บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ สภาพปัญหาที่พบ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... วิธีแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................................... ลงชื่อ..................................................ผู้บันทึก ( ……………………………………….. ) ต ำแหน่ง .............................................................. ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ................................ .................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ................................ ลงชื่อ....................................................... ( นำงณิชชำ ค ำชมภู) ผู้อ ำนวยกำร สกร.อ ำเภอเซกำ
แผนการจัดการเรียนรู้ สาระ.........ทักษะการด าเนินชีวิต .......รายวิชา........สุขศึกษา พลศึกษา...........รหัส...ทช11002......... จ านวน.............2.................หน่วยกิต ระดับ........ประถมศึกษา.......... จ านวนที่สอน.......6........ชั่วโมง ครั้งที่........1.......วันที่...............เดือน..........................................พ.ศ....................... ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ชื่อครูผู้สอน..........นายวิษณุ อินธิราช............... ต าแหน่ง........ครูผู้สอนคนพิการ...... วิธีเรียน กศน. รูปแบบ การพบกลุ่ม เรื่อง ร่างกายของเรา ตัวชี้วัด 1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามวัยของรางกายได 2. อธิบายโครงสรางและการทํางานของอวัยวะภายใน และภายนอกได 3. อธิบายวิธีการดูแลรักษาปองกันความผิดปกติของอวัยวะที่สําคัญของรางกาย ทั้งภายใน และภายนอกได เนื้อหา ร่างกายของเรา เรื่องที่ 1 วัฏจักรชีวิตของมนุษย เรื่องที่ 2 โครงสราง หนาที่และการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย เรื่องที่ 3 การดูแลรักษาปองกนั ความผดิปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและ ภายใน ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 1 การก าหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ครูเริ่มเข้าสู่บทเรียนโดยการสนทนากับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย ของมนุษย์ ขั้นที่ 2. แสงหาความรู้และการจัดการกิจกรรม ครูอธิบายถึงโครงสร้าง หน้าที่ และการทํางานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์ โดยให้ผู้เรียนดูจาก ใบความรู้ที่ครูมอบให้ 3. ครูแจกใบงานให้นักศึกษาในหัวข้อ - การเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย - หน้าที่การทํางานของอวัยวะภายนอก - หน้าที่การทํางานของอวัยวะภายใน โดยให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มหรือจับคู่ช่วยกันทําและสรุปหัวข้อใบงานที่ครูมอบหมายออกนําเสนอหน้าชั้นเรียน
ขั้นที่ 3 การปฎิบัติและน าไปประยุกต์ใช้ 1.ครูและนักศึกษาร่วมกันสรุปบทเรียนร่วมกัน ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1.ครูให้ศึกษาทําแบบฝึกหัด 2.ครูเฉลยแบบฝึกหัด การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายนอกเหนือจาก ได้เรียนจากการมาพบกลุ่ม - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาการดูแลรักษาป้องกัน ความผิดปกติของอวัยวะสําคัญของร่างกาย อวัยวะภายนอกและภายใน และ สรุปความแตกต่างของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอกพร้อมอภิบายวิธีการป้องกันและดูแลรักษา สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 1. แบบเรียนวิชาสุขศึกษา พลศึกษา 2. ใบความรู้ 3. คลิปวิดิโอ 4. แบบฝึกหัด การวัดและการประเมินผล 1. ใบงานแบบฝึกหัด 2. แบบบันทึกการเรียนรู้ 3. แบบประเมินพฤติกรรม ลงชื่อ.......................................................ครูผู้สอน (นายวิษณุ อินธิราช) ครูผู้สอนคนพิการ ความคิดเห็นของผู้บริหาร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ....................................................... ( นางณิชชา ค าชมภู ) ผู้อ านวยการ สกร.อ าเภอเซกา
แผนการจัดการเรียนรู้ สาระ.........ทักษะการด าเนินชีวิต .......รายวิชา........สุขศึกษา พลศึกษา...........รหัส...ทช11002......... จ านวน.............2.................หน่วยกิต ระดับ........ประถมศึกษา.......... จ านวนที่สอน.......6........ชั่วโมง ครั้งที่........2.......วันที่...............เดือน..........................................พ.ศ....................... ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ชื่อครูผู้สอน..........นายวิษณุ อินธิราช............... ต าแหน่ง........ครูผู้สอนคนพิการ...... วิธีเรียน กศน. รูปแบบ การพบกลุ่ม เรื่อง ร่างกายของเรา ตัวชี้วัด 1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามวัยของรางกายได 2. อธิบายโครงสรางและการทํางานของอวัยวะภายใน และภายนอกได 3. อธิบายวิธีการดูแลรักษาปองกันความผิดปกติของอวัยวะที่สําคัญของรางกาย ทั้งภายใน และภายนอกได เนื้อหา ร่างกายของเรา เรื่องที่ 1 วัฏจักรชีวิตของมนุษย เรื่องที่ 2 โครงสราง หนาที่และการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย เรื่องที่ 3 การดูแลรักษาปองกนั ความผดิปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและ ภายใน ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 1 การก าหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ครูเริ่มเข้าสู่บทเรียนโดยการสนทนากับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย ของมนุษย์ ขั้นที่ 2. แสงหาความรู้และการจัดการกิจกรรม Set up ขั้นเตรียมความพร้อม 1. ครู ผู้เรียนร่วมกันทํากิจกรรมและร้องเพลง https://www.youtube.com/watch?v=chIU3dMADk&feature=youtu.be ๒. ครูให้ผู้เรียนแข่งกันทําท่าทางประกอบเพลงให้ถูกต้องและจับคนที่ทําผิดให้ออกมาหน้าชั้นเรียน แล้วให้ทําใหม่ให้เพื่อนๆใน ชั้นเรียนช่วยกันดู Tie In ขั้นทบทวนความรู้เดิม เชื่อมโยงความรู้ใหม่
1. ครูแจกกระดาษให้ผู้เรียนคนละ ๑ แผ่น เพื่อให้ผู้เรียนเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของตนเอง โดยไม่ต้องลง ชื่อ ๒. ครูรวบรวมกระดาษคําตอบจากผู้เรียนเก็บไว้เพื่อทําในกิจกรรมต่อไป Engage ขั้นเร้าความสนใจ ๑. ให้ผู้เรียนชมคลิปการ์ตูนเกี่ยวกับการพัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น https://www.youtube.com/watch?v=0Ov1Em0wl9g ๔. ครูถามผู้เรียนและให้ผู้เรียนช่วยกับตอบเกี่ยวกับคลิปที่ดูว่า มีเรื่องใดบ้างที่ตรงกับที่เขียนมาให้ครู Perform ขั้นลงมือปฏิบัติ 1. ครูให้ผู้เรียนชมคลิปกฏหมายที่ควรรู้ในเรื่องเพศ และการสร้างเป้าหมายให้ตนเอง https://www.youtube.com/watch?v=qk7n9VjY1Kc 2. ครูให้ผู้เรียนเลือกตัวละครในคลิปที่ได้ชม และให้ผู้เรียนวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของตัวละครที่เลือก และ เหตุผลที่เลือกตัวละครตัวนี้มาเพราะเหตุใด ๓. ครูให้เหตุผลเพิ่มเติมและสอบถามความคิดเห็นจากเพื่อนๆในชั้นเรียน Use ขั้นฝึกปฏิบัติ 1. ครูให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ที่ ๑ พัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น ใบความรู้ที่ ๒ เรื่อง การคุมกําเนิด และใบงานที่ ๓ เรื่อง กฏหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ ๒. ครูให้ผู้เรียนทําใบงาน เรื่อง พัฒนาการทางเพศของวัยรุ่นและใบงานเรื่อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และร่วมกันเฉลยใบ งาน เมื่อผู้เรียนทําเสร็จ Pack ขั้นสรุป ผู้เรียนสรุปเรื่องพัฒนาการทางเพศของวัยรุ่นโดยใช้รูปแบบแผนผังความคิดขั้นที่ 3 การปฎิบัติและน าไปประยุกต์ใช้ 1.ครูและนักศึกษาร่วมกันสรุปบทเรียนร่วมกัน ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1.ครูให้ศึกษาทําแบบฝึกหัด 2.ครูเฉลยแบบฝึกหัด การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายนอกเหนือจาก ได้เรียนจากการมาพบกลุ่ม - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาการดูแลรักษาป้องกัน ความผิดปกติของอวัยวะสําคัญของร่างกาย อวัยวะภายนอกและภายใน และ สรุปความแตกต่างของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอกพร้อมอภิบายวิธีการป้องกันและดูแลรักษา สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 1. แบบเรียนวิชาสุขศึกษา พลศึกษา 2. ใบความรู้ 3. คลิปวิดิโอ 4. แบบฝึกหัด
การวัดและการประเมินผล 1. ใบงานแบบฝึกหัด 2. แบบบันทึกการเรียนรู้ 3. แบบประเมินพฤติกรรม ลงชื่อ.......................................................ครูผู้สอน (นายวิษณุ อินธิราช) ครูผู้สอนคนพิการ ความคิดเห็นของผู้บริหาร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ....................................................... ( นางณิชชา ค าชมภู ) ผู้อ านวยการ สกร.อ าเภอเซกา
แผนการจัดการเรียนรู้ สาระ.........ทักษะการด าเนินชีวิต .......รายวิชา........สุขศึกษา พลศึกษา...........รหัส...ทช11002......... จ านวน.............2.................หน่วยกิต ระดับ........ประถมศึกษา.......... จ านวนที่สอน.......6........ชั่วโมง ครั้งที่........3.......วันที่...............เดือน..........................................พ.ศ....................... ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ชื่อครูผู้สอน..........นายวิษณุ อินธิราช............... ต าแหน่ง........ครูผู้สอนคนพิการ...... วิธีเรียน กศน. รูปแบบ การพบกลุ่ม เรื่อง การดูแลสุขภาพ ตัวชี้วัด 1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามวัยของรางกายได 2. อธิบายโครงสรางและการทํางานของอวัยวะภายใน และภายนอกได 3. อธิบายวิธีการดูแลรักษาปองกันความผิดปกติของอวัยวะที่สําคัญของรางกาย ทั้งภายใน และภายนอกได เนื้อหา ร่างกายของเรา เรื่องที่ 1 วัฏจักรชีวิตของมนุษย เรื่องที่ 2 โครงสราง หนาที่และการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย เรื่องที่ 3 การดูแลรักษาปองกนั ความผดิปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและ ภายใน ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 1 การก าหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ครูเริ่มเข้าสู่บทเรียนโดยการสนทนากับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย ของมนุษย์ ขั้นที่ 2. แสงหาความรู้และการจัดการกิจกรรม Set up ขั้นเตรียมความพร้อม 1. ครู ผู้เรียนร่วมกันทํากิจกรรมขยับกาย ขยายสมอง (Brain Gym) https://www.youtube.com/watch?v=gIPuhxPlykE ๒. ครูให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกันทําท่าทางประกอบเพลงให้ถูกต้องและจับกลุ่มที่ทําผิดให้ออกมาหน้าชั้นเรียน แล้วให้ทําใหม่ให้ เพื่อนๆในชั้นเรียนช่วยกันดู Tie In ขั้นทบทวนความรู้เดิม เชื่อมโยงความรู้ใหม่ 1. ครูแจกกระดาษให้ผู้เรียนคนละ ๑ แผ่น เพื่อให้ผู้เรียนวาดภาพระบายสีเกี่ยวกับรายการอาหารที่คิดว่ามีคุณค่าทางอาหาร ครบทั้ง ๕ หมู่ โดยห้ามเขียนบรรยาย ให้ใช้ภาพเพียงอย่างเดียว
