The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เค้าโครงวิจัยการพัฒนารูปแบบการบริหารในลักษณะการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่
จัดทำโดยนางสาวจุฑาภรณ์ ไพสิฐสกุลธาดา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by akipsu005, 2022-09-29 11:45:38

เค้าโครงวิจัยการพัฒนารูปแบบการบริหารในลักษณะการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่

เค้าโครงวิจัยการพัฒนารูปแบบการบริหารในลักษณะการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่
จัดทำโดยนางสาวจุฑาภรณ์ ไพสิฐสกุลธาดา

1

การพฒั นารปู แบบการบรหิ ารในลกั ษณะการมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน ที่จะส่งผลต่อประสทิ ธภิ าพ
ของการบรหิ ารจัดการสถานศกึ ษาในสงั กดั เทศบาลจงั หวดั กระบี่

จุฑาภรณ์ ไพสิฐสกุลธาดา

เคา้ โครงวจิ ยั นีเ้ ปน็ ส่วนหนง่ึ ของการศึกษาตามหลกั สูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาบรหิ ารการศกึ ษา

บัณฑติ มหาวทิ ยาลยั มหาวิทยาราชภฏั สุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 2565

2

การพฒั นารปู แบบการบรหิ ารในลกั ษณะการมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน ที่จะส่งผลต่อประสทิ ธภิ าพ
ของการบรหิ ารจัดการสถานศกึ ษาในสงั กดั เทศบาลจงั หวดั กระบี่

จุฑาภรณ์ ไพสิฐสกุลธาดา

เคา้ โครงวจิ ยั นีเ้ ปน็ ส่วนหนง่ึ ของการศึกษาตามหลกั สูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาบรหิ ารการศกึ ษา

บัณฑติ มหาวทิ ยาลยั มหาวิทยาราชภฏั สรุ าษฎร์ธานี
พ.ศ. 2565

3

บทท่ี 1

บทนำ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (Ratchakitchanubeksa, 2017: 14) มาตรา
54 รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาค
บังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับ
การศึกษา ตามวรรคหน่ึงเพ่ือพัฒนาร่างกาย จติ ใจ วินยั อารมณ์ สังคม และสติปัญญาใหส้ มกับวยั โดยส่งเสริม
และสนับสนุน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย รัฐต้อง
ดำเนินการ ให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบตา่ ง ๆ รวมทั้งส่งเสริมใหม้ ีการเรียนรู้ตลอด
ชีวิตและจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุก
ระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ ดำเนินการ กำกับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพและได้
มาตรฐานสากล ซึ่งประกอบกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (Ratchakitchanubeksa,
2017: 12-13) ส่วนที่ 2 การบริหารและการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาตรา 41 องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิ จัดการศึกษาในระดับใดระดับหนึ่งหรือทุกระดับตามความพร้อมความเหมาะสม
และความตอ้ งการภายในท้องถนิ่

มาตรา 42 ให้กระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาของ
องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น และมีหน้าที่ในการประสานและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สามารถ
จัดการศึกษา สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา รวมทั้งการเสนอแนะการจัดสรรงบประมาณ
อุดหนุนการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจุบันนอกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมี
บทบาทในการจัดการศึกษาของโรงเรียนในสังกัด โดยมีมาตรฐานการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทของท้องถ่ิน
และชุมชนแล้ว ยังมีบทบาทและส่วนร่วมในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาในระดับต่าง ๆ ในท้องถิ่น
มีการระดมทรัพยากรทางการศึกษา จัดตั้งและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ มีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมการ
สถานศึกษา มีการจัดตั้งสมาคมผู้ปกครองและครู การพัฒนาอาชีพของประชาชนและเยาวชนในท้องถิ่น ซึ่งถอื
ว่าเป็นจุดเด่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สามารถกำหนดรูปแบบที่เหมาะสมในการจัดการศึกษาใน
ท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย (Department of Local Administration
Ministry of Interior, 2017: 1) ได้กำหนดให้การบริหารโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนาท้องถิ่น เป็น
นโยบายในการพัฒนาสถานศึกษาให้สามารถพัฒนาเยาวชน และประชาชนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ต่อเนื่องตลอด
ชวี ติ และมุ่งสคู่ วามเป็นเลศิ ตามอจั ฉรยิ ภาพของแต่ละบคุ คล

โรงเรียนสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่ ได้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย โดยใน
ปีการศึกษา 2564 สามารถดำเนินการด้านปริมาณตามนโยบายขยายโอกาส การดำเนินงานของโรงเรียน

4

พบว่ามีสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน มีระดับ
ความสัมพันธ์ ของสถานศึกษากับชมุ ชนในภาพรวมยังมนี ้อยในการสรา้ งความสัมพันธร์ ่วมกนั

อีกทั้งเจตคติ ภาพลักษณ์ของโรงเรียนและภาพลักษณ์ของชุมชน สถานศึกษาต้องหาวิธี ในการสร้าง
ความสัมพันธ์กับชุมชน การได้รับข้อมูล ข่าวสารจากสถานศึกษาไปยังชุมชนยังไม่ทั่วถึง ความร่วมมือระหว่าง
สถานศึกษากับชุมชนยังขาดความร่วมมือต่อกัน และอีกประการหนึ่งที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องให้
ความสำคัญในการมีส่วนร่วมและความร่วมมือ ต่อการพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เดินไปข้างหน้า
โดยการสร้างชุมชนในการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาคุณภาพ
และประสิทธภิ าพการจดั การศึกษา

ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมุ่งศึกษาการบริหารโรงเรียนเทศบาลในลักษณะการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อพัฒนา
คุณภาพการศึกษาโรงเรียนในสังกัดเทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย โดยจะ
ดำเนินการระหว่างชุมชนกับสถานศึกษา เพื่อให้เกิดกระบวนการ สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน ในการมีส่วน
ร่วมในการจัดการสถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมและมรี ะบบมากย่ิงข้นึ จะนำไปสู่ การพัฒนาการบรหิ ารจัดการ
สถานศึกษาโดยการสร้างชุมชนเป็นแกนกลางในการมีส่วนร่วมในการ บริหารจัดการสถานศึกษาโรงเรียน
เทศบาลในลกั ษณะการมสี ่วนรว่ มของชมุ ช

วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย

1. เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการมีส่วนร่วมบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการ
สถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน ผู้ปกครอง ภาคเี ครือข่ายในโรงเรียนสงั กัดเทศบาล จังหวัดกระบ่ี

2. เพื่อพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐานของคณะกรรมการสถานศึกษา
ขัน้ พื้นฐาน ผ้ปู กครอง ภาคเี ครือขา่ ยในโรงเรยี นสงั กัดเทศบาล จังหวดั กระบี่

3. เพื่อประเมินผลการพัฒนาการมีสว่ นรว่ มในการบรหิ ารจดั การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานของคณะกรรมการ
สถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ผ้ปู กครอง ภาคเี ครือข่ายในโรงเรียนสงั กดั เทศบาล จงั หวดั กระบี่

สมมติฐานการวจิ ัย

1. การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง ภาคีเครือข่าย ในการ
บรหิ ารงานโรงเรยี นในโรงเรยี นสงั กัดเทศบาล จังหวดั กระบี่ ท่มี ีอายุ ระดบั การศึกษา และประสบการณ์ใน
การทำงาน ที่ต่างกัน มีส่วนร่วมในการบริหารงานโรงเรียนสังกัดเทศบาล จังหวัดกระบี่ โดยรวมและราย
ดา้ นแตกตา่ งกนั

2. คณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ผ้บู ริหาร ครู และบุคลากรท่เี กี่ยวข้องกบั สถานศึกษา มีความ
พึงพอใจต่อผลการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐา นของคณะกรรมการ
สถานศึกษาข้ันพืน้ ฐานในโรงเรียนสังกัดเทศบาล จงั หวดั กระบี่

5

ความสำคัญของการวิจยั

1. ได้ทราบระดับปัญหาและความต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง ภาคีเครือข่าย ในโรงเรียนสังกัดเทศบาล จังหวัด
กระบี่

2. พฒั นารปู แบบการมสี ่วนร่วมในการบรหิ ารจัดการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐานของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้
พ้นื ฐานผู้ปกครอง ภาคีเครอื ขา่ ย ในโรงเรยี นสังกัดเทศบาล จังหวัดกระบ่ี

สามารถนำผลการวิจัยไปใช้พัฒนาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ
คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานผ้ปู กครอง ภาคเี ครือขา่ ย ในโรงเรียนสังกดั เทศบาล จังหวัดกระบี่ต่อไปได้

ขอบเขตของการวิจยั

1. การศึกษาเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารในลักษณะการมีส่วนร่วมของชุมชนที่จะส่งผลต่อ
ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่ ผู้วิจัยได้กำหนด
ขอบเขตการศึกษา ดังนี้

1. พ้ืนท่ใี นการศกึ ษา ได้แก่ โรงเรียนสงั กดั เทศบาลจังหวัดกระบ่ี
2. ประชากรในการศึกษา ได้แก่ นายกเทศมนตรี ผู้อำนวยการกองการศึกษา ผู้นำชุมชน

คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่ โรงเรียนละ 10 คน
จำนวน 19 โรงเรียน สมาคมผปู้ กครองและครู 24 คน เครือข่ายผ้ปู กครอง 30 คน รวมท้ังสน้ิ
3. ขอบเขตด้านเนอ้ื หา

ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานไว้ 4 ด้านคือ
ด้านการบริหารวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการ
บรหิ ารท่วั ไป
4. ขัน้ ตอนในการศกึ ษา

ผวู้ จิ ัยไดก้ ำหนดขั้นตอนในการศกึ ษาใหส้ อดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงคใ์ นการวจิ ัยไว้ 3 ข้นั ตอนคอื
4.1 ศึกษาปัญหาและความต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน ภาคีเครือข่าย ในโรงเรียนสงั กัดเทศบาล จังหวดั กระบ่ี
4.2 พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการ
สถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ภาคเี ครอื ข่าย ในโรงเรียนสงั กัดเทศบาล จงั หวัดกระบี่
4.3 ประเมินผลการศึกษาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ภาคีเครือข่าย ในโรงเรียนสังกัดเทศบาล จังหวัดกระบี่

6

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากำหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย
ไว้ดงั ภาพท่ี 1.1

ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม

ปัญหาและความต้องการมี การพฒั นาการมสี ่วนร่วมในการ คณะกรรมการสถานศึกษา
ส่วนร่วมในการบริหารจัด บรหิ ารจดั การศึกษาข้นั พนื้ ฐาน ขั้นพื้นฐานภาคีเครือข่าย
การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยใชเ้ ทคนคิ A-I-C 1. ซาบซ้งึ ในโรงเรียนสังกัดเทศบาล
คณะกรรมการสถานศึกษา คุณคา่ (A : appreciate) จังหวัดกระบี่ มีความรู้
ภาคีเครือข่าย ในโรงเรียน 2. ขนั้ ปฏสิ มั พนั ธ์หรอื อทิ ธพิ ล ทักษะ และเจตคติ ในการ
สังกัดเทศบาล จงั หวดั กระบี่ ระหว่างกัน (I : influence) มีส่วนร่วมบริหารจัดการ
3.ขัน้ ควบคุมไปสกู่ ารกระทำ (C สถานศึกษาขั้นพื้นฐานใน
: control) ด้านการบริหารวิชาการ
การบริหารงบประมาณ
ภาพท่ี 1.1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย การบริหารงานบุคคล และ
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ การบริหารงานทั่วไป

การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาร่วมมือ ด้วยความ
สมัครใจ ต้ังแต่กระบวนการวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหา การวางแผน การ ดำเนินงาน การติดตามและ
ประเมินผลและการรบั ประโยชน์

คณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน หมายถึง บคุ คลท่ไี ดร้ ับการสรรหาและแตง่ ตั้งให้ดำรงดำแหน่ง
ในคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการ
กำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ วิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการ คณะกรรมการ วาระการดำรง
ตำแหน่งและการพ้นจากตำแหนง่ ของคณะกรรมการสถานศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พ.ศ. 2546

ภาคีเครือข่าย หมายถึง บุคคล หรือกลุ่มบุคคลครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กร การปกครอง
ส่วนทอ้ งถ่นิ องคก์ รเอกชน สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและองค์กรอืน่ ๆ

การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษา หมายถึง กระบวนการพัฒนาความรู้
ความเข้าใจ เจตคติ และทักษะที่ดีตอ่ การมีส่วนในการบริหารจัดการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการ

7

สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในกระบวนการคิดวิเคราะห์ปัญหา การจัดทำแผน/โครงการ การปฏิบัติตามแผนงาน/
โครงการ และการตรวจสอบ ติดตามประเมินผลตามแผน/โครงการของสถานศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ในด้านวิชาการ
ดา้ นการบริหารงบประมาณ ดา้ นบรหิ ารงานบุคคล และด้านบริหารทั่วไป

สภาพการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน
พื้นฐาน ภาคีเครือข่าย ในโรงเรียนสังกัดเทศบาล จังหวัดกระบ่ี หมายถึง สภาพที่สถานศึกษาได้เปิดโอกาส
ใหค้ ณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ภาคเี ครือข่าย เข้าไปมีสว่ นรว่ มในกระบวนการคดิ วิเคราะห์ การจัดทำ
แผนงาน/โครงการ การปฏิบัติตามแผนงาน/โครงการ และการตรวจสอบ ติดตามแระเมินผลตามแผนงาน/
โครงการ ของสถานศึกษาในด้านการบริหารวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล
และดา้ นการบริหารทั่วไป

ปัญหา หมายถึง เหตุการณ์ หรือสภาวะที่เป็นอยู่ ที่เป็นอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมในการบริหาร
จดั การสถานศึกษา ตามบทบาทหนา้ ทีข่ องคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน

กระบวนการ A-I-C ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคีเครือข่าย ในโรงเรียนสังกัด
เทศบาล จังหวัดกระบ่ี หมายถึง การประชุมเชิงปฏิบัติการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อ
ร่วมกันในการมีส่วนร่วมบริหารจัดการศึกาขั้นพื้นฐานในด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านบริหารงานบุคคล
และด้านการบริหารทั่วไป โดยใช้เทคนิคการประชุมเชิงปฏิบัติการตามกระบวนการ A-I-C ประยุกต์ให้
สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในอำเภอเคียนซา
ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นซาบซึ้งคุณค่า (A) ขั้นปฏิสัมพันธ์ หรืออิทธิพลระหว่างกัน (I) และข้ันควบคุม
ไปสู่การกระทำ (C)

กาประเมินความรู้ หมายถึง การประเมินความรู้ของผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการตามกระบวนการ
พัฒนาการมีส่วนร่วมในกรบริหารัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในอำเภอ
เคียนซา จังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี

การประเมินทักษะ หมายถึง การประเมินความสามารถของผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการตาม
กระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นษฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน
พน้ื ฐานในอำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

การประเมนิ เจตคติ หมายถึง การประเมนิ เจตคติของผเู้ ขา้ ร่วมประชมุ เชิงปฏิบตั ิการตามกระบวนการ
พัฒนาการมีส่วนร่วมในกรจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในอำเภอเคียนซา
จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี

8

บทที่ 2

เอกสาร และงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง

การศึกษาเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารในลักษณะการมีส่วนร่วมของชุมชนที่จะส่งผลต่อ
ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบ่ี ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการทบทวน
เอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้องเพอื่ นำมาใชเ้ ป็นแนวทางในการศึกษา ดงั นี้

1. การจัดการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน
2. การมีสว่ นรว่ ม

2.1 ความหมายของการมสี ว่ นรว่ มและการบริหารแบบมีส่วนรว่ ม
2.2 ความสำคัญของการมสี ่วนร่วมและการบริหารแบบมีสว่ นร่วม
2.3 รปู แบบของการมีสว่ นรว่ ม
2.4 ข้นั ตอนการมสี ว่ นร่วม
2.5 แนวคดิ ทฤษฎี การบรหิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม
2.6 ลักษณะและรปู แบบการบรหิ ารแบบมีสว่ นร่วม
2.7 ประโยชน์ของการบรหิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม
3. การพฒั นา
3.1 ความหมายของการพฒั นา
3.2 ลกั ษณะของการพัฒนา
4. การบรหิ ารงานในสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน
4.1 ความหมายของการบริหารสถานศึกษา
4.2 ความสำคญั ของการบรหิ ารสถานศกึ ษา
4.3 กระบวนการบรหิ ารสถานศึกษา
4.4 ขอบขา่ ยการบริหารงานในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน

- การบริการวชิ าการ
- การบริหารงบประมาณ
- การบรหิ ารบคุ คล
- การบรหิ ารทั่วไป
5. คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
5.1 บทบาทหนา้ ท่ีของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน
6. กระบวนการเทคนคิ A-I-C
7. งานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
7.1 งานวิจัยในประเทศ
7.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ

9

การจัดการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน

ความหมายและความสำคัญของการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน ไดม้ ีหนว่ ยงานทางการศกึ ษา นกั การศกึ ษา และ
นกั บรหิ ารหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายและความสำคญั ของการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานไวด้ งั น้ี

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 49 ได้ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิ
เสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บ
คา่ ใชจ้ า่ ย”

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ของไทย ให้ความหมายว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายถึง การศึกษา
ก่อนระดบั อุดมศึกษา

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายถึง การศึกษาที่มุ่งให้ตอบสนองความต้องการทางการ
เรยี นรูต้ ง้ั แต่ระดับปฐมวยั ถงึ ระดับก่อนอุดมศกึ ษา

การมีส่วนรว่ มและการบริหารแบบมสี ว่ นร่วม

การมสี ่วนร่วม

การมีส่วนร่วม เป็นการที่บุคคลหรือคณะบุคคลได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำกิจกรรมหรืองานทง้ั
ที่มีเป้าหมายหรือไม่มีเป้าหมายในผลประโยชน์ แต่มุ่งหวังให้กิจกรรมนั้นบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งได้มี
ผูใ้ ห้ความหมายของการมีสว่ นร่วมไวด้ ังน้ี

จรรยารักษ์ บุณยานุเคราะห์ (2549 : 15) ได้กล่าวว่า การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่ม
หรือองค์กรมีปฏิสัมพันธ์กัน มีกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาองค์กรหรือหน่วยงาน
ของตน โดยการมีส่วนร่วมนั้นทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการดำเนินงานทุกขั้นตอนของกิจกรรม ร่วมรับ
ผลประโยชนแ์ ละมีสว่ นได้ส่วนเสยี ในโครงการร่วมกนั

ภูวณัฐสร์ หนูมาก (2549 : 18-19) กล่าวว่า การมีส่วนร่วม หมายถึง การให้บุคคลหรือกลุ่มต่างๆเข้า
มามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งหรือหลายกิจกรรม โดยจะได้เป็นไปด้วยความสมัครใจ มิใช่
เข้ามาร่วมเพราะการหวังรางวัลตอบแทน เป็นลักษณะที่แต่ละฝ่ายที่เข้ามาร่วมกัน โดยเป็นไปอย่างอิสรภาพ
และเสมอภาค และการกระทำให้บรรลุเป้าหมายของกลุ่ม และทำให้เกิดความร่วมรับผดิ ชอบกบั กลุ่มดว้ ย

จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่บุคคลหรือคณะบุคคลได้เข้าไปมีส่วน
เกี่ยวข้องในการทำกิจกรรมหรืองานด้วยความสมัครใจ ทั้งที่มีเป้าหมายหรือไม่มีเป้าหมายในผลประโยชน์ แต่
มุ่งหวังให้งานหรือกิจกรรมงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย และทำให้บุคคลนั้นเกิดความรักความผูกพันต่อ
งาน กจิ กรรม หรือองคก์ ร

10

การบริหารแบบมสี ่วนร่วม

การบริหารแบบมสี ว่ นรว่ ม เปน็ รปู แบบการบริหารทีม่ าจากแนวคดิ การบริหารจัดการเชิงพฤตกิ รรมศาสตร์
(Bihavioral Management Approach) เป็นการบริหารทมี่ ุ่งการเพม่ิ ความสำเรจ็ ในองคก์ รโดยบคุ คลใน
องคก์ ร ซึ่งมีผใู้ ห้ความหมายของการบริหารแบบมสี ว่ นรว่ มไวห้ ลายท่าน ดังน้ี

วรวรรณ เถ่ือนนาดี ( 2548 : 17) กลา่ ววา่ การบรหิ ารแบบมสี ่วนร่วม หมายถงึ กระบวนการทำงาน
ทบ่ี คุ คลในองคก์ รมสี ่วนเกีย่ วข้องการดำเนินการขององค์กรทกุ ขั้นตอน ความต้ังใจ เตม็ ใจ และสบายใจ เพ่ือให้
งานบรรลุจดุ หมายตามทต่ี อ้ งการและทำให้บุคลากรเหลา่ นนั้ เกิดความร้สู ึกร่วมรบั ผดิ ชอบกับกลุม่

