The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Dr.Kusol Bogboon, 2020-07-31 01:14:41

อนัมศึกษา3 ebook

อนัมศึกษา3 ebook


หนังสือเรยี น

อนมั ศึกษา ส.๒๑๑๐๑

โรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามญั ศึกษา กลมุ่ ท่ี ๑๔

ทปี่ รึกษา
องพจนกรโกศล ดร. ประธานกลมุ่ ท่ี ๑๔
พระครูนนั ทกติ ติคณุ , ดร. ผู้อำนวยการ
องปลดั ธรรมปัญญาธิวัตร รองผ้อู ำนวยกสน

ผจู้ ดั ทำ/ออกแบบปก/รปู เล่ม/E-BOOK
ดร.กศุ ล บอกบญุ

โรงเรียนกุศลสมาครวิทยาลัย

ลิขสิทธิ์
โรงเรยี นกศุ ลสมาครวิทยาลยั ถนนราชวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรงุ เทพมหานคร ๑๐๑๐๐



คำนำ

หนังสือเรียน อนัมศึกษา ๓ เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทาง การจัดการเรียนการสอน
สำหรับครูและนักเรยี น ถือเป็นแหล่งข้อมลู ในการศึกษาหาความรู้ในเร่ืองของอนัมนิกาย หรือกลุ่ม
ชนที่สนใจศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจและเป็นประโยชน์กับนักเรียนนักศึกษาที่กำลังหาข้อมูล
หนังสือเล่มนี้เป้าหมายให้ครูและนักเรียนใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนรู้พร้อมกับการพัฒนาของ
ชมุ ชนชาวเวียดนาม ไม่ว่าจะเปน็ ประเพณี พิธีกรรม ถือเป็นวัฒนธรรมทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ในประเทศ
ไทย และเสริมสร้างพัฒนาการนักเรียนให้การเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรที่กำหนด ตลอดจน
การพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เพื่อสามารถเข้าใจในอนัมนิกายและการอยู่
รว่ มกันกับสังคมไทยไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียน อนัมศึกษาเล่มนี้ จะช่วยให้นักเรียนได้รับการ
พัฒนาความรู้ ความสามารถ ด้านอนัมนิกายในเนื้อหาสาระแต่ละเรื่องแต่ละหัวข้อที่สำคัญ ซึ่ง
องค์ประกอบชองหนังสอื เลม่ นี้จะชว่ ยส่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนเกดิ การเรียนรอู้ ยา่ งครบถ้วนตามหลกั สูตร

ดร.กศุ ล บอกบุญ
อาจารยป์ ระจำรายวิชาอนมั ศึกษา



คำชแี้ จง

หนังสือเรียน อนัมศึกษา๓ (ส.๒๑๑๐๑) เล่มนี้ ได้ออกแบบสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด
องค์ความรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อบูรณการแนวคิด
ทางการเรยี นร้อู ยา่ งหลากหลาย ประกอบด้วย

๑.ตวั ชีว้ ดั ช้ันปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนานักเรียน ซง่ึ สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้มี
รหัสของมาตรฐานการเรียนรู้ เช่น ส.๒๑๑๐๑ รหัสแต่ละตัวมีความหมายดังนี้ (ส.) หมายถึงกลุ่ม
สาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษาศาสนาและวฒั นธรรม

๒.สาระการเรยี นรู้ เป็นการจดั ระเบยี บและรวบรวมเนอื้ หาแต่ละหน่วยการเรียนรู้
๓.ประโยชน์จากการเรียนรู้ นำเสนอไว้เพอ่ื กระตุ้นให้นกั เรียนนำความรูแ้ ละทักษะจากการ
เรียนไปใช้
๔.คำถามนำ เป็นคำถามหรือสถานการณ์เพื่อกระตุ้นใหน้ ักเรียนเกิดความสนใจที่จะค้นหา
คำตอบ
๕.เน้ือหา แบง่ เป็นหวั ข้อ เรือ่ ง บท และหวั ขอ้ ยอ่ ย
๖.บทสรปุ เปน็ การทบทวนความรู้ แผนท่คี วามคดิ หลงั จากการเรยี นรู้ทุกครั้ง
๗.กิจกรรมเสนอแนะ เป็นกิจกรรมบูรณการทักษะที่รวมหลักการและความคิดรวมยอด
เรื่องตา่ งๆ ในแต่ละบทจนนำไปสู่การลงมือปฏิบตั ิ
๘.คำถามทบทวน เป็นคำถามแบบอตั นัยที่มุ่งถามเพื่อทบทวนผลการเรียนรู้
๙.ท้ายเล่ม ประกอบไปด้วย บรรณานกุ รม เอกสาร หนงั สอื ทีใ่ ช้ค้นคว้าอา้ งองิ

คณะผู้จดั ทำ

จ หนา้

สารบญั ค

เร่ือง จ

คำนำ ๑๒
คำช้แี จง ๒๔
สารบญั ๔๐
บทท่ี ๑ ประวัตคิ วามเปน็ มาของอนมั นกิ ายในประเทศไทย ๕๓
บทที่ ๒ สาระสำคัญทคี่ วรรู้เกย่ี วกับพระสงฆอ์ นมั นิกาย ๖๓
บทท่ี ๓ พระโพธิสัตวใ์ นพทุ ธศาสนามหายาน
บทท่ี ๔ หลักคำสอนและการกำเนดิ พุทธศาสนามหายาน ๗๕
บทที่ ๕ พระโพธสิ ัตวอ์ งคส์ ำคัญและศาสนวตั ถุ
บทท่ี ๖ ศาสนพธิ ีและพธิ ีกรรมทีส่ ำคัญของอนมั นิกาย

บรรณานุกรม



แผนท่ี ยุคอินโด-จนี (อาณานคิ มเวยี ดนาม)



บทท่ี ๑
ประวัติชาวญวนในประเทศไทย

จุดประสงคป์ ลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเขา้ ใจในประวตั ิความเป็นมาของชาวญวนในสมยั รชั กาลที่ ๔ และสามารถ

บอกได้ว่าถึงการอพยพของญวนพวกที่ ๓ ได้และมีจำนวนประชากรท่ีเข้ามาในประเทศไทยรวมถึงเข้าใจ
ในการต้งั ถ่นิ ฐานเพอ่ื ดำเนนิ อาชีพของชาวเวียดนามไดถ้ กู ตอ้ ง

จดุ ประสงคน์ ำทาง
๑. นกั เรียนสามารถบอกประวัติความเปน็ ของชาวญวนในรชั กาลท่ี ๔ ได้ถูกตอ้ ง
๒. นักเรียนวิเคราะห์การอพยพเข้ามาของชาวญวนพวกท่ี ๓ ไดช้ ัดเจน
๓. นักเรยี นรู้จำนวนประชากรเวยี ดนามในประเทศไทยต้ังแต่อดีตถึงปจั จบุ นั ได้
๔. นกั เรยี นอธิบายถึงอาชีพหลักของชาวอนมั ทเี่ ขา้ ในประเทศไทยไดถ้ กู ต้อง

ประวตั ิชาวอนัมในสมยั รชั กาลที่ ๔
การพง่ึ พระบรมโพธิสมภาร รัชกาลท่ี ๔
เหตุการณด์ า้ นเวียดนาม
รัชกาลท่ี ๔ (พ.ศ.๒๓๙๓ – พ.ศ. ๒๔๑๑) เป็นระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จ

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าตื้อดึ๊กกว่างเด๊ แห่งราชวงศ์เวียดนามเพียงองค์
เดียว ซึ่งมีเหตุการณ์ท่ีสำคัญระหว่างไทยกับเวียดนามดังน้ี ไทยได้ส่งชาวญวนซ่ึงเกิดเรือแตกจำนวน ๒๑
คน กลับไปเมืองไซ่ง่อน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ ไปกับเรือพ่อค้าชาวจีนผู้มีนามว่า “หลินหอง” และข้าหลวง
เมืองไซ่ง่อนได้มีหนังสือมาถึง “เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์” สมุหกลาโหมเป็นการขอบใจในความอารีคร้ังน้ี
พรอ้ มกบั ได้มหี นงั สอื เข้ามาว่า

"ข้าพเจ้าจึงสั่งให้เจ้าเมืองโจฎกจัดปืนที่เก็บได้คร้ังก่อน ปืนทอง ปืนเหล็ก รวม ๓๐ กระบอก
บรรทุกเรือลำเลียง ๑ มอบให้ขุนนางชื่อจูซือคุมเข้ามาส่ง จึงได้ทำหนังสือบอกมา ถ้าพวกจูซือเข้ามาถึง
แดนกรุงเทพฯ วันใด ขอให้รับไว้โดยสะดวก พวกญวนซึ่งต้องจับไว้นั้น ถ้าผู้ใดสมัครกลับไปบ้านเมือง ก็
ขอให้ส่งออกไป จะไดต้ ้องกบั สญั ญาเดมิ ขอท่านเสนาบดจี งพจิ ารณาให้สมควร”

อันท่ีจริงพวกญวนที่ไทยส่งตัวกลับทั้ง ๒๑ คน นั้นล้วนแต่เป็นพวกพ่อค้าท้ังส้ิน มาค้าขายโดย
สจุ ริต มใิ ช่ทหารท้งั สัญญาทเ่ี จ้าพระยาบดินทรเดชา ได้ทำไวเ้ ม่ือครัง้ ชมุ นุมกนั ทีเ่ มืองอดุ งมีชัยซ่ึงมใี จความ
ย่อ ๆ ว่า ไทยจะคืนเชลยญวนท่ีจับได้และญวนจะคืนอาวุธให้ไทย หลังจากท่ีเลิกทัพแล้ว แต่ญวนก็กลับ



น่ิงเฉยเสียไม่ปฏิบัติตามสัญญา จนเวลาล่วงเลยไปถึง ๑๐ ปี แล้วจึงได้รื้อฟื้นข้ึนมาพูดฝ่ายไทยจึงได้ตอบ
ปดั ไปว่า

“แต่ฝ่ายกรุงเทพมหานครได้ญวนมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระมหากรุณาเมตตา
แก่คนซ่ึงมีชีวิต จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เลี้ยงดูทำนุบำรุง ตั้งบ้านตั้งเรือนทำมาหากินเป็นพวก
พูมมาจนทุกวันน้ี ฝ่ายญวนก็ได้คนไทยไป แต่หาได้ยินว่าเอาไปเลี้ยงดูทำนุบำรุงไว้ท่ีแห่งใดไม่ และปืน
อาวุธซง่ึ เจา้ เวียดนามรับสั่งให้องญวนผสู้ ำเร็จราชการเมอื งไซ่ง่อนส่งเข้าไปนน้ั กข็ อบใจอยแู่ ล้ว แตข่ องอัน
น้ีฝา่ ยเมืองญวนเกบ็ ไว้ไดก้ เ็ ปน็ สิทธิของญวนเถิด หาต้องการท่ีไทยจะรบั ไวไ้ ม่”

หลังจากได้รับหนังสือแล้ว ญวนก็ได้จัดส่งอาวุธคืนมาให้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๑ โดยแจ้งมาว่าฝ่ายไทย
จะรับหรือไม่ก็ตามที และขอบใจไทยทไี่ ด้ลดหยอ่ นภาษกี ารค้าให้

เหตกุ ารณด์ า้ นกมั พูชา
กัมพูชาและญวนเป็นเหตุการณ์ท่ีเก่ียวพันธ์ถึงกัน มีผลต่อกันและกัน กล่าวคือ หลังจากท่ี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลท่ี ๔ ข้ึนครองราชย์แล้วสมเด็จพระหริรักษ์ฯ ผู้ได้ทรงประทับอยู่
ประเทศไทยถึง ๒๙ ปี และทรงคุ้นเคยกับรัชกาลท่ี ๔ เป็นอย่างดี ได้ส่งพระโอรสองค์ที่ ๒ และองค์ที่ ๓
คือ นักองค์ศรีสวัสดิ์ และนักองค์วรรถา เข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ กับพระโอรสองค์ใหญ่ นักองค์
ราชาวดี
คร้ันถึง พ.ศ.๒๔๐๐ สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตแต่งตั้งพระโอรสองค์ใหญ่
คือ นักองค์ราชาวดี เป็นมหาอุปราช และนักองค์ศรีสวัสด์ิ เป็นพระแก้วฟ้า เนื่องด้วยพระองค์ทรงมี
พระชนมายุมากแล้ว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงแต่งตง้ั ให้ตามท่ีกัมพูชาขอมา และได้ส่ง
พระโอรสทงั้ สองของสมเดจ็ พระหริรกั ษ์ออกไปชว่ ยรักษากมั พชู าต่อไป
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๐๑ พวกแขกจามและมลายูซ่ึงมีจำนวนมากในกัมพูชาได้ก่อการจราจลต่อสู้เจ้า
เมือง คร้ังเมื่อถูกปราบปรามก็ได้อพยพครอบครวั หนีเขา้ ไปในเขตแดนเวียดนาม สมเด็จพระหริรกั ษ์ฯ จึง
ได้กราบทูลพระเจ้าตื้อด๊ึกกว่างเด๊เพื่อขอจับตัวส่งมาให้ ทางเวียดนามไม่ยอมทำตาม ทางกัมพูชาโกรธ
เคอื งมากได้รวบรวมกำลงั กองทัพหมายจะบกุ เวยี ดนาม จึงได้บอกข่าวเข้ามายังกรุงเทพฯ ว่าสัมพันธไมตรี
กบั เวยี ดนามไดข้ าดสะบัน้ ลงแลว้ จะขอทำศกึ กบั เวียดนามต่อไป
ในขณะนั้นเวียดนามเองกำลงั มีกรณีพิพาทกบั ฝรัง่ เศสอย่ดู ้วย เหตเุ พราะไม่ยอมทำสัญญาทางการ
ค้าด้วยนั่นเอง ทางพระเจ้าแผ่นดินฝร่ังเศสทรงพระพิโรธมากถึงกับได้ส่งแม่ทัพคุมเรือกำปั่นรบมาบังคับ
ทำสัญญาอีก และหากได้รับการขัดขืนก็ให้รบเอาเมืองเลย เรือฝร่ังเศสได้มาถึงปากน้ำเมืองเว้ เมื่อวันพุธ
ท่ี ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๑ แต่น้ำตื้นเรอื ใหญ่เข้าไม่ได้ จึงได้ลงเรือบดเข้าไปหลายลำหลังจากทีไ่ ม่ได้รับ
ไมตรีตอบจากเวียดนามก็ได้เริ่มโจมตีทันที ด้วยเหตุน้ีเองเวียดนามจึงได้รบกับกัมพูชาเพียงเล็กน้อย แต่
ทางฝ่ายไทยมิได้เข้าช่วยกัมพูชาเลย เพราะปรารถนาจะพัฒนาประเทศให้พ้นเง้ือมมือของ “ลัทธิ



จักรวรรดินิยม” มากกว่า จึงได้แต่เพียงต่อว่าเวียดนามในความผิดอันนี้ เพราะเวียดนามเองก็ได้แต่งทูต
เข้ามายังไทยก่อนหน้านี้ และเมอื่ เรือรบลาดตระเวนฝา่ ยไทยไปถงึ เมืองฮาเตียน เวียดนามก็ให้การตอ้ นรับ
เป็นอย่างดี เม่ือไทยไกล่เกล่ียเวียดนามก็รับจะปฏิบตั ิตาม แต่เร่ืองราวยังไม่ทันจะเรียบรอ้ ยดี สมเด็จพระ
หริรักษ์ฯ ก็ได้ถึงแก่พิราลัยลงใน พ.ศ. ๒๔๐๓ ทางกัมพูชาเองก็ได้เกิดการจราจลรบพุ่งกันเองใน พ.ศ.
๒๔๐๔ และ พ.ศ. ๒๔๐๕ ไทยตอ้ งออกไปชว่ ยปราบปรามจนราบคาบแลว้ จึงยกทพั กลบั เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๖

