2.3 สามารถตอบสนองความต้องการทางสังคมและอารมณ์ขณ์องตนเอง คนเรามีความต้องการ ที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่นในด้านความคิดเห็น เจตคติ ความเชื่อและอารมณ์ เพื่อจะได้รู้ว่าถูกต้องเหมาะสม หรือไม่ ควรทํา ตัวอย่างไรโดยเฉพาะเมื่อไม่มีมาตรฐานการเปรียบเทียบหรือมีแต่ไม่ชัดเจน เราจะอาศัยการ เปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อเป็นข้อมูลการประเมินสําหรับ ตนเอง จึงกล่าวได้ว่าความต้องการจะเข้าร่วมกลุ่มมีอยู่ในตัวมนุษนุย์ 3. พฤติกรรมของบุคคลในกลุ่ม เมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มเขาจะประพฤติตัวแตกต่างจากเมื่ออยู่ลําพัง คํา ถามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทางจิตวิทยาสังคมคือผู้อื่นมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมของเราในลักษณะใด ในที่นี้จะอธิบายถึงตัวอย่าง ของอิทธิพลร่วม 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1) การหนุนนุทางสังคมและการยับยั้งทางสังคม 2) การ ออมแรงทางสังคม และ 3) ประสิทธิผลการแก้ปัญหาและการเรียนรู้ของ บุคคลกับกลุ่ม 3.1 การหนุนนุทางสังคม (Social Facilitation) และการยับยั้งทาง สังคม (Social Inhibition) การศึกษาเกี่ยวกับการหนุนนุทางสังคมนับ เป็นการศึกษาแรกๆ ทางจิตวิทยาสังคม การศึกษาภาคสนามของทริพเพล็ทท์ (Triplett, 1898) พบว่า นักขี่ จักรยานจะขี่จักรยานเร็วขึ้น เมื่อมีผู้อื่นอยู่ด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับการขี่ จักรยานตามลําพัง และการทดลองในห้องทดลองเพื่อทดสอบ ข้อสังเกตดัง กล่าว โดยบอกให้เด็กๆ ม้วนเอ็นคันเบ็ดตกปลาให้เร็วที่สุด ปรากฏว่าเมื่อ ม้วนเอ็นคันเบ็ด ตกปลาพร้อมกับคนอื่นๆ เด็กม้วนได้เร็วกว่าเมื่อทํางานคน เดียว การทดลองลําดับต่อๆ มาปรากฏผลเช่นเดียวกัน
จึงสรุปได้ว่า การมีผู้อื่นอยู่ด้วยในขณะที่บุคคลทํางานจะทํางานมี ประสิทธิภาพดีกว่าการทํางาน คนเดียว ซึ่งในภายหลังฟรอยด์ อัลล์พอร์ท เรียกปรากฏการณ์นี้ณ์ นี้ว่าการหนุนนุทางสังคม อย่างไรก็ตาม การศึกษาของนักวิชาการอื่นๆ มีการค้นพบที่ขัดแย้งกัน กล่าวคือ การมีคนอื่นอยู่ ด้วยหรือการปรากฏตัวของผู้อื่นทําให้บุคคลทํางาน บางอย่างผิดพลาดมากขึ้น ผลงานแย่ลง ช้าลง เช่น การ มีคนอื่นอยู่ด้วยทํา ให้การคํานวณที่ยากๆ ต้องใช้เวลามากขึ้น การเดินทางในเขาวงกตช้าลง ผล การศึกษา ที่ขัดแย้งกันนี้ทําให้เกิดความสับสนในวงวิชาการเป็นอย่างมาก ในเวลาต่อมา โรเบิร์ต ซาจองค์ (Robert Zajonc, 1965) ได้ทบทวนผลการ ศึกษาที่ขัดแย้งกัน ของการหนุนนุทางสังคมและตั้งข้อสังเกตว่า การมีผู้อื่นอยู่ ด้วยอาจทําให้เกิดการหนุนนุหรือและบางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการกระทําของ บุคคลเมื่อเปรียบเทียบกับการกระทําตามลําพัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของงา นที่ทํา กล่าวคือ ถ้างานที่ทําเป็นงานง่ายที่บุคคลทําได้คล่องอยู่แล้วการหนุนนุ จากสังคมก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้างาน ที่ทําเป็นงานยากมีความซับซ้อนหรือเป็น งานที่บุคคลยังทําไม่คล่องการยับยั้งทางสังคมก็จะเกิดขึ้น ซึ่งทําให้ ผลงานที่ ออกมามีคุณภาพต่ำ กว่าทําตามลําพัง กล่าวโดยสรุป การมีผู้อื่นอยู่ด้วยช่วยหนุนนุให้บุคคลทํางานง่ายๆ หรือ ทํางานที่ถนัดได้ง่ายขึ้น แต่เป็นอุปสรรคหรือยับยั้งการทํางานที่มีความยากๆ ความซับซ้อนนั่นเอง
3.2 การออมแรงทางสังคม (Social Loafing) นักจิตวิทยาสังคมสนใจ ศึกษาว่าการทํางานตามลําพังกับการทํางานร่วมกันกับผู้อื่นและได้รับการ ประเมินผลงานเป็นกลุ่ม เราออกแรงในการทํางานเท่ากันหรือไม่ นักวิจัยชื่อแมคซ์ริงเกลมาน (Max Ringlemann) (โยธิน ศันสนยุทธ และจุมพล พูลภัทรชีวิน 2529, น. 97) ได้ทําการทดลองพบว่า เมื่อคนหลาย คนทํางานร่วมกันแต่ละคนจะลดความพยายามของตนลง ริงเกลมานได้บอกให้ผู้รับการทดลองดึงเชือก (กิจกรรมชักเย่อ) อย่างเต็มกํา ลังและวัดความพยายามของ แต่ละคน ในขณะที่ดึงเชือกคนเดียว ดึงเชือก โดยมีคนช่วยอีกหนึ่งคน ดึงเชือกโดยมีคนช่วยอีกสอง