ถงึ พ่อผูจ้ ากไป
“พ่อคะ ตั้งแต่วนั ท่พี ่อจากฉนั ไป ฝนตกในใจฉัน
กต็ กลงมาไม่ตรงตามฤดูกาลอกี เลย แม้ว่าพักหนงึ่ ฉัน
อาจเหย่ี วเฉาและคล้ายว่าจะเน่าตายไปกับความหนาว
เหน็บของโลกใบน้ี แต่ฉันกลบั พบวา่ ฉนั เข้มแข็งกวา่ ที่
คิด ความรกั ของพ่อยงั คงอบอุ่นอยใู่ นสายเลือดที่
หล่งั ไหลหล่อเล้ียงรา่ งกายของฉัน ฉันไม่ใชด่ อกไมท้ ่ี
หนาวตายและยอมจำนนกับความเจ็บปวดง่ายขนาด
นั้น เปน็ พอ่ ตา่ งหากท่ีเปน็ พ่อพนั ธุท์ เ่ี ข้มแขง็ ทำให้ฉันได้
เป็นดอกไม้ดอกหนึง่ ที่ทะเยอทะยาน ฝ่าฟัน มทุ ะลกุ ับ
ทกุ ส่งิ แม้วา่ หวั ใจจะเปราะบางจนเกอื บแหลกสลายไป
พอ่ คะ พอ่ อยตู่ รงน้นั เปน็ อย่างไรบา้ ง ตอนแรก
ๆ ฉนั ไปสุสานทกุ วนั เพ่ือทจี่ ะเฝ้าดวู ่าความร้สู ึกของเรา
ยงั อนุ่ อยู่อกี ไหม ฉนั เฝ้ามองสุสานของพอ่ ตรงช่องว่าง
ของกำแพงกโุ บรเ์ สมอ มองไปที่หินทง้ั สองฝงั่ ของสสุ าน
อ่านชื่อและร้สู กึ เคว้งคว้างซ้ำแลว้ ซำ้ เล่า ฉันปกั ตน้
โหระพาสองกิ่งไว้ตรงส่วนศีรษะของพอ่ เพือ่ หวงั ใหม้ ัน
งอกงามดว้ ยการทุเลาความเจ็บปวดหนักหนาในหลุมฝงั
ศพ แต่ฉันหวังว่าพอ่ จะสบายดี สบายดีไหมคะพอ่ ฉนั
อย่ตู รงนี้ไม่มวี ันใดท่ไี ม่คิดถึงเลย…”
นกนอ้ ย พลดั ถ่ิน
บทที่ 1 โรคระบาด
“ผปู้ ่วยได้เสยี ชวี ิตแล้วนะคะ เวลา 08:15 น.”
เสียงปลายสายอ่อนแรงลงแต่เฉื่อยชาด้วยความเคย
ช ิ น ก ั บ ก า ร เ ส ี ยช ีว ิต ข อ ง ผ ู ้ป ่ ว ย ใ นว อ ร์ ด ต ิด เ ช ื ้ อ โ ค ว ิด - 19
ตดิ ต่อกนั มาเกอื บเขา้ ปที สี่ าม
หลงั จากนน้ั เสียงโทรศพั ท์ของแมก่ ็ดังติดตอ่ กัน
นานแสนนานจนฉันยงั คงจำเสยี งนัน้ ถึงทุกวันน้ี
พ่อเสียชีวิตในวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 ก่อนวัน
เฉลิมฉลองอีดิลอัฎฮาแค่ไม่กี่สัปดาห์ เป็นท้ายปีที่ไมร่ ่ืนเริง แต่
ฝนกลับไม่ตกลงมา เพื่อชโลมจิตใจคนที่เหลือให้สงบลง และ
ชะลา้ งความเศร้าโศกท่ฝี งั ลกึ เป็นแผลในจิตใจของเราใหห้ ายไป
ฉันเจ็บปวดมาก แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีใครสักคนบนโลกใบน้ี
ที่มีความสามารถยื้อความตายออกไปแม้แค่วินาทีเดียวก็ตาม
และก็เช่นกันที่ไม่สามารถยอ้ นเวลาเพื่อตัดสินใจใหม่ ให้พ่อไม่
ตอ้ งเขา้ รบั การรักษาในโรงพยาบาลอีก ตอนนั้นเราทุกคนต่างก็
โทษโรงพยาบาล โทษหมอว่า พ่ออาจไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรค
ดังกล่าวก็ได้ เราฟูมฟายแม้ไม่ได้วินิจฉยั แต่ก็ทึกทักอย่างแนว่
แนว่ ่าท่านอาจเปน็ โรคหัวใจหรอื หอบหืด ไม่มีใครอยากยอมรับ
โรคระบาดนน้ั จนกระทงั่ เวลาผา่ นไป ทกุ คนเข้าใจดีวา่ จะจาก
ไปด้วยโรคชนดิ ใดก็แล้วแต่ ถึงเวลาของท่านก็คงตอ้ งไป ไม่อาจ
ห้ามได้ ไม่มีใครห้ามได้เลย มนุษย์มิใช่ผู้คุมโชคชะตา พระเจ้า
ตา่ งหาก
ฉันรู้ดีว่าพ่อเป็นคนที่ไม่ชอบโรงพยาบาลมาก ด้วย
ในช่วงวัยหนุ่มเป็นนักเรียนปอเนาะ จึงถูกหล่อหลอมด้วย
ทฤษฎีสมคบคิดมากมายให้มองว่าวิทยาการทางการแพทย์
สมัยใหม่ล้วนแต่เป็นแนวคิดของยิว ซึ่งฉันก็ไม่อาจปฏิเสธได้
เชน่ กนั ว่าสิง่ เหลา่ นั้นไมม่ ีอยู่จรงิ ไปเสยี ท้ังหมด ก็น้นั แหละ ไม่
มีใครคาดการณไ์ ด้ว่าโลกนี้เตม็ ไปดว้ ยความลบั เราไม่อาจรู้แจ้ง
ในทกุ สงิ่ แมป้ ระสาทสมั ผสั ท้ังหา้ ยงั ไมบ่ กพร่องใด ๆ กต็ าม
ช่วงที่ท่านป่วยหนัก ท่านหายใจไม่ออก ต้องนอนพิง
ผนัง หรือหนุนหมอนไว้ข้างหลังให้ปอดอยู่สูงกว่าช่วงล่าง ทุก
คนหมดหนทาง แม่คิดแค่ว่าอยากจะอยู่ดูแลท่านที่บ้านใน
สภาพนี้จนกว่าพระเจ้าจะเอาชีวิตพอ่ ไป แต่ฉันมันหัวสมัยใหม่
ยังเชื่อในความพยายามที่จะรักษาพ่อให้หายจนได้ จึงได้เกล้ีย
กล่อมให้พ่อยอมไปโรงพยาบาลเถิดหนา ไปหาแพทย์ผู้ท่ี
สามารถวินิจฉัยโรคและรักษาโรคได้อย่างถูกวิธี มิใช่คาดเดา
เอาเองอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เพราะไม่มีเครื่องการันตีใด ๆ เลย
ว่าพ่อจะหายนอกจากมอบหมายต่อพระเจ้าเพียงอย่างเดยี ว
นานแสนนานราวกับกำลังเล่าเรื่องหนึ่งร้อยปีแห่ง
ความโดดเดี่ยวให้เด็กน้อยฟัง พร้อมหลอกล่อด้วยลูกอมสี
ฉูดฉาดหนึ่งเม็ด กระทั่งพบว่า เขาได้นั่งลงตรงบันไดบ้านช้ัน
สอง แล้วคอ่ ย ๆ ลงมา พอ่ เกือบจะหมดแรงแล้ว ฉนั ไมเ่ คยเห็น
ภาพนี้มาก่อนเลย ยี่สิบสองปีที่โตมากับท่านในภาพจำท่ี
แข็งแรง ดุดัน และบึกบึน แต่วันนี้ เนื้อหนังของพ่อเริ่มหด
เหีย่ วราวกบั กระซบิ อยา่ งเช่ืองชา้ ถึงคำบอกลาว่ากำลังจะสลาย
หายไปเป็นผุยผง ไม่อาจกลับมายิ้มสดใสไร้ฟัน ให้ลูก ๆ ได้
หัวเราะกันอีก และก็เป็นจริงตามนั้นในเช้าวันอาทิตย์ ที่ทุก
อยา่ งเงยี บสงัดราวกับเวลาหยุดเดนิ ไปชั่วขณะ
เรื่องราวในวันนั้น ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้ว ฉันกลับมา
โทษตัวเองตลอดเลยว่า เป็นเพราะฉันอวดหาญอยากให้พ่อ
ไดร้ ับการรกั ษาในโรงพยาบาลจงึ ทำให้พ่อต้องจากไปอย่างโดด
เดี่ยวในหอผู้ป่วยวิกฤต ฉันอยู่ปีสุดท้ายในฐานะนักศึกษา
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ประจวบเหมาะที่ต้องสะสางวิจัยส่ง
อาจารย์ จึงได้นำความรู้สึกผิดทั้งหมดไปถาโถมไว้ในงานวิจัย
เรื่อง “การตายทางการแพทย์กับการพิจารณาถอดอุปกรณ์
ช่วยพยุงชีพในผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา”
แม้ว่าพ่อไม่ได้เสียชีวิตเนื่องจากสมองตาย หรือร่างกายไม่
ตอบสนองต่อการรักษา แต่ชื่อโรคระบาดนั้นมีส่วนเกี่ยวข้อง
กบั พ่อ ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ นคี่ ือของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นเดียวที่ฉัน
สามารถตอบแทนท่านได้ ถ้าหากมันมีประโยชน์ขอให้ผลบุญ
