The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารฉบับนี้ จัดทำขึ้นตามเจตนารมณ์ของ นายสราวุฒิ ธนาเจริญกุล อดีตนายอำเภอตะกั่วป่า มีความเห็นว่าเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแต่สมัยโบราณกาล มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตมาหลายมิติตลอดมา สมควรที่ผู้คนชาวตะกั่วป่าจะได้รับทราบ เรียนรู้ทำความเข้าใจ ในอันจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตน และเกิดความรัก ความสามัคคีที่จะร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
กลุ่มบุคคลจึงได้ร่วมกันศึกษาเอกสาร หนังสือ รวบรวมข้อมูล ให้ความคิดเห็น ออกแบบ และเรียบเรียงขึ้นเป็นรูปเล่ม บุคคลสำคัญ ได้แก่ นายจรัญ ศรีสว่าง อดีตประธานสภาวัฒนธรรม อำเภอตะกั่วป่าอาจารย์วิมล โสภารัตน์ ที่ปรึกษาสภาวัฒนธรรม อำเภอตะกั่วป่า และนายสมศักดิ์ ไชเดโช อดีตหัวหน้าการประถมศึกษา อำเภอตะกั่วป่า
ด้วยหวังว่า เอกสารฉบับนี้จะเป็นเอกสารสำคัญที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจ และเกิดแรงบันดาลใจให้ชาวตะกั่วป่า มีความรักสามัคคี ร่วมกันรักษา และช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Goi Bangsak, 2023-04-16 21:53:30

หนังสืออดีตตะโกลา... ตะกั่วป่า ปัจจุบัน

เอกสารฉบับนี้ จัดทำขึ้นตามเจตนารมณ์ของ นายสราวุฒิ ธนาเจริญกุล อดีตนายอำเภอตะกั่วป่า มีความเห็นว่าเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแต่สมัยโบราณกาล มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตมาหลายมิติตลอดมา สมควรที่ผู้คนชาวตะกั่วป่าจะได้รับทราบ เรียนรู้ทำความเข้าใจ ในอันจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตน และเกิดความรัก ความสามัคคีที่จะร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
กลุ่มบุคคลจึงได้ร่วมกันศึกษาเอกสาร หนังสือ รวบรวมข้อมูล ให้ความคิดเห็น ออกแบบ และเรียบเรียงขึ้นเป็นรูปเล่ม บุคคลสำคัญ ได้แก่ นายจรัญ ศรีสว่าง อดีตประธานสภาวัฒนธรรม อำเภอตะกั่วป่าอาจารย์วิมล โสภารัตน์ ที่ปรึกษาสภาวัฒนธรรม อำเภอตะกั่วป่า และนายสมศักดิ์ ไชเดโช อดีตหัวหน้าการประถมศึกษา อำเภอตะกั่วป่า
ด้วยหวังว่า เอกสารฉบับนี้จะเป็นเอกสารสำคัญที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจ และเกิดแรงบันดาลใจให้ชาวตะกั่วป่า มีความรักสามัคคี ร่วมกันรักษา และช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

Keywords: Takuapa,History,Culture,Phangnga

ค ำน ำ เอกสารฉบับนี้ จัดท าขึ้นตามเจตนารมณ์ของ นายสราวุฒิ ธนา เจริญกุล อดีตนายอ าเภอตะกั่วป่า มีความเห็นว่าเมืองตะกั่วป่าเป็นเมืองที่ มีประวัติศาสตร์ยาวนานแต่สมัยโบราณกาล มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลง และเจริญเติบโตมาหลายมิติตลอดมา สมควรที่ผู้คนชาวตะกั่วป่าจะได้ รับทราบ เรียนรู้ท าความเข้าใจ ในอันจะท าให้เกิดความภาคภูมิใจในบ้าน เกิดเมืองนอนของตน และเกิดความรัก ความสามัคคีที่จะร่วมกันพัฒนา บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป กลุ่มบุคคลจึงได้ร่วมกันศึกษาเอกสาร หนังสือ รวบรวมข้อมูล ให้ ความคิดเห็น ออกแบบ และเรียบเรียงขึ้นเป็นรูปเล่ม บุคคลส าคัญ ได้แก่ นายจรัญ ศรีสว่าง อดีตประธานสภาวัฒนธรรม อ าเภอตะกั่วป่าอาจารย์ วิมล โสภารัตน์ ที่ปรึกษาสภาวัฒนธรรม อ าเภอตะกั่วป่า และนายสมศักดิ์ ไชเดโช อดีตหัวหน้าการประถมศึกษา อ าเภอตะกั่วป่า ด้วยหวังว่า เอกสารฉบับนี้จะเป็นเอกสารส าคัญที่จะก่อให้เกิดการ เรียนรู้ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจ และเกิดแรงบันดาลใจให้ชาวตะกั่วป่า มีความรักสามัคคี ร่วมกันรักษา และช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองของเราให้ เจริญก้าวหน้าต่อไป สภาวัฒนธรรม อ าเภอตะกั่วป่า


สำรบัญ หน้า ความเป็นมาของเมืองตะกั่วป่า 4 เมืองตะกั่วป่าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 21 การเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งเมืองตะกั่วป่า 49 เจ้าเมืองตะกั่วป่าและข้าราชการประจ าเมือง 51 รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดตะกั่วป่า 54 รายนามนายอ าเภอตะกั่วป่า 55 ที่ว่าการอ าเภอตะกั่วป่า 57 ส่วนราชการส าคัญที่แสดงถึงความเป็นจังหวัดตะกั่วป่า 61 บุคคลที่เคยท างานบนที่ว่าการอ าเภอตะกั่วป่า 71 การเปลี่ยนแปลงส่วนราชการและบ้านเมืองตะกั่วป่า 76 ข้อสันนิษฐานทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ 80 สึนามิที่ตะกั่วป่า 82 บรรณานุกรม 90


อดีตตะโกลา 4 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ตะกั่วป่า เป็นชุมชนโบราณ มีอายุนับพันปี ปรากฏชื่อ “ตักโกลา” มา ตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ 5 ในคัมภีร์มหานิเทศ ได้กล่าวถึงว่า เป็นเมืองส าคัญ ในดินแดนสุวรรณภูมิ คลอดิอุส ปโตเลมี นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ได้บันทึกการ เดินทางผ่านคาบสมุทรมลายูว่า ได้แวะผ่านเมือง “ตักโกลา” และปรากฏชื่อ เมือง “Takola” บนแผนที่ที่เขาจัดท าขึ้น หลวงจีนอี้จิง สมัยราชวงศ์ถัง ได้เดินทางจากจีนผ่านแหลมมลายูไปยัง อินเดีย ได้บันทึกชื่อเมือง “ตักโกลา” ว่าคือ เมือง “เกอหลัว” ตั้งอยู่ทางฝั่ง ตะวันตกตรงกันข้ามกับเมืองจิงลี่ หรือ ตามพรลิงค์ทางฝั่งตะวันออก พ่อค้า ชาวอาหรับก็ได้กล่าวถึง เมืองท่าโบราณชื่อ กาลาห์ ว่า ตั้งอยู่บริเวณเหมือง ทองที่ต าบลเกาะคอเขา “เมืองตะโกลา” จึงเป็นชุมชนชายฝั่งทะเลตะวันตกที่ส าคัญมาแต่สมัย โบราณ เป็นสถานที่จอดเรือ พักการเดินทาง แลกเปลี่ยนสินค้า และเป็น เส้นทางข้ามผ่านแหลมมลายู จากฝั่งมหาสมุทรอินเดียไปยังมหาสมุทร แปซิฟิก เป็นเส้นทางส าคัญนอกเหนือจากเส้นทางอื่นๆ ที่มีผู้ให้ความคิดเห็น ว่า ยังมีอีก 8 เส้นทาง เส้นทางนี้จะเชื่อมระหว่างคลองรมณีย์กับคลองสก เส้นทางเชื่อมเมืองตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และเมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ ธานี มาแต่สมัยโบราณกาล มีผู้ให้ความเห็นว่า เมื่อศาสนาพุทธเผยแพร่มา ทางสุวรรณภูมิ ครั้งแรกได้เข้ามาทางเมืองตะโกลา ก่อนที่จะเดินทางไปหัว เมืองไชยาและนครศรีธรรมราช


อดีตตะโกลา 5 ตะกั่วป่าปัจจุบัน “ทุ่งตึก จุดเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมทางทะเล จังหวัดพังงาร่วมกับกรมศิลปากร”


