The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วิษณุ อินธิราช, 2023-11-29 04:56:11

แผนการสอน ทช11002

แผนการสอน ทช11002

เจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในอาหารไม่สามารถถนอมอาหารไว้ได้นาน เพราะจุลินทรีย์ยังมีชีวิตอยู่ และเอนไซม์ที่สร้างขึ้น ยังคงทําได้ จึงทําให้อาหารบูดเสียในเวลาต่อมา จากหลักการนี้การถนอมอาหารแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1. การถนอมอาหารแบบชั่วคราว การถนอมอาหารแบบชั่วคราว เป็นการยับยั้งจุลินทรีย์ไม่ให้เจริญเติบโตและสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ อาหารในระยะเวลาสั้นๆ เช่น การแช่อยู่ในอุณหภูมิที่มีความเย็นไม่ถึงจุดเยือกแข็ง การผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการอบความ ร้อนที่มีอุณหภูมิต่ํากว่าจุดเดือด การหมักดองไว้ในความเค็ม ฯลฯ 2. การถนอมอาหารแบบถาวร การถนอมอาหารแบบถาวร คือ การยับยั้งกระบวนการย่อยสลายให้ขาดตอนลงอย่างสิ้นเชิง โดยการกําจัดน้ํา จากอาหารออกโดยเด็ดขาด หรือสกัดกั้นการเข้าปนเปื้อนกับจุลินทรีย์ เช่น การตากแห้ง การใช้รังสี การใช้ความเย็นจัด ฯลฯ วิธีการถนอมอาหาร ⇒ การถนอมอาหารแบบชั่วคราว การถนอมอาหารแบบชั่วคราว เป็นการเก็บรักษาอาหารไว้ในระยะเวลาสั้น ตั้งแต่ 1 วัน ถึง 6 เดือน การ ถนอมอาหารแบบนี้ เป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของเอนไซม์และจุลินทรีย์ ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่ว ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการ ดังนี้ 1. การอุ่นด้วยความร้อน การอุ่นด้วยความร้อนที่มีอุณหภูมิไม่สูงมาก สามารถทําลาย และยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ บางส่วน รวมถึงทําให้เอนไซม์ย่อยอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลง จนไม่สามารถทําปฏิกิริยาในอาหารได้ แต่จะมีผลเพียงใน ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพราะจุลินทรีย์บางส่วนจะค่อยๆเติบโต และเพิ่มปริมาณมากขึ้น เช่น อาหารที่ได้รับการปรุง แล้ว จะบูดเสียง่ายกว่าอาหารสดที่ยังไม่ได้ปรุง 2. การปั่นกรอง การปั่นกรอง เป็นการลดปริมาณจุลินทรีย์ในอาหารให้ลดน้อยลง และเพิ่มระยะเวลาในการบูดเสียให้ ยาวนานออกไป เพราะการปั่นจะทําให้เกิดการตกตะกอนของจุลินทรีย์ลงด้านล่าง การถนอมอาหารวิธีนี้มักใช้กับอาหาร จําพวกผัก และผลไม้ 3. การแช่เย็น และแช่แข็ง การถนอมอาหารด้วยการแช่อาหารไว้ในความเย็นที่ต่ํากว่า อุณหภูมิห้อง เรียกว่า การแช่เย็น ส่วนแช่อาหารไว้ในความเย็นที่ต่ํากว่า จุดเยือกแข็ง เรียกว่า การแช่แข็ง โดยการแช่เย็น และการแช่แข็ง สามารถชะงักการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ นานนัก เพราะจุลินทรีย์ เอนไซม์ และน้ําที่มีอยู่ในอาหารยังคงทํา ปฏิกิริยาอยู่ แต่ถูกความเย็นทําให้เกิดการเปลี่ยนสภาพที่ช้าลงเท่านั้น


4. การแช่ความเค็ม หรือ การดองเค็ม การแช่อาหารไว้ในความเค็มมีส่วนยับยั้งการทําปฏิกิริยาของ เอนไซม์ และน้ํา ให้ชะงักความเปลี่ยนแปลง เพราะน้ําที่มีความเค็ม ความเค็ม และน้ําจะแพร่เข้าสู่เซลล์ของจุลิทรีย์ได้ง่าย ทําให้เซลล์พองโต และเกิดพิษต่อ เซลล์ของจุลินทรีย์ จึงหยุดการเจริญเติบโต และการขยายพันธุ์ ของจุลินทรีย์ ได้ ความเค็มที่ใช้ในการถนอมอาหาร ได้มาจากเกลือ อาทิ โซเดียมคลอไรด์ และโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งเป็น สารประกอบของโลหะกับอนุมูลกรดมีรสเค็มจัด เกลือที่ใช้ในการถนอมอาหารถ้า เป็นเกลือที่ได้จากน้ําทะเล เรียกว่า เกลือสมุทร ส่วนเกลือที่ได้จากใต้ดิน เรียกว่า เกลือสินเธาว์ เมื่อนําเกลือมาผสมกับน้ํา น้ําจะมีรสเค็มจัด และเมื่อนําอาหารมา แช่ไว้ ความเค็มจะแพร่เข้าสู่อาหาร ทําให้อาหารมีรสเค็มไปด้วย การแช่เค็มหรือการดองเค็ม ได้แก่ – พืช เช่น มะม่วงดอง มะยมดอง – สัตว์ เช่น ปลาร้า ปลาเค็ม ทั้งนี้ การดองเค็มอาจเก็บถนอมอาหารได้มากกว่า 6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณเกลือที่ใช้ อาทิ ปลาร้า สามารถเก็บ อาหารรับประทานได้มากกว่า 6 เดือน ซึ่งสามารถจัดเป็นการการถนอมอาหารแบบถาวรได้เช่นกัน 5. การแช่ความเปรี้ยว ความเปรี้ยวที่นิยมนํามาใช้ในการถนอมอาหารมักเป็นความเปรี้ยวที่ได้มาจากน้ําส้มสายชู ซึ่งมีกรดอะซิติกเป็น ส่วนผสม เมื่อนําอาหารแช่ลงไปในน้ําส้มสายชู ความเปรี้ยวของกรดอะซิติกจะแทรกเข้าไปในอาหารทําให้จุลินทรีย์หยุด การเจริญเติบโต เพราะไม่สามารถดูดซึมรสเปรี้ยวได้ น้ําส้มสายชู เป็นสารละลายใส ไม่มีสี หรือบางครั้งอาจมีสีชาอ่อนๆ มีกลิ่นฉุน และรสเปรี้ยวจัด น้ําสมสายชูแท้ จะต้องเป็นน้ําส้มที่ได้จากกรดน้ําส้มหรือกรดอะซิติกเท่านั้น คือ ได้จากการหมักเชื้อยีสต์กับน้ําตาลหรือผลไม้ ต่อมามี การทําน้ําส้มสายชูเทียมขึ้น ซึ่งน้ําส้มสายชูจากการหมักหรือน้ําส้มสายชูแท้ที่นํามาใช้ในการถนอมอาหารต้องมีคุณภาพ ดังนี้ – มีกรดน้ําส้มหรือกรดอะซิติก ในสารละลายที่อุณหภูมิ 27 ºC ตั้งแต่ 4 กรัม/ 100 มิลลิลิตร ขึ้นไป – ไม่มีส่วนผสมของกรดน้ําส้มที่มิได้มาจากการหมัก – ไม่มีตะกอนของสารอื่น ยกเว้นตะกอนที่เกิดจากการหมัก – ไม่มีหนอนน้ําส้ม – สารที่ใช้ในการแต่งสีน้ําส้มสายชูหมัก ควรเป็นน้ําตาลเคี่ยวไหม้เท่านั้น ส่วนน้ําส้มสายชูเทียมที่นํามาใช้ ต้องมีมาตรฐาน ดังนี้ – มีกรดน้ําส้ม ในสารละลายที่อุณหภูมิ 27 ºC ตั้งแต่ 4 กรัม/100 มิลลิลิตร แต่ไม่มากกว่า 7 กรัม/100 มิลลิลิตร – ไม่มีกรดซัลฟิวริกหรือกรดอื่นๆที่ไม่ใช่กรดอะซิติก – ไม่มีตะกอน – ไม่มีการเจือสี – ใช้น้ําเป็นส่วนผสมในการทําให้เจือจางเท่านั้น


6. การแช่ความหวาน ความหวาน มีประสิทธิภาพในการถนอมอาหารได้เช่นเดียวกับความเค็ม และความเปรี้ยว แต่ต้องเป็นความ หวานที่หวานจัดเท่านั้น จึงจะสามารถถนอมอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะน้ําตาล และน้ําจะแพร่เข้าสู่เซลล์ จุลินทรีย์ ทําให้เซลล์พองโต เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ ทําให้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ความหวานที่ใช้ในการถนอมอาหารส่วนใหญ่จะใช้น้ําตาลทรายเป็นหลัก เพราะหาได้ง่าย และมีราคาถูกกว่า น้ําตาลชนิดอื่น อีกทั้ง น้ําตาลทราย เป็นน้ําตาลที่ปราศจากโปรตีน และไขมัน จึงไม่มีสารอาหารอื่นของจุลินทรีย์ น้ําตาล ได้จากการสลัดพืชหรือผลไม้ เช่น องุ่น อ้อย มะพร้าว ตาล ฯลฯ ส่วนน้ําตาลที่ใช้ในการถนอมอาหาร ได้แก่ – น้ําตาลทรายขาวฟอกบริสุทธิ์ เป็นน้ําตาลที่มีความหวาน และบริสุทธิ์สูงสุด ก้อนน้ําตาลมีลักษณะเป็นเกล็ดใสสะอาด ปราศจากกากน้ําตาล และมีความชื้นน้อยมาก – น้ําตาลทรายขาว เป็นน้ําตาลที่มีความหวาน และความบริสุทธิ์สูง มี ลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว หรือ สีขาวอมเหลืองอ่อน มีกากน้ําตาล และ ความชื้นอยู่เล็กน้อย – น้ําตาลทรายแดง – น้ําตาลปี๊ปหรือน้ําตาลตาลโตนด น้ําตาลเป็นสารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายในปริมาณสูง สารต่าง ๆ ในน้ําตาลให้ประโยชน์แก่ร่างกายมาก แต่ หากบริโภคความต้องการของร่างกายก็จะทําให้เกิดโรคอ้วน โรคความดันโลหิต โรคตับ โรคเบาหวาน และทําให้ฟันผุ การแช่ความหวานที่นิยมทํา ได้แก่ การแช่อิ่ม การเชื่อม และผลไม้กระป๋องในน้ําเชื่อม 7. การหมัก การถนอมอาหารด้วยการหมักจะอาศัยจุลินทรีย์ชนิดผลิตกรดเป็น สําคัญในการถนอมอาหาร เพราะจุลินทรีย์จําพวกนี้จะผลิตกรด ออกมา และแทรกอยู่ในเนื้ออาหาร ทําให้อาหารมีรสเปรี้ยวหรือมี ความเป็นกรด จนจุลินทรีย์ชนิดอื่นไม่สามารถเติบโตได้ อาหาร ประเภทนี้ ได้แก่ ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก และหม่ํา เป็น ต้น


⇒ การถนอมอาหารแบบถาวร การถนอมอาหารแบบถาวร เป็นการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้รับประทานนานกว่า 6 เดือน การถนอมอาหารแบบนี้ทําได้ หลายวิธี ดังนี้ 1. การอบด้วยความดันอากาศ ความดันอากาศสูงๆ สามารถฆ่าจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารได้ และถ้าสามารถเก็บอาหารที่ผ่านความดันอากาศสูงๆ ไว้ในสภาพปลอดจุลินทรีย์โดยมิให้อากาศผ่านเข้าไปได้ เช่น บรรจุไว้ในกระป๋องที่ปิดสนิทก็จะสามารถถนอมอาหานั้นไว้ ได้อย่างถาวร 2. การอาบรังสี การอาบรังสี เป็นการถนอมอาหารแบบถาวรอย่างหนึ่ง แต่มีกระบวนการซับซ้อน และต้องให้ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ช่วยเป็นอย่างมาก สารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหาร ได้แก่ Caesium-137 หรือ Cobalt-60 ซึ่งเป็นสาร กัมมันตรังสี สารเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยป้องกันไม่ให้อาหารเน่าเสีย แต่ต้องใช้สารเหล่านี้ใน ปริมาณที่ร่างกายมนุษย์สามารถรับได้และไม่ก่อให้เกิดอันตราย 3. การทําแห้งด้วยความเย็น การทําแห้งด้วยความเย็น เป็นการถนอมอาหารด้วยวิธีการสมัยใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง ซึ่งเรียกว่า กระบวนการ ฟรีซดราย ฟรีดราย เป็นการถนอมอาหารโดยนําอาหารไปแช่แข็งอย่างรวดเร็วแห้งสนิท เพื่อให้ปราศจากความชื้นอันเกิดจาก น้ํา ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการบูดเน่าและสร้างอาหารให้แก่จุลินทรีย์ด้วยการดูดอากาศในอาหารออกจากเกิดเป็น ภาวะสุญญากาศ การทําให้อาหารแข็งตัวให้ความเย็นสูงอย่างรวดเร็วจะเป็นการรักษาคุณค่าทางโภชนาการ กลิ่น รสชาติ และ คุณลักษณะต่างๆ ของอาหารไว้ได้มากที่สุดอาหารที่แช่แข็ง และดูดอากาศออกแล้ว ถ้าบรรจุในกระป๋องหรือห่อที่ปิด สนิท อากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จะทําให้อาหารนั้นเก็บไว้ได้นาน เพราะอาหารที่ผ่านกระบวนการฟรีซดรายจะคืน สภาพเหมือนอาหารสดเมื่อเกิดความชื้น ซึ่งจะทําให้จุลินทรีย์เจริญเติบโต และเน่าเสียได้ในเวลาไม่นาน อาหารที่ผ่าน กระบวนการฟรีซดรายสามารถนํามารับประทานอาหารได้โดยเปิดห่อบรรจุออก เทใส่ภาชนะแล้วเติมน้ําเดือดลงไป 4. การทําแห้งด้วยการตากแดด การทําแห้งเป็นกระบวนการลดปริมาณน้ําในอาหารให้ลดน้อยลงหรือ หมดไป มีหลักการคล้ายกับทําแห้งด้วยความเย็น แต่การตากแห้งจะอาศัยความ ร้อนจากแสงอาทิตย์ทําการระเหยน้ําในอาหารออกไป อาหารที่ต้องการถนอม รักษาด้วยวิธีการตากแดดจึงต้องมีลักษณะที่เอื้อต่อการเผาผลาญของแสงแดด ความร้อนสามารถกระจายได้อย่างทั่วถึง อาหารที่ต้องการเก็บรักษาไว้เป็น เวลานาน ต้องตากแดดหลายแดด ทั้งนี้เพื่อให้น้ําในอาหารระเหยออกไปจน หมดอย่างแท้จริง การตากแห้งที่นิยมทํา ได้แก่ ปลาตากแห้ง ผลไม้ตากแห้ง 5. การทําแห้งด้วยการย่าง การย่าง เป็นการทําแห้งวิธีหนึ่งซึ่งใช้พลังงานความร้อนจากเชื้อเพลิงขับน้ําออกจากอาหาร การขับน้ําเป็น กระบวนการเดียวกับการทําแห้งด้วยการตากแดด เพียงแต่เปลี่ยนแหล่งพลังงานความร้อนเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น การ ถนอมอาหารด้วยการย่างจะเก็บไว้ได้ระยะเวลานานเพียงใดขึ้นอยู่กับการขับน้ําให้ระเหยออกไปจากอาหารได้มากเพียง นั้นการย่างอาหารให้แห้งสนิทต้องใช้ความร้อนน้อยๆ ค่อยๆปล่อยให้น้ําระเหยออกไปอย่างช้า ๆ