ส่วนทางเวยี ดนามนั้นฝร่ังเศสซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจได้ตีเมอื งตุรานไปไดใ้ น พ.ศ. ๒๔๐๑ แล้วเขา้ ยึด
ไซ่งอ่ นไดเ้ มือ่ พ.ศ. ๒๔๐๓ แตเ่ นอ่ื งจากมีกำลงั น้อย จึงมิอาจตไี ดห้ มดทงั้ ประเทศในคราวเดียว ไดแ้ บง่ เขต
การโจมตีเป็น ๓ ภาคด้วยกัน คือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือ การรบได้ดำเนินติดต่อกันเป็น
เวลานานถึง ๒๖ ปี จึงสามารถปราบเวียดนามได้ โดยเด็ดขาดเม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๗ ซ่ึงตรงกับรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเม่ือ พ.ศ. ๒๔๑๑ จึงนับได้ว่าเวียดนาม
ภายใตพ้ ระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทย ได้ส้ินสุดลงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั่นเอง
และต่อจากน้ันเวียดนามก็ต้องเผชิญกับอิทธิพลของมหาประเทศทั้งตะวันตกและตะวันออก ทั้งฝ่ายโลก
เสรแี ละฝา่ ยคอมมิวนิสต์ ด้วยเหตุนีเ้ วยี ดนามจึงได้รบั สมญาวา่ “แผน่ ดนิ เลอื ด”

ในส่วนของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความสัมพันธ์กับคนญวน และพระสงฆ์
ญวนท่ตี ้ังถน่ิ ฐานในประเทศไทยอยา่ งไร จะกลา่ วในบทท่ี ๒ สืบตอ่ ไป
ญวนพวกที่ ๓

คำว่า ญวนพวกที่ ๓ น้ันหมายเอาความตามการอพยพเข้ามาในประเทศสยามกล่าวคือ เมื่อมี
หลักฐานที่ชัดเจน พวกท่ี ๑ มาในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พวกท่ี ๒ มาในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๑ สุดท้ายญวนพวกท่ี ๓ เข้ามาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓
ถือเป็นการอพยพเข้ามาครั้งสุดท้าย ซ่ึงพวกญวนเหล่าน้ีมีความเกี่ยวข้องกันสัมพันธ์กันจนถึงรัชกาลที่ ๔
กล่าวคือ เมื่อพวกญวนที่อพยพเขา้ มาอยู่เมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ ๓ ครัวญวนท่ีเข้ามาคราวนีแ้ บ่งเปน็ ๒
พวก คือ เป็นพวกถือ พระพุทธศาสนาพวกหนึ่ง และเป็นพวกท่ีถือศาสนาคริสต์พวกหน่ึง พวกญวนท่ีถือ
พระพุทธศาสนา รัชกาลที่ ๓ โปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ทีเ่ มืองกาญจนบุรี เพ่ือรกั ษาป้อมปราการใหม่ที่
ปากแพรก ส่วนพวกญวนท่ีถือศาสนาคริสต์ เห็นจะเป็นเพราะมีญวนเข้ารีตอยู่ที่สามเสนมาแต่ก่อนบ้าง
แลว้ จึงทรงโปรดฯ ใหข้ ึ้นอยู่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยหู่ วั เมอ่ื ทรงดำรงพระยศเป็นสมเดจ็ เจ้า
ฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ทรงฝึกให้เป็นทหารปืนใหญ่ และให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ท่ีสามเสนกับพวกเดิม
นนั่ เอง

ต่อมาเข้าสู่ยุคของรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกญวนคริสต์ย้ายสังกัด
ไปเป็นทหารปนื ใหญฝ่ ่ายพระบวรราชวัง คือญวนพวกพระยาบันฤๅสิงหนาท และรัชกาลท่ี ๔ ทรงทราบว่า



พวกญวนที่อยู่เมืองกาญจนบุรีโดยมาก อยากจะมาอยู่ท่ีกรุงเทพฯ เหมือนกับพวกญวนอื่น ๆ จึง
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ซ่ึงได้โปรดฯ ให้ขุด
ใหม่นัน้ แลว้ ใหจ้ ัดเป็นทหารปนื ใหญ่ฝ่ายวังหลวงสืบมา และพวกท่ีอยู่เมืองกาญจนบรุ ี ได้สร้างวัดญวนข้ึน
เพอื่ ประกอบพิธที างศาสนาของตนขึ้นท่ีตำบล “ซุกยายญวน” ปรากฏอยจู่ นถงึ ทุกวนั นี้ เช้อื สายพวกญวน
ที่ไมอ่ พยพเขา้ มาพร้อมกับพวกนน้ั กย็ ังคงตงั้ ถนิ่ ฐานท่เี มืองกาญจนบรุ ีตอ่ มาจนถึงปจั จุบัน

ชาวญวนทีเ่ ขา้ มากบั ศาสนาในประเทศไทย
พวกญวนที่มาอยใู่ นประเทศสยาม มที ้งั ท่ีนบั ถือพระพทุ ธศาสนา และท่นี บั ถือครสิ ตศ์ าสนา พวกที่

นับถือพระพุทธศาสนาอพยพไปอยู่ท่ีแห่งหนตำบลใดก็ตาม ก็จะนิมนต์พระญวนมาสร้างวัดวาอารามข้ึน
เพ่ือประกอบพธิ ที างศาสนาของตนเอง ทีอ่ ยใู่ นบรเิ วณท่ีตัง้ อยนู่ นั้ ๆ สว่ นพวกญวนทน่ี บั ถือศาสนาครสิ ต์ ก็
ได้อาศัยฝรั่งบาทหลวงเป็นผู้ควบคุมดูแลมาต้ังแต่ครั้งอยู่ในเมืองเขมร เม่ือมาอยู่ในประเทศสยามน้ีแล้ว
พวกฝร่ังบาทหลวงก็มาสร้างโบสถ์และดแู ลควบคุมพวกญวนครสิ ต์ทำนองเดียวกัน แตใ่ นบทเรียนนี้มเี พียง
การกล่าวถือเฉพาะพวกญวนที่สร้างวัดญวนในทางพระพุทธศาสนามหายาน ฝ่ายอนัมนิกาย เท่าน้ัน
เพราะเหมาะแก่การศึกษาของภิกษสุ ามเณรอนัมโดยเฉพาะ

การลภ้ี ัยทางการเมอื งและศาสนาชาวญวนในรัชกาลที่ ๔
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑) ได้มีพวกเวียดนามล้ีภัย

การเมืองและศาสนามาอาศัยอยู่ในสยามเป็นจำนวนมาก และนับเป็นคร้ังแรกในรัชกาลน้ีที่ไทยได้แสดง
ความเอาใจใส่เร่ืองการลี้ภัยของคนเวียดนาม และกระตือรือร้นเตรียมรับเหตุการณ์ท่ีจะมีการล้ีภัยข้ึน
อย่างจริงจัง พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าฯ ทรงยนิ ดรี บั เอาชาวเวียดนามเอาไว้ในประเทศโดยมีพระบรม
ราชโองการว่า

พวกญวรเข้ารีตท่ีเมืองเว้ เมืองโจดก และไซ่ง่อน มีมากตลอดขึ้นมาถึงเมืองโจดก ลำน้ำ เมือง
ตังเกี๋ย เมืองกวางเบือง ต่อเขตแดนแขวงเมืองพวร แลหัวเมืองลาวฟากโขงตะวันออก ถ้าญวรเข้ารีตทน
ฝีมือญวรไม่ได้คงพาครอบครัวหลบหนีมาทางเมืองมหาไชย เมืองพวร เมืองพวรกับเมืองหลวงพระบาง
หนองคาย ลคอรพนม เขตแดนติดต่อกัน ให้เจ้าเมืองหลวงพระบาง พระพนมนคราปุริก พระประทุมเท
วาภิบาล ท้ายเพ้ียมปี ัญญา คุมไพร่ออกลาดตะเวนพบปะญวรเข้ารีตแตกหนีมาก็ให้พูดจาชักชวนเขา้ มาไว้
ในเมือง หลวงพระบาง เมืองหนองคาย เมอื งลคอรพนมใหไ้ ด้จงมาก

พวกเวียดนามลี้ภัยทางศาสนาส่วนมากอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม เดินทางโดยทางเรือ
เลียบมาทางชายฝ่ังเขมรมายังบริเวณชายฝ่ังทางตะวันออกเฉียงใต้ของสยาม และได้กระจายกันอยู่เป็น
กลุ่มตามเมืองสำคัญ เช่น จันทบุรี ขลุง ตราด ระยอง ชลบุรี สมุทรสงคราม ส่วนพวกที่เข้ามาตามลำน้ำ



เจ้าพระยาได้ขึ้นบกท่ีกรุงเทพฯ อยุธยา และนครสวรรค์ (ปากน้ำโพ) จำนวนผู้ลี้ภัยคราวน้ีมีประมาณ
๕,๐๐๐ คน

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว พวกเวียดนามที่ล้ีภัยทางการเมืองและพวกที่ล้ีภัย
ศาสนาเดินทางเข้ามาโดยผ่านทางประเทศลาว และมาอยู่ในบริเวณริมฝ่ังแม่น้ำโขง พวกเวียดนามท่ีมา
จากเมืองในเขตอันนัมตอนเหนือ เช่น เมืองทันหัว (Thanh Hua) แง่อาน (Nghe An) และ ฮาตินฮ์ (Ha
Tinh) มักมาอาศัยบนฝ่ังซ้ายและฝ่งั ขวาของแม่น้ำโขง พวกเวียดนามหลายร้อยคนไดอ้ าศัยอยู่ที่เมืองท่าอุ
เทน ไชยบุรี หนองคาย นครพนม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการให้
ผู้ปกครองหัวเมืองลาว จัดลาดตะเวนเกลีย้ กลอ่ มพวกเวียดนามลภ้ี ัยทเ่ี ดินทางเขา้ มาทางเขตลาวให้เข้ามา
อยู่ในเขตสยามให้ได้มากเช่นกัน อย่างไรก็ตามพวกเวียดนามท่ีเกลี้ยกล่อมมาน้ันเป็นพวกท่ีหนีความอด
อยากท้ังส้ิน ด้วยเนื่องจากเกิดภัยแล้งในเวียดนามเป็นเวลานาน การเกล้ียกล่อมดำเนินมาจนถึง พ.ศ.
๒๔๐๕ ปรากฏว่าได้คนเวียดนามเป็นจำนวน ๑๓๓ คน โปรดฯ ให้ทำมาหากินอยู่ในเขตเมืองนครพนม
และสกลนคร

ชาวเวียดนามที่ต้องล้ีภัยทางศาสนามายังประเทศสยามน้ัน เนื่องจากการท่ีพระจักรพรรดิมินมาง
ทรงนำนโยบายการกดข่ีข่มเหงพวกท่ีนับถือคริสต์ศาสนากลับมาใช้อีก ทรงออกพระราชกฤษฎีกาจนถึง
ขัน้ ประหัตประหารพวกท่ีนับถือคริสต์ศาสนาโดยท่ัวไปใน พ.ศ. ๒๓๗๗ อย่างไรก็ดีในสมัยพระจักรพรรดิ
มินมาง การข่มเหงพวกที่นับถือคริสต์ศาสนาไม่เด็ดขาดรุนแรงเท่ากับในรัชกาลต่อมา คือ สมัยพระ
จักรพรรดิตือดึ๊ก (พ.ศ. ๒๓๙๑-๒๔๒๖) พระจักรพรรดิตือด๊ึกทรงใช้นโยบายนี้ตอบโต้การแทรกแซงทาง
การเมืองการปกครองเวียดนามของพวกบาทหลวงและนักสอนศาสนาชาวตะวันตก โดยให้ทำลายชีวิต
และหมู่บ้านพวกเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา ชาวเวียดนามเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนาหลายพันคนถูก
ประหารชวี ติ

จกั รพรรดมิ ินมางแหง่ เวยี ดนาม
เม่ือฝร่ังเศสใช้กำลังบุกเมืองท่าตูราน (ดานัง) เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๐๑ และรุกรานจนได้เข้า
ครอบครองแคว้นโคชินจีนนั้น พระจักรพรรดิทรงเข้าพระทัยว่าพวกเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา
สนับสนนุ พวกฝรั่งเศส จงึ ทรงกดขกี่ ระทำการทารณุ กรรมพวกเวยี ดนามเหลา่ นีร้ นุ แรงขึน้
“ญวนได้ต้ังค่าย คอยจบั ญวนเข้ารีตฝร่ัง ท่ีด่านมไี ม้กางเขน เป็นรูปพระของฝร่ัง ถ้าผู้ใดมาถึงด่าน
ไม่ข้ามไม้กางเขน ญวนจับว่าเข้ารีต ถ้าผูใ้ ดข้ามไปนายด่านปล่อยตัวไป ญวนจับได้ญวนเข้ารีตฝรั่งแล้วให้
เฆ่ียนถ้ามีพวกญวนเข้ารีตต้ังแต่เมืองป่าศัก ตลอดมาจนถึงเมืองโจดก พากันสะดุ้งต่ืนหลบหนี...เดี๋ยวน้ี
ญวนคิดกำจดั ญวนเข้ารตี บันดาอย่ใู นเขตแดนเมืองญวนทุกบ้านเมอื ง”



อย่างไรก็ดี ภายหลังจากท่ีฝร่ังเศสเร่ิมบุกเวียดนามโดยยึดเมืองตูราน และเวียดนามสู้รบกับ
ฝรั่งเศสและพ่ายแพ้จนต้องตกอยู่ในฐานะรัฐในอารักขาของฝร่ังเศสใน พ.ศ. ๒๔๒๗ ทำให้มีเวียดนาม
หลบหนีล้ีภัยสงครามเข้ามาอาศัยในประเทศสยามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเวียดนามที่หลบหนีการ
ปกครองของฝรั่งเศสและพวกชาตินิยมต่อต้านฝรั่งเศส ซ่ึงได้กลายเป็นปัญหาสำหรับไทยในสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ ฯ ทีต่ อ้ งรกั ษาแผน่ ดนิ ไทยให้พน้ ภยั ชาวต่างชาติตอ่ ไป

จำนวนประชากรญวนในประเทศไทย
ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยแต่เริ่มต้นยังไม่ปรากฎชัดว่ามีอยู่จำนวนเท่าไร มี

เพียงแต่การประมาณเทา่ น้ันเอง ตง้ั แตส่ มยั องเชยี งซุนและองเชยี งสอื พวกที่อพยพเข้ามาเพื่อพึ่งพระบรม
โพธสิ มภารของพระเจา้ แผ่นดนิ ไทยสมัยต่าง ๆ ก็เพื่อให้ตวั เองไดร้ ับความอยู่เย็นเป็นสุข สร้างหลักฐานให้
ม่ันคงท้ังชีวิต การค้า ศาสนา การเมือง บางครั้งพวกเวียดนามที่อพยพเข้ามาด้วยการถกู ต้อนมาเป็นเชลย
อาจจะมีการเสียชีวิตไปบ้าง เช่น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลท่ี ๑ ได้มา
อพยพมาจากประเทศลาว ประมาณ ๔๐๐ คน แตก่ ็ตายไปราว ๓๐๐ คน เลยทเี ดยี ว