อดีตตะโกลา 6 ตะกั่วป่าปัจจุบัน แผนที่สังเขป แสดงที่ตั้ง สถานที่และเมือง ท่าโบราณตาม คัมภีร์บาลีและ สันสกฤต โดย สันนิษฐาน ประกอบ “แนวคิดสังเขป ของโบราณคดี รอบอ่าวบ้าน ดอน พระครู อินทปัญญาจาร 2493” ความส าคัญของเมืองตะโกลา นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 8 เป็นต้นมา เมืองตะโกลา ได้พัฒนาเป็น เมืองท่าจอดเรือที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด ทางด้านชายฝั่งทะเลตะวันตก เป็นที่รู้จักกันดีของบรรดาชาติต่างๆ หลายชาติ เช่น อินเดีย จีน เปอร์เซีย อาหรับ รวมทั้งกรีกและโรมันในทวีปยุโรป ชาติเหล่านี้ได้เข้ามาติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน เป็นสถานที่จอดแวะพักเรือเพื่อเติมเสบียง อาหารและซ่อมแซมเรือ รวมทั้งรอลมมรสุมเพื่อการเดินทางต่อไป จาการ ส ารวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกและปลายคลองเหมืองทองของกรม ศิลปากร และนักโบราณคดีหลายท่าน พบหลักฐานส าคัญในท้องที่ที่สามารถ อธิบายได้ว่า เมืองตะโกลาเป็นเมืองท่าที่อยู่ในเส้นทางการค้าของโลกยุค โบราณ ที่เชื่อมระบบการค้าของโลกระหว่างดินแดนตะวันตกและดินแดนทาง ตะวันออกเข้าด้วยกัน และถือเป็นเส้นทางสายไหมทางทะเลก็ว่าได้ เช่น พบ ภาชนะดินเผาของเปอร์เซีย ลูกปัดชนิดต่างๆ หลายแบบ หลายขนาดและจาก หลายแหล่ง


อดีตตะโกลา 7 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 8 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ทุ่งตึกจุดเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมทางทะเล จังหวัดพังงาร่วมกับกรมศิลปากร 2552 “เส้นทางข้ามคาบสมุทรตะกั่วป่า-อ่าวบ้านดอน”


อดีตตะโกลา 9 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 10 ตะกั่วป่าปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังเป็นเส้นทางลัดข้ามคาบสมุทรติดต่อระหว่างฝั่งทะเล ตะวันตกและฝั่งทะเลตะวันออก เนื่องจากในสมัยโบราณเรือที่อาศัยแรงลมไม่ สามารถเดินทางอ้อมแหลมมลายูได้ เพราะบริเวณตั้งแต่ละติจูด 5 องศา ลง ไปนั้นเป็นเขตสงบลม (Doldrum) มีการพบหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ และโบราณคดีที่ส าคัญๆ หลายอย่างที่สามารถอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับการ ใช้เส้นทางข้ามคาบสมุทรมลายูตลอดเส้นทางสายนี้ เช่น พระเหนอ (พระ นารายณ์) ที่เขาพระเหนอ ใกล้ปากแม่น้ าตะกั่วป่า พระนารายณ์และเทพ บริวารที่เขาพระนารายณ์ อยู่ในอ าเภอกะปง จังหวัดพังงา โบราณวัตุบริเวณ บ้านท่าหัน เชิงเขาสกในอ าเภอกะปง พระนารายณ์ที่เขาศรีวิชัยในอ าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น ตะโกลา คงจะมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-8 ระยะ หนึ่ง จากนั้นอาณาจักรฟูนัน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ าโขงตอนล่าง ขยายอ านาจลงมาปกครองคาบสมุทรมลายูไว้ได้ทั้งหมด จนกระทั่ง อาณาจักรฟูนันเสื่อมอ านาจลงในพุทธศตวรรษที่ 11 เมืองต่างๆ ในบริเวณ คาบสมุทรมลายูจึงมีอิสระขึ้นอีก ปรากฏเมืองและแว่นแคว้นต่างๆ เกิดขึ้น หลายแห่ง เช่น ไชยา ตามพรลิงค์ สะทิงพระ ปัตตานี รวมทั้งแคว้นอื่นๆ ตลอดแหลมมลายู ลงไปจนถึงหมู่เกาะ


อดีตตะโกลา 11 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 13 แว่นแคว้นในคาบสมุทรมลายูและหมู่ เกาะทั้งหมด ได้รวมเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน รู้จักในชื่อ “อาณาจักรศรี วิชัย” อาณาจักรศรีวิชัย มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ใดยังไม่มีข้อยุติ แต่เชื่อ ว่าคงอยู่บริเวณเมืองไชยา เพราะมีหลักฐานศิลปะสมัยศรีวิชัยปรากฏอยู่ ค่อนข้างชัดเจน แต่นักโบราณคดีบางท่านเห็นว่า ศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัย อยู่เมืองปาเลมบัง ในเกาะสุมาตรา อย่างไรก็ตามอาณาจักรศรีวิชัย เป็น อาณาจักรทางด้านการเมืองและการปกครองที่มั่นคง มีอาณาเขตกว้างขวาง ใหญ่โตครอบคลุมหมู่เกาะต่างๆ และคาบสมุทรมลายูทางตอนใต้ถึงเมืองไชยา ศรีวิชัย คงเป็นคนกลางในการค้า โดยท าหน้าที่ดูแลควบคุมการขนถ่ายสินค้า จัดการเดินเรือเสียใหม่ให้ผ่านช่องแคบมะละกา เชื่อมโยงเส้นทางการเดินเรือ จากมหาสมุทรอินเดีย (ทางตะวันตก) กับทะเลจีน (ทางตะวันออก) เส้นทาง เดินเรือผ่านช่องแคบมะละกามีความสะดวกมากกว่าการขนถ่ายสินค้าข้าม คาบสมุทร ผลการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้าครั้งนี้ ท าให้คนกลางศรีวิชัย มีความมั่งคั่งมาก ขึ้น เป็นการผูกขาด การค้าทางทะเล จนกระทั่งกลายเป็น มหาอ านาจทาง ทะเลในแถบนี้ เมืองตะโกลาสมัย นั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้น อีกครั้ง แนวคิดสังเขปของโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน พระครูอินทปัญญาจารย์ พ.ศ. 2493


อดีตตะโกลา 12 ตะกั่วป่าปัจจุบัน รายงานเบื้องต้นการขุดค้น-ขุดแต่งโบราณสถานเขาพระนารายณ์ จังหวัดพังงา


อดีตตะโกลา 13 ตะกั่วป่าปัจจุบัน หนึ่งในความควบคุมดูแลของศรีวิชัย โดยท าหน้าที่เป็นเมืองพักเรือ สินค้า และศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า ก่อนที่จะส่งไปยังตะวันออกคือจีน โดยผ่าช่องแคบมะละกา หรือส่งต่อไปยังตะวันตก คือ อินเดีย อาหรับ เป็น ต้น ในราวพุทธศตวรรษที่ 16 พวกทมิฬโจฬะอินเดียตอนใต้เริ่มมีความ ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ทางการค้ากับศรีวิชัย จึงส่งกองทัพเข้าโจมตีดินแดน ต่างๆ ของศรีวิชัยในคาบสมุทรมลายู และสามารถเข้าครอบครองอ านาจแทน ศรีวิชัยไว้ทั้งหมด ตามหลักฐานในศิลาจารึกของพระเจ้าราเชนทร์โจฬะที่ 1 ดังกล่าวมาแล้ว เมืองตะโกลาถูกกองทัพของพระเจ้าราเชนทร์โจฬะเข้าโจมตี ในราว พ.ศ. 1568 ท าให้ผู้คนในเมืองอพยพหนีภัยทิ้งเมืองจนกลายเป็นเมือง ร้างในสมัยนี้เอง ตะกั่วป่าสมัยนครศรีธรรมราช ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ดินแดนทางตอนใต้ของประเทศ ไทย หรือคาบสมุทรมลายู ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกทมิฬโจฬะมาตลอด พวกทมิฬได้ใช้เมืองนครศรีธรรมราช (ที่จริงสมัยนั้นเรียก ตามพรลิงค์หรือศรี ธรรมโศก) เป็นศูนย์กลางการปกครองและขนส่งสินค้าในภูมิภาคนี้แทนศรีวิชัย จึงท าให้นครศรีธรรมราชมีความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งทางด้านเศรษฐกิจและมี อ านาจทางการเมืองการปกครอง จนกระทั่งในศตวรรษที่ 18 พระเจ้าจันทร ภานุ (พระเจ้าศรีธรรมโศก) ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ แยกตัวออกมาจาก อ านาจการปกครองของพวกทมิฬโจฬะ พร้อมกับเข้าครองครองดินแดนต่างๆ ในคาบสมุทรมลายูทั้งหมดแทนพวกทมิฬโจฬะอีกด้วย