และ ดึงเชือกโดยมี คนช่วยอีกเจ็ดคน ปรากฏว่ายิ่งมีคนมากแต่ละคนจะออกแรงในการทํางาน ลดลงเป็นลําดับ ภาพ การทดลองดึงเชือก-การออมแรงทางสัง สั คม บิบบ์ ลาทาเน่ (Bibb Latane, 1981 อ้างถึงใน โยธิน ต้นสนยุทธ และ จุมพล พูลภัทรชีวิน, 2529, น. 98) เรียกปรากฏการณ์นี้ณ์ นี้ว่าการออมแรงทาง สังคม การออมแรงทางสังคมเกิดขึ้นในระหว่างที่มีการร่วม กันทํากิจกรรม ของกลุ่มและทุกคนได้ผลตอบแทนเท่ากัน สมาชิกแต่ละคนลดความ พยายามลง เนื่องจาก เห็นผู้อื่นร่วมทํากิจกรรมอยู่ด้วยจึงทําให้เกิดการกระ จายความรับผิดชอบ ซึ่งทําให้สมาชิกเอาเปรียบผู้อื่นด้วยการออมแรง
3.3 ประสิทธิผลการแก้ปัญหาและการเรียนรู้ของบุคคลกับกลุ่ม (individual versus group performance) โยธิน ศันสนยุทธ และจุมพล พูลภัทรชีวิน (2529, น. 98-99) ได้เสนอผลการแก้ปัญหา และการเรียนรู้ ของบุคคลกับกลุ่มดังนี้ ชอว์ (Shaw, 1932) ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของการแก้ปัญหา ของบุคคลกับการแก้ปัญหา ของกลุ่ม พบว่า กลุ่มสามารถตอบคําถามหรือแก้ ปัญหาได้ถูกต้องมากกว่าบุคคล ซึ่งชอว์ได้อธิบายว่าเป็น เพราะใน สถานการณ์กณ์ลุ่มได้มีการตรวจสอบที่ผิดและขจัดข้อเสนอที่ไม่ถูกต้องของ กลุ่ม นอกจากนี้เขายัง พบว่า หากมีสมาชิกคนใดทําผิดหรือตอบผิด สมาชิก คนอื่นๆ ของกลุ่มจะพบคําตอบหรือข้อเสนอที่ผิดนั้น และช่วยแก้ได้ การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของการเรียนรู้ของบุคคลกับกลุ่ม ยู เกอร์(Yuker, 1955) ได้ทดลองเกี่ยวกับการจำ เนื้อเรื่อง ผู้รับการทดลอง 160คนฟังเรื่องเล่าเรื่อง " War of the Ghosts” หลังจากฟังจบแล้ว ผู้รับการ ทดลองต้องเล่าเรื่องที่ได้ฟังเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มจะ ทดลองเกี่ยวกับการจําเนื้อเรื่อง ผู้รับการทดลอง 160 คนฟังเรื่องเล่า เรื่อง “War of the Ghosts” หลัง เรียนได้ดีกว่ารายบุคคลในงานที่มีลักษณะ ดังนี้ (1) บุคคลหลายคนสามารถทํางานได้โดยไม่เป็นอุปสรรค ต่อผู้อื่น (2) สามารถถูกทําได้โดยรวมเอาผลงานของแต่ละคนเข้าด้วยกัน และ (3) อย่าง น้อน้ยบางส่วนของ คําตอบของปัญหาไม่ขึ้นต่อกัน ผลการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนของบุคคลกับกลุ่มมีความสอดคล้องกัน อย่างมากในการแสดงว่า กลุ่มเรียนรู้ได้เร็วกว่ารายบุคคลทั้งในสถานการณ์ ตามธรรมชาติ (Barton, 1926) และในสถานการณ์ห้ณ์ ห้อง ทดลอง (Beaty & Shaw, 1965; Perlmutter & DeMontmolin, 1952; Yuker, 1955) โดยสรุป การมีผู้อื่นอยู่ด้วยมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคลทั้งในลักษณะ ของการหนุนนุทางสังคม ยับยั้งทางสังคมและการออมแรงทางสังคม อย่างไร ก็ตามการแก้ปัญหาและการเรียนรู้แบบกลุ่มมีประสิทธิผล มากกว่ารายบุคคล
สังคมประกิตเป็นเรื่องหนึ่งของจิตวิทยาสังคมที่อธิบายถึงผลกระทบที่ บุคคลอื่นมีต่อความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของเรา สังคมประกิตคือ กระบวนการเรียนรู้ทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิตของเรา ในที่ นี้ผู้เขียนขอกล่าวถึงการนําเรื่องสังคมประกิตมาใช้กับการเรียนรู้ผ่านระบบ การศึกษาดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. การประยุกต์แหล่งที่มาของสังคมประกิตกับการเรียนรู้ แหล่งที่มาของสังคมประกิตประกอบด้วย 4 แหล่งสําคัญ ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา และสื่อสารมวลชน แหล่งที่มาแต่ละแหล่งจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของบุคคลในช่วง วัยที่แตก ต่างกัน ผู้สอนควรให้มุ่งเน้นน้หรือให้ความสําคัญกับแหล่งที่มาของสังคม ประกิต โดยผู้สอนจําเป็น ต้องศึกษาถึงแหล่งที่มาของสังคมประกิตที่มี อิทธิพลต่อช่วงวัยของผู้เรียน จากนั้นจึงกําหนดวัตถุประสงค์ ว่าต้องการให้ผู้ เรียนเกิดการเรียนรู้หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใด ด้วยวิธีการใด ระดับใด ในที่นี้ผู้เขียนขอเสนอกรณีตัวอย่างซึ่งผู้สอนน่าจะมีโอกาสพบมากขึ้น ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม ได้แก่ เด็กที่มาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกับ เด็กส่วนใหญ่ในโรงเรียนหรือมีวัฒนธรรมที่ขัดแย้งกับสิ่ง ที่ครูหรือโรงเรียน ต้องการ เด็กเหล่านี้อาจจะเกิดปัญหายุ่งยากในการปรับตัวจะรู้สึกว่า ห้องเรียนน่าเบื่อ ผล การเรียนตกต่ํา เช่น เด็กที่พูด 2 ภาษา ผู้เขียนเคยได้ รับการบอกเล่าจากอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่า ท่าน พบเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ไม่ยอมพูด ทั้ง ๆ ที่เด็กมีผลการทดสอบพัฒนาการปกติ ภายหลังจากการพบ ผู้ปกครองของเด็กเพื่อหาสาเหตุจึงทราบว่าเด็กเติบโตในประเทศเกาหลี กลับประเทศไทยเมื่ออายุ 5 ปี ที่บ้านสื่อสารกันด้วยภาษาจีน พี่เลี้ยงใช้ภาษา ถิ่น เมื่อมาโรงเรียนเด็กไม่สามารถเลือกได้ว่าจะสื่อสารด้วย ภาษาใด เมื่อครูทราบสาเหตุที่เด็กไม่พูดเพราะเด็กไม่แน่ใจว่าจะเลือกใช้ ภาษาใดในการสื่อสาร ครูจะสามารถวางแผนจัดกิจกรรมช่วยเหลือเด็กได้ อย่างเหมาะสม การประยุกต์สัง สั คมประกิตกับการเรีย รี นรู้ บทที่ 6
2. การประยุกต์กระบวนการสังคมประกิตกับการเรียนรู้ กระบวนการสังคมประกิตที่นําเสนอไว้ในเรื่องที่ 12.2.1 มาปรับใช้ใน การเรียนรู้คือการเสริมแรงและ การลงโทษ การสอนโดยตรง การเรียนรู้โดย บังเอิญ และการเลียนแบบ ได้ดังนี้ ครูผู้สอนสามารถนําวิธีการเสริมแรงมาใช้เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่พึง ประสงค์ เพื่อรักษาให้พฤติกรรม นั้นคงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ทางสังคมหรือพฤติกรรมการเรียน โดยครูผู้สอนเลือกใช้สิ่งเร้าที่ เด็ก ต้องการประกอบกับพฤติกรรมที่ครูผู้สอนต้องการให้เกิดเช่น กรณีเด็กไม่ พูด เมื่อศึกษาแล้วทราบว่าเด็กชอบตุ๊กตา ครูผู้สอนจึงออกแบบกิจกรรมการ เรียนการสอนให้เด็กนําตุ๊กตามาโรงเรียน ให้ตุ๊กตาพูดก็จะทําให้เด็กมีความ สนใจและสนุกนุกับการเรียนหรือเมื่อเด็กทําพฤติกรรมที่พึงประสงค์แล้วครูผู้ สอนให้การเสริมแรงด้วยวิธีการต่างๆ เทคนิคการเสริมแรงคือครูควรสังเกตว่า เด็กกลุ่มที่ครูผู้สอนให้การ เสริมแรงชอบสิ่งใด เพื่อนํามาใช้เป็นตัวเสริมแรง นอกจากนี้ในช่วงของการ ฝึกหัดครูผู้สอนสามารถให้การเสริมแรงทุกครั้งที่เด็กมีพฤติกรรมที่พึง ประสงค์ตามเป้าป้หมายของครูผู้สอน ภายหลังจากเด็กเกิดการเรียนรู้แล้วครู ผู้สอนปรับเปลี่ยน วิธีการเสริมแรงอาจใช้การเสริมแรงตามจํานวนครั้งหรือ ตามเวลาที่แตกต่างกัน เช่น กรณีเด็กไม่พูด เมื่อ เด็กมีการพูด ครูเสริมแรง ทุกครั้งที่เด็กพูดไม่ว่าจะพูดชัดหรือไม่ชัดก็ตาม เมื่อครูสังเกตพบว่าเด็กพูด คุย มากขึ้น ครูอาจเสริมแรงเฉพาะเมื่อเด็กพูดชัดเจน กรณีการลงโทษ ครูผู้สอนควรหลีกเลี่ยงการลงโทษ เนื่องจากการ ลงโทษมีผลในทางลบหลายประการ ดังนั้นครูผู้สอนควรบอกกฎ กติกาและ สิ่งที่ต้องปฏิบัติให้ผู้เรียนทราบเป็นข้อตกลงก่อน หากต้องใช้วิธีการลงโทษ ควรลงโทษด้วยเหตุผลอย่างยุติธรรมและเลือกวิธีลงโทษที่เหมาะสมกับ สถานการณ์แณ์ละวัย ของผู้ถูกลงโทษ เช่น เด็กในช่วงวัยรุ่น หากใช้วิธีการตี เด็กจะรู้สึกอับอาย ต้องใช้การลงโทษทางใจแทน ทางกาย เปลี่ยนจากการตี เป็นการกักบริเวณ หรือให้ไปทําประโยชน์เน์พื่อโรงเรียน
นอกจากนี้ ครูผู้สอนสามารถนําวิธีการเลียนแบบมาประยุกต์โดยจัดให้ เด็กได้เรียนรู้ด้วยการสังเกต จากตัวแบบ ครูผู้สอนต้องกําหนดพฤติกรรม เป้าป้หมายที่ต้องการให้เด็กเรียนรู้ใช้ตัวแบบที่แสดงพฤติกรรม นั้นให้เด็ก ได้สังเกตและจดจํา เช่น พฤติกรรมการช่วยเหลือ ครูผู้สอนอาจให้เด็กดูข่าว ของคนที่ให้การช่วย เหลือผู้อื่นจากโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ควรเสนอตัวแบบ ที่ได้รับการชมเชยหรือได้รับการยกย่องจากสังคม เมื่อเด็กได้ดูตัวแบบ พร้อมผลของการกระทําของตัวแบบ เด็กเกิดความประทับใจและอยาก ปฏิบัติตาม การเลือกตัวแบบหากเป็นตัวแบบที่เป็นบุคคลจริงและเป็นที่รู้จัก ของเด็กจะได้ผลดีกว่าการใช้ตัวแบบสมมติ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ครูผู้สอนพึงระมัดระวังอีกประการหนึ่งคือ การแสดง พฤติกรรมหรือความคิด ความเชื่อของตนเอง เพราะเด็กอาจเรียนรู้โดย บังเอิญหรือการเลียนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์จากพฤติกรรม ของตัวครูผู้ สอน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงวัยของการสังเกตและเก็บจํำ พฤติกรรมของคนใกล้ตัว ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะทราบว่าพฤติกรรมใดควร หรือไม่ควรปฏิบัติ