การใช้ความร้อนมากจะทําให้อาหารที่ย่างไหม้เกรียมและสุกไม่ทั่วกัน และมีน้ําแฝงอยู่เป็นบางส่วน ซึ่งน้ําเหล่านี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการบูดเสียในเวลาต่อมา วิธีถนอมอาหารแบบนี้ ได้แก่ การรมควันปลาที่นิยมมากใน แถบยุโรป และเอเชีย 6. การทําแห้งด้วยการอบ การทําแห้งด้วยการอบ การอบเป็นการทําแห้งวิธีหนึ่งที่เกิดจากการนําอาหารไว้ในเตาอบที่มีความร้อนสม่ําเสมอ ในระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งใช้เวลาการทําแห้งที่เร็วกว่าการตากแดด เพราะมีอุณหภูมิที่สูงกว่า แต่สามารถกําหนด อุณหภูมิได้ การอบเป็นการระเหยน้ําออกจากอาหาร เมื่อขาดน้ํา จุลินทรีย์จะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ เพราะไม่มีน้ําไป ทําปฏิกิริยากับเอนไซม์ การอบมักใช้กับอาหารที่มีขนาดเล็ก และมีปริมาณน้ําไม่มากนัก การทําแห้งด้วยการอบจึงไม่ เหมาะสําหรับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ซึ่งมีปริมาณน้ํามากและมีขนาดใหญ่


ใบความรู้ การออกกําลังกายและกิจกรรมนันทนาการ คุณคาและประโยชนของการออกกําลังกาย การออกกําลังกายอยางสม่ําเสมอจะเปนประโยชนตอสุขภาพรางกาย เสมือนเปนยาบํารุงที่สามารถเพิ่ม สมรรถภาพทางรางกายไดและสามารถปองกันโรคได เชน โรคระบบทางเดินหายใจ เปนตน ทั้งนี้การออกกําลังกายจะต องมีความถูกตองและเหมาะสม และรูจักหลักในการออกกําลังกายจะตองเลือกใหเหมาะสมกับเพศ วัย สถานที่ และอุป กรณ ซึ่งปจจุบันมักนิยมที่จะออกกําลังกายเพื่อสุขภาพดวยการเลนกีฬา และออกกําลังกายที่มี จุดประสงคที่ มุงเนนต อการพัฒนาสุขภาพกายและสุขภาพจิต การดํารงรักษาสุขภาพที่ดีอยูแลวไมใหลดถอยลง ปรับปรุงสุขภาพที่ทรุดโทรมให ดีขึ้น ปองกันโรคที่เกี่ยวเนื่องกับการขาดการออกกําลังกาย ตลอดจนชวยแกไขหรือฟนฟูสภาพรางกายจากโรค บา งอยางการเคลื่อนไหว และการออกกําลังกายที่ถูกตองตามวิธีและหลักการ มีประโยชนตอสุขภาพมากมาย และที่สําคัญ มีดังนี้ 1. มีประโยชนตอระบบหายใจ ทําใหหัวใจ ปอด แข็งแรง ไดออกกําลังกลามเนื้อหัวใจไดทํางานเต็มที่ ถุงลมเล็ก ๆ ภายในปอดมีโอกาสสูดลมเต็ม และไลอากาศออกไมหมด ทําใหปอดมีพลังในการฟอกโลหิต 2. มีประโยชนตอระบบไหลเวียนของโลหิตดี สืบเนื่องจากการทํางานของหัวใจและปอดดี มีพลังในการบีบตัว ไดดี สูบฉีดโลหิต และฟอกโลหิตไดดีมีประสิทธิภาพ ไมเปนโรคหัวใจไดงาย 3. มีประโยชนตอระบบกลามเนื้อ กลามเนื้อเสนเอ็นตาง ๆ ไดออกกําลัง ยืดและหดตัวไดเต็มที่ ทําใหมีความ แข็งแรงยืดหยุนไดอยางมีประสิทธิภาพ ทําใหสามารถทํางานไดทนไมเหนื่อยงายเพราะกลามเนื้อมีพลังมาก 4. มีประโยชนตอการเผาผลาญในรางกาย เพราะการเคลื่อนไหวและการออกกําลังกายตองใชพลังงาน ระบบต าง ๆ จะตองทํางานเกิดการเผาผลาญ ทําใหอาหารที่รับประทานเขาไปถูกนํามาใชอยางมีประสิทธิภาพไมเหลือสะสม โดยเฉพาะไขมันที่ใหพลังงานมาก จะไมถูกสะสมในรางกาย จนทําใหเกิดโรคอวน 5. มีประโยชนตอระบบขับถาย การเคลื่อนไหว และภายหลังการออกกําลังกาย ทําใหดื่มน้ําไดมาก กระเพาะ สําไส ไดเคลื่อนไหวในการออกกําลังกายดวย ทําใหระบบยอยอาหารดีกระเพาะอาหาร สําไส บีบรัดตัวไดดี 6. มีประโยชนตอสุขภาพจิต และอารมณไมเครียด หลักการและวิธีออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ หลักการออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ คือ การออกกําลังกายชนิดที่เสริมสราง ความทนทานของปอด หัวใจ ระบบ ไหลเวียนเลือด รวมทั้งความแข็งแรงของกลามเนื้อ ความออนตัวของขอตอ ซึ่งจะชวยใหรางกายแข็งแรงสมบูรณ สงา งามและการมีสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งหลักการออกกําลังกายเพื่อสุขภาพมีดังนี้ 1. การอบอุนรางกายและผอนคลาย การออกกําลังกาย เพื่อสุขภาพที่ถูกวิธีทําไดโดยการฝกหัดบอย ๆ ด วยทาทางที่ถูกตอง กอนจะฝกการเคลื่อนไหวรางกายสวนใดก็ตาม ตองมีการเตรียมความพรอมใหรางกายอบอุนทุกครั้ง เพื่อปองกันการบาดเจ็บของกลามเนื้อ ในการอบอุนรางกายและผอนคลาย มีวิธีการที่สามารถทําไดคือ การวิ่งรอบสนาม การหมุนคอ หมุนแขน หมุนสะเอว พับขา หมุนขอเทา กระโดดตบมือ กมแตะสลับมือ วิ่งอยูกับที่ นั่งยืน ฯลฯ 2. ระยะเวลาในการออกกําลังกาย ในการออกกําลังกายอยางตอเนื่องนานอยางนอยในแตละครั้ง 20-30 นา ทีตอวัน


3. จํานวนครั้งตอสัปดาห การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ ตองปฏิบัติอยางสม่ําเสมอทุกวัน หรืออยาง น อยสัปดาหละ 3 ครั้ง และควรปฏิบัติในเวลาเดียวกัน จะชวยเพิ่มสมรรถภาพในการทํางานของระบบหัวใจและปอดทํา ใหกลามเนื้อหัวใจและปอดแข็งแรง 4. ความหนักในการออกกําลังกายควรออกกําลังกายใหหนักถึงรอยละ 70 ของอัตราการเตนสูงสุดของหัวใจ แตละคน หรือออกกําลังกายใหเหงื่อออก เหนื่อยพอประมาณที่จะสามารถพูดคุยขณะออกกําลังกายได ไมควรออกกําลัง กายหักโหมเกินไปเพราะจะเกิดอันตรายได การเคลื่อนไหวรางกายและออกกําลังกายมีหลักการทั่วไป ดังนี้ 1. เลือกกิจกรรมเคลื่อนไหว และการออกกําลังกายที่เหมาะสมกับสภาพรางกาย และวัยของตน 2. เลือกเครื่องแตงกายที่เหมาะสมกับกิจกรรม การเคลื่อนไหว และการออกกําลังกายแตละรูปแบบ 3. การเคลื่อนไหว และการออกกําลังกาย ตองเริ่มจากการอบอุนรางกายกอนจากนั้นเริ่มตนจากเบาไปหาหนัก จากงายไปยาก 4. ใหทุกสวนของรางกายไดออกแรงเคลื่อนไหว ไมควรเปนเฉพาะสวนใดสวนหนึ่ง 5. การออกกําลังกายตองปฏิบัติอยางสม่ําเสมอ อยางนอยสัปดาหละ 3 วัน และควรปฏิบัติในเวลาเดียวกัน อย างนอยวันละ 20 –30 นาที 6. ควรศึกษาวิธีเคลื่อนไหวและการออกกําลังกายที่ถูกตอง เพื่อใหเกิดประโยชนตอรางกายและปองกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได 7. การใชอุปกรณประกอบการเคลื่อนไหว และออกกําลังกายควรศึกษาวิธีการใชที่ถูกตอง การปฏิบัติตนในการออกกําลังกายรูปแบบตาง ๆ รูปแบบการเคลื่อนไหวและการออกกําลังกายอาจแบงไดเปนกลุมใหญ ๆ ดังนี้ 1. กลุมบริหารรางกายดวยทาตาง ๆ ดวยมือเปลา 2. กลุมบริหารรางกายโดยมีอุปกรณประกอบการบริหารรางกาย 3. กลุมกิจกรรมเขาจังหวะโดยใชดนตรีประกอบ 4. กลุมกีฬาประเภทตาง ๆ 5. กลุมการละเลนพื้นเมือง 6. การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ 1. รูปแบบการบริหารรางกายดวยมือเปลา เปนรูปแบบงาย ๆ สามารถบริหารดวยตนเองได ไมตองใชเวลา มากนัก เพียงใหกลามเนื้อสวนตาง ไดเคลื่อนไหวและยืดหยุนอยูเสมอ จะชวยใหรางกายเคลื่อนไหวไดอยางคลองแคลว ตัวอยางการบริหารรางกายดวยมือเปลา ทาที่ 1 เปนการบริหารรางกายกลามเนื้อหลังกับกระดูกสันหลัง จังหวะที่ 1ยืนตรงเทาแยกประมาณ 1 ฟุต ยกแขนทั้ง 2 ขางขนานกับพื้นและเกร็งกลามเนื้อหนาขา ผอน กล ามเนื้อคอ จังหวะที่ 2 หงายศีรษะไปดานหลังอยางเสรี และเอนตัวไปดานหนาพรอมยกแขนขึ้นชา ๆ ไปดานหลัง อยูในท านี้ประมาณ 2-3วินาที


จังหวะที่ 3คอย ๆ ยกตัวขึ้นชา ๆ พรอมลดมือลงอยูในจังหวะที่ 1 ทําซ้ําไดตามความตองการ จะชวยผอน คลายกลามเนื้อหลัง และกระดูกสันหลังไดดีขึ้น ทาที่ 2 เปนการบริหารกลามเนื้อตนขากลามเนื้อนอง กลามเนื้อทอง กลามเนื้อหัวไหล กลามเนื้อหลัง กล ามเนื้อกระดูกสันหลัง ใหมีการเคลื่อนไหวยืดและหดตัวไดดี ทาเตรียม ยืนตัวตรง ลําตัวตั้งฉากกับพื้น ผอนคลายกลามเนื้อสวนตาง ๆ ของกลามเนื้อเชน ตนขา หลัง หน าทอง แขน หัวไหล จังหวะที่ 1แยกเทาไปดานขางประมาณ 1 ฟุต ปลอยศีรษะหอยไปดานหนาปลอยตามสบายไมตองเกร็งคอ แล วคอย ๆ กมหลังนับตั้งแตสะโพกขึ้นไป ปลอยใหมือและแขนหอยตามสบายเชนกัน ผอนคลายกลามเนื้อคอและไหล หายใจเขา-ออก ดวยการแขมวทอง และเบงทอง โนมน้ําหนักตัวใหไปดานหนาใหตกอยูบริเวณปลายเทา ขณะที่อยูในท ากมนี้ หายใจปกติไมกลั้นหายใจ นับหายใจเขาออก 10 รอบ หรือนานกวานั้น จังหวะที่ 2ยกลําตัวอยางชา ๆ โดยไมเกร็งคอ หัวไหล และแขนอยูในทาเตรียม เพื่อใหกลามเนื้อมีความยืด หยุ นดีมากขึ้นควรทําหลาย ๆ ครั้ง และทําทุกวัน ๒. รูปแบบการบริหารรางกายดวยอุปกรณ มีหลากหลาย เชน การใชไมพลอง มาเปนอุปกรณในการ บริหารดวยทาตาง ๆ ของการบริหารทั่วไป หรือคิดประดิษฐทาขึ้นใหมก็ได - การใชกระบองในลักษณะกระบองสั้นคู - การใชกระบี่หรือที่เรียกวาฟนดาบ มีทั้งดาบเดี่ยวดาบคูไทยมีทาทางตาง ๆ สืบทอดตอกันมา - การบริหารรางกายดวยอุปกรณ เชน พลองลูกบอล ดัมเบล รวมทั้งอุปกรณกําลังกายที่พบเห็นทั่วไปตามสถาน บริหารกาย ซึ่งมีประโยชนทั้งทางรางกาย ชวยผอนคลายความเครียด - การใชเชือก เปนอุปกรณ เชน การกระโดดเชือก ๓. รูปแบบการบริหารรางกายเขาจังหวะ มี 3 ลักษณะ คือ 1. การบริหารดวยทาทางธรรมดาแตใชดนตรี หรือ เพลง หรือนกหวีดเปาเปนจังหวะก็ได การบริหารแบบนี้ จะเนนบริหารรางกายเปนสวน ๆ เชน บริหารสวนอก ดวยทารําพื้นบาน เปนตน 2. การเตนแอโรบิค ใชดนตรีประกอบ การเตนแอโรบิคจะเปนการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และหนักกวา การ บริหารรางกายเขาจังหวะธรรมดาที่กลาวแลวตอนตน เปนการออกกําลังกายที่ใชการตอเนื่อง เปนการผสมผสาน การ เคลื่อนไหว การบริหารรางกายและการเตนรําเขาดวยกัน ดนตรี หรือเพลงที่นํามาประกอบการเตน เปนจังหวะที่เราใจ สนุกสนาน ผูใหญที่จะเตนแอโรบิคควรตรวจสุขภาพของตนเสียกอน โดยควรเลือกเครื่องแตงกาย และรองเทาที่ เหมาะสม เพื่อปองกันอันตรายที่จะเกิดกับขอเทาและขอเขา 3. การลีลาศและรําวงการเตนรําเปนการเคลื่อนไหวประกอบจังหวะอีกรูปแบบหนึ่ง มีทั้งการเคลื่อนไหวอยูกับ ที่ และแบบเคลื่อนที่ในกรณี เคลื่อนที่ผูเตนรําจะตองศึกษาทิศทางในการเคลื่อนไหว เพื่อปองกันอันตรายหรือการ กระทบกระทั่งกัน รูปแบบการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ทวนเข็มนาฬิกาโดยยึดวงกลมเปนหลัก คือยืนหันหนาเขาหาวงกลม การเคลื่อนที่ใหเคลื่อนที่ไปทางขวาของตนเสมอ ๔. รูปแบบการเลนกีฬา รูปแบบของกีฬาที่หลากหลายมีทั้งในลักษณะเดี่ยว และทีม การเลนกีฬาตองฝกทักษะ และมีความรูความเขาใจในกฎกติกา และวิธีการเลนประเภทของกีฬา มีดังนี้ - กีฬาประเภททีม เชน ฟุตบอล บาสเก็ตบอล ฟุตซอล รักบี้ ฯลฯ - กีฬาประเภทลูเชน การวิ่งระยะสั้น การวิ่งระยะยาว การวิ่งขามรั้ว ฯลฯ - กีฬาประเภทลาน เชน พุงแหลน ทุมน้ําหนัก ฯลฯ


- กีฬาประเภทยิมนาสติก เชน รายเดียว ราวคูมากระโดด ยิมนาสติดลีลา ฯลฯ - กีฬาแตละประเภทจะมีรูปแบบเฉพาะ มีวิธีการเลน เทคนิค กฎกติกา และอุปกรณที่แตกตางกัน จึงควรศึกษา ความรูพื้นฐานที่ถูกตอง เพื่อใหเลนไดอยางสนุกสนานและอาจพัฒนาทักษะจนสามารถเปนการออกกําลังกายทําให สุขภาพแข็งแรงแลวคนที่เลนกีฬามักเปนผูมีมนุษยสัมพันธสามารถปรับตัวตัวเขากับผูอื่นไดดี ๕. รูปแบบของการละเลนพื้นบาน การละเลนพื้นบานในแตละภาค อาจมีลักษณะหรือแตกตางกันขึ้นอยูกับ ลักษณะทางภูมิศาสตรและมีวิถีชีวิตของประชาชนในทองถิ่นนั้นๆ การเตะตะกรอ ตามชนบทหลังจากเสร็จภารกิจ ประจําวัน แลวบางคน บางกลุม จะมารวมกันเตะตะกรอ เพื่อเปนการผอนคลายความเครียด และไดมีการเคลื่อนไหว เพื่อใหระบบตางๆของรางกายมีความยืดหยุน กิจกรรมนันทนาการ นันทนาการ หมายถึง การทํากิจกรรมอยางใดอยางหนึ่งในเวลาวาง ดวยความสมัครใจเปนกิจกรรมที่ไมใชเปน งานอาชีพ ไมขัดตอกฎหมาย ศีลธรรม ประเพณีอันดีงาม แตเปนประโยชนและเปนการพักผอนทั้งรางกายและจิตใจใน การดํารงชีวิตประจําวันของคนเรานั้น เราอาจแบงเวลาไดเปน 4 สวน 1.1 เวลาที่ใชในการประกอบอาชีพของคนเรานั้น ประมาณวันละ 8 ชั่วโมง 1.2 เวลาที่ใชในการประกอบภารกิจสวนตัววันละ 4-6 ชั่วโมง เชน การอาบน้ํา ลางหนา แปรงฟน การปรุง อาหาร การรับประทานอาหาร 1.3 เวลาที่ใชในการพักผอนหลับนอน วันละ 8 ชั่วโมง 1.4 เวลาวางที่สามารถใชใหเกิดประโยชนไดประมาณ 2-4 ชั่วโมง ชวงที่เหลือ 2-4 ชั่วโมงนี้ ถาเรานํามาใช ประกอบกิจกรรมที่เกิดประโยชนเรียกวา กิจกรรมนันทนาการ จะชวยทําใหรางกายและจิตใจผอนคลาย ความตึงเครียด เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลินเกิดประโยชนตอสุขภาพกาย และสุขภาพจิตอยางยิ่ง ประโยชนของกิจกรรมนันทนาการ 1. ประโยชนตอสุขภาพกายความเจริญทางดานเทคโนโลยีในปจจุบัน ทําใหเราไมจําเปนตองออกกําลังกาย ภายในการปฏิบัติงานมากนัก เพราะมีการใชเครื่องมือ เครื่องจักรเขามาชวย ทําใหการออกกําลังกายของเรานอยเกินไป จําเปนตองมีกิจกรรมนันทนาการประเภทกีฬา หรือกิจกรรมการออกกําลังกายเขามาชวย เพื่อทําใหรางกายแข็งแรงสม บูรณ 2. ประโยชนตอสุขภาพจิต ชวยใหคนไดพักผอนหยอนใจ ผอนคลายความตึงเครียดทางจิต การประกอบ กิจกรรมนันทนาการหลายประเภทเปนกิจกรรมที่พักผอนหยอนใจ เชน การชมและฟงดนตรี การชมภาพยนตร เป นต้น 3. ประโยชนตอครอบครัว ชวยใหสมาชิกครอบครัวรูจักใชเวลาวางใหเปนประโยชนตอตนเองและครอบครัว เช น การทําสวนครัว สวนดอกไม ทําใหเกิดผลพลอยได คือมีพืช ผัก ผลไม ดอกไมไวใชสอยเปนประโยชน 4. ประโยชนตอสังคม กิจกรรมนันทนาการหลายชนิดเปนประโยชนตอสังคมโดยตรง เชน กิจกรรมดานสังคม สงเคราะห กิจกรรมอาสาสมัคร กิจกรรมบางชนิดชวยลดปญหาสังคมได ประเภทและรูปแบบของกิจกรรมนันทนาการ 1. งานอดิเรก เปนเพียงกิจกรรมนันทนาการประเภทหนึ่งเทานั้น มิไดหมายความวา กิจกรรมนันทนาการทุก ชนิดรวมกันเปนงานอดิเรก เชน การเก็บสะสมแสตมปที่ใชแลว การเก็บสะสมรูปภาพ การทําสวนดอกไม เปนตน


2. การเลนกีฬา การเลนกีฬาทั้งกีฬาในรม เชน การเลนหมากรุก และกีฬากลางแจง เชน การเลนฟุตบอล วอล เลยบอล หรือเลนกีฬาอยางอื่น เชนวายน้ํา โบวลิ่ง ฯลฯ อยางไรก็ตามการเลนกีฬาเหลานี้ ถาเปนกีฬาอาชีพไมถือวาเป นกิจกรรมนันทนาการ 3. การเลนดนตรี การเลนดนตรีทุกชนิด ถือวาเปนกิจกรรมนันทนาการทั้งสิ้น 4. การเลนกิจกรรมเขาจังหวะ เชน การรําวง การเตนรํา การฟอนรํา การเตนลีลาศ ฯลฯ ถือเปนกิจกรรม นันทนาการทั้งสิ้น 5. การเลนละคร ภาพยนตร และการแสดงตาง ๆ ที่เปนการสมัครเลน ถือวาเปนกิจกรรมนันทนาการ 6. งานศิลปะหัตถกรรม ไดแก งานฝมือ เชน งานเย็บปกถักรอย การสานพัด การประดิษฐดอกไม การวาดภาพ เปนตน 7. กิจกรรมสื่อความหมาย ไดแกการอานหนังสือนวนิยาย การเขียนหนังสือ 8. กิจกรรมทัศนศึกษา ไดแก การทองเที่ยวทัศนาจร เปนตน 9. กิจกรรมชมรม เชน ชมรมคนรักแสตมป ชมรมดนตรี ฯลฯ การเลือกกิจกรรมนันทนาการที่เหมาะสมกับความชอบและวิถีชีวิตของแตละบุคคล นอกจากจะชวยใหบุคคล นั้นไดผอนคลายทั้งทางรางกายและจิตใจแลว ยังอาจเกิดผลพลอยไดอื่นๆ เชน ไดเพื่อนใหม หรือมีรายไดเพิ่มขึ้น เป นตน


ใบงาน เรื่อง การดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว ชื่อ ........................................................... รหัสประจําตัว .................................... กศน.ตําบล .............................. คําชี้แจง ให้นักเรียนตอบคําถามที่กําหนดให้ถูกต้อง 1. เพราะเหตุใด บุคคลในแต่ละวัยจึงมีวิธีการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกัน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. วัยผู้ใหญ่จะมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพอย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. ภาวะกลั้นปัสสาวะผิดปกติ ท้องผูก นอนไม่หลับ เป็นปัญหาสุขภาพที่พบมากในช่วงวัยใด เพราะเหตุใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. การดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว ควรมีแนวทางในการปฏิบัติอย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. การประเมินปัญหาหรือสภาวะสุขภาพของตนเอง มีวิธีการปฏิบัติอย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..


ใบงาน เรื่อง ภาวะโภชบัญัติของตนเอง ชื่อ ........................................................... รหัสประจําตัว ......... ........................... ศกร.ตําบล .............................. คําชี้แจง ให้นักเรียนตอบคําถามที่กําหนดให้ถูกต้อง ๑. ให้ผู้เรียนบอกอาหารหลัก ๕ หมู่ พร้อมทั้งบอก ชื่อสารอาหารที่มีในอาหารหลัก หมู่ที่ ๑.........................................................................ให้สารอาหาร........................................................... หมู่ที่ ๒.........................................................................ให้สารอาหาร........................................................... หมู่ที่ ๓.........................................................................ให้สารอาหาร........................................................... หมู่ที่ ๔.........................................................................ให้สารอาหาร........................................................... หมู่ที่ ๕.........................................................................ให้สารอาหาร........................................................... ๒. ให้ผู้เรียนบอกอาหารที่ได้รับใน ๑ วัน อาหารมื้อเช้า อาหารมื้อกลางวัน อาหารมื้อเย็น ๓. ให้ผู้เรียนบอกเพศ น้ําหนัก และส่วนสูง ตามความเป็นจริงและคํานวณน้ําหนัก เพื่อหาความเหมาะสมตามภาวะ โภชนาการ เพศ................................... น้ําหนัก...................................กิโลกรัม ส่วนสูง......................... ...เซนติเมตร น้ําหนักที่คํานวณจากสัดส่วนของร่างกาย .............................กิโลกรัม ผู้เรียนมีภาวะโภชนาการที่เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ...................................................................................................................................................................................