อดีตตะโกลา 14 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 18 นี้เองปรากฏว่า มีการเกิดเมืองขึ้นอีกในบริเวณลุ่มแม่น้ า ตะกั่วป่า สันนิษฐานว่า เมืองตะกั่วป่าเกิดขึ้นในช่วงนี้เอง เมืองที่เกิดขึ้นใหม่นี้ เริ่มด้วยการที่คนไทยพื้นเมือง ได้เข้าไปขุดหาแร่ดีบุก ในแหล่งที่มีแร่ดีบุกอุดม สมบูรณ์ จนกลายเป็นชุมชนใหญ่ขึ้นและพัฒนามาเป็นเมืองในเวลาต่อมา ชุมชน ขุดหาแร่ดีบุกลักษณะนี้ นอกจากจะเกิดขึ้นในตะกั่วป่าแล้ว ยังเกิดขึ้นในบริเวณ อื่นที่มีแร่ดีบุกอุดมสมบูรณ์อีกหลายแห่ง เช่น ตะกั่วทุ่ง ถลาง กระบุรี เป็นต้น เมืองที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ อยู่ในความปกครองของนครศรีธรรมราชในรูปเมือง 12 นักษัตร ดังกล่าวไว้ในต านานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชว่า เมือง 12 นักษัตร ได้แก่ 1. เมืองสาย (สายบุรี) ถือตรา หนู 2. เมืองตานี (ปัตตานี) ถือตรา วัว 3. เมืองกลันตัน ถือตรา เสือ 4. เมืองปาหัง ถือตรา กระต่าย 5. เมืองไทร (ไทรบุรี) ถือตรา งูใหญ่ 6. เมืองพัทลุง ถือตรา งูเล็ก 7. เมืองตรัง ถือตรา ม้า 8. เมืองชุมพร ถือตรา แพะ 9. เมืองบันท้ายสมอ (กระบี่) ถือตรา ลิง 10. เมืองสระอุเลา ถือตรา ไก่ 11. เมืองตะกั่วป่า ถือตรา หมา 12. เมืองกระ (กระบุรี) ถือตรา หมู


อดีตตะโกลา 15 ตะกั่วป่าปัจจุบัน เมือง 12 นักษัตร อาณาจักรตามพรลิงค์ เมื่ออาณาจักรสุโขทัยมีอ านาจมากขึ้น ได้ขยายอาณาจักรครอบครอง แหลมมลายู เมืองนครศรีธรรมราช และอาณาจักรตามพรลิงค์ทั้งหมดก็ ขึ้นกับอาณาจักรสุโขทัย มีสันนิษฐานว่า เมื่อพ่อขุนรามค าแหง ได้ประดิษฐ์ อักษรไทยขึ้น การใช้ชื่อเมืองต่างๆ เป็นภาษาไทยมากขึ้น ค าว่า ตะกั่วป่า ก็ น่าจะใช้เรียกชื่อเมือง “ตักโกลา” มาแต่สมัยนั้น อย่างไรก็ตามมีผู้สันนิษฐาน ว่า ค าว่า “ตะกั่วป่า” อาจมาจากค าว่า “ตะกั่ว” หมายถึงแร่ดีบุก ซึ่งมีจ านวน มาในเมืองนี้ เมื่ออาณาจักรตามพรลิงค์เสื่อมลง เปลี่ยนมาเป็นอาณาจักรศิริธรรม นคร มีกษัตริย์ราชวงศ์ปัทมวงศ์ปกครองตามต านานพระบรมธาตุกล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภานุได้เกณฑ์ผู้คนจากเมืองบริวาร มาสร้าง พระบรมธาตุเจดีย์ ชาวเมืองตะกั่ว-ถลาง ก็ได้มาร่วมสร้างด้วย


อดีตตะโกลา 16 ตะกั่วป่าปัจจุบัน เมืองตะกั่ว-ถลาง มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะแร่ดีบุก ซึ่งเป็นโลหะส าคัญที่ใช้หล่อ ผสมเป็นโครงสร้างยอดเจดีย์ และการหล่อเทวรูป พระพุทธรูป ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารจ านวนมาก มีการจัดส่งแร่ดีบุก จากเมือง ตะกั่วป่าไปยังเมืองนครศรีธรรมราชด้วย เมื่ออาณาจักรสุโขทัยอ่อนแอลง บรรดาหัวเมืองต่างๆ ในแผ่นดินสยาม ก็มาอยู่ในอ านาจการปกครองของอาณาจักรอยุธยา เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่ง เป็นหัวเมืองพระยามหานคร ท าหน้าที่ดูแลเมืองบริวารให้ขึ้นตรงต่อกรุงศรี อยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พระเพทราชา ได้ฟื้นฟูหัวเมืองภาคใต้ ให้ มั่นคงเป็นปึกแผ่นขึ้น เพื่อควบคุมโจรสลัดและนักแสวงโชคต่างชาติที่เข้ามาขุด แร่ดีบุก สมัยนั้นเมืองตะกั่วป่าก็ยังขึ้นตรงต่อเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยพระนเรศวรมหาราช โจรสลัดมีอ านาจ บริเวณหัวเมืองฝั่งอันดา มันได้แก่ ตะกั่วป่า ตะกั่ว-ถลาง ตลอดลงไปจนถึงเมืองไทรบุรี ได้ถูก ปราบปรามลง มีสมเด็จพระเจ้าท้ายน้ า มาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้ สร้างเมืองให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง และการค้า ในภาคใต้ สมัยพระเอกาทศรถ ปรากฏชื่อเมืองตะกั่วป่า อยู่ในกฎหมายเก่าว่า ขึ้นอยู่กับฝ่ายกลาโหม สมัยพระนารายณ์มหาราช พระโกษาธิบดี ฝ่ายกรมท่า มีความดีความชอบมาก ได้ยกหัวเมืองฝ่ายได้ให้มาขึ้นกับฝ่ายกรมท่า ปรากฏ ชื่อเมืองตะกั่วป่า เป็นหัวเมืองชั้นตรี มาจนสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยพระเจ้าท้ายสระได้แต่งตั้ง ขุนนางบรรดาศักดิ์เจ้าพระยาสิทธิ สงคราม มาเป็นเจ้าเมืองตะกั่วป่า เพื่อก ากับดูแลเส้นทางส่งช้างไปขาย ต่างประเทศ


อดีตตะโกลา 17 ตะกั่วป่าปัจจุบัน เจ้าจอมภักดี เสนาแขก (2280-2303) เจ้าเมืองไทรบุรีมาเป็นผู้ปกครอง เมืองตะกั่วป่า สมัยกรุงธนบุรี เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า หัวเมืองต่างๆ ตั้งตัวเป็น อิสระ พระปลัด (หนู) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้ประกาศตนเป็นอิสระ เรียกว่า “เจ้านครศรีธรรมราช” ได้รับการสนับสนุนจากหัวเมืองต่างๆ ในภาคใต้ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพมาตีเมืองนครศรีธรรมราช แตกแล้วให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้าพระยาสุริยวงศ์ครองเมืองนครศรีธรรมาราช สมัยนั้นปรากฏหลักฐานว่า เมืองตะกั่วป่าไม่ได้มีผลกระทบจากสงครามมากนัก มีเจ้าเมืองปกครองตลอดมา ตอนปลายสมัยกรุงธนบุรี ปรากฏเจ้าเมืองตะกั่วป่า ชื่อ “พระวิชิต” (หูหนวก) พ.ศ. 2320 เจ้าเมืองตะกั่วป่า พระยาตะกั่วป่า (ม่วง) สร้างวัดหน้าเมือง


อดีตตะโกลา 18 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ชื่อ “ตะกั่วป่า” มีความเป็นมาอย่างไร ชื่อ “ตะกั่วป่า” มีความเป็นมาอย่างไร ยังไม่มีข้อยุติ ยังไม่มีหลักฐาน ยืนยันว่า มีความเป็นมาอย่างไร เพียงแต่มีนักประวัติศาสตร์และนัก โบราณคดีหลายท่าน ได้สันนิษฐานและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชื่อ “ตะกั่ว ป่า” ไว้อย่างน่ารับฟัง จึงขอสรุปแนวคิดของนักวิชาการบางท่าน ดังนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด ารงราชานุภาพ บิดาแห่ง ประวัติศาสตร์ไทย ได้กล่าวถึงประวัติของเมืองตะกั่วป่าไว้ในหนังสือสาส์น สมเด็จว่า “...เรื่องเมืองตะกั่วป่า มีปัญหาเป็นข้อต้นว่าเพราะเหตุใดจึงเรียกชื่อ ว่า “ตะกั่วป่า” ค าเป็นภาษาไทยส่อว่าไทยขนานนามนั้น เมื่อได้ปกครอง (ภายหลัง พ.ศ. 1800) แต่เอาอะไรเป็นนิมิตที่ให้เรียกว่าเมืองตะกั่วป่า จะว่า เพราะเป็นท าเลที่มีตะกั่วอยู่ในป่ามาก คู่กับเมืองตะกั่วทุ่งอันมีตะกั่วอยู่ในท้อง ทุ่งมากหรือก็เห็นว่ามิใช่ บางทีเมืองตะกั่วป่า จะมีชื่อเสียงเรียกคล้ายๆ กับ ตะกั่วป่าอยู่ก่อน เมื่อไทยลงไปปกครองเรียกชื่อนั้นเปร่งตามส าเนียงไทย จึง กลายเป็น “ตะกั่วป่า” ตามสะดวกปากก็เลยเรียกตามกันสืบมา...” พระสารสาสน์พลขันธ์ (G.E. Gerini) สันนิษฐานว่า “ตักโกลา” เป็นค า เดียวกันกับ กาฬะ (Kala) ในภาษาสันสกฤต ซึ่งหมายความว่า “ด า” เป็นชื่อ เดียวกับ Kalah ตามจดหมายเหตุอาหรับ (Abu Zaid) ซึ่งค าว่า “ตะกั่วป่า” หรือ “ตะกั่ว” กับค าว่า “ตะโก” น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า กา ละ (Kala) และน่าจะหมายถึงดีบุกซึ่งเป็นสินแร่ที่มีมากในตะกั่วป่า สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กล่าวว่า “…ชื่อ ‘ตะกั่วป่า’ น่าจะมาจากความหมายของสถานที่มีทรัพยากรทางแร่ดีบุกมาก โดยชาว ท้องถิ่นเรียกชื่อแร่ที่เป็นดีบุกหรือลักษณะบางประการคล้ายดีบุกว่า ‘ตะกั่ว’…”