การรับรู้ที่ครูผู้สอนและผู้เรียนมีต่อกันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างหรือ เหนี่ยวรั้งการเรียนการสอนได้ เพราะการรับรู้ระหว่างครูผู้สอนและผู้เรียน เป็นสิ่งที่กําหนดการแสดงพฤติกรรมที่ทั้งคู่มีต่อกัน ในเรื่องนี้ ผู้เขียนขอนํา เสนอการประยุกต์การรับรู้ทางสังคมกับการเรียนรู้ ดังนี้ 1.การประยุกต์การรับรู้ระหว่างบุคคลกับการเรียนรู้ การประยุกต์การรับรู้ระหว่างบุคคลกับการเรียนรู้นั้น ครูผู้สอนสามา รถนําลักษณะพื้นฐานของพฤติกรรมทางสังคมระหว่างคนสองคนซึ่งเป็นกระ บวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาใช้ในการบริหารจัดการพฤติกรรมของผู้ เรียนตลอดจนชั้นเรียน ผู้สอนกําหนดเป้าป้หมายว่าต้องการให้ผู้เรียนรับรู้ หรือตัดสินผู้สอน ว่าเป็นครูแบบใด จากนั้นกําหนดรูปแบบการจัดกิจกรรม และวิธีการแสดงตัวเมื่อพบกับผู้เรียนเช่น ผู้สอนมี เป้าป้หมายให้ผู้เรียนรับรู้ว่า ครูผู้สอนรับฟังความเห็นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ผู้สอนอาจเปิด โอกาส ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกําหนดวันที่ส่งรายงานเอง โดยผู้สอน เสนอช่วงเวลาให้ผู้เรียนเลือกสัก 2-3 ช่วงเวลา ให้ผู้เรียนในชั้นกําหนดวันส่ง รายงานจากช่วงเวลาดังกล่าว เป็นต้น 2. การประยุกต์การเกิดรอยประทับใจของบุคคลกับการเรียนรู้ ครูผู้สอนสามารถประยุกต์การเกิดรอยประทับใจของบุคคลกับการ เรียนรู้โดยให้ความสําคัญกับ การตัดสินผู้เรียน ผู้สอนสามารถศึกษาข้อมูล พื้นฐานของผู้เรียนจากระเบียนประวัติ ผลการเรียนหลายๆ ภาคเรียนที่ผ่าน มา สื่อสารผู้เรียนทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อนจะประเมินหรือตัดสินผู้เรียน ว่าเป็นคนอย่างไร มีความสามารถแบบใดเพราะถ้าผู้สอนประเมินความ สามารถของผู้เรียนได้ถูกต้อง ครูผู้สอนจะทราบว่าต้อง สอนอะไร ให้งาน อะไรแก่ผู้เรียนซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถได้อย่างเหมาะสม การประยุกต์การรับ รั รู้ท รู้ างสัง สั คมกับการเรีย รี นรู้ บทที่ 7
นอกจากนี้ ครูผู้สอนสามารถประยุกต์การเกิดรอยประทับใจของบุคคล เมื่อแรกพบมาสร้างความ ประทับใจให้แก่ผู้เรียนโดยการเตรียมตัวตั้งแต่ตัว ของครูเครื่องแต่งกายที่สะอาดเหมาะสม การวางแผนจัด กิจกรรมการเรียน การสอนเพื่อให้นักเรียนประทับใจครูและผู้เรียนประทับใจซึ่งกันและกัน และผู้สอน พบกับผู้เรียน ครูผู้สอนสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้ผ่อนคลาย ด้วยท่าทางเป็นมิตร จัดกิจกรรมที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความ สามารถหรือบอกความคิดของตนเอง กิจกรรมจะช่วยให้ทุกคนได้รู้จักตัวตน ของกันและกัน ซึ่งสามารถลดอคติที่จะเกิดจากการเหมารวมได้ด้วย กิจกรรมที่ผู้เขียนเคยใช้คือ ฉันคือ เครื่องดนตรี ครั้งแรกของการเข้าชั้น เรียน ผู้เขียนขอให้นักศึกษาแนะนําตัวเองด้วยการสมมติตัวเองเป็น เครื่อง ดนตรีชนิดใดชนิดหนึ่ง บอกเหตุผลการเลือก บอกสิ่งดีในตัวและข้อเสียใน ตัวเอง สิ่งที่หวังว่าจะได้ รับจากการเรียนวิชานี้ สิ่งที่พบเสมอคือเมื่อผู้เรียน แนะนําตัวครบทุกคน ในการทํากิจกรรมนี้มักจะมีนักศึกษา คนหนึ่งขอให้ผู้ เขียนแนะนําตัวเช่นเดียวกัน ผู้เขียนได้ใช้โอกาสนี้แนะนําตัวเองและนําไปสู่ การตกลงกติกา การเรียนการสอน ในเวลาต่อมานักศึกษาได้ให้ข้อมูลย้อนกลับว่าชอบ กิจกรรมนี้ เพราะทําให้รู้จักกันและ เข้าใจเหตุผลของการกําหนดกฎเกณฑ์ รวมทั้งรู้สึกมีส่วนร่วมในการเรียน การสอน 3. การประยุกต์ทฤษฎีการระบุสาเหตุกับการเรียนรู้ การประยุกต์ทฤษฎีการระบุสาเหตุกับการเรียนรู้ เนื่องจากนักจิตวิทยา ได้แบ่งกระบวนการระบุ สาเหตุของพฤติกรรมออกเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบ ด้วย ขั้นสังเกตการกระทําหรือพฤติกรรม ขั้นพิจารณา เจตนาของผู้กระทํา และขั้นระบุสาเหตุของการกระทําว่ามาจากอะไร ผู้กระทําจะต้องกระทําจน ครบ 3 ขั้นตอน จึงจะระบุสาเหตุของพฤติกรรมได้ว่าเกิดจากสาเหตุทางสิ่ง แวดล้อมหรือสาเหตุทางบุคคล