วิโรจน์ สารรัตนะ (2548 :59) ได้ให้ความหมายของการบริหารแบบมีส่วนร่วมไว้ว่า การมีส่วนร่วมทำ
ให้เกิดความเกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่ความมีพันธะผูกพันที่จะนำไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผล โดยผู้ที่จะเข้ามามี
ส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นอาจประกอบด้วย ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน หรือผู้ที่มีส่วนได้
ส่วนเสียอื่นๆ

ความสำคัญของการมีสว่ นร่วมและการบริหารแบบมีสว่ นร่วม

ความสำคญั ของการมสี ่วนร่วม

การมสี ว่ นรว่ มในการทำกจิ กรรมอยา่ งใดอย่างหนึ่งถือวา่ มีความสำคัญเปน็ อย่างยิ่ง เพราะจะทำให้งาน
หรือกิจกรรมนั้น ๆ บรรลุไปได้ด้วยดี ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่านได้อธิบายถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วม
ดงั นี้

กิ่งกาญจน์ ชมอินทร์ (2549: 15) ได้สรุปความสำคัญของการมีส่วนร่วมว่า หมายถึง สิทธิขั้นพื้นฐาน
อันชอบธรรมของทุกคน ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงออกเกี่ยวกับการปรับปรุงชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ส่งผล
ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม

พิชนาถ เพชรนาชม (2554: 18) ไดก้ ลา่ วเก่ียวกับความสำคัญของการมสี ่วนร่วมวา่ เป็นการเปดิ โอกาส
ให้ผู้ที่ปฏิบัติงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนในการทำงาน อันจะทำให้เกิดความรูสึกรักและผูกพันกับงานหรือ
องค์กร ความรู้สึกผูกพันเกี่ยวข้องที่ว่านี้หากมีการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกัน ก็จะเป็นผลให้เกิดข้อ
ผูกมัดหรือสิ่งที่ตกลงใจรว่ มกนั ซึ่งจะทำให้เกดิ ความจงรักภักดตี ่อองค์กร มีความรับผดิ ชอบต่อบทบาทหนา้ ท่ที ี่
ได้รับมอบหมาย จึงจะเห็นได้ว่าการมีส่วนรว่ มนั้น นอกจากจะมีความสำคัญในด้านประสิทธิภาพในการทำงาน
รว่ มกนั แล้ว ยงั สามารถสนองให้เกดิ ความรัก ความผูกพนั ตอ่ องคก์ รได้เปน็ อยา่ งดีอกี ดว้ ย

ดังนั้นสรุปได้ว่า ความสำคัญของการมีส่วนร่วม จะเป็นการช่วยให้ประชาชนหรอื บุคคลที่เกีย่ วข้องกับ
การมีส่วนร่วมได้เข้าใจถึงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ภายในองค์กรที่เกิดขึ้น ลดปัญหาความขัดแย้งที่อาจจะ
เกิดขึ้น สมาชิกเกิดการยอมรับในสิ่งที่กระทำร่วมกัน และช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้การดำเนินงาน
เป็นไปอยา่ งราบร่นื ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมาชกิ ภายในกลมุ่ หรอื ภายในองค์กรกจ็ ะดีตามไปด้วย

การบริหารแบบมสี ่วนร่วม

11

จากการศึกษาของนักวิชาการ การบริหารแบบมีส่วนร่วมเป็นการบริหารที่มีแนวความคิดการบริหาร
มาจาก แนวคิดการบริหารจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management Approach) โดยใช้
หลักการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ซึ่งทำให้ทราบถึงความต้องการของมนุษย์
ในการปฏิบัติงาน ลักษณะการทำงานของบุคคลในองค์กรมีผลต่อผลผลิต ความสำเร็จขององค์กรโดยส่วนรวม
ทั้งนี้การบริหารแบบมีส่วนร่วมนี้เริ่มมีแนวคิดตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นยุคทฤษฎีองค์การร่วมสมัยที่เห็นได้ว่า
รัฐควรเข้ามามีบทบาททางธุรกิจมากขึ้น โดยการนำเอาแนวคิดเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์มาใช้ ในการบริหาร
องค์การ โดยการพิจารณาองค์การอยา่ งเป็นระบบ ให้ความสำคญั แก่ตวั บคุ คลและการมีสว่ นรว่ มในองค์การ

จากแนวคิดพื้นฐานของนักทฤษฎีองค์การ ทำให้เกิดแนวคิดด้านการศึกษาการบริหารจัดการเชิง
พฤติกรรมศาสตร์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มความสำเร็จในองค์การโดยบุคคลภายในองค์การ ซึ่งสมัยนี้มีนักทฤษฎีที่
น่าสนใจและให้แนวความคิดการบริหารแบบมีสว่ นร่วมไว้ดังน้ี

เรนลิส สิสเคิร์ท (Rensis Likert) เป็นนักทฤษฎีองค์การที่ได้ตั้งทฤษฎีหมุดเชื่อมโยง ( Linking Pin
Theory : 2002) โดยในการศึกษาดังกล่าวเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างขององค์การที่มีประสิทธิภาพและ
องค์การที่ไม่มีประสิทธิภาพ เขากล่าวว่า “หลักในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในองค์การจำเป็นต้องให้
ความสำคัญกับกลุ่มในแนวนอนโ ดยให้มีการประสานงานระหว่างกลุ่ม และกำหนดเป้าหมายการปฏิบัติงานท่ี
สูงขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริหารและผู้ร่วมงานในองค์การมีส่วนร่วมในการทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์”
(จันทรานี สงวนนาม, 2549 : 61-69) จากความคิดทฤษฎีหมุดเชื่อมโยงจึงเป็นแนวทางให้เกิดการบริหารแบบ
มีสว่ นรว่ ม

สวุ ชั พานิชวงษ์ (2549 : 20) ไดก้ ล่าววา่ การมีส่วนร่วม หมายถงึ กิจกรรมกระบวนการที่เกิดจากความ
ร่วมมือระหว่างบุคคล กลุ่ม และสังคมที่จะประกอบกิจกรรมหรือปฏิบัติงานร่วมกันด้วยความสมัครใจ โดยมี
เป้าหมายและผลประโยชน์ร่วมกัน ทุกคนมีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ และเสียสละลงมือปฏิบัติและ
ประเมินผลงานร่วมกัน เป็นการสนองความต้องการของมนุษย์ก่อให้เกิดการรับผิดชอบและการร่วมมือกันทุก
ฝา่ ย

น้ำทิพย์ เสือสารัตน์ (2549 : 27) ได้สรุปทฤษฎีที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนกับการศึกษา
ทั้ง 4 ทฤษฎี ดังนี้

1. การเกลีย้ กลอ่ มเปน็ ปจั จยั หนึง่ ท่จี ะนำไปสกู่ ารมสี ว่ นรว่ มของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทต่ี รงกบั

2. ความตอ้ งการพืน้ ฐานท่เี กดิ ความพงึ พอใจของมนษุ ย์
3. ขวัญกำลังใจย่อมนำไปสู่การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ
4. ความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองในการที่จะอุทิศผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อให้เกิดความพอใจใน
เกยี รติ และมีความผกู พันต่อทอ้ งถิ่นและชมุ ชนของตน
5. ผู้นำเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการระดมความร่วมมือในการปฏิบัติงานอย่างมี
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบ รวมทั้งการใช้ระบบบริหารเพื่อเป็นการให้ปฏิบัติตาม
นโยบายให้บรรลเุ ปา้ หมาย
ชชู าติ พว่ งสมจติ ร์ (2549 : 11) ไดใ้ หแ้ นวคิดของการมสี ว่ นร่วม โดยอา้ งถงึ ข้อตกลงของสภาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งประชาชาติ (United Nations Economic and Social Concil States) ที่ได้อภิปรายถึงเรื่อง
การมีส่วนร่วมและได้ข้อสรุปไว้ว่า การมีส่วนร่วมนั้นต้องมีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องตามแบบประชาธิปไตยจาก
ประชาชนอยา่ งสมัครใจ 3 ประการ คือ

12

1. เปน็ เรอื่ งทส่ี นบั สนนุ ส่งเสรมิ ตอ่ การพฒั นา
2. มีการแบ่งปนั ผลประโยชนท์ ่ีเป็นผลจากการพฒั นานนั้ อยา่ งเสมอภาคกนั
3. มีความเชือ่ ถือในการตดั สนิ ใจเพ่ือกำหนดเป้าหมาย กำหนดนโยบาย และแผน รวมทั้งการ
นำโครงการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมไปสกู่ ารปฏิบตั ิ
การดำเนนิ การใหม้ สี ว่ นร่วมของประชาชนนั้นขน้ึ อยกู่ ับการเปิดโอกาสให้ประชาชนเขา้ มามีสว่ นร่วมใน
กิจกรรม โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการมีส่วนร่วม เพราะปัจจัยต่างๆจะส่งผลโดยตรงต่อบทบาทใน
การมีสว่ นร่วม ซึ่งแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประการดงั น้ี
1. ปัจจัยที่สนบั สนนุ การมสี ว่ นร่วม
ปัจจัยที่สนับสนุนการมีส่วนร่วม เป็นปัจจัยที่เปิดโอกาสให้คณะกรรมการสถานศึกษาได้เข้ามามีส่วน
รว่ มในการบริหารสถานศกึ ษา ซึง่ ผูท้ มี่ สี ่วนเก่ียวข้องจำเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งทำความเข้าใจเพือ่ ทจี่ ะไดน้ ำปจั จัยดงั กล่าว
มาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ปจั จัยทสี่ นับสนุนการมีส่วนรว่ มทีน่ ักวิชาการได้ทำการศึกษาและนำเสนอเป็นแนวทางไว้
เช่น
ชูชาติ พ่วงสมจิตร์ (2549 : 268-271) ทำการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อ
การมีส่วนร่วมของชุมชนกับสถานศึกษาระดับประถมศึกษาในเขตปริมณฑล กรุงเทพมหานคร ให้ความเห็น
เกี่ยวกับปจั จยั ท่สี นบั สนุนการมสี ่วนรว่ มสามารถสรุปได้ดงั นี้
1.1 ปัจจัยเกี่ยวขอ้ งกับสภาพแวดลอ้ ม ประกอบดว้ ย
1.1.1 โครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรม จะช่วยให้ชุมชนมีความพร้อมในการ
สนับสนุนทรัพยากรให้สถานศึกษา และสภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีจะส่งเสริมให้สถานศึกษาได้รับการ
สนบั สนนุ จากชมุ ชนมาก
1.1.2 ลักษณะพื้นฐานด้านความเชื่อ ค่านิยม และลักษณะนิสัยของคนไทย ช่วยส่งเสริมการ
เข้ามามีส่วนร่วมกับสถานศึกษา คือ คนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบทำบุญ ไม่ค่อยจะ
ปฏิเสธคำรอ้ งขอของผอู้ ื่น โดยเฉพาะสถานศกึ ษาทเ่ี ปน็ สถาบันสอนบตุ รหลานใหม้ ีความรู้
1.1.3 การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง การปกครองส่วนท้องถิ่น กระตุ้นให้นักการเมือง
ท้องถนิ่ เข้ามามีสว่ นร่วมกบั สถานศึกษา
1.2 ปัจจยั เกย่ี วกับชุมชน ประกอบด้วย
1.2.1 ความศรทั ธาของชมุ ชนทมี่ ตี ่อการศกึ ษาและสถานศึกษา
1.2.2 ชุมชนมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของสถานศึกษาและจะต้องมีบทบาทหน้าที่ต่อ
สถานศกึ ษา
1.2.3 ความคาดหวังของชุมชนต่อสถานศึกษา ได้แก่ ความคาดหวังว่าจะสอนบุตรหลานของ
เขาใหเ้ ป็นคนเก่ง คนดี ปลอดภัยจากยาเสพตดิ และคาดหวงั ให้สถานศึกษามีคณุ ภาพ
1.2.4 ชุมชนมีความพร้อม มีระบบเครือข่ายที่เข้มแข็ง ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง การเห็น
ความสำคญั ของตนเองและเหน็ ความเจริญของสว่ นรวม
1.3. ปัจจัยเก่ียวกบั สถานศกึ ษา ประกอบดว้ ย
1.3.1 ปัจจัยเกี่ยวกับผู้บริหารและครู ได้แก่ ผู้บริหารและครูสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น มี
ความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน ให้เกียรติให้กำลังใจแก่ผู้เข้ามามีส่วนร่วมกับสถานศึกษา มีความรู้
ความสามารถ ประพฤติดี มีความรักและผูกพัน รู้สึกว่าเป็นเจ้าของสถานศึกษา ให้ความสนใจในการ
สอนนกั เรยี น มีครูเก่าและศิษย์เก่าอยใู่ นสถานศกึ ษาและมีความสามคั คี

13

1.3.2 ปัจจัยเกีย่ วกับผลงานและวิธปี ฏิบัติของสถานศึกษา เช่น สร้างระบบที่เอื้อให้ชุมชนเขา้
มามีส่วนร่วม ให้ความช่วยเหลือชุมชน สถานศึกษามีผลงาน มีชื่อเสียงด้านวิชาการ มีความน่าเชื่อถือ
เรื่องการเงิน มีพัฒนาการด้านต่างๆท่ีดีอยา่ งสมำ่ เสมอ เป็นตน้
จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในสถานศึกษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย
ประการด้วยกนั ทส่ี ำคญั คือผบู้ ริหารและกรรมการสถานศกึ ษาจะต้องใหค้ วามสำคัญของการมีสว่ นร่วม จะต้อง
มีมนุษยสัมพันธ์ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน นอกจากน้ีจะต้องสร้างช่ือเสียงให้เกดิ ขึ้นกบั สถานศึกษาเพอ่ื
สร้างความศรัทธาให้ชุมชน ประชาชนจะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารและจัดการศึกษาให้สถานศึกษามี
คุณภาพ
2. ปัจจัยท่เี ป็นอุปสรรคในการมสี ว่ นร่วม
ปจั จัยทีเ่ ปน็ อุปสรรคตอ่ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนเปน็ สภาพปัญหาในการมสี ่วนร่วมของประชาชน
ในสว่ นทีเ่ กี่ยวข้องกบั การศึกษา ชชู าติ พว่ งสมจติ ร์ (2549 : 271-273) ไดศ้ กึ ษาและเสนอปัจจัยท่ีเปน็
อปุ สรรคตอ่ การมีสว่ นรว่ มของชมุ ชนกับสถานศกึ ษาไว้ 3 ปจั จยั คือ
1. ปจั จัยเกี่ยวกับสภาพแวดลอ้ ม ประกอบดว้ ย
1.1 ปัจจัยเกี่ยวกับเวลาว่างในการจะเข้ามามีส่วนร่วมกับสถานศึกษา ภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่น
เศรษฐกิจตกตำ่ การตกงาน เปน็ ต้น ทำให้ชมุ ชนสนบั สนุนสถานศึกษาไดน้ ้อยและขอความรว่ มมอื ไดย้ ากข้ึน
1.2 ปัญหาความแตกแยกในชุมชน อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในท้องถิ่น ทำให้
สถานศกึ ษาตอ้ งเลือกรบั การสนับสนุนและระบบการบรรจุแตง่ ตงั้ โยกย้ายของขา้ ราชการ ไม่ส่งเสริมการมีส่วน
ร่วมของชมุ ชน
2. ปจั จัยเกีย่ วกับชุมชน ประกอบด้วย
2.1 ความศรทั ธาในสถานศึกษาน้อยลง ขาดความผกู พันกบั ชุมชน
2.2 คนในชุมชนมีภาระมากขน้ึ ไมม่ เี วลาว่าง และความขัดสนของคนในชมุ ชน
3. ปัจจัยเกีย่ วกับสถานศกึ ษา ประกอบด้วย
3.1 ปจั จัยเกี่ยวกบั บคุ ลากรในสถานศกึ ษา ได้แก่ การขาดความสมั พนั ธ์กบั ชุมชน ไม่ให้ความสำคญั กับ
ผู้เข้ามามีส่วนร่วม ทำงานโดยไม่ปรึกษาหารือกับบุคคลที่ให้การช่วยเหลือ ไม่เร่งแก้ปัญหา ประพฤติตนไม่
เหมาะสม แมก่ ดี กันการเข้ามามสี ่วนร่วมของคนในชุมชน
3.2 การปฏิบัติงานและผลงานของสถานศึกษา ได้แก่ การแต่งตั้งผู้ทำงานร่วมกับชุมชนไม่เหมาะสม
ไม่ตอบแทนชุมชน ไม่กำหนดบทบาทที่เหมาะสมแก่ผู้เข้ามามีส่วนร่วม สถานศึกษาทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ความเอาใจใส่นกั เรยี นนอ้ ยลง ไมม่ ีผลงานทป่ี ระสบความสำเร็จและข่าวในทางลบของสถานศึกษา
จากปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการมีส่วนร่วมที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าสภาพที่เป็นปัญหาในการมีส่วน
ร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาน่าจะเนื่องมาจากส่วนตัวของกรรมการเองเป็นปัจจัยสำคัญด้วย เช่น
ปัญหาทางเศรษฐกิจ การปฏิบัติตามวัฒนธรรม ระบบบางประการของสังคมไทย เช่น ระบบอุปถัมภ์ ระบบ
ผู้ใหญ่ ผู้น้อย นอกจากนั้นผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรในสถานศึกษาไม่เห็นความสำคัญของกรรมการ
รวมทั้งการไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของทั้งฝ่ายบริหารและกรรมการ ซึ่งปัญหาต่างๆสามารถแก้ไขได้ ในการ
บริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วมจึงควรนำปัจจัยท่ีเป็นอุปสรรคมาแก้ไข เพื่อการดำเนินงานในการมีส่วนร่วม
ในการบริหาร ซง่ึ จะเป็นไปเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จรงิ
ปัจจัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมที่กล่าวมาสามารถสรุปว่า การบริหารสถานศึกษาโดยการมีส่วนร่วมจะ
ประสบความสำเร็จต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ สถานศึกษาต้องนำปัจจัยที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมมาใช้ให้

14

เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดการศึกษา และต้องศึกษาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคเพื่อแก้ปัญหาส่ิงที่เป็นอุปสรรคต่อ
การมีส่วนร่วมให้น้อยลงหรือหมดไป ซึ่งต้องใช้ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกสถานศึกษา ผู้บริหาร
การศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษาต้องประสานความร่วมมือ เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความเชื่อ และสร้าง
ความเข้าใจต่อการมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษา เพื่อความร่วมมือในการพัฒนาสถานศึกษาให้เกิด
คุณภาพ สง่ ผลดีต่อการจดั การศกึ ษา
สรุปได้ว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การที่ผู้บริหารเปิดโอกาสให้สมาชิกในองค์การได้เข้ามา
เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานด้วยความสมัครใจ ด้วยความเป็นมิตรหรือด้วยมีเป้าหมายและผลประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งผู้บริหารและสมาชิกหรือกลุ่มสมาชิกที่จะปฏิบัติงานร่วมกัน คิด ตัดสินใจสร้างสรรค์งาน โดยมีการ
ประสานงานจากผู้บริหารทุกเรื่อง ไม่ใช่การชี้นำให้ปฏิบัติตามหรือประสานงานร่วมกันเฉพาะบางงาน แต่เป็น
การร่วมกันอย่างมีอิสระในความคิดและการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน รวมถึงผลประโยชน์ตามเป้าหมายที่วาง
ไว้และรว่ มเผชญิ ต่อผลการประเมนิ งานจนเกิดการยอมรับ
รูปแบบของการมสี ่วนร่วม