อดีตตะโกลา 19 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 20 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับชื่อเมืองตะกั่วป่าดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น พอ สรุปได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก เชื่อว่า “ตะกั่วป่า” เพี้ยนมาจากค าว่า “ตะโกลา” ซึ่งเป็น ค าภาษาในอินเดีย อีกกลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า น่าจะมาจากการที่คนในท้องถิ่นเรียกแร่ ดีบุกที่ถลุงแล้วว่า “ตะกั่ว” ผสมกับค าว่า ป่า คือตะกั่ว (ดีบุก) ที่อยู่ในป่า ซึ่งคู่กับอีกเมืองหนึ่งคือ ตะกั่วทุ่ง หมายถึง ตะกั่ว (ดีบุก) ที่อยู่ในท้องทุ่ง เพราะเป็นค าภาษาไทย อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาชุมชนโบราณตะกั่วป่าจากแหล่งโบราณคดี บ้านทุ่งตึก (ปลายคลองเหมืองทอง) ซึ่งเป็นชุมชนชาวอินเดียที่อพยพเข้ามาเมื่อ ประมาณ 2,000 กว่าปีมาแล้ว ต่อมาได้พัฒนาเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางค้าขาย เป็นที่รู้จักกันดีของ ชนหลายเชื้อชาติในนามของเมืองท่า “ตะโกลา” เมืองตะโกลาแห่งนี้ถูกพวก โจฬะทมิฬ เข้าโจมตีเสียหายยับเยิน ผู้คนอพยพทิ้งเมืองไปจนกลายเป็นเมือง ร้าง จนกระทั่งในราวพุทธศตวรรษที่ 16 เข้าใจว่าชื่อเมืองตะโกลาคงหายไป พร้อมกับเมืองที่ร้าง จนกระทั่งในรางพุทธศตวรรษที่ 18 จึงเกิดชุมชนใหม่ขึ้น ในในบริเวณลุ่มแม่น้ าตะกั่วป่าอีกครั้ง เป็นชุมชนของคนพื้นเมืองที่เป็นคนไทย เป็นชุมชนขุดหาแร่ดีบุก ชุมชนลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายแห่งในบริเวณที่มีแร่ดีบุก อุดมสมบูรณ์ เช่น เมืองตะกั่วทุ่ง (ที่ท้ายเหมือง) เมืองถลาง (ที่อ าเภอถลาง ภูเก็ต) การเรียกชื่อชุมชน (เมือง) เหล่านี้ก็เรียกตามชื่อแร่ดีบุกที่คนในท้องถิ่น เรียกว่า “ตะกั่ว” ซึ่งหมายถึงแร่ดีบุกที่ถลุงแล้ว เช่น ตะกั่วป่า (คือดีบุก) ใน ป่า ตะกั่วทุ่ง (คือดีบุก) ในท้องทุ่ง ตะกั่วถลาง (คือดีบุก) ที่ถลาง เป็นต้น จึง น่าจะเป็นไปได้ว่าชื่อ ตะกั่วป่า คงมาจากการเรียกชื่อแร่ดีบุก ที่คนในท้องถิ่น เรียกกัน และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับ “ตะโกลา” แต่อย่างใด


อดีตตะโกลา 21 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 1 สมัยราชวงศ์จักรี เจ้าพระยาธิราชวงศา ซึ่งเป็น อัครเสนาบดีของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เป็นผู้ส าเร็จราชการหัว เมืองฝั่งตะวันตกของภาคใต้ทั้ง 8 เมือง ได้แก่ ถลาง ตะกั่วทุ่ง พังงา ภูเก็ต ตะกั่วป่า เกาะระ คุระ และคุรอด ต่อมาได้ฆ่าตัวตายตาม สมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช เมืองตะกั่วป่าขณะนั้น ตั้งอยู่ที่บ้านต าตัว ได้มีการแต่งตั้ง พระยาทุกราชผู้รั้งต าแหน่งเจ้าเมืองถลาง เป็นผู้ส าเร็จราชการหัวเมืองทั้ง 8 เหตุการณ์ในครั้งสงคราม 9 ทัพ สงคราม 9 ทัพ เป็นสงครามครั้งใหญ่ที่พม่ายกกองทัพมาตีไทยถึง 9 ทัพ ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะกองทัพพม่าที่ยกมาตีหัวเมืองทางปักษ์ใต้ และโดย เฉพาะที่เกี่ยวกับเมืองตะกั่วป่าเป็นส าคัญ กล่าวคือในปี พ.ศ. 2328 (รัชกาล ที่ 1 ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ. 2325) พระเจ้าปะดุง กษัตริย์พม่าได้ทราบถึงการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่และ การย้ายราชธานีของไทย เห็นว่าเป็นโอกาสดี จึงด าริที่จะยกทัพมาตีไทยเพื่อ หวังจะได้เป็นเมืองประเทศราช ในพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถ์เลขาได้กล่าว ไว้ว่า “ในปีมะเส็ง สัปตศกนั้น (พระเจ้าปะดุง) ให้เกณฑ์กองทัพพม่ามอญเม็ง ทวายยะไข่กะแซลาวและเงี้ยว เป็นคนหลายหมื่นหลายทัพ ให้เนมโยคุงนรัด เป็นมาทัพกองหน้า กับนัดมิแลหนึ่ง แบตองจาหนึ่ง ปเลิงโบ่หนึ่ง นัดจักกีโป่ หนึ่ง ถือพลสองพันห้าร้อยเป็นทัพบกยกมาทางเมืองมะริด มาตีเมืองชุมพรเม ทองไชยา ให้เกงหวุ่นแมงยีถือพลสี่พันห้าร้อย เป็นแม่ทัพยกหนุนมาทางหนึ่ง แล้วเกณฑ์ทัพเรือให้ญี่หวุ่นเป็นแม่ทัพกับบาวาเชียงหนึ่ง แวงยิงเดชะหนึ่ง บอ กินยอหนึ่ง ถือพลสามพันยกมาตีเมืองถลาง ให้เกงหวุ่นแมงยีเป็นโบซุก บังคับ ทั้งทัพบกทัพเรือและทางทวายหวุ่นเจ้าเมืองทวาย เป็นแม่ทัพหน้ากับจิกแก ปลัดเมืองทวายหนึ่ง มณีจอช่องหนึ่ง สีหแยจอช่องหนึ่ง เบยะโบ่หนึ่ง เบยะโบ่ หนึ่ง ถือพลสามพันยกมาทางด่านจ้าวขว้าว ฝ่ายกองทัพพม่าซึ่งพระเจ้าอัง วะยกลงไปตีหัวเมืองไทยฝ่ายตะวันตกตามชายทะเลนั้น ก็ยกทัพบกเรือลงมา


อดีตตะโกลา 22 ตะกั่วป่าปัจจุบัน พร้อมทัพอยู่ ณ เมืองมะริดแต่ ณ เดือนอ้าย เกงหวุ่นแมงยีแม่ทัพใหญ่ จึงให้ ญี่หวุ่นเป็นนายทัพพลสามพัน กับนายทัพนายกองทั้งปวง ยกทัพเรือไปทาง ทะเลลงไปตีเมืองถลาง แล้วให้เนมโยคุงนรัดเป็นนายทัพหน้า กับนายทัพนายก องทั้งปวง ถือพลสองพันห้าร้อยยกทัพบกมาทางเมืองกระ เมืองระนอง เข้าตี เมืองชุมพร ตัวเกงหวุ่นแมงยีแม่ทัพใหญ่ถือพลสี่พันห้าร้อยยกหนนมา ทั้งสอง ทัพเป็นคนเจ็ดพัน และทัพหน้ายกเข้าถึงเมืองชุมพร เจ้าเมืองกรมการมีก าลังพล ส าหรับเมืองนั้นน้อยเห็นจะต่อรบมิได้ ก็เทครัวหนีเข้าป่า ทัพพม่าเข้าเผาเมือง ชุมพรเสีย แล้วกองหน้าก็ยกล่วง ออกไปตีเมืองไชยา แม่ทัพตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชุมพร เจ้าเมืองกรมการเมืองไชยาได้แจ้งข่าวว่า เมืองชุมพรเสียแล้ว ก็ มิได้ตั้งสู้รบ ยกครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น พม่าเข้าเผาเมืองไชยาแล้วก็ยกล่วงออกไปตี เมืองนครศรีธรรมราช” ในการศึกครั้งนั้น ทัพ พม่าตีได้เมืองกะ เมือง ระนอง เมืองชุมพร เมืองไช ยา เมืองนครศรีธรรมราช และคิดจะไปตีเมืองพัทลุง และเมืองสงขลาต่อไป แต่ เมื่อทราบข่าวว่าทัพหลวง ทางกรุงเทพฯ ได้ยกลงมา เกงหวุ่นแมงยีแม่ทัพพม่า จึง ให้เนมคุงนรัดนายทัพหน้า ยกกองทัพเข้าต่อสู้กับทัพ หลวงที่เมืองไชยา แต่สู้ไม่ได้ ก็แตกทัพกลับไป ฝ่ายญี่หวุ่นแม่ทัพเรือ พม่า ก็ยกทัพเรือไปตีเมือง ตะกั่วป่า และเมืองตะกั่วทุ่ง แตกแล้ว ยกทัพต่อไปถึง เมืองถลางให้พลทหารขึ้นบก แผนที่การเดินทัพทั้ง 9 ของพม่า (ชาดา นนทวัฒน์)