๒. ครูรวบรวมภาพวาดจากผู้เรียนทั้งหมด แล้วนําไปสลับกันตรวจดูกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียน ว่าถูกต้องหรือไม่ ๓. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารหลัก ๕ หมู่ พร้อมทั้งแจกใบความรู้ เรื่อง ความหมาย ความสําคัญและคุณค่าของอาหาร และโภชนาการ และใบความรู้เรื่องการถนอมอาหาร Engage ขั้นเร้าความสนใจ ๑. ให้ผู้เรียนชมคลิปเกี่ยวกับหลักการดูแลสุขภาพเบื้องต้น https://www.youtube.com/watch?v=GZ9T7GAx0M0 ๔. ครูถามผู้เรียนและให้ผู้เรียนช่วยกันอภิปรายเกี่ยวกับคลิปที่ดูว่า มีเรื่องใดบ้างที่ตรงกับชีวิต ประจําวันของตนเองและมีเรื่อง ใดบ้างที่ควรจะเพิ่มเติม Perform ขั้นลงมือปฏิบัติ ๑.ครูให้ผู้เรียนแข่งกันเขียนประโยชน์ของการออกกําลังกายและประเภทของกีฬาที่จัดว่าเป็นการออกกําลังกายให้ได้มากที่สุด ในระยะเวลา ๑ นาที คนที่ได้คําตอบมากที่สุด จะได้รับรางวัลจากครู 1. ครูให้ผู้เรียนชมคลิปประโยชน์ของการออกกําลังกาย https://www.youtube.com/watch?v=nkOcwN9J8bs และคลิปเกี่ยวกับการออกกําลังกายแบบกายบริหาร ๑๐ ท่า https://www.youtube.com/watch?v=R5SNYbCqoa4 โดยให้ผู้เรียนทั้งหมดปฏิบัติตามที่ได้ดูในคลิป โดยพร้อมเพรียงกัน Use ขั้นฝึกปฏิบัติ 1. ครูให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ เรื่องการออกกําลังกายและกิจกรรมนันทนาการ ๒. ครูให้ผู้เรียนทําใบงาน เรื่อง การดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวและใบงานเรื่อง ภาวะโภชนบัญญัติของตนเอง และ ร่วมกันเฉลยใบงาน เมื่อผู้เรียนทําเสร็จ Pack ขั้นสรุป ครูและผู้เรียนร่วมกันสรุปเรื่องการดูแลสุขภาพโดยใช้รูปแบบแผนผังความคิด ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1.ครูให้ศึกษาทําแบบฝึกหัด 2.ครูเฉลยแบบฝึกหัด การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายนอกเหนือจาก ได้เรียนจากการมาพบกลุ่ม - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาการดูแลรักษาป้องกัน ความผิดปกติของอวัยวะสําคัญของร่างกาย อวัยวะภายนอกและภายใน และ สรุปความแตกต่างของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอกพร้อมอภิบายวิธีการป้องกันและดูแลรักษา สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 1. แบบเรียนวิชาสุขศึกษา พลศึกษา 2. ใบความรู้ 3. คลิปวิดิโอ 4. แบบฝึกหัด
การวัดและการประเมินผล 1. ใบงานแบบฝึกหัด 2. แบบบันทึกการเรียนรู้ 3. แบบประเมินพฤติกรรม ลงชื่อ.......................................................ครูผู้สอน (นายวิษณุ อินธิราช) ครูผู้สอนคนพิการ ความคิดเห็นของผู้บริหาร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ....................................................... ( นางณิชชา ค าชมภู ) ผู้อ านวยการ สกร.อ าเภอเซกา
แผนการจัดการเรียนรู้ สาระ.........ทักษะการด าเนินชีวิต .......รายวิชา........สุขศึกษา พลศึกษา...........รหัส...ทช11002......... จ านวน.............2.................หน่วยกิต ระดับ........ประถมศึกษา.......... จ านวนที่สอน.......6........ชั่วโมง ครั้งที่...............วันที่...............เดือน..........................................พ.ศ....................... ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ชื่อครูผู้สอน..........นายวิษณุ อินธิราช............... ต าแหน่ง........ครูผู้สอนคนพิการ...... วิธีเรียน กศน. รูปแบบ การพบกลุ่ม เรื่อง โรคติดต่อ สาเหตุ อาการ การป้องกัน การรักษา ตัวชี้วัด ๑. เรียนรู้เรื่องโรคติดต่อต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพของครอบครัวและชุมชน ๒. เรียนรู้ถึงสาเหตุที่เกิดโรค ศึกษาวิธีการป้องกัน และการดูแลรักษาอาการของผู้ป่วย เนื้อหา โรคติดต่อ สาเหตุ อาการ การป้องกัน การรักษา ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 1 การก าหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ครูเริ่มเข้าสู่บทเรียนโดยการสนทนากับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย ของมนุษย์ ขั้นที่ 2. แสงหาความรู้และการจัดการกิจกรรม Set up ขั้นเตรียมความพร้อม 1. ครู ผู้เรียนร่วมร้องเพลงและแสดงท่าทางประกอบเพลง (เพลง การป้องกันโรค (กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สวมหน้ากาก อนามัย) 2. ครูให้ผู้เรียนดูคลิปวีดีโอ 8 โรคติดต่อร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจ านวนมาก จาก https://www.youtube.com/watch?v=dWvIhDwYoQs (เมื่อจบแล้วครูถามผู้เรียนว่ารู้จักโรคติดต่ออะไรนอกเหนือจากโรคเหล่านี้ และเป็นโรคที่พบกันบ่อย ๆ ในประเทศไทย
Tie In ขั้นทบทวนความรู้เดิม เชื่อมโยง 1. ครูให้แต่ละกลุ่มน าออกก าลังกายวิธีต่าง ๆ ตามที่มอบหมายไป Engage ขั้นเร้าความสนใจ 3. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มออกมาแสดงท่าทางเงียบ (จิ้กซอว์มนุษย์) เกี่ยวกับโรคติดต่อ และให้ผู้เรียนกลุ่มอื่น ๆ ทายว่าเป็นโรคอะไร Perform ขั้นลงมือปฏิบัติ 1. แจกบัตรภาพโรคต่าง ๆ ตามกลุ่มที่ได้แบ่งไว้ แต่ละคนในกลุ่มจะได้ภาพไม่เหมือนกัน 2. ครูชูบัตรค าสื่อเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง และให้สมาชิกในกลุ่มชูบัตรภาพให้ตรงกับโรคติดต่อ โดยมีการให้คะแนนแก่กลุ่มที่ ตอบถูก Use ขั้นฝึกปฏิบัติ 1. ครูให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ที่ ๑ เรื่อง โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ความรู้ที่ ๒ เรื่อง โรคไข้เลือดออก ความรู้ที่ ๓ เรื่องโรคไข้หวัดธรรมดา ความรู้ที่ ๔ เรื่องโรคเอดส์ ความรู้ที่ ๕ เรื่อง โรคฉี่หนู ความรู้ที่ ๖ เรื่องโรคมือเท้าเปื่อย ความรู้ที่ ๗ เรื่องโรคตาแดง ความรู้ที่ ๘ เรื่อง ไข้หวัดนก Pack ขั้นสรุป ผู้เรียนสรุปโรคติดต่อต่าง ๆ สาเหตุ อาการ การป้องกัน การรักษา โดยใช้รูปแบบแผนผังความคิด ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1.ครูให้ศึกษาท าแบบฝึกหัด 2.ครูเฉลยแบบฝึกหัด การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายนอกเหนือจาก ได้เรียนจากการมาพบกลุ่ม - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาการดูแลรักษาป้องกัน ความผิดปกติของอวัยวะส าคัญของร่างกาย อวัยวะภายนอกและภายใน และ สรุปความแตกต่างของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอกพร้อมอภิบายวิธีการป้องกันและดูแลรักษา สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 1. แบบเรียนวิชาสุขศึกษา พลศึกษา 2. ใบความรู้ 3. คลิปวิดิโอ 4. แบบฝึกหัด
การวัดและการประเมินผล 1. ใบงานแบบฝึกหัด 2. แบบบันทึกการเรียนรู้ 3. แบบประเมินพฤติกรรม ลงชื่อ.......................................................ครูผู้สอน (นายวิษณุ อินธิราช) ครูผู้สอนคนพิการ ความคิดเห็นของผู้บริหาร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ....................................................... ( นางณิชชา ค าชมภู ) ผู้อ านวยการ สกร.อ าเภอเซกา
แผนการจัดการเรียนรู้ สาระ.........ทักษะการด าเนินชีวิต .......รายวิชา........สุขศึกษา พลศึกษา...........รหัส...ทช11002......... จ านวน.............2.................หน่วยกิต ระดับ........ประถมศึกษา.......... จ านวนที่สอน.......6........ชั่วโมง ครั้งที่......5.........วันที่...............เดือน..........................................พ.ศ....................... ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ชื่อครูผู้สอน..........นายวิษณุ อินธิราช............... ต าแหน่ง........ครูผู้สอนคนพิการ...... วิธีเรียน กศน. รูปแบบ การพบกลุ่ม เรื่อง ยาสามัญประจ าบ้าน ตัวชี้วัด 1. อธิบายสรรพคุณและวิธีการใช้ยาสามัญประจ าบ้านได้ถูกต้อง 2. อธิบายถึงอันตรายจากการใช้ยาสามัญประจ าบ้าน 3. อธิบายถึงความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับการใช้ยา เนื้อหา 1. หลักการและวิธีการใช้ยาสามัญประจ าบ้าน 2. อันตรายจากการใช้ยา และความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับยา ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 1 การก าหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ครูเริ่มเข้าสู่บทเรียนโดยการสนทนากับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกาย ของมนุษย์ ขั้นที่ 2. แสงหาความรู้และการจัดการกิจกรรม Set up ขั้นเตรียมความพร้อม 1. ครู ผู้เรียนร่วมร้องเพลงและแสดงท่าทางประกอบเพลง (เพลง ยิ้ม และเพลงปรบมือ 5 ครั้ง) 2. ครูให้ผู้เรียนดูคลิปวีดีโอ หมอในบ้าน จาก https://www.youtube.com/watch?v=6OYdtVrFp6A เมื่อจบแล้วครูให้ผู้เรียนบอกชื่อยาสามัญประจ าบ้าน ที่รู้จัก)
Tie In ขั้นทบทวนความรู้เดิม เชื่อมโยง 1. ครูให้แต่ละกลุ่มน าเสนอยาสามัญประจ าบ้าน ที่ใช้กับโรคติดต่อ (ตามบทที่ 4) ที่ผู้เรียนรู้จัก พร้อมสรรพคุณ Engage ขั้นเร้าความสนใจ ครูให้ผู้เรียนร่วมกันร้องเพลง ยาสามัญประจ าบ้าน 24 ขนาน https://www.youtube.com/watch?v=PHgxpVc0rqw (เมื่อจบแล้วครูให้ผู้เรียนบอกชื่อยาสามัญประจ าบ้าน ที่รู้จัก) Perform ขั้นลงมือปฏิบัติ 1. แจกบัตรภาพยาต่าง ๆ ตามกลุ่มที่ได้แบ่งไว้ แต่ละคนในกลุ่มจะได้ภาพไม่เหมือนกัน 2. ครูชูบัตรค าสื่อเกี่ยวกับยาสามัญประจ าบ้าน ที่ใช้ในกลุ่มต่าง ๆ และให้สมาชิกในกลุ่มชูบัตรภาพให้ตรงกับกลุ่มยาโดยมีการ ให้คะแนนแก่กลุ่มที่ตอบถูก Use ขั้นฝึกปฏิบัติ 1. ครูให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ที่ 1 เรื่อง หลักการและวิธีการใช้ยาสามัญประจ าบ้าน ความรู้ที่ 2. เรื่อง อันตรายจากการใช้ยาสามัญประจ าบ้าน ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง ความเชื่อเกี่ยวกับยา Pack ขั้นสรุป ให้ผู้เรียนอภิปรายระหว่างยาสามัญประจ าบ้าน ยาแผนโบราณ และยาแผนปัจจุบัน ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1.ครูให้ศึกษาท าแบบฝึกหัด 2.ครูเฉลยแบบฝึกหัด การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายนอกเหนือจาก ได้เรียนจากการมาพบกลุ่ม - ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาการดูแลรักษาป้องกัน ความผิดปกติของอวัยวะส าคัญของร่างกาย อวัยวะภายนอกและภายใน และ สรุปความแตกต่างของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอกพร้อมอภิบายวิธีการป้องกันและดูแลรักษา สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 1. แบบเรียนวิชาสุขศึกษา พลศึกษา 2. ใบความรู้ 3. คลิปวิดิโอ 4. แบบฝึกหัด
การวัดและการประเมินผล 1. ใบงานแบบฝึกหัด 2. แบบบันทึกการเรียนรู้ 3. แบบประเมินพฤติกรรม ลงชื่อ.......................................................ครูผู้สอน (นายวิษณุ อินธิราช) ครูผู้สอนคนพิการ ความคิดเห็นของผู้บริหาร ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ....................................................... ( นางณิชชา ค าชมภู ) ผู้อ านวยการ สกร.อ าเภอเซกา
เรื่องที่ 1 วัฎจักรชีวิตของมนุษย ธรรมชาติของชีวิตมนุษย ธรรมชาติของมนุษยประกอบไปดวยการเกิด แก เจ็บ ตาย ซึ่งเปนธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนหลีกไมพน ดังนั้น ควรเรียนรูและปฏิบัติตนดวยความไมประมาท 1. การเกิด ทุกคนเกิดมาจากพอซึ่งเปนเพศชาย และแมซึ่งเปนเพศหญิงโดยธรรมชาติไดกําหนดใหเพศหญิงเปนคนอุม ท องตามปกติประมาณ 9 เดือน จะคลอดจากครรภมารดา เจริญเติบโตเปนทารก แลวพัฒนาการเปนวัยเด็ก วัยรุน วัยผู ใหญ วัยชรา ตามลําดับ รางกายของคนเราก็จะคอยๆ เปลี่ยนไปตามวัย 2. การแก เมื่ออายุมากขึ้น รางกายจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นไดชัด เชน เมื่ออยูในชวงชรา รางกายจะเสื่อมสภาพลง ผิวหนังเหี่ยวยน การเคลื่อนไหวชาลง คนสวนใหญเรียกวา “คนแก” 3. การเจ็บ การเจ็บปวยของมนุษยสวนใหญเกิดจากการขาดดูแลรักษาสุขภาพที่ถูกตองและสม่ําเสมอ คนสวนใหญมักเคย เจ็บปวย บางคนเจ็บปวยเล็กๆ นอยๆ หรือมาก จนตองรับการรักษาจากแพทย ถาไมดูแลรักษาสุขภาพตนเอง รางกายย อมออนแอและมีโอกาสจะรับเชื้อโรคเขาสูรางกายไดงายกวาบุคลที่รักษาสุขภาพสม่ําเสมอ 4. การตาย ความตายเปนสิ่งที่ทุกคนหนีไมพน เกิดแลวตองตายดวยกันทุกคน แตการตายนั้น ตองถึงวัยที่รางกาย เสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติ เมื่ออยูในวัยหนุมสาวจึงควรดูแลรักษาสุขภาพและดํารงชีวิตดวยความไมประมาท การเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย จะเริ่มตั้งแตเกิด ซึ่งแบงไดเปน 5 ชวงวัยโดยแตละวัยจะมีลักษณะ และพัฒนาการเฉพาะของวัย การเจริญเติบโต (Growth) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในขนาดรูปราง สัดสวนตลอดจนกระดูก กลามเนื้อและ อวัยวะทุกสวนของรางกายตามลําดับขั้น พัฒนาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของมนุษยทุกสวนที่ตอเนื่องกันตั้งแตแรกเกิดจนตลอด ชีวิต ซึ่งเปนกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งรางกายและจิตใจผสมผสานกันไปเปนขั้นๆ จากระยะหนึ่งไปสูอีกระยะหนึ่ง ทํา ใหเกิดการเจริญกาวหนาเปนลําดับ ซึ่งแบงเปน 5 ชวงวัย ดังนี้ 1. วัยทารก (Infancy) ตั้งแตเกิด – 2 ป เด็กในวัยนี้จะมีพัฒนาการทางดานรางกายที่รวดเร็วมากในขวบปแรกเปน 2 เทาจากแรกเกิด ปถัดมา พัฒนาการจะเพิ่มขึ้นเพียง 30 % จากนั้นจะเจริญเติบโตขึ้นตามลําดับ ตามแผนของการพัฒนา วัยทารกจะสามารรับรู สิ่งตางๆ ไดในระดับเบื้องตน เชน รูจักสํารวจ คนหา ทําความเขาใจและปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมรอบๆ ตัว รู จักใชอวัยวะสัมผัสสิ่งตางๆ วัยนี้ตองอาศัยการเลี้ยงดูเอาใจใสมากที่สุด 2. วัยเด็ก (Childhood) ตั้งแต 3-12 ป การเจริญเติบโตในวัยนี้สวนใหญเปนเรื่องของกระดูกกลามเนื้อ และการประสานกับระบบตางๆ ในรางกาย ความแตกตางระหวางบุคคลและเพศตรงกันขาม จะปรากฏชัดเจน โดยวัยเด็กแบงออกเปน 3 ชวง ดังนี้ 2.1 วัยเด็กตอนตน (3-5 ป) รูจักใชภาษา หัดพูด กินขาว ลางมือ รูจักสังเกต อยากรูอยากทดลอง และเลน 2.2 วัยเด็กตอนกลาง (6-9 ป) เริ่มไปโรงเรียนตองปรับตัวเขากับคนแปลกหนา และทําความเขาใจกับระเบียบ ของโรงเรียน รูจักเลือกตัดสินใจ รับผิดชอบการทํางานของตนเองได 2.3 วัยเด็กตอนปลาย (10-12 ป) เพศชาย-หญิง จะแสดงความแตกตางชัดเจนในดานพฤติกรรมและความ สนใจ เด็กหญิงจะโตกวาเด็กชาย มีทักษะการใชภาษาที่ดีขึ้น ทําตามคําสั่งได เรียนรูบทบาทที่เหมาะสมกับเพศของตน และจะเลนเฉพาะกลุมที่เพศเดียวกัน