ต่อมาในสมัยสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ ได้มีการสำรวจอีกคร้ังหนึ่งแต่ก็ยังไม่
สามารถช้ีชัดลงไปได้ ถึงกระน้ันได้มีการประมาณอย่างครา่ ว ๆ ว่า มีชาวเวียดนามอยอู่ าศัยในสมัยนนั้ ราว
๖,๐๐๐ – ๘,๐๐๐ คน ตามหลักฐานร่วมสมัยเช่นบันทึกของปาลเลอกัวซ์ (บาทหลวงฝรั่งเศสท่ีได้เข้ามา
อยใู่ นประเทศสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมกล้าฯ และอยนู่ านถงึ ๒๔ ปี ได้กล่าวถึงชาวเวยี ดนาม
เฉพาะในกรุงเทพฯ ว่ามีถึงราว ๑๒,๐๐๐ คน จากจำนวนพลเมืองในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ๔๐๔,๐๐๐ คน
(ไม่นับรวมพวกท่ีนับถือคริสต์ศาสนาชาติต่าง ๆ ซ่ึงมีราว ๔,๐๐๐ คน และเป็นชาวเวียดนาม ๑,๔๐๐
คน) เซอร์จอนห์ บาวริง เป็นอีกผู้หนึ่งท่ีบันทึกจำนวนเวียดนามไว้ แต่กล่าวเฉพาะพวกเวียดนามเชลยศึก
ว่ามถี งึ หนึ่งหมน่ื คน สำหรบั เวียดนามในกรุงเทพฯ นั้น เขาอ้างจากบันทึกของปาลเลอกัวซเ์ ปรียบเทยี บกับ
หนงั สือ “ขอ้ สงั เกตเกย่ี วกบั หมเู่ กาะอนิ เดีย” ของ Moor มัวรว์ ่าเวยี ดนามในกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. ๒๓๗๑ มี
ประมาณ ๑,๐๐๐ คน และประชาชนในกรุงเทพฯ ท้ังหมดมี ๓๗๖,๕๐๐ คน ซ่ึงบาวริงเช่ือปาลเลอกัวซ์
มากกว่าเพราะว่ามัวรป์ ระมาณไว้นอ้ ยเกินไปมาก นอกจากนัน้ ที่แน่นอนคอื พ.ศ. ๒๔๔๖ พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าฯ โปรดฯ ให้สำรวจประชากร ทำบัญชีสำมะโนครัวอย่างละเอียด แต่ทำสำเร็จได้เพียง
๑๒ มณฑล จำนวนคนทั้งหมด ๓,๓๐๘,๐๓๒ คน เป็นเวียดนาม ๔,๗๕๗ คน (ในจำนวนน้ีเป็นเวียดนาม
ในมณฑลปราจีนถึง ๑,๑๒๔ คน ส่วนท่ีเหลือโดยมากจะเป็นมณฑลจันทรบุร)ี ใน พ.ศ. ๒๔๕๒ การสำรวจ
มณฑลกรุงเทพฯ เฉพาะมณฑลชั้นในได้จำนวนเวียดนาม ๔,๒๓๐ คน จากประชากรกรุงเทพฯ ทั้งหมด
๕๒๒,๐๕๔ คน และในบัญชีแยกชาติ ส่วนอารามเป็นเวียดนาม ๗๔ คน จาก ๑๘,๖๒๕ คน สำหรับ
มณฑลอดุ รฯ ใน พ.ศ. ๒๔๕๒ สำรวจไดเ้ วียดนาม ๙๖๓ คน ซงึ่ เป็นระยะการลี้ภัยสงครามฝรง่ั เศส เฉพาะ



ในจังหวัดนครพนมมีเวียดนามเพิ่มข้ึนในเวลาต่อมาถึง ๒๐๐ คนเศษ เม่ือสำรวจใน พ.ศ. ๒๔๕๖ ปรากฏ

จำนวนเวียดนามในมณฑลอุดรฯ ถึง ๑,๕๖๗ คน เม่ือประมาณจำนวนชาวเวียดนามที่ได้จากการสำรวจ

จนกระทัง่ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๖ อย่างครา่ ว ๆ แลว้ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน

พวกญวนเก่าท่ีอพยพเข้ามาก่อนสมัยสงครามโลกครั้งท่ี ๑ ไม่ปรากฎหลักฐานและบันทึกที่

สมบูรณ์ว่าจำนวนเท่าไร ซึ่งปัจจุบันน้ีก็ยังคงมีเชื้อสายชาวญวนเก่าอยู่ แต่ด้วยภาวะการเมืองปัจจุบันทำ

ให้การสำรวจนน้ั ไม่ได้รับผลสำเร็จเท่าทคี่ วร แต่ผ้ทู ี่ให้รายละเอยี ดไดด้ ีทสี่ ุดสำหรับ “ญวนเกา่ ” น่นั ก็คอื ปี

เตอร์ เอ พูล (Peter A. Poole) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ซ่ึงได้ค้นคว้าและเขียนหนังสือเก่ียวกับชาว

เวียดนามในประเทศไทยหลายเล่ม เข้าได้กล่าวถึงความยุ่งยากในการสำรวจว่าเกิดจากชาวเวียดนาม

พยายามปกปิดเช้ือชาตเิ ดิมของตนอยา่ งจริงจัง แต่ในท่สี ุด ราว พ.ศ. ๒๕๑๐ ไดม้ ีการสมั ภาษณ์บาทหลวง

นกิ ายโรมนั คาทอลกิ และเวยี ดนามคริสต์จากหมู่บ้านเวียดนาม ๑๕๓ แห่ง ประมาณจากจำนวนเวยี ดนาม

คริสต์ที่พูดและอ่านภาษาเวียดนาม และไม่ได้มีการแต่งงานกับคนเช้ือชาติไทยและจีน แต่ที่แสดงมี

จำนวน ๓๔ แหง่ ดังมจี ำนวนตามตารางดงั นี้

สถานท่ตี ง้ั จงั หวดั ๑๘. เจา้ เชต, เสนา อยุธยา

๑. เชียงใหม่ เชยี งใหม่ ๑๙. อยธุ ยา อยธุ ยา

๒. ศรเี ชียงใหม่ หนองคาย ๒๐. บางปะอนิ อยธุ ยา

๓. ทา่ โพ หนองคาย ๒๑. สองพ่ีนอ้ ง สพุ รรณบรุ ี

๔. หนองคาย หนองคาย ๒๒. เกาะ, สองพ่ีน้อง สุพรรณบุรี

๕. โพนพิสยั หนองคาย ๒๓. บ้านเลา่ นครนายก

๖. บึงกาฬ หนองคาย ๒๔. นครชัยศรี นครปฐม

๗. อุดรธานี อุดรธานี ๒๕. บางบวั ทอง นนทบุรี

๘. ท่าเร สกลนคร ๒๖.บางกอก,ดุสติ ,สามเสน กรุงเทพฯ

๙. สกลนคร สกลนคร ๒๗.ปากลดั ,พระระแดง สมทุ รปราการ

๑๐. หนองแสง นครพนม ๒๘. ปากนำ้ สมทุ รปราการ

๑๑. ขอนแก่น ขอนแก่น ๒๙. ศรรี าชา ชลบรุ ี

๑๒. อบุ ลราชธานี อุบลราชธานี ๓๐. ระยอง ระยอง

๑๓. นครสวรรค์ นครสวรรค์ ๓๑. ทา่ ใหม่ จันทบรุ ี

๑๔. นครราชสีมา นครราชสีมา ๓๒. จันทบรุ ี จันทบุรี

๑๕. บางขาม, บ้านหมี่ ลพบรุ ี ๓๓. ขลงุ จันทบุรี

๑๖. บา้ นแพง, พรหมบุรี สิงหบ์ ุรี ๓๔. ตราด ตราด

๑๗. บ้านนาโคก, ผกั ไห่ อยธุ ยา



การประกอบอาชพี ของชาวเวยี ดนามในประเทศไทย
การประกอบอาชีพของชาวเวียดนามท่ีได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนั้น อาจแบ่งได้หลัก ๆ

อยู่ ๒ ประการ คอื รับราชการ และไมไ่ ดร้ ับราชการ
การรบั ราชการนั้นสว่ นใหญ่ แลว้ จะเปน็ ทหารประจำการ
ส่วนพวกท่ีไม่ได้รับราชการ จะเป็นช่างปั้น ล่าม หมอยา ชาวไร่ ชาวนา ประมง ช่างฝีมือ และ

ค้าขาย เปน็ ตน้
ซ่ึงในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวไทยส่วนใหญ่มีอาชีพหลัก คือ

ทำไร่ ไถนา และด้วยเหตุที่ผืนดินกว้างขวางเกินกำลังคน จึงได้มีการกวาดต้อนพวกเวียดนามท่ีเข้ามา
อาศัยในประเทศ ท่ีประสงค์จะให้ช่วยบำรงุ แผ่นดินให้เจริญ เหตุผลอ่ืน ๆ คือ ประเทศไทยเป็นดินแดนที่
อุดมสมบูรณ์ เป็นเหตุจูงใจให้ชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยทำกินด้วย ดังนั้นชาวเวียดนามส่วนใหญ่จึงมี
อาชีพกสิกรรม ชาวเวียดนามในภาคกลางโดยเฉพาะที่อยู่ในตัวเมืองพากันอพยพออกไปทำไร่ทำนาตาม
หัวเมืองเม่ือว่างเว้นจากราชการ เช่น เวียดนามที่ตำบลสามเสนและบางโพ อพยพจากรุงเทพฯ ไปอยู่
สุพรรณบุรีและทางภาคเหนือเป็นต้น ส่วนพวกเวียดนามทางตะวันออกเช่นที่ จันทบุรี ตราด และ
ปราจีนบรุ ี ก็นิยมทำนา ทำไร่ และสวนผลไมช้ นดิ ต่าง ๆ บรเิ วณรอบตวั เมอื งอกี ด้วย

นอกจากการกสิกรรมแล้ว อาชีพถัดมาคือการประมง หลักฐานในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าฯ ได้กล่าวถึงชาวเวียดนามกับการประกอบอาชีพประมงมากกว่าอาชีพอ่ืน ๆ ท้ังประมงน้ำจืดและ
น้ำเค็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือกล่าวถึงชาวเวียดนามเมืองจันทบุรี เน่ืองจากจันทบุรีอยู่ติดทะเล จึงไม่น่า
แปลกใจที่ชาวประมงในจันทบุรีส่วนใหญ่เป็นชาวเวียดนาม ชาวเวียดนามจะทำประมงตามฤดูกาล
นอกจากอาชพี กสิกรรมและช่างฝีมือ ฤดูกาลหาปลาสำหรับจันทบรุ นี ั้นถือเกณฑ์ตามชาวประมงเวียดนาม
คือราวเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ซึง่ จะมปี ลาชุกชุมเป็นพิเศษ พวกเวยี ดนามเองจะออกไปหาปลาไกล
ถึงเกาะกงเลยทเี ดยี ว

ชาวเวยี ดนามถือวา่ มวี ิญญาณของชาวประมงและความชำนาญอยา่ งแท้จริง เพราะที่ประเทศ
เวียดนามถือว่าทำประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากที่สุด เมื่อชาวเวียดนามอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศสยาม
แล้ว ซ่ึงเป็นประเทศท่ีอุดมไปด้วยแม่น้ำลำคลอง ในอ่าวสยามเป็นเขตประมงสำคัญมีปลาชุกชุม ชาว
เวียดนามอาศัยในบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ซ่ึงก็สามารถทำอาชีพตามความสามารถด้ังเดิมของตนในสยามได้
อย่างสุขสบาย สภาพการดำเนินชีวิตของชาวเวียดนามยังคงตั้งบ้านเรือนรวมเป็นหมู่เดียวกันเรียงรายริม
ฝั่งและหันหน้าออกสู่ท้องน้ำ เวียดนามในกรุงเทพฯ ก็เช่นกัน บ้านญวนสามเสนและบางโพซึ่งอยู่ติดลำ
คลองใหญอ่ ยสู่ ่ปู ากนำ้ เจ้าพระยาได้ และปรากฎว่ามีการทำประมงดว้ ย



สำหรับการทำประมงน้ำจดื น้นั ชาวเวยี ดนามท่ีตำบลบางนำ้ โพ เมืองนครสวรรคท์ ำกันเป็นล่ำเป็น
สัน ปัจจุบันพวกเวียดนามที่ทำประมง โดยเฉพาะที่จันทบุรีทำเป็นอุตสาหกรรม ซ่ึงนอกจากจะหาปลา
แลว้ ยังตัง้ โรงงานผลติ น้ำปลา ทำรายไดเ้ ปน็ อย่างดี

อาชีพท่ีถนัดอีกอาชีพหนึ่ง คือ ช่างฝีมือ ชาวเวียดนามในสยามเป็นสารพัดช่าง ความชำนาญ
ทางการช่างเห็นได้ต้งั แตใ่ นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ขณะนั้นไทยไดเ้ รม่ิ สร้างเมืองและขาด
แคลนผู้ชำนาญการช่าง ชาวเวียดนามท่ีติดตามองเชียงสือเข้ามาในสมัยน้ันได้รับราชการเป็นเจ้ากรมช่าง
ต่าง ๆ นอกจากน้ันชาวเวียดนามยังได้ช่ือว่าชำนาญการต่อเรือมาก จะเห็นได้จาก สมัยรัชกาลที่ ๓ เกิด
ความนิยมต่อเรือกำปั่นข้ึนในหมู่ขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนอิศเรศ
ฯ กับหลวงนายสิทธ์ิ (ต่อมาคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) เป็นผู้นำในการต่อเรือ พวก
เวียดนามเขา้ รีตก็ไดเ้ ปน็ พนักงานตอ่ เรือดว้ ย

สำหรับอาชีพอ่ืน ๆ ที่ปรากฎในพระราชหัตถเลขา เร่ืองการช่างการค้าขายในจันทบุรีและหัว
เมืองขึ้น ของรัชกาลที่ ๕ ว่า เวียดนามเป็นผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ ท่ีใช้และจำหน่ายในจันทบุรีเป็นส่วนมาก
ได้แก่ พริกไทย ข้าว กระวาน เร่ว น้ำตาลทราย ผลพุงทลาย รง แตงอุลิด เส่ือต่าง ๆ กระสบ ผ้า ผ้าห่อ
หมาก ผา้ อบนำ้ เนอื้ ไม้ ฟนื ไม้คา้ งพลู ไม้ระกำ ไมต้ ะเคยี น ข้ผี ึ้ง เปลอื กปะโลง ไม้แดง กุ้งแห้งผดั เย่ือเคย
ปลิงทะเล ไต้ ยาสูบ ถั่ว คราม หวายพัศเดา ไม้กระยาเลย ฯลฯ สินค้าเหล่านี้ทำให้จันทบุรีมั่งคั่ง เป็น
เมืองท่าสำคัญติดต่อกับเกาะกงและอินโดจีนได้สะดวก โดยอาศัยเรือกลไฟเดินทางขนาด ๔๐๐ ตัน เข้า
จอดในแม่น้ำเมืองจันทบุรไี ด้ โดยทั่วไปแล้วชาวเวียดนามจะอยู่ดีกินดีกว่าคนพ้ืนเมือง เพราะขยันขันแข็ง
อดทน ฉลาดในเชิงการค้าขายมากกว่าชาวไทย และแม้ว่าในบางครอบครัวจะยากจนบ้าง ชาวญวนก็ให้
การชว่ ยเหลือเกื้อหนนุ กนั เป็นอยา่ งดี



บทสรุป
ชาวเวียดนามท่ีกลา่ วถึงในสมัยรัชกาลท่ี ๔ สว่ นใหญ่แล้วไม่มีการอพยพเข้ามาอีกนอกจากจะเป็น