อดีตตะโกลา 23 ตะกั่วป่าปัจจุบัน เข้าตั้งค่ายล้อมเมืองถลางไว้เป็นหลายค่าย “ในขณะเมื่อศึกพม่าไปถึงเมืองนั้น พระยาถลางถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้ว ยังหาได้ตั้งเจ้าเมืองใหม่ไม่ และภรรยา ถลางกับน้องสาวคนหนึ่งคิดอ่านกับกรมการทั้งปวง เกณฑ์ไพร่พลตั้งค่ายใหญ่ สองค่ายป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถ ตัวภรรยาถลางและน้องสาวนั้นองอาจ กล้าหาญ มิได้เกรงกลัวย่อท้อต่อข้าศึก เกณฑ์กรมการกับพลทหารทั้งชายหญิง ออกระดมยิงปืนใหญ่น้อย นอกค่ายสู้รบกับพม่าทุกวัน ทัพพม่าจะหักเอาเมือง มิได้ แต่สู้รบกันอยู่ประมาณเดือนเศษ พม่าขัดเสบียงอาหารลงเห็นจะเอาเมือง มิได้ ก็เลิกทัพลงเรือกลับไป” ในขณะที่เมืองตะกั่วป่าเสียแก่พม่าในปีจุลศักราช 1147 พ.ศ.2328 นั้น เจ้าเมืองตะกั่วป่าในสมัยนั้นคือ หลวงตะกั่วป่า (จีน) ซึ่งเพิ่งจะย้ายเมืองมา ตั้งอยู่ที่ “บ้านตะกั่วป่า” (ปัจจุบันคือบ้านตะกั่วป่า ตรงหัวสะพานท่านเจ้าฟ้า หมู่ที่ 8 ต าบลโคกเคียน อ าเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา) ผู้คนทิ้งเมืองหนีพม่า เข้าป่าขึ้นไปตามล าแม่น้ าตะกั่วป่า ไปอยู่ในบริเวณต าบลรมณีย์ อ าเภอกะปงใน ปัจจุบัน ในครั้งนั้นทัพเรือพม่าที่ยกติดตามไปจนถึงเขาพระนารายณ์ (ต าบลเหล อ าเภอกะปง) พบเทวรูปพระนารายณ์และเทพบริวารอีก 2 องค์ ตั้ง ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา ต้องการจะน ากลับไปเมืองพม่า จึงให้ทหารขนย้าย ลงมา แต่เกิดเหตุฝนตกหนัก มีพายุลมแรง น้ าท่วม พม่าน าเทวรูปไปไม่ได้จึง ยกมาตั้งผิงต้นตะแบกไว้ตรงฝั่งตรงกันข้ามกับเขาพระนารายณ์


อดีตตะโกลา 24 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 2 สงครามกับพม่า ส าหรับเมืองตะกั่วป่า หลังจากเสียเมืองแก่พม่าในปี พ.ศ. 2328 (ศึก 9 ทัพ) ราษฎรต่างพากันหนีพม่าไปอยู่ตามเขา ในครั้งนั้น เมืองตะกั่วป่าเสียหายไม่มากนัก พม่าเพียงแต่เก็บกวาดทรัพย์สมบัติและจับ ผู้คนไปเป็นเชลยเท่านั้น มิได้เผาผลาญบ้านเรือน ครั้นเมื่อพม่ายกทัพกลับไป เหตุการณ์สงบลง ราษฎรก็กลับเข้ามาท าหากินดังเดิม เจ้าเมืองตะกั่วป่าหลัง ศึก 9 ทัพ ก็เป็นหลวงณรงค์ (บุตรพระยาประสิทธิสงคราม) ต่อมาเป็นพระ ยาตะกั่วป่า (เทศ) พระยาตะกั่วป่า (เกษ) พระยาตะกั่วป่า (อดีตพรอินท รักษา) พระยาตะกั่วป่า (ม่วง) พระยาตะกั่วป่า (อุ หรือพระยศภักดี) แต่ไม่ สามารถบอกได้ว่าเจ้าเมืองตะกั่วป่าแต่ละคนอยู่ในต าแหน่งในช่วงระยะเวลา ใดบ้าง เมืองตะกั่วป่ายังคงตั้งอยู่ที่บ้านตะกั่วป่าดังเดิม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2352 ไทยได้มีการเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นรัชกาลที่ 2 พระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่า ซึ่งปราชัยเมื่อครั้งศึก 9 ทัพ ในปี พ.ศ. 2328- 2329 ในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น ยังความอัปยศอดสูให้เกิดขึ้นต่อพระองค์ และ ทรงอับอายขายหน้าต่อเมืองประเทศราชทั้งหลาย ได้คิดแก้แค้นพยายามยก ทัพมาตีไทยหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความส าเร็จ จึงรั้งรออยู่ ครั้นได้ทราบ ข่าวว่าไทยผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 2 (8 กันยายน พ.ศ. 2352) เห็นเป็นโอกาสจึง รีบเร่งยกทัพมาตีไทยเพื่อล้างอาย โดยให้ อะเติงหวุ่น เป็นแม่ทัพคุมพล 10.000 คน มาตีหัวเมืองฝั่งตะวันตกตั้งแต่วันแรม 13 ค่ า เดือน 10 ปีมะเส็ง เอกศก จุลศักราช 1171 พ.ศ. 2352 นั้นอง พม่าตีได้เมืองชุมพรลงมา ถึง เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่งและเมืองถลาง เจ้าเมืองตะกั่วป่าในสมัยนั้นน่าจะ เป็นพระยาตะกั่วป่า (ม่วง) หรือพระยาตะกั่วป่า (อู) เมื่อทราบข่าวว่าพม่ายก


อดีตตะโกลา 25 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ทัพมา เห็นว่าไม่มีก าลังจะต่อสู้ได้ จึงได้อพยพราษฎรหนีเช้าป่าไปเสียก่อนแล้ว มิได้คิดต่อสู้กับพม่าแต่อย่างใด พม่าจึงเข้ายึดทรัพย์สินและเผาบ้านเรือนราษฎร ได้รับความเสียหายอย่างยับเยิน จนกลายเป็นเมืองร้าง ราษฎรชาวเมืองตะกั่ว ป่า บางกลุ่มหนีไปถึงปากแม่น้ ากราภูงา (แม่พังงา) สมทบกับราษฎรที่อพยพ หนีพม่ามาจากเมืองถลาง จนเป็นชุมชนใหญ่กลายเป็นพังงาในเวลาต่อมา จากค าให้การของเชลยพม่าที่ไทยจับได้ในการศึกครั้งนั้น พอสรุป ใจความว่า “วันแรม 13 ค่ า เดือน 10 ปีมะเส็ง เอกศก จุลศักราช 1171 (พ.ศ. 2352) อะเติงหวุ่น (Atogn*Wun) คุมพลรวม 10,000 คน ปืนหลัก 200 ปืน คาบศิลา 3,500 ปืนหน้าเรือกระสุน 3 นิ้ว 20 เรือ 230 ล า ให้ยกไปตีเมือง ถลาง ครั้นถึงเมืองตะกั่วป่า ชาวเมืองแตกหนีไปแล้ว พม่ายึดได้ปืนหลัก กระสุน 3 นิ้ว 13 กระสุน 4 นิ้ว 2 ปืนคาบศิลา 9 ข้าวเปลือกประมาณ 2,000 สัด เข้า ตีบ้านนาเตย ได้ปืนหลัก กระสุน 3 นิ้ว 20 กระสุน 4 นิ้ว 5 ปืนคาบศิลา 13 ข้าวเปลือก 3,000 สัด ยกไปถึงบ้านสาคู รบกับกองตระเวนของไทยครู่หนึ่ง ไทยถอยไปเข้าค่ายบ้านตะเคียน กองทัพพม่าตั้งค่าย 25 ค่าย ล้อมอยู่ 7 วัน ถึงเดือน 12 ขึ้น 12 ค่ า ปีมะเส็ง เอกศก จุลศักราช 1171 พ.ศ. 2352 เวลา กลางคืน พม่าโจมตีเมืองถลาง พม่าถูกปืนใหญ่ตายประมาณ 500 คน และ บาดเจ็บเป็นอันมาก” พม่าจึงถอยทัพกลับขึ้นไปตั้งอยู่ที่ปากจั่น เป็นเวลา 1 เดือนเศษ พระยา ถลางเห็นว่าพม่าเลิกทัพกลับไป จึงอนุญาตให้ทหารกลับไปเหลือไว้เท่าที่รักษา ป้อมค่ายตามความจ าเป็นเท่านั้น ฝ่ายพม่าเห็นว่าทัพพระยาถลางให้คนกลับไป อะเติงหวุ่น จึงแต่งตั้งให้งะซ่าน คุมทัพก าลังพล 8,000 คน เข้าตีเมืองชุมพร ท าให้ทหารพม่าบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจ านวนมาก เหลือพลแค่ 6,000 คน รวม กับทัพของงะซ่านมีก าลังพลถึง 12,000 คน กลับมาตีเมืองถลางอีกครั้ง กองทัพ พม่าตั้งล้อมเมืองถลาง อยู่ 20 วัน ครั้นถึงวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2352 กองทัพพม่าพร้อมกันเข้าตีเมืองถลางแตก ยึดได้ปืนใหญ่กระสุน 3-4 นิ้ว 84