3. วัยรุน (Adolescence) อายุระหวาง 13-20 ป วัยนี้เปนชวงหัวเลี้ยวหัวตอของชีวิต เนื่องจากเปนวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางรางกายจิตใจและตองปรับตัว เข ากับสิ่งใหมๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งปรับตัวใหเขากับสังคม บางครั้งทําใหเกิดปญหาตางๆ ขึ้น โดยเฉพาะปญหาทางเพศ เริ่ม ใหความสนใจกับเพศตรงกันขาม เริ่มมองอนาคต คิดถึงการมีอาชีพของตน คิดถึงครอบครัว อยากรูอยากเห็น อยาก แสดงความสามารถ บางครั้งแสดงออกในทางที่ไมถูกตอง จึงทําใหเกิดปญหาขึ้น ผูปกครองหรือผูใหญ ควรใหแนะนําที่ เหมาะสม 4. วัยผูใหญ (Adulthood) อายุระหวาง 21-60 ป วัยนี้รางกายเจริญเติบโตเต็มที่แลว มีรูปรางสมสวน รางกายแข็งแรง แตเนื่องจากความเจริญเติบโตและ พัฒนาการทางกาย และใจของแตละคนตางกัน เชนคนที่เปนลูกคนโต ตองดูแลนองๆ ก็อาจจะเปนผูใหญเร็วกวานองคน เล็ก หรือคนที่กําพราพอแม ก็ยอมเปนผูใหญเร็วกวาคนที่มีพอแมอยูใกลชิด สรุปไดวาวัยนี้ เปนวัยที่มีความเจริญ ด านตางๆ ทั้งดานความสนใจ ทัศนคติ และคานิยมโดยเฉพาะเรื่องอาชีพ การเลือกคูครอง และการมีชีวิตครอบครัว เป นวัยที่มีพละกําลัง มีความสามารถในการทํางานมากที่สุด เพราะเปนวัยที่ตองรับผิดชอบในหนาที่ เพื่อครอบครัวและ ประเทศชาติ ๕. วัยชรา (Old Age) อายุ 60 ปขึ้นไป วัยนี้เปนวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางดานรางกาย จิตใจ อารมณรวมทั้งสมองในทางเลื่อมลง จึงประสบปญหา สุขภาพมากกวาวัยอื่น มีอาการหลงลืม มักจะจําเรื่องราวในอดีต เหมาะที่จะเปนที่ปรึกษาใหคําแนะนําแกผูอื่น เพราะเป นผูที่ประสบการณมากอน วัยนี้มักมีอารมณคอนขางเครียด โกรธ และนอยใจงาย
ใบความรู้ ๒ เรื่องที่ 2 โครงสราง หนาที่และการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย อวัยวะและระบบตางๆ ในรางกาย อวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก เปนอวัยวะที่มองเห็นได เชน ตา หู จมูก ปากและผิวหนัง อวัยวะเหลานี้มีหนาที่การทํางาน ต างกัน อวัยวะภายใน เปนอวัยวะที่อยูในรางกายที่มีความสําคัญมาก เพราะเปนสวนหนึ่งของระบบตางๆ ภายในราง กาย โดยอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในมีการทํางานที่สัมพันธกัน หากสวนใดสวนหนึ่งบกพรอง หรือไดรับอันตรายก็ อาจมีผลกระทบตอสวนอื่นได 1. อวัยวะภายนอก มีดังนี้ 1.1 ตา เปน เพราะถาไมมีดวงตา สมองจะไมสามารถรับรูและจดจําสิ่งที่อยูรอบตัว นอกจากนั้นตายัง แสดงออกถึงอารมณความรูสึกตางๆ เชน ดีใจ เสียใจ ตกใจ สวนประกอบของตา ที่สําคัญมีดังนี้ (1) คิ้ว เปนสวนประกอบที่อยูเหนือหนังตาบน ทําหนาที่ปองกันอันตรายไมใหเกิดกับดวงตา โดยปองกันสิ่ง สกปรก เหงื่อ น้ํา และสิ่งแปลกปลอมที่อาจไหลหรือตกมาจากหนาผาก หรือศีรษะ เขาสูดวงตาได (2) หนังตา และเปลือกตา ทําหนาที่เปดปดตา เพื่อรับแสง และปองกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแกตา และกระจก ตา โดยอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งอันตรายเขามาใกลตา (3) ขนตา เปนสวนประกอบที่อยูหนังตาบน หนังตาลาง ทําหนาที่ปองกันอันตราย เชนฝุนละออง ไมใหทํา อันตรายแกตา (4) ตอมน้ําตา เปนสวนประกอบของตาที่อยูในเบาตา ทางดานหางคิ้วบริเวณหนังตาบน ทําหนาที่ซับน้ําตา มาชวยใหตาชุมชื้น และขับสิ่งสกปรกออกมากับน้ําตา 1.2 หูเปนอวัยวะรับสัมผัสที่ทําใหไดยินเสียงตางๆ เชน เสียงเพลง เสียงพูดคุย การไดยินเสียง ทําใหเกิดการ สื่อสารระหวางกัน ถาหูผิดปกติไมไดยินเสียงใดเลย สมองไมสามารถแปลความไดวาเสียงตางๆ เปนอยางไร สวนประกอบของหู สวนประกอบของหูแบงเปน 3 สวน คือ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง หูชั้นใน (1) หูชั้นนอกประกอบดวยสวนตางๆ ดังนี้ • ใบหู ทําหนาที่รับเสียงสะทอนเขาสูรูหู • รูหู ทําหนาที่เปนทางผานของเสียง ใหเขาไปสูสวนตางๆ ของรูหู ภายในรูหูจะมีตอมน้ํามัน ทํา หน าที่ผลิตไขมันทําใหหูชุมชื้น และดักจับฝุนละออง และสิ่งแปลกปลอมที่เขามาภายในรูหู และเกิดเปนขี้หู นอกจากนั้น ภายในรูหูยังมีเยื่อแกวหู ซึ่งเปนเยื่อแผนกลมบางๆ กั้นอยูระหวางหูชั้นนอก กับหูชั้นกลาง ทําหนาที่ ถายทอดเสียงผ านหูชั้นกลาง (2) หูชั้นกลาง มีลักษณะเปนโพรง ประกอบดวยสวนตางๆ ไดแก กระดูกรูปคอน กระดูกรูปทั่ง และกระดูรูป โกลน เปนกระดูกชิ้นนอกติดอยูกับหูชั้นใน กระดูกทั้ง 3 ชิ้นดังกลาว ทําหนาที่รับคลื่นเสียงตอจากเยื่อแกวหู (3) หูชั้นใน มีลักษณะเปนรูปหอยโขง เปนสวนที่อยูดานในสุด ทําหนาที่ขับคลื่นเสียงโดยผานประสาทรับเสียงส งตอไปยังสมอง และสมองก็แปลผลทําใหรูวาเสียงที่ไดยินคือเสียงอะไร
1.3 จมูก เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําหนาที่หายใจเอาอากาศเขาและออกจากรางกายและมีหนาที่รับกลิ่นตางๆ ถ าจมูกไมสามารถทําหนาที่ไดตามปกติ จะไมไดกลิ่นอะไรเลย หรือทําใหระบบการหายใจและการออกเสียงผิดปกติ สวนประกอบของจมูก จมูกเปนอวัยวะภายนอกที่อยูบนใบหนา ชวยเสริมใหใบหนาสวยงาม จมูก แบงออกเปน 3 สวน ดังนี้ (1) สันจมูก เปนสวนที่มองเห็นจากภายนอก เปนกระดูกออน ทําหนาที่ปองกันอันตรายใหกับอวัยวะภายใน จมูก (2) รูจมูก รูจมูกมี 2 ขาง ทําหนาที่เปนทางผานของอากาศ ที่หายใจเขาออกภายในรูจมูกมีขนจมูกและเยื่อ จมูก ทําหนาที่กรองฝุนและเชื้อโรคไมใหเขาสูหลอดลมและปอด (3) ไซนัส เปนโพรงอากาศครอบจมูกในกะโหลกศีรษะ จํานวน 4 คูทําหนาที่พัดอากาศเขาสูปอด และปรับลม หายใจใหมีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ 1.4 ปากและฟน เปนอวัยวะสําคัญของรางกายที่ใชในการพูด ออกเสียง และรับประทานอาหาร โดยฟนของ คนเราจะมี 2 ชุด คือ ฟนน้ํานมและฟนแท (1) ฟนน้ํานม เปนฟนชุดแรก มีทั้งหมด 20 ซี่ เปนฟนบน 10 ซี่ ฟนลาง 10 ซี่ ฟนน้ํานมเริ่มงอกเมื่ออายุ ประมาณ 6-8 เดือน จะงอกครบเมื่ออายุ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบครึ่ง และจะคอยๆหลุดไปเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ (2) ฟนแท เปนฟนชุดที่สอง ที่เกิดขึ้นมาแทนฟนน้ํานมที่หลุดไป ฟนแทมี 32 ซี่ ฟนบน 16 ซี่ ฟนลาง 16 ซี่ ฟ นแทจะครบเมื่ออายุประมาณ 21-25 ป ถาฟนแทผุหรือหลุดไป จะไมมีฟนงอกขึ้นมาอีก หนาที่ของฟน ฟน มีหนาที่ในการเคี้ยวอาหาร เชน ฉีก กัด บดอาหารใหละเอียด ฟนจึงมีหนาที่และรูปรางตางกันไป ไดแก ฟ นหนา มีลักษณะคลายลิ่ม ใชกัดตัด ฟนเขี้ยว มีลักษณะปลายแหลมใชฉีกอาหาร และฟนกราม มีลักษณะแบน กวาง ตรงกลางมีรองใชบดอาหาร 1.5 ผิวหนัง เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําใหรูสึก รอน หนาว เจ็บปวด เพราะภายใตผิวหนังเปนที่รวมของเซลล ประสาทรับความรูสึก นอกจากนั้นผิวหนังยังทําหนาที่ปกคลุมรางกาย และชวยปองกันอวัยวะภายในไมใหไดรับอันตราย และยังชวยระบายความรอนภายในรางกายทางรูเหงื่อตามผิวหนังอีกดวย สวนประกอบของผิวหนังแบงออกเปน 2 ชั้น ดังนี้ (1) ชั้นหนังกําพรา เปนชั้นบนสุด เปนชั้นที่จะหลุดเปนขี้ไคล แลวมีการสรางขึ้นมาทดแทนขึ้นเรื่อยๆ และ เป นผิวหนังชั้นที่บงบอกความแตกตางของสีผิวในแตละคน (2) ชั้นหนังแท เปนผิวหนังที่หนากวาชั้นหนังกําพรา เปนแหลงรวมของตอมเหงื่อ ตอมไขมัน และเซลลประสาท รับความรูสึกตางๆ 2. อวัยวะภายใน อวัยวะภายในเปนอวัยวะที่อยูใตผิวหนัง ซึ่งเราไมสามารถมองเห็น อวัยวะภายในเหลานี้มีมากมายและทํางาน ประสานสัมพันธกันเปนระบบ 2.1 ปอด ปอดเปนอวัยวะภายในอยางหนึ่ง อยูในระบบหายใจ ปอดมี 2 ขาง ตั้งอยูบริเวณทรวงอกทั้งทาง ด านซายและดานขวา จากตนคอลงไปจนถึงอก ปอดมีลักษณะนิ่มและหยุนเหมือนฟองน้ํา ขยายใหญเทากับซี่โครงเวลาที่ ขยายตัวเต็มที่ มีเยื่อบางๆ หุม เรียกวา เยื่อหุมปอด ปอดประกอบดวยถุงลมเล็กๆ จํานวนมากมาย เวลาหายใจเขาถุงลม จะพองออกและเวลาหายใจออกถุงลมจะแฟบ ถุงลมนี้ประสานติดกันดวยเยื่อประสานละเอียดเต็มไปดวย เสนเลือ ดฝอยมากมาย เลือดดําจะไหลผานเสนเลือดฝอยเหลานั้น แลวคายคารบอนไดออกไซดออก และรับเอาออกซิเจนจาก
อากาศที่เราหายใจเขาไปในถุงลมไปใชในกระบวนการเคมีในการสันดาปอาหารของรางกาย กระบวนการที่เลือดคายคาร บอนไดออกไซด และรับออกซิเจนขณะที่อยูในปอดนี้ เรียกวา การฟอกเลือด หนาที่ของปอด ปอดจะทําหนาที่สูบและระบายอากาศ ฟอกเลือดเสียใหเปนเลือดดี การหายใจมีอยู2 ระยะ คือ หายใจเข าและหายใจออก หายใจเขา คือ การสูดอากาศเขาไปในปอดหรือถุงลมปอด เกิดขึ้นดวยการหดตัวของกลามเนื้อกะบัง ลม ซึ่งกั้นอยูระหวางชองอกกับชองทอง เมื่อกลามเนื้อกะบังลมหดตัวจะทําใหชองอกมีปริมาตรมากขึ้น อากาศจะวิ่ง เข าไปในปอด เรียกวาหายใจเขา เมื่อหายใจเขาสุดแลว กลามเนื้อกะบังลมจะคลายตัวลง กลามเนื้อทองจะดันเอา กลาม เนื้อกะบังลมขึ้น ทําใหชองอกแคบลง อากาศจะถูกบีบออกจากปอด เรียกวา หายใจออก ปกติผูใหญหายใจประมาณ 18-22 ครั้งตอนาที ผูที่มีอายุนอยการหายใจจะเร็วขึ้นตามอายุ 2.2 หัวใจ เปนอวัยวะที่ประกอบดวยกลามเนื้อ ภายในเปนโพรง รูปรางเหมือนดอกบัวตูม มีขนาดราวๆ กําป นของเจาของ รอบๆ หัวใจมีเยื่อบางๆ หุมอยูเรียกวา เยื่อหุมหัวใจ ซึ่งมีอยู2 ชั้น ระหวางเยื่อหุมทั้งสองชั้นจะมี ชอง ซึ่งมีน้ําใสสีเหลืองออนหลออยูตลอดเวลาเพื่อมิใหเยื่อทั้งสองชั้นเสียดสีกัน และทําใหหัวใจเตนไดสะดวกไมแหงติดกับเยื่อ หุมหัวใจ หัวใจตั้งอยูระหวางปอดทั้งสองขาง แตคอนไปทางซายและอยูหลังกระดูกซี่โครงกับกระดูกอก โดยปลายแหลม ชี้เฉียงลงทางลาง และชี้ไปทางซาย ภายในหัวใจจะมีโพรง ซึ่งภายในโพรงนี้จะมีผนังกั้นแยกออกเปนหองๆ รวม 4 หอง คือ หองบน 2 หอง และหองลาง 2 หอง สําหรับหองบนจะมีขนาดเล็กกวาหองลาง หนาที่ของหัวใจ หัวใจมีจังหวะการบีบตัว หรือที่เราเรียกวาการเตนของหัวใจ เพื่อสูบฉีดเลือดแดงไปหลอเลี้ยงรางกายตาม ส วนตางๆ ของรางกาย ขณะที่คลายตัวหัวใจหองบนขวาจะรับเลือดดํามาจากทั่วรางกาย และจะถูกบีบผานลิ้นที่กั้นอยูลง ไปทางหองลางขวา ซึ่งจะถูกฉีดไปยังปอดเพื่อคายคารบอนไดออกไซดและรับออกซิเจนใหมกลายเปนเลือดแดง ไหล กลับเขามายังหัวใจหองบนซายและถูกบีบผานลิ้นที่กั้นอยูไปทางหองลางซาย จากนั้นก็จะถูกฉีดออกไปเลี้ยงทั่วรางกาย ถาเราใชนิ้วแตะบริเวณเสนเลือดใหญ เชน ขอมือ หรือขอพับตางๆ เราจะรูสึกไดถึงจังหวะการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งเรา เรียกวา ชีพจร หัวใจเปนอวัยวะที่สําคัญที่สุด เพราะเปนอวัยวะที่บอกไดวาคนนั้นยังมีชีวิตอยูไดหรือไม ถาหากหัวใจหยุด เตนก็หมายถึงวา คนคนนั้นเสียชีวิตแลว การเตนของหัวใจนั้น ในคนปกติหัวใจจะเตนประมาณ 70-80 ครั้ง ต อนาที หัวใจตองทํางานหนักตลอดชีวิต ทั้งเวลาหลับและตื่น เวลาที่หัวใจจะไดพักผอนบางก็คือตอนที่เรานอนหลับ หัวใจ จะเตนชาลง เราจึงตองระมัดระวังรักษาหัวใจใหแข็งแรงอยูเสมอ โดยอยาใหหัวใจตองทํางานหนักมากจนเกินไป 2.3 กระเพาะอาหาร มีรูปรางเหมือนน้ําเตา คลายกระเพาะหมู มีความจุประมาณ 1 ลิตร อยูตอหลอดอาหาร และอยูในชองทองคอนไปทางดานซาย หนาที่สําคัญของกระเพาะอาหารคือ มีหนาที่ในการยอยอาหารที่มีขนาดเล็กลง และละลายใหเปนสารอาหาร แลวสงอาหารที่ยอยแลวไปยังลําไสเล็ก แลวลําไสเล็กจะดูดซึมไปใช ประโยชนแกราง กายตอไป สวนที่ไมเปนประโยชนที่เรียกวากากอาหารจะถูกสงตอไปยังลําไสใหญเพื่อขับถายออก จากรางกายเปนอุจ จาระตอไป สิ่งที่ชวยใหกระเพาะยอยอาหารก็คือ น้ํายอยซึ่งมีสภาพเปนกรด น้ํายอยในกระเพาะจะมีเปนจํานวนมากเมื่อ ถึงเวลารับประทานอาหาร ถาไมรับประทานอาหารใหตรงเวลาน้ํายอยจะกัดเนื้อเยื่อในบริเวณกระเพาะไดเชนกัน อาจจะทําใหเกิดเปนแผลในกระเพาะอาหารได วิธีที่จะชวยปองกันไดก็คือ ดื่มน้ําสะอาดใหมากๆ และรับประทานอาหาร ใหตรงเวลา งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด 2.4 ลําไสเล็ก มีลักษณะเปนทอกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยูในชองทองตอนบน ปลายบนเชื่อมกับ กระเพาะอาหาร สวนปลายลางตอกับลําไสใหญ หนาที่สําคัญของลําไสเล็กคือ ยอยอาหารตอจากกระเพาะอาหาร จนอาหารมีขนาดเล็กพอที่จะดูดซึมเขาสู กระแสเลือด เพื่อนําไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย
2.5 ลําไสใหญ เปนอวัยวะที่อยูในระบบทางเดินอาหาร ลําไสใหญของคนมีความยาวประมาณ 1.5 เมตร เส นผานศูนยกลางประมาณ 6 เซนติเมตร แบงออกเปน3สวน คือ (1) กระเปาะลําไสใหญ เปนลําไสใหญสวนแรก ตอจากลําไสเล็ก ทําหนาที่รับกากอาหารจากลําไสเล็ก (2) โคลอน (Colon) เปนลําไสใหญสวนที่ยาวที่สุดประกอบดวยลําไสใหญขวา ลําไสใหญกลาง และลําไสใหญซ าย มีหนาที่ดูดซึมน้ําและพวกวิตามินบี12 ที่แบคที่เรียในลําไสใหญสรางขึ้น และขับกากอาหารเขาสูลําไสใหญสวน ต อไป (3) ไสตรง เมื่อกากอาหารเขาสูไสตรงจะทําใหเกิดความรูสึกอยากถายขึ้นเพราะความดันในไสตรงเพิ่มขึ้น เป นผลทําใหกลามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักดานใน ซึ่งจะทําใหเกิดการถายอุจจาระออกทางทวารหนักตอไป หนาที่ของลําไสใหญ (1) ชวยยอยอาหารเพียงเล็กนอย (2) ถายระบายกากอาหาร ออกจากรางกาย (3) ดูดซึมน้ําและสารอิเล็คโตรลัยต เชน โซเดียม และเกลือแรอื่น ๆ จากอาหารที่ถูกยอยแลว ทีเหลืออยูในกาก อาหาร รวมทั้งวิตามินบางอยางที่สรางจากแบคทีเรีย ซึ่งอาศัยอยูในลําไสใหญ ไดแก วิตามินบีรวม วิตามินเค ดวยเหตุนี้ จึงเปนชองทางสําหรับใหน้ํา อาหารและยาแกผูปวยทางทวารหนักได (4) ทําหนาที่เก็บอุจจาระไวจนกวาจะถึงเวลาอันสมควรที่จะถายออกนอกรางกาย 1.5 ไต เปนอวัยวะสวนหนึ่งในระบบขับถาย จะขับถายของเสียจากรางกายออกมาเปนน้ําปสสาวะ ไตของ คนเรามี 2 ขาง มีรูปรางคลายเมล็ดถั่วแดง ยาวประมาณ 12 เซนติเมตรอยูติดผนังชองทองดานหลังต่ํากวากระดูก ซี่โครงเล็กนอย หนาที่สําคัญของไต คือ กรองของเสียออกจากเลือดแดง แลวขับของเสียออกนอกรางกายในรูปของปสสาวะ
ใบความรู้ที่ ๓ เรื่องที่ 3 การดูแลรักษาปองกัน ความผิดปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและภายใน การดูแลรักษาปองกัน ความผิดปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและภายในมีความสําคัญ ของรางกาย จําเปนตองดูแลรักษาใหสามารถทํางานไดตามปกติ เพราะถาอวัยวะสวนใดสวนหนึ่งเกิดความบกพรองหรือ เกิดความผิดปกติ ระบบการทํางานนั้นก็จะบกพรองก็จะบกพรองหรือผิดปกติดวย มีวิธีการงาย ๆ ในการดูแลรักษา อวัยวะตาง ๆ ดังนี้ 1. การดูแลรักษาตา ตามีความสําคัญ ทําใหมองเห็นสิ่งตางๆ จึงควรดูแลรักษาตาใหดีดวยวิธี ดังตอไปนี้ 1. ไมควรใชสายตาจองหรือเพงสิ่งตางๆ มากเกินไป ควรพักสายตาโดยการหลับตา หรือมองออกไปยังที่ กว างๆ หรือพื้นที่สีเขียว 2. ขณะอานหรือเขียนหนังสือ ควรใหแสงสวางอยางเพียงพอ และควรวางหนังสือใหหางจากตาประมาณ 1 ฟุต 3. ไมควรอานหนังสือขณะอยูบนยานพาหนะ เชน รถ หรือรถไฟที่กําลังแลน 4. ดูโทรทัศนใหหางจากจอภาพไมนอยกวา 3 เทา ของขนาดจอภาพ 5. เมื่อมีฝุนละอองเขาตา ไมควรขยี้ตา ควรใชวิธีลืมตาในน้ําสะอาด หรือลางดวยน้ํายาลางตา 6. ไมควรใชผาเช็ดหนารวมกับผูอื่น เพราะอาจติดโรคตาแดงจากผูอื่นได 7. หลีกเลี่ยงการมองบริเวณที่แสงจา หรือหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุนละอองฟุงกระจาย 8. อยาใชยาลางตาเมื่อไมมีความจําเปน เพราะตามธรรมชาติน้ําในเปลือกตาทําหนาที่ลางตาดีที่สุด 9. บริหารเปลือกตาบนและเปลือกตาทุกวันดวยการใชนิ้วชี้รูดกดไปบนเปลือกตาจากคิ้วไปทางหางตา 2. การดูแลรักษาหูหูมีความสําคัญตอการไดยิน ถาหูผิดปกติจนไมสามารถไดยินเสียงตางๆ การทํากิจกรรมใน ชีวิตประจําวัน ก็ไมราบรื่นเกิดอุปสรรค ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาหูใหทําหนาที่ใหดีอยูเสมอ 1. หลีกเลี่ยงแหลงที่มีเสียงดังอึกทึก ถาหลีกเลี่ยงไมไดควรปองกันตนเอง โดยหาอุปกรณมาอุดหูหรือครอบหู เพื่อปองกันไมใหแกวหูฉีกขาด 2. ไมควรแคะหูดวยวัสดุใดๆ เพราะอาจทําใหหูอักเสบเกิดการติดเชื้อ 3. เมื่อมีแมลงเขาหู ใหใชน้ํามันมะกอก หรือน้ํามันพาราฟลหยอดหู ทิ้งไวสักครูแมลงจะตาย แลวจึงเอียงหูให แมลงไหลออกมา 4. ขณะวายน้ํา หรืออาบน้ํา พยายามอยาใหน้ําเขาหู ถามีน้ําเขาหูใหเอียงหูใหน้ําออกมาเอง 5. เมื่อเปนหวัดไมควรสั่งน้ํามูกแรงๆ เพราะเชื้อโรคอาจผานเขาไปในรูหู เกิดอักเสบติดเชื้อกลายเปนหูน้ําหนวก และเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับหู ควรปรึกษาแพทย 3. การดูแลรักษาจมูก จมูกเปนอวัยวะรับสัมผัสที่มีความสําคัญ ทําใหไดกลิ่น และหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เขาสูปอด ควรดูแลรักษาจมูกใหทําหนาที่ไดตามปกติดวยวิธีดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุนละอองฟุงกระจาย 2. ไมควรแคะจมูกดวยวัสดุแข็ง เพราะอาจทําใหจมูกอักเสบ 3. ไมควรสั่งน้ํามูกแรงๆ ถาเปนหวัดเรื้อรัง ไมควรปลอยทิ้งไว ควรปรึกษาแพทย 4. ถามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับจมูก ควรปรึกษาแพทย 4. การดูแลรักษาปากและฟน 1. ควรแปรงฟนใหถูกวิธีหลังอาหารทุกมื้อ หรือควรแปรงฟนอยางนอยวันละ 2 ครั้ง
2. ไมควรกัดหรือฉีกของแข็งดวยฟน และควรพบทันตแพทยเพื่อตรวจฟนทุก 6 เดือน 3. ออกกําลังเหงือกดวยการถู นวดเหงือก ตอนเชา และกลางคืนกอนนอน โดยการอมเกลือหรือเกลือปนผสม สารสมปนประมาณ 5 นาที แลวนวดเหงือก 4. รับประทานผัก ผลไมสดมากๆ และหลีกเลี่ยงรับประทานลูกอม ช็อคโกแลตและขนมหวานๆ 5. การดูแลรักษาผิวหนัง 1. อาบน้ําอยางนอยวันละ 2 ครั้ง หลังจากอาบน้ําเสร็จ ควรเช็ดตัวใหแหง 2. สวมเสื้อผาที่สะอาด ไมเปยกชื้น และไมรัดรูปจนเกินไป 3. รับประทานอาหารที่มีประโยชนและดื่มน้ํามากๆ ออกกําลังกายอยางสม่ําเสมอหลีกเลี่ยงแสงแดดจา และ ระมัดระวังในการใชเครื่องสําอาง 4. เมื่อผิวหนังผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย 6. การดูแลรักษาปอด มีขอควรปฏิบัติดังนี้ 1. ควรอยูในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ถายเทไดเสมอ หลีกเลี่ยงอยูในสถานที่ที่มีฝูง ชนแออัด 2. ควรหายใจทางจมูก เพราะในจมูกมีขนจมูกและเยื่อเสมหะซึ่งจะชวยกรองฝุนละอองและป้องกันเชื้อโรค เข าไปในปอด หลีกเลี่ยงการหายใจทางปาก 3. ไมควรนอนคว่ํานานๆ จะทําใหปอดถูกกดทับทํางานไมสะดวก 4. ไมควรสูบบุหรี่ เพราะจะสงผลใหเปนอันตรายตอปอด 5. ควรนั่งหรือยืนตัวตรง ไมควรสวมเสื้อผาที่รัดแนน เพราะจะทําใหปอดขยายตัวไมสะดวก 6. ควรรักษารางกายใหอบอุน เพื่อปองกันการเปนหวัด 7. ควรบริหารปอด ดวยการหายใจยาวๆ วันละ 5-6 ครั้งทุกวัน ทําใหปอดขยายตัวไดเต็มที่ 8. ควรระวังการกระทบกระเทือนอยางรุนแรงจากภายนอก เชน หนาอก แผนหลังเพราะจะกระทบกระเทือน ไปถึงปอดดวย 9. ควรพักผอนใหเต็มที่ การออกกําลังกายหรือการเลนใดๆ อยาใหเกินกําลังหรือเหนื่อยเกินไป เพราะจะทําให ปอดตองทํางานหนักจนเกินไป 10. ควรตรวจสุขภาพ หรือเอ็กซเรยปอดอยางนอยปละ 1 ครั้ง 7. การดูแลรักษาหัวใจ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้ 1. ควรออกกําลังกายสม่ําเสมอ เหมาะสมกับสภาพรางกาย และวัย ไมหักโหมเกินไปเพราะจะทําใหหัวใจตอง ทํางานมาก อาจเปนอันตรายได 2. ไมดื่มน้ําชา กาแฟ สูบบุหรี่ ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีสารกระตุน เพราะมีสารกระตุนทําใหหัวใจทํางานหนัก จนอาจเปนอันตรายแกกลามเนื้อหัวใจได 3. ไมรับประทานยา ที่จะกระตุนในการทํางานของหัวใจโดยไมปรึกษาแพทย 4. การนอนคว่ํา เปนเวลานานๆ จะสงผลทําใหหัวใจถูกกดทับทํางานไมสะดวก 5. ไมควรนอนในสถานที่อากาศถายเทไมสะดวก หรือสวมเสื้อผาที่รัดรูปจนเกินไป จะทําใหระบบการทํางาน ของหัวใจไมสะดวก 6. ระมัดระวังไมใหหนาอกไดรับความกระทบกระเทือน เพราะอาจเปนอันตรายกับ หัวใจได 7. ไมควรวิตกกังวล กลัว ตกใจ เสียใจมากเกินไป เพราะจะสงผลตอการทํางานของหัวใจ
8. ไมควรรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ําตาลมากเกินไป เพราะจะทําใหเกิดไขมันเกาะภายในเสนเลือดและ กลามเนื้อหัวใจ ทําใหหัวใจตองทํางานหนักขึ้น จะเปนอันตรายได 9. เมื่อเกิดอาการผิดปกติของหัวใจ ควรปรึกษาแพทย 8. การดูแลรักษากระเพาะอาหารและลําไส ควรปฏิบัติดังนี้ 1. ควรรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน ไมแข็ง ไมเหนียว หรือยอยยาก หรือมีรสจัดเกินไป เพราะทําให กระเพาะอาหารทํางานหนักหรือทําใหเกิดเปนแผลได 2. ควรใหรางกายอบอุน ในเวลานอนตองสวมเสื้อผาหรือหมผาเสมอ เพื่อมิใหทองรับความเย็นจนเกินไป จน อาจเกิดอาการปวดทอง 3. ควรควบคุมอารมณ เพราะความเครียด ความวิตกกังวล ก็ทําใหกระเพาะอาหารหลั่งน้ํายอยออกมามาก 4. เคี้ยวอาหาร ใหละเอียดกอนกลืน และไมรีบรับประทาน เพราะจะทําใหอาหารยอยยาก 5. ไมควรสวมเสื้อผาคับหรือรัดเข็มขัดแนนเกินไป จะทําใหกระเพาะอาหารทํางานไมสะดวก 6. ไมควรรับประทานจุบจิบ เพราะจะทําใหกระเพาะอาหารตองทํางานอยูเสมอไมมีเวลาพัก 7. ควรรับประทานอาหารใหเปนเวลา ไมปลอยใหหิวมาก หรือรับประทานอาหารมากเกินไป จะทําใหกระเพาะ อาหารตองทํางานหนัก หรือเกิดอาการอาหารไมยอย แนนทองได 8. ไมรับประทานของหมักดอง จะทําใหเกิดอาการทองเสียหรือทองรวงได 9. ปฏิบัติตนตามหลักสุขนิสัยที่ดี โดยรักษาความสะอาดมือ ภาชนะและอาหารที่รับประทานเพื่อปองกันเชื้อ โรคจะเปนอันตรายตอกระเพาะอาหารได 10. ควรรับวัคซีนปองกันโรค เมื่อเกิดโรคติดตอระบาดในชุมชน เชน อหิวาตกโรค บิดพยาธิตางๆ ทองรวง 9. การดูแลรักษาไต ควรปฏิบัติดังนี้ 1. ควรรับประทานอาหาร น้ํา เกลือแร ใหเหมาะสมตามสภาวะของรางกาย 2. ควรหลีกเลี่ยงการใชยาหรือรับประทาน ยาที่มีผลเสียตอไต เชน ยาซัลฟา ยาแกปวด และแกอักเสบ ต อเนื่องเปนเวลานาน 3. ไมควรกลั้นปสสาวะเอาไวนานๆหรือสวนปสสาวะ 4. ผูที่มีอาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรรักษาเพราะจะสงผลกระทบตอการทํางานของไต 5. เมื่อเกิดอาการผิดปกติที่สงสัยวาจะเปนโรคไต เชน เทา ตัว หรือหนาบวมปสสาวะเปนสีคล้ําเหมือนสีน้ํา ล างเนื้อ หรือปสสาวะบอยผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย 6. ควรตรวจสุขภาพ ตรวจปสสาวะ อยางนอยประจําปละ 1-2 ครั้ง
ใบงาน เรื่อง ร่างกายของเรา ชื่อ ........................................................... รหัสประจําตัว ......... ........................... สกร.ตําบล .............................. ตอบคําถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบาย เกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ตามวัยต่างๆ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 2. ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบความแตกต่างที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงวัย ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................................................. ....................... ........................................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .............................................................................................................................. ...................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... 3. ให้ผู้เรียนบอกความแตกต่างของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอก พร้อมวิธีการป้องกันและการดูแลรักษา ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ......................................................................................................................................................................... ........... ....................................................................................................................... ............................................................. ............................................................................................................................. ....................................................... .......................................................................................................................................... ..........................................