หลง่ั ไหลสู่ท่าน แลว้ เจอกนั อีกคร้ังนะคะ ในโลกหน้า พ่อผู้ท่ีรัก
ฉันเสมอแตไ่ มร่ ้จู ะแสดงออกอยา่ งไร
“แม่คิดถึงพ่อมาก รู้สึกว่าไม่จริง ที่พ่อได้จากพวกเรา
ไปแล้ว ทำไมมนั เร็วขนาดนี้ละ่ ”
“ไม่เป็นไรแล้ว พ่อนะ อาจจะไม่ได้ร่ำรวยด้วย
ทรัพย์สินเงินทอง แต่ท่านรวยความรู้มาก สิ่งนี้จะคอยติดตาม
ท่านไปยงั หลุมฝงั ศพ ไม่เปน็ ไรหรอก”
ไม่มีถ้อยคำปลอบใจที่สามารถเยียวยาจิตใจแม่ได้
นอกจากเก็บความรู้สึกเจ็บปวดซ่อนไว้ข้างในให้ลึกที่สุด และ
ลุกขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เข้มแข็งด้วยตัวเอง ทำเป็นว่า
เข้มแขง็ กไ็ ด้ เพราะวา่ โรคซึมเศร้าสามปีทีเ่ ผชญิ กับมนั ทำให้ฉัน
ไม่ยึดติดกับความรู้สึกรังควาญใจในโลกอีกแล้ว แม้จะยังรู้สึก
ในฐานะมนุษย์ แต่มันจะไม่นำทางฉันอีกครั้งเหมือนครัง้ ทีแ่ ลว้
มา
แม่นอนไม่หลับติดต่อกันหลายคืน จนฉันพลอยหมด
พลังงานไปด้วย จึงพยายามวิ่งหาอาหารเสริมที่ช่วยในการ
นอนหลับให้แม่ทาน แต่มันก็ยังไม่ได้ผล ฉันนึกอยากจะเลิก
เชื่อใจร้านสะดวกซื้อให้ได้เสียเลย เช้าวันพรุ่งนี้แม่บอก แม่ไม่
ไหวแล้ว ขืนอยู่อย่างนี้อีก คงช็อคตาย จึงกดเบอร์โทรศัพท์หา
หน่วยแพทย์ฉุกเฉินให้มารบั แม่ดว่ น
วินาทีที่เราสองพี่น้องส่งแม่ไปยังรถพยาบาล เป็น
วินาทีที่รู้สึกหมดหวังอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาของฉันไหล
น้องสาวก็ร้องไห้ ผู้คนต่างมองเหตุการณ์ คงคิดว่าแม่ติดโควิด
ไปอีกคน ทุกคนมองเหตุการณ์นั้นอย่างใจจดใจจ่อหน้าบ้าน
ของฉนั ฉันอายมาก รสู้ ึกเหมอื นตัวเองถูกรังเกียจจากชาวบ้าน
แม้จะมีคนคิดแบบนั้นจริง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเปิด
ประตูบา้ นอีกทีในช่วงสาย กม็ หี อ่ ข้าวพะรุงพะรงั ในถุงแขวนไว้
หน้าบ้านราวกับอาหารมื้อใหญ่ เฉลิมฉลองให้กับความโดด
เดยี่ วทีแ่ ท้จรงิ ในปี 2564 นี้
แม่ไม่มโี รค แค่เป็นแพนิกและมีภาวะซึมเศร้าหลังเจอ
เหตุการณส์ ะเทือนใจ ยาเม็ดเล็กเรียงรายในถุงยา มีช่ือแม่ด้วย
หมอบอกใหท้ านก่อนนอน ฉันรจู้ กั ยานั้น มนั คลายกงั วล ลอรา
ซิแพมไงแม่ ฉันจำชื่อยาขึ้นใจเพราะกินมันหมดไปแล้วไม่รู้กี่
แผง ก่อนหน้านี้ ฉันเคยสนิทกับมันมาก่อน แต่ดีนะที่หยุดได้
ฉันไม่อยากพึ่งยาอีกแล้ว ฉันรู้ดีว่าสาเหตุที่แท้จริงของฉันมา
จากที่ใด และสาเหตุนั้นก็ได้ตายจากไปแล้ว ฉันไม่มีอะไรต้อง
หวังและยดึ ติดอีก ไมใ่ ชท่ ุกสาเหตเุ ป็นความผดิ เราตา่ งถกู เลี้ยง
ดมู าจากคนสองคนซ่ึงบางครัง้ ไม่ใชเ่ พราะเขาไม่ได้รัก เพียงแค่
วุฒิภาวะไม่ได้เต็มร้อยเพื่ออ้าแขนตอบรับทุกโจทย์ชีวิตที่เข้า
มาโดยไม่รู้เลยว่ามนั จะทา้ ทายเพยี งไร
ฉันเก็บแผงยาของแม่ไว้ แล้วปล่อยให้ท่านนอนหลับ
อย่างน้อยคืนนี้หนึ่งคืน แม่จะได้ไม่นึกถึงการตายอย่าง
กะทันหันของพ่อ ฉันไม่ชอบที่ป้าของพ่อโทรมาก่นด่าแม่ว่า
“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่บอก ว่าพ่อไม่สบาย อยู่ดี ๆ ก็พาไป
โรงพยาบาลโดยไม่ได้แจ้งญาติให้รับรู้ เขาเสมอื นแม่ ทำไมไม่มี
ใครบอกเขาเลย” เขาก็เป็นแบบนั้น คิดจะพูดอะไรก็พูด ไม่
เคยสนใจสถานการณ์ปจั จุบันขณะว่าเป็นอย่างไร ฝ่ายตรงข้าม
พร้อมรองรับคำโอดครวญเหล่านั้นหรือไม่ แม่ได้แต่นิ่งเงียบ
แต่ฉันเข้าใจ ตอนพ่อป่วยทุกคนคงลำบากใจมาก ทุกคนต่างก็
พยายามอย่างหนักที่จะหาวิธีรักษาท่าน เราเตรียมสมุนไพร
และยารักษาโรคเบื้องต้นที่หาได้ตามร้านสะดวกซื้อให้ท่าน
ทานเพื่อบรรเทาอาการ เพราะรู้ดีว่าถ้าเรื่องที่พ่อป่วยเลื่องลือ
ไปถึงอาสาสมัครภายในหมู่บ้าน พวกเขาจะปฏิบัติต่อพ่อและ
มองครอบครัวเราอย่างไร ฉนั ไม่อาจตดั สิน แตใ่ นฐานะผู้ท่ีต่อสู้
กับความดื้อรั้นของผู้คนแล้ว นั่นคือความกดดัน ที่เพียงแค่อี
กกลุ่มถูกกระทืบอย่างจริงจัง ก็พร้อมหัวเราะให้ อย่างน้อยก็
ลึก ๆ
…
“อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร ลาอิลา
ฮาอิลลัลลอฮุวัลลอฮุ อักบัร อัลลอฮอุ ักบรั วาลลิ ลาฮลิ ฮัมดฺ”
เสียงตักบีรรายอดังขึ้นในเช้าวันรุ่ง ผสานเป็นเสียง
เดียวกับไก่ขานปลุกผู้คนที่หลับไหลบางส่วนตื่นละหมาดศุบฮี
และบางสว่ นเตรยี มเครือ่ งมือสำหรับเชอื ดวัว
แต่ฉัน แม่และน้องสาวยังคงอยู่ในช่วงกักตัว อีกสี่วัน
กว่าจะหลุดออกจากกรงขังน้ีได้ นี่เปน็ คร้ังแรกที่รู้สึกว่าบ้านไม่
น่าอยู่เลย มองไปทางไหนก็ไรช้ วี ติ ชีวาไปหมด หลังจากพ่อตาย
ก็ไมม่ ใี ครกลา้ ข้ึนบนชัน้ สองของบ้าน ไม่ใชเ่ พราะกลวั วา่ จะเห็น
วิญญาณพ่อกลับมาชวนกันไปกุโบร์ แตท่ ี่ขา้ งบนน้ันเต็มไปด้วย
ความทรงจำที่สุขใจ หื่นไห้ และสมหวังผสมผสานกันไป จน
ยากเกนิ กวา่ จะทำใจได้
รายอที่ไร้อาหารมื้อโอชะให้ได้กิน แต่ก็มีคนมาแบ่ง
เนอื้ เปน็ ถุง ๆ แขวนไวห้ นา้ ประตูอย่างไม่ลดละ ถึงคนข้างนอก
ที่มีอิสรภาพก็มิอาจช่วงชิงอิสรภาพที่ได้ครอบครองไว้เพื่อเปน็
อิสระจากโรคระบาดเหมือนสองปีที่แล้วมา ครั้นที่ไวรัสจาก
เมอื งจีนยงั เดินทางมาไมถ่ ึง คร้นั ทไี่ วรัสยงั ไมไ่ ด้กลายพันธุ์ ครนั้
ท่ีซาร์และเมอร์สที่นอนหลับสนิทเมื่อร้อยปีก่อนยังไม่ถูกปลุก
ให้ตื่นขึ้นท้าทายแสงตะวันของยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยใหม่ที่เต็ม
ไปด้วยบรรยากาศของความแปลกประหลาด เช่นเดียวกบั เดก็
สาวร้านผลติ เส้นขนมจนี คนน้ัน
มันแปลกประหลาดมาก ในวนั ที่รา่ งพอ่ ในโลงถูกสง่ ลง
ไปในกุโบร์ เด็กสาวแสดงความเสียใจด้วยการถ่ายวิดิโอลงใน
สตอรี่เฟซบุกเพื่อแสดงถึงความอาลัยอาวรต่อผู้ตายใน
สถานการณท์ ่ีแปลกใหม่ และเป็นกรณีแรกท่เี สียชีวิตเน่ืองจาก
โรคระบาดในหมู่บ้านเรา แค่ถา่ ยวิดโิ อยังพออภัยได้ แต่กลับใส่