อดีตตะโกลา 26 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อพระยศภักดีถึงแก่กรรม ทรงโปรดเกล้าให้พระยาเสนานุชิต (นุช) ปลัด เมืองพังงาเป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เหมือนเมือง พังงา เจ้าเมืองตะกั่วป่าได้สร้างก าแพงเมืองขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2386 พ.ศ. 2390 สร้างวัดใหม่ (วัดเสนานุชรังสรรค์) เจ้าเมืองตะกั่วป่าพระยาเสนานุชิต (นุช) ได้ลงทุนสร้างเรือกลไฟ ร่วมกับพระยาวิชิตสงครามเจ้าเมืองภูเก็ต เพื่อค้าขายทางทะเลและ ปราบปรามโจรสลัด นอกจากนั้นยังมีการสร้างอาคารบ้านเรือนบริเวณถนนอุดมธาราและ ถนนศรีตะกั่วป่า ในสมัยนั้น มีชาวจีนอพยพเข้ามาเป็นกรรมกรท าเหมืองแร่จ านวนมาก มีกบฏ อั้งยี่ ยกพวกตีกันระหว่างพวกจีนตลาดเหนือกับตลาดใต้ กระบอก ปืนหลัก 21 ปืนคาบศิลา 50 ดีบุก 3,000 ปีก และจับตัวพระยา ถลาง (พระยาเพชรคีรีศรีพิชัยสงครามรามค าแหง (เทียน) ) และครอบครัว โดยไม่มีใครทราบชะตากรรมตั้งแต่บัดนั้น ตลอดจนกรมการเมืองรวมทั้งผู้คน เป็นเชลยส่งไปพม่า บางแห่งว่าพม่าได้เผาเชลยที่จับได้ทั้งหมดที่บ้านป่าคลอก ส่วนชาวถลางที่หนีรอดได้ข้ามไปอยู่ตามเกาะต่างๆ แต่ส่วนใหญ่หนีไปตั้ง บ้านเรือนที่ปากน้ ากราภูงา (แม่น้ าพังงา) จนกลายเป็นเมืองพังงาในเวลาต่อมา


อดีตตะโกลา 27 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2404 เมืองตะกั่วป่าได้รับการยกฐานะเป็นเมืองโท ปกครองเมือง ตะกั่วทุ่ง ถลางและภูเก็ต ในสมัยที่ได้จัดอันดับความส าคัญในเมืองภาคใต้ ไว้ ดังนี้ นครศรีธรรมราช เมืองตะกั่วป่า เมืองภูเก็ต เมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองหลังสวน และเมืองกาญจนดิษฐ์ พ.ศ. 2412 โปรดเกล้าให้เมืองถลาง ซึ่งเคยขึ้นอยู่กับเมืองตะกั่วป่ามา ขึ้นอยู่กับเมืองภูเก็ต พระยาเสนานุชิต (เอี่ยม) เป็นเจ้าเมืองตะกั่วป่า ค้างค่าภาษีเหมืองแร่ และไม่ค่อยบ ารุงรักษาบ้านเมือง จึงถูกเรียกตัวไปรับราชการที่เมืองหลวง โดยแต่งตั้งให้พระนรเทพภักดีศรีราช (สิทธิหรือจ้ง) เป็นผู้รั้งเมือง


อดีตตะโกลา 28 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 5 ได้ปฏิรูปการปกครองหัวเมืองต่างๆ ทรงยกเลิก การปกครองแบบจตุสดมภ์และต าแหน่งสมุหกลาโหม ก าหนดให้มีการปกครอง เป็น 12 กระทรวง บริหารงานภายใต้พระนครมีเสนาบดีดูแลกระทรวงต่างๆ ในส่วนภูมิภาคก าหนดให้มีการปกครองท้องถิ่นภายใต้การดูแลของ กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เสนาบดี มณฑล / เทศาภิบาล สมุหเทศาภิบาล เมือง ผู้ว่าราชการเมือง อ าเภอ นายอ าเภอ ต าบล ก านัน หมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน พ.ศ. 2435 ได้มีการยกเลิกระบบกินเมือง คือการตั้งเจ้าเมืองไปประมูล ภาษีส่งส่วนกลาง และได้จัดตั้งมณฑลภูเก็ตขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2437 ก าหนดให้หัว เมืองชายฝั่งตะวันตกทั้ง 6 เมือง เปลี่ยนฐานะเป็นจังหวัดคือ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และตะกั่วป่า มีพระยาทิพยโกศาเป็นเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต พ.ศ. 2444 พระพลยุทธสงคราม (พลอย ณ นคร) ได้ย้ายเมื องตะกั่ว ป่าจากบริเวณถนนอุดมธารา ไปตั้งเมืองใหม่ที่ต าบลเกาะคอเขา พ.ศ. 2455 มณฑลภูเก็ต ได้จัดการปกครองท้องที่หัวเมืองไว้ ดังนี้ เมืองพังงา มี 4 อ าเภอ 34 ต าบล 1. อ าเภอกลางเมือง มี 12 ต าบล ได้แก่ ท้ายช้าง ตลาดใหญ่ ฝ่าย ท่า ตากแดด นบปริง ป่าก่อ ทับแหวน เหล่ (สองแพรก) ทุ่งคาโงก บางเตย เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ 2. อ าเภอทุ่งมะพร้าว มี 6 ต าบล ได้แก่ ทุ่งมะพร้าว ล าภี ล าแก่น ท่าซอ นาเตย และบางคลี


อดีตตะโกลา 29 ตะกั่วป่าปัจจุบัน 3. อ าเภอทับปุด มี 7 ต าบล ได้แก่ เขาเต่า โคกซวย ไสเสียด มะรุ่ย บ่อแสน ถ้ าทองหลาง และบางเหรียง 4. อ าเภอตะกั่วทุ่งมี 8 ต าบล ได้แก่ กระโสม ถ้ ากระไหล ท่าอยู่ นา กลาง โคกกลอย บางหลาม คลองเคียน และบางทอง


อดีตตะโกลา 30 ตะกั่วป่าปัจจุบัน การเสด็จประพาสเมืองตะกั่วป่า ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จ ประพาสเมืองตะกั่วป่า ในวันอาทิตย์ ขึ้น 9 ค่ า เดือน 6 รัตนโกสินทร์ศก 109 ตรงกับวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2433 ถึงวันพุธ ขึ้น 12 ค่ า เดือน 6 รัตนโกสินทร์ศก 109 ตรงกับวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2433 โดยทางเรือ เมืองตะกั่วป่าสมัยนั้นตั้งอยู่ตลาดใหญ่ (ตลาดเก่า) ถนนอุดมธารา ในเขต เทศบาลเมืองตะกั่วป่า อ าเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา พระยาเสนานุชิต (เอี่ยม ณ นคร) บุตรพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น กล่าว สรุปดังนี้ วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2433 ออกจากระนอง โดยเรือพระที่นั่ง อุบลบูรทิศ มาทอดสมอที่เกาะเสม็ดน้อย หน้าเกาะคอเขา เวลาประมาณเช้า 4 โมง 45 นาที เรือเวสาตรีจอดอยู่ระหว่างเกาะหนูและเกาะแมว ก่อนแล้ว ขึ้นไปดูพลับพลาที่เกาะเสม็ดน้อย กลับลงมาประทับแรมในเรืออุบลบูรทิศ เรืออุบลบุรทิศ