การตดิ ต่อทางการค้าขาย เดินทางไปมาหาสู่กันของชาวเวียดนามท่ีอพยพเข้ามาอยู่ก่อนหน้าน้ีเท่านน้ั เอง
แต่ชาวเวยี ดนามที่อยู่มีมาตงั้ แต่สมัยกรงุ ธนบุรี และเข้ากรงุ รัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น รชั กาลที่ ๑ และขาดชว่ ง
ไปในรัชกาลท่ี ๒ อพยพเข้ามาอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ ๓ เลย ดังนั้นในรัชกาลท่ี ๔ จึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์
มากเกินไปแต่ก็มีการลภ้ี ัยทางการเมืองและศาสนามาบ้าง เพราะช่วงน้ัน ประเทศในแถบตะวันออกเฉียง
ใต้กำลังถกู คุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตก จึงทำให้ทุกประเทศต้องหันมาสร้างความเป็นปึกแผ่นและ
ผลประโยชน์ของชาตติ นเองให้ม่ันคง

ในรัชกาลที่ ๔ นั้นจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ของชาวเวียดนามที่ตั้งถ่ินฐานอยู่ในเมืองไทยแล้ว เช่น
ญวนท่ีเมอื งกาญจนบรุ ี ญวนทกี่ รุงเทพฯ เป็นตน้ และโปรดฯ พระราชทานให้ต้ังบ้านเรือนในทต่ี า่ ง ๆ ของ
พวกญวนท่ีอยากเข้ามาอยู่ท่ีกรุงเทพฯ และฝึกให้เป็นทหารปืนใหญ่นั่นเอง และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นพวกท่ี
ล้ีภัยทางการเมืองและการศาสนา เมื่อถูกฝรั่งเศสเข้ายึด ก็มีการลี้ภัยมาในส่วนต่าง ๆ เช่น ทางภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก เป็นต้น เพ่ือมาขอพ่ึงพระบรมโพธิสมภารให้ความปลอดภัยและก่อ
ร่างสร้างตัวขึ้นในประเทศที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีอาชีพหลัก ๆกันอยู่ในประเทศไทย ไม่ยอมกลับ
ประเทศของตนเอง สร้างครอบครัว ขึ้นที่ประเทศไทยอย่างเป็นปึกแผ่นในส่วนต่าง ๆ ของประเทศเลย
ทีเดียว มีอาชีพหลัก ๆ เช่น รับราชการ ค้าขาย ช่างฝีมือ ประมง กสิกรรม เกษตรกรรม และส่ิงท่ีสำคัญ
ท่ีสุดของชาวเวียดนามคือความชำนาญและฉลาดในการค้าจึงทำให้ชาวเวียดนามมีฐานะท่ีดีกว่าชาวไทย
พน้ื เมอื งในสมัยนน้ั บวกดว้ ยความขยนั อดทน ถงึ ทำให้ฐานะดขี น้ึ มาโดยตลอดจนถงึ ปัจจบุ ันนี้



กิจกรรมเสรมิ ความรู้
๑. นกั เรยี นร่วมกนั อธบิ ายเรื่องการอพยพของชาวเวียดนามในรัชกาลที่ ๔ และสรปุ ลงในสมุด

นำสง่ ครู
๒. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ ๕ – ๖ รปู ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ทำรายงานเรือ่ งสาเหตุหลกั ของการล้ีภยั

ทางการเมอื งของชาวเวียดนามในสมยั รชั กาลท่ี ๔ และใหต้ ัวแทนแต่ละกลุ่มออกมาอภิปราย
เชงิ วเิ คราะห์หนา้ ช้นั แลว้ นำผลงานสง่ ครู
๓. นักเรยี นกับครูรว่ มกนั สรุปในหัวขอ้ เรือ่ งอาชพี หลัก ๆ และจำนวนประชากรของชาวเวียดนาม
มีอะไรทีน่ า่ สนใจบา้ ง

กิจกรรมการวัดผล
๑. ชาวญวนในรัชกาลท่ี ๔ มีการอพยพเข้ามาอย่างไร จงอธิบายพอสังเขป ?
๒. ชาวญวนทเ่ี ขา้ มาเปน็ ญวนพวกท่ี ๓ ตงั้ แต่รัชกาลที่ ๓ ต่อมารัชกาลที่ ๔ ใหม้ กี ารโยกยา้ ย

อย่างไร อธิบาย ?
๓. จำนวนประชากรท่อี พยพเข้ามาอยู่ท่ีภาคใดมากท่ีสดุ จำนวนเทา่ ไร ?
๔. ประชากรชาวเวยี ดนามท่ีอยูใ่ นกรงุ เทพฯ มีอยู่เทา่ ไร และต้งั อยทู่ ไ่ี หนของกรุงเทพฯ ?
๕. อาชพี หลกั ของชาวเวยี ดนามในประเทศไทย มีอะไรบา้ ง ?
๖. อาชพี ที่นยิ มท่ีสุดในช่วงรชั กาลท่ี ๓ คืออะไร ?
๗. ประเทศเวียดนามถกู ชาติใดยึดครองเปน็ อาณานิคม ?



บทท่ี ๒
พระสงฆ์อนมั นิกายในประเทศไทย

จุดประสงค์ปลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในประวัติความเป็นมาของพระสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และรู้ถึง

สาเหตุความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์อนัมกับพระมหากษัตริย์ไทย รวมถึงการเกิดสายอุปัชฌาย์ และการ
เกดิ สมณศกั ด์ิ เครอื่ งยศ และพัดยศ ได้อย่างถูกตอ้ ง

จุดประสงค์นำทาง
๑. นักเรยี นสามารถบอกประวตั ิความเปน็ ของพระสงฆอ์ นมั ในรชั กาลที่ ๔ ไดถ้ กู ตอ้ ง
๒. นักเรยี นวิเคราะหก์ ารเกิดความสมั พันธข์ องพระสงฆอ์ นัมกับกษตั รยิ ์ไทยได้ชัดเจน
๓. นกั เรียนสรุปการเกดิ สายอปุ ัชฌาย์ในอนมั นิกายได้ถูกตอ้ ง
๔. นักเรยี นรคู้ ุณค่าของสมณศักด์ิ และเครอ่ื งยศทีไ่ ดร้ บั พระราชทานได้
๕. นักเรียนอธิบายถึงพัดยศท่ไี ด้รบั พระราชทานได้ถกู ตอ้ ง

พระสงฆ์อนมั สมัยรัชกาลท่ี ๔
ในสมัยแรก ๆ ที่พวกญวนอพยพเข้ามาในประเทศไทย จะนำเอาศาสนามาด้วยไม่ว่าจะเป็นพุทธ

ศาสนาหรือคริสต์ศาสนา นำเอาพิธกี รรมทางศาสนาเข้ามาปฏิบัตกิ ันในประเทศไทย ซึ่งการมาของศาสนา
นั้น ๆ จะมีทั้งพระสงฆ์ที่บวชมาแต่ประเทศเวียดนาม หรือพวกบาทหลวง แต่ท่ีสำคัญคือการนำเอา
ศาสนาเข้ามาปฏิบัติต้องผสมกลมกลืนกับพุทธศาสนาเมืองไทยด้วย และในบทน้ีจะกล่าวถึงส่ิงที่มี
หลักฐานชัดเจนตามพงศาวดาร หรือพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ บ้าง ท่ีเก่ียวข้องกับพุทธศาสนาเช่น วัดญวน
พระสงฆญ์ วนเพยี งเทา่ น้ัน

พวกญวนที่นับถือพุทธศาสนาเวลาอพยพไปต้ังภูมิลำเนาอยู่แห่งใดก็ตาม จะนิมนต์พระสงฆ์อนัม
ไปสรา้ งวัดเพ่ือบำเพ็ญการกุศลของพวกญวนท่ีอยู่ แหง่ น้นั ๆ แต่พระญวนที่มีการนิมนต์มาในสมัยแรกแต่
เมืองญวนจะมีเฉพาะครั้งในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเท่าน้ัน คณะสงฆ์แรก ๆ มีพระสงฆ์
เวียดนามชั้นผู้ใหญ่ที่สำคัญสององค์ คือ พระครูคณานัมสมณาจารย์ (เหยี่ยวกร่าม) และพระครูคณานัม
สมณาจารย์ (ฮึง) เท่านั้น ที่ได้ติดตามบิดามารดาเข้ามาทำการอุปสมบทในประเทศสยาม ตลอดสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั (รัชกาลท่ี ๒) ถงึ พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยหู่ ัว (รัชกาล



ท่ี ๓) คณะสงฆ์เวียดนามต้องขาดความสัมพันธ์กับเวียดนาม พวกท่ีบวชเรียนในเวลาต่อมาจึงเป็นพวก
เวยี ดนามท่เี กิดในประเทศสยามเท่านน้ั

สว่ นรชั กาลที่ ๔ และรชั กาลท่ี ๕ เมืองญวนมไิ ด้เปน็ ศตั รูกัน มีการไปมาหาส่เู พือ่ สืบศาสนาในเมือง
ญวน แต่การเดินทางไม่สะดวกนักเพราะเวียดนามตอนน้ันตกอยู่ในอำนาจของฝรั่งเศส จึงทำให้ไม่
สามารถติดต่อเพ่ือสืบศาสนากันได้ พระสงฆ์ท่ีอยู่ในประเทศสยาม กับพระสงฆ์ที่อยู่ในประเทศเวียดนาม
ต่างฝา่ ยตา่ งก็ถอื คติตามประเทศทตี่ นอยู่ พระสงฆ์ญวนในประเทศสยามก็หนั มาแกไ้ ขคตติ ามพระสงฆไ์ ทย
หลายอย่าง เช่น ศาสนาสถาน (วัดวาอาราม), สิกขาบทวิกาลโภชน์, การครองผ้าสีเหลืองเพียงสีเดยี ว, ไม่
ใสถ่ ุงเทา้ , ไม่ใส่เกือก เปน็ ต้น

เมื่อรัชกาลท่ี ๕ เสด็จไปยังกาญจนบุรีใน พ.ศ. ๒๔๕๐ น้ัน ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาเล่าเรื่องวัด
เวียดนามพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมกุฎราชกุมารว่า“มีวัดญวนต้ังประชิดอยู่ติดกับวัด
เหนือนี้วัดหน่ึง ได้ต้ังมาช้านานแล้ว มีพระพุทธรูปใหญ่สามองค์ ว่าเป็นพระศิลาไปนำมาแต่เมือง
กาญจนบุรีเก่า อาการกิริยาของวัดแลของพระหันเขา้ มาข้างไทย พระพุทธรปู ไม่มีพระจีนเลย เวลาสวดก็
นัง่ สวดอย่างไทยยังเป็นอย่างเจก๊ อย่กู ็ยงั มจี ุดประทัดและทอดตวิ้ ”

ในระยะแรกพวกท่ีนับถือพระสงฆ์เวียดนามได้แก่ชาวเวียดนามและชาวจีนเท่าน้ัน ในสมัยน้ันยัง
ไม่มีวัดจีนในประเทศสยาม พวกจีนนับถือลัทธิมหายานจึงอาศัยทำบุญที่วัดเวียดนามด้วย คนไม่ไม่ได้นับ
ถือแต่ก็ไมร่ งั เกยี จเพราะเหน็ ว่าถือศาสนาเดียวกนั

ต่อมาเม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ คร้ังยังทรงผนวชดำรงพระยศ
สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ในรัชกาลที่ ๓ พระองค์ทรงสนพระทัยจะศึกษาลัทธิมหายาน ทรงสอบถามจาก อง
ฮึง (ซึ่งได้เป็น พระครูคณานัมสมาณาจารย์ องค์แรก เม่ือรัชกาลท่ี ๕) จึงได้ทรงคุ้นเคย ชอบพระราช
อัธยาศัยมาแต่ครั้งน้ัน ครั้นเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว องฮึงได้เป็นอธิการวัดญวน ท่ีตลอดน้อย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดฯ ช่วยปฏิสังขรณ์ (ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงช่วยอีก จึงเป็นเหตุให้พระราชทานนามวัดน้ันว่า วัดอุภัย
ราชบำรงุ ) พระญวนได้มโี อกาสเข้าเฝา้ แหนไดต้ งั้ แตใ่ นรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ข้อนพี้ งึ ได้จากงานเฉลมิ พระ
ชันษา พระญวนยังเขา้ ไปถวายธปู เทียนและกิมฮวยอ้งั ตวิ๋ อย่ทู กุ ปี จนบัดนี้

ส่วนพีธกี งเต็กท่ีไดท้ ำเป็นงานหลวงน้ัน ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ
ให้ทำเป็นคร้งั แรก เม่ืองานพระศพสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๐๔ ต่อน้ันมา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ในปีฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘ โปรดฯ ให้ทำพิธีกงเต็กที่
ในพระบรมราชวังอีกครั้งหน่ึง ต่อน้ันถึงงานพระศพกรมหม่ืนมเหศวรศิววิลาศ ก็โปรดฯ ให้ทำพิธีกงเต็ก
เปน็ พธิ ที ี่ไดเ้ ข้าอยใู่ นระเบียบงานพระศพของพระบรมราชวังทางการเปน็ การใหญ่ นับแต่นนั้ มา



การสร้างวัดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ไม่มีปรากฏว่ามีการก่อสร้างขึ้น หรือวางวิสุงคามสีมา หรือมีการ
พระราชทานนามแต่อย่างไร สว่ นใหญ่ในรัชกาลท่ี ๔ จะเป็นการศกึ ษาลทั ธิมหายานและให้การช่วยเหลือ
ปฏสิ ังขรณว์ ดั เทา่ นนั้ เอง และเชิดชยู กย่องใหเ้ หมือนอย่างพระสงฆ์ไทยบ้าง

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งคณะสงฆ์อนมั นกิ ายกบั พระมหากษตั ริยไ์ ทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔)

จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์อนัมนิกายกับพระมหากษัตริย์ไทย เร่ิมต้นจากรัชกาลท่ี
๔ เมอื่ สมยั ทีพ่ ระองค์ยงั อปุ สมบทเปน็ ภกิ ษุอยู่ทวี่ ดั ราชาธวิ าส และไดไ้ ปรจู้ ักกบั พระญวนองคห์ นึง่ ช่อื ว่าอง
ฮึง ได้สนทนากันจนถูกอัธยาศัย เลื่อมใสศรัทธา สนิทสนมกัน ต่อมาพระองค์ได้ขึ้นมาเป็น
พระมหากษัตริย์และก็ได้ยกพระญวนขึ้นมามีฐานะเป็นครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ จะสังเกตุได้ว่าวัด
ญวนในยุคน้ันล้วนแต่ได้รับพระราชทานนามเกือบท้ังหมด และก็เร่ิมมีทำเนียบสมณศักดิ์และพัดยศ
นับตั้งแต่ความสัมพันธ์ครั้งนั้นจึงทำให้คณะสงฆ์อนัมนิกายมีความเจริญรุ่งเร่ืองมาจนถึงปัจจุบัน ซ่ึง
ความสัมพันธ์คร้งั นี้นับว่าเป็นความสัมพันธ์หรือการมีปฏิสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดระหว่างคณะสงฆ์ไทย (ร.๔)
และคณะสงฆ์อานาม (องฮึง) ซ่ึงนับได้ว่าเป็นยอดแห่งความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์ท้ัง ๒ ฝ่ายนี้ เป็น
เหตุให้คณะสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่ายได้รับประโยชน์ซึ่งกันและกันคือ ทางคณะสงฆ์ไทยก็ได้รับแนวความรู้ และ
แนวทางปฏิบัติของคณะสงฆ์อานาม ซ่ึงตามพงศาวดารกล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลท่ี ๔) เม่ือครั้งทรงผนวชอยู่น้ันชอบอัชฌาสัย และแนวทางปฏิบัติของคณะสงฆ์อานามเป็นอย่าง
มาก สว่ นในฝ่ายของคณะสงฆ์อานามนนั้ เล่านับว่าเปน็ ประโยชน์อยา่ งมากมาย หลายประการคอื