เพลงที่ไม่ได้ใจความและแสดงถึงความรู้สึกเสียใจเพียงเปลือก
นอกออกมา ฉันรู้สึกโกรธ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีใครทำใจได้ที่จะเห็น
ภาพสุดท้ายของพ่อในสภาพนั้น แต่ก็เห็นจนได้ แถมยังตั้งค่า
ให้เป็นสาธารณะเพื่อสร้างกลุ่มคนให้ยินดียินร้ายเสียใจไปกับ
เหตุการณ์ตรงหน้าร่วมกัน ฉันเหนื่อยกับยุคสมัยใหม่ เราไม่
ต้องให้เกียรติกันแล้ว ทั้งที่มีการรณรงค์ให้เคารพสิทธิส่วน
บคุ คลกนั อย่างหนกั แต่ก็ไม่เห็นมีใครจะทำได้จรงิ สกั ที
มนุษย์เรา ใช่ว่าพอหมดลมหายใจแล้วจะไร้เกียรติ
ทันที อิสลามไม่เคยสอนไว้ แม้ว่าจะมีลมหายใจหรือหมดลม
หายใจ มนุษย์ก็ยังคงมีเกียรติเสมอ มิฉะน้ันพระเจ้าคงไม่
บัญญัติให้ชำระร่างกายของศพให้อ่อนโยนที่สุด อาบน้ำ
ละหมาด ใส่เครื่องหอม และสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดก่อนถูก
ส่งกลับไปหาพระเจ้า มิใช่ว่าอิสลามบัญญัติเช่นนั้นหรอกหรือ
แต่เด็กสาวร้านขนมจีนคนนั้น ช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน ไร้
เดียงสาจนฉันอยากจะเอาเส้นขนมจีนฟาดหน้าเธอไว้ ความ
โกรธของฉันเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่เป็นความโกรธที่ไม่
ก่อใหเ้ กดิ ประโยชนฉ์ นั จึงไม่ไดท้ ำมันจรงิ ๆ หรอก
พอทำใจได้เล็กน้อย พวกเราก็เก็บกวาดร่องรอยของ
พ่อ หลงั จากทท่ี ว่ั ทงั้ บ้านได้มกี ารพน่ ยาฆ่าเช้ือไวรสั แล้ว แม่นำ
ของบางส่วนไปทิ้ง บางส่วนไปซักพ่ึงแดดให้แห้งสนิท และ
เสือ้ ผา้ ใหม่ ๆ ทีพ่ อ่ สมั ผสั มันเพียงปีละครง้ั พับใสถ่ งุ ละชุดตงั้ ใจ
จะแจกจา่ ยใหผ้ ้คู นเพื่อหวังว่าผลบุญจะคนื กลบั สทู่ า่ น หลังการ
จากไปของท่าน แมส่ นิทสนมกบั อัลกุรอานเป็นพิเศษ อ่านอัลกุ
รอานทุกวนั ในขณะที่หวั ใจกำลังแบกรบั ความเจบ็ ปวดอยู่อย่าง
นั้น ฉันมองภาพนั้นและจินตนาการเรื่องราวในอนาคตของ
ตัวเอง นคี่ งเป็นส่งิ ทีเ่ ราทกุ คนตา่ งต้องเผชิญกบั มนั ในภายภาค
หน้าจะมีคนรักของเราอีกมากมายที่จากเราไป ทิ้งให้เราต้อง
เผชิญความเจ็บปวดอีกหลายครั้ง หรือไม่ก็เป็นวันหนึ่ง เป็น
วันที่เราต้องเป็นฝ่ายจากไปเสียเอง การจากลา จะจากเป็น
หรือจากตายต่างก็มีความเสียใจคลุกเคล้าเข้ามาในความรู้สึก
อยู่เสมอ คนที่เราเคยแอบชอบ นานหลายปีที่ไม่ได้เจอกัน
ความชอบอาจยังอยู่แต่เขาได้เริ่มต้นชีวิตที่จริงจังกับคนอื่นไป
แล้ว คือความรู้สึกเศร้าผิดหวังในรูปแบบหนึ่ง พ่อแม่สูญเสีย
ลูกจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็คือความสูญเสียที่ทิ้งความเศร้าไป
อีกรปู แบบหนึง่ ลกู ๆ สูญเสียพ่อแม่ก็ทิง้ ความเศร้าอีกรูปแบบ
หนึ่ง นั่นคือทุกตอนของชีวิตราวกับนวนิยายเรื่องยาวเท่า
อายขุ ยั ท่ีพระเจา้ อนญุ าตให้เรามีชีวิตอยบู่ นโลกใบน้ี
นอกจากพ่อแล้ว ครอบครัวของเราที่เหลืออยู่ก็ล้วน
แต่มีสมาชิกเป็นผู้หญิง หากพูดกันตามธรรมชาติที่พระเจ้า
สรา้ งมนุษยข์ ึน้ มา บา้ นหลงั นใ้ี นตอนน้ีก็เสมือนกับบ้านท่ีไร้เสา
ไม่มีสิ่งยันค้ำจุนจากลมกรรโชกแรง ไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป
ฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้น และเป็นเพราะแบบนั้นสถานการณ์
ปัจจุบันผลักดนั ใหฉ้ ันต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวในฐานะ
พีใ่ หญ่ และเคยเจอรสชาติอนั มหศั จรรย์ของชวี ติ ท่ีชว่ งชิงความ
เข้มแข็งสามัญไว้ในช่วงหนึ่งเพื่อสร้างคฤหาสน์แห่งหัวใจท่ี
แข็งแกร่งเกินคาด ฉันจึงตัดสินใจที่จะหาคู่ชีวิตเพื่อเป็นไม้จับ
ค้ำตัวเองไว้ไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน ท่ามกลางการคัดค้านจาก
ผูใ้ หญฝ่ ่ายแม่ แม้กระทั่งแมเ่ อง เน่อื งจากฉนั ยงั เรียนไม่จบ แม่
กลัวว่าจะเสียการเรียนจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุด
ความคิดในการพยายามจะสร้างครอบครัวของฉันไว้ แต่นั่น
ไม่ใช่อุปสรรคที่ฉันจะนำเอามันมาคิด ฉันเสียเวลาชีวิตกับการ
ฟังคนอื่นมามาก และฉันรู้ดีว่า ในแนวทางของฉัน การปล่อย
ให้มนุษย์เพศหญิงต่อสูก้ ับคลื่นชวี ติ เพียงลำพังน้ันช่างเจบ็ ปวด
มากแค่ไหน ฉันรู้ดีว่ากำลังทำอะไร และฉันก็ไม่ใช่เด็กไร้
เดียงสาที่มองว่าความรักคือทางออกของอารมณ์เหมือนอายุ
สิบห้าขวบอีกต่อไป ฉันเพียงต้องการความมั่นคง ต้องการสิ่ง
ย้ำเตือนว่าฉันสามารถเป็นมนุษย์ได้เหมือนคนอื่น ๆ อีกหลาย
คน แม้ตามตัว ตั้งแตห่ วั จรดเท้าเตม็ ไปด้วยรอยฟกช้ำมากมาย
พวกคุณเข้าใจการต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตรอดจากสนามสงคราม
หนึ่งหรือเปล่า พวกคุณเข้าใจการต่อสู้ของเด็กที่อยู่ใต้ซาก
ปรักหักพังของตึกสูงตะหงา่ นในเมืองใหญบ่ า้ งไหม ชวี ติ ของฉัน
ต้องเดิมพันกับความโชกโชนอยู่ตลอดเวลา ฉันจึงต้อง
ทะเยอทะยานและมทุ ะลุ ไปให้ได้ ไปให้สุดทาง
เรื่องราวใหญ่เช่นนี้ ฉันไม่เสียเวลากับการรับฟังคนท่ี
ไม่อาจเกี่ยวข้องให้พิธีเริ่มต้นขึ้นได้ ฉันจึงเดินไปบอกอา อาซึ่ง
พึ่งได้กลับมาอยู่บ้านอย่างจริงจังเสมือนกับจัดงานเลี้ยงเลิกรา
มิตรภาพระหว่างพี่น้องและเลี้ยงอาหารมื้อสุดท้ายให้พ่อก่อน
จากไป อาเข้าใจฉัน เขารู้จักและชื่นชอบกับว่าที่เจ้าบ่าวเป็น
อยา่ งดี เน่ืองจากมักจับกลุ่ม พดู คุยปัญหาบ้านเมืองท่ีกระท่อม
ปลายนาทุก ๆ คืนหลังอีชา ซึ่งพ่อก็เป็นหนึ่งในสภาแตออนั้น
ด้วย อาบอกเขาเป็นคนดี มีน้ำใจ เรื่องละหมาดก็ไม่ขาดตก
บกพร่องแถมยังเป็นหนุ่มที่เรียนหนังสือ การงานก็มีอยู่แล้ว
บ้านก็มีอยู่แล้ว จึงตกลงว่าจะหาจังหวะไปปลอบประโลมโน้ม
น้าวใจแม่อีกครั้ง อาบอกคงไม่ยาก เพราะหลานสาวไม่ได้ทำ