อดีตตะโกลา 31 ตะกั่วป่าปัจจุบัน วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2433 เช้า โมงครึ่ง ลงเรือพระที่นั่งที่ทาง ตะกั่วป่าจัดมารับ ลากขึ้นไปตามแม่น้ าตะกั่วป่า (เพราะน้ าตื้น เรือใหญ่ไม่ สามารถเข้าไปได้) ผ่านวัดนิกรวราราม (วัดย่านยาว) วัดวังบร้า (วัดบางมรา) บ้านโคกเคียน ใช้เวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง จึงถึงพลับพลาที่ประทับ ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่ง ทางตะวันตกของแม่น้ าตะกั่วป่า จากฝั่งขึ้นมาประมาณ 50 เมตร (ปัจจุบันคือ บ้านทุ่งหัวนา หมู่ที่ 2 ต าบลโคกเคียน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโรงเรียน เต้าหมิง) เวลาบ่าย 3 โมง ไปดูชนกระบือที่เกยริมค่าย บ่าย 4 โมง เสด็จโดย รถม้าจากพลับพลาไปตามถนน (ผ่านหน้าโรงเรียนเต้าหมิง โรงเรียนสทธินอ นุสรณ์ ปัจจุบัน) ถึงหน้าวัดใหม่ (วัดเสนานุชรังสรรค์) เลี้ยวซ้าย (สี่แยกหมอ พิทักษ์) ถึงสามแยกแล้วเลี้ยวขวา (หน้าบ้านซ่ามเต่) ไปจนถึงสะพาน (สะพาน ข้ามคลองปิ) กลับมาทางเดิมจนถึงบ้านพระยาเสนานุชิต (เอี่ยม ณ นคร) (จวน เจ้าเมืองตะกั่วป่า ถนนอุดมธารา) ไต่ถามเรื่องราวราชการเมือง แต่ไม่ได้รับ รายละเอียดอันใด ออกจากบ้านพระยาเสนานุชิตไปดูโรงกลวงถลุงแร่ดีบุก (ที่ จับเส) กลับมาประทับแรมที่พลับพลา เรือเวสารี


อดีตตะโกลา 32 ตะกั่วป่าปัจจุบัน วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2433 เช้ารับแขก ว่าราชการเมือง แล้วเสด็จ กลับไปถึงเรือพระที่นั่งอุบลบูรทิศ เวลาประมาณ บ่าย 2 โมง 15 นาที ประทับ แรมบนเรือ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2433 เวลา 11 ทุ่ม ออกเดินทางไปเมือง ภูเก็ต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้กล่าวถึงเมืองตะกั่วป่า ใน คราวที่เสด็จประพาสครั้งนี้พอสรุปเรื่องส าคัญๆ ได้ดังนี้ เจ้าเมืองตะกั่วป่า พระยาเสนานุชิต (เอี่ยม ณ นคร) ไม่สนใจ ไม่มี ความรู้ความสามารถในการปกครองดูแลบ้านเมือง ท าให้เมืองตะกั่วป่าเสื่อม โทรมลงอย่างมาก เมืองตะกั่วป่าเสื่อมโทรมลงมาก นอกจากเจ้าเมืองขาด ความรู้ ความสามารถแล้ว คนจีนที่ร่ ารวยอพยพไปอยู่ที่อื่นมากขึ้น เหมืองแร่ที่ ดีๆ ไม่ค่อยมีและขาดทุนทรัพย์ แม่น้ าตะกั่วป่าตื้นเขิน เรือใหญ่ไม่สามารถเข้า ออกได้ พวกชาวจีนขัดแย้งทะเลาะวิวาทกันบ่อยครั้ง บ้านเรือนในตลาดมีทั้งที่ เป็นตึกและบ้านยกเสาสูงเพื่อหนีน้ าท่วม ซึ่งเป็นทั้งของพี่น้องพระยาเสนานุชิต และของชาวจีน ช ารุดทรุดโทรมมาก ไม่ได้ซ่อมแซมบ ารุงรักษา


อดีตตะโกลา 33 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 34 ตะกั่วป่าปัจจุบัน เมืองตะกั่วป่านั้น มีพระเทพภักดีศรีราชา (สิทธิ) ท าหน้าที่แบ่งเมืองตะกั่วป่า ออกเป็น 3 อ าเภอ 22 ต าบล มีศูนย์ราชการอยู่ที่จวนเจ้าเมือง ถ. อุดมธารา 1. อ าเภอเมือง (เมืองใหม่) มี 8 ต าบล: เกาะคอเขา เกาะพระทอง คุรอด บางครั่ง บางวัน คุระ ไร่ช่อง และก าพวน 2. อ าเภอกะปง มี 5 ต าบล: กะปง ท่านา เหมาะ เหล และหลังม่า 3. อ าเภอตลาดใหญ่ มี 9 ต าบล: ตลาดเหนือ ตลาดใต้ โคกเคียน ย่าน ยาว บางม่วง บางสัก คึกคัก บางไทร และต าตัว ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเขตต าบล คงเหลือ 7 ต าบล ได้แก่ ตะกั่วป่า บางไทร ต าตัว โคก เคียน บางม่วง คึกคัก บางนายสี ปัจจุบันได้ย้าย ต าบลเกาะคอเขา มา ขึ้นกับอ าเภอตะกั่วป่า เมื่อ พ.ศ. 2531 พ.ศ. 2244 พระยาพลยุทธ สงคราม (พลอย) เป็น ผู้ส าเร็จราชการเมือง ได้ย้ายศูนย์ราชการมา ตั้งอยู่ที่บ้านเมืองใหม่ หมู่ที่ 1 ต าบลเกาะคอ เขา เพื่อสะดวกใน การค้าขายทางเรือ กรมพระยาด ารงราชานุภาพกับ งานเหมืองแร่และธรณีวิทยา มูลนิธิดิษกุล


อดีตตะโกลา 35 ตะกั่วป่าปัจจุบัน การเสด็จพระพาสเมืองตะกั่วป่า ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งยังด ารง ต าแหน่งเป็น “พระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฏราชกุมาร” ได้เสด็จประพาส เมืองตะกั่วป่า ในระหว่างวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2452 (ร.ศ 128) – วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2452 (ร.ศ 128) เมืองตะกั่วป่าสมัยนั้น ตั้งอยู่ที่เกาะคอ เขา (ปัจจุบันคือ บ้านเมืองใหม่ หมู่ที่ 1 ต าบลเกาะคอเขา อ าเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา) ในที่นี้สรุปจาก “จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ (ร.ศ 128) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ดังนี้ วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2452 (ร.ศ 128) เวลาเช้า 2 โมงเศษ ออก จากเมืองระนอง โดยเรือหลวงถลาง ซึ่งเป็นเรือพระที่นั่ง มีเรือพาลีน าหน้า ถึงหน้าเมืองตะกั่วป่าค่ า (เมืองตะกั่วป่าสมัยนั้นย้ายมาตั้งอยู่ที่เกาะคอเขาแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2444) เรือทอดสมอหน้าเมือง (อ่าวเวะ) เวลาทุ่มเศษ เสด็จขึ้น ไปจวนเจ้าเมือง ระยะทางประมาณ 40 เส้น ประทับเสวยที่จวนเจ้าเมือง แล้วเสด็จกลับลงมาพักแรมที่เรือถลาง จากจดหมายเหตุกล่าวว่า เมืองตะกั่ว ป่า ไม่สู้มีอะไรที่น่าดูนัก บ้านช่องราษฎรก็น้อย เพราะไม่ได้ตั้งอยู่บนฝั่ง แต่ เรือหลวงถลาง


อดีตตะโกลา 36 ตะกั่วป่าปัจจุบัน ตั้งอยู่ที่เกาะคอขาว (เกาะคอเขา) มาตั้งอยู่นี้เพราะเป็นท่าเรือสินค้า ขนส่ง ค่อยสะดวกกว่าเมืองเก่า ซึ่งเรือใหญ่เข้าถึงยาก เพราะทรายจากเมืองไหลลง มาท าให้น้ าตื้น บางทีในไม่ช้าจะย้ายเมืองไปตั้งที่แห่งอื่นให้เหมาะกว่าที่เกาะคอ ขาวนี้อีกก็เป็นได้ (เมืองตะกั่วป่า ได้ย้ายจากเกาะคอเขา มาตั้งใหม่ที่บ้านย่าน ยาว ใน พ.ศ. 2456) วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2452 (ร.ศ 128) เวลาเช้า 4 โมงเศษ เสด็จลง เรือด ารงรัฐ ขึ้นมาตามแม่น้ าตะกั่วป่า พอถึงที่น้ าตื้น จึงเปลี่ยนเป็นเรือมาดแจว ผ่านต าบลย่านยาว ล าน้ าตั้งแต่วังบราขึ้นมา เรือไฟเล็กก็มาไม่ได้ เพราะเป็น หาดทั้งนั้น เวลาราวบ่ายโมงถึงท่า (จับเส) เสด็จขึ้นมาพลับพลาทางประมาณ 20 เส้น ผ่านริมก าแพงบ้านเจ้าพระยาตะกั่วป่าหลังเก่า ซึ่งช ารุดทรุดโทรม หมดแล้ว ทางซ้ายมีหม้อเรือไฟอยู่หม้อหนึ่ง พ้นบ้านพระยาตะกั่วป่าไปถึงตลาด มีตึกแถวอย่างจีนอยู่สองข้างถนนช ารุดทรุดโทรมมาก พลับพลาตั้งอยู่บนยอด เขา (บนเนินเขาถนนพลับพลา หลังวัดใหม่) พักแรมที่พลับพลา เรือพาลีรั้งทวีป