ตัวอย่าง กรณี เด็กชายดี มีผลการเรียนต่ํา ในวิชาที่ ครู ป. สอน และ บ่นแต่ว่าครูป. สอนไม่ เข้าใจ หากค้นหาได้ว่าสาเหตุของผลการเรียนต่ํา เกิดจากตัวของ เด็กชายดี เองหรือเพราะ ครู ป. ครูก็จะ นําข้อมูลมาประกอบ การวางแผนช่วยเหลือเด็กชายดีได้ถูกต้อง หากพบว่าครู ป. มีพฤติกรรมการ สอนที่ ทําให้เด็กนักเรียนไม่เข้าใจจริงๆ ครูจะเปลี่ยนวิธีการสอนหรือเปลี่ยน ครูผู้สอน แต่หากพบว่าสาเหตุจาก ตัวของเด็กชายดีเอง อาจจัดสอนเป็น กรณีพิเศษและชี้แจงให้เด็กชายดี รับรู้ ครู ป. ให้ถูกต้อง เพื่อเด็กมี เจตคติ ที่ดีต่อครู การที่ครูผู้สอนรับรู้ความสามารถของผู้เรียนได้ตรงตามความจริง จัด กิจกรรมการเรียนการสอนตรงกับความสามารถ อาจช่วยให้ผู้เรียนค้นพบ ตนเองและวางแผนการเรียนในอนาคตต่อไปได้ ในการเรียนการสอนนั้น เรามีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการให้ผู้เรียนใช้ ความคิดของตนพิจารณาและ หาข้อสรุปของตนเอง โดยไม่จําเป็นต้องเชื่อ หรือยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นบอกหลักการรับรู้และข้อควรระวังในการ รับรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วย ข้อสําคัญประการหนึ่งคือ การรับรู้ทางสังคมเป็นกระบวนการที่ใช้ใน การค้นหา เพื่อให้รู้จักและ เข้าใจบุคคลต่างๆ รอบๆ ตัวเรา เนื่องจากการรับรู้ เป็นกระบวนการแห่งการเลือกที่จะรับ โดยปกติเราเลือก รับข้อมูลที่ตรงกับ ความสนใจ ความเชื่อและเจตคติของเรา ข้อมูลที่เรารับมาจึงเป็นเพียงบาง ส่วนไม่ใช่ข้อมูล ทั้งหมด ครูผู้สอนจึงต้องเตือนตัวเองเสมอว่าคนอื่นอาจจะ ไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ เหมือนที่เราเห็น เพราะว่ามี ประสบการณ์จณ์ากอดีตและ แรงจูงใจต่างจากเรา ครูผู้สอนต้องพยายามมองในมุมของคนอื่นบ้าง เพื่อ หลีกเลี่ยง ความขัดแย้ง และอาจได้ประโยชน์จน์ากการแลกเปลี่ยนมุมมอง ของประสบการณ์ขณ์องเราด้วยเหมือนกัน ครู ผู้เรียน ผู้สอนที่เปิดใจรับฟัง ความคิดเห็นของผู้เรียน เป็นการให้เกียรติและแสดงถึงความใจกว้างของผู้ สอน จะมีความไว้วางใจและกล้าเปิดเผยความคิดของตนเองมาก
นอกจากนี้ ครูต้องรับรู้ตัวเองได้ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยเฉพาะ การหาเหตุผลมาอธิบาย ความสําเร็จหรือความล้มเหลวของตนเอง โดยสรุป การรับรู้ทางสังคม เป็นกระบวนการที่คนหาวิธีทําความเข้าใจหรือ รู้จักผู้อื่น ทําให้เรา เลือกตอบสนองเขาได้อย่างเหมาะสม ผู้รับรู้ต้อง ระมัดระวังการรีบด่วนสรุปหรือตัดสินผู้อื่น ด้วยการหาข้อมูล เพิ่มเติมก่อน การสรุป
การประยุกต์เรื่องเจตคติกับการเรียนรู้ ในที่นี้ผู้เขียนนําเสนอการ ประยุกต์เจตคติเพื่อพัฒนาเจตคติ ของผู้เรียนและการประยุกต์แนวคิดการ สื่อความหมายกับการเรียนรู้ตามลําดับดังนี้ 1. การประยุกต์ทฤษฎีการเรียนรู้กับการเกิดเจตคติ ดังที่ทราบแล้วว่าเจตคติที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดมาจากการเรียน รู้จากประสบการณ์ตณ์รงหรือ ประสบการณ์ทณ์างอ้อมต่อสิ่งนั้น ดังนั้นผู้สอน สามารถประยุกต์ทฤษฎีการเรียนรู้มาใช้ในลักษณะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่พึงประสงค์หรือเปลี่ยนเจตคติที่ผู้เรียนมีต่อสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งครูสามารถเสนอสิ่งเร้าที่เป็นกลาง (เป้าป้หมายของเจตคติ) คู่ กับสิ่งเร้าที่มีอํานาจทําให้ต้องตอบสนองอย่างใด อย่างหนึ่ง (ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบหรือสภาวะที่ทําให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ) ตัวอย่างเช่น ครูจะฝึกให้ เด็กๆ มีระเบียบวินัยรู้จักหยุดเล่นและเก็บของเล่นโดยให้เด็กมีเจตคติทาง บวกต่อการมีระเบียบวินัย ครูเริ่มจากการเพลงกับการหยุดเล่นและเก็บของ เข้าที่ด้วยตนเอง การพัฒนาเจตคติผู้เรียนด้วยการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ผู้สอนสามารถนํามา ประยุกต์ในลักษณะให้การเสริมแรงเมื่อเด็กแสดง พฤติกรรมที่พึงประสงค์จะทําให้เด็กพึงพอใจจึงมีความรู้สึก อย่างไรก็ตามครู ผู้สอนต้องระมัดระวังการพัฒนาเจตคติด้วยวิธีนี้ เนื่องจากเด็กที่ได้ ที่ดีต่อพฤติกรรมนั้นรับการเสริมแรง อาจแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เพราะอยากได้รับตัวเสริมแรงหรือหลีกหนีสิ่งที่ไม่ต้องการเท่านั้น ตัวอย่าง เช่น การที่ครูผู้สอนให้คําชม ให้ขนม ให้คะแนน ทุกครั้งที่เด็กๆ ตอบคําถาม ในชั้นเรียน เมื่อตอบผิดก็ไม่ถูกดุ ทําให้เด็กกล้าตอบคําถาม และมีเจตคติ ทางบวกต่อการตอบคําถามในที่สุด การประยุกต์เจตคติและเปลี่ย ลี่ นเจตคติกับการเรีย รี นรู้ บทที่ 8
ครูผู้สอนสามารถนําทฤษฎีการเรียนรู้โดยการเลียนแบบมาประยุกต์ใช้ใน ลักษณะให้เด็กได้เห็นผลการกระทําของผู้อื่นในการพัฒนาเจตคติของผู้ เรียน ในกรณีนี้ครูผู้สอนอาจเลือกนิทานที่มีตัวละครแสดง เจตคติเป้าป้หมาย มาเล่าให้เด็กๆ ฟัง หรือให้เด็กได้เห็นตัวอย่างจากครู เพื่อน ข่าวสารต่างๆ 2. การเปลี่ยนเจตคติเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ผู้สอนจําเป็นต้องรู้ว่าผู้เรียนจะประสบความสําเร็จในการเรียนรู้หรือไม่ นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับเจตคติ ของผู้เรียนที่มีต่อผู้สอน วิชาที่เรียน สถาบัน เพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือเจตคติที่มีต่อตัวเอง เนื่องจาก พฤติกรรมต่างๆ ที่ผู้เรียนแสดงออกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเจตคติของผู้เรียนนั่นเอง ดังนั้นผู้ สอนจําเป็น ต้องศึกษาเจตคติผู้เรียนโดยให้ผู้เรียนบอกเล่าความคิด ความ รู้สึกว่าชอบไม่ชอบ หากเลือกได้จะทําอย่างไร ต่อเป้าป้หมายเหล่านั้น แล้วจึง ใช้ข้อมูลมากําหนดแผนเพื่อพัฒนาเจตคติของผู้เรียนไปในแนวทางที่ สอดคล้อง กับกิจกรรมการเรียนการสอนและจุดมุ่งหมายทางการศึกษา ดังนี้ 2.1 การพัฒนาเจตคติผู้เรียนด้วยการประยุกต์ทฤษฎีความขัดแย้ง ทางด้านความรู้คิด ผู้สอนสามารถประยุกต์ทฤษฎีความขัดแย้งทางด้าน ความรู้คิดมาพัฒนาเจตคติผู้เรียนได้ในลักษณะที่ให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมใน การปฏิบัติจริงด้วยความสมัครใจ และได้รับผลตอบแทนน้อน้ยที่สุด เช่น การ แสดงบทบาทสมมติ การร่วมอภิปราย การเขียนเรียงความ 2.2 ครูผู้สอนสามารถประยุกต์การเปลี่ยนเจตคติด้วยแนวคิดการสื่อ ความหมาย ซึ่งเป็นวิธีการเปลี่ยนเจตคติที่ผู้เรียนไม่มีส่วนร่วมในการปฏิบัติ จริง การใช้วิธีนี้ผู้สอนต้องศึกษาข้อมูลผู้ของผู้เรียนในฐานะ ผู้รับสารว่าอยู่ใน ช่วงวัยใด เจตคติเดิมที่มีต่อเรื่องนั้นเป็นอย่างไร เพื่อเลือกผู้ส่งสาร วิธีเสนอ สารและช่อง ทางเสนอสารที่เหมาะสมกับผู้เรียน การประยุกต์แนวคิดการสื่อความหมายนั้น ครูผู้สอนจําเป็นต้องมีความ เข้าใจองค์ประกอบของการ สื่อสารความหมาย 4 องค์ประกอบคือ ผู้ส่งสาร สารหรือวิธีการส่งสาร ผู้รับสาร และช่องทางเสนอสาร เพราะองค์ประกอบทั้ง 4 นี้สัมพันธ์กับกระบวนการเปลี่ยนเจตคติในลักษณะที่ผู้ส่งสารทําให้ผู้รับ สารเกิด การใส่ใจต่อสาร ที่ส่งมา สารทําให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจความ หมายที่ส่งมากับสาร จนทําให้ผู้รับสารยอมรับสารและช่องทางในการสื่อสาร
ซึ่งในการเรียนการสอนครูผู้สอนทําหน้าน้ที่เป็น ผู้ส่งสาร ผู้เรียนคือผู้รับสาร เนื้อหาวิชาที่สอนคือสาร และวิธีการสอนคือช่องทางการเสนอสาร เพื่อให้การ ประยุกต์แนวคิดการสื่อความหมายมีประสิทธิผลผู้สอนต้องศึกษาลักษณะ ของผู้รับสารทั้งในด้านวัย รูปแบบ การเรียน พื้นฐานความรู้เดิมที่เกี่ยวข้อง กับวิชานั้น ทําความเข้าใจกับเนื้อหาวิชาส่วนที่จะสอน เพื่อตรวจสอบ ตนเอง ว่ามีลักษณะของผู้ส่งสารที่จะเปลี่ยนเจตคติของผู้เรียนได้หรือไม่ กรณีผู้สอน พบว่า ตัวผู้สอนขาดความรู้หรือทักษะเนื้อหานั้น ผู้สอนอาจเลือกวิธีเชิญผู้ เชี่ยวชาญมาสอนหรือเลือกกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยวิธีอื่นที่เหมาะสม