ได้มผี ้กู ลา่ วถงึ ลักษณะและรปู แบบการมสี ่วนรว่ มไว้ตา่ ง ๆ ดงั นี้
พิชนาถ เพชรนาชม (2554: 24) ไดส้ รุปรปู แบบของการมสี ว่ นรว่ มออกเป็น 4 รปู แบบ ดังน้ี
1. การมสี ่วนรว่ มในการปรกึ ษาหารอื
2. การมสี ่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหา
3. การมสี ว่ นร่วมในการรบั ฟังความคดิ เห็นของผเู้ ขา้ ร่วมงาน
4. การมสี ่วนร่วมในการสง่ เสรมิ การปฏบิ ตั ิงาน
ถวลิ เกษสุพรรณ์ (2552: 20) ได้สรุปรปู แบบของการมสี ่วนร่วมสามารถจำแนกได้ ดังน้ี
1. การมีส่วนร่วมทางตรง คือ การเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยตนเอง ซึ่งจะต้องมีการเสนอความคิดเห็น
รว่ มกันตัดสินใจ ปฏบิ ัติด้วยตัวเองอย่างใดอยา่ งหนงึ่
2. การมีส่วนร่วมทางอ้อม คือ การเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตัวแทน เช่น กรรมการของกลุ่มหรือตัวแทน
กลุม่ เขา้ ไปแสดงความคิดเหน็ ปฏิบตั ิ ตัดสนิ ใจ แทนบุคคลท่ตี ้องเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มอย่างแทจ้ ริง
ดงั น้นั สรปุ ไดว้ ่า รูปแบบการมีสว่ นร่วม คือ การเข้ามาของบคุ คลหรอื ชุมชนในกระบวนการทำงานหรือ
โครงการตา่ ง ๆ โดยการเข้ามาอาจจะมีรปู แบบหรือบรบิ ททหี่ ลากหลายแตกต่างกนั ออกไป โดยสามารถจำแนก
รูปแบบการมีส่วนร่วมออกเปน็ 2 ลักษณะ คอื
1. การมสี ว่ นรว่ มโดยตรง
2. การมีสว่ นร่วมโดยทางออ้ ม

ข้ันตอนการมสี ว่ นรว่ ม

นกั วิชาการหลายท่านไดก้ ำหนดขั้นตอนของการมีสว่ นร่วม ซ่ึงข้นั ตอนท่คี ล้ายคลึงกัน ดงั น้ี
ศิริอร กาคำ (2556: 21-22) ได้สรุปขั้นตอนของการมส่วนร่วม ซึ่งมีขั้นตอนหลัก ๆ ทั้งหมด 5
ขัน้ ตอน ดังน้ี
1. การมีส่วนรว่ มในการรบั รู้ปญั หา
2. การมสี ่วนร่วมในการวางแผนการดำเนนิ งาน
3. การมีส่วนรว่ มในการวางแผนการปฏบิ ตั งิ าน

15

4. การมสี ่วนรว่ มในการปฏิบัตงิ านตามแผน
5. การมีส่วนรว่ มในการติดตามและประเมนิ การปฏิบัตงิ าน
ลนิ ดา ชุมภูศรี (2557: 13-14) ได้สรุปเกี่ยวกับการมีสว่ นร่วม ซึง่ ประกอบไปด้วย
1. การมสี ว่ นรว่ มในการตัดสนิ ใจ ซึง่ อาจจะเปน็ การตัดสินใจตงั้ แตเ่ รม่ิ ตน้ จนถึงข้นั ตอนสดุ ทา้ ย
2. การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน โดยอาจจะเข้าร่วมในการสนับสนุนหรือเข้าร่วมในการ บริหาร
เปน็ ต้น
3. การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ โดยอาจจะเป็นวัตถุหรืออาจจะเป็นผลประโยชน์ที่มีคุณค่า
ทางจติ ใจก็ได้
4. การมีสว่ นร่วมในการประเมินผล โดยอาจจะเขา้ ไปตดิ ตาม และนำผลท่ไี ดไ้ ปปรับปรงุ แก้ไขใหด้ ขี ้ึน
สรุป ขั้นตอนการมีส่วนร่วมมีได้หลายขั้นตอน หากการมีส่วนร่วมเป็นไปตามขั้นตอนทุกขั้นตอนนั้น
บุคคลหรือคณะบุคคลที่มีส่วนร่วมสามารถเข้าใจวิธีการในการทำงานอย่างแท้จริง โดยขั้นตอนการมีส่วนร่วม
หลักๆมอี ย่ดู ้วยกนั 3 ข้นั ตอน คือ
1. การมีสว่ นร่วมในการวางแผน
2. การมีส่วนร่วมในการปฏบิ ตั ิ
3. การมสี ่วนรว่ มในการประเมินผล

ลักษณะและรปู แบบการบรหิ ารแบบมสี ่วนร่วม

จากแนวความคิดการบริหารแบบมีส่วนร่วมเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกในองค์กรได้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในการปฏิบัติงานด้วยความสมัครใจ ความเป็นมิตรจนองค์กรบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายนั้น ได้มีนักวิชาการ
กล่าวถงึ ลักษณะและรปู แบบการบรหิ ารแบบมีส่วนรว่ มไวด้ งั น้ี

ปัญหา สิทธิพล (2549 : 18) ได้ใหค้ ำจำกดั ความของการมสี ว่ นร่วม ประกอบด้วย
มิติท่ี 1 คอื การมสี ่วนรว่ มในการตดั สินใจอย่างใดอยา่ งหน่งึ
มติ ิท่ี 2 คือการมสี ่วนรว่ มเสยี สละในการพฒั นาการลงมือปฏบิ ตั ติ ามท่ีได้ตัดสินใจ
มิตทิ ่ี 3 การมีส่วนร่วมในการแบง่ ปันผลประโยชนท์ ีเ่ กดิ จากการดำเนินงาน
มิติท่ี 4 การมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผล
จันทรานี สงวนนาม (2549 : 72-73) ได้กล่าวถงึ เทคนิคการบรหิ ารแบบมีสว่ นร่วมดังนี้
1. ใช้กับกลมุ่ งานเฉพาะกิจและในรปู แบบคณะกรรมการ
2.ใช้ในรูปแบบของกรรมการให้คำปรึกษา
3. การนำแนวความคดิ ของหมดุ เชอ่ื มโยง (Linking Pin) มาใช้
4. ใชก้ ารตดิ ตอ่ สอื่ สารแบบเปดิ ประตู (Open Door)
5. ใชก้ ารระดมความคิด
6. ใช้การฝกึ อบรมแบบต่างๆ
7. ใชก้ ารบริหารโดยมีวตั ถุประสงค์ (MBO)
สรุปได้ว่า ลักษณะและรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม เป็นลักษณะการมีส่วนร่วมที่ผู้บริหารเปิด
โอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ส่วนร่วมในการปฏิบัติ ส่วนร่วมในผลประโยชน์ ส่วนร่วมใน
การประเมินผล โดยรูปแบบการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม ควรเป็นการมีส่วนร่วมแบบกลุ่มงานหรือในรูปของ

16

คณะกรรมการ เพื่อให้การปฏิบัติงานและแผนงานโครงการ ได้รับการกลั่นกรองอย่างรอบคอบเหมาะสมจน
เป็นทย่ี อมรับและเหน็ ชอบทุกฝ่าย

ประโยชน์ของการบรหิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม

การบริหารแบบมสี ว่ นร่วมเป็นการบริหารที่เปดิ โอกาสใหบ้ คุ คลได้เขา้ มามสี ่วนเกยี่ วข้อง มีสว่ นร่วมในการ
บรหิ ารงานท้งั การตดั สินใจ การปฏบิ ัติตาม การรบั ผลประโยชน์ และการประเมินผล ยอ่ มสง่ ผลถงึ ความสำเรจ็
ขององค์การและความสามัคคี ความผูกพันของบุคคลทม่ี ีตอ่ องคก์ ารซึ่งไดม้ ีผู้กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องการบรหิ าร
แบบมีสว่ นรว่ มไว้ดังนี้

ทองใบ สดุ ชารี (2548 : 170-171) ได้กลา่ วว่าการบริหารแบบมสี ว่ นร่วมมีประโยชนห์ ลายประการคอื
1. เป็นประโยชนใ์ นแงข่ องการพฒั นาบุคลากร ท้ังน้เี พราะว่าการเข้าไปมสี ่วนร่วมในการตัดสินใจจะทำ
ให้บุคลากรเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในการทำงาน และนำไปสู่การปรับปรุงทักษะในการทำงานนอกเหนือจากที่
กำหนดไวใ้ นพระหนา้ ท่ีเฉพาะคน
2. ส่งเสริมให้เกิดการตัดสินใจที่ดีขึ้น เพราะการปฏิบัติภารกิจที่มีความสลับซับซ้อนมากๆและยากท่ี
จะได้ข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ หากสามารถเชิญชวนให้บุคลากรเข้าไปมีส่วน
รว่ มในการตัดสินใจได้มากเท่าไหร่ ย่ิงจะเป็นประโยชน์และทำให้การตดั สินใจมีคุณภาพยิ่งขน้ึ
3. เป็นการเพิ่มศักยภาพในการจูงใจและการสร้างความผูกพันในการตัดสินใจ เพราะการตัดสนิ ใจใดๆ
ในองค์การถ้าหากบุคลากรได้มีส่วนร่วมตั้งแต่แรก จะเป็นการจูงใจให้พวกเขาผูกติดและมีความผูกพันที่จะเข้า
ไปมีส่วนรว่ มในการดำเนินการใหส้ ำเรจ็ ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
4. เป็นประโยชน์ต่อผู้นำที่จะได้ร่วมกันกับผู้ใต้บังคับบัญชาในด้านการแบ่งปันอำนาจและสร้างพลัง
อำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะเป็นที่ยอมรับในเบื้องต้นแล้วว่าการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมเป็นขั้นตอน
สำคัญประการแรกท่ีจะทำใหเ้ กิดพลังอำนาจแก่ผใู้ ตบ้ ังคบั บัญชา
มานะ ทองรกั ษ์ (2549 : 51-52) ไดก้ ลา่ วถึงการบรหิ ารแบบมีส่วนร่วม มปี ระโยชน์ดังนี้
1. ชว่ ยสรา้ งความสามัคคีและรวมพลงั ของบคุ คลในองค์กร
2. ชว่ ยใหท้ ราบถึงความตอ้ งการขององค์กรท้ังหมด
3. ชว่ ยเพิม่ พนู ประสทิ ธภิ าพการทำงานใหส้ งู ขน้ึ ลดความเฉอ่ื ยชาในการปฏิบตั ิงาน
4. ช่วยลดความขดั แยง้ และการต่อตา้ นจากพนกั งานระดับต่ำ
5. ช่วยสรา้ งบรรยากาศในการทำงานและทำใหส้ ขุ ภาพจิตของคนในองคก์ รดีขนึ้
6. ชว่ ยเพม่ิ ผลผลติ ในองค์กร
7. สร้างสรรคห์ ลกั การประชาธปิ ไตยใหเ้ กดิ ข้ึนในองคก์ ร
8. ชว่ ยลดคา่ ใช้จา่ ยในการบรหิ ารงาน ใช้ทรัพยากรอยา่ งประหยัดและทะนุถนอม
โดยสรุป ประโยชน์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วม จะช่วยให้สมาชิกได้มีส่วนแสดงความคิด ร่วม
ตัดสินใจในงาน ทำให้บุคลากรเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในการทำงานและนำไปสู่การปรับปรุงทักษะในการ
ทำงานนอกเหนือจากทีก่ ำหนดไวใ้ นภาระหน้าที่เฉพาะคน ทำใหผ้ ้บู ังคบั บัญชาไดร้ ่วมกนั กบั ผู้ใตบ้ ังคับบัญชาใน
การแบ่งปันอำนาจและสร้างพลังอำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชามีโอกาสได้ใช้ความสามารถและทักษะในการ

17

ทำงานร่วมกัน เกิดความมีน้ำใจ และความจงรักภักดีต่อองค์กรมากขึ้น ช่วยสร้างความสามัคคีและรวมพลัง
ของบุคคลในองค์การ ช่วยให้ทราบถึงความต้องการขององค์การทั้งหมด ช่วยลดความขัดแย้งและการต่อต้าน
จากพนักงานระดบั ต่ำ ชว่ ยสร้างบรรยากาศในการทำงานและทำใหส้ ุขภาพจติ ของคนในองค์กรดีขึ้น

การพัฒนา

ความหมายของการพฒั นา
คำว่า พัฒนา หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Development นำมาใช้เป็นคำเฉพาะและใช้ประกอบคำ

อื่นก็ได้ เช่น การพัฒนาประเทศ การพัฒนาชนบท การพัฒนาเมือง และการพัฒนาข้าราชการ เป็นต้น การ
พฒั นาจึงถูกนำไปใชก้ ันโดยทวั่ ไปและมีความหมายแตกต่างกันออกไป มีนกั วชิ าการหลายท่านได้ให้ความหมาย
ของคำวา่ พฒั นาไวด้ ังนี้

วรรณเพ็ญ เกิดสุวรรณ (2549 : 85) ได้ให้ความหมายของคำว่าการพัฒนา หมายถึงการทำให้เกิดผล
ผลิตจากทรัพยากรนั้นให้ผลผลิตดีกว่าปกติ bโดยการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพช่วยให้กลไกสิ่งแวดล้อม
ทำงานได้ดขี ึ้น

สุเทพ บุญเติม (2549 : 49) ได้ให้ความหมายของการพัฒนาว่า หมายถึงการนำเอาสมรรถนะหรือ
ความสามารถที่มีอยู่ในระบบการบริหารมาลงมือปฏิบัติตามนโยบาย แผน แผนงาน โครงการหรือกิจกรรม
พัฒนาจรงิ ๆ เพอื่ ใหบ้ ังเกิดความเปลีย่ นแปลงตามที่ไดว้ างแผนไวล้ ่วงหน้าและความเปล่ยี นแปลงทไ่ี ดว้ างแผนไว้
ล่วงหน้านั้นจะมุ่งสู่ความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศ อันจะนำไปสู่การลด
ความทกุ ขย์ ากของคนที่อยใู่ นองค์การและนอกองค์การ

พิสุทธา อารีราษฎร์ (2548 : 63) ได้ให้ความหมายของการพัฒนา หมายถึง การทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งที่ดีกว่าเดิมอย่างเป็นระบบ หรือการทำให้ดีขึ้นกว่าสภาพเดิ มที่
เป็นอยู่อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบทางด้านคุณภาพระหว่างสภาพการณ์ของสิ่งหนึ่งในช่วงเวลาที่
ตา่ งกัน กลา่ วคอื ถ้าในปจั จุบนั สภาพการณ์ของส่ิงนนั้ ดกี ว่าสมบูรณก์ ว่าก็แสดงวา่ เป็นการพัฒนา

จากทั้งหมดที่กล่าวมาสรุปได้ว่า “การพัฒนา” คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามแผนด้วยการใช้
ทรพั ยากรอยา่ งคุม้ คา่ หรอื กระบวนการเปล่ยี นแปลงทมี่ ีการกำหนดทศิ ทาง นัน่ คือการพัฒนาเปน็ ความพยายาม
ของมนุษย์ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น มีการกำหนดทิศทางหรือกำหนดรายละเอียดเอาไว้ล่วงหน้าว่า
ใคร ทำอะไร อย่างไร เมื่อใด เป็นต้น โดยเป้าหมายสุดยอดของการพัฒนาอยู่ที่คนและคุณภาพชีวิตของคน
การพัฒนาคนจึงรวมถึงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การเมืองสังคมวัฒนธรรมและเทคโนโลยี นอกจากนี้
ความหมายของการพฒั นายงั เป็นเรื่องทเ่ี ก่ยี วข้องกับการตัดสินคณุ คา่ ของคนในแตล่ ะสงั คมอีกดว้ ย

ลักษณะของการพฒั นา

จากความหมายของการพัฒนาดังกล่าวข้างต้นจึงทำให้ลักษณะของการพัฒนามีหลายประการ ซ่ึง
ลักษณะสำคัญของการพัฒนานัน้ สนธยา พลศรี (2547 : 5-6) อธบิ ายไว้ ดงั นี้

1. เป็นการเปลย่ี นแปลงดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นคณุ ภาพ ปริมาณและสิง่ แวดล้อมของสิง่ ใดสง่ิ หนึ่งให้ดีข้นึ
หรือใหม้ คี วามเหมาะสม อันเป็นการเปลยี่ นแปลงอยา่ งรอบด้าน ไมใ่ ชเ่ ปล่ียนแปลงในดา้ นในด้านหนึง่ เพยี งด้าน

18

เดียวเท่านั้น หรืออาจจะเรียกได้ว่าต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ ซึ่งเป็นลักษณะตามความหมาย
ทางด้านพฒั นบรหิ ารศาสตร์

2. มีลักษณะเป็นกระบวนการ คือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนตามลำดับขั้นตอนและอย่าง
ต่อเน่ืองกนั โดยแตล่ ะข้ันตอนมีความเกีย่ วข้องสมั พนั ธก์ นั เปน็ ลำดบั ไมส่ ามารถข้ามข้นั ตอนใดข้นั ตอนหนงึ่ ได้

3. มีลักษณะเป็นพลวัต คือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง แต่การเปลี่ยนแปลงท่ี
เกดิ ข้ึนจะเปน็ แบบรวดเร็วหรือชา้ ๆ ปริมาณมากหรือน้อยกไ็ ด้

4. เป็นแผนโครงการ คือเกิดขึ้นจากการเตรียมการไว้ล่วงหน้าว่าจะเปลี่ยนแปลงใคร ด้านใดด้วย
วิธีการใด เมื่อไร ใช้งบประมาณเท่าใด ใครรับผิดชอบ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการ
เตรยี มการไว้ล่วงหน้า

5. เป็นวิธีการ การพัฒนาเป็นมรรควิธีหรือกลวิธีที่น ามาใช้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามเป้าหมายท่ี
กำหนด เช่น การพัฒนาสังคม การพัฒนาชนบท การพัฒนาเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจการพัฒนาชุมชน ต่างก็
เป็นวิธกี ารพัฒนาแบบหน่งึ ทีม่ ลี ักษณะเฉพาะเปน็ ของตนเอง

6. เปน็ ปฏบิ ตั กิ าร คือเปน็ สง่ิ ที่เกดิ ขนึ้ จรงิ ไมเ่ ปน็ เพียงแนวความคดิ หรอื เปน็ เพยี งรายละเอยี ดของแผน
และโครงการเท่าน้ัน เพราะการพัฒนาเป็นวิธกี ารท่ีตอ้ งนำมาใชป้ ฏิบัติจริงจึงจะเกดิ ผลตามท่ีต้องการ

7. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลก
ประเภทเดียวที่สามารถจัดทำแผนโครงการและคิดค้นวิธีการในการที่จะพัฒนาตนเองและสิ่งต่าง ๆ ได้ การ
เปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตาม ถ้าไม่ได้เกดิ จากการกระทำของมนษุ ย์แล้วจะไม่ใช่การพัฒนาแม้ว่าจะมีลักษณะอ่นื ๆ
เหมอื นกับการพัฒนาก็ตาม

8. ผลที่เกิดขึ้นมีความเหมาะสมหรือพึงพอใจ ทำให้มนุษย์และสังคมมีความสุข เพราะการพัฒนาเป็น
ส่ิงท่ีเกยี่ วข้องกบั มนษุ ยแ์ ละการอยรู่ ว่ มกันเป็นสงั คมของมนษุ ยน์ น่ั เอง

9. มีเกณฑ์หรือเครื่องชี้วัด คือสามารถบอกได้ว่าลักษณะที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการ
พัฒนาหรือไม่ ซึ่งอาจดำเนินการได้หลายวิธี เช่น เปรียบเทียบกับสภาพเดิมก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
กำหนดเกณฑ์มาตรฐานในการชี้วัดในด้านตา่ ง ๆ โดยเฉพาะดา้ นคุณภาพ ปริมาณสิง่ แวดล้อม ความคงทนถาวร
การประเมินผลจากผทู้ ี่เกยี่ วข้องวา่ มีความเหมาะสมหรือพึงพอใจหรือไมแ่ ละระดับใด เปน็ ต้น

10. สามารถเปลี่ยนแปลงได้การพัฒนานอกจากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อมนุษย์สังคมและส่ิง
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์แล้ว รูปแบบ กระบวนการและวิธีการพัฒนาก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่อ งจาก
มนุษย์และสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและการ
เปลี่ยนแปลงที่เป็นผลของการพฒั นา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการพฒั นาให้มี
ความเหมาะสมกบั การเปล่ยี นแปลงท่เี กิดข้ึนด้วย การพฒั นาใหม่ ๆ จึงเกดิ ขึ้นอยูเ่ สมอ

การบรหิ ารงานในสถานศกึ ษาข้ันพื้นฐาน

การบรหิ ารสถานศึกษา ไดม้ นี กั วิชาการหลายทา่ น ได้ให้ความหมาย ดังน้ี
ยุกตนันท์ หวานฉ่ำ (2555: 11) ได้สรุปความหมายของการบริหารสถานศึกษาว่า หมายถึง
กระบวนการในการปฏิบัติงาน โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งครอบคลุมงานทั้ง 4 ด้าน ได้แก่
ดา้ นวชิ าการ ดา้ นงบประมาณ ดา้ นบรหิ ารบคุ คล และด้านบริหารทว่ั ไป