อะไรผิด ลำพังความรู้ฟัรฎูอีนก็อยู่เหนือเขามาก หนำซ้ำยัง
จัดการปญั หาชีวติ ชว่ งทย่ี ุ่งยากได้มากกวา่ เขาอกี
ในมัจลิสรวมญาติของคืนถัดไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ฝ่าย
แม่ยงั คงแข็งข้อกับฉัน เปน็ เพราะอายังไมว่ ่างจากงาน จึงยังไม่
สามารถเขา้ รว่ มมจั ลิสน้ีได้ ในฐานะวาลยี ต์ ัวแทนของพ่อ ซ่ึงถอื
เปน็ บุคคลสำคญั ในพธิ ีมงคลสมรส
ลุงกับป้านั่งลงบนเสื่อที่แม่ปูทับพื้นซีเมนต์เก่า ๆ ไว้
สายตาดูคิดหนัก ฉันเดินลงจากบันไดบ้าน คืนนี้ฉันเตรียมรับ
ศึกหนักจากลุงและป้าเป็นอย่างดี ในฐานะนักศึกษาฟิกฮฺ
อาจารย์สอนไว้เสมอว่า ให้มีวาทศิลป์ในการพูดและสังเกต
สถานการณ์ไว้ให้ดี สิง่ สำคญั ท่ีสดุ คือรักษาเปา้ หมายของเราให้
มั่นคง อย่าให้เรื่องที่ผู้คนมีเจตนาเบี่ยงเบนเรา ทำให้เราหลุด
ออกไปจากเป้าหมายแรกที่เราตั้งใจไว้ ฉันรู้ดี อาจารย์
มหาวิทยาลัยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันมากกว่าครอบครัว
รอบนอกของฉันอีกหลายเท่า พวกเขาไม่ค่อยมีฐานความรู้
ศาสนาจึงอาจเข้าใจเรื่องที่จะสื่อสารยากไปหน่อย ซึ่งฉันต้อง
อดทน ถ้าใช้หนามยอกไม่ไดผ้ ลก็ต้องเปลีย่ นไปใช้หนามบง ใน
สนามรบรเู้ ขารู้เรา รบรอ้ ยคร้ังชนะร้อยครัง้ สนิ ะ
โรคระบาดในปีที่สามนี้ สร้างจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่
ให้กับครอบครัวเรา และดูเหมือนบรรยากาศภายในบ้านก็
เปลย่ี นแปลงไปเชน่ กัน
บทที่ 2 คำพิพากษา
ฉันตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาดี ๆ
และความท้าทายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แม้ว่าปัจจุบันฉนั ใช้ชีวติ
เรียบง่ายอยู่ในที่ใดสักแห่ง แต่ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเล่า
สำคัญที่เราควรจดจำมันไว้เป็นบทเรียนให้ชีวิต ว่าวันหนึ่งเรา
ผา่ นมาได้ดว้ ยวธิ ีการใด
วันประชุมรวมญาติ บรรยากาศภายในบ้านช่างคุ
กรุ่น
" ให้เรียนจบก่อนดีไหม จะแตง่ งาน"
คุณลงุ เอ่ยขนึ้ ฉันสา่ ยหนา้
" ไม่ค่ะ แต่ถ้าเรียนจบ ก็อีกตั้งหกเดือนกว่า สำหรับ
หนูแลว้ มันนานมาก"
"ถ้าอยา่ งนัน้ ใหผ้ ่านอิดดะหแ์ ม่ก่อน"
"ได้ หนูไมม่ ปี ญั หา แตว่ า่ กต็ ้องตามน้ี อย่าผดิ สัญญา"
คุณลุงหัวเราะแห้ง ๆ และแสดงสีหน้าตึงเครียด ดู
เหมือนเขาจะโกรธฉันมาก แม่มุดหน้าหายไปกับผ้าคลุมผม
พร้อมความเสียใจ ท่านซ่อนคราบน้ำตาไว้ ศีรษะของท่าน
เหมือนกำลังส่ายหน้าเบา ๆ ภายในใจคงคิดว่า ฉันไม่เคยสอน
ให้ลกู ของฉันเถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้
"หน"ู
คุณลุงเอ่ยข้ึน ท่ามกลางความเงียบกลางวงสนทนา
ไมม่ ใี ครกลา้ พูดอะไรแทรก
"คะ?"
ฉนั แสดงสหี น้ามนั่ ใจ
"คนเราต้องมีศักดิ์ศรีในตัวเอง ยิ่งเป็นผู้หญิงยิ่งแล้ว
ใหญ่ เราต้องไม่แสดงออกว่าเราตอ้ งการผ้ชู าย หนไู ม่อายเหรอ
บอกตรง ๆ หนูแสดงออกอยู่ตรงนี้ดูเหมือน-คนอยาก- มาก ๆ
ลุงไม่เคยรจู้ ักหนูในมุมนม้ี าก่อน เมอ่ื ก่อนหนูไม่ใช่คนแบบนน้ี ี่"
"ใช่ ปา้ เห็นดว้ ย"
คณุ ป้าเสริม
ฉันนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนเรื่องราวจะไปกันใหญ่
แค่บอกว่าจะแต่งงาน ทำสิ่งที่ถูกต้องแท้ ๆ แต่มันยากลำบาก
ขนาดนี้เลยหรือไง ฉนั พยายามสงบสติอารมณ์ คำวา่ ศกั ด์ิศรีทำ
ใหฉ้ นั ตอ้ งเปลี่ยนแผนใหม่
"คณุ ลงุ คะ งั้นรู้จกั หนเู สยี ใหม่ ถา้ คุณลุงต้องการได้ยิน
คำนี้ หนูก็แคอ่ ยากให้คุณลงุ เข้าใจหนึ่งขอ้ ชว่ ยมองหนใู นฐานะ
มนุษยค์ นหนง่ึ ได้ไหม ทม่ี ีส่งิ พืน้ ฐานเหมือนผคู้ นทว่ั ไป ลองช่วย
ย้อนกลับไปตอนสมัยที่คณุ ลุงยังหนุ่ม ๆ ทุกคนในนี้ที่ยังสาว ๆ
ทุกอย่างผลิบานเช่นเดียวกับความรัก ทุกคนก็อยากมีใครสัก
คนไม่ใชเ่ หรอคะ มันผดิ ดว้ ยเหรอ"
ฉนั เบานำ้ เสยี งลง แสดงทว่ งทา่ ออดออ้ น
"อีกอย่าง ทำไมหนูต้องอายด้วย เพราะที่อยู่ต่อหน้า
หนู ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นครอบครัว เราไม่ได้พูดเรื่องราว
ความในใจกับคนนอกบ้าน ถ้าพ่อยังอยู่ คุณลุงกล้าที่จะพูดกับ
หนูแบบนี้ไหม?"
คุณลุงส่ายหนา้ เรื่อย ๆ บ่นพึมพำอะไรไม่รู้อยู่เงียบ ๆ
ฉันไม่ได้ยินเสียงชัดเท่าไร แต่ก็ดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อย
เพราะที่ผ่านมา กับครอบครัวรอบนอกของแม่ ฉันไม่เคยพูด
ความในใจสักเรื่องกับพวกเขา เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบ
เพร่งพรายเร่ืองส่วนตวั ความรูส้ กึ สว่ นตวั ใหใ้ ครฟัง เว้นแต่เพื่อ
เหตุผลบางอย่าง
คุณป้ากับคุณลุงรู้จักฉัน ในฐานะเด็กเรยี นดี เรียนเก่ง
เป็นคนดีอยู่ในโอวาท ไม่เถียงกับผู้ใหญ่ เชื่อฟังผู้ใหญ่ และข้ี
อาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนแบบที่พวกเขา
คิดไปเอง ฉันเป็นคนสันโดษ มีวิธีคิด กรอบความคิดและ
ต้องการวิถีชีวิตในแบบตัวเอง หัวขบถ และไม่ยอมใครจนกว่า
จะมีเหตุผลที่ไม่มีทฤษฎีใดมาล้มล้างได้ ด้วยบุคลิกเช่นนี้
อาจารย์ในรายวิชาฟิกฮฺและวิชาวิจัยมักจะจับฉันมาโต้เถียง
ประเด็นสำคัญเสมอ ๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่พวกเขาไม่
รู้
บอกตามตรงจากใจจริง ฉันไม่เคยคิดที่จะพูดให้
ตัวเองดูดี ด้วยกับเป็นปลายปีสุดท้ายของโรคซึมเศร้า ก่อนท่ี
มันจะหายไป ทุกคนจึงเข้าใจว่าสิ่งที่ฉันแสดงออกมาล้วนแต่
เปน็ โรค ไม่ใช่ตัวฉนั ทีแ่ ทจ้ รงิ คุณลุงพูดตอ่ ว่า
"หนู ประเมินสภาพตัวเองหน่อยไหม การสร้าง
ครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย ดูตัวเองสิ หายแล้วหรือยัง ถ้าไปอยู่
บ้านเขา เกิดอาการกำเริบขึ้นมา เขาจะไม่ตกใจและหาว่าหนู
เป็น'บ้า'หรอื ?"