อดีตตะโกลา 37 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 38 ตะกั่วป่าปัจจุบัน วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2452 (ร.ศ 128) เวลา 3 โมงเศษ เสด็จออก จากพลับพลาโดยกระบวนเก้าอี้หาม ไปยังที่พระนารายณ์ (ฝั่งตรงข้ามเขาพระ นารายณ์ หมู่ที่ 2 ต าบลเหล อ าเภอกะปง จังหวัดพังงา ปัจจุบัน) เสวย อาหารเที่ยงที่พลับพลาพักร้อน (พลับพลานี้เป็นแบบโรงนา อยู่ทางตะวันออก ของเทวรูปพระนารายณ์) พระองค์ได้กล่าวถึงเทวรูปพระนารายณ์ เทพบริวาร และศิลาจารึก (ศิลาจารึกเขาพระนารายณ์ หลักที่ 26) แต่ไม่มีรายละเอียด ขากลับเสด็จทางเรือลงมาตามแม่น้ าตะกั่วป่า คืนนี้ประทับพักแรมที่พลับ พลาอีกคืนหนึ่ง วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2452 (ร.ศ 128) เช้า รับแขก จน 4 โมงเช้า เสด็จออกจากพลับพลาลงเรือที่ท่า (จับเส) ล่องตามแม่น้ าตะกั่วป่าถึงแพรก เลี้ยวซ้ายไปยังเขาพระเหนอ เสวยเที่ยงแล้วเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรเทวรู ปพระนารายณ์ (พระเหนอ) บนเขาพระเหนอ จากเขาพระเหนอเสด็จลงเรือไป ทอดพระเนตรทุ่งตึกซึ่งอยู่ในเกาะคอเขา (เมืองโบราณทุ่งตึก บ้านทุ่งตึก หมู่ที่ 3 ต าบลเกาะคอเขา อ าเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา) เสด็จประทับแรมบนเรือ ถลาง (เรือถลางจอดรออยู่ที่หน้าเมืองใหม่) วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2452 (ร.ศ 128) เช้าออกเรือเสด็จไปยังเมือง ภูเก็ตต่อไป


อดีตตะโกลา 39 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 40 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 7 ทรงมีพระบรมราชโองการ ด ารัสว่ามณฑลและจังหวัดที่แบ่งเขตไว้แต่ เดิมนั้น เมื่อมีการคมนาคมสะดวกขึ้นพอที่จะรวมการปกครองได้แล้วจึง รวบรวมมณฑล 4 มณฑล และจังหวัด 9 จังหวัดเพื่อประหยัดรายจ่าย แผ่นดินลงได้บ้าง จึงให้ยกเลิกจังหวัดตะกั่วป่า รวมท้องที่เข้าไว้ในการ ปกครองของจังหวัดพังงา ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2475 ตามค าสั่งประกาศ เรื่องยุบรวมท้องที่บางมณฑลและบางจังหวัด ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 48 หน้า 476-478 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474 รวมระยะเวลาการเป็น เมืองระดับจังหวัด 39 ปี มีผู้ด ารงต าแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด 10 คน พ.ศ. 2456 พระยาศรีสกลไกรนุชิต ผู้ว่าราชการจังหวัดตะกั่วป่า ได้ ย้ายเมืองตะกั่วป่ามาอยู่ที่ต าบลย่านยาว สถานที่ปัจจุบัน เนื่องจากที่เมือง ใหม่ต าบลเกาะคอเขา เพราะเห็นว่าไม่สะดวกในการท ามาค้าขาย พ.ศ. 2470 สมเด็จกรมพระยาด ารงราชานุภาพ ได้น าพระเหนอไปเก็บ รักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงเทพ วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2481 มีการยุบอ าเภอเกาะคอเขา เป็นกิ่ง อ าเภอเกาะคอเขา มาขึ้นอยู่กับอ าเภอตะกั่วป่า


อดีตตะโกลา 41 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 42 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 43 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 44 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 45 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ เคยเสด็จประพาสเมืองตะกั่วป่าทางสถลมารค ประทับรถยนต์ พระที่นั่งจากจังหวัดระนองมาตามทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2502 โดยเสด็จข้ามแม่น้ าตะกั่วป่ามาตามถนน เสนาราช ระหว่างการเยี่ยมเยียนราษฎรได้ทรงตรัสถามผู้มาเฝ้ารับเสด็จ ว่าเทวรูปพระนารายณ์ ตั้งอยู่ที่ไหนไปอีกไกลไหม ได้เสด็จเสวยพระกระยาหารกลางวัน ณ ส านักงานเทศบาลเมือง ตะกั่วป่า สมัยนั้นขุนสมรรคชัยศรี เป็นนายอ าเภอตะกั่วป่า และนายจุติ บุญ สูง เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองตะกั่วป่า หลังจากนั้นได้เสด็จไปตาม ถนนเพชรเกษมไปยังจังหวัดภูเก็ต 1 มกราคม พ.ศ. 2508 เปลี่ยนกิ่งอ าเภอเกาะคอเขา เป็นกิ่งอ าเภอคุระบุรี 22 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ย้ายกิ่งอ าเภอคุระบุรีมาอยู่ที่ หมู่ที่ 1 ต าบลคุระ ถนนเพชรเกษม บริเวณที่ว่าการอ าเภอปัจจุบัน 8 สิงหาคม พ.ศ. 2518 จัดตั้งอ าเภอคุระบุรี พ.ศ. 2531 ย้ายต าบลเกาะคอเขา อ าเภอคุระบุรี มาขึ้นกับอ าเภอตะกั่วป่า


อดีตตะโกลา 46 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมัยรัชกาลที่ 10 สมัยด ารงต าแหน่งสมเด็จเจ้าฟ้า มหาวชิราลงกรณ์ สยาม มกุฎราชกุมาร เคยเสด็จมา ประทับ ณ ที่ท าการอ าเภอตะกั่ว ป่า เมื่อเกิดมหาภัยสึนามิ ใน วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 และได้เสด็จมาอ าเภอตะกั่วป่าอีก 2 ครั้ง


อดีตตะโกลา 47 ตะกั่วป่าปัจจุบัน สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา เคยเสด็จมา ประทับ ณ เทศบาลเมือง ตะกั่วป่าหลายครั้ง วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2531 ได้ทรงเสด็จเป็นการ ส่วนพระองค์มาที่เทศบาล เมืองตะกั่วป่า วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ได้เสด็จมาถวายพระ กฐินที่วัดศรีนิคม วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2548 พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ได้เคยเสด็จมาเสวยข้าวขาหมูที่ร้านหลกอัน ตลาด ย่านยาว วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551 ได้เสด็จมาวางศิลา ฤกษ์พระพุทธเจดีย์ที่วัดคง คาภิมุข


อดีตตะโกลา 48 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


อดีตตะโกลา 49 ตะกั่วป่าปัจจุบัน แต่เดิมเมืองตะกั่วป่าตั้งอยู่บริเวณ “ทุ่งตึก” หมู่ที่ 1 ต าบลเกาะคอ เขา ซึ่งเป็นด้านในของเกาะคอเขา บริเวณปากแม่น้ าตะกั่วป่า ต่อมาได้ย้ายมา อยู่ตอนบน บริเวณเขาพระนารายณ์ อ าเภอกะปง ที่มีคลองรมณีย์ คลองเหล และคลองกะปง มาบรรจบกับแม่น้ าตะกั่วป่า ในสมัยรัชกาลที่ 1 ปรากฏว่า เมืองได้ย้ายมาอยู่บริเวณหมู่ที่ 1 ต าบลต าตัว ใกล้กับวัดควนนิยม เมื่อพม่ายกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ครั้งแรก ผู้คนทิ้งเมืองไป จึงย้ายเมืองมาอยู่บริเวณ หมู่ที่ 3 ต าบลโคกเคียน บริเวณ ตรงข้ามวัดคงคาภิมุข ตอนต้นสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อพม่ายกกองทัพมาตีครั้งที่ 2 เมืองตะกั่ว ป่าถูกท าลายเสียหาย พระยาเสนานุชิต (นุช) จึงมีการย้ายเมืองมาอยู่บริเวณ ถนนอุดมธารา ต าบลตลาดใหญ่ ตรงข้ามกับวัดหน้าเมือง ด้วยเห็นว่ามีชัยภูมิ ที่ดี มีแม่น้ าเป็นเขตเมืองและมีท่าเรือในการขนส่งสินค้า โดยได้สร้างก าแพง รอบจวนเจ้าเมืองทั้ง 4 ด้าน เมื่อมีการส่งสินค้าขายมากขึ้น พระยาพลยุทธสงคราม (พลอย ณ นคร) จึงย้ายเมืองไปอยู่บริเวณบ้านเมืองใหม่ หมู่ที่ 1 ต าบลเกาะคอเขา เมื่อ พ.ศ. 2444 ต่อมาเห็นว่าบริเวณดังกล่าวไม่สามารถเป็นที่จอดเรือค้าขายไม่ สะดวก มีไข้ป่าชุกชุม พระยาศรีสกลไกรนุชิตจึงย้ายเมืองมาตั้งที่ต าบลย่าน ยาว สถานที่ตั้ง ที่ว่าการอ าเภอตะกั่วป่าในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2456


อดีตตะโกลา 50 ตะกั่วป่าปัจจุบัน


Click to View FlipBook Version