ใบความรู้ที่ ๑ เรื่อง โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส เป็นไวรัสที่อันตรายที่สุด สามารถตรวจพบได้ในเลือดผู้เป็นพาหนะ และน้้าหลั่ง ต่าง ๆ เช่น น้้าลาย น้้าตา เหงื่อ น้้าในช่องคลอดและอสุจิ ติดต่อได้โดยการสัมผัสที่มีเชื้อเข้าสู่ร่างกาย การใช้เข็มฉีด ยา ร่วมกัน การสัก การฝังเข็ม การสัมผัสเลือดโดยมีบาดแผล อาการของโรค มีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไป จนกระทั่งรุนแรง เช่น มีปวดเมื่อย คล้ายเป็นหวัด คลื่นไส้ แน่นท้อง ท้องอืด บางรายจะตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม ผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจตายภายใน 1 สัปดาห์ การป้องกัน การฉีดวัคซีนโรคไวรัสตับอักเสบบี จะเป็น การควบคุมการแพร่กระจายของโรคนี้


ใบความรู้ที่ ๒ เรื่อง โรคไข้เลือดออก (Hemorrhagic Fever) โรคไข้เลือดออก (Hemorrhagic Fever) ไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดกับทุกคนทุกกลุ่มอายุ โดยทั่วไปไขเลือดออกมักจะ ระบาดในฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูที่ยุงลายแพร่พันธุ์โดยง่าย สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue) เลือดผู้ป่วยไข้เลือดออกเกิดจากได้รับไวรัสเดงกีจาก ยุงลาย เมื่อโดนยุงลายกัดแล้วปล่อยเชื้อไวรัสเดงกีเข้าสู่ ผู้ป่วย หรือยุงดูดเลือดจากผู้ป่วยแสงเชื้อไวรัส นั้นเข้าไป เชื้อไวรัสจะเข้าไปเจริญอยู่ในตัวยุง 8-11 วัน จึงจะเป็นระยะ ติดต่อ เมื่อยุงไปกัดคนที่ปกติก็ จะถ่ายทอดเชื้อโรค ท้าให้เป็นไข้เลือดออกได้ ต่อจากนั้นก็จะมีการถ่ายทอดเชื้อให้กับ คนอื่น ๆ ต่อไป และเชื้อไวรัสจะอยู่ในตัวยุงตลอดชีวิตของยุง คือ ประมาณ 45-60 วัน อาการ อาการของผู้เป็น ไข้เลือดออก คือ ไข้สูงมาก แม้ให้ยาแล้วไข้ก็ยังไม่ลด เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง เส้น เลือดเปราะ กดเจ็บตรงชายโครง บางรายปวดศีรษะ มาก ปวดตา ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ต้องหมั่นสังเกตอาการ เปลี่ยนแปลงภายใน 2-3 วัน ถ้าอาการยัง ไม่ดีขึ้นต้องพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรค การปฏิบัติตนเมื่อเป็นไข้เลือดออก 1. ดื่มน้้าสะอาดให้มากๆ หรือปฏิบัติตามค้าแนะน้าของแพทย์ 2. กินยาลดไข้ตามแพทย์สั่ง (พาราเซตามอล (Paracetamol)) ห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง 3. เช็ดตัวช่วยลดไข้เป็นระยะ 4. ให้อาหารอ่อน ย่อยง่าย ตามต้องการ 5. ควรงดอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีแดงหรือด้า เพราะหากอาเจียนออกมาอาจคิดว่าเป็นเลือด 6. พบแพทย์เพื่อติดตามดูอาการและตรวจเลือดตามนัด การป้องกันโรคไข้เลือดออก 1. ใช้มุ้งครอบหรือกางมุ้งเมื่อนอนกลางวัน 2. นอนในห้องที่มีมุ้งลวด 3. อยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีแสงสว่าง 4. ที่เก็บน้ําควรปิดฝาให้สนิท 5. ท้าลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงให้หมดไป 6. ภาชนะใส่น้้าที่ไม่มีฝาปิด หรือแหล่งน้้าเล็ก ๆ ควร ใส่ ทรายเคลือบ สารเคมี ป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง (ใส่ทรายเคลือบสารเคมี 1 ครั้ง ป้องกันได้ 3 เดือน)


ใบความรู้ที่ ๓ เรื่อง โรคไข้หวัดธรรมดา โรคไข้หวัดธรรมดา พบมากในฤดูหนาว ฤดูฝนช่วงที่มีอากาศเย็น โดยเฉพาะผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ตรากตร้า กับ การท้างาน และมีเวลาผักผ่อนน้อย สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อทางการหายใจ หรือสัมผัสน้้าลายและ เสมหะ อาการของโรค เกิดอาการอักเสบของทางเดินหายใจ ส่งผลให้คัดจมูก น้ํามูกไหล เจ็บคอ ไอจาม หรืออาจ มีไข้ ปวดศีรษะ ปกติจะหายได้เองในระยะเวลา 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของ ร่างกาย การรักษา 1. นอนหลับ ผักผ่อนมาก ๆ และนอนในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก 2. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยใส่เสื้อผ้าหนา ๆ และห่มผ้า 3. ออกก้าลังกายแต่พอเหมาะไม่หักโหม 4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ 5. ถ้ามีไข้รับประทานยาลดไข้ ไม่ควรอาบน้้า 6. หากเป็นติดต่อกันหลายวัน ควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีโรคแทรกซ้อน การป้องกันโรคหวัดธรรมดา 1. ออกก้าลังกายสม่ําเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารเพียงพอต่อความ ต้องการของร่างกายและ ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ 2. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดหรือใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย และเมื่อไอ จาม ควรปิด ปาก ปิดจมูก 3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด อากาศระบายไม่ดี เพราะอาจมีเชื้อไวรัสที่ท้าให้เป็นโรค หวัดธรรมดาอยู่มาก 4. ควรท้าให้ร่างกายอบอุ่นตลอดเวลาโดยการสวมเสื้อผ้าป้องกัน 5. เมื่อร่างกายเปียกน้้าควรเช็ดตัวให้แห้งโดยเร็ว


ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง โรคเอดส์ เอดส์ มาจากค้าว่า AIDS เป็นชื่อย่อมาจากค้าว่าแอคไควร์ อิมมูน เดฟฟิเชียนชีชินโดรม (Acquired Immune Deficiency Syndrome) หมายถึง กลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายเสื่อมหรือบกพร่อง ซึ่งเป็นภาวะ ที่เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่ก้าเนิด หรือสืบสายเลือด ทางพันธุกรรม Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังไมได้เป็นมาแต่ก้าเนิดหรือสืบสายเลือดทาง พันธุกรรม Immune หมายถึง ระบบภูมิคุ้มกัน Deficiency หมายถึง ความบกพร่องหรือการขาด Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการของโรค สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV : Human Immune deficiency Virus) เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ ร่างกาย แล้ว จะไปท้าลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ท้าหน้าที่ป้องกันเชื้อโรค ท้าให้ภูมิคุ้มกันของคนที่ได้รับ เชื้อนั้นเสื่อมหรือ บกพร่องจนเป็นสาเหตุให้ร่างกายของคนนั้นอ่อนแอ เมื่อได้รับเชื้อใด ๆ ก็ตามจะเกิด อาการรุนแรงกว่าคนปกติและ เสียชีวิตในที่สุด อาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ จะมีเพียงบางรายที่ติดเชื้อและมี อาการน่าสงสัยว่า เป็นโรคเอดส์ ซึ่งสังเกตได้ง่าย คือ 1. ต่อมน้ําเหลืองที่คอ รักแร้ และขาหนีบโตนานเกิน 3 เดือน 2. น้้าหนักตัวลดลง 3-4 กิโลกรัม หรือมากกว่า 10% ภายใน 3 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ 3. อุจจาระร่วงเรื้อรังนานเกิน 3 เดือน 4. เบื่ออาหารและเหนื่อยง่ายมาเป็นเวลา 3 เดือน 5. ไอโดยไมทราบสาเหตุนานเกิน 3 เดือน 6. มีไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส มีเหงื่อออกตอนกลางคืนนานเกิน 1 เดือน 7. เป็นฝ้าขาวในปากนานเกิน 3 เดือน 8. มีก้อนสีแดงปนม่วงขึ้นตามตัวและโตขึ้นเรื่อย ๆ 9. แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งไม่มีแรงท้างาน ไม่ประสานกัน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าอาการดังกล่าวจะเป็น โรคเอดส์ทุกราย จนกว่าจะได้รับการตรวจ เลือดยืนยันที่แน่นอนก่อน การติดต่อ โรคเอดส์ติดต่อกันได้หลายทาง ที่พบบ่อย และส้าคัญที่สุด คือ 1. จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโรค เอดส์ 2. จากการถ่ายเลือด หรือรับผลิตภัณฑ์ เลือดที่มีเชื้อเอดส์ 3. จากการใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยา ร่วมกับผู้ที่มีเชื้อโรคเอดส์ โดยเฉพาะผู้ติดสารเสพติด ชนิดฉีดเข้าหลอด เลือด 4. จากแม่ที่มีเชื้อไวรัสเอดส์ไปสู่ทารกในครรภ์ โรคเอดส์ไม่ติดต่อในกรณีต่อไปนี้ 1. เรียนสถาบันเดียวกัน หรืออยู่บ้านเดียวกัน 2. จับมือหรือพูดคุย 3. นั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร 4. ใช้โทรศัพท์ร่วมกัน หรือโทรศัพท์สาธารณะ 5. ใช้ห้องน้้าร่วมกัน หรือห้องน้้าสาธารณะ 6. คลุกคลีหรือเล่นร่วมกัน 7. ใช้สระว่ายน้้าร่วมกัน


8. ยุงหรือแมลงดูดเลือด การป้องกันโรคเอดส์ โรคเอดส์เป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หายขาดได้ จึงควรเน้นการป้องกันโรคโดยปฏิบัติดังนี้ 1. ไม่เสพสารเสพติด และถ้าก้าลังติดสารเสพติดก็ไปรับการรักษาเพื่อเลิกสารเสพติด หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีด ยา หรือกระบอกฉีดสารเสพติดร่วมกับผู้อื่น 2. ถ้ามีเพศสัมพันธ์ให้ใช้ถุงยางอนามัย 3. งดเว้นการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะของที่อาจปนเปื้อนเลือด เช่น แปรง สีฟัน ใบมีดโกน หนวด เข็มสักตัว เข็มเจาะหู เป็นต้น 4. หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ เพราะเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์จะ มีโอกาสติดเชื้อ โรคเอดส์ได้ถึงร้อยละ 50


เรื่องที่ 5 เรื่อง โรคฉี่หนู โรคฉี่หนู พบว่า มีผู้ติดโรคนี้ในฤดูฝน โดยเชื้อโรคจะมากับปัสสาวะของหนู และยังสามารถพบได้ในสัตว์อื่นๆ ที่ใช้ฟัน แทะอาหาร เช่น กระรอก สุนัขจิ้งจอก จะสามารถแพร่เชื้อออกมาได้ โดยที่ตัวมันไม่เป็นโรค เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรค คือ เชื้อ แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในดิน โคลน หรือแหล่งน้้าล้าคลอง บริเวณที่มีน้้าท่วมขัง ที่ มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมในการด้ารงชีวิตของ เชื้อโรค คือมีความชื้น แสงแดดส่องถึง มีความเป็นกรด ปานกลาง มักจะระบาดมากในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค - เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา ขาวสวน - คนงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โค สุกร ปลา - กรรมกรขุดท่อระบายน้้า เหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์ - กลุ่มอื่น ๆ เช่น แพทย์ เจ้าหน้าที่ห้องทดลอง ทหารต้ารวจที่ปฏิบัติงานตามป่าเขา - กลุ่มประชาชนทั่วไป ที่อยู่ในแหล่งที่มีน้้าท่วมขัง หรือมีหนูอาศัยอยู่ การติดต่อของโรค สัตว์ที่น้าเชื้อได้แก่ พวกสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู โดยเฉพาะ หนูนา หนูพุก รองลงมา ได้แก่ สุนัข วัว ควาย สัตว์ พวกนี้เก็บเชื้อไว้ในไตเมื่อหนูปัสสาวะเชื้อจะอยู่ในน้้าหรือดิน - เมื่อคนสัมผัสเชื้อซึ่งอาจจะเข้าทางแผล เยื่อบุในปากหรือตา หรือแผล ผิวหนังปกติ ที่เปียกชื้นเชื้อโรคสามารถไช ผ่านไปได้เช่นกัน - เชื้ออาจจะเข้าร่างกายโดยการดื่มหรือกินอาหารที่มีเชื้อโรค อาการที่สําคัญ อาการของโรคแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 กลุ่ม 1. กลุ่มที่ไม่มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรือกลุ่มที่อาการไม่รุนแรง กลุ่มนี้อาการไม่รุนแรง หลังจากได้รับเชื้อ 10- 26 วัน โดยเฉลี่ย 10 วัน ผู้ป่วยก็จะเกิดอาการของโรคได้แก่ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออย่างรุนแรง อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และมีไข้ขึ้นสูงด้วย บางรายอาจเกิดการเบื่ออาหาร ท้องเสีย ปวดท้อง ตาแดง เจ็บตา เกิดผื่นขึ้นตามตัว หรือมีจ้้าเลือดตาม ผิวหนัง 2. ระยะการสร้างภูมิ ระยะนี้ถ้าเจาะเลือดจะพบภูมิต้านทานโรค ผู้ป่วยจะมีไข้ขึ้นใหม่ ปวดศีรษะ คอแข็งมีการ อักเสบของเยื่อหุ้มสมอง และตรวจพบเชื้อโรคในปัสสาวะ กลุ่มที่มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง กลุ่มนี้ไข้จะไม่หายแต่จะเป็นมาก ขึ้นโดยพบมี อาการตัวเหลืองตาเหลือง มีผื่นที่เพดานปาก มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ตับและไตอาจวายได้ ดีซ่าน เยื่อหุ้ม สมองอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ อาจจะมีอาการไอเป็นเลือด อาการเหลืองจะปรากฏหลังจาก ได้รับเชื้อโรคนานเกิน 4 วัน ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตในระยะนี้หรือในต้นสัปดาห์ที่สามจากไตวาย การป้องกันโรคฉี่หนู 1. ก้าจัดหนูและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้สะอาดถูกสุขลักษณะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของหนู 2. หลีกเลี่ยงการลงไปอาบแช่ในแหล่งน้้าที่วัว ควายลงไปกินน้้า แช่น้้า 3. หลีกเลี่ยงการแช่น้้า ย้่าโคลนด้วยเท้าเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบาดแผลที่ขา เท้า หรือตาม ร่างกาย 4. หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในทุ่งนา ในคอกสัตว์ 5. สวมเครื่องป้องกันตนเองด้วยการสวมถุงมือยาง รองเท้าบูทยาง และสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เมื่อต้อง ท้างานในไร่นา หรือที่เปียกชื้นแฉะ 6. อาบน้้าช้าระล้างร่างกายด้วยน้้าสะอาดและสบู่ทันทีหลังการลุยน้้าย่้าโคลน หรือกลับจากทุ่งนา 7. ไม่ช้าแหละสัตว์โดยไม่สวมถุงมือ 8. ไม่กินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ที่ไม่ได้ท้าให้สุกหรือผักสดจากท้องนาที่ไม่ได้ล้างให้สะอาด หลีกเลี่ยงการอม กลืนน้้า หรือลืมตาในน้้าที่ไม่สะอาด 9. หลีกเลี่ยงการดื่มน้้า หรือรับประทานอาหารจากภาชนะที่เปิดฝาทิ้งไว้ เพราะอาจมีหนูมาฉี่รดไว้