๑. เป็นการเปิดเผยตัวต่อคณะสงฆ์ไทยหรือสังคมไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งแต่ก่อนหน้านี้
คณะสงฆอ์ านามน้นั ไม่เปน็ ท่ีรู้จักเลย หรอื มคี นรจู้ ักนอ้ ยมาก ซง่ึ โดยส่วนใหญ่ก็มักจะเปน็ ชาวญวนทีอ่ พยพ
มาหรอื คนทอี่ ยู่บรเิ วณใกลเ้ คียงเทา่ น้ัน

๒. ได้รบั การยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกคือ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลท่ี ๔) เสด็จขึ้นครองราชย์ และได้แสดงการรับรองพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานข้ึนใหม่ ซ่ึงนับว่า
เปน็ ครั้งแรกในกรงุ รตั นโกสินทร์

๓. ในด้านพิธกี รรม และการเผยแผ่น้ัน ก็เจรญิ และแพรห่ ลายมากขึ้นเป็นเพราะพระองค์ทรงโปรดให้
พระญวณรือ้ ฟ้ืนการทำพธิ กี งเต๊กขึ้นใหมใ่ นสงั คมไทย และพระองค์ก็ทรงทำนุบำรงุ คณะสงฆ์ญวนมากมาย
เช่น มีการอุปถัมภ์วัดญวน เช่น วัดอุภัยราชบำรุง ตลาดน้อย ก็ได้รับการอุปถัมภ์คำชู และทำนุบำรุงจาก
พระองคท์ า่ นดว้ ย



๔. ในด้านฐานะทางสังคมของคณะสงฆ์อานามนิกายนัน้ ก็นับไดว้ ่ามกี ารยกระดับมากขนึ้ สังเกตไดว้ ่า
วัดญวนในยุคนั้นล้วนแต่ได้รับพระราชทานนามเกือบทั้งหมด และก็เร่ิมมีทำเนียบสมณะศักด์ิและพัดยศ
ซึง่ นับว่าเป็นคร้งั แรกทค่ี ณะสงฆ์อานามไดร้ บั การพระราชทานสมณศักด์อิ ยา่ งคณะสงฆไ์ ทย

จงึ นับได้ว่าจากการมีความสัมพันธ์ครั้งน้ีระหว่างคณะสงฆท์ ั้ง ๒ นิกายคือคณะสงฆ์ไทย (รัชกาลที่
๔ ) และคณะสงฆ์อานัม (องฮึง) น้ีนับว่าเป็นการเปิดศักราชหน้าใหม่ของวงการคณะสงฆ์อานามนิกายใน
ประเทศไทยอย่างแท้จรงิ

การเกิดนิกายเปน็ ๒ สาย
สายอุปชั ฌายอ์ นมั นกิ ายในประเทศไทย แบง่ ออกเปน็ ๒ สาย ได้แก่
๑. สายลอมเต๊
๒. สายเต่าดอ็ ง
การที่จะศึกษาว่าอุปัชฌาย์สายลอมเต๊มีความเป็นมาอย่างไรนั้น เป็นเร่ืองที่ศึกษาได้ยากมาก

เพราะเป็นสายท่ีมีมานานหลายชั่วอายุคน และท่ีสำคัญคือไม่มีการบันทึกเป็นหนังสือเป็นหลักฐานไว้ให้
ศกึ ษาเท่าไหร่ ดังนัน้ จึงเป็นเรื่องท่ียากท่จี ะทำการศึกษาวา่ ใครคือต้นเริม่ ของอปุ ัชฌาย์สายลอมเต๊ แต่หาก
ศกึ ษาจากทำเนียบของสมณะศักด์ิที่ทรงประทานให้เจ้าคณะใหญ่ในแต่ละยุคแล้วเราก็พอจะอนุมานนาม
ของอุปัชฌาย์ของสายลอมเต๊นั้นก็พอจะอนุมานได้ด้ังนี้ โดยการศึกษาในท่ีนี้น้ันได้ศึกษาโดยการ
เปรียบเทียบกบั อุปัชฌาย์สายเต่าด็องนั้นด้วย ซึ่งจากลำดับของเจา้ คณะใหญ่น้ันท่ีพอจะอนุมานได้วา่ เป็น
อปุ ัชฌายส์ ายลอมเต๊ดงั นี้

๑. พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (องฮึง)
๒. พระครคู ณานมั สมณาจารย์ (เหยย่ี วกร่าม)
๓. พระครูคณานัมสมณาจารย์ (จหี๊ ลอ๊ บ)
๔. พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (ทนั เคีย๊ ด)
๕. พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (เหมิกโงน – บ)๊ี
๖. พระครูคณานัมสมณาจารย์ (เวียงหมาง – มกั )
๗. พระครูคณานัมสมณาจารย์ (โผซ้าย – ต)ี๋
๘. พระครูคณานมั สมณาจารย์ (บ๊นิ เรือง – บา)
๙. พระคณานมั สมณาจารย์ (โผเรียน – เปา้ )
ซึง่ พระคุณเจา้ ท่ีเป็นเจ้าคณะใหญ่ดังกล่าวทั้ง ๙ รปู เหลา่ นี้นั้นได้มรณภาพลงหมดทุกรูปแล้ว แต่
เป็นเรื่องยากที่จะทราบว่าท่านเป็นอุปัชฌาย์สายลอมเต๊หรือไม่ แต่ตามหลักฐานน้ันท่านเป็นพระเถระท่ี



ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะใหญ่ในอดีต ที่มิได้อยู่ในทำเนียบของอุปัชฌาย์ในสายเต่าด่อง ซ่ึงเป็นทำเนียบ
พระอุปัชฌาย์ที่เป็นบูรพจารย์ (กี่โต๋ว) ที่มีหลักฐานอยู่ท่ีจังหวัดกาญจนบุรี ซ่ึงเป็นทำเนียบอุปัชฌาย์ใน
สายเต่าด็อง แต่ที่ทราบหลักฐานแน่นอนก็คือ พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (กิ๊นเจี๊ยว) วัดกุศล
สมาคร กรุงเทพฯ พระอุปัชฌาย์องค์ปัจจุบันน้ัน เป็นอุปัชฌาย์ที่สืบเช้ือสายมาจากสายอุปัชฌาย์ลอมเต๊
เพียงท่านเดยี วทย่ี ังคงอยูใ่ นปจั จุบันนีแ้ นน่ อน

อปุ ชั ฌาย์สายท่ี ๒ คือสายของเต่าดอ็ งนับวา่ มีหลกั ฐานที่แน่นอนและสามารถศึกษาไดซ้ ึ่งหลักฐาน
น้ันสามารถศึกษาได้จากบูรพาจารย์ (กี่โต๋) อุปัชฌาย์จากของการก่อตั้งวัดถาวรวราราม จังหวัด
กาญจนบุรี มาจนถึงปัจจุบันน้ีรวมระยะเวลาประมาณ ๑๐๐ ปีเศษแล้วนั้นนับได้แล้วซึ่งนับรวมพระ
อปุ ัชฌายไ์ ด้ ทั้งหมด ๗ รูป ซง่ึ นบั ว่าเป็นอปุ ชั ฌายส์ ายเต่าดอ็ งทั้งหมดดังนค้ี อื

๑. ตั้นเหวยี่ งโต๋วซอื
๒. เจนิ ฮึงโต๋วซอื
๓. บา๋ วหายโต๋วซอื ( ทา่ นอธิการบ๋าวหาย อดตี เจา้ อาวาสองคแ์ รกของวดั ถาวรวราราม)
๔. เหย่ยี วเคโต๋วซือ (ทา่ นอธิการเหยี่ยวเค อดตี เจา้ อาวาสองคท์ ่ี ๒ ของวัดถาวรวราราม)
๕. บัดหงอ็ กโต๋วซอื (ทา่ นอุปัชฌายเ์ ทียม อดตี เจา้ อาวาสองคท์ ่ี ๓ ของวัดถาวรวราราม)
๖. ย๊ากเหมิงโต๋วซือ (พระคณานัมธรรมสมาธิวัตร อดีตเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย อดีตเจ้าอาวาส
วัดมงคลสมาคม แปลงนาม กรงุ เทพฯ)
๗. พอ็ งเดย้ี วโต๋วซอื (พระสมณานัมวฑุ ฒาจารย์ ไพศาลคณกจิ อดตี เจ้าอาวาสวดั อภุ ยั ราช-
บำรุง ตลาดนอ้ ย กรงุ เทพฯ)
รวมทั้งหมด ๗ รูปท่ีนับได้ว่าเป็นอุปัชฌาย์สายเต่าด็องซ่ึงในสายน้ีนับว่ามีการกำหนดการทำพิธี
การสักการะกระทำการเคารพบูชาอย่างแน่นอนตายตัว คือ ในสายเต่าด็องน้ีบรรดาศิษยานุศิษย์
(พระภิกษุที่ได้รับการอุปสมบทจากอุปัชฌาย์ในสายนี้) คือจะมีการกำหนดการกระทำพิธี เคารพ
บรู พาจารย์ (ก่ีโต๋) นัน้ ตรงกับวันของจีนคือ วนั ท่ี ๒๕ เดือน ๕ ของทุกปี และปจั จบุ ันน้มี พี ระอุปชั ฌาย์ท่ี
สบื เช้ือสายเต่าด็อง มาเพียงรูปเดียว คือ พระคณานมั ธรรมวิรยิ าจารย์ (ตัยเพือง) เจ้าอาวาสวดั ถ้ำเขานอ้ ย
อ.ท่ามว่ ง กาญจนบุรี

๑๐

การพระราชทานสมณศักดแ์ิ ละพัดยศ
มูลเหตกุ ารเกดิ สมณศักดิ์

การเกิดสมณศักด์ิของคณะสงฆ์อนัมนิกายมีมูลเหตุมาจาก การที่คณะสงฆ์อนัมนิกายและจีน
นิกายได้ร่วมกันประกอบพิธีกงเต็กถวายในงานพระเพลงิ พระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากมุ ารีรตั น์
อย่างย่ิงใหญ่ เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) ได้ทรง
ปรารภถงึ ความภักดีของพระสงฆอ์ นัมนิกายและพระสงฆ์จีนนกิ าย จึงทรงดำริว่าพระมหากษัตริย์กอ่ น ๆ
ได้เคยพระราชทานสมณศักดิ์แด่พระสงฆ์มอญเช่นอย่างในพระสงฆ์ไทย ดังน้ันก็เห็นสมควรท่ีจะแต่งต้ัง
พระสงฆอ์ นมั นกิ ายและพระสงฆ์จนี นกิ ายใหม้ ีสมณศกั ดเิ์ ชน่ น้บี า้ ง

แต่พระสงฆ์อนัมนิกาย นับถือพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จะประกอบกิจตามลัทธิพิธีทางศาสนา
โดยเข้าร่วมกับพระสงฆ์ไทยและพระสงฆ์มอญมิได้ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้พนักงานจัดระเบียบพระสงฆ์
อนัมนิกาย พระสงฆ์จีนนิกาย ข้ึนอีกแผนกหน่ึงต่างหาก และให้เลือกสรรพระคณาจารย์ท่ีมีคุณสมบัติ
เพรียบพรอ้ มและเหมาะสม แตง่ ตั้งขึ้นเป็นพระครู พระปลดั พระรองปลดั และผชู้ ่วย ส่วนพระสงฆ์จีน
ท่ีเป็นหัวหน้า ได้แต่งตั้งขึ้นเป็นพระอาจารย์ (เทียบด้วยพระครูวิปัสสนา) มีฐานานุกรมเป็นปลัดซ้าย
ปลัดขวา เชน่ เดยี วกนั กับพระสงฆ์ญวน และพระราชทานสัญญาบัตรมีราชทินนามกับพัดยศ ซึง่ จำลอง
แบบพระสงฆไ์ ทยแตท่ ำเปน็ ขนาดย่อม

ตวั อยา่ งพระญวนท่ีได้รบั พระราชทานสัญญาบัตร เช่น
๑. พระครูคณานัมสมณาจารย์ (ฮึง) วัดอุภัยราชบำรุง เป็นองค์แรกที่มีสมณศักด์ิในพระสงฆ์อนัม

นิกาย ซึง่ ในระยะนี้ยงั ไมม่ ฐี านานกุ รม
๒. พระครูคณานัมสมณาจารย์ (เหยี่ยวกร่าม) วัดบางโพ เดิมเป็นพระครูบริหารอนัมพรต มี

ฐานานุกรมท้ังปลัดขวา (องสรภาณมธุรส) ปลัดซ้าย (องสุตบทบวร) รองปลัดขวา (องสรพจน
สนุ ทร) รองปลดั ซ้าย (องพจนกรโกศล) และกลาง (องอนนตส์ รภัญ)

ลกั ษณะพดั ยศท่พี ระราชทานพระสงฆอ์ นัมนกิ าย

พระครูคณานัมสมณาจารย์ พัดรปู พมุ่ ข้างบิณฑ์ พื้นเยียระบบั แดงสลบั เหลอื งและม่วง

(เจา้ คณะใหญ่) ปกั เส้นดนิ้ ทอง ดา้ มงา ยอดงา

พระครบู รหิ ารอนัมพรต พัดรูปพมุ่ ขา้ วบิณฑ์ พื้นเยียระบับแดงสลับเขียวและมว่ ง

(รองเจ้าคณะใหญ่) ปักเส้นดน้ิ ทอง ยอดงา ด้ามงา

ปลดั ขวา – ปลดั ซา้ ย พัดพุดตาล กลีบเยียระบับแดง ปักเส้นดิ้นทอง ตามขอบมีเส้นร้ิวขั้น

กลางขาว ด้ามงา ยอดงา

รองปลดั ขวา ๑๑
รองปลัดซ้าย
กลาง พัดหน้านางพ้ืนอัตลัตสลับสี วงในน้ำเงิน ขอบนอกแดง ปักเส้นด้ินทอง
ยอดงา ด้ามงา
พัดหน้านางพ้ืนอัตลัตสลับสี วงในแดง วงนอกน้ำเงิน ปักเส้นด้ินทอง
ด้ามงา ยอดงา
พัดหน้านางพื้นอัตลัตสลับสี วงในเขียว ขอบนอกแสด ปักเส้นดิ้นทอง
ดา้ มงา ยอดงา

พดั ยศของคณะสงฆ์อนัมนิกาย(ตัวอย่างเพียงส่วนหนึง่ เทา่ นั้น)

ลักษณะเครือ่ งยศทีพ่ ระราชทานแก่พระสงฆ์อนัมนิกาย

องสรภาณมธรุ ส (บ๋าวเองิ ) เคร่อื งยศที่พระราชทาน
ชุดเครื่องยศท่ีพระราชทานแก่คณะสงฆผ์ ูใ้ หญ่

๑๒

เคร่ืองยศท่ีพระราชทานแก่เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกายและรองเจ้าคณะใหญ่เหมือนกัน ต่างกันแค่
พดั ยศเทา่ นน้ั เครื่องยศทพี่ ระราชทานมดี งั ต่อไปน้ี

๑. พัดยศ (ตามท่ีกล่าวขา้ งต้น)
๒. ไตรแพรลว้ นชนิดอานัม
๓. ยา่ มโหมดเทศสีแดงมดี อก ซับในแพรแดงมพี ู่ไหมขา้ งละ ๒ พู่
๔. บาตรเหล็กอย่างดีมีฝาเชิงทองเหลืองอย่างป๊ัม ถลกบาตรสายโยกใช้โหมดเทศสีแดงมีดอก มีพู่

