรมที่แสดงออก แม้ว่าก่อนการแสดงพฤติกรรมนั้นๆ บุคคลจะมีเจตคติเดิมในทางลบต่อสิ่งนั้นก็ตาม ชีระพร อุวรรณโณ (2537, น. 4/10) อธิบายปรากฏการณ์นี้ณ์ นี้ด้วยแนวคิด 2 แนวคิดคือ การแสดงบทบาท และแนวคิดความขัดแย้งทางด้านความรู้คิด


1.3.1 การแสดงบทบาท ในที่นี้อาจเป็นการแสดงบทบาทตามบทละคร ที่ได้รับหรือแม้แต่การที่บุคคลต้องแสดงพฤติกรรมตามบทบาททางสังคม ให้เป็นไปตามความดาดหวังของสังคม ก็สามารถทำ ให้บุคคลมีเจตคติคล้อย ตามบทบาทนั้นเช่นกัน แมนน์แน์ละเจนิส (Mann & Janis, 1968 อ้างถึงในสุ วิไล เรียงวัฒนสุข, 2535, น. 211) ชักชวนให้ผู้ติดบุหรี่ ลดการสูบบุหรี่โดย ให้ผู้ติดบุหรี่แสดงบทบาทเป็นผู้ป่วป่ยโรคมะเร็งเนื่องจากการสูบบุหรี่ ปรากฏ ว่าบุคลเหล่านี้ลูบบุหรี่น้อน้ยลง หลังจากเสร็จสิ้นการทำ แล้วเป็นเวลา 18 เดือน ได้มีการติดตามผลอีกครั้งหนึ่งยังคงพบว่าบุคคลเหล่านี้สูบบุหรี่น้อน้ยลง แม้แต่การทดลองเรื่องอคติในเรื่องผิวโดยให้กลุ่มตัวอย่างแสดงบทบาทเป็น บุคคลที่มีสีผิวที่ตนเกลียดก็พบผลเช่นเดียวกัน การที่บุคคลเปลี่ยนเจตคติไปตามบทบาทที่แสดงอธิบายได้ด้วย เหตุผล 2 ประการ ดังนี้ ประการแรก เมื่อบุคคลมีจดดติทางลบหรือทางบวก ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะรับข้อมูลฉพาะที่สอดคล้องกับเจตคติเดิมจึงไม่มี โอกาสพิจารณาข้อมูลด้านตรงกันข้าม เมือต้องแสดงบทบาทที่ตรงข้ามกับ เจตคติเดิม การแสดงตามบทบาททำ ให้เขาได้มีโอกาสรับข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนและทำ ให้เขาเปลี่ยนเจตคติได้ ประการ ที่สอง เมื่อบุคคลตกลงใจแสดงบทบาทใดเขาจะพยายามคิดถึงข้อดีของ บทบาทนั้นโดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เขารู้และเน้นน้เฉพาะส่วนดี ของตัวละครโดยไม่สนใจด้านอื่นๆ กล่าวคือเกิดความลำ เอียง ซึ่งลักษณะ เช่นนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่เขาจะเปลี่ยนท่าทีของตนไปตามบทบาทที่เล่น การ แสดงบทบาทจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำ ให้บุคคลเปลี่ยนเจตคติตาม พฤติกรรมที่แสดงออกมา 1.3.2 ทฤษฎีความขัดแย้งทางด้านความรู้คิด (Cognitive Dissonance Theory) ของเฟสติงเจอร์(Festinger, 1957) เป็นทฤษีที่ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเจตติและพฤติกรรมได้ดี และเป็นทฤษฎีหนึ่งที่ สามารถนำ ไปใช้ในการเปลี่ยนเจตคติด้วย ความรู้คิด (Cognitive) หมายถึงความรู้ ความเชื่อ เจตคติและค่านิยม ที่บุคคลต่อตนเองมีต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมต่างๆ เมื่อเวลาที่บุคคลเกิด ความขัดแย้งทางด้านความรู้คิด


หลักการพื้นฐานของทฤษฎีนี้คือ เมื่อเวลาที่บุคคลเกิดความขัดแย้งทาง ด้านความรู้คิด กล่าวคือพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกขัดแย้งกับเจตตติเดิม ที่มีต่อสิ่งนั้น ภาวะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นภาวะทางจิตใจที่ทำ ให้บุคคลไม่ สบายใจ ความไม่สบายใจดังกล่าวทำ ให้บุคคลมีความพยายามที่จะทำ อย่างใด อย่างหนึ่งเพื่อลดดวามขัดแย้งนั้นให้ได้ เช่น หลีกเลี่ยงที่จะรับข้อมูลหรือ สถานการณ์ต่ณ์ ต่างๆ หรือเปลี่ยนความคิด เจตคติเดิมให้สอดคล้องกับ พฤติกรรมที่แสดงออกมาเพื่อลดความขัดแย้ง เราสามารถอธิบายอิทธิพลของการแสดงบทบาทว่ามีผลต่อการเปลี่ยน เจตคติของบุคคลตามแนวคิดนี้ได้ว่าการที่บุคคลแสดงบทบาท (แสดง พฤติกรรม) ขัดกับเจตติเดิม จึงเกิดภาวะความขัดแย้งทางความรู้คิดที่ทำ ให้ บุคคลไม่สบายใจทำ ให้เขาต้องทำ อะไรสักอย่างเพื่อลดความขัดแย้ง การ เปลี่ยนเจตคติไปตามบทบาทที่แสดงช่วยลดความขัดแย้งได้ทางหนึ่งแต่ การแสดงพฤติกรรมหรือการหาเหตุผลต่างๆ ต้องเกิดจากความสมัครใจของ บุคคลไม่ใช่เกิดจากการถูกบังคับ สั่งหรือจ้างวานด้วยรางวัลที่มีมูลค่าสูง เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างในการทำ สิ่งที่ขัดแย้งกับ ความคิด ความเชื่อ เจตคติที่บุคคลมีต่อสิ่งนั้นจึงไม่เปลี่ยน เช่น ด.ช.โตต้อง ดื่มนมรสจืดที่ไม่ชอบ ด.ช.โตแสดงพฤดิกรรม (ดื่มนมรสจี๊ดจี๊ ) ที่ขัดแย้งกับ เจตคดิ (ไม่ชอบนมรสจืด) จึงรู้สึกไม่สบายใจ ทำ ให้เขาต้องหาวิธีลดความไม่ สบายใจ ในกรณีนี้ถ้า ด.ช.โตดื่มนมเพราะถูกบังคับ ก็จะมีเหตุผลที่ทำ ให้ สบายใจแต่ความรู้สึกไม่ชอบดื่มนมรสจืดยังคงอยู่ (ไม่เกิดการเปลี่ยนเจตด ติ ในทางกลับกันถ้ำ าดื่มด้วยความสมัครใจก็จะไม่สามารถอธิบายด้วย เหตุผลอื่นได้ ในทางกลับกันถ้าดื่มด้วยความสมัครใจกจะไม่สามารถอธิบาย ด้วยเหตุผลอื่นได้ เขาก็จะหันมาพิจารณาข้อดีของการดื่มนมรสจืด เช่น อร่อย มัน ดีต่อสุขภาพเกิดการเปลี่ยนเจตตติที่มีต่อการดื่มนมรสจืดในที่สุด


2. การเปลี่ยนเจตคติ นักจิตวิทยาสังคมศึกษาเรื่องเจตตติและการเปลี่ยนเจตคติกันมาก ต่างฝ่าฝ่ยต่างก็ตั้งทฤษฎีจากการวิจัยที่ตนศึกษาและได้ผลออกมา ในที่นี้จะ เสนอแนวคิดในการเปลี่ยนเจตคติโดยใช้การสื่อความหมาย ธีระพร อุวรรณ โณ (2532, น. 5/4) สิทธิโชค วรานุสันุสันติกุล (2546, น. 129) อธิบายไว้ดังนี้ 2.1 หลักการสำ คัญของการเปลี่ยนเจตคติตามแนวคิดการสื่อความ หมาย การเปลี่ยนเจตคติตามการสื่อความหมายอาจพิจารณาจากกระบบการ สื่อสาร "ใครพูดอะไรกับใคร พูดอย่างไรและได้ผลเช่นใด กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ องค์ประกอบของกระบวนการสื่อสาร 4 องค์ประกอบมีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนเจตคติของบุคคล ประกอบด้วย - ใครเป็นผู้พูด หมายถึง แหล่งกำ เนิดของสารหรือผู้ส่งสาร - พูดว่าอะไร หมายถึง สารหรือข้อความที่ผู้สงสารต้องการจะสื่อ ออกไป - กับใคร หมายถึง ผู้รับสารหรือผู้ที่เราต้องการให้เปลี่ยนเจตคติ - ด้วยวิธีไหน หมายถึง ช่องทางในการสื่อสารหรือวิธีที่สารถูกสื่อ ออกไป เช่น จดหมาย พูด องค์ประกอบทั้ง 4 นี้สัมพันธ์กับกระบวนการเปลี่ยนเจตคดีในลักษณะ ที่แหล่งของสารทำ ให้ผู้รับสารเกิดการใสใจต่อสารที่ส่งมา ลารทำ ให้ผู้รับสาร เกิดความเข้าใจความหมายที่ส่งมากับสาร จนทำ ให้ผู้รับยอมรับสารและช่อง ทางในการสื่อสารมีผลต่อการจดจำ สาร ผลการวิจัยเกี่ยวกับแนวคิดนี้พบ ประเด็น ดังนี้ 2. 