มองดู
ฟังเสียง
ดมกล ิ ่ น
ก ิ น/พด ู
รับสัมผัส/ปก คล ุ มร ่ างกาย
ใบความรู้ที่ ๑ เรื่อง พัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ตลอดจนพัฒนาทางเพศอย่าง รวดเร็ว ซึ่งท าให้วัยรุ่นเกิดความสับสนต่อการปฏิบัติตัวจึงมักเกิดปัญหา เช่น การเบี่ยงเบนทางเพศ การมีพฤติกรรม ทางเพศที่ผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของวัยรุ่น 1. ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย 1.1 วัยรุ่นชาย การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เห็นได้ชัดได้แก่ 1. เริ่มมีหนวดเคราที่หยาบแข็ง มีขนขึ้นบริเวณรักแร้ หน้าแข้ง และอวัยวะเพศ 2. อวัยวะเพศโตขึ้น และมีการหลั่งน้ าอสุจิออกมาครั้งแรกขณะหลับเรียกว่า “ฝันเปียก” 3. หัวนมจะแข็งเป็นไตหรือก้อนเล็ก ๆ ถ้าถูกสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ เรียกว่า “นมขึ้นพาน” หรือนมตั้งพาน 4. เสียงเปลี่ยนเป็นเสียงแหบและห้าว เรียกว่า“เสียงแตกหนุ่ม” 5. มีกลิ่นตัว และสิวขึ้นตามใบหน้า 6. ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีกล้ามเนื้อและกระดูกที่แข็งแรง สะโพกแคบไหล่ กว้าง แขนขายาว บางครั้งดูเก้งก้าง 1.2 วัยรุ่นหญิง การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เห็นได้ชัดได้แก่ 1. มีขนขึ้นบริเวณรักแร้และอวัยวะเพศ 2. มีประจ าเดือนหรือระดู 3. เริ่มมีหน้าอกที่โตขึ้น 4. มีเสียงแหลม 5. มีกลิ่นตัวและสิวขึ้นบนใบหน้า 6. มีใบหน้าสดใส ผิวเปล่งปลั่ง 7. สะโพกผายออก เอวคอดเล็ก 2 การยอมรับและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย หลักการปรับตัวของวัยรุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย 1. ยอมรับและเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งของตนเองและเพื่อนเป็นเรื่องธรรมชาติ 2. ดูแลรักษาอนามัยของตนเอง ได้แก่ ผิว เล็บ ฟัน เครื่องแต่งกายให้สะอาดอยู่เสมอ 3. ดูแลใส่ใจสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกก าลังกายอย่างสม่ าเสมอ หลีกเลี่ยงสารเสพติด ๓. การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์ของวัยรุ่น ๓.1 ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์อย่างรวดเร็ว จึงมักถูกเรียกว่า “เป็น วัยอลวน” หรือ “วัยพายุบุแคม” โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ 1. มีความเชื่อ ค่านิยม เจตคติเป็นของตนเอง 2. อยากได้สิ่งใดหรือท าอะไร มักต้องได้หรือกระท าทันที 3. มีความมั่นใจในตนเอง 4. อยากรู้อยากเห็นและอยากลอง 5. อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล 6. รักในตนเอง รักสวยรักงาม ชอบส่องกระจกดูความงามของตนเอง 7. ชอบอิสระ ไม่ชอบบังคับหรือมีกฎระเบียบ 8. มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย เพ้อฝัน ขี้อาย เริ่มสนใจเพศตรงข้าม แต่จะไม่แสดงออก 9. วัยรุ่นชายจะชอบความห้าวหาญ ชอบการต่อสู้ ผจญภัย และคึกคะนอง 10. เริ่มมีความต้องการทางเพศ ๓.2 การยอมรับและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์อย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถยอมรับการ เปลี่ยนแปลงได้อาจเกิดปัญหาทางจิตใจ ดังนั้นวัยรุ่นจึงควรยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เพื่อการมีสุขภาพจิตที่ดี ดังนี้ 1. ยอมรับรับสภาพความเป็นจริงของตนเอง โดยรู้จักปล่อยวางในบางเรื่อง 2. พยามยามสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา และพร้อมแก้ปัญหา 3. รู้จักปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม 4. ท าจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี คิดดี ท าดี ไม่จริงจังกับทุกสิ่งมากเกินไป ท ากิจกรรมเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ 5. มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเอง รวมถึงการยอมรับและเข้าใจ ในอารมณ์ของผู้อื่น 6. ฝึกท าจิตให้สงบมีสมาธิ ไม่คิดฟุ้งซ่าน โดยจิตใจที่สงบและมีสมาธิจะช่วยท าให้เป็นคนที่มี เหตุผล พร้อมแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น 7. หลีกเลี่ยงจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่มีผลต่อจิตใจและอารมณ์ เช่น การไม่คบคนพาล เกเร หลีกเลี่ยงจากสารเสพติด การพนัน เกมส์ เป็นต้น ๔. พัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น ๔.1 อวัยวะสืบพันธ์ของเพศชายและเพศหญิง 1. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย --- 1.1 ท่ออสุจิ คือ ทางเดินของน้ าอสุจิจากลูกอัณฑะสู่ท่อปัสสาวะ --- 1.2 ต่อมสร้างน้ าเลี้ยงอสุจิ คือ ต่อมขนาดเท่าเม็ดถั่วลันเตา หลั่งสารเมือกส าหรับหล่อ ลื่น และส่งท่อเปิดเข้าสู่ท่อปัสสาวะในองคชาต --- 1.3 องคชาต คือ มีลักษณะเป็นท่อหรือหลอดตั้งอยู่เหนือลูกอัณฑะ ช่วยในการ ขับถ่ายปัสสาวะ --- 1.4 ต่อมลูกหมาก คือ ต่อมสร้างน้ าหล่อเลี้ยงเชื้ออสุจิ
--- 1.5 ลูกอัณฑะ คือ มีลักษณะเล็กกลมจ านวน 2 ลูก บรรจุอย่างหลวม ๆ ในถุง อัณฑะ เป็นแหล่งผลิตตัวอสุจิ 2. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง 2.1 ท่อรังไข่หรือปีกมดลูก คือ ท่อขนส่งไข่จากรังไข่ไปยังมดลูก 2.2 มดลูก เป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงตั้งอยู่ตรงฐานของช่องท้องมีรูปร่างคล้ายลูกแพร์ขนาดใหญ่ เท่าก าปั้น ภายในกลวงเป็นโพรง ตอนปลายแคบและชี้ลงเบื้องล่างเป็นอวัยวะที่ตัวอ่อนจะใช้เป็นที่เจริญเติบโตเป็น ทารก 2.3 รังไข่ รังไข่แต่ละข้างจะตั้งอยู่ในปริเวณช่องท้องส่วนล่าง โดยท าหน้าที่ปล่อยไข่ออกมาเดือน ละใบสลับกัน 2.4 ปากมดลูก เป็นกล้ามเนื้อที่บีบตัวเข้าหากันเป็นจังหวะ แต่จะเปิดอ้าออกเล็กน้อยเพื่อให้ตัว อสุจิผ่านเข้าไปได้และจะยืดตัวอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทารกเคลื่อนตัวผ่านออกไปในระหว่างการคลอด 2.5 ช่องคลอด ปกติช่องคลิดจะแบนเรียบอยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกบล าไส้ตรงแต่จะ สามารถขยายตัวกว้างออกเพื่อรับองคชาตในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์หรือเพื่อเปิดทางให้ทารกเคลื่อนตัวผ่านออกไปใน เวลาคลอดได้ ๔.2 ต่อมควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางเพศ 1. ต่อมใต้สมอง เป็นต่อมที่ส าคัญกว่าต่อมไร้ท่ออื่น ๆ เพราะฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากต่อมนี้ จ าท าหน้าที่ควบคุมการสร้างฮอร์โมน มีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ เรียงซ้อนกันอยู่ตรงบริเวณใต้สมอง แบ่งออกเป็นสอง ส่วน 1.1 ต่อมใต้สมองส่วนหน้า จะผลิตฮอร์โมนที่ท าหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโต ของร่างกายให้เป็นไปตามวัย และผลิตฮอร์โมนในเพศหญิงเพื่อเร่งให้ไข่สุก รวมทั้งท าหน้าที่ควบคุมรังไข่ให้ผลิต ฮอร์โมนเพศหญิงออกมา ตลอดจนกระตุ้นอัณฑะให้สร้างอสุจิและผลิตฮอร์โมนเพศชาย 1.2 ต่อมใต้สมองส่วนหลัง จะผลิตฮอร์โมนที่จะกระตุ้นมดลูกให้บีบตัวขณะคลอดบุตรและ ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ 2. ต่อมเพศชาย คืออัณฑะ มีหน้าที่ 1. ผลิตตัวอสุจิหรือเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย 2. ผลิตฮอร์โมนเพศชาย 2 ประเภท คือ 1) ฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งท าหน้าที่กระตุ้นให้เกิดลักษณะเฉพาะของความเป็นชาย เช่น การมีหนวดเครา ขนหน้าอก ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง 2) ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ท าหน้าที่กระตุ้นให้เกิดลักษณะเสียงห้าว กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น มี รูปร่างทรวดทรงเป็นชาย มีการหลั่งน้ าอสุจิ ตลอดจนพัฒนาการด้านจิตใจที่เป็นชาย และมีความต้องการทางเพศ 3. ต่อมเพศหญิง คือรังไข่ มีหน้าส าคัญ 2 ประการ ได้แก่ 3.1 ผลิตไข่หรือเซลล์สืบพันธุ์ของเพศหญิง 3.2 ผลิตฮอร์โมนเพศหญิง 2 ประเภท คือ --- 1) ฮอร์โมนเอสโตรเจน ท าหน้าที่ กระตุ้นให้เกิดลักษณะของเพศหญิง ได้แก่ มีเสียง แหลม ใบหน้าเปล่งปลั่ง เอวคอด มีหน้าอก และสะโพกผาย 2) ฮอร์โมนโพรเจสเตอรโรน ท าหน้าที่
2) ฮอร์โมนโพรเจสเตอรโรน ท าหน้าที่ ไปกระตุ้นการสร้างมดลูกให้หนาขึ้น เพื่อรองรับการฝังตัวของ ไข่ที่ผสมแล้ว และกระตุ้นการผลิตน้ านมเมื่อมีทารก 4. ต่อมหมวกไต เป็นต่อมที่มีลักษณะคล้ายหมวกครอบด้านบนของไตทั้ง 2 ข้าง จึงมี 2 ต่อม แต่ ละต่อมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือชั้นนอกและชั้นใน แต่ต่อมหมวกไตชั้นนอกเท่านั้นที่ท าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาการทางเพศ คือท าหน้าที่ ผลิตฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิง คือ เอสโตรเจน โพรเกสเตอโรน เทสโทสเตอ โรน และแอนโดสเตอโรน โดยจะควบคุมความรู้สึกทางเพศ ถ้าต่อมนี้มีความผิดปกติเด็กชายพัฒนาการทางเพศเร็ว ขึ้น เด็กหญิงจะพัฒนาการทางเพศค่อนไปทางเพศชาย 5. ต่อมไทรอยด์ อยู่ตรงส่วนบนของหลอดลมที่บริเวณลูกกระเดือก มี 2 ส่วน คือ ด้านขวาและ ด้านซ้ายติดกัน ท าหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรรอกซิน ซึ่งควบคุมการใช้พลังงานและการเผาผลาญอาหาร ถ้าต่อมนี้ท างานผิดปกติจะท าให้ร่างกายแคะแกร็น สติปัญญาต่ า อวัยวะเพศเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เมื่อเพศหญิงเข้าสู่ วัยสาว ต่อมนี้จะขยายตัวเล็กน้อยในระหว่างที่มีประจ าเดือนและระยะตั้งครรภ์ ซึ่งถือว่าปกติ แต่ถ้าต่อมนี้ท างานผลิต ปกติคือผลิตฮอร์โมนได้น้อยกว่าที่ร่างต้องการเนื่องจากขาดธาตุไอโอดีน ต่อมนี้จะขยายตัวใหญ่ขึ้น ท าให้เป็นโรคคอ พอก 6. ต่อมไทมัส มีลักษณะเป็นพูทั้งสองพู ติดกันอยู่ตรงบริเวณขั้วหัวใจระหว่างปอด 2 ข้าง ท าหน้าที่ควบคุมไม่ให้มีความรู้สึกทางเพศที่ผิดปกติ ซึ่งขนาดของต่อมไทมัสจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของคนจะผกผัน ตามอายุของคนทารกจะยาวแก่จะสั้น การยอมรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการทางเพศ เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นการมีความต้องการทางเพศเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหมกมุ่นมากเกินไป อาจท าให้เกิด ปัญหาสุขภาพจิตได้ ข้อปฏิบัติต่อการยอมรับและปรับตัวต่อการพัฒนาการทางเพศ 1. ศึกษาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศ 2. ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และพัฒนาการทางเพศของตนเอง 3. รู้จักปฏิบัติตัวให้เหมาะสมต่อตนเองและเพศตรงข้าม 4. รู้จักทักษะในการแก้ปัญหาทางเพศ 5. หากิจกรรมหรืองานอดิเรกท า 6. ดูแลสุขอนามัยทางเพศของตนเองให้ถูกต้อง โดยการปฏิบัติดังนี้ อาบน้ าให้สะอาดและสวมเสื้อผ้า ที่ซักแล้ว เพื่อให้มีกลิ่นตัวสะอาด เพื่อป้องกันการเกิดสิว เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ ขณะมีประจ าเดือน เพื่อไม่ให้เกิด การหมักหมม และเมื่อเกิดปัญหาทางเพศควรไปพบแพทย์ 7. เมื่อมีปัญหาเรื่องเพศ ควรปรึกษาพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ เพื่อให้ท่านชี้แนะแนวทางในการ แก้ปัญหาที่ถูกให้ได้ การเบี่ยงเบนทางเพศ การเบี่ยงเบนทางเพศเป็นปัญหาทางเพศแบบหนึ่ง ซึ่งพบได้ทั้งเพศหญิงเพศชาย โดยบุคคลอาจ แสดงออกถึงพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศหรือผิดปกติทางเพศขึ้น ท าให้ สังคมเกิดความรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องตามบรรทัดฐานที่สังคมก าหนดไว้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น สาเหตุของการเบี่ยงเบนทางเพศ 1. การอบรมเลี้ยงดู