ไหมขา้ งละ ๒ พู่
๕. หมวกพน้ื สักหลาดเหลือง มพี ระเจ้า ๕ องค์ และท้าวโลกบาล
๖. ญรอื อี๋ (แปลว่า สมมโนรถ) ทำด้วยงาทัง้ แทง่
๗. ไม้เท้า (ไมข้ รกั ขระ) ทำดว้ ยไมแ้ ดง มยี อดทำดว้ ยทองเหลอื งชุบทอง
๘. ระฆังทองเหลือง มที ่ีถือสำหรับเขยา่ ได้ ๓ คู่

สว่ นเคร่อื งยศสำหรับตำแหน่งปลัดขวาและปลัดซ้ายน้ัน มีจำนวนเท่ากันดังกล่าวแล้ว ผิดกันแต่
เพียง พัดยศ ไตร ยา่ ม บาตร และญรืออที๋ ำด้วยไม้มะริดฝงั งา

และเครื่องสำหรับตำแหน่งรองปลัดขวา รองปลัดซ้าย และกลาง ก็มีจำนวนเท่ากัน ผิดกันแต่
พัดยศ ไตร ยา่ ม บาตร และญรืออ๋ที ำดว้ ยไม้มะริดทง้ั อนั

บทสรุป
พระสงฆ์ญวนในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นพระสงฆ์ญวนทไี่ ดเ้ กิดและบวชเรยี นที่ในประเทศไทยเท่าน้ัน

มีเพียงองฮึง และองเหยี่ยวกร่าม ๒ องค์เท่านั้นท่ีได้เดินทางมาจากประเทศเวียดนามโดยตรง ซึ่งการ
เดินทางติดต่อสืบศาสนาน้ันเป็นไปด้วยความยากลำบาก กิจวัตร พิธีกรรม สิกขาบท หลายอย่างท่ีทำ
แบบอย่างตามเมืองญวนก็ได้เร่มิ เปลย่ี นแปลงไปตามสภาวะของสังคมประเทศไทยท่ีอยู่ต้องเป็นคติกันให้
สอดคลอ้ งกบั ประเทศไทย พระสงฆไ์ ทยตอ่ ไป

รัชกาลที่ ๔ สมัยดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ได้ทรงผนวชอยู่นั้น ทรงสนพระทัยใน
การศึกษาลัทธิมหายาน จึงได้ทางคุ้นเคยกับองฮึง วัดตลาดน้อย หลังจากได้ข้ึนครองราชย์ได้ทรงช่วย
บูรณะปฏิสังขรณ์วัด และได้อนุญาตให้เข้าเฝ้าอยู่ในพระราชพิธีต่าง ๆ จึงถือได้ว่า องฮึงเป็นบิดาแห่งการ
เกิดนิกายอนัม ขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นศักราชใหม่ของคณะสงฆ์อนัมนิกาย และในพระราชพิธีต่าง ๆ
พระสงฆอ์ นัมนกิ ายจะได้เขา้ เฝ้าโดยตลอดมาจนถงึ ปัจจบุ ันนี้ เช่น ถวายพระพร ในวนั ๕ ธันวาคม ของทุก
ปี หรือมีการพิธีกรรมทางศาสนาเช่นการถวายสวดกงเต๊ก กับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทิวงคต หรือ
สน้ิ พระชนม์

๑๓

การสืบทอดนิกายอนัมมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการสืบทอดกันมาจากอุปัชฌาย์ มี ๒ สาย คือ สาย
สายลอมเต๊ และเต่าด็อง ซ่ึงการสืบทอดกันมาปัจจุบันน้ีมีท้ังได้ วัตรปฏิบัติ พิธีกรรมทางศาสนา การสวด
มนต์ ต่าง ๆ จะมีการเปล่ียนหรือแก้ไขตามสายของตน ซึ่งเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกายปัจจุบันน้ี เป็น
อุปชั ฌาย์ของสายลอมเต๊ และรองเจ้าคณะใหญ่ฯ เปน็ อปุ ัชฌายข์ องสายเตา่ ด็อง

และในรชั กาลท่ี ๕ ได้มกี ารเกดิ สมณศกั ดแ์ิ ละพดั ยศข้ึน และองคแ์ รกทไี่ ด้รบั พระราชทานนั่นก็คือ
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (องฮึง) นนั่ เอง

กจิ กรรมเสรมิ ความรู้
๑. นักเรยี นและครูชว่ ยกนั สรุปเรอ่ื งราวเก่ยี วกบั พระสงฆ์อนัมนกิ ายในสมยั รัชกาลที่ ๔
๒. นักเรียนทำรายงานส่งครูเร่อื ง การแยกนกิ ายเปน็ ๒ สาย
๓. จัดการอภิปราย โดยสุ่มนักเรียนจำนวน ๕ – ๘ คน ร่วมกันอภิปราย เรื่อง “ความสัมพันธ์
ระหว่างพระสงฆ์อนัม กบั พระมหากษตั ริยไ์ ทย” และใหเ้ พื่อนชว่ ยกนั สรปุ สง่ ครู
๔. ใหน้ ักเรยี นเขียนพดั ยศจากคำบอกเลา่ ของครู แล้วนำส่งครู

กจิ กรรมการวดั ผล
๑. พระสงฆ์อนมั ในสมยั รัชกาลที่ ๔ มคี วามเป็นมาอย่างไร สรุป ?
๒. ชาวญวนทเ่ี ดินทางมาจากประเทศเวียดนามและไดบ้ วชเรียนท่ปี ระเทศไทย คอื ใคร ?
๓. การไดร้ บั ยกย่องอยา่ งเป็นทางการ เพราะเหตไุ ร อธบิ ายพอสงั เขป ?
๔. การได้รบั สมณศกั ด์ิ ใครเป็นผ้ไู ดร้ บั เริ่มแรก ?
๕. ผทู้ ่ีถอื ว่าเปน็ ต้นกำเนดิ อนมั นกิ ายในประเทศไทย คือใคร ?
๖. การเกิดสายนกิ ายในอนัมนิกายมเี ทา่ ไร อะไรบา้ ง ?
๗. สายทม่ี ีชื่อเสียงทีส่ ดุ คือสายอะไร มใี ครบา้ ง ?
๘. เจ้าคณะใหญอ่ งค์ปจั จุบนั เป็นอุปชั ฌายส์ ายอะไร ?

๑๔

บทท่ี ๓
ศาสนสถานและศาสนวตั ถุ

จดุ ประสงคป์ ลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนสถานและศาสนวัตถุของมหายาน ฝ่ายอนัมนิกายได้

ถูกต้อง และสามารถบอกประวัติความเป็นมาของพระศรีอาริยเมตไตรยและ ๑๘ อรหันต์ รวมถึงบอก
คุณค่าของสง่ิ ท่ีแทนค่าธรรมะทใี่ ชย้ ดึ เหนี่ยวจิตใจของพทุ ธศาสนกิ ชนได้

จุดประสงค์นำทาง เถรวาท
๑. นกั เรียนสามารถเข้าใจในความเปน็ ศาสนสถานอนมั นกิ ายได้
๒. นักเรยี นสามารถจำแนกศาสนวตั ถอุ นมั นกิ ายได้ถกู ต้อง
๓. นักเรียนสามารถเข้าใจและบอกประวตั ิของพระศรีอารยิ เมตตรัยได้ถกู ต้อง
๔. นกั เรยี นสามารถเปรียบเทียบได้วา่ สิ่งไหนชื่อว่าศาสนสถานของอนัมนิกายและ
อ่ืน ๆ ไดถ้ กู ตอ้ ง
๕. นักเรยี นสามารถบอกประวัตขิ อง ๑๘ อรหนั ต์ได้ถูกตอ้ ง

ศาสนสถาน
คำวา่ ศาสนสถาน หมายถึง สถานที่ทางศาสนา ท่ีพระสงฆ์ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

หรือที่สร้างข้นึ เพื่อเก่ียวขอ้ งกับศาสนา โดยหมายเอาท้ัง โบสถ์ วหิ าร อาราม เจดีย์ ศลิ ปกรรมต่าง ๆ ทาง
ศาสนาน่ันเอง

ในบทนี้จะหมายเอา ศาสนสถานท่ีเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามหายาน ฝ่ายอนัมนิกาย ซึ่งถือว่าเป็น
สิ่งท่ีสำคัญไม่ย่ิงหย่อนไปกว่านิกายอ่ืน ๆ เลย และจะมีลักษณะคล้ายด้วย แตกต่างด้วยกับนิกายอ่ืน ๆ
อันที่จะกล่าวถึงจะเป็น วัด โบสถ์ วิหาร ศาลเทพเจ้า โรงเจ กุฎี ที่เป็นลักษณะที่โดดเด่นของวัดมหายาน
ในประเทศไทย มีการรวมกนั ทางศิลปะแบบจนี ไทย และญวน เข้าไวด้ ้วยกัน

ซง่ึ ปัจจบุ ันน้ีวัดในพุทธศาสนามหายาน ฝ่ายอนัมนิกาย หรือท่ีชาวบ้านเรียกว่า วัดญวน มีทั้งหมด
๑๗ วัด ๕ สำนักสงฆ์ แต่ละวัดแต่ละสำนักสงฆ์กระจายอยู่ทุกท่ีท่ัวประเทศ ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคกลาง และภาคใต้ ส่วนภาคเหนือยังไม่มี ซ่ึงแต่ละแห่งจะจัดสร้างตามแบบที่เจ้าอาวาสรูปน้ั น
เห็นสมควร อาจมีทั้งจนี ล้วน ๆ ญวนล้วน ๆ หรือผสมท้ังจนี ญวน ไทย เป็นตน้ ข้นึ อยู่กบั เจ้าอาวาสวดั น้ัน
ๆ ด้วย

๑๕

ศาสนสถานที่อยู่ในวัดอนัมนิกายนี้ ท่ีมองเห็นกันได้ชัดเจนจะขอยกตัวอย่างในบทนี้ มี ประตูวัด,
พระอุโบสถ, เจดยี ์ เพือ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจในศาสนสถานของวดั ในอนัมนกิ ายมากข้นึ

เจดยี ์
การสร้างเจดีย์ของพระสงฆ์อนัมนิกายถือตามคติของมหายาน โดยองสุตบทบวร (เหว่เจื๋อง) ได้

แปลและเรียบเรียง ไว้ในเร่ือง “มูลเหตุเก่ียวกับการสร้างสถูปเจดีย์” ใจความว่า เมื่อคร้ังองค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานล่วงแล้ว ยังมีพระมหากษัตริย์องค์หน่ึงทรงพระนาม
ว่าพระเจ้าอาหยุกเยือง (พระเจ้าติตะมะโตกะ) ครองเมืองบาเด้ลา (เมืองปาตะลีบุตร) พระองค์มีพระทัย
เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนาย่งิ นัก อยู่มาวันหนึง่ พระองค์เสด็จไปยังพระอาราม เกโด้วมาต่ือ พรอ้ มด้วยขุน
นางฝ่ายทหารข้าราชการพลเรอื นนอ้ ยใหญแ่ ละล้พี ลทหารตามเสด็จไปเป็นอนั มาก ท่ีอารามเกโด้วมาต่ือนี้
ยงั มพี ระเถระเจ้าองคห์ น่ึงมีนามวา่ เถือ่ งตร้ายาชา้ (พระมหาเถระมุคลิพุชะธิชะ) เป็นสาวกขององค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เม่ือทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมา จึงออกไปเชิญให้เสด็จเข้าไปประทับในพระ
อารามพระเจ้าอาหยุกเยืองจึงนมัสการแล้วตรัสว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระเจ้าจะก่อสร้างพระสถูป
เจดีย์ในเวลาเดียวกันให้ได้ ๘๔,๐๐๐ องค์ ในชมพูทวีปให้สำเร็จ บนยอดสถูปเจดีย์นั้นจะมีแตรเงินฉัตร
ทองกั้นประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดา ส่วนพระโกศนี้จะก่อสร้างด้วยเงินและทองประดับประดาด้วย
เพชรนิลจนิ ดา ใส่พระบรมธาตุห่มด้วยโหมดตาดผา้ แพรสีแดง สีเหลืองตา่ ง ๆ บรรจไุ วใ้ นพระเจดีย์เพ่ือจะ
ได้ดำรงอยู่คู่กับพระพุทธศาสนาสืบไป พระมหาเถระเจ้าจะเห็นเป็นประการใด” เถ่ืองตว้ายาช้าเถระเจ้า
ได้ฟังพระเจ้าอาหยุกเยืองตรัสดังนั้นจึงทูลถวายว่า “ขอถวายพระพร อาตมาภาพขออนุโมทนาสาธุด้วย
พระมหาบพิตรจะก่อสร้างพระสถูปเจดีย์น้ัน จะต้องมีพระราชกำหนดสัญญาณนัดหมายให้แก่นานา
ประเทศกับเมืองใหญ่น้อยท้ังปวงให้พร้อมกัน คอยสังเกตดูสัญญาณท่ีกำหนดหมายนั้น แล้วก่อพระสถูป
เจดีย์ให้สำเร็จในเวลาเดียวกัน อาตมาภาพจะช่วยมหาบพิตร บังแสงสุริยาเป็นข้อสังเกต เพ่ือให้สำเร็จ
ตามพระราชประสงค์” พระเจ้าอาหยุกเยืองได้ฟังพระเถระทูลดังนั้น ก็มีพระทัยยินดี นมัสการพระเถระ
เจ้าแล้วก็กลับพระราชวัง แล้วจึงรับส่ังให้ขุนนางนักการอัญเชิญพระบรมธาตุกับพระราชสาส์น รับส่ังไป
ยังนานาประเทศกับหัวเมืองใหญ่น้อยแว่นแคว้นชมพูทวีปทั้ง ๔ ทิศ ท่ีนับถือในพระพุทธศาสนาแห่งพระ
สมณะโคดมบรมครู เพ่ือนัดหมายก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ให้สำเร็จตามพระราชสัญญากำหนดหมาย ถ้า
เมืองใดมรี าษฎรถึงแสนคนให้สร้างพระสถูปเจดยี ข์ นึ้ องคห์ นึง่ แลว้ พระราชทานพระบรมธาตุให้ไวบ้ รรจใุ น
พระสถูปเจดีย์นั้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่และเทพยดาซ่ึงคอยรักษาพระบรมธาตุ ก็แยกย้ายกันไปตามรับสั่งทุก
ประการ คร้ันอัญเชิญพระบรมธาตุ ไปแจกตามพระราชกำหนดนัดหมาย ไปจนถึงประเทศหน่ึง ซ่ึงมีนาม
วา่ ดก๊ั ทีราเกว๊กิ เมืองตักกสิลา ในประเทศน้นั มรี าษฎรถึง ๓ ลา้ น ๖ แสนคน จะขอมอบพระบรมธาตุ ๓๖
องค์ ฝ่ายขุนนางราชทูตกับเจ้าหน้าที่ซ่ึงรักษาพระบรมธาตุ คร้ันจะให้ไปตามคำขอของประเทศนั้นเล่าก็