ฉันเข้าใจว่าคุณลุงกังวลและเป็นห่วงฉันมาก แต่
บางครั้งคำที่เขาใช้มนั พูดกับฉนั ก็เกินจะรับไหว ฉันไม่ชอบคำ
น้ี ฉันไมช่ อบการดูถูกโรคซมึ เศร้าว่าเป็นกลุ่มเดียวกันกับคนบ้า
ฉันเกลียดลุง แล้วฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลยนับจากน้ัน
นอกจากทิ้งให้น้ำตาไหลพราก ภรรยาคุณลุงรับรู้ได้ว่าสิ่งที่คณุ
ลุงพูดมันหยาบเกินไป เธอตบบ่าฉันเบา ๆ แล้วหันไปถามแม่
วา่
"ฝ่ายชายอายุเทา่ ไรแล้ว เป็นคนยังไง"
"กอ็ ายุสามสิบตน้ ๆ เป็นเดก็ เรียน"
แมต่ อบเบา ๆ
"ก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่จะกังวลอะไรอีก เอาอย่างนี้นะ
ไหน ๆ คำตัดสินสุดท้ายก็ไม่อาจจบลงทีเ่ ราได้ ต้องถามอาเขา
ว่าจะอนุญาตไหม เพราะอำนาจการเป็นผู้ปกครองอยู่ที่อาเขา
และถึงยังไง ฝ่ายชายก็คุยกับพ่อของน้องมาก่อนล่วงหน้าแล้ว
เดย่ี วเราฟงั คำตอบจากเขาแลว้ กันนะ"
ภรรยาของคุณลุงแนะนำเสริม แม่พยักหน้า คุณลุง
เหมือนไม่ค่อยจะยอมรับเท่าไร ส่วนคุณป้าก็ยิ้มแห้ง สามีคุณ
ป้าก็ยิ้มราวกับว่าเหตุการณ์ในวันนี้เป็นเรื่องตลก คนเรานะไม่
เคยส่องกระจกมองตัวเองเลยว่าที่ผ่านมา มีสิ่งใดน่าอายและ
แหกกฎของพระเจ้ากี่เรื่องที่กระทำลงไปแล้วแก้ปัญหาไม่ได้
ต้องคอยโยนปัญหาให้คนอื่นแก้ พอเหตุการณ์สงบลงก็ยิ้มรับ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดข้ึน แถมยังกลา้ รับจ็อบแก้ปัญหาให้คนอ่ืน
โดยไมล่ ะอายแกใ่ จ สง่ิ ทฉี่ ันอยากบอกคือประโยคนี้
ความจริงเรื่องที่บอก เป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญท่ี
ทุกคนก็พูดกับครอบครัวได้อย่างสันติด้วยซ้ำ บางคนมีการ
หยอกล้อกันด้วย อาจเป็นเพราะแม่ขอร้องหรือพวกเขาเข้าใจ
ว่าแม่ต้องการอ้อนวอนให้ฉันไม่จากแม่ไปอีกคน เพราะพ่อพึ่ง
เสียได้ไม่นาน แต่ช่วยไม่ได้ เรื่องนี้มันเกิดข้ึนหนึ่งปีก่อนที่พ่อ
จะเสียอีก แต่แม่ก็ทำเปน็ หทู วนลม
แต่ตอนนี้สถานการณ์ครอบครัวได้เปลี่ยนแปลงไป
ฝ่ายชายกลัวว่าคำมั่นสัญญาที่ครอบครัวได้ให้ไว้จะ
เปลยี่ นแปลงไปกับการตายของพ่อ และคนอื่นจะมาแทรกแซง
ให้เป็นอย่างอื่นเพราะลำพังแม่เพียงคนเดียวคงจะยืนหยัดไม่
ไหว จึงได้กดดันครอบครัว ทวงสัญญาและต้องการแต่งงาน
กอ่ นถึงเวลาสญั ญาจะมาถึงประมาณ 4 เดือน
ฉันยอมรบั วา่ ฉนั ค่อนข้างเครียด ไมว่ ่าฝา่ ยใดก็แล้วแต่
ไม่มีใครสนใจใจของฉันเลย แม่ต้องการให้เป็นแบบหนึ่ง ฝ่าย
ชายต้องการให้เป็นอีกแบบหนึ่ง คนที่ฉันคอยปรึกษาปัญหา
สำคัญก็จากไปแล้ว ฉันเหงาและเปลี่ยวว้างมาก เหมือนกับ
กำลังสื่อสารในสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันจะเข้าใจ ใจความสำคัญ
ของเรื่องนี้คือ ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันแบกรับความหนัก
หนาของชีวิตไว้ไม่ไหวแล้ว ในฐานะพี่สาว ในฐานะความหวัง
ของญาติทุกคน ในฐานะคนรักของผู้ชายคนหนึ่ง ในฐานะลูก
สาวที่พ่อพึ่งตายจากไป มันเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเหมือน
คร้งั ก่อนได้ มนั เหนือ่ ยและเบอื่ และฉันกเ็ กลยี ดเร่ืองร้าย ๆ ใน
ชีวิตนี้เป็นอย่างมาก ช่วยแบ่งเบาให้ฉันหน่อยได้ไหม หรือถ้า
ทำไม่ได้ ก็แค่ได้โปรดอย่าเป็นอุปสรรคในหนทางของการต่อสู้
เพอ่ื มชี วี ิตรอดของฉันได้ไหม ขอร้องเถอะ แตพ่ วกเขาไม่เข้าใจ
เลยแม้เเตน่ อ้ ย
ฉันไม่ได้ดูถูกคำแนะนำคุณลุง คุณป้า แต่พวกเขาไม่
เคยทำให้ฉันรู้สึกว่าพวกเขาแก้ปัญหาชีวิตตัวเองได้สำเร็จสัก
อย่าง ตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมามันให้คำตอบอยเู่ ร่ือย ๆ ครั้งท่ี
พ่อยังอยู่ พ่อถูกยายใช้งานอย่างหนักเพื่อรับใช้คุณลุงและคุณ
ป้า ทุกปีในฤดูทำนาปี เป็นพ่อคนเดียวที่ชว่ ยเหลือยายขนกลา้
ข้าวไปยังทุ่งนากลางแดดเปรี้ยง เป็นพ่อคนเดียวที่แบก
กระสอบข้าวกลับมาไว้ในโรงเก็บข้าว พาไปโรงสีเพื่อรอให้คุณ
ปา้ มาขนข้าวเปลือกกลับบ้าน รอไปเสริฟข์ ้าวสารท่ีพงึ่ ออกจาก
โรงสีให้คุณลุงถึงในครัว เป็นพ่อคนเดียว ทั้งท่ีบ้านคุณลุงกับ
บ้านคุณยายอยู่ห่างแค่ไม่กี่กิโลเมตร แถมคุณยายเป็นความ
รับผดิ ชอบโดยสมบรู ณ์ของคุณลงุ ในฐานะแม่และลูกชายด้วย
แต่พอถึงวันนี้ กลับจะมาแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ให้มัน
ยุง่ ยาก ท้ังที่มนั ไม่ไดเ้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของปัญหา ฉันยอมรับนะ ว่า
ในใจของฉันเต็มไปด้วยความแค้นใจ และใช่ว่าพวกเขาจะไม่มี
บุญคุณกับฉันเลย แต่กับสิ่งที่พ่อถูกกระทำมาตลอดมันตอบ
แทนด้วยไมไ่ ดห้ มดหรอก พอ่ เหนื่อยทงั้ กายและใจเพื่อพวกเขา
มาตั้งกี่สิบปี แม่ต้องบาปเพราะไม่เชื่อฟังพ่อตั้งหลายครั้งเพ่ือ
ปรนนิบัติพี่น้องของตัวเอง ผู้ที่ร่ำรวยแต่กลับมีน้ำใจเพียงน้อย
นดิ
ความจริงคนที่พวกเขาควรตอบแทนและขอโทษคือ
พ่อต่างหาก ไม่ใช่แม่ แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือ ขัดขวางคำสญั ญา
ของพ่อต่อฝ่ายชายในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวและ
ผู้ปกครองลูกสาว ต้องการให้เป็นอย่างอื่น เนื่องจากความไม่
สมบรู ณแ์ บบของฝ่ายชาย
เหตุการณ์ในครั้งนี้บานปลายไปถึงหูคุณยาย คุณยาย
ทำเสียงแข็งและต่อต้านถึงที่สุดที่จะไม่ยกหลานสาวให้ฝ่าย
ชาย เน่อื งจากเหตุผลดังกลา่ ว แม่บอกกบั ฉนั คนื ก่อนท่ีคุณยาย
จะเรียกกลับไปคุยว่า
"ถ้าคำตัดสินอยู่ที่แม่คนเดียว แม่จะไม่ขัดขวางเลย
เพราะรู้จักฝ่ายชายมาตั้งแต่ยังไม่กี่ขวบ รู้ว่าเขาเป็นคนดี แต่
ครอบครัวแม่ไม่มีใครเห็นด้วยเลย แล้วพ่อก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าแม่
ตัดสินใจคนเดียว เกิดมีอะไรเกิดขึ้นในภายหลัง แม่จะ
รบั ผิดชอบยังไง เกิดหนูไปกำเริบทีน่ ่ัน เกดิ หนทู อ้ งแล้วเรียนไม่
จบ แม่จะทำยังไง" เธอร้องไห้ ดูเหมือนกับการแต่งงานเป็น
เรอ่ื งใหญจ่ ริง ๆ
คะ ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้สามัคคีกับแม่ขนาดนี้เลยนี่
คะ ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนยังไง แต่ว่า... แค่ฉัน
เป็นลูกแม่ ในที่สุดแล้วแค่ฉันเป็นลูกแม่ แค่แม่ยอมรับการ
แต่งงานของเราสองคนมันก็พอแล้ว ยิ่งฝ่ายชายเป็นแบบนั้น