19

ลินดา ชุมภูศรี (2557: 25) ได้สรุปความหมายของการบริหารสถานศึกษาว่า หมายถึง การที่กลุ่ม
บุคคลร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน โดยอาศัยการวางแผน การวิเคราะห์สภาพปัญหา การวินิจฉัย การส่ัง
การควบคุม รวมทั้งการจัดการเกี่ยวกับงานหรือกิจการภายในสถานศึกษา และยังรวมทั้งการใช้ทรัพยากรที่
เหมาะสมในการจัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน หรือประชาชนทั่วไป โดยมี การบริหารงานทั้ง 4 ด้าน คือ
ดา้ นวิชาการ งบประมาณ บรหิ ารบคุ คล และบริหารทวั่ ไป เพือ่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ท่ีวางไว้

ดังนั้นสรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการต่างๆที่ใช้ในการจัดการ กำกับ ดูแล
กิจกรรมต่างๆภายในโรงเรียน ให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยที่การบริหารจัดการนั้นจะต้องได้รับ
ความร่วมมือจากบุคลากรทุกฝ่าย ทั้งนี้ครอบคลุมภาระงานทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การบริหารวิชาการ การบริหาร
งบประมาณ การบรหิ ารบุคคล และการบริหารท่วั ไป

ความสำคัญของการบริหารสถานศกึ ษา

การบริหารงานสถานศึกษา ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการควบคุม ดูแล การทำงาน
ให้เปน็ ไปตามวัตถุประสงคท์ ว่ี างไว้ ซงึ่ มีนักวิชาการหลายทา่ น ได้กลา่ วไว้ ดังน้ี

ปริมาส กัลยา (2556: 12) ได้กล่าวเกี่ยวกับความสำคัญของการบริหารสถานศึกษาว่า การบริหาร
สถานศึกษาเปน็ ภารกิจหลักของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาและบคุ ลากรทีเ่ กี่ยวข้องทุกฝา่ ย ซึ่งมีความจำเปน็ อย่างยง่ิ
ที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการสถานศึกษา ส่วนภารกิจที่จะต้องปฏิบัตินั้น ได้แก่ การกำหนด
แบบแผนวิธกี าร วธิ ขี น้ั ตอนต่างๆในการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพอ่ื ให้บรรลเุ ปา้ หมายทวี่ างไว้

พชิ นาถ เพชรนาชม (2554: 9) ไดก้ ล่าวเก่ียวกับความสำคัญของการบริหารสถานศึกษาว่า การบรหิ าร
สถานศึกษานั้นเป็นการพัฒนาคนให้มีความพร้อมในด้านต่างๆซึ่งเป็นการพัฒนาคนทั้ง ทางด้านร่างกาย จิตใจ
สังคม และสตปิญัญา ซ่ึงในปจัจบันนั้นเป็นยคุของการเปล่ียนแปลงในหลายๆด้าน ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงมี
ความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งหน่วยงานที่มีหน้าท่ีรับผิดชอบในด้านการจัด การศึกษา และอยู่ใกล้ชิดชุมชนมากท่สี ดุ
คือ โรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนระดับประถมนั้น กระจายตัวอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ในการดำเนินการจัดการศึกษา
ของโรงเรยี น จงึ ต้องใหช้ ุมชนเข้ามามสี ว่ นร่วมในการบรหิ ารจดั การ ทัง้ นีเ้ พราะชุมชนเปน็ ผ้ไู ดรบั ผลกระทบจาก
การจัดการศึกษาของโรงเรียนโดยตรง เพราะเหตุนี้ ชุมชนควรจะมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง
ว่าต้องการทีจ่ ะให้การศกึ ษาเป็นไปในทศิ ทางใด

ยุกตนันท์ หวานฉ่ำ (2555: 11) ได้กล่าวเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาว่า เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
อย่างมากในเรื่องของการจัดระบบการศึกษา เพราะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติงาน คือ ผู้บริหาร
สถานศึกษา และรวมไปถงึ บคุ คลท่มี คี วามเกยี่ วข้องที่อยู่ภายในองค์กรที่มุ่งไปสูค่ วามสำเร็จของการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนให้มปี ระสทิ ธิภาพมากทีส่ ดุ และบรรลุเป้าหมายทว่ี างไว้

ดงั นนั้ สรุปไดว้ ่า ความสำคญั ของการบรหิ ารสถานศึกษา เป็นกระบวนการท่ีมคี วามสำคัญอย่างย่ิงท่ีจะ
ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ซึ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตนี้เป็นการพัฒนาในทุกๆด้าน อาทิ
เช่น ด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา โดยการบริหารสถานศึกษานั้นต้องอาศัยผู้บริหารและบุคลากรที่มีส่วน
เกี่ยวข้องในการบริหารสถานศึกษา ซึ่งจะต้องมีความสามารถ สามารถใช้ศาสตร์และศิลป์นำมาบริหารและท่ี
สำคัญจะต้องนำทุกฝ่ายให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ได้แก่ บุคลากรต่าง ๆ รวมถึงชุมชนด้วย เพราะการจัด
การศึกษาตอ้ งจดั ให้ตอบสนองต่อความตอ้ งการของคนในชมุ ชนหรือสงั คมนัน้ ๆ

ขอบขา่ ยการบรหิ ารงานในสถานศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน

20

การกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษา ตามแนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 และแกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 มาตราที่ 39 ซึ่งเกยี่ วขอ้ งกับ
งานบริหารสถานศกึ ษาทั้ง 4 ด้าน ไดแ้ ก่

1. ด้านการบริหารวิชาการ
2. ดา้ นการบรหิ ารงบประมาณ
3. ดา้ นการบรหิ ารบคุ คล
4. ดา้ นการบริหารทวั่ ไป

ความหมายการบริหารวิชาการ

การบริหารวชิ าการ ไดม้ นี ักวชิ าการหลายทา่ นใหค้ วามหมาย ดงั นี้
ยัน แก้วบุญมา (2554: 5) ได้ให้ความหมายของการบริหารวิชาการว่า หมายถึง การจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา การจัดสภาพแวดล้อม การจัดบรรยากาศการจัดการเรียน
การสอน และการประเมินการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา รวมทั้งระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษา
สุรัยยา วามุ (2554: 30) ได้สรุปความหมายของการบริหารวิชาการว่า หมายถึง การดำเนินการ
กิจกรรมต่างๆอย่างเป็นระเบียบและแบบแผนที่วางไว้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการพัฒนา
กระบวนการจดั การเรียนการสอนใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากขึ้นกว่าเดมิ อนั จะส่งผลต่อประสทิ ธภิ าพสูงสุดท่ีจะเกิด
แกผ่ เู้ รียน
ลินดา ชุมภูศรี (2557: 8) ได้กล่าวว่า การบริหารวิชาการ หมายถึง กระบวนการหรือ กิจกรรมการ
ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมศึกษาตามขอบข่ายวิชาการ ซ่ึง
ประกอบไปด้วย 3 ด้านที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้แก่ ด้าน หลักสูตรสถานศึกษา ด้านการ
จัดการเรยี นรู้ และด้านการประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา
สัมมา รธนิธย์ (2560, 99) ได้ให้ความหมายของการบริหารวิชาการว่า การบริหารงานวิชาการ
หมายถึง กระบวนการดำเนินงาน ปรับปรุง พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ที่มีการร่วมมือของบุคลากรใน
โรงเรียนในการจัดกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียนที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้และการศึกษาของผู้เรียน โดยมีการ
ประสานงานของทุกคนในโรงเรียนร่วมกัน บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมงานวิชาการของโรงเรียนคือ
ผู้บริหารและครูผู้สอน ส่วนในการบริหารโรงเรียนนั้นจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบริหารงานด้านวิชาการ
เพอ่ื มุง่ เน้นให้ผู้เรียนมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น มคี วามรู้ ทักษะ คณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงคแ์ ละภาวะสุขภาพตาม
จดุ หมายของหลักสูตรอย่างมปี ระสิทธิภาพ
สรปุ ไดว้ ่า การบรหิ ารวชิ าการ หมายถงึ การบรหิ ารกิจกรรมทุกชนิดภายในโรงเรียนที่เก่ยี วข้องกับการ
ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้เรียน ซึ่งการบริหารวิชาการ
ประกอบด้วย การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผลและเทยี บ
โอนผลการเรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนา
แหล่งการเรียนรู้ การนิเทศการศึกษา การแนะแนวการศึกษา การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษา การส่งเสริมความรู้วิชาการแก่ชุมชน การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับ
สถานศึกษาอื่น และการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่ บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และ
สถาบันอ่ืนทจ่ี ัดการศึกษา

21

ขอบข่ายการบริหารวชิ าการ

ขอบข่ายของการบริหารวิชาการนั้น มีขอบข่ายที่ค่อนข้างกว้าง ซึ่งนักวิชาการหลายท่าน ได้ กำหนด
ขอบข่ายไว้ ดงั นี้

กระทรวงศกึ ษาธิการ (2546: 34-38, อ้างใน ศริ อิ ร กาคำ, 2556: 46-47) ได้กำหนดขอบข่ายของการ
บรหิ ารด้านวชิ าการ ดังน้ี

1. ดา้ นการพัฒนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา
2. ด้านการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้
3. ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรยี น
4. ด้านการวจิ ัยเพอ่ื พฒั นาคุณภาพการศกึ ษา
5. ด้านการพฒั นาส่อื นวัตกรรมและเทคโนโลยี
6. ดา้ นการพัฒนาแหลง่ การเรยี นรู้
7. ดา้ นการนเิ ทศการศึกษา
8. ดา้ นการแนะแนวการศกึ ษา
9. ด้านการพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา
10. ด้านการส่งเสรมิ ความรูว้ ิชาการแก่ชมุ ชน
11. ดา้ นการประสานความร่วมมือในการพฒั นาวิชาการกบั สถานศึกษาอื่น
12. ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และ สถาบัน
อน่ื ทจี่ ดั การศึกษา
สภุ ัคโอฬา พริ ยิ กลุ (2556: 37) ไดก้ ำหนดขอบข่ายของงานวชิ าการ ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยงาน ดงั ต่อไปน้ี
1. หลักสตู รและการนำหลักสูตรไปใช้
2. การเรียนการสอน
3. วัสดปุ ระกอบหลักสตู รและส่ือการเรยี นการสอน
4. การส่งเสริมการสอน
5. การวัดผลประเมนิ ผล
6. การนเิ ทศภายใน
7. การอบรมทางวิชาการ
สุรัยยา วามุ (2554: 33) ไดก้ ำหนดขอบขา่ ยของการบริหารวิชาการออกเป็น 5 ดา้ น ดังนี้
1. ดา้ นการพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษาและการนำหลักสูตรไปใช้
2. ด้านการพฒั นากระบวนการเรียนรู้
3. ด้านการวดั ผล ประเมินผลและเทคโนโลยีเพ่อื การศึกษา
4. ดา้ นการพฒั นาสื่อ นวตั กรรมและเทคโนโลยเี พื่อการศึกษา
5. ด้านการพัฒนางานประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา

22

ดังนั้นสรุปได้ว่า จากการศึกษาขอบข่ายของการบริหารวิชาการ ผู้วิจัยได้ยึดแนวทางการ บริหารงาน
วชิ าการของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารตามทไ่ี ด้กำหนดขอบข่ายการบริหารวชิ าการ ท้งั นี้ครอบคลุมภาระงานทงั้ 12
ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ ด้านการวัดผล
ประเมนิ ผลและเทียบโอนผลการเรียน ดา้ นการวิจัยเพ่ือพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา ดา้ นการพฒั นาสอ่ื นวตั กรรม
และเทคโนโลยี ดา้ นการพฒั นาแหล่งการเรยี นรู้ ด้านการนเิ ทศการศึกษา ด้านการแนะแนวการศกึ ษา ดา้ นการ
พัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ด้านการส่งเสริมความรู้วิชาการแก่ชุมชน ด้านการประสาน
ความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น และด้านการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล
ครอบครวั องคก์ ร หน่วยงาน และสถาบนั อืน่ ทีจ่ ดั การศกึ ษา

ด้านการบริหารงบประมาณ

การบริหารงบประมาณ เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาทรัพยากรต่างๆเพื่อนำมาใช้ในกิจการต่างๆของ
โรงเรียน ในการศึกษาครั้งน้ี ผูว้ ิจยั จะนำเสนอเกย่ี วกับงานบริหารงบประมาณ ดงั นี้

1. ความหมายการบริหารงบประมาณ
2. ขอบข่ายการบริหารงบประมาณ ซึง่ มีรายละเอยี ด ดงั นี้

ความหมายการบริหารงบประมาณ

นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการบรหิ ารงบประมาณ ดงั นี้
สัมมา รธนิธย์ (2556: 100) ได้ให้ความหมายการบริหารงบประมาณว่า หมายถึง แผนการดำเนินงาน
เกี่ยวกับรายรับรายจ่าย เพื่อมาใช้ในการดำเนินงาน โดยมีการควบคุมการดำเนินงานทางการเงินตามกฎเกณฑ์
ที่วางไว้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขที่แสดงรายรับว่ามาจากที่ใด และรายจ่ายที่
ตอ้ งจ่ายตามแผนงาน โครงการ กจิ กรรม และค่าใช้จา่ ย ทรัพยากรท่ีจำเปน็
ยัน แก้วบุญมา (2554: 6) ได้กล่าวว่า การบริหารงบประมาณ หมายถึง การสรรหางบประมาณ การ
จัดตั้งงบประมาณ วัสดุ ครุภัณฑ์ การบริหารการเงิน อุปกรณ์ การระดมทรัพยากรที่มีอยู่ การประสานความ
ร่วมมือกับองค์กรต่างๆการจัดหารายได้เพื่อนำมาจัดการและบริหารการศึกษา รวมทั้งการประเมินการใช้
งบประมาณของสถานศึกษา
ดังนั้นสรุปได้ว่า การบริหารงบประมาณ หมายถึง การวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นระบบ
ตลอดจนแสดงวิธีการได้มาซึ่งทรัพยากรเหล่านั้น และรวมถึงวิธีการใช้จ่ายทรัพยากรเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ซึ่ง
การบริหารงบประมาณ ประกอบด้วย การจัดทำเสนอของบประมาณ การจัดสรรงบประมาณ การตรวจสอบ
ติดตามประเมินผล และรายงานผลการใช้เงินและผลการดำเนินงาน การระดมทรัพยากร และการลงทุนเพื่อ
การศกึ ษา การบรหิ ารการเงนิ การบรหิ ารบัญชี และการ บริหารพสั ดุและสินทรพั ย์

ขอบขา่ ยการบริหารงบประมาน

สำหรับขอบขา่ ยในการบรหิ ารงบประมาณ มนี กั วชิ าการหลายทา่ นไดก้ ำหนดไว้ ซง่ึ มีรายละเอียดดงั นี้
ปิติพร อาธิเวช (2557: 34-43) ได้สรุปขอบข่ายการบริหารงานงบประมาณว่า สามารถแบ่งออกได้ 5
ดา้ นดงั นี้
1. ดา้ นการจัดทำและเสนอของบประมาณ

23

2. ดา้ นการจัดสรรงบประมาณ และตรวจสอบ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล
3. ดา้ นการระดมทรัพยากรและการลงทุนเพ่อื การศกึ ษา
4. ดา้ นการบรหิ ารการเงินและบัญชี
5. ดา้ นการบรหิ ารพัสดแุ ละสินทรพั ย์
กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 39 อ้างใน ประสาท เที่ยงอยู่, 2548: 30) ได้กำหนดขอบข่ายของการ
บริหารงบประมาณ ดงั นี้
1. การจัดทำเสนอของบประมาณ
2. การจัดสรรงบประมาณ
3. การตรวจสอบตดิ ตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้เงนิ และผลการดำเนนิ งาน
4. การระดมทรพั ยากร และการลงทนุ เพ่ือการศึกษา
5. การบริหารการเงนิ
6. การบรหิ ารบญั ชี
7. การบริหารพัสดุและสนิ ทรพั ย์
ดังนั้น ขอบข่ายของการบริหารงบประมาณ ซึ่งผู้วิจัยได้ยึดแนวทางการบริหารงานงบประมาณของ
กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ครอบคลุมภาระงานทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ การจัดทำเสนอของบประมาณ การจัดสรร
งบประมาณ การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล และรายงาน ผลการใช้เงินและผลการดำเนินงาน การระดม
ทรัพยากร และการลงทุนเพื่อการศึกษา การบริหาร การเงิน การบริหารบัญชี และการบริหารพัสดุและ
สนิ ทรพั ย์

ดา้ นการบริหารบุคคล

การบริหารบุคคลมีความเกี่ยวข้องกับการสรรหา แต่งตั้ง บรรจุ และการพ้นจากการเป็นพนักงานหรือ
บุคลากร ผ้วู จิ ัยไดน้ ำเสนอการบริหารบคุ คล ดังน้ี

1. ความหมายการบริหารบคุ คล
2. ขอบข่ายการบริหารบุคคล ซึง่ มีรายละเอยี ด ดังน้ี

ความหมายการบริหารบคคุ ล

การบริหารบคุ คล มีนักวชิ าการหลายท่านได้สรปุ และให้ความหมายเกีย่ วกับการบริหารบคุ คล ดังน้ี
พิชิต สุตโต (2555: 27) ได้ให้ความหมายการบริหารงานบุคคลว่า หมายถึง กระบวนการต่างๆที่
เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบุคคล ตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การวางแผน การคัดเลือก การจัดสรร การ
ธำรงบุคลากร การพัฒนาอบรมบุคลากร การควบคุม ติดตาม ประเมินบุคลากร และการให้พ้นจากตำแหน่ง
ของบคุ ลากร
ประพนธ์ กระแสร์พันธุ์ (2554: 32) ได้ให้ความหมายของการบริหารบุคคลว่า หมายถึง การวางแผน
การใช้อัตรากำลัง การสรรหาบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ บรรจุ และแต่งตั้งเป็นบุคลากร เพื่อให้ได้บุคลากรที่มี
ประสิทธภิ าพมากทส่ี ุด
สรุปได้ว่า การบริหารบุคคลหมายถึง การพัฒนาบุคลากรทุกระดับภายในองค์กร เพื่อให้เป็นบุคลากร
ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสิ่งที่จะให้ให้เกิดผลสำเร็จได้นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่การวางแผน
การสรรหา การคัดเลอื ก การพัฒนา และการปรบั ปรุง ซ่งึ ประกอบด้วยการวางแผนอตั รากำลงั การสรรหาและ

24

บรรจุแต่งตั้ง การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ วินัยและการรักษาวินัย และการออกจาก
ราชการ

คณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ถือเป็นตัวแทนของชุมชนอย่างแท้จริงที่จะเข้ามาบริหาสถาน
ศกึ ษารว่ มกบั ผ้บู รหิ ารหรอื บุคลากรอื่นๆ โดยในการศึกษาในคร้ังนี้ ผวู้ จิ ัยไดน้ ำเสนอหัวขอ้ ดังนี้

1. บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน ซ่ึงมรี ายละเอยี ด ดังนี้

บทบาทหน้าทีข่ องคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพนื้ ฐาน

ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดให้คณะกรรมการ
มีหน้าที่ (ข้อ 13) ดังน้ี

1. กำหนดนโยบายและแผนการพฒั นาของสถานศึกษา
2. ให้ความเหน็ ชอบแผนปฏบิ ตั กิ ารประจำปีของสถานศึกษา
3. ให้ความเหน็ ชอบในการจดั ทำสาระหลักสูตรให้สอดคล้องกบั ความต้องการท้องถ่ิน
4. กำกบั และตดิ ตามการดำเนนิ งานตามแผนของสถานศกึ ษา
5. ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กทุกคนในเขตบริการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงมีคุณภาพ
และไดม้ าตรฐาน
6. ส่งเสริมให้การพิทักษ์สิทธิเด็ก ดูแลเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาส และเด็กที่มีความสามารถ พิเศษให้
ไดร้ ับการพัฒนาตามศกั ยภาพ
7. เสนอแนวทางและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหาร
บุคคล และด้านการบริหารทวั่ ไปของสถานศกึ ษา
8. ส่งเสริมให้มีการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตลอดจนวิทยากรภายนอกและภูมิปัญญาท้องถ่ิน
เพอ่ื เสรมิ สรา้ งพฒั นาการของนกั เรยี นทุกดา้ น รวมทง้ั สอ่ื สารจารตี ประเพณศี ิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของ
ชาติ
9. เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน ตลอดจนประสานงานกับองค์กร ทั้งภาครัฐ
และเอกชน เพ่อื ใหส้ ถานศึกษาเปน็ แหลง่ วทิ ยาการของชมุ ชน และมีสว่ นในการพัฒนาชมุ ชนและทอ้ งถ่ิน
10. ใหค้ วามเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานประจำปขี องสถานศกึ ษา ก่อนเสนอต่อสาธารณชน
11. แตง่ ต้งั ทีป่ รกึ ษาและหรือคณะอนกุ รรมการเพอ่ื การดำเนินงานตามระเบยี บน้ีตามท่ีเห็นสมควร
12. ปฏิบตั กิ ารอน่ื ตามทไี่ ดร้ ับมอบหมายจากหนว่ ยงานตน้ สงั กัดของสถานศกึ ษานนั้
ดังนั้นสรุปได้ว่า คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหน้าที่หลักในการกำกับและส่งเสริม
สนับสนุนกิจการของสถานศึกษา โดยครอบคลุมการบริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านบริหารวิชาการ
บริหารงบประมาณ บรหิ ารบุคคล และบริหารทวั่ ไป