๑๖

เกรงว่าจะเกนิ รับส่ังไป จงึ พากนั กลบั มากราบทลู พระเจ้าอาหยุกเยืองทรงทราบทุกประการ พระเจ้าอาหยุ
กเยอื งได้ฟังดังน้นั จึงทรงพระดำริวา่ “พระธาตุมอี ยนู่ ้อย อาณาประชาราฎร์ในชมพทู วีปนี้ก็มากมายหลาย
โกฎิแสนคน ครั้นจะมอบให้ประเทศดั๊กทีราเกว๊ิกน้ีมากกว่าประเทศอื่น ๆ พระบรมธาตุก็จะไม่พอแก่การ
แบ่งปัน จำเป็นจะต้องเฉลี่ยให้ท่ัวถึงกัน” คร้ันทรงพระดำริดังนั้นแล้ว จึงรับส่ังให้ขุนนางนักการกับเทพย
ดาเจ้าอัญเชิญพระบรมธาตุไปแจกให้นานาประเทศในชมพูทวีป พร้อมทั้งกำหนดนัดสัญญาหมายตาม
รับสั่งทุกประการ ครั้นถึงวันกำหนดนัดหมายเถ่ืองตว้ายาช้าพระมหาเถระเจ้าก็สำแดงเดชานุภาพ ยกกร
ข้ึนบังแสงพระสุริยานานาประเทศซึ่งอยู่ในชมพูทวีปนั้น คร้ันเห็นสัญญาณปรากฎดังน้ันก็พร้อมกัน
ก่อสร้างพระเจดีย์จนสำเร็จ ตามพระประสงค์ของพระเจ้าอาหยุกเยือง การกระทำกองการกุศลก่อสร้าง
พระสถปู เจดยี ์น้ี เพราะเหตุว่าพระเจ้าอาหยุกเยอื งเลอื่ มใสศรัทธาสร้างขึ้น เป็นที่สกั การะระลึกถงึ คุณพระ
พุทธองค์ศากยมุนีศรีสรรเพชรพระบรมครูเจ้า มีคำปุจฉาถามว่า คุณของบรมครูเจ้ามีอย่างไร ก็มีคำ
วิสัชนาตอบว่า คุณของสมเด็จพระสมณะโคดมบรมครูเจ้า พระองค์มีคุณแก่เทพยดา มนุษย์และสัตว์
ท้งั หลายทงั้ ปวงอยู่ ๑๐ ประการ ดังนี้

๑. พระองค์ตรสั รู้ จึงได้เป็นที่พ่ึงของเทพยดา มนุษย์และสัตว์ท้งั หลาย
๒. พระองค์มิได้คิดเห็นแก่สังขารร่างกาย สู้ทรมานถึง ๖ พรรษา จึงได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ

เปน็ ท่พี ่ึงแก่เทพยดา และมนษุ ยท์ ง้ั หลายทัง้ ปวง
๓. พระองค์ทรงบำรุงสิ่งท่ีมีประโยชน์ในปัจจุบันน้ี และอนาคตข้างหน้า ใช่ว่าพระองค์บำรุงทาง

มรรคผลนพิ พานในส่วนของพระองค์ฝา่ ยเดยี วนน้ั กห็ ามิได้
๔. พระองค์เมื่อยังทรงสร้างพระบารมีในกลั ป์ใดชาติใดก็ดี พระองค์มแี ต่ชักจูงให้เทพยดา มนุษย์

และอบายท้ัง ๔ ใน ๓ ภพ ๖ ทางน้ีให้รู้จักเจรญิ ศีลภาวนา
๕. พระองค์ต้ังความเพยี รตดิ ตามโปรดเวไนยสัตว์ จงึ วนเวียนในวัฎฏสงสาร
๖. พระองคม์ ีความเมตตาแก่สตั ว์ทัง้ หลายทง้ั ปวงย่งิ นกั
๗. ผู้ใดมีปัญญามียุติธรรมแล้ว พระองค์ไม่ต้องสั่งสอนตักเตือน ผู้ใดโฉดเขลาทิฐิสันดานไม่

ยตุ ธิ รรมแลว้ พระองค์ย่อมสง่ั สอนตกั เตอื นสนั ดานใหเ้ กดิ มคี วามยตุ ธิ รรมข้นึ
๘. ส่ิงท่ีกระจ่างแต่ยังไม่กระจ่างโดยแท้ยังเคลือบแฝงอยู่ พระองค์ช้ีแจงให้ทางกระจ่างเจริญขึ้น

ดจุ ดงั แก้วเพชรนลิ จินดาเจียรนัยให้หมดมลทิน มใิ หม้ ัวหมอง
๙. พระองค์เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ได้เป็นที่ระลึกถึงของเหล่าเทพยดาและมนุษย์

ทง้ั หลาย
๑๐. พระองค์ดบั ขนั ธส์ ปู่ รินิพพานล่วงไปแลว้ ยังอาลัยถงึ เทพยดา มนษุ ย์และสัตวท์ ้ังหลายเป็น

ท่ีสุด เพราะเหตุว่าเทพยาและมนุษย์ทั้งหลายจะมีความประมาทพระองค์จึงมีพระธรรม
พระสงฆไ์ วใ้ นพระพุทธศาสนา เพ่ือตกั เตือนมนษุ ย์และเทวดาให้สืบพระพทุ ธศาสนาตอ่ ๆ มา

๑๗

พระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐ ประการน้ี มากหนักหนาเหลือท่ีจะพรรณา
เพราะเหตุฉะนั้นพระเจ้าอาหยุกเยือง (พระเจ้าติตะมะโตกะ) ระลึกถึงคุณจึงได้สร้างพระสถูปเจดีย์
๘๔,๐๐๐ องค์ไว้ในพระพุทธศาสนาในคร้ังนัน้ และการสร้างพระสถูปเจดีย์นี้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ
วา่ ได้ผลานิสงส์ ๑๓ ประการดังนี้

๑. เกิดในชาติใดฉันใดกด็ ี จกั ษนุ น้ั ย่อมสวา่ งแจ่มใส
๒. จะเกิดในตระกูลเศรษฐีบรบิ รู ณไ์ ปดว้ ยทรพั ยส์ มบตั ิตา่ ง ๆ
๓. ปราศจากหมอู่ ันธพาลท่ีจะมาเบียดเบียน
๔. มีรูปร่างโฉมงามดงั เทพยดา
๕. จุติบังเกิดผู้ซึง่ บิดามารดายอ่ มเปน็ คนใจบุญประกอบไปดว้ ยศลี ทานต้งั อย่ใู นความยุติธรรม
๖. จะได้ไปบังเกิดเป็นพระยามหากษัตรยิ ์บารมีแก่กล้าจนถงึ บรมจักรพรรดิ
๗. ถ้าส้ินวาสนาในมนุษย์โลกแล้ว จะได้ไปบังเกิดเสวยสุคติยังช้ันพรหมโลกอายุยืนได้กัลป์

หนง่ึ
๘. มิไดต้ กในอบายภูมทิ ้ัง ๔ เลย
๙. เกิดในชาติใดสมยั ใดกด็ ี จะไดพ้ บพระรตั นตรยั แกว้ ท้ัง ๓ อนั ประเสรฐิ
๑๐. ประกอบไปด้วยสตปิ ญั ญาเฉียบแหลมอันประเสริฐ
๑๑. มอี ำนาจราชศักด์ิ เทพยดาและมนุษยม์ คี วามยำเกรงนับถือ
๑๒. มอี ุปนสิ ัยประกอบไปดว้ ยศีลทาน จติ มน่ั ในพระพุทธศาสนา
๑๓. จะได้บรรลุมรรคผลถงึ ทางปรนิ ิพพาน
นี้เปน็ อานสิ งส์ของการสร้างพระสถูปเจดยี ์
ในประเทศไทยพระพุทธศาสนามหายาน ฝ่ายอนัมนิกาย ได้มีการสร้างเจดีย์ขึ้นที่ชัดเจนอยู่วัดถ้ำ
เขาน้อย จงั หวดั กาญจนบุรี

ศาสนวัตถุ
คำว่า ศาสนาวัตถุ หมายถึง วัตถุท่ีมีความสำคัญทางด้านจิตวิญญาณของแต่ละศาสนา เป็นส่ิงที่

แสดงออกถึงเคร่ืองหมายแห่งศรัทธาปสาทะทางศาสนา และส่ือให้ผู้พบเห็นได้รู้และเข้าใจใคร่ศึกษา ว่า
เป็นศาสนาวตั ถอุ ะไร ศาสนาใด หรอื มีปริศนาธรรมอย่าง ไร หรือใช้แทนคติความเชอื่ แบบใด

ศาสนวัตถุของพุทธศาสนามหายานในประเทศไทยน้ัน มีทั้งของฝ่ายอนัมนิกาย และจีนนิกาย
โดยรวมในบทน้ีจะกล่าวของอนัมนิกายซ่ึงเป็นหนังสือเรียนเฉพาะพระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายเท่าน้ัน และจะ
กล่าวถือเฉพาะเร่ืองที่เป็นศาสนวัตถุทางพิธีกรรมและคำศัพท์ท่ีมักได้ยินในการกล่าวเรียกขานกันบ่อย
ดงั น้ี

๑๘

ทจี่ ัดเป็นศาสนวัตถุทางพธิ ีกรรม

๑. หมอ คือ เครื่องใช้สำหรับในการตีให้จังหงะในการสวดมนต์
ของสงฆ์แต่เดิมมักจะแกะสลักเป็นรูปปลารวมกันอยู่ เพื่อให้พระสงฆ์
ได้อย่างปลา เพราะมันไม่เคยหยุดนิ่งเลยแม้กระทั่งเวลานอน ครีบ
และหางของมันจะโบกสะบัดอยู่เสมอ หมอนี้ส่วนมากทำจากไม้แก่น
จันทร์ หรือแก่นขนุนนำมาเจาะให้ตรงกลางเป็นโพรง มีไม้ตีให้เกิด
เสียงดัง ซ่ึงถือคติอย่างว่าเวลาสวดมนต์จะต้องต้ังมั่นอยู่กับจังหวะไม่ให้แกว่งใจจิตมีสมาธิตามเสียงเคาะ
จังหวะนั่นเอง

๒. ระฆัง หรือ จวง คือ ส่ิงที่ใช้ตีเพ่ือให้เปล่ียนบทสวดมนต์ และ
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ ณ ท่ีนั้น ลักษณะของ
ระฆัง (จวง) นี้เหมือนกับรูปของไข่ตัดครึ่งใบแล้วหงายข้ึน ตรงกลาง
กลวงทั้งหมด เพื่อให้มีเสียงดังกังวาลเวลาตี หล่อด้วยทองเหลืองหรือ
โลหะผสมสว่ น สว่ นที่ใชต้ ีทำจากไม้

๓. เจี๊ยง คือ เคร่ืองให้จังหวะอีกชนิดหน่ึง ลักษณะประโยชน์ของ
การใช้นั้นเหมือนกับระฆัง (จวง) รูปร่างของเจี๊ยงเหมือนกับฉิ่งขนาด
ใหญ่ ใหญ่กว่าฝาขนมครกเล็กน้อย ทำด้วยทองเหลือง มีด้ามยาว
ประมาณ ๘ นิ้ว ถึง ๑๐ น้วิ ทำด้วยไม้ หรือเหลก็ ก็ได้ อาจจะแกะสลัก
หรอื ไมก้ ไ็ ด้ วัสดุท่ใี ช้ตเี ป็นแท่งสที อง ทำจากทองเหลืองลว้ น ๆ

๑๙

๔.โด๋ว (มีท้ังโด๋วหมัก และโด๋วไก)๊ คือ สิ่งท่ใี ชต้ ีขัดจังหวะกัน
เป็นทำนอง เป็นส่วนประกอบเพ่ือการสวดมนต์ต๊าง มีความ
พร้อมเพรียงและให้น่าฟังย่ิงข้ึน ทำข้ึนด้วยทองเหลือง กลึง
ให้มีลักษณะเหมือนกับฝาบาตรแต่เล็กกว่าประมาณ ๕ เท่า
มีเชือกร้อยเป็นหูสำหรับใช้น้ิวมือเกี่ยว ส่วนวัสดุที่ใช้ตีทำมา
จากไม้ไผ่ เหลาให้มีลกั ษณะอ่อน ทำหัวไม้ท่ีตีให้ใหญ่ โดยใช้ส่วนที่เป็นปลอ้ งไม้ไผ่ และมีก้านจับสำหรับตี
เหลาใหม้ ลี กั ษณะออ่ นบางพอประมาณ

๕.โถลือ คือ ไม้ท่ีถูกแกะสลักในแนวตรงให้เป็นรูปมังกร มี
ขนาดเท่ากับท่อนแขนของคนเรา และมีส่วนปลายลิ้นของ
มังกรท่ียื่นออกไปทางด้านหน้ามีอยู่ ๓ ช่อง ใช้สำหรับปักธูป
บชู าพระ หมายเอาวา่ มังกรน้ันได้เทิดทูนบชู าระพุทธศาสนา
ผู้ที่ใช้โถลือได้จะต้องเป็นหัวหน้าผู้นำสวดมนต์เป็นส่วนใหญ่
และจะต้องใชใ้ นงานพธิ ที ี่สำคัญทางศาสนาด้วยเทา่ นัน้

๖.เหมา คือ หมวกแห่งบารมีของพระเจ้าห้าพระองค์
สำหรับสงฆ์ท่ีเป็นประธานในการประกอบพิธีไทยทานท้ิง
กระจาดเท่าน้ัน มีลักษณะเป็นผ้าสีทองตัดเย็บให้เข้ากับ
รูปทรงศีรษะของผู้สวมใส่ และบางครั้งอาจมีลักษณะเป็นสี
แดง และมีที่คาดตรงหน้าเหมา เป็นพระพทุ ธเจา้ ห้าพระองค์
ผทู้ ่ีสวมใสถ่ อื วา่ เป็นตวั แทนของพระมาลัยเถระเจ้า หรอื พระ
กษิติครรภโพธิสัตว์ เพื่อแจกทานให้กับดวงวิญญาณไร้ญาติ
ขาดมติ รทม่ี ารอรบั ส่วนบุญส่วนกศุ ลนั่นเอง

๒๐

๗.บิ้นกามโล่ คือ ขันน้ำมนต์ขนาดเล็ก ที่มีลักษณะคล้ายบาตรพระ
อาจมีทั้งเป็นลักษณะท่ีเหมือนขันน้ำจริง ท่ีเป็นอะลูมิเนี่ยม และอาจ
เป็นกระเบื้องท่ีหล่อให้สวยงามมีลักษณะเท่ากันเล็ก ๆ ใช้สำหรับทำ
น้ำมนต์ในการประกอบพิธีทางศาสนา เช่น พิธีคายกิน กุ๊งหง่อ ต่าง ๆ
จะต้องมีการดีดน้ำมนต์ ๔ ทิศ และหัวหน้าผู้นำสวดจะเป็นผู้ทำ
นำ้ มนต์และดีดน้ำมนตเ์ ท่านน้ั

๘.กระดง่ิ หรือ ลนิ คือ เครื่องให้จงั หวะอีกชนิดหน่ึง ลักษณะประโยชน์
ของการใช้น้ันเหมือนกับเจี๊ยงในบางเวลาที่ไม่มีเจ๊ียงขณะน้ัน แต่ส่วน
ใหญ่จะเห็นในการประกอบพิธีไทยทานทิ้งกระจาด ผู้เป็นประธานมี
สทิ ธิ์ใช้ได้เพียงรปู เดียวเทา่ น้ัน มีลักษณะคลา้ ยกับระฆังตามวัดไทยต่าง
ๆ แต่เล็กกว่ามาก มีด้านจับ ส่วนใหญ่จะแกะสลักให้สวยงาม ทำมา
จากทองเหลอื งทั้งหมด ใช้ประกอบพิธที ิ้งกระจาดตอ้ งใช้ ๒ อัน

๙..ไม้ญรืออ๊ี คือ เป็นไม้ท่ีทำด้วยทองเหลืองท้ังหมดก็มี และทำด้วย
งาช้างทั้งแท่งก็มี มีลักษณะท่ีเป็นบางเป็นล่องตรงกลางไม้คล้าย
สามเหล่ียม ตรงปลายงอลงคล้ายใบโพธิ์ใช้สำหรับการเวียนเทียนในพิธี
กงเต๊ก และพิธีเวียนเทียนในงานเทศกาลกินเจ เป็นต้น พระสงฆ์และ
สามเณรสามารถใชไ้ ดท้ ้งั หมด