1.1 ผู้ส่งสาร ผลการวิจัยเกี่ยวกับผู้ส่งสารที่มีผลต่อการเปลี่ยน เจตคติ 1) ผู้ส่งสารที่มีความน่าเชื่อถือสูง จะทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความเห็นไป ในทางที่ต้องการได้ดีกว่าผู้ส่งสารที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ ความ น่าเชื่อถือประกอบด้วย (1) ความเชียวชาญ เช่น มีทักษะและมีความรู้ในเรื่อง ที่สื่อสาร และ (2) ความน่าไว้วางใจ ได้แก่ ความตั้งใจที่จะสื่อความหมายโดย ไม่ได้หวังที่จะได้ประโยชน์จน์ากผู้ฟัง


2) ผู้ส่งสารที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดทำ ให้ผู้รับสารเปลี่ยนเจตคดีได้ง่าย ขึ้น 3) ผู้ส่งสารที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับผู้รับสารจะเปลี่ยนเจตคติ ผู้รับสารได้ง่าย เช่นเพศ วัย อาชีพ ศาสนา แนวคิด เป็นตัน 2.1.2 สารและวิธีการเสนอสาร การเสนอสารมี 2 ลักษณะ คือ สารด้าน เดียวกับสารสองด้าน สารด้านเดียว หมายถึง การเสนอความเห็นหรือข้อมูล ด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียวไม่มีให้เลือกผู้ส่งสาร อาจเสนอเฉพาะด้านดี เพียงด้านเดียวหรือเสนอเฉพาะด้านลบของสิ่งนั้นเพียงด้านเดียว ตัวอย่าง สารด้านเดียวเช่น การดื่มน้ำ เปล่าช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสมองทำ งานได้ ไวและดี ปรับสมดุลของร่างกาย ผู้เรียนจะเห็นได้ว่าตัวอย่างข้างต้นเป็นการ เสนอสารด้านเดียวที่กล่าวเฉพาะช้อดีของการดื่มน้ำ เปล่า ส่วนสารสองด้าน หมายถึง การเสนอความเห็นหรือข้อมูลทั้งด้านดีและไม่ดีของสิ่งนั้นตัวอย่าง เช่น การดื่มน้ำ เปล่าช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สมองทำ งานได้ไวและดี ปรับ สมดุลของร่างกาย แต่การดื่มน้ำ ระหว่างหรือรับประทานอาหารทันทีหรือบ่อย ๆ อาจส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารทำ ให้ไม่สามารถทำ งานได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพได้ (htps:/medthai com/น้ำ / สืบคันเมื่อ 30 มิถุนายน 2560) ทั้งนี้การเสนอสารด้านเดียวหรือสองด้านนั้น ผู้ส่งสารต้องพิจารณา ระดับการศึกษาและเจตติเดิมที่ผู้รับสารมีต่อสิ่งนั้นด้วย 1) ถ้าผู้รับสารมีความสนิทสนมกับผู้ส่งสาร หรือมีความเห็นสอด ดล้องกันบ้างแล้วหรือต้องการผลอย่างเร่งด่วน การเสนอสารด้านเดียวจะมี อิทธิพลในการทำ ให้เกิดการยอมรับข้อเสนอดีกว่า 2) เมื่อผู้รับสารเริ่มจะไม่เห็นด้วยกับความเห็นของผู้ส่งสารหรือ เขารู้ทางเลือกอื่นอยู่บ้าง ควรเสนอสารด้วยวิธีเสนอ 2 ด้าน 3) ผู้รับสารที่มีระดับการศึกษาสูง ควรเสนอสารด้วยวิธีเสนอ 2 ด้าน จะทำ ให้เกิดการยอมรับได้ง่ายกว่า 4) ผู้สงสารที่สรุปในตอนท้ายจะทำ ให้ผู้รับสารเปลี่ยนเจตตติได้ดี มากกว่าผู้ส่งสารที่ปล่อยให้ผู้รับสารสรุปเอาเอง