กระบวนการเทคนคิ A-I-C

แนวคดิ ของเทคนิค A-I-C

25

เทคนคิ A-I-C เปน็ ระบบการสร้างทีมโดยอาศยั บทเรียนและประสบการณจ์ ากท่ีอ่ืนๆมาผสมกันเพื่อให้
คนมองไปในอนาคต เป็นวิธีการที่จะช่วยกระตุ้นให้คนร่วมมือกันทำงาน โดยเอาคนที่เกี่ยวข้องมาอยู่ด้วยกัน
มองอนาคตด้วยกัน หาจุดร่วมที่เป็นคุณค่าหรืออุดมการณ์ร่วมกัน แล้ววางแผนเพื่อดำเนินการร่วมกัน เทคนิค
A-I-C เป็นศิลปะของการพฒั นา เน้นการคิดหาวธิ ีการเพือ่ ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายมากกว่าความพยายามวิเคราะห์หา
สาเหตขุ องปัญหา เป็นศิลปะของการจดั การที่มีลกั ษณะของการมสี ว่ นร่วมสูง คอื การร่วมคิด รว่ มทำ ร่วมรับผิด
ชอบเทคนิค A-I-C จะไม่คิดถึงปัญหา ไม่คิดว่าทำไม่ได้เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการ จึงไม่เกิดความขัดแย้ง
ทุกคนจะคิดด้วยกันเพื่อเอาความรู้ความสามารถของทุกคนมาผสมกัน เป็นสิ่งที่เหมือนกันหรือสิ่งที่ต้องการ
ร่วมกันทำ เป็นการปฏิบัติรว่ มกันด้วยความรักหรือการเห็นคุณค่าซึ่งกัน และกันเป็นการคิดทางบวกจึง ทำให้ผู้
มสี ่วนร่วมเกิดความรูส้ ึกอ่ิมใจ สนกุ เหน็ อกเห็นใจ ช่วยเหลือกัน ไมม่ ีการขดั แย้ง ไม่ทะเลาะกนั และมีความหวัง
เทคนิค A-I-C เป็นเรื่องของการบริหารการวางแผนและการมองอนาคต จึงต้องรู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร แล้ว
อยากใหอ้ นาคตเปน็ อย่างไร โดยทุกคนท่ีเกย่ี วขอ้ งได้มสี ่วนร่วมดงั กลา่ ว

หลกั การของเทคนิค A-I-C

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม (2548 : 20) ได้อธิบายหลักการ A-I-C ว่าในกระบวนการความสัมพันธ์และ
ปฏิสัมพันธ์ของคน กลุ่มคน และองค์กรในสังคมนั้นมีสนามพลังซ้อนกันอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ สนามพลังควบคุม
สนามพลงั กระทบ และสนามพลังเข้าใจ ดังน้ี

1. สนามพลงั ”ควบคมุ ” (Control Power Field) เป็นพลังสนามที่ตวั เรา (The Self) สามารถควบคมุ
จัดการได้เนอื่ งจากเปน็ เรอ่ื งท่ีเกย่ี วกับตวั เรา

2. สนามพลัง”กระทบ” (Influence Power Field) เป็นการส่งพลัง”กระทบ”ไปสู่”ผู้อื่น” (Other)
ท”่ี ผ้อู ืน่ ”จะไม่อยู่ภายใต้การ”ควบคมุ ”ของ”ตัวเรา”พรอ้ มกับสามารถสง่ พลัง”กระทบ”ใหแ้ กต่ วั เราไดเ้ ชน่ กัน

3. สนามพลัง”เข้าใจ” (Appreciation Power Field) เป็นการที่”ตัวเรา” (The Self) สร้างความ
เข้าใจ (Appreciation) เกย่ี วกับองคร์ วม (The Whole) ย่งิ ใหญ่กวา่ ตัวเรามากและตวั เราไมส่ ามารถ”ควบคมุ ”
(Control) หรอื แม้แต่”กระทบ” (Influence) ได้

สนามพลังทั้ง 3 ระดับที่ซ้อนกันและรวมกันเป็น “สนามพลัง เอ-ไอ-ซี” (A-I-C Power Field) มี
ศกั ยภาพทีเ่ ราสามารถนํามาใช้ให้เต็มที่มากข้นึ โดย

1. คำนึงถึงลักษณะเด่นของสนามพลังแต่ละระดับเพื่อจะสามารถหาวิธีการนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่าง
เหมาะสม

2. ผสมผสานพลัง 3 ระดับเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพภายใต้บริบท (Context)
โครงสร้าง (Structure) และสถานการณ์ต่างๆ

3. นำพลัง 3 ระดับมาประยุกต์ใช้ในรูปกระบวนการ (Process) ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในความ
พยายามที่จะวางแผน (Planning) หรือพัฒนา (Development) หรือสร้างทีม (Team Building) หรือสร้าง
ความร่วมมือ (Collaboration) หรือแก้ปัญหา (Problem Solving) หรือแก้ความขัดแย้ง (Conflict
Resolution) เป็นต้น

จันทรานี สงานนาม (2549 : 7) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับหลักการ A-I-C ไว้ว่าการประชุมแบบ A-I-C
ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพึงพอใจและมีจุดมุ่งหมายเดียวกันในอันที่จะสร้างสรรค์และจัดการร่วมกัน โดยมี
ขั้นตอนการประชุมแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนความพอใจหรือ Appreciation (A) ขั้นตอนกลวิธีที่มี

26

อิทธิพลต่อความสำเร็จหรือ Influence (I) และขั้นตอนการควบคุมหรือ Control (C) ภายใน 3 ขั้นตอนนี้ยัง
แบง่ ย่อยเปน็ กจิ กรรม 9 ขน้ั ตอนตามลำดับคอื

1. ข้ันตอนความพอใจ : Appreciation (A) นโยบายหรอื โครงการที่กำหนดข้นึ ยากนักท่ีประชาชนผู้มี
ส่วนได้ส่วนเสียจะเข้าใจ สิ่งที่ยากที่สุดแต่จำเป็นที่สุดของการพัฒนาคือการสร้างความพึงพอใจให้ยอมรับ
นโยบาย/โครงการยอมมสี ่วนร่วมและเขา้ ใจถึงความเป็นไปไดว้ ่างานน้นั จะสำเรจ็ ในขั้นตอนนป้ี ระกอบดว้ ย

ข้นั ตอนท่ี 1 กรอบงาน ปรบั การทำงานใหม้ ีความสมดลุ ระหวา่ งพลังการทำงานการควบคมุ ความพอใจ
ข้นั ตอนที่ 2 สร้างความเช่อื มโยง กำหนดใหผ้ มู้ สี ่วนไดส้ ว่ นเสยี ช่วยทำงานร่วมมอื เอาชนะการต่อต้าน
ขั้นตอนที่ 3 กำหนดกลวิธีจัดกระบวนการให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกิดความเข้าใจสนับสนุนและยอมทำ
ร่วม
2. ขั้นตอนกลวิธี : Influence (I) ขั้นตอนนี้มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจที่จะทำและต่อความสำเร็จของ
งาน ต้องเลือกเอามาจากความพอใจในนโยบายแต่ต้องคำนึงถึงสังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความคิดที่มี
เหตุผล (Logic) มีการจัดลำดบั ความสำคญั การกำหนดกลวิธี ต้องมีสื่อสัมพันธก์ ับผูม้ ีส่วนได้สว่ นเสยี แบบตัวตอ่
ตัว ควรถกและให้การแนะนำในระหว่างกลุ่ม ต่อรองและสลายความขัดแย้งให้เสร็จสิ้นก่อน คุณภาพของการ
กำหนดกลวิธแี สดงไดด้ ้วยความสำเรจ็ ของการสร้างสื่อสัมพันธ์กันระหวา่ ง นกั วชิ าการและผมู้ ีส่วนได้เสียในการ
กำหนดบทบาทของแต่ละบคุ คลในงานใหมท่ ่ีจะทำในขัน้ ตอนนี้ประกอบด้วย
ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ความเป็นจริงและความเป็นไปได้ เมื่อเลือกนโยบายได้แล้วผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ต้องมีความตระหนักในความจริงท่ีว่าถ้าไม่มีโครงการน้ีจะเกิดอะไรขึ้นต่อเขาและตอ้ งทำอะไรกันเพ่ิมขึ้นเพือ่ ให้
ได้ตามความพอใจทจ่ี ะเปน็ ไปในอนาคต เพื่อเตรียมตัวรับความลม้ เหลวในปัจจุบนั และคิดหาวิธกี ารใหม่ๆ
ขั้นตอนที่ 2 จัดลำดับความสำคัญ เมื่อทุกคนทราบความต้องการของตนเองแล้วต้องกระตุ้นให้
อภิปรายแสดงออก การถก อภิปรายให้ครอบคลุมและเห็นแนวทางที่แตกต่างกัน และทดลองทำเพราะ
ความคิดอาจมาจากความรู้สกึ ส่วนตวั ศักด์ิศรี ทัศนคติทางสังคม และการเห็นคุณค่า
ขั้นตอนที่ 3 กำหนดความรับผิดชอบ ต้องทำแผนปฏิบัติการที่สามารถควบคุมได้ หรือหากลุ่มมาทำ
หรือบริหาร หาประสบการณ์สร้างความพอใจให้ทุกคนได้ทำงานตามวัตถุประสงค์ ในกระบวนการขั้นตอนนี้มี
การเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องตามความแตกต่างของผู้มีส่วนได้เสีย แต่การร่วมกันคิดวิสัยทัศน์จะสร้าง
ประสบการณใ์ หช้ นิ กับการเปล่ียนแปลงและความสอดคล้องเสรมิ การปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่างกัน
3. ขั้นตอนการควบคุม : Control (C) การลงมือปฏิบัติภายหลังการประชุม จะได้นำกรอบงานที่มี
เหตผุ ล (Logical Framework) และแบง่ งานไปทำให้เกดิ เป็นจริงขน้ึ ได้ ในขั้นตอนนปี้ ระกอบด้วย
ขั้นตอนที่ 1 ลงมือปฏิบัติผู้ ผ่านการประชุมแล้วต้องรับเป็นภารกิจที่ต้องนำไปทำตามที่ตนเสนอไว้
ดว้ ยศกั ยภาพและบทบาทท่แี ต่ละคนมีอยู่
ขั้นตอนท่ี 2 ประเมนิ ค่า (Apraisal) ทุก 3 เดอื นต้องมีการประชุมทบทวนบทบาทและผลงาน เปน็ การ
เพ่ิมความใกล้ชิด แสดงพลงั ความพร้อมไปสคู่ วามสำเรจ็ ของแต่ละคน
ขั้นตอนที่ 3 ประเมินผล (Evaluation) ทุกปีมีการประชุม ทุกคนประเมินความก้าวหน้าของงานตาม
เป้าหมายที่กำหนดไว้เพื่อตรวจสอบการบรรลุเป้าหมายในการทำงาน ซึ่งก็คือเพิ่มความพึงพอใจในการ
ปฏิบัติงานและปรับเปลี่ยนกลวิธีปฏิบัติเพื่อพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพสูงขึ้นพอใจยิ่งขึ้นจนเป็นโครงการท่ี
พัฒนาอย่างสมบรู ณ์ (Mature Project)
บงกศ อาษา (2548 : 20) ไดใ้ หแ้ นวคดิ เกย่ี วกบั หลกั การของกระบวนการ A-I-C ไว้วา่ กระบวนการ A-
I-C เปน็ การบริหารจดั การการประชมุ สมั มนาเพื่อการวางแผนและเป็นกระบวนการทเี่ นน้ จุดสำคัญ 4 เรื่องคือ

27

1. เน้นการรวมพลังเข้าด้วยกันและการรวมพลังงานจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์โดย
ปฏิบัติรว่ มกัน (Social Engagement) และวิถที างแห่งการทำใหเ้ กิดพลงั สร้างสรรค์

2. เนน้ ความเปน็ กระบวนการ (Process) และใชว้ ธิ กี ารอันเป็นองค์รวม (Holistic Method) คอื มีการ
ใช้สมองทัง้ ซีกซ้ายและซกี ขวามี การใช้ธรรมะ วทิ ยาศาสตร์ และการบรหิ ารจดั การ

3. เน้นการคดิ สร้างสรรค์มากกวา่ การทำลาย (Positive Thinking) และการเรยี นรจู้ ากปฏิสัมพันธ์ทาง
สังคมผ่านการกระทำ (Interactive Learning Through Action) นั่นคือการคิดร่วมกันในทางสร้างสรรค์ การ
ปฏิบัติรว่ มกันดว้ ยความรกั หรอื การเห็นคุณคา่ ซึ่งกนั และกนั และการเรยี นรรู้ ่วมกนั จากการกระทำจรงิ ๆ ซึ่งทำ
ให้เกิดพลงั สร้างสรรค์ได้จนสามารถเปล่ียนแปลงไปส่สู ิ่งที่ส่ิงดี

4. เน้นเรื่องอนาคต หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตหรือแม้กระทั่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ใน
ขณะนี้เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว แต่อนาคตเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้และเมื่อเราทราบอนาคตเรา
เห็นคุณคา่ ในอนาคตรว่ มกันแล้วพลังสรา้ งสรรค์จะตามมา

องค์ประกอบสคู่ วามสำเร็จในการทำ A-I-C

วรี ะ นิยมวัน (2548 : 15) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกบั องค์ประกอบส่คู วามสำเร็จในเรือ่ งการทำ A- I-C ไว้
ว่า การทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ต้องทำทั้งระบบโดยอาศัยสถิติข้อมูลจากนักวิชาการและจาก
ประสบการณ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้นๆร่วมกันคิดให้รอบด้านก่อนเขียนแผนและจัดการโครงการเอง
แผนของระดับสูงจะต้องสร้างบรรยากาศและสนับสนุนแผนระดับล่างให้สำเร็จ ซึ่งต่างจากวิธีทำงานแบบเกา่ ที่
นักวิชาการและผู้รับผิดชอบตามหน้าที่คิดขึ้นเองและลงมือทำเอง ซึ่งเป็นการปิดกั้นการพฒั นาคนและไมส่ นอง
ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนกับเจ้าหน้าที่มีการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้เป็นในอนาคตและ
เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การกำหนดเทคนิควิธีการสำเร็จรูปไปให้ปฏิบัติจะต้องเปลี่ยนแปลงการนำ
องค์ความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริง และทรัพยากรให้เข้าถึงและสนองความต้องการของผู้ปฏิบัติหรือการประชุม
ทำงานอย่างมีส่วนร่วมและมีความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ประสบความสำเร็จผู้ เข้าร่วมประชุมต้องอาศัย
องค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ประการ คือ ต้องรู้ขั้นตอนการวางแผนโครงการเป็นอย่างดี และต้องแม่นใน
หลกั การของวธิ ีการประชุมขัน้ ตอนการวางแผนโครงการ ประกอบด้วย

1. ขอ้ มลู พ้นื ฐานได้จากการรวบรวมสถติ ิข้อมูลจากประสบการณข์ องบคุ คลต่างๆ
2. วิเคราะห์หาสาเหตแุ ละปญั หา
3. ได้พบปญั หาและสาเหตุ
4. กำหนดวตั ถปุ ระสงค์
5. กำหนดเป้าหมายขอ้ ชี้วดั
6. กำหนดกลวธิ กี ิจกรรมเพือ่ การบรรลุความประสงคแ์ ละเป้าหมายหลักของวิธีการประชมุ
7. ผู้เขา้ ร่วมประชุมจากองค์การและบคุ คลท่แี ตกต่างกนั
8. บทบาทของตนเองท่มี สี ว่ นรว่ ม
9. ทกุ คนพอใจทจ่ี ะชว่ ยนำเสนอความคดิ เหน็
10. คนท่มี ีความมุ่งหมายเดยี วกนั มีพลงั ท่ีจะรวบรวมสติปญั ญาสัมพันธภาพและทรพั ยากร
11. ทบทวนองคก์ ารและรูส้ กึ อ่อนมาหาวิธเี ปลย่ี นแปลงให้เกิดพลงั
12. รว่ มกันต้งั 3 ดว้ ยความมุ่งหมายเดียวกันและจัดการรว่ มกนั
13. ความแตกตา่ งของประสบการณ์และประเพณีเป็นพลงั สร้างสรรค์ในการพฒั นา

28

14. กำหนดรูปแบบงานการจดั การดำเนนิ งานและปรับปรุงงาน

จดุ แขง็ และจุดออ่ นของ A-I-C

จุดแขง็ ของ A-I-C

1. เกิดความรว่ มมอื กันทางด้านสติปัญญาและทรพั ยากรทำให้มีพลัง
2. คนไดค้ วามเปน็ ผูน้ ำและรวู้ า่ เมื่อใดควรแสดงออก
3. สามารถประสานความแตกต่าง ความถือตนของแต่ละคนมาเป็นพลังในการจัดการดำเนินงานและ
ประเมินผลอย่างสรา้ งสรรคไ์ ด้
4. เป็นเครื่องมือของการจัดการเพื่อวางแผนกลวิธีหาวิธีแก้ปัญหา ลดความขัดแย้งของคนที่มีส่วนได้
ส่วนเสยี ในเรื่องเดยี วกนั
5. สรา้ งทมี งานพัฒนาหน่วยงาน พัฒนากลุ่ม ชุมชน เพ่ิมการมสี ่วนรว่ ม
6. พฒั นาการจดั การดว้ ยวิธีการใหม่ทไี่ ด้ผลในการพฒั นาคนไปพรอ้ มกนั

จดุ ออ่ นของ A-I-C

1. กระบวนการนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่องในหน่วยงานจึงจะสัมฤทธิ์ผลและทุกคนมีความรู้สึกพอใจกับ
งาน

2. ไม่มีการตัดสินใจว่าจะให้ใครทำอะไร ผู้ประชุมเป็นผู้เลือกเสนอตัดสินเอาเองว่าตนเองมีศักยภาพ
จะทำอะไรได้ อิทธิพลที่ได้รับจากการอภิปรายกับผู้อื่นในขั้นตอนต่างๆมีผลกระทบต่อสถานะของตนเอง จึง
ต้องชงั่ ใจยอมรับสภาพความพร้อมและยอมรับผูอ้ ่ืน ซึ่งอาจทำไดไ้ ม่ง่ายๆนะ

3. ทำแผนร่วมกับผู้อื่นหลายระดับงานและต่างประสบการณ์ จะต้องเชื่อผู้อื่นบ้าง จึงยากที่ผู้เคยชิน
การทำแผนกบั คนพวกเดยี วกันจะยอมเปล่ียนแปลง

จากความหมายและแนวคิดดังที่กล่าวมาแล้วผู้ศึกษาจึงสรุปได้ว่าเทคนิค A-I-C เป็นกระบวนการ
เรียนรู้ โดยเปดิ โอกาสใหส้ มาชิกได้มกี ารส่อื สารแลกเปล่ียนประสบการณ์ มกี ารระดมสมองในเชิงสรา้ งสรรค์ ซ่ึง
ทำให้เกิดความเข้าใจในปัญหา ค้นหาวิธีในการแก้ปัญหา วางแผนร่วมกัน และทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้
เป็นการทำงานร่วมกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางท่ดี ีตามทีต่ ัง้ ไว้และเกดิ การพัฒนาทีย่ ง่ั ยืนต่อไป

งานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วขอ้ ง

งานวจิ ยั ในประเทศ

ราตรี พูลพัฒน์ (2553) ไดศ้ ึกษาวจิ ัยเร่อื ง การมสี ว่ นร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน ใน
การบริหารงานของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพ่ือ
ศึกษาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานของโรงเรียนในสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 และเพื่อเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของผู้แทน

29

คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
กาฬสินธุ์เขต 3 จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ขนาดสถานศึกษา และประเภทของ
คณะกรรมการสถานศึกษา ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมขอคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการ
บริหารสถานศึกษา โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 ทั้ง 4 ด้าน ด้านการบริหาร
วิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการบริหารงานทั่วไป โดยภาพรวมและ
รายข้ออยู่ในระดับมาก โดยการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารสถานศึกษา
โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกัน
นั้น การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการไม่แตกต่างกัน ส่วนคณะกรรมการที่มีขนาดโรงเรียนและประเภทของ
คณะกรรมการสถานศึกษาแตกตา่ งกันอย่างมีนยั สำคญั ทรี่ ะดับ .05