เพราะผู้ส่งสารที่มีความเชี่ยวชาญต่ํา มีผลต่อการเปลี่ยนเจตคติของผู้รับ สาร การ เลือกกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงจะทําให้ผู้ เรียนมีประสบการณ์แณ์ละเข้าใจเนื้อหาได้มากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ การเปลี่ยนเจตคติประสบความสําเร็จได้ผู้สอนจําเป็นต้องมีความ เข้าใจและประยุกต์ กระบวนการเปลี่ยนเจตคติทั้ง 4 ขั้น คือ เร้าความสนใจ ของผู้เรียน การทําความเข้าใจ การยอมรับ และจดจํา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ เร้าความสนใจผู้เรียน ซึ่งสามารถเลือกใช้สื่อประเภทต่างๆ หรือกิจกรรมที่ กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นถึงความสําคัญของเรื่องนั้น อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนเจตคติโดยการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง เช่น การร่วมอภิปราย การร่วม แสดงบทบาท มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยน เจตคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมได้มากกว่าการมีส่วนร่วมแบบ ไม่ได้ทํา อะไรเลย เช่น ฟังเพียงอย่างเดียว เพราะการมีส่วนร่วมดังกล่าวทําให้บุคคล ได้มีประสบการณ์ โดยตรง มีความเชื่อถือข้อมูลที่ได้รับใหม่ เกิดความเชื่อ มั่นในสิ่งที่ตนรู้
ในเรื่องพฤติกรรมของบุคคลและบุคคลในกลุ่ม ผู้เขียนขอนําเสนอการ ประยุกต์ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การประยุกต์การหนุนนุทางสังคมและการยับยั้งทาง สังคมกับการเรียนการสอน 2) การประยุกต์การออมแรง ทางสังคมกับการ เรียนการสอน และ 3) การประยุกต์แนวคิดเรื่องประสิทธิผลการแก้ปัญหา และการเรียนรู้ของ บุคคลกับกลุ่มกับการเรียนรู้ ดังนี้ 1. การประยุกต์การหนุนนุทางสังคมและการยับยั้งทางสังคมกับการเรียนการ สอน ตามทฤษฎีการหนุนนุทางสังคม มองว่า ในขณะที่บุคคลทํางานง่ายๆ หรืองานที่ตนเองถนัด การมี ผู้อื่นอยู่ด้วยจะช่วยหนุนนุให้ผลงานดีขึ้น แต่การ มีผู้อื่นอยู่ด้วยเป็นอุปสรรคต่อการทํางานที่ซับซ้อนหรือ การทํางานที่ไม่ถนัด เป็นการยับยั้งทางสังคม ดังนั้นการประยุกต์ทฤษฎีการหนุนนุทางสังคมเพื่อ การเรียน การสอน ครูผู้สอนจําเป็นต้องพิจารณาว่าเนื้อหาที่สอนหรืองานที่ มอบหมายให้ผู้เรียนทํานั้นมีความยากหรือง่ายสําหรับผู้เรียน ถ้างานนั้นเป็น งานใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่เคยเรียนรู้ขาดทักษะหรือมีความยากซับซ้อน ควรจัด กิจกรรมการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามลําพัง ในทางตรงกัน ข้ามถ้างานนั้นเป็นงานง่ายหรือผู้เรียนมีทักษะในการทํางานนั้นแล้ว ผู้สอน จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนทํางาน ร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อผล งานที่มีคุณภาพดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ นักกีฬาที่ได้รับการฝึกฝนและพัฒนาทักษะการเล่นจน คล่อง จึงสามารถเล่นได้ดีเมื่ออยู่ในสนามแข่งขันที่มีผู้ชมจํานวนมาก ครูผู้สอนที่มีเป้าป้หมายพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเองให้แก่ผู้เรียน สามารถประยุกต์แนวคิดนี้โดย สังเกตว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถ หรือทักษะในด้านใด เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงหน้าน้ชั้นหรือหน้าน้เวที เพื่อให้ เกิดการหนุนนุทางสังคม
นอกจากนี้ตัวผู้สอนเอง เมื่อกําลังทํางานที่ซับซ้อนหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ควรหาเวลาและสถานที่ ส่วนตัวทําสิ่งดังกล่าวตามลําพัง เพราะการทํางานที่ ต้องใช้ความคิดต่อหน้าน้คนอื่นจะทําให้เรามีประสิทธิภาพ ในการคิดต่ํา ลง ตามแนวคิดการยับยั้งทางสังคม แต่ถ้ากําลังจะทํางานที่ง่ายหรืองานที่ตนเอง มีทักษะ ควรทํางานในสถานการณ์ที่ณ์ ที่อยู่กันเป็นกลุ่มตามหลักการหนุนนุทาง สังคมนั่นเอง 2. การประยุกต์การออมแรงทางสังคมกับการเรียนการสอน ปรากฏการณ์กณ์ารออมแรงทางสังคมเกิดขึ้นในระหว่างที่มีการร่วมกัน ทํากิจกรรมของกลุ่ม และ ทุกคนได้ผลตอบแทนเท่ากัน สมาชิกแต่ละคนลด ความพยายามลง เนื่องจากเห็นผู้อื่นร่วมทํากิจกรรม อยู่ด้วยจึงทําให้เกิด การกระจายความรับผิดชอบซึ่งทําให้สมาชิกเอาเปรียบผู้อื่นด้วยการออมแรง ครูผู้สอน ที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบมอบหมายให้ผู้เรียนทํางาน เป็นกลุ่มสามารถป้อป้งกันปรากฏการณ์ดัณ์ ดังกล่าวโดย - จํากัดจํานวนสมาชิกกลุ่มให้เหมาะสมกับปริมาณงาน ปกติกลุ่ม ควรมีสมาชิกประมาณ 5-7 คน - แนะนําให้ผู้เรียนวางแผนมอบหมายงานและแบ่งหน้าน้ที่ความรับ ผิดชอบให้แก่สมาชิกทุกคน - ผู้สอนอาจกําหนดผลตอบแทนที่ท้าทายเพื่อให้ผู้เรียนมีเป้าป้ หมายงานที่ท้าทาย ผู้สอนอาจเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกหัวข้อตามความ สนใจของกลุ่ม 3. การประยุกต์แนวคิดเรื่องประสิทธิผลการแก้ปัญหาและการเรียนรู้ของ บุคคลกับกลุ่มกับการเรียนรู้ การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลการแก้ปัญหาและการเรียนรู้ของ บุคคลกับกลุ่ม สรุปได้ว่า ทั้งการแก้ปัญหาและการเรียนรู้แบบกลุ่มมี ประสิทธิผลมากกว่าแบบเดียว ผู้สอนสามารถประยุกต์กับการ เรียนการสอน ในลักษณะวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกลุ่ม ภายใต้เงื่อนไข คือกิจกรรมนั้น ไม่สามารถทําคนเดียวได้ ต้องใช้ความรู้ความสามารถของ สมาชิกร่วมกัน สมาชิกกลุ่มต้องมีทักษะความ สามารถที่เสริมกัน เพื่อให้
สมาชิกแต่ละคนได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตนเอง ผลงานที่ได้ต้อง ดีกว่า การทํางานคนเดียว ดังนั้นผู้สอนควรสอนหรือแนะนําหลักการทํางาน กลุ่มแก่ผู้เรียนด้วย โดยสรุป การมีผู้อื่นอยู่ด้วยมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคลทั้งใน ลักษณะของการหนุนนุทางสังคม การยับยั้งทางสังคมและการออมแรงทาง สังคม ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิผลในการแก้ปัญหาและการเรียนรู้ จดจํา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร้าความสนใจผู้เรียน ซึ่งสามารถเลือกใช้สื่อประเภท ต่างๆ หรือกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นถึงความสําคัญของเรื่องนั้น อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนเจตคติโดยการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง เช่น การร่วมอภิปราย การร่วม แสดงบทบาท มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยน เจตคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมได้มากกว่าการมีส่วนร่วมแบบ ไม่ได้ทํา อะไรเลย เช่น ฟังเพียงอย่างเดียว เพราะการมีส่วนร่วมดังกล่าวทําให้บุคคล ได้มีประสบการณ์ โดยตรง มีความเชื่อถือข้อมูลที่ได้รับใหม่ เกิดความเชื่อ มั่นในสิ่งที่ตนรู้
ในเรื่องพฤติกรรมของบุคคลและบุคคลในกลุ่ม ผู้เขียนขอนําเสนอการ ประยุกต์ 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การประยุกต์การหนุนนุทางสังคมและการยับยั้งทาง สังคมกับการเรียนการสอน 2) การประยุกต์การออมแรง ทางสังคมกับการ เรียนการสอน และ 3) การประยุกต์แนวคิดเรื่องประสิทธิผลการแก้ปัญหา และการเรียนรู้ของ บุคคลกับกลุ่มกับการเรียนรู้ ดังนี้ 1. การประยุกต์การหนุนนุทางสังคมและการยับยั้งทางสังคมกับการเรียนการ สอน ตามทฤษฎีการหนุนนุทางสังคม มองว่า ในขณะที่บุคคลทํางานง่ายๆ หรืองานที่ตนเองถนัด การมี ผู้อื่นอยู่ด้วยจะช่วยหนุนนุให้ผลงานดีขึ้น แต่การ มีผู้อื่นอยู่ด้วยเป็นอุปสรรคต่อการทํางานที่ซับซ้อนหรือ การทํางานที่ไม่ถนัด เป็นการยับยั้งทางสังคม ดังนั้นการประยุกต์ทฤษฎีการหนุนนุทางสังคมเพื่อ การเรียน การสอน ครูผู้สอนจําเป็นต้องพิจารณาว่าเนื้อหาที่สอนหรืองานที่ มอบหมายให้ผู้เรียนทํานั้นมีความยากหรือ ง่ายสําหรับผู้เรียน ถ้างานนั้นเป็น งานใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่เคยเรียนรู้ขาดทักษะหรือมีความยาก ซับซ้อน ควร จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามลําพัง ในทางตรง กันข้ามถ้างานนั้นเป็น การประยุกต์พฤติกรรมของบุคคลและบุคคล ในกลุ่ม ลุ่ กับการเรีย รี นรู้ บทที่ 9