5) สารที่กระตุ้นให้เกิดความกลัว (เช่น รูปน่าเกลียด น่ากลัว ดำ ขู่) จะทำ ให้เกิดการเลี่ยนแปลงความคิดเห็นเฉพาะกับผู้รับสารกำ ลังอยู่ในความ วิตกกังวลต่ำ การกระตุ้นให้เกิดความกลัวมากเกินไปทำ ให้ไม่อยู่ในอารมณ์ รับข้อเท็จจริงในสารได้ เจตตติจึงไม่เปลี่ยน 6) การเสนอข่าวสารพร้อมการเสริมแรง ทำ ให้ผู้รับเกิดการ เปลี่ยนเจตคติได้ง่ายขึ้น 2.1.3 ผู้รับสาร การเปลี่ยนเจตคติจะได้ผลหรือไม่ ต้องพิจารณาผู้รับ สารในประเด็นดังนี้ 1) ผู้รับสารจะเลือกรับเฉพาะสารที่สอดคล้องกับจุดยืนของตนเอง 2) บุคลิกภาพของผู้รับสารที่มีการเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ คือ ไม่ ภูมิใจในตนเอง มักจะเปลี่ยนจุดยืนง่าย 3) ผู้รับสารที่รู้ล่วงหน้าน้ว่าจะถูกเกลี้ยกล่อม เขาจะต่อต้าน 4) ผู้ที่อยู่ในวัยรุ่นมักจะมีแนวโน้มน้ ในการเปลี่ยนเจตคติได้ง่าย กว่าวัยอื่น และจะยึดมั่นกับความคิดเห็นนี้ยาวนานต่อไปจนกระทั่งเติบโต เป็นผู้ใหญ่ 5) ผู้รับสารมีภาวะอารมณ์ที่ณ์ ที่แตกต่างกันขณะที่รับสาร ผลงานวิจัย พบว่า ผู้รับสารที่อยู่ในภาวะอารมณ์สณ์บายจะขาดความระมัดระวังตัว เมื่อได้ รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ ก็จะยอมรับเหตุผลหรือข่าวสารได้มาก 2. 1.4 ช่องทางเสนอสาร การเปลี่ยนเจตคติด้วยวิธีการเสนอสาร ช่อง ทางที่ดีที่สุดคือการสื่อสารด้วยการพบกันพูดกันโดยตรง เพราะทำ ให้การ สื่อสารมีความชัดเจนและมีกระบวนการอื่นทางจิตวิทยา (ภาษากาย) เกิดขึ้น ในขณะสื่อสาร ซึ่งจะเอื้ออำ นวยให้การเปลี่ยนเจตคติและพฤติกรรมเกิดได้ ง่ายกว่าการสื่อสารด้วยวิธีอื่น


อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนเจตติโดยการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง เช่น การร่วมอภิปราย การร่วมแสดงบทบาทมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยน เจตคติ ดวามเชื่อและพฤติกรรมได้มากกว่าการมีส่วนร่วมแบบไม่ได้ทำ อะไร เลย เช่น ฟังเพียงอย่างเดียวเพราะการมีส่วนร่วมดังกล่าวทำ ให้บุคคลได้มี ประสบการณ์โณ์ดยตรง มีความเชื่อถือข้อมูลที่ได้รับใหม่เกิดความเชื่อมั่นใน สิ่งที่ตนรู้ 2.2 กระบวนการเปลี่ยนแปลงเจตคติ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 สร้างหรือเร้าความใส่ใจ เพื่อให้ผู้รับสารสนใจและเปิด รับสาร โดยทั่วไปมักจะใช้แหล่งของสารเป็นตัวทำ ให้ผู้รับสารเกิดความใส่ใจ เช่น การเลือกดารานักแสดงหรือนางแบบมาโฆษณาผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนที่ 2 การทำ ความเข้าใจ ผู้ส่งสารต้องทำ ให้ผู้รับสารเข้าใจ เนื้อหาสารตรงตามที่ต้องการจะส่งไป