ใบความรู้ที่ ๖ เรื่อง โรคมือเท้าเปื่อย โรคปากเท้าเปื่อยเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Coxsackievirus โดยต้อง ประกอบด้วยผื่นที่มือ เท้า เริ่มต้น เป็นที่ปาก เหงือก เพดาน ลิ้น และลามมาที่มือ เท้า บริเวณที่พันผ้าอ้อมเช่นกัน ผื่นจะเป็นตุ่มน้้าใสมีแผลไม่มาก จะพบได้ ในทารกที่มีอายุ ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป ผื่นที่ปรากฏจะหายได้ภายใน 5-7 วัน อาการ - มีไข้ - เจ็บคอ - มีตุ่มที่ คอ ปาก เหงือก ลิ้น โดยมากเป็นตุ่มน้้ามากกว่าเป็นแผล - ปวดศรีษะ - ผื่นเป็นมากที่มือ รองลงมาพบที่เท้า ก้นก็พอพบได้ - มีอาการเบื่ออาหาร - เด็กจะหงุดหงิด ระยะฟักตัว หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการไข้เวลาประมาณ 4-6 วัน การวินิจฉัย โดยการตรวจร่างกายพบผื่นบริเวณดังกล่าว การรักษา ไม่มีการรักษาเฉพาะโดยมากรักษาตามอาการ - ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้ - ดื่มน้ําให้เพียงพอต่อร่างกาย อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว โรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirus A16 ซึ่งหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่หากเกิดจาก เชื้อ enterovirus 71 โรคจะเป็นรุนแรงและเกิดโรคแทรกซ้อน - อาจจะเกิดชักเนื่องจากไข้สูง ต้องเช็ดตัวเวลามีไข้และรับประทานยาลดไข้ - อาจจะเกิดเยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบได้ การป้องกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย ควรพบแพทย์เมื่อไร - ไข้สูงรับประทานยาลดไข้แล้วไม่ลง - ดื่มน้้าไม่ได้และมีอาการขาดน้้า ผิวแห้ง ปัสสาวะสีเข็ม - เด็กกระสับกระส่าย - มีอาการชัก เด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากอาการของโรคแทรกซ้อน


ใบความรู้ที่ ๗ เรื่อง โรคตาแดง โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เป็นการ อักเสบของเยื่อบุตา (conjuntiva) ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวม เยื่อ่ตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อ ตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส มักจะ ติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากจะเป็นและ หายได้ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้ มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตา แห้ง การใช้ contact lens หรือน้้ายาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตา แดงเรื้อรัง อาการของโรคตาแดง 1. คันตา เป็นอาการที่ส้าคัญของผู้ป่วยตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ อาการคันอาจจะเป็นมาก หรือน้อย คนที่เป็น โรคตาแดงโดยที่ไม่มีอาการคันไม่ใช่เกิดจากโรคภูมิแพ้ นอกจากนั้นอาจจะมีประวัติ ภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น หอบหืด ผื่นแพ้ 2. ขี้ตา ลักษณะของขี้ตาก็ช่วยบอกสาเหตุของโรคตาแดง - ขี้ตาใสเหมือนน้้าตามักจะเกิดจากไวรัสหรือโรคภูมิแพ้ - ขี้ตาเป็นเมือกขาวมักจะเกิดจากภูมิแพ้หรือตาแห้ง - ขี้ตาเป็นหนองมักจะร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้าท้าให้เปิดตาล้าบาก สาเหตุ มักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย 3. ตาแดงเป็นข้างหนึ่งหรือสองข้าง - เป็นพร้อมกันสองข้างโดยมาก มักจะเกิดจากภูมิแพ้ - เป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยเป็น สองข้างสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อ เช่นแบคทีเรีย ไวรัส หรือ Chlamydia - ผู้ที่มีโรคตาแดงข้างเดียวแบบเรื้อรัง ชนิดนี้ต้องปรึกษาแพทย์ 4. อาการปวดตาหรือมองแสงจ้าไม่ได้ มักจะเกิดจากโรคชนิดอื่น เช่น ต้อหิน ม่านตา อักเสบเป็นต้น ดังนั้นหาก มีตาแดงร่วมกับปวดตาหรือมองแสงไม่ได้ต้องรีบพบแพทย์ 5. ตามัว แม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัว ร่วมกับตาแดงต้อง ปรึกษาแพทย์ 6. ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้้าตาเทียม เครื่องส้าอาง โรคประจ้าตัว ยาที่ใช้อยู่ประจ้า การป้องกันโรคตาแดง - อย่าใชเครื่องส้าอางร่วมกับคนอื่น - อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน - ล้างมือบ่อยๆ อย่าเอามือขยี้ตา - ใส่แว่นตาป้องกัน เมื่อต้องท้างานเกี่ยวข้องกับฝุ่นละออง สารเคมี - อย่าใช้ยาหยอดตาของผู้อื่น - อย่าว่ายน้้าในสระที่ไม่ได้ใส่คลอรีน การรักษาตาแดงด้วยตัวเอง - ประคบเย็นวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ10-15 นาที - ล้างมือบ่อยๆ - อย่าขยี้ตาเพราะจะท้าให้ตาระคายมากขึ้น - ใส่แว่นกันแดด หากมองแสงสว่างไม่ได้ - อย่าใส่ contact lens ในระยะที่ตาแดง ตาอักเสบ - เปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน


ใบความรู้ที่ ๗ เรื่อง โรคไข้หวัดนก สาเหตุ โรคไข้หวัดนก (Avian influenza หรอื Bird flu) เกิดจากเชื้อไวรัสเอเวียนอินฟลู เอนซา ชนิดเอ (Avian influenza Type A) ท้าให้เกิดโรคขึ้นได้ทั้งในคนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ ปีก อาการ ผู้ป่วยจะมี อาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ มีระยะฟักตัวเพียง 1-3 วัน จะมีอาการ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ ตาแดง เหนื่อยหอบ หายใจล้าบาก รายที่รุนแรงเนื่องจากมีอาการปอดอักเสบร่วมด้วย โดยเฉพาะ ในเด็กและผู้สูงอายุอาจท้าให้เสียชีวิตได้ การติดต่อ เชื้อไวรัสนี้จะถูกขับถ่ายออกมากับมูลของนกที่มีเชื้อนี้อยู่และติด ติดต่อสู่สัตว์ปีกที่ไวต่อการรับเชื้อ ซึ่งจะเกิดกับไก่ เป็ด ห่าน และนก คนจะติดต่อมาจากสัตว์อีกต่อหนึ่งโดยการ สัมผัส มูลสัตว์ น้้ามูก น้้าตา น้้าลาย ของสัตว์ที่ป่วยหรือตาย ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีการติดต่อจากคนสู่คน ผู้ที่ท้างานในฟาร์ม สัตว์ปีก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก มีโอกาสติดโรค ไข้หวัดนกสูง การป้องกัน โดยการปฏิบัติดังนี้ 1. หลักเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยเป็นโรคอยู่ 2. ล้างมือให้สะอาดด้วยน้้าและสบู่ทุกครั้ง หลังหยิบจับเนื้อสัตว์ปีกหรือไข้ดิบ และ อาบน้้าหลังจับต้องหรือ สัมผัสสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย 3. ดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรค 4. ถ้ามีไข้ ปวดศีรษะ หนาวสั่น เจ็บคอ ไอ โดยเฉพาะผู้ที่คลุกคลีกับสัตว์ปีกทั้งที่มี ชีวิตและไม่มีชีวิตควรรีบไป พบแพทย์ 5. รับประทานอาหารประเภทไก่และไขที่ปรุงสุกเท่านั้น งดรับประทานอาหารที่ปรุง สุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะ ในช่วงที่มีการระบาดของโรค 6. ล้างเปลือกไข่ด้วยน้้าให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร


ใบงาน เรื่อง โรคติดต่อ สาเหตุ อาการ การป้องกัน การรักษา ชื่อ ........................................................... รหัสประจ้าตัว .................................... ศกร.ต้าบล .............................. คําชี้แจง ให้ผู้เรียนตอบค้าถามและอธิบายมาให้เข้าใจ 1. ให้ผู้เรียนบอกชื่อโรคติดต่อที่เกิดขึ้นชุมชนของผู้เรียน (นอกจากโรคที่กล่าวมา) .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .............................................................................................................................................................. ...................... 2. ให้ผู้เรียนอธิบายสาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกันโรค (ตามข้อ 1) ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ......................................................................................................................................................................... ........... ....................................................................................................................... ............................................................. ............................................................................................................................. ....................................................... .......................................................................................................................................... .......................................... ............................................................................................................................. ....................................................... 3. โรคดังกล่าว (ตามข้อ 1) ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของครอบครัวและชุมชน อย่างไร .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ....................................................................................................................................................................... .............


ใบความรู้ที่ ๑ เรื่อง ยาสามัญประจ าบ้าน ยาสามัญประจ าบ้าน คือ ชุดยาที่ใช้รักษา บรรเทา หรือป้องกันอาการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่วยในเบื้องต้น เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก อาเจียน น้ ามูกไหล เมารถ เมาเรือ เป็นต้น ทุกคนน ามาใช้รักษาตัวเองหรือ คนใกล้ชิดเองได้แต่ละบ้านควรมีชุดยาสามัญไว้อย่างน้อย 1 ชุด ควรเก็บไว้ในที่ที่แห้ง หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด โดยตรง และสะดวกต่อการหยิบใช้ทุกคนจัดชุดยาสามัญได้ด้วยตัวเองหรือหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยไม่ จ าเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์โดยฉลากยาจะมีค าว่า “ยาสามัญประจ าบ้าน” ในกรอบสีเขียวมีขนาดตัวอักษรที่อ่านได้ชัดเจน และระบุค าว่า “ยาสิ้นอายุ” เพื่อแสดงวัน เดือน ปีพ.ศ. ที่ยาสิ้นอายุและควรหมั่นตรวจสอบชุดยาเป็นประจ า หากพบ ยาที่เสื่อมสภาพหรือหมดอายุควรเปลี่ยนยาเพื่อความพร้อมต่อการใช้งาน ยาสามัญประจ าบ้านมีอะไรบ้าง 1. กลุ่มยาบรรเทาปวดลดไข้ยาเม็ดส าหรับบรรเทาปวด และลดไข้ แอสไพริน . - ยาเม็ดส าหรับบรรเทาปวด และลดไข้ แอสไพริน - ยาเม็ดและยาน้ าบรรเทาปวดลดไข้ พาราเซตามอล ยาเม็ดมีขนาด 500 มก. และขนาด 325 มก. - พลาสเตอร์ช่วยบรรเทาปวด. 2. กลุ่มยาแก้แพ้ ลดน้ ามูก ยาเม็ดแก้แพ้ลดน้ ามูก คลอร์เฟนิรามีน - ยาเม็ดแก้แพ้ลดน้ ามูก คลอร์เฟนิรามีน 3. กลุ่มยาแก้ไอ ขับเสมหะ ... - ยาน้ าแก้ไอ ขับเสมหะส าหรับเด็ก - ยาแก้ไอน้ าด า 4. กลุ่มยาดมหรือยาทาแก้วิงเวียน หน้ามืด คัดจมูก ... - ยาดมแก้วิงเวียน เหล้าแอมโมเนียหอม - ยาดมแก้วิงเวียน และแก้คัดจมูก - ยาทาระเหย บรรเทาอาการคัดจมูกชนิดขี้ผึ้ง 5. กลุ่มยาแก้เมารถ เมาเรือ ... - ยาแก้เมารถ เมาเรือ ไดเมนไฮดริเนท 6. กลุ่มยาส าหรับโรคปาก และล าคอ ... - ยากวาดคอ - ยารักษาลิ้นเป็นฝ้า เยนเชี่ยนไวโอเลต - ยาแก้ปวดฟัน - ยาดมบรรเทาอาการระคายคอ 7. กลุ่มยาแก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ... - ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาธาตุน้ าแดง - ยาเม็ดแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โซดามิ้นท์ - ยาขับลม - ยาน้ าแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โซเดียมไบคาร์บอเนต - ยาทาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ทิงเจอร์มหาหิงคุ์ - ยาเม็ดลดกรดอะลูมินา – แมกนีเซีย - ยาน้ าลดกรดอะลูมินา-แมกนีเซียม 8. กลุ่มยาแก้ท้องเสีย


- ยาแก้ท้องเสีย ผงน้ าตาลเกลือแร่ 9. กลุ่มยาระบาย - ยาระบายกลีเซอรีน ชนิดเหน็บทวารหนักส าหรับเด็ก - ยาระบายกลีเซอรีน ชนิดเหน็บทวารส าหรับผู้ใหญ่ - ยาระบายแมกนีเซีย - ยาระบายมะขามแขก - ยาระบายโซเดียมคลอไรด์ ชนิดสวนทวาร 10. กลุ่มยาถ่ายพยาธิล าไส้ - ยาถ่ายพยาธิตัวกลม มีเบนดาโซล ใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม 11. กลุ่มยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ แมลงกัดต่อย - ยาหม่องชนิดขี้ผึ้ง 12. กลุ่มยาส าหรับโรคตา - ยาหยอดตา ซัลฟาเซตาไมด์ - ยาล้างตา 13. กลุ่มยาส าหรับโรคผิวหนัง - ยารักษาหิดเหา เบนซิล เบนโซเอต - ยารักษาหิด ขึ้ผึ้งก ามะถัน - ยารักษากลากเกลื้อน น้ ากัดเท้า - ยารักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง - ยาทาแก้ผดผื่นคัน คาลาไมน์ - ยารักษาเกลื้อน โซเดียมไทโอซัลเฟต 14. กลุ่มยารักษาแผลติดเชื้อไฟไหม้ น้ าร้อนลวก - ยารักษาแผลน้ าร้อนลวกฟีนอล - ยารักษาแผลติดเชื้อซิลเวอร์ ซัลฟาไดอาซีน ครีม 15. กลุ่มยาใส่แผล ยาล้างแผล - ยาใส่แผล ทิงเจอร์ไอโอดีน - ยาใส่แผล ทิงเจอร์ไทเมอรอซอล - ยาใส่แผลโพวิโดน ไอโอดีน - ยาไอโซโบรฟิล - ยาเอทธิล แอลกอฮอล์ - น้ า เกลือล้างแผล 16. กลุ่มยาบ ารุงร่างกาย - ยาเม็ดวิตามินบีรวม - ยาเม็ดวิตามินซี - ยาเม็ดบ ารุงโลหิต เฟอร์รัส ซัลเฟต - ยาน้ ามันตับปลา ชนิดแคปซูล - ยาน้ ามันตับปลาชนิดน้ า


ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง หลักการและวิธีการใช้ยาสามัญประจ าบ้าน วิธีใช้ยาสามัญประจ าบ้านให้ถูกต้อง การใช้ยาให้ถูกต้องนั้น ผู้ที่จะใช้ยาควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้ เพื่อให้ได้ผลในการ รักษาเต็มที่และเกิดผลเสียจากการใช้ยาน้อยที่สุด โดยมีหลักว่าจะต้องใช้ยาให้ถูกกับโรค ถูกกับคน (เด็ก ผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น) และใช้ยาให้ถูกเวลา ถูกวิธี ถูกขนาด ดังนี้ 1. ใช้ยาให้ถูกโรค หรือถูกขนาน ก่อนใช้ยาบ าบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น ควรศึกษาก่อนว่าอาการนั้นเกิดจากสาเหตุใด และควรใช้ยาขนานใดให้ตรงกับการ แก้ปัญหาหรือสาเหตุนั้น เช่น ปวดท้อง เป็นเพราะท้องผูกหรือท้องเสีย หรืออาหารไม่ย่อย เป็นต้น การใช้ยาแก้ปวดท้องจากสาเหตุต่างๆ ซึ่งไม่เหมือนกัน 2. ใช้ยาให้ถูกกับบุคคล ปฏิกิริยาการตอบสนองต่อยาในแต่ละบุคคลจะต่างกัน โดยเฉพาะต่างเพศหรือต่างวัย เด็กและคนชราจะตอบสนองต่อยาไวกว่าวัยกลางคน ยาบางชนิดใช้ได้กับสตรีเท่านั้น ยา บางชนิดห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และเด็ก เช่น เตตราซัยคลีน เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ควรน ายาของบุคคลหนึ่งมาใช้กับอีก บุคคลหนึ่งที่ต่างเพศต่างวัยกัน หากจ าเป็นต้องศึกษาจากผู้รู้ก่อน 3. ใช้ยาให้ถูกขนาด ให้ตรงกับขนาดที่ระบุเท่านั้น ส าหรับการใช้ยาต้านจุลชีพ ไม่ว่าจะเป็นยาภายในหรือยา ภายนอก จะต้องใช้อย่างต่อเนื่อง สม่ าเสมอจนกว่ายานั้นหมด ส าหรับการลืมรับประทานยา ให้รีบรับประทานขนาดเดิม ทันทีเมื่อนึกได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา การใช้ยาน้ ารับประทาน ควรใช้ช้อนตวงมาตรฐานที่ให้มากับยาเท่านั้น 4. ใช้ยาให้ถูกเวลา ช่วงห่างของเวลาใละครั้ง ควรมีระยะเท่าๆ กัน อย่างเช่น ใช้ยาทุก 4 ชั่วโมง เพื่อให้ระดับยาใน เลือดสม่ าเสมอ ไม่ต่ าเกินไปคงที่ และมีการก าหนดว่าเป็นยาก่อนหรือหลังอาหารด้วย 1) 'ยาก่อนอาหาร' ต้องรัีบประทานยานั้นก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมง จุดมุ่งหมายให้รับประทานยานั้น ตอนท้องว่าง จะช่วยในการดูดซึมยาผ่านผนังกระเพาะอาหารเข้าสู่เส้นเลือดได้ดี นอกจากนี้ยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะจะถูกท าลายได้ง่าย โดยน้ าย่อยอาหารที่หลั่งออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อเริ่มรับประทาน อาหาร เป็นต้น 2) 'หลังอาหาร' จะรับประทานยานั้นภายหลังการรับประทานอาหารไปแล้วนานเท่าใดก็ได้ เช่น รับประทานยา นั้นหลังจากเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารทันที หรือ 15 นาทีไปแล้วก็ได้ แสดงว่ายานั้นไม่มีผลเสียต่อ กระเพาะอาหาร และอาหารไม่มีผลต่อยานั้น แต่ถ้าระบุว่า 'หลังอาหารทันที' จะต้องรับประทานยานั้นหลัง เสร็จสิ้นการรับประทานอาหารทันทีเท่านั้น เนื่องจากยานั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนผนังกระเพาะ ซึ่งจ าเป็นต้องใช้ อาหารเป็นเกราะก าบังไว้มิให้ยาสัมผัสกับผนังโดยตรง 3) 'หลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง' การรับประทานยาเคลือบผนังกระเพาะอาหารหรือยาลดกรด เพื่อรักษาแผลใน กระเพาะอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง หรือก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง เพื่อให้ ยานี้ท าหน้าที่ได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีอาหารเป็นเครื่องกีดขวาง 4) การับประทานยาระบายแก้ท้องผูก ยานั้นจะออกฤทธิ์หลังจากรับประทานเข้าไปแล้ว 6-8 ชั่วโมง ดังนั้น หากต้องการให้เกิดการถ่ายอุจจาระในตอนเช้า จะต้องรับประทานยานี้ก่อนนอน 5) การรับประทานยาแก้อาเจียน แก้ปวดท้อง มักนิยมให้รับประทานก่อนอาหารเป็นเวลาประมาณ 20-30 นาที เพื่อมิให้เกิดอาการเมื่อเริ่มรับประทานอาหารเข้าไป


6) การรับประทานยาขับปัสสาวะ มักใช้ในโรคความดันโลหิตสูง เพื่อลดปริมาณน้ าในร่างกาย ซึ่งจะมีผลให้ ความดันโลหิตลดลง นิยมให้มื้อเช้าหรือกลางวันเท่านั้น เนื่องจากถ้าให้มื้อเย็นจะท าให้คนไข้ต้องตื่นกลางดึก เพื่อลุกขึ้นมาปัสสาวะ รายชื่อยาสามัญประจ าบ้านและวิธีการใช้ 1. ยาเม็ดลดกรด อะลูมินา-มักเนเซีย ใช้บรรเทาอาการจุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ และปวดท้องเนื่องจากมี กรดมากในกระเพาะอาหาร หรือแผลในกระเพาะอาหารและล าไส้ ให้เคี้ยวยาก่อนกลืน รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที หรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมง หรือเมื่อมีอาการ - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-4 เม็ด - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง 2. ยาน้ าลดกรด อะลูมินา-มักเนเซีย บรรจุขวด รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที หรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมง หรือเมื่อมีอาการ - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-4 เม็ด - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด - เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3. ยาเม็ดแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โซดามินต์300 มก. บรรจุแผงพลาสติกหรืออลูมิเนียม ใช้บรรเทาอาการ จุกเสียด ลดอาการระคายเคือง เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร รับประทานหลังอาหาร 1 ชั่วโมง หรือเมื่อมี อาการ - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 3-6 เม็ด - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1-3 เม็ด เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง 4. ยาขับลม ในสูตรต ารับ 15 มล. บรรจุขวด ใช้บรรเทาอาการท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ และขับลมใน กระเพาะอาหาร เขย่าขวดก่อนใช้ยา - รับประทานวันละ 3-4 ครั้ง - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1/2 หรือ 1 ช้อนโต๊ะ เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง 5. ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ยาธาตุน้ าแดง บรรจุขวด ใช้บรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากจุกเสียด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เขย่าขวดก่อนใช้ยา - รับประทานก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1/2 หรือ 1 ช้อนโต๊ะ เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง 6. ยาน้ าแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โซเดียมไบคาร์บอเนต 50 มก. ใช้บรรเทาอาการท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เนื่องจากมีกรดมากในกระเพาะอาหาร ใช้ป้อนให้ทารกและเด็กหลังอาหาร หรือเมื่อมีอาการ ไม่ควรให้เกินวันละ 6 ครั้ง - เด็กอายุ 2-3 ปี ครั้งละ 2-3 ช้อนชา - เด็กอายุ 6-12 เดือน ครั้งละ 2 ช้อนชา - เด็กอายุ 1-6 เดือน ครั้งละ 1 ช้อนชา - ทารกแรกเกิด-1 เดือน ไม่ควรใช้ เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง


7. ยาทาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ทิงเจอร์มหาหิงคุ์บรรเทาอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ปวดท้องในเด็ก - ใช้ทาบางๆ ที่หน้าท้อง วันละ 2-3 ครั้ง เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง 8. ยาแก้ท้องเสีย ผงน้ าตาลเกลือแร่ 1 ซอง ส าหรับผสมกับน้ า 250 มิลลิลิตร ทดแทนการสูญเสียน้ าในรายที่ มีอาการท้องร่วงมาก หรืออาเจียนมาก และป้องกันการช็อกเนื่องจากการที่ร่างกายขาดน้ า วิธีใช้เทผงยาทั้งซองละลาย ในน้ าสะอาด เช่น น้ าต้มสุกที่เย็นแล้ว ประมาณ 250 มิลลิลิตร (1 แก้ว) ให้ดื่มบ่อยๆ ถ้าถ่ายบ่อยให้ดื่มบ่อยครั้งขึ้น ถ้า อาเจียนด้วยให้ดื่มทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง - เก็บในที่แห้ง และป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด - ยาที่ละลายน้ าแล้วเกิน 24 ชั่วโมง ไม่ควรใช้ 9. ยาระบายกลีเซอรีนชนิดเหน็บทวาร ส าหรับเด็ก แท่งละ 1.5 กรัม บรรจุแผง ส าหรับบรรเทาอาการ ท้องผูก ใช้เหน็บทวารหนักเพื่อช่วยในการขับถ่าย ใช้เหน็บทวารหนัก ครั้งละ 1 แท่ง เมื่อต้องการใช้ควรรอไว้ 15 นาที เพื่อให้ตัวยาละลาย ให้เก็บยาไว้ในตู้เย็น และป้องกันไม่ให้โดนแดด 10. ยาระบายกลีเซอรีนชนิดเหน็บทวาร ส าหรับผู้ใหญ่ ใช้บรรเทาอาการท้องผูก ใช้เหน็บทวารหนักเพื่อช่วย การขับถ่าย ใช้เหน็บทวารหนักครั้งละ 1 แท่ง เมื่อต้องการใช้ควรรอไว้ 15 นาที เพื่อให้ตัวยาละลาย ให้เก็บในตู้เย็น และป้องกันไม่ให้โดนแสงแดด 11. ยาระบายมักเนเซีย 1.2 ก. ใช้เป็นยาระบาย ต้องเขย่าขวดก่อนใช้ยา รับประทานก่อนนอนหรือตื่นนอน ในตอนเช้า - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ - เด็ก 1-6 ปี รับประทานครั้งละ 1-3 ช้อนชา เก็บไว้ที่อุณหภูมิระหว่าง 15-30 องศาเซลเซียส 12. ยาระบายมะขามแขก ซึ่งมีปริมาณเซนโนไซด์บี 7.5 มก. ใช้เป็นยาระบาย รับประทานก่อนนอน หรือตื่นนอนในตอนเช้า - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 3-4 เม็ด - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด เก็บยาในที่แห้ง และอุณหภูมิต่ ากว่า 30 องศาเซลเซียส 13. ยาระบายโซเดียมคลอไรด์15% ชนิดสวนทวาร ใช้ส าหรับบรรเทาอาการท้องผูก ใช้สวนทวารให้ถ่าย อุจจาระ สวนเข้าทางทวารหนัก แล้วกลั้นไว้จนทนไม่ไหวจึงเข้าส้วม - ผู้ใหญ่ ใช้ครั้งละ 20-40 มิลลิลิตร - เด็ก 6-12 ปี ใช้ครั้งละ 10-20 มิลลิลิตร - เด็ก 1-6 ปี ใช้ครั้งละ 5-10 มิลลิลิตร เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง 14. ยาถ่ายพยาธิล าไส้มีเบนดาโซน 100 มก. ใช้ถ่ายพยาธิเส้นด้าย ตัวกลม เคี้ยวยาให้ละเอียดก่อนกลืน - ส าหรับพยาธิเส้นด้ายและพยาธิเข็มหมุด ทั้งเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป และผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเย็นเพียงครั้งเดียว - ส าหรับพยาธิตัวกลมอื่นๆ ได้แก่ พยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน และพยาธิแส้ม้า ทั้งเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป และผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น ติดต่อกัน 3 วัน และอาจ รับประทานซ้ าอีก 1 เม็ด หลังจากการรักษาครั้งแรก 2 สัปดาห์ต่อมา การเก็บยาควรป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด 15.ยาเม็ดบรรเทาปวด ลดไข้แอสไพริน 325 มก. ใช้ลดไข้ บรรเทาอาการปวด รับประทานหลังอาหารทันที หรือขณะท้องไม่ว่าง แล้วดื่มน้ าตามมากๆ รับประทานทุกๆ 4-6 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 ครั้ง - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด


- เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1 เม็ด - เด็ก 3-6 ปี รับประทานครั้งละ 1/2 เม็ด เก็บที่อุณหภูมิห้อง 16. ยาเม็ดบรรเทาปวด ลดไข้พาราเซตามอล 500 มก. ใช้ลดไข้ บรรเทาอาการปวด 4-6 ชั่วโมง เมื่อมี อาการ ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 4 ครั้ง - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1/2-1 เม็ด เก็บที่อุณหภูมิห้อง 17. ยาเม็ดบรรเทาปวด ลดไข้พาราเซตามอล 325 มก. ใช้ลดไข้ บรรเทาอาการปวด รับประทานทุก 4- 6 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ และไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 ครั้ง - ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 2 เม็ด - เด็ก 6-12 ปี รับประทานครั้งละ 1 เม็ด เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง 18. ยาน้ าบรรเทาปวด ลดไข้พาราเซตามอลชนิดน้ า รับประทานทุก 4-6 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ ไม่ควร รับประทานเกินวันละ 5 ครั้ง เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง 19. พลาสเตอร์บรรเทาปวด ในสูตรต ารับประกอบด้วยตัวยาส าคัญ ที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวด กล้ามเนื้อ ให้เช็ดบริเวณผิวหนังที่จะปิดให้สะอาดและแห้ง เมื่อปิดพลาสเตอร์ตรงบริเวณที่มีอาการปวดแล้ว ควรเปลี่ยน ทุกวัน การเลือกซื้อยาสามัญประบ้าน ควรเลือกที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกับส านักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งจะต้องมีเลขทะเบียนต ารับ ยาอยู่บนฉลากของยานั้น เพราะยาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจะเป็นยาที่ได้มาตรฐาน สามารถน ามาใช้รักษาโรคได้ อีกสิ่งที่ ควรดูก่อนซื้อยาคือ วันหมดอายุเนื่องจากยามีเวลาเสื่อมสภาพ จึงไม่ควรซื้อยาที่ใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุแล้วมาใช้ รับประทาน เพราะอาจจะมีอันตรายต่อร่างกายได้ยาที่ดีจะต้องอยู่ในสิ่งบรรจุที่มีสภาพดี ตัวยาต้องครบสมบูรณ์ ยา เม็ดต้องไม่แตก สีเรียบไม่มีจุดแปลกปลอมบนตัวยา ส่วนยาน้ าจะต้องไม่มีตะกอน แต่ถ้าแขวนตะกอนเมื่อเขย่าตัว ยาจะต้องกระจายตัวอย่างสม่ าเสมอ ใช้ยาสามัญประจ าบ้านอย่างไรให้ปลอดภัย 1. ควรอ่านฉลากยา และเอกสารก ากับยาให้เข้าใจก่อนใช้ยาทุกครั้งจะได้ไม่ใช้ยาผิด 2. ใช้ยาให้ถูกต้องตามที่เอกสารก ากับยาระบุไว้ไม่ควรใช้ยาเกินขนาดเด็ดขาด 3. เลี่ยงการใช้ยาที่ผิดกับโรค เพราะโรคบางอย่างตัวยาต้องใช้ต่างชนิดกัน การเก็บรักษายาสามัญประจ าบ้านที่ถูกต้อง การเก็บยาสามัญประจ าบ้านเอาไว้นั้น ควรมีตู้ส าหรับใส่ยาเหล่านี้โดยเฉพาะ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพิ่มความสะดวกในการหยิบใช้ และช่วยรักษาตัวยาให้มีอายุการใช้งานได้ตามก าหนด โดยมีวิธีเก็บดังนี้ 1. ควรแยกยาออกเป็นประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน ว่าอันไหนคือยาส าหรับทาน และยาอันไหนคือยาส าหรับใช้ ภายนอก 2. ยาจะต้องมีฉลากยาที่มีความถูกต้องชัดเจน ไม่จาง หรือขาดหาย 3. เก็บยาให้พ้นมือเด็ก 4. เก็บยาไว้ในที่ไม่โดนแสงแดด ความร้อน ความชื้น และเปลวไฟ 5. อย่าเก็บยาชนิดอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเอาไว้ในตู้เก็บยาสามัญประจ าบ้าน เพราะอาจจะหยิบผิดได้


ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง อันตรายจากการใช้ยาสามัญประจ าบ้าน การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยของแต่ละคน ย่อมมีข้อจ ากัดในเรื่องของชนิดยา และขนาดของยาที่ แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้การใช้ยามีประสิทธิภาพ ผศ.พญ.สมฤดี ฉัตรสิริเจริญกุล ภาควิชาเภสัชวิทยา มี ค าแนะน ามาบอกค่ะ การใช้ยาถ้าเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือยังไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ และจ าเป็นต้องใช้ยาสามัญประจ าบ้านที่ มีอยู่ยิ่งจ าเป็นต้องทราบวิธีใช้ และข้อควรระวัง เพราะยาบางชนิดแม้จะมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการเจ็บป่วย แต่ ถ้าใช้ไม่ถูกก็จะเป็นอันตรายได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น พาราเซตามอล เป็นยาลดไข้แก้ปวดที่ใช้กันมากที่สุด มีความปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะ อาหาร แต่ก็ไม่ควรใช้ยาเกิน 8 เม็ดต่อวัน และในเด็กให้ใช้ 10 - 15 มิลลิกรัม ต่อน้ าหนักตัว 1 กิโลกรัม สิ่งส าคัญ คือ ถ้าใช้ยาเกินขนาด เช่น มากกว่า 20 เม็ดต่อวัน จะเป็นพิษต่อตับ และท าให้ตับวาย อันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ ส่วน คลอร์เฟนิรามีน เป็นยาที่ใช้ลดน้ ามูกใส ๆ และบรรเทาอาการแพ้ หรืออาการคัน ยานี้จะท าให้ง่วง นอน จึงไม่ควรใช้ถ้าต้องขับรถหรือท างานกับเครื่องจักรกล เพราะอาจเกิดอันตรายได้ และการใช้ยาอาจท าให้คอแห้ง ใจสั่น หรือมีเสมหะเหนียวข้น ขับออกยาก ผู้ที่ไอและมีเสมหะจึงไม่ควรรับประทานยาชนิดนี้ และยาที่นิยมใช้แก้ไอ ชนิดน้ าด า ที่ถูกต้อง ควรรับประทานตามเวลาที่ก าหนด คือวันละ 3 - 4 ครั้ง แต่ส่วน ใหญ่มักใช้จิบเวลาไอ ซึ่งจะท าให้ได้รับทิงเจอร์ฝิ่นมากเกินไป เกิดอาการง่วง มึนงง คลื่นไส้ ท้องผูก และต้องระวัง หาก น าไปใช้กับผู้ที่ไอและมีเสมหะเหนียว หรือไอจากหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ จะท าให้เสมหะเหนียวข้นมากขึ้นและไป อุดกั้นทางเดินหายใจท าให้หยุดหายใจได้เช่นกัน ส าหรับการรับประทานยาให้ได้ผล ถ้าเป็นยาก่อนอาหาร ให้รับประทานในช่วงท้องว่าง ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมและออกฤทธิ์ได้เต็มที่ส่วนยาหลังอาหาร โดยทั่วไปควรรับประทานหลังอาหาร ประมาณ 15 - 30 นาที ยกเว้นยา บางชนิดที่ท าให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันที ส าหรับยา ก่อนนอน ควรรับประทานก่อนเข้านอนประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง จะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ในช่วงกลางคืน อย่างไรก็ตามเนื่องจากยามีหลากหลายชนิดและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนั้นการใช้ยาควรเพิ่มความ ระมัดระวัง ใช้ยาให้ถูกโรค ถูกคน ถูกเวลา และถูกขนาด ตามที่แพทย์หรือเภสัชกรก าหนด และไม่ควรวิเคราะห์สาเหตุ ของโรคแทนผู้อื่น หรือ น ายาที่ตนเองเคยใช้ไปให้ผู้อื่นรับประทาน ซึ่งจะท าให้เกิดอันตรายจากการใช้ยาโดยไม่รู้ตัว อันตรายจากการใช้ยา 1. ผลข้างเขียงจากการใช้ยา(Side Effects) ยาคลอร์เฟนิรามีน ท าให้ง่วงซึม ยาแก้ปวด ท าให้เลือดแข็งตัว ช้า หูอื้อ เป็นต้น 2. อันตรายจากพิษของยา(Drug Toxicity) มันเกิดจากการใช้ยาเกิดขนาดอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ รับประทานเกินขนาดเพื่อหวังฆ่าตัวตาย ถ้าพบเห็นควรรีบน าส่งโรงพยาบาลทันที 3. การแพ้ยา(Drug Allergy)อาการแพ้ยาเกิด จะไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับฤทธิ์ของยาเลย แต่จะมีอาการแต่ ต่างออกไปเหมือนกับอาการทั่วไป ลักษณะอาการแพ้ยาจะแตกต่างไปตามชนิดของยา และตัวบุคคล แต่อาการส่วน ใหญ่เกิดขึ้นที่ผิวหนัง 4. การรับยาติดต่อกันเป็นเวลานาน(Chronic Toxicity)เป็นอาการที่ไม่พึ่งประสงค์ซึ่งเป็นผลสืบเนืองมาจาก การที่ผู้ป่วยได้รับยาติดต่อมาเป็นเวลานาน ลักษณะอาการอาจแตกต่างจากผลเสียข้างเคียงจากการใช้ยาและพิษยา เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids)อาจมท าให้เกิดความผิดปกติทางใจ 5. การดื้อยา(Drug Resistance)เป็นการที่ใช้ยาแล้วไม่สามารถท าลายเชื้อโรคได้ เนื่องจากโรคดื้อยา ที่พบมาก ที่สุดมันเนื่องมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะไม่ตรงกับชนิดของเชื้อโรคใช้ไม่ถูกขนาด หรือใช้ในระยะเวลาที่น้อยไป หรือไม่ เพียงพอต่อการท าลายเชื้อโรค 6. การติดยา(Drug Dependence)ยาบางชนิดถ้าใช้ไม่ถูกต้อง หรือใช้ต่อเนื่องกันไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะท าให้ ติดยาชนิดนั้นได้ เช่น มอร์ฟีน ยากล่อมประสาท ยาแก้ไอบางชนิด เป็นต้น


การเสื่อมและการหมดอายุของยา ยาทุกชนิดจะมีการเสื่อมและหมดอายุได้การเสื่อมสภาพของยาอาจเกิดก่อนการหมดอายุของยา ซึ่งโดยมากมัก เกิดจากการเก็บยาไม่ถูกวิธี เช่น ถูกความร้อน ความชื้น หรือแสงแดดท าให้ยามีลักษณะที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ยาเม็ด จะแตกร่วน หรือสีเปลี่ยนไป ยาน้ าจะตกตะกอนแน่นเขย่าไม่กระจาย หรือแยกชั้น สี กลิ่น และรสเปลี่ยน ยาแคปซูลจะ มีลักษณะเยิ้มหรือขึ้นรา ยาที่มีลักษณะเช่นนี้ไม่ควรน ามาใช้ เพราะอาจท าให้เกิดอันตรายจนถึงตายได้ ข้อควรปฏิบัติในการใช้ยา ในการใช้ยานั้นเพื่อให้ได้รับผลอย่างสูงสุดจากการใช้ยา และไม่เกิดอันตรายจากการใช้ยาหรือถ้าเกิดอันตรายก็ สามารถแก้ไขได้ทันที ควรปฏิบัติดังนี้ ๑. ควรไปให้แพทย์ตรวจรักษาและจัดยาให้มาจะดีกว่าหารไปซื้อยารับประทานเอง แต่ถ้าจะไปซื้อยา รับประทานเองควรไปซื้อยาจากร้านเภสัชการประจ าอยู่ ๒. ควรอ่านฉลากยาให้ระเอียดก่อนใช้ยานั้น ถ้าเป็นยาที่ยังไม่เคยใช้หรือไม่ได้ใช้เป็นประจ าในฉลากยาจะมีชื่อ ยา สรรพคุณของยาวิธีใช้ขนาดที่ใช้ค าเตือนส่วนประกอบที่ส าคัญของยาวันเดือนปีที่ผลิตยา วันหมดอายุ และ รายละเอียดอื่นๆ อีกซึ่งฉลากนี้จะปรากฏอยู่ด้านข้างของภาชนะที่บรรจุ และแผ่นฉลากในภาชนะที่จุ ๓. ถ้าต้องการอ่านฉลาก แต่ว่าฉลากยาเลอะเลือนจนอ่านไม่ชัดหรือไม่มีฉลากก็ไม่ควรใช้ยานั้น ๔. ในการใช้ยาต้องปฏิบัติตามฉลากหรือตามที่แพทย์สั่งอย่าเคร่งครัด ๕. ถ้าเกิดอันตรายจากการใช้ยาดังกล่าวมาแล้วให้เปลี่ยนยาหรือหยุดใช้ยาหรือหลีกเลี่ยงการใช้ยาหรืออาจ ต้องไปพบแพทย์แล้วแต่กรณีและความรุนแรง ๖. ต้องใช้ยาให้ถูกเวลาตามที่ระบุไว้ในฉลากหรือตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งมักเขียนไว้ที่ข้างซองยา ๗. ควรงดเว้นการใช้ยาชุดซึ่งยาชุดนี้จะไม่มีฉลากผู้ขายจะจัดรวมเป็นชุด ชุดละ 3-5 โดยมีรูปลักษณะและสี ของยาต่างๆกันยาชุดนี้มีอันตรายผู้ใช้มาก ๘. ควรจ าไว้ว่าตนเองเคยแพ้ยาอะไรก่อนที่แพทย์หรือเภสัชกรจ่ายยาควรบอกด้วยว่าตนเองแพ้ยาอะไร ๙. ไม่ควรหลงในค าโฆษณาเกินความเป็นจริงควรใช้วิจารณญาณในการซื้อและใช้ยา ๑๐. ถ้าลืมรับประทานยามื้อใดมื้อหนึ่ง ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้แต่ห้ามรับประทานยาเป็นสองเท่าใน มื้อต่อไป ๑๑. ไม่ควรใช้ยาอย่างพร่ าเพรื่อ เพราะยาเป็นสารเคมีที่เข้าสู่ร่างกาย ถ้ามีมากอาจมีผลต่อร่างกายหรือ อวัยวะภายในได้