พระมหาเตมิ โทบุรี (2554) ไดศ้ ึกษาการมสี ว่ นร่วมของชุมชนในโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม แผนกสามญั
ศึกษาในกรุงเทพฯใน 4 ด้านคือ ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร และด้านบริหารทัว่ ไป เก็บข้อมลู
จากกลุ่มตัวอย่างเป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษา ประธานชุมชน และสมาชิกชุมชนจำนวน 213 คน
ผลการวิจัยพบวา่ การมสี ่วนรว่ มของชุมชนทง้ั โดยภาพรวมและรายดา้ นท้งั 4 ดา้ นอยู่ในระดับปานกลางทกุ ดา้ น
เมอ่ื เปรียบเทียบการมีส่วนรว่ มตามความเห็นของกลุ่มตวั อย่างจำแนกตามระดบั การศกึ ษาและประสบการณ์ใน
การทำงาน พบว่าการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนทัง้ โดยรวมและรายดา้ นไมแ่ ตกตา่ งกนั เพ่อื ให้ชุมชน
เข้ามามีส่วนร่วมในด้านต่างๆมากขึ้น พบว่าด้านวิชาการควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาหาแนวทางใน
การจัดทำหลักสูตรและวางแผนจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมด้าน งบประมาณควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมใน
การพิจารณางบประมาณและเบิกจ่ายงบประมาณของโรงเรียน ด้านบุคลากรชุมชนควรคัดเลือกผู้ที่มีความรู้
ความสามารถทางการบริหารการติดต่อประสานงานและการประชาสัมพันธ์เพื่อเสนอโรงเรียนคัดเลือก และ
ด้านบรหิ ารทวั่ ไปควรใหช้ ุมชนรว่ มเป็นกรรมการในการจดั กิจกรรมในวนั หยดุ หรือวนั สำคญั ทางศาสนา

พิชนาถ เพชรนาชม (2554: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี
เขต 2 ผลการศึกษาพบวา่ 1) ปญั หาการมสี ว่ นร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พื้นฐานในการบริหารงาน
สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับน้อย เมื่อ
พิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับน้อยเช่นกัน 2) การเปรียบเทียบปัญหาการมีส่วนร่วมของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 จำแนกตามวุฒิการศึกษา พบว่าปัญหาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ยกเว้นด้านการบริหารงานบุคคลแตกต่างกันที่ระดับ .05 3) การเปรียบเทียบ
ปัญหาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่าปัญหาการมีส่วนร่วม
ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งโดยรวมและรายด้านทุกด้านแตกตา่ งกันอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติ
ท่รี ะดับ .01

เอื้อมพร เครือบุตรดา (2554) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน
พื้นฐานที่มีต่อการพัฒนางานสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีต่อการพัฒนางาน
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี และเพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของ

30

คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีต่อการพัฒนางานสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดองค์การบริหารส่วน
จังหวัดอุบลราชธานีใน 4 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านงานบริหารบุคคล และด้านงานบริหาร
ทว่ั ไป จำแนกตามสภาพ ตามประสบการณ์ และระดับการศกึ ษา ผลการวิจัยพบ วา่ คณะกรรมการสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐาน มีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีต่อการพัฒนา
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับ
ปานกลาง ซึ่งเป็นเพราะคณะกรรมการคิดว่าการจัดการศึกษาเป็นหน้าที่ของครู ตนเองไม่มีเวลาและยังไม่
เข้าใจ บทบาทหน้าที่ของตนอย่างแท้จริง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีสภาพประสบการณ์และ
ระดับการศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีต่อการพัฒนางานในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด
อบุ ลราชธานโี ดยภาพรวมและรายดา้ นแตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05

ยัน แก้วบุญมา (2554: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น
พื้นฐานในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวน
ชายแดน ผลการศกึ ษาพบวา่ 1) การมสี ่วนรว่ มของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานในการบริหารงานของ
โรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับเป็นบางครั้ง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าระดับการมีส่วนร่วมเป็นอันดับ
แรกอยู่ในระดับบ่อยๆ ได้แก่ การบริหารงานทั่วไปและการบริหารงานวิชาการ ตามลำดับ 2) ผลการวิเคราะห์
ปัญหาและข้อเสนอแนะในการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาในการบริหารจัดการการศึกษาของ
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นดังนี้ 2.1) ปัญหาด้านการ
บริหารวิชาการ พบว่าคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความรู้ในเรื่องของวิชาการที่ไม่เพียงพอ ซ่ึง
ข้อเสนอแนะ คือ ควรให้ความรู้ที่จำเป็นด้านวิชาการกับคณะกรรมการสถานศึกษา 2.2) ปัญหาด้านการ
บริหารงานทั่วไป ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการประชุม ติดตามงานของ
สถานศึกษามากนัก ซึ่งข้อเสนอแนะ คือ ควรจัดให้คณะกรรมการสถานศึกษามีการเข้าร่วมประชุมทุกๆ เดือน
และมีการศึกษาดูงานควบคู่กันไปด้วย 2.3) ปัญหาด้านการบริหารงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณไม่เพียงพอ
ตอ่ การใชจ้ ่ายในดา้ นต่างๆ และการบรหิ ารงบประมาณไม่เบ็ดเสรจ็ ภายในโรงเรียน ซึ่งข้อเสนอแนะ คือ ควรให้
โรงเรียนบริหารงานด้านงบประมาณให้เบ็ดเสร็จภายในโรงเรียน และควรเพิ่มงบประมาณสนับสนุนหลายๆ
ด้านเพื่อนำมาใช้จ่ายในส่วนที่มีความจำเป็น 2.4) ปัญหาด้านบุคลากร ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาไม่
ทราบบทบาทหนา้ ทีข่ องตนเอง ซึ่งข้อเสนอแนะ ได้แก่ ควรให้ความรู้เก่ียวกบั บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ
สถานศึกษาอยา่ งสม่ำเสมอ เพอ่ื ให้คณะกรรมการสถานศกึ ษาทราบถึงสง่ิ ท่จี ะต้องปฏิบตั ิ 3) แนวทางการมีส่วน
ร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารจัดการการศึกษาในโรงเรียนตำรวจตระเวน
ชายแดน สังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนทั้ง 4 ด้าน พบว่าโดยภาพรวมนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอ
แนวทางการมีส่วนร่วมด้านการบริหารทั่วไปเป็นอันดับแรก รองลงมาได้แก่ ด้านการบริหาวิชาการ ด้านการ
บริหารงบประมาณ และด้านการบริหารบุคลากรตามลำดับดังนี้ 3.1) ด้านการบริหารทั่วไป ควรมีส่วนร่วมใน
การประชาสัมพันธ์ให้ผู้นำชุมชน ผู้ปกครอง และประชาชนในชุมชนได้ทราบถึงความจำเป็นของการนำ
เทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน 3.2) ด้านการบริหารวิชาการ ควรมีการส่งเสริ มการจัด
โครงการเพ่อื หารายได้ เพ่อื นำไปพัฒนาสือ่ เทคโนโลยี ควรจัดหาผสู้ นับสนนุ วัสดอุ ปุ กรณ์ด้านวชิ าการทั้งภาครัฐ
เอกชน และชุมชน และควรจัดการสรรหา ผู้สนับสนุนด้านการเงินและจัดหาวัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา 3.3)
ด้านการบริหารงบประมาณ ควรมีส่วนร่วมในการให้ข้อเสนอแนะในเรื่องของการระดมทุน การพัฒนา

31

สนับสนุนจัดหาทุน และสนับสนุนแรงงานในการดำเนินงาน 3.4) ด้านการบริหารบุคลากร ควรให้ข้อมูล
ยอ้ นกลบั แกส่ ถานศกึ ษาในการปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากรและการพฒั นาให้ความเห็นในการโอนย้ายบคุ ลากร

อาณตั สายโสภา (2554: บทคัดย่อ) ได้ศกึ ษาเก่ยี วกบั การมสี ว่ นร่วมของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ัน
พื้นฐานในการบริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายคุณภาพการศึกษาวังสมบูรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ผลการศึกษาพบว่า 1) การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐานในการบริหารงานของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายคุณภาพการศึกษาวังสมบูรณ์ สังกัดสำนักงานเขต
พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 ทั้ง 12 ด้าน โดยภาพรวมอยใู่ นระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณา
เป็นรายดา้ น พบว่าอยู่ในระดับมาก 1 ด้าน ได้แก่ ด้านการปฏิบตั กิ ารอ่ืนตามทไี่ ดร้ บั มอบหมายจากสถานศึกษา
หรือหน่วยงานต้นสังกัด ที่เหลืออยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด 2) ผลการเปรียบเทียบการมีส่ วนร่วมของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายคุณภาพการศึกษาวัง
สมบูรณ์ สังกัดส านักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จ าแนกตามวุฒิการศึกษา พบว่า
โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของ
คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานของสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายคุณภาพการศึกษาวัง
สมบูรณ์ สงั กดั สำนกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสระแกว้ เขต 1 จำแนกตามขนาดของโรงเรยี น พบว่า
โดยรวมแตกต่างกนั อย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05

สารีย์ ศรุอำโพธิ์ (2556 : 58-71) ศึกษาเรื่อง พัฒนาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของผู้นำชุมชน
ตำบลหาดส้มแป้น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ผลการศึกษาพบว่า ผู้นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ
พัฒนาชุมชนโดยรวมอยูใ่ นระดบั ปานกลาง แต่มีความต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสรมิ การมีส่วนรว่ มใน
การพัฒนาชมุ ชนของผูน้ ำท้องถิ่นในระดบั มากทกุ ด้าน คอื ด้านเศรษฐกิจ ด้านการปกครอง ดา้ นผ้นู ำชุมชนการ
พฒั นา และดา้ นประชาชน

รุสดีย์ ดอหะ (2556: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น
พื้นฐานในการบริหารการจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาในโรงเรียนของรัฐที่จัดการศึกษาอิสลามแบบเข้ม
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดนราธิวาส ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วม
ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารจัดการการสอนอิสลามศึกษาในโรงเรียนของรัฐ
ดังกล่าวข้างต้น โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารจัดการการสอนอิสลามศึกษาในโรงเรียนของรัฐดังกล่าว
ข้างต้น เมื่อแยกตามตัวแปรขนาดของโรงเรียนและระดับการศึกษา พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน 3) แนว
ทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาในด้านการบริหารงานวิชาการนั้น ให้สถานศึกษา
ควรมีการจัดประชุมกับคณะกรรมการสถานศึกษาในด้านการบริหารงานงบประมาณ ให้คณะกรรมการ
สถานศึกษาควรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้งบประมาณต่างๆ ส่วนในด้านการบริหารงานบุคคล
คณะกรรมการสถานศึกษาควรมีส่วนร่วมในการผลักดัน สรรหา และพัฒนาบุคลากร ในด้านการบริหารงาน
ทั่วไป คณะกรรมการสถานศึกษาต้องมีความสามารถในการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงาน
ตา่ งๆ ของสถานศึกษา ตลอดจนจดั แหล่งเรียนร้ขู องชมุ ชนท่เี หมาะสมสำหรบั เปน็ แหลง่ เรียนรขู้ องนกั เรยี น

รงุ่ ฤดี แคลว้ คลาด (2557: บทคัดยอ่ ) ได้ศกึ ษาเกี่ยวกับสภาพปญั หาและแนวทางการพัฒนาการมีส่วน
ร่วมในการบริหารสถานศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น
พื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) สภาพ

32

การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต
1 โดยภาพรวม จำแนกตามวุฒกิ ารศึกษาและขนาดของโรงเรียน พบวา่ แตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติ 3)
ปญั หาการมีสว่ นร่วมของคณะกรรมสถานศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน สภาพการมสี ่วนรว่ มของคณะกรรมการสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 4)
ปญั หาการมสี ่วนรว่ มของคณะกรรมสถานศึกษาข้ันพนื้ ฐาน สภาพการมสี ่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 จำแนกตามสถานภาพและวุฒิการศึกษา
พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 5) แนวทางการมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาของ
คณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน ปญั หาการมสี ว่ นรว่ มของคณะกรรมสถานศกึ ษา ข้ันพื้นฐาน สภาพการมี
ส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
พบว่า คณะกรรมการได้เสนอคณะทำงานในด้านการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาสถานศึกษาแผนปฏิบัติ
ประจำปี การจัดทำสาระของหลักสูตร การจัดการทรัพยากร การใช้แหล่งเรียนรู้ที่อยู่ภายในท้องถิ่น รวมท้ัง
การจัดทำขอ้ มูลพื้นฐานของเดก็ ในเขตบริการดว้ ยเชน่ กนั

จากงานวิจัยข้างต้น สรุปได้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการบริหารงาน
โรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาสถานภาพที่แตกต่างกันจะมีระดับการมีส่วนร่วมท่ี
แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกตวั อยา่ งเช่น กลมุ่ ตัวอย่างทม่ี ีวฒุ ิการศกึ ษาท่ีแตกตา่ งกัน มีระดับการมี
ส่วนร่วมต่อการบริหารงานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแตกต่างกัน ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีสถานภาพเป็ นอายุท่ี
แตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการบริหารงานโรงเรียนแตกต่างกัน ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีประสบการณ์ในการท ำที่
แตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน และจากงานวิจัยข้างต้น ปัญหาของ
คณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานในการบริหารงานโรงเรียนส่วนใหญ่อยใู่ นระดับปานกลาง

งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ

Temieden (2009) ได้ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษา
ของโรงเรียนสามหมู่บ้านบริเวณชนบทของเอธิโอเปีย ได้แก่ หมู่บ้าน Khisha, อยู่บ้าน Triab, และหมู่บ้าน
Shinkah ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของหมู่บ้านทั้ง 3 มีรูปแบบที่
แตกต่างกันโดยองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานในพื้นที่ได้บูรณาการแนวคิดของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการ
ปฏิบัติภารกิจ ซึ่งส่งผลให้ชุมชนลำดับความสำคัญของโครงการในโรงเรียนของพวกเขา นอกจากนี้องค์กร
พัฒนาเอกชนที่ทำงานในพ้ืนที่ยังสร้างความสัมพันธ์ทำให้เกิดความไว้วางใจจากชุมชน อีกทั้งยังได้รับอิทธิพล
บวกในด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนในหมู่บ้าน จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองชุมชนและครูในหมู่บ้าน Khisha,
อยู่บ้าน Triab, และหมู่บ้าน Shinkah แสดงให้เห็นว่าสภาพทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มีอิทธิพลต่อ
ระดับของการมีส่วนร่วมของชุมชน เท่าที่เห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้าน Khisha ผู้ปกครองยังชี้ให้เห็นว่า
พวกเขากำลงั ไดร้ บั แรงจงู ใจที่จะมสี ่วนรว่ มในการพฒั นาโรงเรยี นเพราะสขุ ภาพและความปลอดภัยของเดก็ ผ่าน
การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ เพื่อให้เกิดการพัฒนาโรงเรียนในท้องถิ่นและสหกรณ์ของเกษตรกรในที่สุด
ผลการศึกษาพบวา่ สว่ นใหญก่ ารมีส่วนรว่ มของชุมชนเป็นผลมาจากการมีปฏิสัมพนั ธใ์ นเชิงบวกระหว่างองค์กร
พัฒนาเอกชนในพื้นที่และรัฐบาลอย่างเป็นทางการ การค้นพบที่สำคัญของกรณีศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การมีส่วน
ร่วมของชุมชนรวมทัง้ ภาครัฐและกรพัฒนาเอกชนผู้มสี ่วนไดส้ ่วนเสียในระดับท้องถิ่น สามารถพัฒนาการศึกษา
และการเขา้ ถงึ ท่ีเพ่มิ ข้นึ ให้กับการศกึ ษา

33

Kitagawa (2011) ได้ศึกษา การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศกึ ษาและการบริหารที่ใช้โรงเรยี น
เป็นฐานใน อำเภอมาซาดา ประเทศยูกันดา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และศึกษาการมีส่วน
ร่วมของชุมชนในการศึกษาระดับประถมศึกษาในยูกันดา มีการพยายามที่จะหาเหตุผลว่าทำไมการมีส่วนร่วม
ของชุมชนไม่สามารถทำงานได้ผ่านการตรวจสอบการรับรู้ที่แตกต่างกันผู้มีส่วนได้เสีย โดยศึกษาจาก
คณะกรรมการการบริหารโรงเรียน (SMC) ซ่ึงประกอบด้วยบุคคลในชุมชนทอ้ งถ่นิ นน้ั ๆตลอดจนบุคคลท่ีทำงาน
อยู่ภายในโรงเรยี น และการศึกษาใช้กึง่ โครงสรา้ งสงั เกต สัมภาษณ์ เพ่ือเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ภาคสนามและระดับ
โรงเรียนรวม 15 โรงเรียนประถมศึกษาในอำเภอมาซาดา ที่ได้รับเลือกเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาและสัมภาษณ์
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในระดับอำเภอ 69 คน สำหรับผู้ตอบแบบสัมภาษณ์เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ ผล
การศึกษาครั้งนี้พบว่ามี 2 ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคของชุมชนที่จะเข้าร่วมในการจัดการศึกษาในบริบทของ
ประเทศยกู นั ดา เหตุผลแรกคือความสับสนในการรบั รูบ้ ทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชนท้ังในระดบั โรงเรยี น ผู้มี
ส่วนได้ส่วนเสีย (Headteachers ครูและชุมชน) แต่ละคนมีการรับรู้ที่แตกต่างๆในบทบาทของตนเอง ปัจจัยท่ี
2 คือความขัดแย้งที่พบระหว่างสมาชิกคณะกรรมการสถานศึกษา (SMC) ซึ่งส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการ
จดั การโรงเรียนของชมุ ชน

Zhu (2012) ได้ศึกษา การพัฒนาโรงเรียนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน : กรณีศึกษาโรงเรียน
ประถมศึกษาในประเทศทิเบต โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษาในโรงเรียนและ
ชุมชนท้องถิ่นบนพื้นฐานของกิจกรรมในโรงเรียนทุกวัน จากการสังเกตโรงเรียนและชุมชนในท้องถิ่นโดยการ
สัมภาษณ์นักเรียน ครู ผู้ปกครอง ผู้บริหารการศึกษา และวิเคราะห์เอกสารของโรงเรียน คิดว่าวิถี
ชีวิตประจำวันหรือวัฒนธรรมของคนในชุมชนท้องถิ่นส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการศึกษาอย่างยิ่ง นอกจากน้ี
การรับรู้บทบาทและหน้าที่ของตนในโรงเรียนและท้องถิ่นก็เป็นปัจจยั สำคญั ทีม่ ผี ลต่อการพฒั นาของการศึกษา
ภาคบังคับโดยรัฐบาลและท้องถิ่น การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นยังคงเป็นมุมมองที่มีประโยชน์ต่อการศึกษา
ของโรงเรียนในแง่ของการพัฒนาโรงเรียน ดังนั้นการที่ครูและผู้บริหารมีการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อการจัด
การศึกษาของโรงเรียนโดยการเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการ
ดำเนนิ การสำหรบั การจัดการศกึ ษาภาคบังคบั ในพ้ืนที่

Taniguchi (2012) ได้ศึกษาเรื่อง การมีส่วนรว่ มของชุมชนทีม่ ีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและ
การจัดการโรงเรียน : โรงเรียนประถมศึกษาในตำบลอ่าว Nkhata ประเทศมาลาวี พบว่าหลังจากมีนโยบาย
เรียนฟรีในระดับประถมศึกษาของประเทศมาลาวี ส่งผลให้มีจำนวนผู้เข้าเรยี นระดบั ประถมศกึ ษาเพ่ิมขึน้ อย่าง
มาก จากสภาพดังกล่าวชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารโรงเรียนเพื่อที่จะปรับปรุงคุณภาพของการศึกษา
ซึ่งรัฐบาลของประเทศมาลาวีต้องใช้วิธีการนี้เนื่องจากข้อจำกัดทางงบประมาณของประเทศ โดยชุมชนจะมี
ส่วนร่วมสนับสนุนด้านงบประมาณให้กับโรงเรียน เพื่อให้โรงเรียนนำไปใช้ในการจัดการศึกษา การมีส่วนร่วม
ของชุมชนนอกจากจะทำให้การจัดกิจกรรมการศึกษาบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จากการสัมภาษณ์อาสาสมัคร
ของการศึกษาครั้งนี้ซึ่งก็คือ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการบริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง พบว่าการที่
ชุมชนเขา้ มามสี ่วนร่วมสนบั สนุนในการจดั การศึกษาส่งผลให้มีผลสัมฤทธ์ขิ องนกั เรียนสงู ข้ึนอีกด้วย