2. การมีบุคลิกภาพที่แปรปรวนอันเนื่องมาจากจิตใต้ส านึกของตนเอง เช่นการมีปมด้อย 3. ความรู้สึกเก็บกดทางเพศ 4. สภาพแวดล้อม 5. การเลียนแบบพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางเพศ ลักษณะการเบี่ยงเบนทางเพศ 1. ความแปรปรวนในเอกลักษณ์ทางเพศของตนเอง หมายถึง มีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเพศของ ตนเอง เช่นชายอยากเป็นหญิง หญิงอยากเป็นชาย 2. พฤติกรรมเบี่ยงเบนในการปฏิบัติทางเพศ เป็นพฤติกรรมทางเพศที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป ซึ่งอาจ ส่งผลกระทบต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบเห็นบ่อยได้แก่ 1. ลักเพศ คือ บุคคลที่มีความสุขจากการแต่งตัว แต่งหน้า สวมใส่เสื่อผ้า แสดงท่าทางของเพศ ตรงข้าม 2. ถ้ ามอง คือ บุคคลที่มีความสุขจากการแอบดู 3. ชอบอวดอวัยวะเพศ คือ บุคคลที่มีความพึงพอใจหรือมีความสุขจาการเปิดเผยอวัยวะเพศของ ตนเอง ให้คนอื่นได้ดู 4. การท าอนาจารเด็ก คือ บุคคลที่มีความสุขกับการได้ร่วมเพศกับเด็ก 5. เบียดเสียด ถูไถ คือ บุคคลที่มีความสุขกับการได้ใช้อวัยวะเพศถูไถกับอวัยวะของเพศตรงข้าม 6. ซาดิสม์ คือ บุคคลที่มีความสุขกับการกับการท าให้ผู้อื่นเจ็บปวด 7. เพศร่วมสายเลือด คือ บุคคลที่มีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว 8. เพศกับวัตถุ คือ บุคคลที่มีความสุขกับการใช้สิ่งของในการระบายความใคร่ 9. ตัณหาจัด คือ มีความต้องการทางเพศสูงจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ 10. พูดจาลามก เป็นการคุกคามทางเพศที่เป็นวาจา 11. การส าเร็จความใคร่ด้วยตนเองบ่อยครั้ง การส าเร็จความใคร่ด้วยตนเองถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหมกมุ่นมากเกินไป จะถือว่ามีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ การแก้ปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ 1. การสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง 2. การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง 3. สถาบันการศึกษาควรมีหลักสูตรการเรียนการสอนในเรื่องเพศ 4. การสร้างเครือข่ายทางสังคม 5. หลีกเลี่ยงการใช้การบังคับ
ใบความรู้ที่ ๒ เรื่อง การคุมกําเนิด วิธีการคุมกําเนิดแบบตางๆ ถุงยางอนามัย • มีหลายขนาด ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับอวัยวะเพศ ควรดูวันผลิต หรือวันหมดอายุกอนการใช • ใชสวมเมื่ออวัยวะเพศแข็งตัว โดยใหบีบปลายถุงยางอนามัยเพื่อไลลมขณะสวม เริ่มสวมจากตรงปลายอวัยวะ เพศรูดเขาหาตัว แลวรูดใหสุดโคนอวัยวะเพศ • เมื่อเสร็จกิจ ใหถอดถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัว โดยจับที่ขอบถุงยางและคอยๆรูดออก หากปล อยใหอวัยวะเพศออนตัวในชองคลอดอาจท าใหถุงยางอนามัยหลุดได • ในขณะนี้ ถุงยางอนามัยเปนวิธีคุมก าเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพในการคุมก าเนิดและสามารถปองกัน การติดเชื้อเอชไอวี รวมทั้งโรคติดตอทางเพศสัมพันธอื่นๆ เชน เริม หูดหงอนไก หนองใน ซิฟลิส แผลริมออน ไปพรอม กันได ยาเม็ดคุมก าเนิดทั่วไป • ยาคุมก าเนิดชนิดเม็ดมี 2 แบบคือ แบบ 21 เม็ด และแบบ 28 เม็ด ซึ่งมีประสิทธิภาพไมแตกตางกัน • ยาคุมชนิด 28 เม็ด เม็ดยาที่เพิ่มขึ้นมา 7 เม็ดเปนวิตามินที่ชวยใหกินยาตอเนื่องโดยไมลืม • วิธีการกินยาคุมแผงแรก ใหเริ่มกินเม็ดแรก • ส าหรับยาคุม 21 เม็ด เมื่อกินหมดแผง ใหเวนไป 7 วันแลวจึงเริ่มแผงใหม สวนยาคุม 28 เม็ดใหกินแผงใหม ติดตอไปไดเลยภายใน 5 วันแรกของการมีประจ าเดือน แลวกินติดตอกันทุกวัน วันละ 1 เม็ดจนหมดแผง • ออกฤทธิ์คุมก าเนิดโดย 1)ยับยั้งไมใหมีการเจริญเติบโตของไข และปองกันไขตก 2) ท าใหเยื่อบุโพรงมดลูกบางลงไมเหมาะแกการฝงตัวของตัวออน 3) ท าใหมูกที่ปากมดลูกเหนียวขนไมเหมาะแกการใหอสุจิเคลื่อนผานเขาไปในโพรงมดลูก 4) เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของทอน าไข ท าใหไขที่ผสมแลวเดินทางไปถึงมดลูกเร็วเกินไปจนไมสามารถ ฝ งตัวได • ถาลืมกิน 1 วัน ใหกิน 2 เม็ดในวันถัดไป • ถาลืมกิน 2 วัน ใหกิน 2 เม็ดในวันที่สาม และอีก 2 เม็ดในวันที่ 4 • ถาลืมกิน 3 วันขึ้นไป ควรหยุดกินยาคุมแผงนั้นไปเลย และใชวิธีคุมก าเนิดชนิดอื่นไปกอน เชน ใชถุงยาง แล้ว จึงเริ่มกินแผงใหมในการมีประจ าเดือนรอบถัดไป • หากเริ่มกินเปนครั้งแรก ตองกินไป 14 วัน แลวจึงจะมีผลตอการปองกันการตั้งครรภ หากมีเพศสัมพันธใน ช วงเวลาดังกลาว ควรใชถุงยางอนามัยควบคูไปดวย • แมผูหญิงจะเปนคนกินยาคุม แตผูชายควรมีสวนรวมในการชวยเตือนใหกินยาตอเนื่อง ยาเม็ดคุมก าเนิดแบบฉุกเฉิน • ตองกิน 2 เม็ด จึงมีประสิทธิภาพในการคุมก าเนิด • เม็ดแรกกินทันทีหรือภายใน 72 ชั่วโมง (สามวัน) หลังการมีเพศสัมพันธ ประสิทธิภาพจะขึ้นกับเวลาที่กิน ภายหลังการมีเพศสัมพันธ หากกินไดเร็วเทาไร ความสามารถในการปองกันการตั้งครรภก็จะสูงขึ้นเทานั้น เม็ดที่สองกินหางจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง
• การกินยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพต่ํากวาวิธีคุมก าเนิดแบบปกติทั่วๆ ไป 75% ดังนั้น ควรใชในกรณีฉุกเฉิน เทานั้น การนับระยะปลอดภัย หรือนับหนา 7 หลัง 7 ไมควรใชเปนวิธีการคุมก าเนิดประจ าเปนวิธีคุมก าเนิดแบบธรรมชาติ วิธีนี้ใชไดผลเฉพาะผูหญิงที่มีรอบเดือนมา สม่ําเสมอเทานั้นซึ่งไมเหมาะกับวัยรุน ซึ่งรางกายยังอยูในชวงฮอรโมนเพศปรับตัว อาจมีรอบเดือนไมสม่ําเสมอ การนับ หนาเจ็ดหลังเจ็ด ใหใช “วันแรก”ของการมีประจ าเดือน นับเปนวันที่ 1 หนาเจ็ดคือนับยอนขึ้นไปใหครบเจ็ดวัน สวน หลังเจ็ด ใหนับตอจากวันแรกที่มีประจ าเดือนไปใหครบ 7 วัน การหลั่งขางนอก การหลั่งขางนอก เปนวิธีการคุมก าเนิดแบบธรรมชาติ ไดผลไมแนนอน เพราะขณะที่สอดใสฝายชายจะมีน้ําคัด หลั่งจ านวนหนึ่งออกมากอน ซึ่งจะมีอสุจิปะปนอยูดวย ตัวอสุจินั้นสามารถวายไปผสมกับไข การตั้งครรภจึงเกิดขึ้นไดก อนผูชายจะหลั่งน้ําอสุจิภายนอกเสียอีก นอกจากนั้น การหลั่งภายนอกยังเปนวิธีการที่ขึ้นอยูกับฝายชาย โดยที่ฝายหญิง ไมสามารถควบคุมไดเลย o การกินยาคุมก าเนิดชนิดเม็ด ยาคุมก าเนิดแบบฉุกเฉิน การนับวัน และการหลั่งขางนอกลวนเปนวิธีคุมก าเนิด ที่ไมสามารถปองกันการติดเชื้อเอชไอวี และเชื้อโรคติดตอทางเพศสัมพันธ o ถุงยางอนามัย เปนวิธีเดียวที่ชวยปองกันการตั้งครรภ ปองกันการติดเชื้อเอชไอวีและเชื้อโรคติดตอทางเพศ สัมพันธ
ใบความรู้ เรื่อง กฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ โดยเฉพาะความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรา ถือเป็นความผิดที่รุนแรงและเป็นที่หวาดกลัว ของผู้หญิงจํานวนมาก รวมทั้งผู้ปกครองของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย ยิ่งปัจจุบันจากข้อมูลสถิติต่างๆ ท าให้เราเห็นกันแล้วว่า การล่วงละเมิด ทางเพศนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย เราลองมาดูกฎหมายที่บัญญัติไว้เพื่อคุ้มครองผู้หญิงและผู้เสียหาย จากการล่วงละเมิดทางเพศกัน มีบัญญัติอยู่ในลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ ดังนี้ มาตรา 276 ผู้ใดข่มขืนกระท าช าเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาตน โดยขู่ เข็ญประการใดๆ โดยใช้ก าลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยท าให้หญิงเข้าใจผิดคิดว่าตนเป็น บุคคลอื่น ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สีปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท ถ้าการกระท าความผิดตามวรรคแรก ได้ กระท าโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยร่วม กระท าความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงต้อง ระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่น ถึงสี่หมื่นบาท หรือจ าคุกตลอดชีวิตถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ที่รุนแรง มาตรา 277 ผู้ใดกระท าช าเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาตน โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท ถ้าการกระท าความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระท าแก่เด็กหญิงอายุยังไม่ถึงสิบสามปี ต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นสี่พัน บาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจ าคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระท าความผิดตามวรรคแรกหรือวรรคสองได้กระท าโดยร่วมกระท า ความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม หรือได้กระท าโดยมีอาวุธปืนและวัตถุระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ ต้องระวางโทษจ าคุกตลอดชีวิต ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก ถ้าเป็นการกระท าที่ชายกระท า กับหญิงอายุกว่าสิบสามปี แต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและหญิงนั้น สมรสกัน ผู้กระท าผิดไม่ต้องรับโทษ ถ้าศาลอนุญาตให้สมรสในระหว่างที่ผู้กระท าผิดก าลังรับโทษในความผิดนั้นอยู่ ให้ ศาลปล่อยผู้กระท าผิดนั้นไป มาตรา 277 ทวิถ้าการกระท าความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก หรือมาตรา 277 วรรคแรก หรือวรรคสอง เป็น เหตุให้ผู้ถูกกระท า ๑. รับอันตรายสาหัส ผู้กระท าต้องระวางโทษจ าคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่ หมื่นบาท หรือจ าคุกตลอดชีวิต ๒. ถึงแก่ความตาย ผู้กระท าต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจ าคุกตลอดชีวิต มาตรา 277 ตรีถ้าการกระท าความผิดมาตรา 276 วรรคสองหรือมาตรา 277 วรรคสาม เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระท า ๑. รับอันตรายสาหัส ผู้กระท าต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจ าคุกตลอดชีวิต ๒. ถึงแก่ความตาย ผู้กระท าต้องระวางโทษประหารชีวิต โดยสรุป การจะมีความผิดทางกฎหมายฐานกระท าช าเราได้ ต้องมีองค์ประกอบความผิดดังนี้
๓.กระท าช าเราหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาตน ๔.เป็นการข่มขืน บังคับใจ โดยมีการขู่เข็ญ หรือใช้ก าลังประทุษร้าย หรือปลอมตัวเป็นคนอื่นที่หญิงชอบและหญิง ไม่สามารถขัดขืนได้ ๕.โดยเจตนา การจะมีความผิดฐานทําอนาจารได้ ต้องมีองค์ประกอบ คือ ท าอนาจารแก่บุคคลอายุเกินกว่า 13 ปี มีการข่มขู่ ประทุษร้าย จนไม่สามารถขัดขืนได้ หรือท าให้เข้าใจว่าเราเป็นคนอื่น โดยเจตนา
ใบงาน เรื่อง พัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น ชื่อ ........................................................... รหัสประจ าตัว .................................... กศน.ต าบล .............................. ตอบคําถามต่อไปนี้ 1. ให้ผู้เรียนเขียนเรียงความสั้นๆ เล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและการหา ทางออก .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ......................................................................................................................................................................... ........... ....................................................................................................................... ............................................................. ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ......................................................................................................................................................................... ........... ....................................................................................................................... ............................................................. ............................................................................................................................. ....................................................... .......................................................................................................................................... ..........................................
ใบงาน เรื่อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้ผู้เรียน แบ่งกลุ่มจ านวน ๔ กลุ่มและให้สนทนากันในประเด็นดังต่อไปนี้ กลุ่ม 1 ค าถาม 1. จงบอกวิธีการป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ว่ามีอะไรบ้าง? 2. ผู้ที่มีเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรมีเพศสัมพันธ์อยู่หรือไม่? เพราะอะไร? กลุ่ม 2 ค าถาม 3. จงบอกถึงอุปสรรคในการบอกให้คู่นอนรู้ถึงสถานะการติดเชื้อโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ว่ามี อะไรบ้าง? 4. ท าไมการบอกให้คู่นอนรู้ถึงสถานะการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงส าคัญ? กลุ่ม 3 ค าถาม 5. หากวัยรุ่นได้รับเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จะเกิดผล ในระยะยาวได้อย่างไรบ้าง? 6. สิ่งแวดล้อมหรือบริการแบบใดที่เหมาะสมวัยรุ่นการเวลาที่ไปรับบริการให้ค าปรึกษา หรือ ตรวจวินิจฉัยที่คลินิกหรือสถานบริการด้านสุขภาพ กลุ่ม 4 ค าถาม 7. กิจกรรมทางเพศใดต่อไปนี้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์? จูบ กอด เพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด เพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ออรัลเซ็กซ์ 8. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถรักษาได้ทุกชนิดหรือไม่?