ใบความรู้ที่ ๔ เรื่อง ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการใช้ยา มีผู้ป่วยหลายท่านที่มีพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และมักมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในการใช้ยา ท าให้เกิดผล เสียและอันตรายจากการใช้ยา ความเชื่อผิด ๆ ที่พบบ่อยมีดังนี้ คือ ความเชื่อ : ฉีดยาดีกว่ากินยา โดยหลักการแล้ว ยารับประทานเป็นยาที่แพทย์จะเลือกใช้เป็นล าดับแรก เพราะสามารถรักษาโรคหรือบ าบัด อาการได้เกือบทั้งหมด ใช้ง่ายและสามารถติดตัวเพื่อรับประทานต่อเนื่อง ส าหรับยาฉีดนั้นเหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถ รับประทานยา หรือในผู้ป่วยหนัก หรือต้องการผลให้ระดับยาสูงขึ้นทันที หลังจากนั้นเมื่อคุมอาการได้ แพทย์ก็จะ พิจารณาให้รับประทานยาต่อ ข้อควรรู้คือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากยาฉีดนั้นจะแก้ไขได้ยาก หรือรุนแรงมากกว่ายารับประทานและมีบ้าง ที่อาจ แก้ไขไม่ทัน ความเชื่อ : ยาแพงดีกว่ายาถูก ความเชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะยาปัจจุบันที่มีอยู่ในท้องตลาดเป็นส่วนใหญ่ ยาที่แพงอาจเนื่องจากมีการ บวกค าโฆษณา การค้นคว้าในอดีตและการบวกก าไรลงไปในราคายามากเป็นหลายเท่าตัว ข้อควรปฏิบัติคือควรสอบถามผู้ขาย หรือแพทย์ว่ายาดังกล่าวสามารถเชื่อถือคุณภาพได้มากน้อยเพียงใด ใช้เกณฑ์อะไร ในการพิจารณาว่ายามีคุณภาพ ความเชื่อ : ยาตัวใหม่ดีกว่ายาตัวเก่า ความเชื่อนี้มีส่วนจริงบ้างแต่ไม่เสมอไป ยาที่ออกใหม่หลายตัวก็มีผลการรักษาที่ไม่แตกต่าง จากยาเดิมแต่ก็มียา ใหม่ที่คิดค้นขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่ยาเก่าใช้ไม่ได้ผล อันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนสะสมมานาน ทั้งจากด้านผู้ใช้ยาที่ใช้ไม่ ถูกต้อง และผู้สั่งใช้ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน หรือแนวทางที่ถูกต้องในการรักษา นอกจากนี้ยาใหม่อาจมีการพัฒนา เพื่อให้ ใช้ได้ง่ายขึ้น ลดอาการข้างเคียงบางอย่างลงหรือทันต่อโรคใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของยาใหม่คือมีข้อมูลการใช้ไม่ มากพอ ผู้ใช้จึงเป็นเสมือนหนูลองยาบ่อยครั้งที่ต้องมีการถอนยาตัวนั้นออกจากตลาด หลังจากใช้ไปได้ระยะหนึ่ง เพราะ ความเป็นพิษรุนแรง บางชนิดท าให้พิการ บางชนิดมีผลให้เสียชีวิต สิ่งที่ควรรู้ คือ การรักษาจะได้ผลหรือไม่ขึ้นกับการวิเคราะห์อาการได้ถูกต้อง การเลือกใช้ยาที่เหมาะสม ความร่วมมือใน การรักษา ความสามารถในการใช้ยาที่มีวิธีการใช้พิเศษ เช่น ยาพ่นและการปฏิบัติตัวตามค าแนะน าอย่างสม่ าเสมอ ความเชื่อ : เมื่ออาการหายก็ไม่ต้องรับประทานยาต่อ ความเชื่อนี้มีทั้งที่จริงและไม่จริง ยาที่รักษาอาการ เช่น ยาแก้ปวดหัว ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการหวัด ยาเหล่านี้ เมื่อไม่มีอาการก็สามารถที่จะหยุดได้แต่ยาที่มีการระบุไว้ที่ฉลากว่า “ควรรับประทานติดต่อกันทุกวันจนหมด” หรือ ยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ความดันเลือดสูง เบาหวาน จะต้องรับประทานต่อเนื่องตามขนาดและเวลาที่ระบุ ถึงแม้จะ ควบคุมอาการได้แล้วก็ตาม เพราะเป็นยาที่รักษาที่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยนั้น มิฉะนั้นอาจท าให้เรื้อรัง ดื้อยา หรือไม่ สามารถควบคุมอาการได้ ข้อควรปฏิบัติคือสอบถามทุกครั้งที่ได้รับยาว่ามียาขนานใดที่ต้องรับประทานตามขนาดและเวลาที่สั่งจนหมด ในทาง ปฏิบัติทั่วไปยาที่ให้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบ าบัดเมื่อมีอาการเท่านั้นที่ไม่ต้องรับประทานจนหมด นอกนั้นควรรับประทาน จนหมดเพื่อลดปัญหาการเก็บและการน ากลับมาใช้ใหม่ที่อาจเป็นอันตราย ความเชื่อ : อาการเจ็บป่วยของตนนั้นต้องใช้ยาแรง ยาอ่อนไม่ได้ผล หากไม่ได้เป็นโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วยแต่ละครั้งนั้นไม่ขึ้นต่อกัน การใช้ยาแต่ละครั้งจึงไม่เกี่ยวข้องกัน ผู้ป่วยมัก ได้รับการบอกจากผู้ให้บริการว่า ส าหรับคุณจ าเป็นที่ต้องได้รับยาแรง ยาอ่อนไปไม่ได้ผล หรือร้านนี้ไม่มียาอ่อน การพูด ดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเข้าใจที่ผิดและ ต้องการที่จะให้ผู้รับบริการเชื่อว่าได้รับยาที่ดีที่สุด และเป็นเสมือนการ


โฆษณาชวนเชื่อสามารถที่จะเรียกเก็บเงินในราคาสูง ยาที่ดีที่สุดนั้นเป็นยาที่ตรงกับอาการ หรือสาเหตุจริงของการ เจ็บป่วย อาการจะหายหรือไม่หาย ขึ้นกับความสามารถในการวิเคราะห์โรคและการเลือกยาที่เหมาะสม ข้อควรปฏิบัติคือบอกเล่าอาการให้ละเอียด มีประวัติการใช้ยา อาหารเสริม สมุนไพร หรือการแพ้ยาอะไร มีโรค ประจ าตัวหรือไม่ และสอบถามวิธีปฏิบัติ ข้อควรระวังในระหว่างการใช้ยานั้น ๆ ความเชื่อ : ยาชุดดีกว่ายาเดี่ยว ยาชุดเป็นการจัดยาหลายขนานเข้าด้วยกันที่นับว่าเป็นเสมือนสิ่งที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาของสังคมไทย เพื่อความ สะดวกในการรับประทานและง่ายต่อการจัดของผู้ป่วย ส าหรับยาเดี่ยวนั้นจะบรรจุยาแต่ละชนิดแยกจากกัน ข้อดีของยา เดี่ยวคือไม่ปนเปื้อนยาบางขนานอาจให้ในเวลาที่ต่างกัน แต่ส าหรับชาวบ้านทั่วไปจะยากในการใช้ให้ถูกต้อง ยาชุดหรือ ยาเดี่ยวจึงไม่แตกต่างกัน ถ้าเป็นยาที่รับประทานเวลาเดียวกันและตรงกับอาการที่เป็นจริง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นใน สังคมไทยคือ ยาชุดที่มีการจัดมักจะมีการใส่ยาที่มีอันตรายมาก เช่น สเตียรอยด์ ลงไปในยาชุดโดยหวังให้กด หรือบดบัง อาการชั่วคราว และจะเป็นอันตรายร้ายแรงเมื่อใช้ต่อเนื่อง ข้อควรปฏิบัติคือหากเลี่ยงได้ให้เลี่ยงยาชุดโดยเฉพาะยาชุดที่มีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าและให้บอกว่าไม่ต้องการยาส เตียรอยด์ ความเชื่อ : ยารับประทานจะรับประทานก่อน หรือหลังอาหารก็ได้ไม่แตกต่างกัน ความเชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยมากแล้วยารับประทานมักจะให้รับประทานหลังอาหารเพื่อสะดวกในการ รับประทานและไม่ลืม เป็นการเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยา ยาหลังอาหารนั้นสามารถที่จะรับประทานหลังอาหารได้ ทันทีหรือภายในครึ่งชั่วโมง ส าหรับยาก่อนอาหารจะต้องรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง อย่างไรก็ตามหาระบุให้รับประทานก่อนอาหาร พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ก็ควรที่จะปฏิบัติตามเวลาที่ รับประทานที่ถูกต้องของยา ดังกล่าว เนื่องจากยาบางตัวไม่ทนกรด ยาบางตัวมีผลกัดกระเพาะ ยาบางตัวจะดูดซึมได้ดี เมื่อรับประทานพร้อมอาหารหรืออาหารที่มีไขมันสูง ข้อควรรู้การได้รับยาที่มากกว่า 1 ขนานสามารถที่จะเกิดยาตีกันได้ (อันตรกิริยาของยา) ในบางครั้งการให้รับประทาน ก่อนหรือหลังอาหารแยกจากกัน ก็มีจุดมุ่งหมายที่ จะป้องกันไม่ให้ยาตีกันดังกล่าว จึงควรที่จะรับประทานให้ถูกต้องเพื่อ ผลการรักษาที่ดีและลดอาการอันไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้


ใบงาน เรื่อง ยาสามัญประจ าบ้าน ชื่อ ........................................................... รหัสประจ าตัว .................................... ศกร.ต าบล .............................. ค าชี้แจง ให้ผู้เรียนตอบค าถามและอธิบายมาให้เข้าใจ 1. ให้ผู้เรียนบอกชื่อยาสามัญประจ าบ้านและยาสมุนไพรมาอย่างละ 5 ชื่อ และน าเสนอ หน้าชั้นเรียน .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………… 2. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มบอกถึงอันตรายจากการใช้ยาที่เคยพบ วิธีแก้ไขเบื้องต้นและ อภิปรายร่วมกัน ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ........................................................................................................................................................... ......................... ......................................................................................................... ........................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ........................................................................................................................................................................ ............ ...................................................................................................................... ..............................................................


แบบทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน ค าชี้แจง จงท าเครื่องหมาย ที่นักเรียนคิดว่าถูกต้องที่สุด ๑. อันตรายจากการใช้ยามีอะไรบ้าง ก. การแพ้ยา ผลข้างเคียงของยา การดื้อยา การติดยา พิษของยา ใช้ยาผิดประเภท ข. การแพ้ยา รับประทานยาเกินขนาด รับประทานยาหมดอายุ ค. การใช้ยาติดต่อกันนานๆ การดื้อยา การแพ้ยา ง. รับประทานยาที่ท าให้ง่วง อาจเกิดอันตรายจากการใช้รถได้ ๒. การป้องกันการใช้ยาในทางที่ผิดควรท าอย่างไร ก. เมื่อปวดศีรษะ ปวดท้องรับประทานยาอย่างเดียวกันติดต่อเป็นเวลานานจนหาย ข. ระมัดระวังในการใช้ยา ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ค. ถ้าเกิดอาการแพ้ยาควรแก้ไขโดยการพิจารณายาที่รับประทาน ง. ควรรับประทานยาและอาหารเป็นประจ าจะได้แข็งแรง ๓. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับยาสามัญประจ าบ้าน ก. ยาแผนปัจจุบัน ข. ยาต าราหลวง ค. ยาอันตราย ง. ยาถ่ายพยาธิล าไส้ ๔. ยาเม็ดโซดามินท์ใช้บรรเทาอาการอะไร ก. อาการปวดหลัง ข. อาการปวดศีรษะ ค. อาการปวดเมื่อยตัว ง. อาการจุกเสียดขับลม ๕. เหล้าแอมโมเนียหอมใช้บรรเทาอาการอะไร ก. บรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด ข. บรรเทาอาการปวดศีรษะ ค. บรรเทาอาการระคายเคืองหรือผื่นแดง ง. บรรเทาอาการลิ้นฝ้าขาว ๖. โรคเลือดจางเป็นโรคที่ขาดสารอาหารอะไร ก. ขาดวิตามินบีรวม ข. ขาดธาตุเหล็ก ค. ขาดธาตุสังกะสี ง. ขาดธาตุไอโอดีน ๗. ยาหยอดตาซึ่งนักเรียนอาจเคยใช้รักษาอาการตาแดงตาอักเสบ บอกวิธีการใช้ว่าท าอย่างไร ก. ใช้หยอดครั้งละ ๒-๓ หยด วันละ ๕-๖ ครั้ง เมื่อเปิดแล้วห้ามใช้เกิน ๒ เดือน ข. ใช้หยอดครั้งละ ๓-๔ หยด วันละ ๔-๕ ครั้ง เมื่อเปิดแล้วห้ามใช้เกิน ๒ เดือน ค. ใช้หยอดครั้งละ ๑-๒ หยด วันละ ๓-๔ ครั้ง เมื่อเปิดแล้วห้ามใช้เกิน ๑ เดือน ง. ใช้หยอดครั้งละ ๔-๕ หยด วันละ ๓-๔ ครั้ง เมื่อเปิดแล้วห้ามใช้เกิน ๑ เดือน ๘. สมุนไพรไทยแบ่งได้กี่ประเภทและมีอะไรบ้าง ก. แบ่งได้ ๒ ประเภทคือ สมุนไพรจากพืช สมุนไพรจากสัตว์ ข. แบ่งได้ ๒ ประเภทคือ สมุนไพรจากพืช สมุนไพรจากน้ า


ค. แบ่งได้ ๓ ประเภทคือ สมุนไพรจากพืช จากสิ่งมีชีวิต สมุนไพรจากน้ า ง. แบ่งได้ ๓ ประเภทคือ สมุนไพรจากพืช สมุนไพรจากสัตว์ สมุนไพรจากแร่ธาตุ ๙. ถ้านักเรียนปวดศีรษะบริเวณหว่างคิ้วนักเรียนคิดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ก. ปวดศีรษะเพราะความเครียด ข. ปวดศีรษะเพราะเป็นไข้หวัด ค. ปวดศีรษะเพราะอาการเป็นไข้ ง. ปวดศีรษะเนื่องมาจากอาการปวดกระเพาะอาหาร ๑๐. ยาสมุนไพรชนิดใดใช้รักษาอาการเจ็บคอได้ ก. ยาสมุนไพรกระเจี๊ยบแดง ข. ยาสมุนไพรว่านหางจระเข้ ค. ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ง. ยาสมุนไพรใบบัวบก


เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน/หลังเรียน ๑.ก ๒.ง ๓.ค ๔.ง ๕.ก ๖.ข ๗.ค ๘.ง ๙.ก ๑๐.ค


Click to View FlipBook Version