Kimu (2012) ได้ศึกษา การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในประเทศเคนยา พบว่าการมีส่วนร่วมของ
ผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของประเทศเคนยาจะถูกจำกัด โดยการมีส่วนร่วมส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของการ
บริจาคเงินและการประชุมร่วมกันระหว่างครูและผู้ปกครองเป็นหลัก จากความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุง
คุณภาพของการศึกษาของสถานศึกษาแต่ละแห่งทำให้มการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญที่มิอาจ
ละเลย ได้การจัดการศึกษาจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความคิดริเริ่มใน

34

การปรับโครงสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองโดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในโรงเรียน และรูปแบบการมี
สว่ นรว่ มของผปู้ กครองในโรงเรยี นสามารถทำได้โดยการออกกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้องกับการเป็นผ้ปู กครองนักเรียน
และสนับสนุนให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา โรงเรียนต่างๆของประเทศเคนย่าได้นำการมี
ส่วนรว่ มมาใช้เพ่อื ตรวจสอบการปฏบิ ตั ิงานในการบริหารสถานศึกษา รวมถงึ การนำคำแนะนำของผู้ปกครองมา
ปรับปรงุ การปฏบิ ตั ิงาน

จากงานวิจัยข้างต้น สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนจะช่วยให้งานบรรลุตามเป้าหมายทางการ
ศึกษาที่วางไว้ร่วมกัน การที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถ บทบาทหน้าที่ของ
ตนเอง ซึ่งจากสภาพปัญหาข้อจำกัดและความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและการให้ความสำคัญกับชุมชนท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมซ่ึง
สอดคล้องกับแนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ประการ คือ 1) กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง และวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะใน
การพัฒนาการศึกษาหรือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลัก “บวร” (การมีส่วนร่วมของ บ้าน วัด โรงเรียน)
จึงจะทำให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพสอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น 2) ปัญหาและข้อจำกัดการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น โดยพบว่ายังมี
จำนวนน้อยและยังไม่เป็นพลังอย่างแท้จริงในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามแนว
เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาพ.ศ. 2542 และการจัดระเบียบบริหารราชการเขตพื้นที่การศึกษา
(มาตรา 39) ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงได้ศึกษาและพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาข้ัน
พื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยคาดหวังว่า
ผลการวิจัยจะทำให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาตามกระบวนการวิจัยจะมีความรู้
ความเขา้ ใจ เจตคติ และทักษะทด่ี ีในการมีสว่ นร่วมในการบรหิ ารจัดการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานสงู ข้ึนและสามารถนำ
ผลวจิ ัยไปใช้กับคณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานอ่นื ๆไดต้ ่อไป

บทที่ 3
วิธดี ำเนินการวจิ ัย

การวิจัย การพัฒนารูปแบบการบริหารในลักษณะการมสี ่วนรว่ มของชมุ ชนที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ
ของการบริหารจัดการสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่ ผู้วิจัยได้ดำเนินการโดยการกำหนดขั้นตอน
และวธิ กี าร ดังนี้

1. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง
2. เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
3. การเก็บรวบรวมข้อมลู
4). การวิเคราะห์ข้อมูล
5. สถติ ิท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

ข้นั ตอนที่ 1 ศึกษาปัญหาและความตอ้ งการมสี ่วนรว่ มบรหิ ารจดั การศึกษาขน้ั พ้นื ฐานของคณะกรรมการ
สถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานในสังกดั เทศบาลจงั หวัดกระบี่

35

ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง

1. ประชากร

ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดเทศบาลจังหวัด
กระบ่ี จำนวน 294 คน ใน 32 โรงเรียน

2. กลุ่มตัวอย่างทใี่ ช้ในการวิจยั เชิงปริมาณ

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนในสังกัด
เทศบาลจังหวัดกระบ่ี จำนวน 170 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling)
โดยใช้วิธีคำนวณจากสตู รของ ทาโร่ ยามาเน่ (Yamane. 1973: 725) ท่ีความคลาดเคลอ่ื น .05 ดงั นี้

n = N
1+Ne2

เมอ่ื n คอื ขนาดกล่มุ ตวั อยา่ ง
N คอื ขนาดของประชากร
e คอื ความคลาดเคลอ่ื นของการสุ่มตัวอยา่ ง

จากการคำนวณ n = 294
1+294(0.05)2

พบวา่ ประชากรจำนวน 294 คน ได้กลมุ่ ตัวอย่างประมาณ 170 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 57.82

จากนั้น ทำการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) จำแนกกลุ่มตัวอย่างในแต่ละเขต
พื้นที่การศึกษา โดยการคำนวณตามสัดส่วนด้วยค่าร้อยละ จากนั้นใช้การสุ่มตามจุดมุ่งหมาย (Purposive
Sampling) เป็นวธิกีารเลือกตัวอย่างโดยใช้วิจารณญาณของผู้วิจัยเอง โดยพิจารณาจุดมุ่งหมายของการวิจัย
หรือวตั ถปุ ระสงคข์องการวจิ ัยเป็นสำคญั

เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวิจัย

เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีขัน้ ตอนในการดำเนินการสร้างเคร่ืองมือ
ดงั นี้

1. ศึกษาบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับบทบาท ภาระหน้าที่ของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น
พื้นฐาน พ.ศ. 2543 คู่มือสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคล เอกสาร ตำรา วารสารและงานวิจัยท่ี
เกย่ี วข้อง เพื่อเป็นขอ้ มูลในการสรา้ งเครอื่ งมือ

2. ทำการลงสำรวจพื้นที่ โดยสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา ตัวแทนครู และประธานคณะกรรมการ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเลือกจากโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนต้นแบบด้านการมีส่วนร่วม ของคณะกรรมการ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 9 คน ใน 3 โรงเรียน เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีส่วนร่วมที่แท้จริง ก่อนจะนำไป
ประยกุ ตข์ ้อคำถามใหเ้ ขา้ กับแนวคดิ ต่างๆ ที่ได้ศึกษามา

36

3. กำหนดขอบข่ายการสรา้ งเคร่อื งมอื เพือ่ ให้ครอบคลมุ และสอดคลอ้ งกับขอบข่ายการมีส่วนร่วมของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารงานโรงเรียนในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบ่ี จำนวน 4 ด้าน
คอื

1) ด้านการบรหิ ารวิชาการ
2) ด้านการบรหิ ารงบประมาณ
3) ด้านการบริหารบุคคล
4) ดา้ นการบริหารทัว่ ไป
4. สร้างเครื่องมือให้ครอบคลุมตามภาระหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและการ
บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในด้านการบริหารวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการ
บริหารงานบุคคล และดา้ นการบรหิ ารทวั่ ไป โดยแบ่งแบบสอบถามเปน็ 3 ตอนดงั นี้
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา
อาชีพ รายได้ และตำแหน่งในคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เพื่อต้องการทราบ
ระดับปัญหาและความต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารจดั การศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษา
ข้ันพื้นฐานใน 4 ดา้ น คือ ดา้ นการบรหิ ารวชิ าการ ดา้ นการบรหิ ารงบประมาณ ดา้ นการบรหิ ารงานบุคคล และ
ดา้ นการบริหารท่ัวไป
ตอนที่ 3 เป็นความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาและความต้องการในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการ
บริหารจัดการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐานตามบทบาทหนา้ ที่ของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน โดยผู้ตอบสามารถ
ตอบได้ อสิ ระ
5. นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้ข้อเสนอแนะและนำมาปรับปรุง
แก้ไข
6. นำแบบสอบถามไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (Content validity)
7. นำผลตรวจสอบของผู้ทรงคณุ วุฒิมาหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง (Item objective congruence
index: IOC) ดังนี้ (พชิ ิต ฤทธจิ์ รูญ 2549: 242)
+1 หมายถงึ แน่ใจวา่ ข้อคำถามในแบบสอบถามมีความเท่ยี งตรงเชิงเน้อื หา
0 หมายถงึ ไม่แน่ใจวา่ ข้อคำถามในแบบสอบถามมีความเท่ยี งตรงเชงิ เนือ้ หา
-1 หมายถงึ แน่ใจว่าขอ้ คำถามในแบบสอบถามไมม่ ีความเทีย่ งตรงเชงิ เนอื้ หา
โดยค่าดัชนีความสอดคล้องจะต้องมีค่า ระหว่าง 0.50-1.00 จึงจะถือว่าข้อคำถามในแบบสอบถามมี
ความเท่ยี งตรงเชิงเน้อื หา (พิชิต ฤทธจ์ิ รญู 2549: 243)
8. นำเครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่ปรึกษาไปทดลองใช้กับ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนที่ไม่ใช่ประชากรที่ใช้ในการศึกษาจำนวน 30 คน และ
วิเคราะห์หาความเชื่อมนั่ (Reliability) โดยใช้สูตรสมั ประสิทธ์ิแอลฟาของคอนบรคั เป็นการวดั การ สอดคล้อง
ภายใน (Internal consistency) โดยผู้วิจัยกำหนดค่าความเชื่อมั่นต้องมีค่าตั้งแต่ 0.80 ขึ้น ไป (ธีรวุฒิ เอกะ
กลุ 2550: 183) ไดค้ วามเชอื่ มนั่ ที่ 0.90
5. นำเคร่ืองมอื ทีผ่ ่านการปรับปรุงแกไ้ ขเรยี บรอ้ ยแลว้ ไปเกบ็ ขอ้ มลู กับกลมุ่ ตวั อยา่ งในการวจิ ัย

การรวบรวมข้อมูล

37

การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนนิ การโดยผู้วิจัยดำเนนิ การเองทงั้ หมด

การวเิ คราะหข์ อ้ มลู

1. วธิ ีการวิเคราะห์ข้อมลู ดำเนนิ การดงั นี้
1.1 ขอ้ มลู เชิงปรมิ าณ ดำเนนิ การโดยใชค้ อมพิวเตอรโ์ ปรแกรมสำเรจ็ รปู เพ่อื การวจิ ัยทางสังคมศาสตร์
1.2 ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ ดำเนินการโดยวิเคราะห์เชงิ เน้อื หา (Content Analysis)
2. สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล
2.1 ค่าร้อยละ (Percentage) ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานสถานภาพส่วนบุคคลของผู้ตอบ
แบบสอบถาม
2.2 ค่าเฉลี่ย ( ̅) เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางของคะแนนระดับปัญหาและ
ความต้องการมีส่วนร่วมในการจัดการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐา ในสังกัด
เทศบาลจงั หวดั กระบี่
2.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation S.D.) เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์ค่ากระจาย
ของคะแนน ระดับปัญหาและระดับต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐานในสงั กดั เทศบาลจงั หวัดกระบี่
3. เกณฑ์การให้คะแนนคำตอบและการจัดลำดับปัญหาและความต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารจัด
การศึกษาของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ในสังกดั เทศบาลจังหวดั กระบี่ กำหนดเกณฑไ์ วด้ งั นี้
3.1 การให้คะแนนคำตอบ
ลักษณะมาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดบั คือ

5 คะแนน หมายถึง การมสี ว่ นรว่ มอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด
4 คะแนน หมายถึง การมีสว่ นรว่ มอยู่ในระดบั มาก
3 คะแนน หมายถงึ การมสี ่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง
2 คะแนน หมายถงึ การมีส่วนร่วมอยใู่ นระดับนอ้ ย
1 คะแนน หมายถึง การมสี ่วนร่วมอยู่ในระดับน้อยท่สี ุด
และจากแบบสอบถามในตอนที่ 2 ใช้เกณฑ์แปลความหมายคะแนน 5 ระดับ โดยอาศัยเกณฑ์การหา
ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เป็นรายข้อ รายด้าน และรวมทุกด้าน
โดยใชเ้ กณฑ์การแปลค่าเฉลี่ยเป็น 5 ระดับ ดังนี้ (ชูศรี วงศร์ ตั นะ. 2550: 69)
คะแนนเฉลย่ี 4.51–5.00 หมายความวา่ ระดบั การมีส่วนร่วมมากท่สี ดุ
คะแนนเฉลยี่ 3.51–4.50 หมายความว่า ระดับการมีส่วนร่วมมาก
คะแนนเฉลีย่ 2.51–3.50 หมายความวา่ ระดบั การมสี ว่ นรว่ มปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี 1.51–2.50 หมายความว่า ระดับการมีส่วนร่วมน้อย
คะแนนเฉล่ีย 1.00–1.50 หมายความวา่ ระดับการมีสว่ นรว่ มนอ้ ยที่สดุ

ผู้วิจัยจะนำระดับปัญหาและความต้องการตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไป มากำหนดเป็นประเด็นใน
การศึกษาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ใน
สงั กดั เทศบาลจงั หวัดกระบ่ี ขนั้ ตอนตอ่ ไป

38

ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษา
ขนั้ พืน้ ฐานในสงั กดั เทศบาลจงั หวัดกระบ่ี

ผู้วิจยั ได้กำหนดรปู แบบและขน้ั ตอนการศึกษาดงั นี้
1. สร้างแผนประชุมปฏิบตั กิ ารพัฒนาการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการ
สถานศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน โดยประยกุ ตใ์ ช้เทคนคิ A-I-C ดำเนินการดังนี้
1.1 สร้างโครงรา่ งแผนประชมุ ปฏบิ ัติการโดยมีเคา้ โครงแผนประชุมปฏบิ ัตกิ ารดงั น้ี

1.1.1 หลักการและเหตุผล โดยใช้ข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมและผลการศึกษา
ภาคสนามจากการสอบถามกลุ่มประชากรที่ศึกษาจำนวน 30 คน มาใช้กำหนดหลักการและเหตุผล
เพื่อกำหนดเป็นแผนประชุมปฏิบตั กิ ารแก้ปญั หาและตอบสนองความต้องการมีส่วนร่วมในการบรหิ าร
จัดการสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐานของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน

1.1.2 วัตถปุ ระสงค์ กำหนดให้สอดคล้องกบั หลกั การและเหตผุ ลตามขอ้ 1.1.1
1.1.3 เนื้อหาหลักคือ การพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาใน 4 ด้าน
ดงั นี้

1) ดา้ นการบรหิ ารวิชาการ
2) ด้านการบริหารงบประมาณ
3) ด้านการบริหารงานบุคคล
4) ด้านการบรหิ ารท่วั ไป
โดยการพัฒนาการมีสว่ นรว่ มดังกลา่ วจะแลกเปล่ียนเรยี นรู้โดยผา่ นกระบวนการประชุมปฏิบัติการตาม
เทคนคิ A-I-C
1.1.4 เทคนิค/กจิ กรรมการพัฒนาการมีส่วนรว่ ม ใช้เทคนิคประชมุ ปฏิบัตกิ ารตามกระบวนการ A-I-C
1.1.5 ส่อื และอุปกรณ์ ประกอบด้วย
1) แผนปฏบิ ัติการพัฒนาการมีส่วนรว่ ม
2) กระดาษชารท์
3) ปากกาสเี มจกิ Power Point ประกอบการให้ความรู้
4) แบบทดสอบก่อนและหลังการประชมุ ปฏิบตั ิการ A-I-C
5) แบบสงั เกตผลการปฏบิ ัตกิ ารมีส่วนรว่ ม
1.1.6 การประเมินผลการประชุมตามแผนปฏบิ ตั ิการมสี ว่ นร่วม มีดังน้ี
1) การสงั เกตพฤตกิ รรมการมีสว่ นรว่ มกิจกรรม
2) การตอบข้อซักถาม
3) บรรยากาศการแลกเปล่ียนเรียนร้ตู ามกระบวนการ A-I-C
4) ผลการเปรยี บเทยี บคะแนนก่อนและหลงั ประชมุ ปฏบิ ัติการ
5) สังเกตพฤติกรรมและทักษะการมสี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารจัดการสถานศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน
1.1.7 ระยะเวลาในการประชมุ ปฏบิ ัติการ จำนวน 2 วัน
1.2 การประเมนิ แผนปฏิบตั ิการ การพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจดั การสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานในเครือข่ายเคียนซา-เขาตอก อำเภอเคียนซา จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี มี
ดังน้ี

39

1.2.1 ดำเนินการโดยนำโครงร่างแผงปฏิบัติการเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เพ่ือ
ตรวจสอบความเที่ยง (Validity) แล้วนำผลการใหข้ ้อเสนอแนะของอาจารย์ทปี่ รึกษามาแก้ไขปรับปรุง
เพื่อให้ได้มาซึ่งแผนประชุมปฏิบัติการพัฒนาการมีส่วนร่วม แล้วจึงนักร้องร่างแผนปฏิบัติการให้พูด
รอบรเู้ ฉพาะทางตรวจสอบตอ่ ไป

1.2.2 การตรวจสอบโดยผูร้ ับรองเฉพาะทาง จำนวน 5 คน ตรวจสอบประเมนิ ความเหมาะสม
และความสอดคลอ้ งของโครงรา่ งแผนประชมุ ปฏิบัติการ โดยตอบแบบประเมิน 3 ชอ่ ง ดงั น้ี

+1 หมายถึง แนใ่ จวา่ ขอ้ คำถามในแบบสอบถามมีความเทย่ี งตรงเชงิ เน้อื หา
0 หมายถงึ ไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อคำถามในแบบสอบถามมคี วามเทีย่ งตรงเชงิ เนื้อหา
-1 หมายถงึ แน่ใจว่าขอ้ คำถามในแบบสอบถามไม่มคี วามเท่ียงตรงเชิงเนอ้ื หา
โดยคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ งจะตอ้ งมคี า่ ระหว่าง 0.50-1.00 จึงจะถือว่าข้อคำถามในแบบสอบถามมี
ความเทยี่ งตรงเชงิ เน้ือหา (พิชติ ฤทธิ์จรูญ 2549: 243)

ขั้นตอนท่ี 3 ประเมินผลการพัฒนาการมีสว่ นร่วมในการบริหารจัดการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานของคณะกรรมการ
สถานศึกษาข้นั พน้ื ฐาน ในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบ่ี

ในการประเมินผลการพัฒนาการมีส่วนร่วมการบริหารจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการ
สถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐานในสังกดั เทศบาลจังหวดั กระบี่ ผวู้ จิ ัยได้กำหนดกรอบการประเมิน ดังตอ่ ไปนี้

1. พืน้ ทใ่ี นการศึกษา ไดแ้ ก่ โรงเรยี นในสงั กดั เทศบาลจงั หวัดกระบี่
2. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
2.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน อำเภอเคียนซาจังหวัดสุ
ราษฎรธ์ านี จำนวน 294 คน
2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยั ได้แก่ คณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐานในสังกัดเทศบาลจังหวัด
กระบี่ จำนวน 170 คน
3. การดำเนินการทดลอง
3.1 รูปแบบการทดลองใชร้ ปู แบบการทดลองแบบกลุ่มเดยี ววัดกอ่ น-หลงั การประชมุ ปฏบิ ัติการ
(Pretest-Posttest One Group Design)

R O1 X O2

เม่อื R แทน กลุ่มตวั อยา่ งท่ีได้จากการสุม่ แบบแบ่งชน้ั และการสุ่มตามจุดม่งุ หมาย ตามลำดบั
X แทน การดำเนินการประชุมตามแผนปฏบิ ตั กิ ารฯ
O1 แทน การทดสอบก่อนการประชมุ ตามแผนปฏบิ ัติการฯ
O2 แทน การทดสอบหลกั การประชมุ ตามแผนปฏบิ ัติการฯ

ภาพท่ี 3.1 รูปแบบการปฏิบัตกิ ารทดลอง

4. เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการวิจัย

40

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยการประเมินการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาของ

คณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน คอื

4.1 แบบทดสอบความรู้ แบ่งเป็น 4 ตัวเลือก โดยทดสอบความรู้ก่อนและหลังปฏิบัติการในด้านการ

บรหิ ารงานวิชาการ ด้านการบรหิ ารงบประมาณ ดา้ นการบรหิ ารงานบคุ คล และดา้ นการบรหิ ารทวั่ ไป

4.2. แบบวัดเจตคติ โดยเป็นการประเมินค่า 5 ระดับ (Likert Scale) วัดเจตคติก่อนและหลัง

ปฏิบัตกิ ารในด้านการบริหารงานวิชาการ ดา้ นการบรหิ ารงบประมาณ ด้านการบรหิ ารงานบคุ คล และด้านการ

บริหารท่ัวไป

4.3 แบบสงั เกตทกั ษะในการประชมุ เชิงปฏิบัตกิ ารการกระบวนการประชุมปฏบิ ตั ิการ A-I-C

5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู

การวจิ ัยในครง้ั นี้ดำเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยผูว้ จิ ัยเองทั้งหมด