เฉลย กลุ่ม 1 ค าตอบ 1. จงบอกวิธีการป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ว่ามีอะไรบ้าง? ไม่มีเพศสัมพันธ์ มีคู่นอนคนเดียว โดยที่ทั้งสองต่างไม่เคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน ใช้ถุงยางเมื่อมีเพศสัมพันธ์ (ทั้งชนิดส าหรับผู้ชายหรือผู้หญิง) ส าเร็จความใคร่ด้วยมือหรือการถูไถภายนอก มีกิจกรรมโดยไม่มีการสอดใส่ การระลึกอยู่เสมอว่าทุกคนมีสิทธิที่จะปฏิเสธเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (หรือไม่เต็มใจไม่ว่าจะ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม) 2. ผู้ที่มีเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรมีเพศสัมพันธ์อยู่หรือไม่? เพราะอะไร? ผู้ที่มีเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการรักษา แต่หากมี เพศสัมพันธ์จะต้องใช้ถุงยางอนามัย กลุ่ม 2 ค าตอบ 3. จงบอกถึงอุปสรรคในการบอกให้คู่นอนรู้ถึงสถานะการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ว่ามี อะไรบ้าง? บางคนไม่ยอมบอกคู่นอนของตนว่าตนติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย เหตุผลดัง ต่อไปนี้ อายหรือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี กลัวปฏิกิริยาของคู่นอน เช่น อาจถูกกล่าวหาว่านอกใจ โกรธ หรือเลิกคบ คิดว่าไม่จ าเป็นต้องบอก ตราบใดที่ใช้ถุงยางอนามัย เข้าใจผิดว่าตนคงไม่แพร่เชื้อให้กับคู่นอน ไม่ใส่ใจต่อคู่ของตนอย่างเพียงพอ 4. ทําไมการบอกให้คู่นอนรู้ถึงสถานะการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงสําคัญ? ทุกคนมีสิทธิในการปกป้องตนเองจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีคู่นอน เป็นเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม หากคู่นอนได้รับรู้เกี่ยวกับสถานะการติดเชื้อ ก็จะช่วยให้คู่นอน สามารถปกป้องตนเองได้ กลุ่ม 3 ค าตอบ 5. หากวัยรุ่นได้รับเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จะเกิดผลใน ระยะยาวได้อย่างไรบ้าง? หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อาจน าไปสู่ ภาวะการเป็นหมันทั้งในผู้ชายและผู้หญิง (โรคทริโคโมนาส และ หนองในแท้) การแท้งลูก หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (โรคทริโคโมนาส ซิฟิลิส ตับอักเสบบี) มะเร็งปากมดลูก (หูดหงอนไก่บริเวนอวัยวะเพศ) ตาบอด (หนองในแท้หนองในเทียม) 6. สิ่งแวดล้อมหรือบริการแบบใดที่วัยรุ่นต้องการเวลาที่ไปรับบริการให้คําปรึกษา หรือตรวจวินิจฉัย ที่คลินิกหรือสถานบริการด้านสุขภาพ?
ให้บริการที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ง่าย ราคาไม่แพง และมีคุณภาพ เก็บข้อมูลผู้รับบริการไว้เป็นความลับ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพมีความเป็นมิตร ความเข้าใจ และไม่ตัดสินหรือมีอคติต่อผู้รับบริการ กลุ่ม 4 ค าตอบ 7. กิจกรรมทางเพศใดต่อไปนี้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์? จูบ กอด เพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด เพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ออรัลเซ็กซ์ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปากล้วนเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น 8. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถรักษาได้ทุกชนิดหรือไม่? โรคที่เกิดจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่สามารถรักษาได้ทุกโรค เช่น โรคที่เกิดจากการ ติดเชื้อไวรัส (เช่น เริมที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ ไวรัสตับอักเสบบีและเอชไอวี)
ใบความรู้ที่ ๑ เรื่องที่ 1 ความหมาย ความสําคัญและคุณคาของอาหาร และโภชนาการ ความหมายของอาหาร อาหาร หมายถึง สิ่งที่มนุษย และสัตวกินดื่มเขาไปแลวบํารุงรางกายใหเจริญเติบโตและดํารงชีวิต รวมทั้งสิ่งที่ต นไมดูดเขาไปหลอเลี้ยงสวนตาง ๆ ของตนไมใหเจริญเติบโตดํารงอยูรางกายของคนเราตองการอาหาร เพราะอาหารเป นสิ่งจําเปนตอรางกาย คือ เพื่อบําบัดความหิว และเพื่อนําสารอาหารไปสรางสุขภาพอนามัย จนถึงการพัฒนาการทาง สมอง สําหรับทางดานจิตใจนั้น คนเรารับประทานอาหารเพื่อสนองความอยาก สรางสุขภาพจิตที่ดี อาหาร คือ สิ่งที่ รับประทานเขาไปแลวกอใหเกิดประโยชนแกรางกายในดานตางๆ เชน ใหกําลังและความอบอุน เสริมสรางความ เจริญเติบโต ซอมแซมสวนที่สึกหรอ ตลอดจนทําใหอวัยวะตางๆ ของรางกายทํางานอยางเปนปกติ โภชนาการ คือ วิทยาศาสตรแขนงหนึ่งเกี่ยวกับการจัดอาหาร เพื่อใหไดประโยชนแกรางกายมากที่สุด โดยคํานึงถึงคุณค าของอาหาร วัย และสภาพรางกายของผูที่ไดรับอาหารนั้นๆ ดวย ประโยชนและคุณคาของอาหาร อาหารเปนสารวัตถุดิบที่รางกายนํามาผลิตเปนพลังงาน รางกายนําพลังงานที่ไดจากอาหารไปใชในการรักษา สภาวะทางเคมี และนําไปใชเกี่ยวกับการทํางานของระบบตาง ๆ เชน การไหลเวียนโลหิต การเคลื่อนที่ของอากาศ เข าและออกจากปอด การเคลื่อนไหวของรางกาย การออกกําลังกาย และการทํากิจกรรมตาง ๆ ประเภทและประโยชนของสารอาหาร ในทางโภชนาการไดแบงอาหารตามสารอาหารออกเปน 6 ประเภทใหญ ดังนี้ 1. คารโบไฮเดรต เปนสารอาหารประเภทแปงและน้ําตาล ซึ่งสวนใหญไดจากการสังเคราะหแสงของพืช ได้ แก แปง และน้ําตาล คารโบไฮเดรตเปนสารอาหารที่ใหพลังงานแกรางกาย โดยคารโบไฮเดรต 1 กรัม จะสลายให พลังงาน 4 กิโลแคลอรี (K.cal) ประโยชน คารโบไฮเดรต (1) ใหพลังงานและความรอนแกรางกาย (2) ชวยในการเผาผลาญอาหารจําพวกไขมัน เพื่อใหรางกายสามารถนําไปใชได (3) กําจัดสารพิษที่เขาสูรางกาย (4) ทําใหการขับถายเปนไปตามปกติ ความตองการคารโบไฮเดรต ในวันหนึ่งๆ คนเราตองการใชพลังงานไมเทากันขึ้นอยูกับขนาดของรางกาย อายุ และกิจกรรม 2. โปรตีน เปนสารอาหารที่จําเปนตอรางกายของสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งประกอบดวยธาตุสําคัญๆ คือ คารบอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน นอกจากนี้ยังมีธาตุอื่นอีกดวย ประโยชนโปรตีน (1) ชวยซอมแซมสวนที่สึกหรอของรางกาย (2) ใหพลังงานและความอบอุนแกรางกาย โดยโปรตีน 1 กรัม ใหพลังงาน 4 กิโลแคลอรี เด็กทารกถ าไดรับโปรตีนนอยจะมีผลทําใหสมองไมพัฒนา ทําใหรางกายแคระแกรน สติปญญาต่ํา
(3) ทําใหสุขภาพรางกายแข็งแรง ไมออนเพลีย (4) ทําใหรางกายมีภูมิตานทานโรคสูง (5) เปนสารที่จําเปนในการสรางฮอรโมน และเอนไซมและเปนสวนประกอบที่สําคัญของเม็ดเลือดแดง ผลเสียที่เกิดจากการที่รางกายขาดโปรตีน (1) ทําใหตัวเล็ก ซูบผอม (2) การเจริญเติบโตชะงัก (3) กลามเนื้อออนปวกเปยก ถารางกายขาดโปรตีนอยางมาก จะทําใหเกิดโรคอวาฮิออกกอร (Kwashiorkor) ตับบวม ผมสีออน เฉยเมยไมมี ชีวิตชีวา แหลงอาหารของโปรตีนที่รางกายไดรับจากเนื้อสัตว เครื่องในสัตว ไข นม ถั่ว และผลิตภัณฑจากถั่ว โปรตีนที่ร างกายตองการไดรับ เมื่อถูกยอยดวยเอนไซมจะไดกรดอะมิโน 3. ไขมัน (Lipid Fat) เปนสารอาหารที่มีธาตุที่องคประกอบที่สําคัญ คือ คารบอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน คลายกับคารโบไฮเดรต แตสัดสวนที่ตางกัน ไขมันประกอบดวยกรดไขมันและกรีเซอรอล (1) กรดไขมัน (Fatty acid) แบงออกตามจุดหลอมเหลวได 2 ประเภท คือ • กรดไขมันชนิดอิ่มตัว (Saturated fatty acid) เปนกรดไขมันที่มีจุดหลอมเหลวสูง มีจํานวนธาตุคาร บอน และธาตุไฮโดรเจนในโมเลกุลคอนขางสูง ไดแก กรดลอริก กรดโมรีสติกกรดปาลมติก กรดสเตียริก กรดไขมันชนิด อิ่มตัวสวนมากจะไดจากสัตวและมะพราว • กรดไขมันชนิดไมอิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) เปนกรดไขมันที่มีจุดหลอมเหลวต่ํา ในหนึ่ง โมเลกุลประกอบดวยธาตุคารบอน และธาตุไฮโดรเจนในปริมาณต่ํากรดไขมันชนิดไมอิ่มตัว สวนมากไดจากไขมันของ สัตวเลือดเย็น น้ํามันตับปลาและไขมันจากพืช กรดไขมันชนิดไมอิ่มตัวมีกลิ่นเกิดขึ้นไดงาย เนื่องมากจากตัวกับออกซิเจน ในอากาศไดงาย วิธีแกทําไดโดยใหทําปฏิกิริยากับไฮโดรเจน ซึ่งเปนหลักของการทําเนยเทียม กรดไขมันที่ รางกายตอง การ เปนกรดไขมันที่รางกายไมสามารถสังเคราะหขึ้นได จึงตองรับจากภายนอก ซึ่งไดรับมากพืช เปนกรดไขมันชนิดไม อิ่มตัว เชน กรดโอเลอิก (C17H33 COOH) ไดจากน้ํามันมะพราว ถั่วลิสง กรดไลโนเลอิก (C17H19 COOH) ไดถั่วลิสง น้ํามันรํา น้ํามันดอกคําฝอย ประโยชนของกรดไขมันชนิดอิ่มตัวตอรางกาย คือ (1) ชวยทําใหรางกายมีสุขภาพดี (2) ชวยสรางความเจริญเติบโตในเด็ก (3) ชวยทําใหผิวพรรณงดงาม (4) ชวยลดระดับคอเลสเตอรอลในเสนเลือด แตถารายกายขาดไขมันจะทําใหรางกายเจริญเติบโตไดไมเทาที่ควร และมีผิวหนังอักเสบ ไขมันเปนสารอาหารที่ ใหพลังงานสูง โดยไขมัน 1 กรัม จะใหพลังงาน 9 กิโลคาลอรี่ และนอกจากนี้ ยังชวยใหรางกายดูดวิตามินเอ ดี อี เค ไปใชในรางกายไดดวย ถารางกายขาดไขมันจะทําใหรางกายขาดวิตามิน เอ ดี อี และเค (2) คอเรสเตอรอล (Cholesterol) เปนกรดไขมันอิ่มตัวที่พบมากในไขแดง มันสมองสัตว มีความสามารถใน การละลายไมดี ฉะนั้นเมื่อบริโภคเขาไปในปริมาณมาก จะทําใหเกิดการอุดตันในเสนเลือดทําใหเสนเลือดตีบตัน และ เป นสาเหตุทําใหเกิดโรคหลอดโลหิตแข็งตัว โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ เพื่อลดปริมาณคอเรสเตอรอลในเสนเลือด ควร เลือกบริโภคอาหารที่มีไขมันต่ํา และควรงดเวนการบริโภคไขแดง ไขมันจากสัตว โดยเฉพาะมันสมองสัตว
(3) ไตรกลีเซอรไรด หมายถึง ไขมันที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีระหวางไขมัน กับกลีเซอรอล ขอควรจํา (1) กรดไขมันชนิดอิ่มตัว จุดหลอมเหลวจะสูงขึ้นตามจํานวนอะตอมของคารบอน ไฮโดรเจนใน 1 โมเลกุล (2) กรดไขมันชนิดไมอิ่มตัว เมื่อคารบอนเทากัน จุดหลอมเหลวจะสูงขึ้น เมื่อมีอะตอมของไฮโดรเจนสูงขึ้น 4. วิตามิน (Vitamin) เปนสารซึ่งมีความจําเปนตอรางกาย เพราะสามารถทําใหรางกายทํางานไดเปนปกติ ฉะนั้นวิตามินไดจากอาหาร เพราะรางกายไมสามารถสรางหรือสังเคราะหขึ้นได วิตามิน แบงไดเปน 2 ประเภทใหญๆ คือ (1) วิตามินที่ละลายไดในน้ํามันหรือไขมัน ไดแก วิตามินซี วิตามินพวกนี้สลายตัวไดงาย เมื่อถูกแสงความรอน ฉะนั้น จึงไมมีการสะสมในรางกาย ถารางกายรับเขาไปมากเกินไปจะทําใหเกิดผลเสียได คือ เกิดอาการแพ (2) วิตามินที่ละลายไดในน้ํา ไดแก วิตามินบี วิตามินซี วิตามินพวกนี้สลายตัวไดงาย เมื่อถูกแสงความรอน ฉะนั้น จึงไมมีการสะสมในรางกาย ถารางกายมีมากเกินไปจะถูกขับออกมาทางปสสาวะหรือทางเหงื่อ 1. วิตามินเอ พบในอาหารประเภทเนื้อ นม ไขแดง เนย น้ํามันตับปลา พืชผักและผลไมตลอดจนผลไมที่มีสี เหลือง เชน มะละกอ ฟกทอง มีประโยชน คือ • ชวยรักษาสุขภาพทางตาใหปกติ • ชวยสรางเคลือบฟน • ชวยทําใหผิวหนังสดชื่นไมตกสะเก็ด ผลเสีย ของการรับประทานวิตามินเอ มากเกินไป จะทําใหเกิดอาการคลื่นไส ผมรวง และคันตามผิวหนัง 2. วิตามินดี ไดจากสารอาหารจําพวกน้ํามันตับปลา ไขแดง เนย และจากแสงแดดซึ่งรางกายสังเคราะหขึ้น ประโยชนคือ • ควบคุมปริมาณของแคลเซียมในโลหิต • ชวยปองกันโรคกระดูกออน • ชวยทําใหกระดูกและฟงแข็งแรง ผลเสีย เมื่อรับประทานวิตามินดีมากเกินไป จะทําใหเกิดอาการคลื่นไส น้ําหนักตัวลดลงปสสาวะบอย ทองผูก ทําใหแคลเซียมในเลือดสูง 3. วิตามินอี พบในน้ํามันพืชตางๆ เชน เมล็ดขาว ผักใบเขียวจัด ถั่ว นม มีประโยชนคือ • ปองกันการเปนหมันและการแทงลูก • ปองกันกลามเนื้อเหี่ยวลีบไมมีแรง • ชวยทําใหเซลลเม็ดเลือดแดงไมถูกทําลายไดงาย 4. วิตามินเค ไดจากการสังเคราะหจากแบคทีเรียในลําไส ไดจากอาหารสีเขียว สีเหลือง เชน ดอกกะหล่ํา กะหล่ําปลี ถั่วเหลือง มะเขือเทศ มีประโยชน คือ ชวยสรางโปรทอมบิน ซึ่งตับเปนผูผลิตและทําใหเลือดแข็งตัว ถาราง กายเกิดการขาดแคลนวิตามินเค จะทําใหเสียเลือดมาก เพราะเลือดแข็งตัวไดชา ทารกที่เกิดใหมไมมีแบคทีเรียในลําไสที่ ผลิตวิตามินเค ถามีบาดแผลจะทําใหเสียเลือดมากถึงตายได