เราจะให้คนทั้งสายตระกูลมาเห็นด้วย จะเป็นไปได้เหรอคะ
มันเสยี ดายคนดี ๆ อย่างท่ีพ่อเคยบอกไวไ้ มใ่ ชเ่ หรอ
ปีก่อน วันที่ฝ่ายชายมาสู่ขอ และจะทำพิธีหมั้นทันที
คุณพอ่ ดีใจมากท่จี ะได้มลี ูกเขย เพราะผู้ชายเป็นคนที่พ่อหมาย
ปองไว้มานานแล้ว แต่แม่ก็ขัดไว้ก่อน และให้สัญญาว่าอีกสอง
ปคี ่อยกลบั มาใหม่ คณุ พอ่ ตาละห้อยไป และยงั พูดกับฉนั วา่ ส่ิง
ทกี่ ำลงั จะทำกนั อยู่มันผิดตรงไหน แต่แมไ่ ม่ฟังพอ่ เลย หรอื เป็น
เพราะที่ผ่านมา พ่อไม่ได้มีเงินเยอะ ๆ ให้แม่ เหมือนที่คุณยาย
ของลูกช่วยด้วยเงินยามลำบากอยู่เสมอ แต่เรื่องแรงกายพ่อก็
ให้มาตลอดไม่เคยละเลย แม้จะมีบ่นอยู่บ้างเพราะความ
เหน่ือย
คณุ ยายบอกแม่ว่า
"หลานสาวยังมีทางเลือกอีกมาก หน้าตาก็ไม่ใช่ว่าไม่
สวย การศกึ ษากด็ ี จะไปเปน็ คู่ครองกบั คนแบบน้นั ไดอ้ ย่างไร"
แม่เงยี บแลว้ พดู ตอ่
"แต่นี่คือสิ่งเดียวที่เขาจะทำเพื่อลูกสาวของเขา และ
ลูกสาวจะทำเพื่อเขา ในเมื่อสิ่งนี้มันเกิดขึ้นถึงขนาดว่าต่อให้
ขดั ขวาง ดเู หมอื นมันจะเกดิ ขึน้ อยู่ตลอดเวลา คิดว่าเขาสองคน
เปน็ เนอ้ื คูก่ นั แบกฟา้ แบกอากาศมาวาง ก็ไม่แคล้วกัน ยอมรับ
เถอะแม่ อยา่ งน้อยก็นกึ ถึงพ่อของหลานบ้าง มันเป็นส่ิงเดียวที่
ฉันทำเพอ่ื เขาได"้
แมห่ นา้ แดงก่ำ มนี ้ำตาอยู่ในดวงตา
"ยอมรับงั้นเหรอ ที่ผ่านมาตอนลำบาก ไม่ใช่แกเหรอ
ที่แบกหน้ามาหาฉัน เพื่อขอจำนำทองไว้เป็นเงินใช้จ่ายใน
ครัวเรือน เขาช่วยหาเหรอ งานการก็ใช่ว่าจะทำได้เงินเยอะ
เหมือนคนอืน่ เขา"
คณุ ยายเรมิ่ อารมณ์ขนึ้ ขดุ คุย้ ทุกอยา่ งในอดตี ข้ึนมา
แมก่ ำมือ และคมุ สติตัวเอง กอ่ นจะตอบกลับอกี ที
"ค่ะ ขออนุญาตนะคะแม่ ฉันจะพูดอะไรบางอย่างกับ
แม่แคค่ รั้งเดยี วเท่าน้ัน และฉนั จะไม่พดู มันอีก แมน่ ะ เคยบอก
พ่วี า่ ให้ฉนั หยา่ กบั สามีซ่ะ เหตผุ ลเพราะเขายากจน ไม่ไดร้ ำ่ รวย
เหมือนคนอื่น ๆ ที่เป็นเขยของแม่ แต่แม่คะ นับแต่ระยะเวลา
ยี่สิบปีที่ฉันใช้ชีวิตคู่กับเขามา มีไหมสักครั้งที่ยามแม่เจ็บป่วย
ลำบากนู้นนี่นั้น แล้วลูกแท้ๆและเขยแท้ ๆ อีกสองคนของแม่
ยื่นมือช่วยเหลือ นอกจากฉันและสามี แม่นะไม่เคยรักลูกเขย
อีกคนของแม่เลยเพียงเพราะเขาลำบาก แม่ไม่เคยมองคนที่
การเป็นคนดี ไม่เคยมองว่าการแบ่งปันกำลังกายก็คือการมี
นำ้ ใจ ไม่ใชแ่ ค่เงินอยา่ งเดยี ว แม่นะ..."
สักพักก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์ของคุณลุงค่อย ๆ เข้า
มายงั ประตรู ้ัว น้ำตาแมไ่ หลเป็นทาง
"เกิดอะไรข้ึน"
"ฟังนะ สามีของฉันถึงเขาจะเป็นคนที่ไม่ได้ร่ำรวยเงิน
ทอง แต่ฉันอยู่กับเขามายี่สิบกว่าปี เราไม่เคยทะเลาะกันเลย
ไม่เคยมีปัญหาใหญ่ ๆ เหมอื นลกู แม่อีกสองคนท่ีต้องคอยมาให้
ฉันแกป้ ัญหาตลอด นีพ่ .ี่ .."
แมห่ ันไปทางคุณลุง
"ในวันที่พี่ไม่มีข้าวกิน เป็นเขาไม่ใช่เหรอที่พาข้าวเปลือกไป
โรงสีเพ่อื เอาข้าวสารกลบั มาใหพ้ ถ่ี งึ บ้าน ในวนั ทคี่ นไกลมาบ้าน
เพื่อรับข้าวเปลือกกลบั ไปเตม็ กระบะหลังรถ ก็ล้วนมาจากการ
แบกกระสอบจากทุง่ นามาบา้ นกลางแดดเปร้ียง แม่ไม่เคยเห็น
ค่าหยาดเหงื่อที่เขามอบให้แม่เลย และที่สำคัญแม่รักลูกไม่
เท่ากนั "
คุณยายเริม่ นำ้ ตาคลอ
"ตั้งแต่ไหนแต่ไร คนที่แม่นึกถึงเป็นคนแรกคือพี่ชาย
กับพี่สาว แม่ซื้อทองให้พี่สาวส่วนฉันได้ใส่แค่เงิน ความ
ผิดพลาดครั้งใหญ่ของหลานชายแม่ที่ถูกบังคับให้แต่งงาน
เนื่องจากไปมีเรื่องชู้สาวกับลูกสาวคนอื่น แม่ยังมองว่ามันเป็น
เรื่องเล็กเมื่อเทียบกับที่หลานสาวแม่ ลูกฉันคนนี้จะแต่งงาน
ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่แตกต่างราวฟ้ากับดิน วิทยุที่บรรยายธรรม
เปิดไวแ้ ตใ่ หแ้ มวฟัง มันไม่เคยอศิ ลาฮแมไ่ ดเ้ ลย เงนิ ที่มีก็เอาแต่
เก็บสะสมทอง แมแ่ ก่แล้ว นึกถึงโลกหลงั ความตายบ้าง..."
คุณลงุ น้ำตาคลออีกคน
คุณลุงคงจะหลงลืมอะไรบางอย่างไป แค่เขาได้นึกถึง
ความลำบากของพ่อบ้างว่าทำเพื่อเขามากแค่ไหน เขาจะไม่
สรรหาทกุ วถิ ีทางเพ่อื ขดั ขวางแผนทีพ่ ่อวางไว้ให้ฉนั เดินไป
แมเ่ ล่าเหตกุ ารณ์ในเย็นวันน้ันให้ฉันฟัง ฉันรู้ดีท่ีทุกคน
ไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะปัญหาเรียนไม่จบ แต่เพราะปัญหาตา
ด้านซ้ายของฝ่ายชาย อาจทำให้พวกเขาละอาย ทั้งที่ฉันไม่
แม้แต่จะมองว่ามันเป็นความด่างพร้อยในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
เลยสักนิด มีคนสมบูรณ์แบบตั้งมากมาย ที่ทำในสิ่งที่ความไม่
สมบูรณ์ซึง่ ผูกติดอย่กู ับชายคนนัน้ ทำไม่ได้ และเคยเดินทางทิ้ง
ห่างกันเป็นหมน่ื ลี้ น้องสาวบอกฉนั เสมอ
"แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นคนทั่วไปได้ถึงทุกวันนี้ และ
นั่น ไม่ใช่เหตผุ ลหนึง่ ของการมชี วี ติ อยูห่ รอกเหรอ"
ฉันเหน็ ด้วย ฉันบอกกบั น้อง
"พวกเขานึกว่าฉันสมบูรณ์แบบนักเหรอ แค่ปัญหา
จิตใจที่ฉันเผชิญมากกว่าสี่ปี มิอาจเป็นจิ๊กซอร์ให้กับส่วนท่ี
หายไปหรอกเหรอ ฉนั เองกเ็ ปน็ มนุษย์ท่ัวไป มดี แี ละไม่ดีตัวเอง
เพียงแต่ของฉันมันมองไม่เห็น แต่ถ้าเทียบดูว่าใจเป็นนายกาย
เปน็ บ่าวแลว้ ละก็ โอกาสตายมันอยู่ทีฉ่ ันมากกว่าเขาซะอีก เธอ
วา่ จริงหรือเปล่า"
น้องสาวเงียบลง
ดวงจันทร์สว่างงามตรงบานหน้าต่างเก่า ๆ สัปดาห์
หน้า ทุกอย่างจะดีขึน้ พระเจ้าจะพิพากษาทุกอย่างเอง ฉันแค่
รอเวลาและยอมรับ ไม่แน่ถึงวันนั้น จะไม่มีบานหน้าต่างนี้ให้
ฉันมองพระจันทร์อย่างเปลี่ยวเหงาอีก ใบปาล์มของเพื่อนข้าง
บ้านโบกไสว กระทบใบไผ่และใบมะม่วงที่โน้มลงมาปกคลุม
หลังคาหอ้ งนำ้
คนื นี้ชา่ งเงยี บสงัด
ฉันคิดว่าฉันตัดสินใจอย่างสุกงอมแล้ว ไม่ว่าอะไรจะ
เกิดขึ้น มันรู้สึกดีที่วันนี้ได้รักตัวเอง ได้ฟังเสียงตัวเอง เคารพ
การตดั สินของตัวเอง
ฉันปิดหนา้ ต่างลง และเผลอหลบั ไป
บทท่ี 3 พอ่ และวา่ วกลางทงุ่ นา
วันนั้นเป็นวันที่แดดบ่ายยังอยู่ สีของทุ่งหญ้าบนเนิน
ดินใกล้ทุ่งนาเขียวขจี โรงเรียนปิดเทอมแล้ว เข้าสู่ช่วงฤดูร้อน
เด็ก ๆ และหนุ่ม ๆ ต่างพากันหาอุปกรณ์เพื่อทำของเล่นชนิด
หนึ่ง ที่ยืนคู่กับท้องถิ่นมาเป็นเวลาเนิ่นนาน มันทั้งสวยมีเสน่ห์