6. การวิเคราะหข์ ้อมลู

1. การวิเคราะห์ข้อมูล ทดสอบความรู้ วัดทักษะ และเจตคติ โดยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรม

สำเรจ็ รปู สำหรบั การวจิ ัยทางสังคมศาสตร์

1.1 ค่ารอ้ ยละ (Percentage) เพ่ือจำแนกความรู้ ข้อมูลคณุ ลักษณะส่วนบคุ คลของบทดลอง

1.2 ค่าเฉลี่ย () เพื่อหาค่าความแตกต่างคะแนนของการปฏิบัติการประเมินก่อนและหลังการ

พฒั นาการมีส่วนร่วม

1.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation S.D.) เครื่องวัดการกระจายของ

คะแนนทดสอบระดับความรู้ เจตคติ และทักษะการมีส่วนร่วมก่อนและหลังปฏิบัติการพัฒนาการมี

สว่ นร่วม

1.4 สถิติ t-test ที่ระดับ .05 แบบ Dependent เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ความแตกต่างของ

คะแนนผลการเรยี นร้แู ละเจตคตกิ อ่ นและหลังการประชุมปฏบิ ตั ิการพัฒนาการมีส่วนรว่ ม

2. การวัดความรู้ เจตคติ และทักษะ กำหนดเกณฑใ์ ห้คะแนน ดังนี้

2.1 การใหค้ ะแนนคำตอบการทดสอบ

ตอบถูก ให้ 1 คะแนน

ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน

2.2 การประเมนิ เจตคติ

การวัดเจตคติของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการมีส่วนร่วมในการบริหารจัด

การศกึ ษากอ่ นและหลังการประชุมเชงิ ปฏิบตั กิ าร กำหนดเกณฑใ์ ห้คะแนน ดงั น้ี

1) การใหค้ ะแนนคำตอบในชอ่ งเห็นดว้ ย

ระดับเจตคติ คะแนน

มากท่ีสุด 5

มาก 4

ปานกลาง 3

น้อย 2

น้อยทสี่ ุด 1

2) เกณฑก์ ารจัดระดบั เจตคติตอ่ การมสี ่วนร่วม โดยถอื เกณฑด์ ังน้ี

41

ชว่ งคะแนนเฉล่ีย ระดบั เจตคติ
4.51 – 5.00 มากที่สุด
3.51 – 4.50
2.51 – 3.50 มาก
1.51 – 2.50 ปานกลาง
1.00 – 1.50
น้อย
น้อยทส่ี ดุ

2.3 การวัดทกั ษะการปฏิบัตไิ ด้

1) เกณฑ์ให้คะแนนแบบสังเกต กำหนดดังน้ี

ระดับปฏิบัติได้ คะแนน

มาก 3

ปานกลาง 2

นอ้ ย 1

2) เกณฑก์ ารจัดลำดบั การปฏบิ ตั ิ กำหนดดังน้ี

ช่วงคะแนน ระดบั ปฏบิ ัตไิ ด้

2.01 – 3.00 มาก

1.01 – 2.00 ปานกลาง

0.01 – 1.00 นอ้ ย

42

บรรณานกุ รม

43

บรรณานกุ รม

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2546). คู่มอื การบรหิ ารสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน ท่ีเปน็ นติ บิ คุ คล. กรงุ เทพฯ:
กระทรวงศึกษาธิการ.

กิ่งกาญจน์ ชมอทิ ร์. (2549). การมีสว่ นร่วมของชุมชนในการจดั การศึกษาของสถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน สงั กัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต,
มหาวิทยาลัยราชภฎั เพรชบรุ ี).

กาญจนา พรหมวงศ.์ (2546). การบริหารโรงเรยี นตามเกณฑม์ าตรฐานของผบู้ ริหารโรงเรียนประถมศกึ ษา
สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดระนอง. วิทยานิพนธ์ การศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์

คณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาต,ิ สำนกั งาน. (2545). แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คม
แห่งชาติ ฉบบั ที่ 9.

จรรยารักษ์ บณุ ยานเุ คราะห์. (2549). แนวทางการพฒั นาการมสี ่วนรว่ มของผู้ปกครองในการบรหิ ารจัดการ
สถานศึกษาเอกชน : กรณีศึกษาสถานศึกษาเอกชนระดับประถมศึกษาในจังหวัดนครราชศรีมา.
วิทยานพิ นธ์ ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์

จันทรานี สงวนนาม. (2545). ทฤษฎแี ละแนวปฏิบัติในการบริหารสถานศึกษา. กรุงเทพฯ : บคุ๊ พอยท์.
ชูชาติ พ่วงสมจิตร.์ (2548). การมีส่วนรว่ มในการบรหิ ารโรงเรยี นของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน

สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุพรรธบุรี. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราช
ภัฏกาญจนบรุ ี
ทองใบ สุดชาล.ี (2548). ภาวะผนู้ ำและการจูงใจ. (พิมพค์ ร้ังท่ี 2). อบุ ลราชธานี กรุงเทพฯ : บุ๊คพอ้ ยท.์
ธวัช เติมญวน. (2549). การพัฒนารูปแบบการจดั การเรียนการสอนท่ีมปี ระสิทธภิ าพในการจัดการศึกษา
ระดับปริญญาตรีของสถาบัญอุดมศึกษา สังกัดกรมศิลปากร. การศึกษาดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรี
นครนิ ทรวโิ รฒ.
นรินทร์ชยั พฒั นพงศา. (2546). แนวทางการมีสว่ นร่วม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
นำ้ ทิพย์ เสอื สารตั น.์ (2546). การมสี ่วนร่วมของผปู้ กครองในการจัดการศึกษาในโรงเรยี นอนบุ าลเอกชน

44

กรุงเทพมหานคร. วทิ ยานพิ นธ์ ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.

บงกศ อาษา. (2548). การมีสว่ นร่วมของครูในการบรหิ ารงานโรงเรียนมธั ยมศึกษา สังกดั เขตพน้ื ทก่ี ารศึกษา
กระบี.่ วิทยานิพนธ์ ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์

ปัญหา สิทธิพล. (2545). ความตอ้ งการมสี ่วนร่วมของครูในการบริหารโรงเรียนประถมศึกษา สงั กัดสำนกั งาน
การประถมศึกษา อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวทิ ยาลยั บรู พา.

พนม พงษ์ไพบูลย์ และคณะ. (2546). รวมกฎหมายการศกึ ษาเข้าสู่โครงสรา้ งใหม่ กระทรวงศกึ ษาธิการ.

กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช.

เพลนิ ตา กะลัมพา. (2544). การมีส่วนรว่ มในการวางแผนป้องกันสารเสพติดของคณะกรรมการสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐานโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา. สำนักงานการประถมศึกษาจังหวังสระบุรี.
วิทยานพิ นธ์ ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร.

มานะ ทองรักษ.์ (2549). รายงานผลการบรหิ ารจดั การโรงเรียนเพื่อพฒั นาสคู่ วามเปน็ เลิศ. กรงุ เทพฯ : ธาร
อักษร.

วมิ ล มว่ งเงิน. (2549). การปฏริ ปู การบริหารแบบมสี ว่ นร่วมของคณะกรรการสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
สถานศึกษาในอำเภอสรรพยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยนาท. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตร
มหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค.์

วโิ รจน์ สารรัตนะ. (2547). โรงเรียน : แห่งการโรงเรียน. กรงุ เทพฯ : หจก. ทิพยวสิ ุทธ,ิ์ 2548.

ศริ ิกาญจน์ โกสุมภ์. การมีส่วนร่วมลองชมุ ชนและโรงเรยี นเพือ่ การจดั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน. วทิ ยานพิ นธ์ ครศุ า
สตรมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.

ศิรพิ งษ์ เศาภายน. (2547). หลกั การบริหารการศึกษา : ทฤษฎีและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ : บ๊คุ พ้อยท์.

สมยศ นาวกี าร. (2549). การบริหารแบบมีส่วนรว่ ม. กรุงเทพฯ : บรรณกจิ .

สฤษด์ิ มินทระ. (2548). การรบั รแู้ ละความคาดหวงั ในการบริหารโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐานของบุคคลากร
โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดยโสธร. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

สนธยา โปอนิ ทร์. (2553). พัฒนาการมีสว่ มร่วมของประชาชนในการวางแผนพัฒนาตำบล ตำบลนำ้ พุ อำเภอ
บา้ นนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี. วทิ ยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑติ วทิ ยาลยั ราชภฏั สุราษฎรธ์ านี.

สเุ ทพ หาญประเสริฐ. (2547). การมีสว่ นรว่ มจัดการศึกษาของคณะกรรมการสถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐานโรงเรียน
ประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น. วิทยานิพนธ์ ศึกษา
ศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น.

45

สุเทพ บญุ เตมิ . (2549). การพัฒนารปู แบบการกำกบั ตดิ ตามสถานศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน. วทิ ยานพิ นธ์ ศกึ ษา
ศาสตรดุษฎีบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น.

สวุ ชั พานชิ วงษ.์ (2549). การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองนักเรียนในการส่งเสริมการเรียนรู้ของนกั เรยี น ในเขต
อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุร.ี วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรนี ค
รนิ ทรวิโรฒ.

เสรมิ ศักด์ิ วศิ าลาภรณ.์ (2547). การบรหิ ารจดี การท่โี รงเรียนเปน็ ฐาน. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .

อนนั ตชยั อุทยั พัฒนาชพี . (2548). การบริหารแบบมีส่วนร่วม. ข่าวศนู ยก์ ฎหมายธรุ กจิ . 9(9) : 36-39.

เจมส์ แอล เครย์ตัน. (2551). คมู่ อื การมสี ่วนร่วมของประชาชน. แปลจาก The Public Participation
Handbook. แปลโดย วันชัย วฒันศัพท์, ถวิลวดี บุรีกุล และเมธิศา พงษ์ศักดิ์ศรี. ขอนแก่น: โรง
พมิ พศ์ ิริภณั ฑ์ ออฟแซท็ .

ชศู รี วงศร์ ตั นะ. (2550). เทคนคิ การใช้สถิตเิ พื่อการวิจยั . พิมพ์คร้ังท่ี 10. กรุงเทพฯ: ไทยเนรมติ กจิ อินเตอร์
โปรแกรสซฟิ .

ถวลิ เกษสพุ รรณ.์ (2552). การมสี ว่ นร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐานในการ บริหารการศึกษา
โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 5. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรม
หาบณั ฑติ , มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎอบุ ลราชธาน)ี .

ธวัช เสอื ทรงศิล. (2550). ปจั จยั เชิงสาเหตุทม่ี ีผลต่อการมสี ่ วนร่วมของผู้ปกครองในการจดั การศึกษาของ
สถานศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน . (วทิ ยานิพนธค์ รศุ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑิต, มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎวไลยอลงกรณ์

เบญจรงค์ แสงสุกวาว. (2551). การมสี ่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานในการ บรหิ ารการ
ศึกษ าโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. (วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต,
มหาวิทยาลยั ราชภัฎอบุ ลราชธานี).

พงศธร พหรมเทศ. (2550). บทบาทการมีสว่ นร่วมของชมุ ชนในการจัดการศกึ ษาของโรงเรียน เอกชนใน
พระปริยัติธรรม แผนกสามัญ. (การค้นคว้าอิสระศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร). มาเรียม
นิลพันธ์. (2552). การศึกษาการเรียนรู้และแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ในการจัดการศึกษาของ
คณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐาน. วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตร์วิจยั , ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1, หนา้ 5.
ยุกตนนั ท์ หวานฉำ่ . (2555). การบริหารสถานศกึ ษากบั ประสิทธผิ ลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สงั กดั

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 . (วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต,
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุร)ี .

ยัน แกว้ บุญมา. (2554). การมีส่วนรว่ มของคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐานในการบริหารจัดการศึกษา
ของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน. (วิทยานิพนธ์ครุศา
สตรมหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎอุตรดติ ถ)์ .

วีณา เทย่ี งธรรม, สุนยี ์ ละกำปั่น, และอาภาพร เผ่าวฒั นา. (2555). การพฒั นาศักยภาพชมุ ชน : แนวคิด
และการประยุกต์ใช.้ กรงุ เทพฯ: บริษัท แดแน็กซ์ อินเตอรค์ อร์ปเปอเรช่นั จำกดั .

46

ศริ อิ ร กาคำ. (2556). แนวทางการสง่ เสริมการมสี ว่ นร่วมในการบรหิ ารงานวชิ าการสำหรับสถานศกึ ษาขนั้
พนื้ ฐาน สงั กดั สำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3. (วทิ ยานิพนธ์ครุศาสตรมหา
บณั ฑิต, มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย).

เสริมศักด์ิ วศิ าลาภรณ์ และคณะ. (2552). สภาพการจัดการศกึ ษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้. วารสารวชิ าการ.
ปีที่ 33. หนา้ 79-82.

อาณัต สายโสภา. (2554). การมสี ่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐานในการบรหิ ารสถานศึกษา
กลมุ่ เครอื ข่ายคุณภาพการศึกษาวังสมบูรณ์ สังกดั สำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษา ประถมศึกษาสระแก้ว
เขต 1. (งานนพิ นธก์ ารศกึ ษามหาบณั ฑิต, มหาวิทยาลัยบูรพา).

Bennett, Ralph M. , Jr. “Teacher Participation in Curriculum Development : A History of the
Idea and Practice,”Diss ertation Abstracts International. 12(December 2003):1073-A.

Gold, S. E. “Community Organizing at a Neighborhood High School; Promises and Dillemmas
in Building Parent-Educator Partnership and Collaboration,” Pro Quest Digital
Dissertation. 60(7), 2000.

Grossi, Diana Lynn. “The role of Superintendents in Engaging the Public in Defining the Goals
of Education”, Dissertation Abstracts International . 61(11 May 2011): 4241-A.

Printy, Susan M. “Communities of Practice : Participation patterns and professional Impact
for High School Mathematics and Science Teachers,” Dissertation Abstracts
International. 15 (June 2002): 1533-A.

Yamane, T. (1973). Statistics, an introductory analysis. 3 rd ed. New York: Harper & Row

Hersey, Paul, Kenneth H. Blanchard & Dewey E. Johnson. (2001). Management of
Organization.

Behavior : Leading Human Resources, Eight edition, New Jersey : Prentice Hall.

Normal T. Uphold, (1981). Farmer's participation in project Formulation Design and
Operation.

47

ภาคผนวก

ตวั อย่างเครอื่ งมือวิจัย

48

แบบบันทกึ การสัมภาษณ์
การพัฒนารปู แบบการบริหารในลักษณะการมสี ่วนร่วมของชมุ ชน ทีจ่ ะส่งผลตอ่ ประสิทธิภาพของ

การบรหิ ารจดั การสถานศึกษาในสงั กดั เทศบาลจังหวดั กระบ่ี
ขอ้ มลูการสมั ภาษณ์เชิงลึกมาผสมผสานกับการศึกษาข้อมูลจากหนงั สือ รายงานการวจิ ัย วทิ ยานิพนธ์ สาร
นพิ นธ์ท่ีเก่ยี วขอ้ ง เพือ่ ใหไ้ ดม้ าซง่ึ แนวทางในการสร้างแบบสอบถาม

ข้อมลูเบือ้ งตน้ ของผ้ใู หส้ มั ภาษณ์
วันเดอื นปีทสี่ ัมภาษณ์ ................................................................................................
เริม่ สมั ภาษณเ์ วลา …......…................น. จบการสมั ภาษณเ์วลา …................……...น.
ชอ่ื ผใู้ หส้ ัมภาษณ์ ........................................................................................................

สถานะ 1) ผบู้ ริหารสถานศึกษา
2) ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
3) ตวั แทนครู

ประเดน็ การสมภั าษณ์
1. ดา้ นการบริหารวิชาการ มปี ระเดน็ อะไรบา้ ง เชน่
- การพฒั นาหลักสูตรใหส้ อดคลอ้ งกบั หลักสตู รแกนกลาง
- กระบวนการจัดการเรียนการสอน
- แหล่งเรียนรู้ภายในและนอกโรงเรียน
2. ด้านการบริหารงบประมาณ มปี ระเด็นอะไรบา้ ง เชน่
- ระดมทนุ การศึกษาให้กับโรงเรียน
- การบรหิ ารงบประมาณใหก้ บั โรงเรยี น
- ตรวจสอบการใช้งบประมาณของสถานศึกษา
3. ดา้ นการบรหิ ารบุคคล มปี ระเดน็ อะไรบา้ ง เชน่
- แผนอตั รากำลังข้าราชการครู
- วิทยากรภายนอกมาใหค้ วามรู้แก่นกั เรยี น

49

- ประเมินการปฏิบัตงิ านของขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา
4. ด้านการบรหิ ารทั่วไป มีประเด็นอะไรบ้าง เชน่

- แผนพัฒนาโรงเรียน
- เห็นชอบรายงานประจำปขี องสถานศกึ ษาก่อนเสนอต่อสาธารณชน
- จัดกิจกรรมรว่ มกบั ชมุ ชน

แบบสอบถามเพ่ือการวิจัย
เร่อื ง

คำชแ้ี จง
สอบถามน้ใี ชก้ ับ 1) นายกเทศมนตรี 2) ผู้อำนวยการสำนกั การศึกษา/ กองการศึกษา 3) ผู้อำนวยการ

สถานศึกษาในสังกัดเทศบาล และ 4) ประธานชุมชน ซึ่งข้อมูลที่ได้จาก ความคิดเห็นของท่าน มีค่าอย่างยิ่งต่อ
การวิจัยนี้ ผู้วิจัยขอรับรองว่าข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามฉบับน้ี จะเป็นความลับ การนำเสนอข้อมูลจะเป็น
ข้อมูลในภาพรวมเท่านั้น ผู้วิจัยขอความอนุเคราะห์จากท่าน ในการตอบแบบสอบถามให้ครบถ้วนทุกตอนและ
ทุกข้อ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาระดับความต้องการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของคณะกรรมการ
สถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน แบ่งเปน็ 2 ตอนดงั นี้

ตอนท่ี 1 ข้อมลู ทัว่ ไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 ข้อมูลเฉพาะดา้ น
1. ปญั หาการมสี ว่ นร่วมในการบรหิ ารจัดการศกึ ษาขั้นพื้นฐานของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน
พน้ื ฐาน สงั กัดเทศบาลจงั หวดั กระบ่ี
2. ระดบั ความตอ้ งการพฒั นาการมีสว่ นรว่ มในการบริหารจดั การศึกษาข้ันพน้ื ฐานของคณะกรรมการ
สถานศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ในสังกัดเทศบาลจังหวัดกระบี่
3. ความคดิ เหน็ เพม่ิ เตมิ เก่ียวกับประเดน็ ที่ต้องการฝกึ อบรมพัฒนาและปญั หาในการปฏบิ ัติงานด้าน
การบริหารจดั การการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐานของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน ในสงั กดั เทศบาลจงั หวัด
กระบี่

ขอความกรณุ าโปรดแสดงความคดิ เหน็ ทุกขอ้ ตามความเป็นจริง คำตอบของทา่ นจะมีประโยชนต์ ่อการ
จัดการศกึ ษาในสถานศึกษาตอ่ ไปข้อมูลท่ีได้นีจ้ ะไม่กระทบต่อการปฏิบตั ิงานในหนา้ ท่ขี องทา่ นเน่ืองจากผวู้ ิจัย
จะวิเคราะห์ในภาพรวม

50

ขอขอบพระคณุ เป็นอย่างสงู

(นางสาวจฑุ าภรณ์ ไพสฐิ สกลุ ธาดา)
นกั ศึกษาปริญาโท สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา

มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี

ตอนท่ี 1 แบบสอบถามเก่ยี วกบั ข้อมลู ทั่วไป

คำช้ีแจง โปรดทำเคร่อื งหมาย / ลงใน ( ) หน้าข้อความทต่ี รงตามความเปน็ จริงของทา่ น

1. เพศ
( ) ชาย
( ) หญงิ

2. อายุ
( ) ตำ่ กวา่ 30 ปี
( ) 30 - 40 ปี
( ) 41 - 50 ปี
( ) 51 ปขี น้ึ ไป

3. ระดบั การศึกษา
( ) ต่ำกว่าอนปุ รญิ ญา
( ) อนปุ รญิ ญา
( ) ปรญิ ญาตรี
( ) สงู กว่าปรญิ ญาตรี

4. อาชีพ
( ) ขา้ ราชการ
( ) รับจ้าง
( ) ค้าขาย
( ) เกษตรกรรม

5. รายไดเ้ ฉล่ยี ต่อเดือน
( ) ตำ่ กว่า 10,000 บาท
( ) 10,001 – 20,0000 บาท
( ) 20,001 บาทข้นึ ไป


Click to View FlipBook Version