ในที่นี้คือ ต้องทำ ให้ผู้รับสารเข้าใจว่า สารที่ได้รับมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร มีประโยชน์ต่น์ ต่อเขาอย่างไร ขั้นตอนที่ 3 การยอมรับ ผลของการสื่อความสารที่ส่งไปยังผู้รับ สารต้องพยายามให้มีความหมายตรงกับกับความต้องการของผู้รับสาร เขา จึงจะยอมรับสาร สิ่งสำ คัญในขั้นนี้คือ ผู้ส่งสารต้องศึกษาความต้องการของ กลุ่มผู้รับสาร เพราะบุคคลจะรับข้อมูลที่ตรงกับความสนใจและความต้องการ ได้เร็วและง่าย ขั้นตอนที่ 4 การจดจำ การสื่อความหมายเพื่อเปลี่ยนเจตคติต้อง ทำ ให้ผู้รับสารจำได้ เพื่อผลในการปฏิบัติในภายหลัง 2.3 วิธีการลดการต่อต้านสาร ปกติคนเราจะยึดมั่นใจความเชื่อหรือ ความคิดของตนเอง กล่าวอีกหนึ่งคือมีจุดยืนของตน เมื่อรู้ว่าคนจะมาโน้มน้ น้าน้วหรือเปลี่ยนความเชื่อความคิดเราจะเกิดการต่อต้านปิดกั้นการรับข้อมูล ในที่นี้จึงเสนอวิธีที่จะลดการต่อต้านของผู้รับสารอาจทำ ได้หลายวิธี 2.3.1 การแสดงบทบาทพรือการเล่นบทบาท ซึ่งเป็นวิธีการเปลี่ยน เจตคติโดยประสบการณ์นี้ณ์ นี้ต้องให้ผู้รับสารแสดงบทบาทหรือเล่นบทบาทใน ทิศทางที่จะให้เขาเปลี่ยนเจคคติ ด้วย


2.3.2 การเปลี่ยนเจตคติโดยประสบการณ์ตณ์รง การเปลี่ยนเจตคติ โดยประสบการณ์ทณ์างตรงกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจตคติที่บุคคลได้รับมีส่วนใน การก่อให้เกิดเจตคติต่อสิ่งนั้นๆ 2.3.3 วิธีการที่เรียกว่าปรากฏการณ์ root in the door ปรากฏการณ์นี้ณ์ นี้อธิบายวิธีการจะขอช่วยเหลือจากบุคคลอื่น โดยไม่ให้ผู้ถูก ขอร้องปฏิเสธความช่วยเหลือนั่นคือ ถ้าเราต้องการให้ใครทำ สิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ เทคนิคคือขอให้เขาทำ สิ่งเล็กๆ น้อน้ยๆ แก่เราก่อนแล้วจึงขอให้เขาทำ สิ่งอื่น ให้เรา วิธีลดการต่อต้านการเปลี่ยนเจตคติมีหลายวิธี ผู้ส่งสารต้องพิจารณา วิธีที่เหมาะกับผู้รับสาร วิธีการหนึ่งอาจใช้ได้ผลดีกับคนกลุ่มหนึ่งแต่อาจไร้ ผลกับคนอีกกลุ่มหนึ่งของผู้รับสารเอง


กลุ่มมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนที่เป็นสมาชิกทั้งพฤติกรรม ภายนอกและพฤติกรรมภายในการ การปฏิสัมพันธ์ของคนในกลุ่มมีผลต่อ พฤติกรรมของสมาชิก สําคัญที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางสังคมที่ บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่มขนาดเล็กคือ เคิร์ก เลวิน(Kurt Lewin อ้างถึง ในโยธิน ศันสนยุทธ & จุมพล พูลภัทรชีวิน, 2529, น. 87) ในที่นี้ผู้เขียนจะ กล่าวถึง หัวข้อต่อไปนี้คือ 1) ความหมายของกลุ่ม 2) เหตุผลที่คนเข้ากลุ่ม และ 3) พฤติกรรมของบุคคลในกลุ่ม 1. ความหมายของกลุ่ม ในที่นี้ผู้เขียนขอเสนอความหมายของกลุ่มในความหมายทางจิตวิทยา ดังนี้ มาร์วิน ชอว์ (Marvin Shaw, 1981) กล่าวว่า “กลุ่ม คือ คนตั้งแต่สอง คนหรือมากกว่านั้นที่มี ปฏิสัมพันธ์กันและมีอิทธิพลต่อกัน” สิทธิโชค