และใชป้ ระโยชนจ์ ากแดดกับลมช่วงบ่ายจนถึงเย็นไดด้ ที เี ดยี ว
พ่อพาฉันและน้องสาวมาดูบรรยากาศทุ่งนายามฤดู
ร้อน พวกเราเห็นกลุ่มคนหลายกลุ่มพากนั ขึงว่าวตรงกิ่งไม้บา้ ง
กำลังวิ่งยกว่าวขึ้นสู่บรรยากาศบ้าง เวลานี้ทุ่งนาคึกคักเป็น
อย่างมาก สีทองของแดดส่องสะท้อนไปยังรวงข้าวที่ระโยง
ระยางอยู่ริมทางระหว่างนาข้าวแต่ละผนื มีเสียงหัวเราะ เสียง
ตะโกน และห้าวโหน ช่างเปน็ ช่วงเวลาทมี่ ีความสขุ เหลอื เกนิ
ก่อนจะถูกพ่อสั่งกลับบ้านที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนน
ซึ่งพาดผ่านอำเภอเมืองและอำเภอรามัน ฉันอ้อนวอนให้พ่อ
ช่วยทำว่าวใหฉ้ นั และน้องไดเ้ ล่นหน่อย พรงุ่ นฉ้ี ันจะได้เป็นส่วน
หน่ึงในกลุ่มคนที่ขึงว่างค้างคืนนั้น พ่อยังไม่ได้รับปาก
จนกระทั่งฉันและน้องสาวจับแขนของพ่อคนละข้างอ้อนวอน
อยา่ งสดุ ใจวา่ อยากเล่นวา่ วจริง ๆ เขาจงึ พยกั หน้าตกลง
วนั รุ่งเช้า ฉันลืมตาตนื่ เม่ือไดย้ นิ เสยี งอ่านหนังสือของ
พ่อตรงผนังไม้อัดด้านนอกของห้องนอน น้องสาวยังหลับไหล
เสียงอ่านหนังสือที่คุ้นเคยที่ฉันจำไม่ได้เหมือนกันว่าเริ่มได้ยิน
ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกที มันได้เข้ามาแทนที่เสียงไก่ขันยาม
เชา้ ตร่แู ลว้
เมื่อเสียงอ่านหนงั สือเงียบหายไป มอเตอร์ไซด์คันเกา่
ก็ดังขึ้น ได้ยินเสียงพ่อกับแม่คุยกันเจื้อยจ้าวเล็กน้อย เสียง
เสียดสีของใบมีดกรีดยาง เสียงถุงมือเก็บขี้ยาง เสียงถังเก็บขี้
ยาง กระสอบและเชือกฟางถูกลากออกไปนอกบ้าน ก่อนพ่อ
จะบดิ คันเร่งออกไปในสวนยางของเชา้ ตรู่วันนนั้
ฉันบดิ ขเ้ี กียจหลังจากต่ืนนอน ยังคงหาวตดิ ต่อกนั เป็น
สบิ รอบ เด็ก ๆ มักจะไมช่ อบเก็บผา้ ห่ม ซึง่ แมก่ ก็ ำชับใหจ้ ดั การ
อยู่บ่อย ๆ ฉันฉีกมุ้งออกเป็นสองส่วน ไม่หรอก มันคือการ
แหวกประตมู ้งุ ออกต่างหาก ยังจำไดว้ ่า มุ้งผนื นี้มีอายุนานมาก
ตั้งแต่จำความได้มันก็ถูกใช้จนเก่าแล้ว มีร่องรอยของวัยเด็ก
ทารกอยูต่ รงกลางม้งุ นน่ั คอื รอยขาดทแ่ี ม่ทำไว้ เพือ่ นำเปลเด็ก
เล็กเข้ามาในมุ้งที่ซึ่ง พ่อกับแม่นอนด้วยกัน หลายครั้งฉันก็ฉ่ี
เรยี่ ราดลงบนเตียงนอน ซง่ึ ทำใหแ้ ม่ปวดหัวเป็นอยา่ งมาก
น้องตื่นแล้ว เราเปิดประตหู ้องนอนออกมายังห้องโถง
ไม้ เบื้องหน้าคือ ว่าวที่ทำจากกระดาษแก้วตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้
ชั้นวางโทรทัศน์ ตอนนั้นโทรทัศน์ค่อนข้างมีน้ำหนักเพราะมัน
ใหญ่และหนา ว่าวสองอันที่ไม่รู้พ่อหาซื้อมาจากไหน สีน้ำเงิน
และสแี ดงนอนน่งิ
"ว้าว นอ้ ง เยน็ น้ีเรามีวา่ วใหเ้ ล่นแล้ว"
นอ้ งสาวยังคงหลับ ๆ ตนื่ ๆ
"ออื อยากเล่นแลว้ "
"พี่ก็อยากเล่นเหมือนกัน ว่าแต่ ไม่ค่อยอยากไปตาดี
กาเลยนะ"
ฉันทำหน้าบ้ึง เพราะตื่นเตน้ กับของเล่นชิน้ ใหม่
"หนูขอสแี ดงนะ"
นอ้ งสาวว่ิงไปหยิบว่าวสีแดงมากอดไว้ มนั มีขนาดเล็ก
พอมือ และเหมาะกับกายภาพของเราทั้งสองที่มีรูปร่างเล็ก สี
นำ้ เงินกลายเปน็ ของฉัน
ตรงโถงบนบ้านไม้ มหี น้าตา่ งบานเล็กอยู่ 3 บาน บ้าน
หลังนี้เป็นยอดฝีมือของคุณปู่ ซึ่งได้มอบให้พ่อกับอาอยู่คนละ
ฝั่ง ทางทิศใต้ เป็นแนวภูเขาบิโล เช้าตรู่เมื่อเปิดหน้าต่าง
นอกจากจะมองเห็นหลังคาบ้านที่เต็มไปด้วยตะใคร่น้ำของ
ชาวบ้านแลว้ ยงั มีหมอกปกคลมุ ทิวเขาตลอดท้งั ปี หลงั บา้ นฉัน
เป็นสวนกล้วยของเพื่อนบ้าน มีต้นมะพร้าวประปรายและต้น
ตะเคียนใหญ่อยู่ในที่ดินของเพื่อนบ้านอีกฝั่ง ซึ่งน่าจะมีอายุ
เกินสิบปีไปเยอะมาก
วันนี้อากาศสดชื่น เนื่องจากพึ่งเริ่มต้นเข้าฤดูร้อน
หมอกจงึ ใชเ้ วลาในการสลายหายไปได้ค่อนขา้ งชา้
แม่รีดผ้าแขวนไว้ตรงเขาควายที่ทำจากไม้ซึ่งติดอยู่
ตรงเสาใกล้ห้องนอนแล้ว เพื่อเตรียมให้ฉัน ไปโรงเรียนตาดีกา
ซึ่งตั้งอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เนื่องจากตาดีกาในหมู่บ้านนี้ไม่มี
ผู้สอน จึงทำให้การเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยัง
ไมไ่ ด้เปิดทำการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่ พอ่ จึงย้ายฉันไปที่
อื่น เพื่อสิ่งที่ดีกว่า อย่างมากที่สุด ลูกก็จะถูกปลูกฝังด้วย
ความรู้ตงั้ แต่เยาว์วัยโดยไม่ปล่อยใหเ้ วลาล่วงเลยไปหลายปี
ฉันนำปากกาเมจิกสีดำเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาไทย
ไว้บนตัววา่ วเพ่ือแสดงความเปน็ เจ้าของ นำไปตั้งไว้หน้าพัดลม
เพื่อให้หมึกแห้ง แล้วลงจากบ้านไม้ตั้งใจว่าจะอาบน้ำ แต่วันน้ี
อากาศยามเชา้ ค่อนข้างเย็น จึงชะงกั อยตู่ รงประตูห้องครัวท่ีใช้
ออกไปห้องน้ำด้านหลังบ้าน แม่เตรียมน้ำธรรมดาไว้ในถังน้ำ
ใบใหญ่ให้ฉันอาบเรียบร้อยแลว้
"เฮอ้ วนั นี้มันหนาว ช่วยไมไ่ ด้แฮะ"
ฉันปิดประตูห้องครัว เพื่อไม่ให้น้องเห็นเหตุการณ์
แล้วไปรายงานแม่ สิ่งที่ฉันจะทำก็คือ นั่งยอง ๆ แล้วก้มหัวลง
ให้ผมทรงหน้าม้ายาวประบ่าไหลมาคลุมใบหน้าทั้งหมด แล้ว
จัดการยกขันตักน้ำราดน้ำไว้บนหัวให้ผมเปียก ฉันทำแบบนั้น
สามครั้ง แล้วดึงผ้าขนหนูพันตัว ต่อไปเวลาแม่เช็คว่าผมเปียก
จะได้มน่ั ใจว่าฉนั อาบนำ้ จรงิ กม็ นั หนาวน่ีจะใหท้ ำยงั ไง ฉันเป็น
คนชอบอาบน้ำซะที่ไหน เพราะว่าอากาศในหมู่บ้านนี่ช่าง
หนาวเหนบ็ ต้ังแต่ไหนแตไ่ รแล้ว
น้ำไหลเป็นทางบนร่างกายของฉันเข้าเหือดแห้งใน
ผ้าขนหนูผืนใหญ่สีฟ้า ตอนนั้นฉันคงไม่รู้ว่า โกหกผู้ใหญ่ไม่
สำเร็จหรอก นอกจากไม่ชอบอาบน้ำแล้ว ฉันยังไม่ชอบแปรง
ฟันด้วยนะ ฉันจะขยันแปรงฟันก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เท่านั้น
เมื่อยี่สิบปีก่อน ทุกคนในวัยฉัน ในพื้นที่สามจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ คงจะจดจำกลิ่นของสถานที่อาบน้ำแบบเปิด
จากสบู่นกแก้ว สบู่ถูกายที่กลิ่นหอม เป็นมิตรกับธรรมชาติ
ผสานกับตะใคร่น้ำที่ติดอยู่ตามซอกหินของอ่างบรรจุน้ำขนาด
ใหญ่ และไมป้ ระดับต่าง ๆ ทว่ี างไว้รอบ ๆ ทอี่ าบน้ำโดยเฉพาะ
ผสมผสานกับกลิ่นหอมของต้นใบเตย วันไหนที่ฝนตก วันนั้น
กลิ่นของสบู่จะลอยโชยไปไกล สดชื่นที่สุด แถมฝนที่ตกลงบน
ตัวสบู่จะละลายลงสู่แอ่งเล็ก ๆ ที่ขุดไว้สำหรบั ระบายน้ำเป็นสี
ฟา้ ข่นุ อีกดว้ ย
..