5. วิตามินบี 1 (Thiamine) พบมากในขาวซอมมือ เนื้อสัตว ถั่วเหลือง เห็ดฟาง เมล็ดงา รําขาว ยีสต ผักใบ เขียว ถาขาดวิตามินบี 1 จะทําใหเกิดโรคเหน็บชา เบื่ออาหาร หงุดหงิด 6. วิตามินบี 2 (Riboflavin) มีมากในตับ ไต หัวใจ ไขปลา ไขขาว น้ํามัน ถั่ว ผักยอดออน ถาขาดวิตามินบี 2 จะทําใหเกิดโรคปากนกกระจอก ผิวหนังเปนผื่นแดง ปวดศีรษะ หนาที่ของวิตามินบี 2 คือ • ชวยสรางเม็ดโลหิตแดง • ชวยเผาผลาญอาหารพวกโปรตีน คารโบไฮตีน • ชวยบํารุงผิวหนัง 7. วิตามินบี 12 (Cobalmine) พบมากในนม เนยแข็ง ไข หอย ปลารา กะป มีประโยชนคือ ชวยรักษาระบบ ประสาท และปองกันโรคโลหิตจาง 8. วิตามินซี (Ascorbic acid) พบในพืชผักสด และผลไมที่มีรสเปรี้ยว และพืชกําลังงอก เชน ถั่วงอก ยอดตําลึง มีประโยชนคือ • ปองกันโรคเลือดออกตามไรฟน • ปองกันโรคเลือดออกตามไรฟน • ชวยทําใหผนังของโลหิตแข็งแรง • ชวยในการดูดซึมอาหารอื่น • ชวยให รางกายสดชื่นไมออนเพลีย • ชวยในการตอกระดูกและรักษาแผล 5. เกลือแร (Mineral Salt) เปนสารอาหารที่ไมไดใหพลังงานแกรางกายแตชวยเสริมสรางใหเซลลหรืออวัยวะ บางสวนของรางกายทนทานไดเปนปกติ เชน (1) แคลเซียม (Calcium) ซึ่งพบในพืชผัก กุงแหง กุงฝอย กบ มีประโยชน คือ 1. เปนสวนประกอบที่สําคัญของกระดูกและฟน 2. ชวยควบคุมการทํางานของหัวใจและระบบประสาท 3. ชวยทําใหเลือดเกิดการแข็งตัว ถารางกายขาดแคลเซียมทําใหเกิดโรคกระดูกออน มีอาการชัดเพราะ แคลเซียมในเลือดไมพอและทําใหเลือดไหลหยุดชาเมื่อมีบาดแผล (2) เหล็ก (Ferrus) พบมากในตับ หัวใจ เนื้อ ถั่ว ผักสีเขียวบางชนิด เชน กระถิน ผักโขม ผักบุง มีประโยชน คือ 1. เปนสวนประกอบสําคัญของเม็ดโลหิตแดง 2. ปองกันโรคโลหิตจาง หญิงมีครรภ หรือมีประจําเดือน ควรไดรับธาตุเหล็กมาก เพื่อไปเสริมและสรางโลหิตที่ เสียไป (3) ไอโอดีน (Iodine)พบมากในอาหารทะเล เชน กุง หอย ปู ปลา มีประโยชน คือ ชวยใหตอมธัยรอยดผลิตฮอรโมนขึ้น เพื่อใหควบคุมการเผาผลาญสารอาหารในรางกาย เด็กที่ขาดไอโอดีนจะไมเจริญเติบโตจะเปนเด็กแคระแกรน ยาบา งอยางและผักกะหล่ําปลีจะขัดขวางการทํางานของฮอรโมนไทรอกซิน (4) โปแตสเซียม (Potassium)พบในเนื้อ นม ไข และผักสีเขียว มีประโยชน คือควบคุมการทํางานกลามเนื้อ และระบบ ประสาท 6. น้ํา (Water) เปนสารอาหารที่สําคัญที่สุดสิ่งมีชีวิตจะขาดเสียมิได โดยรางกายเรามีน้ําเปนองคประกอบ อยู ประมาณ 70 % ของน้ําหนักตัว ประโยชนของน้ํา (1) ชวยทําใหผิวพรรณสดชื่น
(2) ชวยหลอเลี้ยงอวัยวะสวนตางๆ ที่มีการเคลื่อนไหว (3) ชวยขับของเสียออกจากรางกาย (4) ชวยรักษาอุณหภูมิของรางกาย (5) ชวยยอยอาหารและลําเลียงอาหาร สัดสวนของสารอาหารที่รางกายตองการ (1) ความตองการพลังงานของรางกายในแตละวันจะมากหรือนอยในแตละบุคคลขึ้นอยูกับ • เพศ กลาวคือ เพศชายสวนมากตองการมากกวาเพศหญิง • วัย กลาวคือ วัยรุนมีความตองการพลังงานมากวาวัยเด็กและวัยชรา • อาชีพ กลาวคือ ผูมีอาชีพไมตองใชแรงงานจะใชพลังงานนอยกวาผูใชแรงงาน • น้ําหนักตัว กลาวคือ ผูมีน้ําหนักตัวมากจะใชพลังงานมากกวาผูมีน้ําหนักตัวนอย • อุณหภูมิ กลาวคือ ผูที่อยูในบริเวณภูมิอากาศหนาว จะใชพลังงานมากกวาผูอาศัยในบริเวณภูมิอากาศรอน โดยปกติในวัยเรียนพลังงานที่จะใชปริมาณ 44 แคลลอรี่ ตอกิโลกรัมตอวัน (2) บุคคลที่ตองการลดความอวน แตไมตองการอดอาหาร จะทําไดโดยลดสารอาหารบางอยางที่ใหพลังงานสูง และกิน สารอาหารอื่นแทน นั้นคือควรลดคารโบไฮเดรต และไขมัน เพราะอาหาร 2 อยางนี้ใหพลังงานสูง (3) การบริโภคอาหารตามหลักของโภชนาการ คือ จะตองบริโภคอาหารใหครบถวนตามรางกายตองการและในปริมาณ ที่พอเหมาะ โดยเฉพาะสารอาหารใหพลังงาน เชน • คารโบไฮเดรต ควรไดรับ 2-3 กรัม/น.น. 1 Kg/วัน • โปรตีน ควรไดรับ 1 กรัม/น.น. 1 Kg/วัน สําหรับเด็กทารก และสตรีมีครรภควรจะไดรับปริมาณโปรตีน สู งกวาคือควรรับ 2-3 กรัม/น.น. 1 Kg/วัน • ไขมัน ควรไดรับ 2 กรัม/น.น. 1 Kg/วัน สําหรับประเทศหนาวควรไดรับสารอาหารนี้ในปริมาณที่สูงขึ้นอีก เพื่อนําไปใชกอใหเกิดพลังงาน (4) โปรตีนที่มีคุณภาพสูง หมายถึง อาหารโปรตีนที่มีกรอมิโนที่จําเปนตอรางกายทั้ง 8 ชนิด และอยูในสัดสวนที่ พอเหมาะที่รางกายจะนําไปใชประโยชนไดเต็มที่ อาหารที่ใหโปรตีนครบ 8 อยาง คืออาหารจากสัตว ใบความรู้ เรื่อง การถนอมอาหาร การถนอมอาหาร (food preservation) และวิธีถนอมอาหาร
หมายถึง วิธีการยืดอายุอาหารเพื่อเก็บรักษาให้มีคุณภาพ และคุณค่า ทางโภชนาการใกล้เคียงกับของเดิม ไม่บูดเน่าเสียหายง่าย การถนอม อาหารเป็นกระบวนการของการแปรรูป ควบคุม และการทําให้อาหาร สดไม่แปรสภาพด้วยการทําลายของจุลินทรีย์ ด้วยกรรมวิธีหลายอย่าง ได้แก่ การเลือกใช้อาหารที่มีการปะปนของจุลินทรีย์น้อย การปั่นหรือ กรองเพื่อกําจัดจุลินทรีย์ในอาหาร การเก็บรักษาอาหารไว้ในภาชนะที่ มิดชิดและเป็นสุญญากาศ ดังนั้น การถนอมอาหาร หมายถึง การแปรรูปหรือการเก็บรักษาอาหาร ให้คงสภาพเดิมได้นานโดยไม่บูดเน่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของเนื้อสัมผัส กลิ่น สี และรส ของอาหาร ส่งผลทําให้อาหารมีอายุการจัดเก็บนาน ยังคงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไว้ รวมถึงรักษาสภาพคุณค่า ทางโภชนาการของอาหารให้คงเดิมหรือเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ตัวการสําคัญที่ทําให้อาหารบูดเน่า 1. จุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ตาเปล่าไม่สามารถมองเห็นได้ ขนาดทั่วไปของจุลินทรีย์ประมาณ 0.0005- 0.05 มิลลิเมตร จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่เคลื่อนไหวได้ กินอาหารได้ และสืบพันธุ์ได้ ทั้งในสิ่งที่มีชีวิตและไม่มี ชีวิต แต่ในสิ่งที่มีชีวิตจะได้รับการต่อต้านจากภูมิต้านทานของร่างกายที่ได้รับจากการกินอาหารอย่างถูกต้อง และ เหมาะสม จึงไม่สามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้ดีนัก จุลินทรีย์มีอยู่ 4 พวก ได้แก่ 1. ซูโดโมนาเดลีส เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่โดยวิธีสังเคราะห์แสงหรือสังเคราะห์เคมี เช่น เชื้ออหิวาตกโรค ฯลฯ 2. ยูบัคเตรีอาลีส เป็นจุลินทรีย์ที่มีอยู่โดยทั่วไป จุลินทรีย์ชนิดนี้เป็นตัวการทําให้เกิดโรคหลายอย่าง เช่น โกโนเรีย ปอด บวม บาดทะยัก กาฬโรค ไทฟอยด์ ฝีดาษ ฯลฯ 3. แอกติโนโมซีเตลีส เป็นจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรควัณโรค แต่มนุษย์สามารถสกัดเอาสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า สเตรปโตไม ซีส ในจุลินทรีย์ชนิดนี้มาทํายาปฏิชีวนะ ช่วยให้การรักษาโรคได้หลายอย่าง 4. ไปโรคีเตลีส เป็นจุลินทรีย์รูปร่างเกลียว ก่อให้เกิดโรคซิฟิลิสและคุดทะราดจะเห็นได้ว่าจุลินทรีย์เป็นสิ่งที่ทําให้เกิดโรค ต่างๆ แก่มนุษย์ นอกจากการเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีอื่น ๆ แล้ว อาหารก็เป็นส่วนสําคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะนําจุลินทรีย์ เหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย 2. เอนไซม์ เอนไซม์ หมายถึง สารที่เข้าทําปฏิกิริยาการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในโลกนี้มีเอนไซม์อยู่ มากมายหลายชนิด พบได้ทั้งในพืช สัตว์ และจุลินทรีย์
3. น้ํา น้ํา เป็นของเหลวที่มีอยู่ทั่วไปทั้งบนบก และในอากาศ นอกจากนั้น น้ํายังมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตด้วย ร่างกายมนุษย์ สัตว์ จุลินทรีย์ และพืช จะมีน้ําเป็นองค์ประกอบมากกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะพืชที่มีน้ําเป็นองค์ประกอบมากถึงร้อย ละ 95-99 ดังนั้น ในอาหารทุกชนิดจึงมีน้ําเป็นองค์ประกอบ และน้ําถือเป็นสารที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด หากขาดน้ํา ทุกชีวิตจะไม่สามารถดํารงอยู่ได้ เมื่อมีจุลินทรีย์ น้ํา และเอนไซม์ในอาหาร อาหารจะเกิดปฏิกิริยาการบูดเสีย และเน่าสลายในเวลาอันรวดเร็ว รวมทั้งยังเป็นที่เกิดของเชื้อโรคชนิดต่างๆ อันเป็นโทษแก่ร่างกายมนุษย์ ซึ่งการบูดเสีย และการเน่าเปื่อยเป็น กระบวนการทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เกิดจากการทําปฏิกิริยาของเอนไซม์ ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิต จุลินทรีย์ และอาหารเอง หลักการในการถนอมอาหาร การถนอมอาหารมีหลักสําคัญอยู่ที่การชะชักการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในอาหารให้ช้าลงหรือไม่เกิดขึ้น โดยระงับการสร้างแหล่งอาหารหรือระงับการทําปฏิกิริยาของน้ํา และเอนไซม์มิได้เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด จุลินทรีย์ ก็จะไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ ซึ่งจะทําให้อาหารบูดเสียช้าลงหรือไม่บูดเสียเลย สําหรับจุลินทรีย์ที่มีมากมายอยู่ทั่วไป และตาเปล่าไม่สามารถมองเห็นได้ และไม่สามารถจํากัดได้หมด นอกจากนั้น เอนไซม์ที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติก็ไม่สามารถกําจัดได้เช่นกันจึงเหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ สามารถกําจัดให้หมดไปได้ นั่นก็คือ น้ํา ดังนั้น วิธีการถนอมอาหารจึงอยู่ภายใต้หลักการในการเปลี่ยนสภาพน้ํา มิให้ทํา ปฏิกิริยากับเอนไซม์และเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ความจําเป็นในการถนอมอาหาร เนื่องจากอาหารแต่ละชนิดคงสภาพสมบูรณ์อยู่ในระยะเวลาจํากัด ไม่สามารถเก็บรักษาไว้บริโภคได้ใน ระยะเวลาที่ยาวนาน จึงจําเป็นจะต้องค้นหากระบวนการที่จะทําให้สามารถเก็บรักษาอาหารให้ใกล้เคียงสภาพเดิมมาก ที่สุด ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการประหยัดแล้ว ยังเป็นการปรับปรุงรสชาติของอาหารให้แตกต่างไปจากเดิมอีกด้วย ซึ่ง ความจําเป็นในการถนอม มีดังนี้ 1. เพื่อความประหยัด ไม่ต้องเสียเงินในการซื้ออาหารเพิ่มเกินความจําเป็น 2. เพื่อยึดอายุของอาหารสดให้เก็บรักษาไว้บริโภคได้เป็นเวลานาน 3. เก็บรักษาอาหารที่หายากบางชนิดให้มีบริโภคตลอดปี 4. เพื่อเก็บสะสมอาหารไว้รับประทานยามขาดแคลน 5. เพื่อรักษาคุณลักษณะและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไว้ 6. เพื่อจําหน่ายเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวในกรณีอาหารที่ถนอมรักษาไว้มีจํานวนมาก ประเภทการถนอมอาหาร การถนอมรักษาอาหารที่ทํากินโดยทั่วไป ใช้หลักง่ายๆ คือ ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ด้วยการลด หรือเปลี่ยนสภาพของน้ํามิให้ทําปฏิกิริยากับเอนไซม์ จนกลายเป็นอาหารของจุลินทรีย์ การถนอมอาหารที่ดีและมี ประสิทธิภาพ คือ การทําลายจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารให้หมดสิ้นไป และไม่สามารถปะปนในอาหารได้อีก การชะลอการ