วรานุสันุสันติกูล (2546, น. 228) สรุปความหมายของกลุ่มจาก นิยามของนักจิตวิทยาสังคม ไว้ว่า กลุ่ม หมายถึง การรวมตัวของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแล้วมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสม่ําเสมอในช่วง เวลาหนึ่ง มี บรรทัดฐานรวมกัน และมีเอกลักษณ์เณ์ดียวกัน คนเหล่านี้มีการรับรู้ในตนเอง ว่า พวกเขาขึ้นต่อ กันและกันในอันที่จะปฏิบัติการเพื่อบรรลุเป้าป้หมายร่วมกัน ของเขาเหล่านั้น นอกจากนี้ชอว์ผู้เชี่ยวชาญด้านพลวัตกลุ่ม กล่าวไว้ว่า กลุ่มทุกแบบมี ลักษณะทั่วไปเหมือนกันคือ สมาชิกของกลุ่มมีการปฏิสัมพันธ์กัน และจอห์น เทิร์นเนอร์(John Turner, 1987) ระบุว่า สมาชิกกลุ่มมี การรับรู้ว่าตัวเอง เป็น “พวกเรา” กับ “พวกเขา” พฤติกรรมของบุคคลและบุคคลในกลุ่ม ลุ่ บทที่ 5


หากมีคําถามว่าคนหลายๆ คนยืนรอรถประจําทางอยู่ด้วยกันหรือ นักศึกษาที่อ่านหนังสือหรือ ทํางานในห้องสมุดแบบไม่มีการปฏิสัมพันธ์กัน เป็นกลุ่มหรือไม่ เมื่อพิจารณาตามความหมายของชอว์และเทิร์นเนอร์ การ รวมตัวของคนที่ยืนรอรถประจําทางหรือนักศึกษาที่อ่านหนังสือในห้องสมุด ไม่เป็นกลุ่ม เพราะการรวมตัวนั้นแต่ละคนไม่มีปฏิสัมพันธ์และไม่มีอิทธิพล ต่อกัน และไม่มีลักษณะของ “พวกเรา” สรุป กลุ่มหมายถึงการรวมตัวกันของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป มี ปฏิสัมพันธ์ต่อกันในช่วงเวลาหนึ่ง รับรู้ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม 2. เหตุผลที่คนเข้ากลุ่ม ทําไมคนจึงเข้ากลุ่ม คําถามนี้อาจตอบได้หลายระดับ ฟิลด์แมน (Feldman, 1985, pp. 371-375) อธิบายสาเหตุที่คนเข้าร่วมกลุ่มดังนี้ (อ้าง ถึงใน สิทธิโชค วรานุสันุสันติกุล, 2546, น. 225-227) 2.1 เป้าป้หมายของกลุ่มหรือกิจกรรมของกลุ่มมีความน่าดึงดูดใจ สาเหตุประการแรกที่ทําให้คน อยากเข้ากลุ่มเกิดจากกิจกรรมหรือเป้าป้หมาย ของกลุ่มสามารถตอบสนองความต้องการที่มีความหมายและมีความสําคัญ บางอย่างของเขาได้ นอกจากนี้อาจจะเกิดจากตนเองมีความต้องการบาง อย่างแต่ไม่สามารถดําเนินการได้โดยลําพัง เพราะงานใหญ่หรือมีความซับ ซ้อนหรือทําได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับเข้าร่วม กับคนอื่นที่มีความ ต้องการเหมือนกันแล้วร่วมกันทํา ด้วยเหตุนี้กลุ่มที่เปิดโอกาสให้สมาชิกได้ ทํากิจกรรมอันนําไปสู่การบรรลุเป้าป้หมายของตนจึงเป็นกลุ่มที่มีพลังความ ดึงดูดใจสมาชิกมากขึ้น 2.2 ความชอบพอกันและกันในหมู่สมาชิกของกลุ่ม คนอาจเข้าเป็น สมาชิกกลุ่มเนื่องจากรู้สึกชอบพอกับสมาชิกกลุ่มหรืออาจกล่าวได้ว่าสมาชิก กลุ่มมีลักษณะดึงดูดบางประการ สาเหตุที่ทําให้คนเกิด ความชอบพอกัน และกัน ได้แก่ ความคล้ายคลึงกันทางความคิด ค่านิยม การอยู่ใกล้ชิดกัน ความมีเสน่ห์ ของบุคลิกภาพหรือการแลกเปลี่ยนความมีประโยชน์ต่น์ ต่อกัน


Click to View FlipBook Version