ฉันถงึ ตาดีกาแลว้
และตอ้ งกำชับพ่อทุกวนั ว่าให้มาส่งด้วยมอเตอร์ไซด์ที่
ปล่อยเสียงเหมือนคนทั่วไปบนท้องถนนใหญ่ และต้องไม่ดัง
กว่ารถของพ่อเพื่อน ๆ ที่มาส่ง ฉันไม่ชอบที่พ่อมารับด้วย
มอเตอร์ไซด์คันเก่าของปู่ ที่ส่งเสียงเหมือนกัน กับตอนแข่งขนั
กีฬาพื้นบ้านปิดตาตีปี๊ป มันทั้งเสียงดังและเรียกร้องความ
สนใจ และเพื่อน ๆ ก็จะล้อเลียนฉันไปจนกว่าคุณครูจะเข้า
สอนคาบแรกน้ันแหละ
"Tegap dan teguh dalam barisan..." เพลงยาม
เขา้ แถวถูกขับร้องข้นึ อยา่ งสะเปะสะปะ คุณครูสองสามคนเดิน
ไปเดินมา ถือไม้เรียวไว้ในมือที่กำลังไขว้หลังแสดงถึงภาวะ
ผู้นำ
"วนั นีม้ ีตรวจเล็บ"
โรงเรียนตาดีกาเสมือนสมรภูมิสงครามที่ต้องการ
เอาชนะระหว่างกัน โดยเฉพาะเมื่อสงครามชนะแพ้สลับกันไป
แต่ละรอบ แต่ละรอบของการเข้าแถวก็คือแพ้และชนะสลับ
กล่มุ คนเช่นเดียวกนั
"สยี ะ"
เพ่อื น ๆ พดู คำน้ขี ้นึ ซง่ึ กแ็ ปลได้ว่า "เสร็จแน!่ " และคน
ที่เล็บยาวก็จะต้องทำมือเป็นดอกบัวตูมทั้งสองมือ สิบนิ้ว ให้
คณุ ครูใชแ้ ปรงลบกระดานดำตีลงไปดัง "กกึ " แมจ้ ะไม่ได้ตีด้วย
ไม้เรียว แต่ถ้าถามเด็ก ๆ ที่เคยผ่านช่วงเวลานี้มากอ่ นก็จะร้วู า่
มันเจ็บถึงกระดูกน้ิวเป็นว่าเล่นเลยเชยี ว
"เจบ็ ไหม"
"ไม่เหน็ เจบ็ เลย"
"เจ็บไหม"
"คันที่นว้ิ มอื พอด"ี
แต่ความจริงกค็ อื มันเจ็บนน้ั เอง
...
โรงเรียนตาดีกาในความทรงจำ เป็นศูนย์การศึกษา
อิสลามประจำมสั ยดิ ที่ก่อเกดิ ขน้ึ เพื่อต้องการตัรบียะฮฺ*เด็กใน
เรื่องพื้นฐานทางศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักศรัทธา
หลักปฏิบัติศาสนกิจ เรอ่ื งมารยาท ภาษาอาหรบั ระดับพ้ืนฐาน
และภาษามลายูท้ังอักขระยาวีและรูมี ใช้เวลาสองวันของแต่
ละสัปดาห์ในการทำการเรียนการสอน คือ วันเสาร์และวัน
อาทิตย์ โดยในชว่ งกลางวนั สว่ นใหญแ่ ลว้ จะปลอ่ ยให้เดก็ กลัย
ไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่บ้านพร้อมละหมาดซุฮรี
แล้วมาเรียนกันอีกทีภาคบ่ายจนถงึ สี่โมงเย็นหลังละหมาดอัสรี
เสร็จเรยี บร้อย จึงจะกลบั บ้านได้
โรงเรียนตาดีกาของฉันตอนแรก สวมเครื่องแบบกุรง
คือ เสื้อประจำท้องถิ่นของคนที่นี่ เป็นเสื้อสีขาวยาวถึงเข่า
กระโปรงสำเรจ็ สีเขยี วแก่ และผา้ คลมุ ผมทรงสามเหล่ียมสีขาว
เช่นกัน ตามจริงแล้ว ในช่วงนั้นเครื่องแบบนักเรียนตาดีกาทุก
สถาบันจะเหมือนกันหมด จนกระทั่งได้รับอิทธิพลเรื่อง
เครื่องแบบจากภายนอก ภายหลังจึงได้มีการปรับเปลี่ยนเป็น
เส้ือยาวบ้าง เส้ือเอย้ี มบ้างแลว้ แต่ผูอ้ อกแบบ
'อันนา' เพ่ือนรว่ มห้องท่ีอายุมากกว่าฉันหนึ่งปี เธอนุ่ง
กระโปรงสั้นติ้ว และฉันเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่
แสดงออกให้เธอรู้ ว่าฉันดูถูกกระโปรงที่เธอสวมมากแค่ไหน
ตอนนน้ั ใครจะวา่ ฉันไร้เดียงสาคงมองฉนั ผิดไปเยอะเลย เพราะ
ลึก ๆ แลว้ ฉันเปน็ เดก็ ท่ีรา้ ยสดุ ๆ
ฉันมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม ทุกครั้งที่เรา
สบตากัน ฉันจะยิ้มแบบมีเลศนัยให้เธอเสมอ แถมยังหาพรรค
พวกด้วย ด้วยความที่เป็นเด็กจากถิ่นอื่น แถมอ่านเขียนได้
คล่องกว่าเด็ก ๆ เจ้าของถิ่น ทำให้ตัวเองฮ็อตและดูเท่ขึ้นใน
ระดบั หน่งึ เลย
วันนั้นอันนาจับแขนฉัน และถามฉันตรง ๆ ว่าตกลง
ฉันมีปัญหาอะไรกับเขากันแน่ ทำไมถึงแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร
แบบนั้นใส่เขา ฉันตอบว่า ฉันก็แค่มองเฉย ๆ มันผิดด้วยเหรอ
อนั นาเปน็ คนอา่ นเขยี นช้า ทกุ ครงั้ ท่ีครูให้เธออ่านสิ่งท่ีเขียนบน
กระดานดำ เธอจะอำ้ ๆ อ้งึ ๆ และฉันกจ็ ะหวั เราะใสเ่ ธอจนทำ
ให้เธอเสียความมน่ั ใจไปหลายครัง้
"เดีย่ วไดเ้ จอดแี น"่
อนั นาเตือนฉัน ก่อนเลิกแถวกลับบา้ นวนั นี้
...,
ว่าวของพ่อกำลังจะขึ้นโผบินแข่งขันกับนกเอี้ยงบน
หลังควาย ความจริงก็คือ ฉันทำให้ว่าวขึ้นล่องลอยไปสู่เวิ้งว้าง
ของท้องฟ้าไม่สำเร็จสักที น้องสาวก็บอกว่าเหนื่อยจะกระโดด
แล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าหางของมันที่เหมือนกับหางลูกอ๊อดมีปัญหา
หรอื เปลา่ ทำใหว้ า่ วทรงตัวไมไ่ ดส้ กั ที
"ตอนนลี้ มมันอยู่สงู ลูกต้องขึ้นไปวิ่งบนเนนิ ดิน วา่ วจึง
จะสมั ผัสลมและโผขึ้นบนทอ้ งฟ้าได้"
"ทำไมละคะ พ่อ"
"ลูกยังเล็ก ตัวแค่นี้เอง และตรงนี้อยู่ต่ำมาก วันนี้ลม
ไม่ได้ลงมาต่ำ ว่าวจึงโผขึ้นไปข้างบนไม่ได้ ที่ใดมีลม ตรงน้ัน
วา่ วถึงจะขนึ้ โบยบิน"
"นัน้ หรอกเหรอ"
"เขา้ ใจแล้วค่ะ"
จากบนคันนา เราทง้ั สองคอ่ ย ๆ ไต่สูงขึ้นบนเนินดินที่
มีหญ้าขึ้นเขียวขจี มันตั้งอยู่หลังปั้มน้ำมันรูปหอยหน้าถนน
ใหญ่
"เอาละ่ กระโดดเลยพจ่ี ะวงิ่ แล้ว"
ฮืบบบบ
น้องสาวถือว่าวจนตึงแขนแล้วกระโดดขึ้นสูงเพื่อให้
ว่าวสัมผัสลม ฉันรีบวิ่งไปทางทิศตะวันออกอย่างเร็วไว สักพัก
ว่าวสีน้ำเงินของฉัน ก็ลอยสูงขึ้น มันว่ายขึ้นสู่ความว่างเปล่า
ของท้องฟ้า ราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในตู้กระจก แม้จะบิน
ขน้ึ ตำ่ กวา่ วา่ วตวั อื่น ๆ แต่ก็พอจะทกั ทายว่าวบหุ ลันของรุ่นพี่ท่ี
ขึงไวต้ ้ังแต่เมอื่ วานได้บา้ ง
ฉันค่อย ๆ ปล่อยเชือกที่ม้วนอยู่ในมือให้ยาวขึ้น ๆ
ค่อย ๆ ทำให้ว่าวลอยขึ้นไปไกลจากระดับพื้นดิน แต่ลม