๑๐.ผ้ากราบ คือ ผ้าที่พระไท้ก๋า (พระที่เป็นประธานในพิธี) นำมาประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนา ท่ีมีลักษณะเป็นส่ีเหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งมีลักษณะคล้ายจีวร
ครอง แต่เล็กกว่า มีขอบสีทองคั่นเป็นคันนา มีขนาดเล็กกว่าจีวรครอง
ประมาณ ๓ เท่า ปกติพระไท้ก๋าจะใช้พาดที่ไหล่ซ้ายในขณะประกอบ
พิธกี รรม

๒๑

๑๑.ขิม ล้อ (ผ่าง) กลอง อิเลคโทน คือ เคร่ืองดนตรีที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาในบางพิธีเช่น
ไทยทานทิ้งกระจาด บูชาดาวนพเคราะห์ กินเจ กงเต๊ก ท่ีมีการสวดมนต์ต๊าง จะมีการใช้อุปกรณ์
เหล่านใ้ี นการประกอบพธิ ดี ้วยเสมอ

คำศัพท์ท่ีมักไดย้ ินกันบอ่ ย ๆ
๑. ไท้ก๋า คือ หัวหน้าผู้นำสวดมนต์ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพิธีต่าง ๆ เป็นอธิบดีสงฆ์
ในช่วงเวลานั้น ๆ
๒. ยีนา คอื พระที่ทำหน้าท่ีเปน็ ผู้ช่วยไทก้ ๋า ตำแหนง่ รองจากไท้ก๋า ทำหนา้ ทตี่ ีระฆงั บางคร้ังอาจ
ทำหน้าที่แทนไทก้ ๋าไดใ้ นบางกรณี
๓. ยจี ุ๊ง คือ พระท่ที ำหน้าทีร่ องจากยีนา ทำหนา้ ที่ตหี มอให้จังหวะในการสวดมนต์
๔. โด๋วนา คือ พระที่ทำหน้าที่รองจากยีจุ๊ง ทำหน้าที่ตีโด๋วหมัก (โด๋วหมักจะเคาะจังหวะเหมือน
หมอในการสวดมนตต์ ๊าง)
๕. โด๋วจุ๊ง คือ พระท่ีทำหน้าท่ีรองจากโด๋วนา มีหน้าที่ตีโด๋วไก๊ (โด๋วไก๊จะเคาะจังหวะสลับ
กบั โดว๋ หมกั )
๖. ด่าวกรา้ ง คอื พระผู้ชว่ ยสวดท่ียนื อยใู่ นท่ีอนั สมควร ไมไ่ ด้ทำหน้าท่ีหลกั ๆ ทางพธิ ีกรรมน้นั ๆ
๗. เต๊ยี บเหยงิ คอื การสวดพระอภธิ รรม (สวดศพ) แบบธรรมดา
๘. เต๊ียบเหยิงทรงเครื่อง คอื การสวดพระอภธิ รรม แบบที่ใช้ดนตรีประกอบและมพี ิธกี รรมอนื่ ๆ
แทรกเขา้ มาด้วย
๙. ด๊าม คอื พธิ ีการทำกงเตก๊ (ทกั ขิณานุปทาน)
๑๐. เว๊ียะ คือ พิธีในการสวดมนต์ให้กับพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นประเพณีของสงฆ์ฝ่ายมหายาน
มักจะกระทำกันในวันประสูติกาลหรือวันตรัสรู้ของพระองค์ เป็นการแสดงความเคารพ และ
ระลึกถงึ คุณงามความดีของพระองค์
๑๑. บ๊ายโดว๋ คือ พิธีสะเดาะเคราะห์
๑๒. กงุ๊ หงอ่ คอื การสวดถวายข้าวพระพุทธ
๑๓. กุ๊งวา คือ การสวดถวายเครื่องหอม หรือการโปรยดอกไม้เพ่ือเป็นพุทธบูชา เช่น ในพิธกี งเต๊ก
หรือพิธีไทยทานทง้ิ กระจาด เป็นตน้
๑๔. กุ๊งเจ๊า คือ การสวดเพื่อเรียกผีไม่มีญาติให้มารับเคร่ืองเซ่นสังเวยในพิธีกงเต๊กกระทำต่อจาก
พธิ ีสงั เวยเครอื่ งเซน่ รองจากพธิ ที ิ้งกระจาดไทยทาน
๑๕. ซับยึก คือ การสวดมนต์เป็นจบ ๆ แต่ละจบน้ันจะข้ึนต้นด้วยมนต์ต๊างและต่อด้วยบทสวด
มนตย์ ีดา้ หรอื โผโมน และตามดว้ ยมาฮา และตามด้วยมนต์ต๊างจบพิธี

๒๒

๑๖. คายกิน คือ การสวดมนต์เพ่ือเร่ิมพิธีต่าง ๆ เป็นการเปิดคัมภีร์ หรือเป็นการชุมนุมเทวดาให้
รว่ มพิธใี นการจะเร่ิมประกอบพิธตี า่ ง ๆ จะตอ้ งเร่ิมต้นดว้ ยคายกนิ กอ่ น

๑๗. ต๊าง คือ การสวดมนต์ท่ีเป็นทำนองเสนาะ โดยพร้อมเพรียงกันมีเคร่ืองดนตรีประกอบให้
จงั หวะตา่ ง ๆ เชน่ ขิม จะเข้ กลอง ลอ้ (ผา่ ง) ซอ ชนิดต่าง ๆ โดว๋ หมอ เปน็ ต้น

๑๘. ถิน คือ การอาราธนาพระพุทธเจ้าหรอื อัญเชิญเทพยดาตา่ ง ๆ มาประทับในพุทธมณฑลเพ่ือ
เปน็ องคป์ ระธานและเพอ่ื รบั รู้ในการประกอบพิธีนน้ั ๆ

บทสรปุ

ศาสนสถานของอนัมนิกาย มีความผูกพันธ์กับศิลปะของจีนแบบแยกกันไม่ออกเลย เพราะการ
ได้รับอารยธรรมของจีนเป็นพัน ๆ ปี จงึ ทำให้หาเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตนเองยาก และในประเทศไทย
จะมีให้เฉพาะที่ชัดเจน จะเป็นประตู โบสถ์ เจดีย์ เป็นต้นแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นศิลปะแบบจีนท้ังนั้นเพราะ
เป็นศลิ ปะท่ีสวยงามมากอกี ศิลปะแบบหนงึ่

ศาสนวัตถุถอื เปน็ เอกลักษณ์ของตนเองอยา่ งมากเพราะมีแบบฉบับท่ีสืบทอดกันมาแตใ่ นอดีต แต่
เม่ือดูให้ชัดเจนแล้ว จะมีลักษณะเหมือนของจีนเช่นเดียวกัน ดังน้ันจะว่าเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นของตนเอง
เลยก็ไม่เชิง แต่ท่ีสำคัญที่สุดเป็นส่ิงที่รวมความหมายของปริศนาธรรมและเป็นสิ่งท่ีใช้ในการประกอบ
พิธีกรรมของพระสงฆ์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน และยึดม่ันอยู่ในใจของพระสงฆ์ฝ่ายมหายานมาโดยตลอด
เชน่ หมอ ระฆัง (จวง) เจี๊ยง โถลือ โด๋ว เป็นต้น

๒๓

กิจกรรมเสริมความรู้
๑. ให้นักเรยี นแบ่งกลุ่มไปศึกษาศาสนสถาน ท่ีเป็นศิลปะแบบญวนและแบบจีน ในจำนวน ๒ วัด
แล้วนำมาสรปุ ให้เพอื่ นร่วมช้นั ฟงั
๒. ให้นักเรียนศึกษาศาสนวัตถุของพระสงฆ์ญวนที่ใช้ประกอบพิธีกรรมแต่ละพิธี แล้วนำมาสรุป
เปน็ รายงานส่งครู

กิจกรรมวัดผล
๑. ศาสนสถาน หมายถึงอะไร ?
๒. ศาสนสถานที่เป็นแบบญวน ท่ีชัดเจนทสี่ ุดคืออะไร ?
๓. ส่วนใหญว่ ัดญวนจะมศี ลิ ปะแบบใด ?
๔. ประตวู ดั ญวนสะพานขาว และประตวู ัดมงคลสมาคม เป็นศิลปะแบบใด ?
๕. ศาสนวตั ถุ หมายถงึ อะไร ?
๖. ศาสนวัตถุท่ีใชป้ ระกอบพธิ กี รรมไทยทานท้ิงกระจาด มีอะไรบา้ ง ?
๗. คำวา่ ไทก้ า๋ ยนี า หมอ จวง สวดซบั ยกึ หมายถึงอะไร ?

๒๔

บทที่ ๔
ศาสนพิธีพระสงฆอ์ นัมนกิ าย

จุดประสงค์ปลายทาง
นกั เรียนมคี วามรู้ความเข้าใจในศาสนพธิ ีของพระสงฆ์อนัมนกิ าย ได้อยา่ งเปน็ รูปแบบเดยี วกันและ

สามารถถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้อย่างถูกวิธี พร้อมกับนำไปประกอบพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับ
เวลาและสถานท่ี

จุดประสงคน์ ำทาง
๑. นักเรียนสามารถบอกประวัตแิ ละอปุ กรณ์พิธที อดกฐนิ ของอนัมนกิ ายได้ถกู ตอ้ ง
๒. นักเรยี นสามารถเลา่ ประวัตพิ ธิ บี ูชาดาวนพเคราะหไ์ ด้ถกู ต้อง
๓. นักเรยี นสามารถนำเอาพธิ กี รรมบางอยา่ งไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการประกอบพธี ีไดถ้ กู ต้อง
๔. นักเรยี นสามารถถ่ายทอดความร้แู ละขั้นตอนศาสนพิธีออกพรรษาได้ถูกตอ้ ง
๕. นกั เรยี นสามารถบอกวธิ ีขั้นตอนพธิ ตี รายตงั ได้ถกู ตอ้ ง

การทอดกฐิน
คำว่า กฐิน หมายถึง ผ้าที่ทายกทายิกาทอดถวายพระภิกษุสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาตลอดไตรมาสใน

ท่ามกลางคณะสงฆ์ ดังนั้นพิธีการทอดถวายผ้าแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาแล้ว เรียกว่า “พิธี
ทอดกฐิน”

ในสมัยพุทธกาล งานกรานกฐินเป็นงานของสงฆ์โดยตรง (เพราะไม่มีผู้ทำสมณะบริขารจำหน่าย
เหมือนอย่างทุกวันนี้) คือ งานทอ ตัด เย็บ และย้อมจีวร ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตให้มีศาลา
เรยี กว่า มณฑปกฐนิ (โรงกฐิน) ใหภ้ ิกษุอาศัยเป็นทีก่ รานผ้ากฐิน

ประวัติการกำเนดิ กฐนิ
สมัยหนึ่ง สมเด็จพระทศพลทรงประทับอยู่ ณ เมืองสาวัตถี มีพระภิกษุชาวเมืองปาเถยยะ ๓๐

รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมสูง ทรงไว้ซึ่งธุดงควัตร ถือท่ีเปล่ียวเป็นวัตร ถือการ
บิณฑบาตเป็นวัตร นุ่งผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ครองผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร ต่างอยู่ ณ เสนาสนะป่า คราวหนึ่ง
พระภิกษุ ๓๐ รปู น้ี มคี วามระลกึ ถึงพระพุทธเจา้ และทราบว่าขณะนั้นพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ เมอื ง
สาวตั ถี จงึ ชวนกันจารกิ ไปเมอื งสาวัตถเี พอื่ เข้าเฝ้าพระพทุ ธเจ้า

๒๕

เมื่อภิกษุ ๓๐ รูปนี้ ได้เดินทางจาริกมาถึงเมืองสาเกต ซ่ึงต้ังอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถีเพียง ๖
โยชน์เท่านั้น ก็ถึงเวลาเข้าพรรษา จึงจำต้องหยุดพักการเดินทาง และจำพรรษาอยู่ท่ีเมืองสาเกตก่อน
คร้ันเมื่อออกพรรษาแล้ว ฝนยังคงตกหนักไม่สร่างซาจนน้ำท่วม พื้นดินเป็นโคลนตม ด้วยความท่ี
พระภิกษุ ๓๐ รูปอยากไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง จึงไม่รอช้าออกเดินทางบุกโคลนลุยน้ำด้วยความ
ยากลำบาก ทำให้เคร่ืองนุ่งห่มเปียกเป้ือนโคลน เมื่อพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสถามถึงการ
เดินทาง และทรงอนุญาตให้ภิกษทุ ัง้ หลายกรานกฐินขึน้ เพ่ืออนเุ คราะหใ์ ห้ผา้ จวี รใหม่แกภ่ ิกษุ ๓๐ รปู น้ี

การทอดกฐนิ
๑. ประเภทกฐินและวิธกี ารทอดกฐิน

การทอดกฐนิ มอี ยู่ ๒ อยา่ ง คอื
๑.๑ มหากฐิน คือ จัดผ้าท่ีเย็บเป็นสมณะบริขารสำเร็จรูปแล้วน้ัน นำเอาไปทอดถวายแก่
พระภิกษุสงฆ์ ดงั ทีก่ ระทำกันอย่ใู นปจั จุบนั น้ี
๑.๒ จุลกฐิน คือ การเก็บฝ้ายมาปั่นเป็นด้ายแล้วทอให้สำเร็จในวันเดียว แล้วนำไปทอดในวัน
เดียวกนั และพระสงฆก์ ็จะทำพิธีใหเ้ สร็จในวันเดียวกนั นนั้ ดว้ ย
สำหรับวิธีการทอดกฐิน เม่ือทายกทายิกานำผ้ากฐินไปถวายวัด ภิกษุในวัดนั้นต้องมาประชุม
พร้อมกันในอุโบสถ ต้องมีภิกษุรปู หนึง่ ในจำนวนท้งั หมดเอ่ยเสนอนามพระภกิ ษุรูปใดรูปหนึง่ ในคณะสงฆ์
ได้เลือกให้เป็นผู้รับผ้ากฐิน ถ้าไม่มีผู้ใดคัดค้าน จะมีพระภิกษุอีก ๒ รูป สวดประกาศระบุนามพระภิกษุ
องค์ที่เลือกไว้เป็นผู้รับผ้ากฐิน เพื่อขออนุมัติต่อที่ประชุมสงฆ์ กระทำ ๒ คร้ัง เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านก็
เป็นอันว่าผ้ากฐินนั้นได้เป็นกรรมสิทธ์ิของภิกษุรูปน้ัน ต่อจากนั้น พระสงฆ์กระทำพิธีกรานกฐินตามพิธี
สังฆกรรม ในเมื่อพระสงฆ์ประกอบพิธีสังฆกรรมเสร็จก็สวดพุทธมนต์อนุโมทนาให้พรแก่บรรดาผู้ท่ีเป็น
เจา้ ภาพ ตลอดจนผู้ที่มศี รทั ธาจิตมาประชมุ อนุโมทนากุศลทานกันทุกคน

๒. องค์กฐนิ
องค์กฐนิ มีดงั น้ี
ผา้ ไตร ผ้าห่มพระพุทธรูปองค์พระประธานและองคส์ าวกในโบสถ์ บาตร เขม็ ด้าย มีดโกน

หินลับมีดโกน หม้อกรองน้ำ พัด เทียน ๒๔ เล่ม หมอน มุ้ง เสื่อ ผ้าห่มนอน ยาบำบัดโรค กาน้ำ
พร้อมถ้วยน้ำชา ถ้วย ช้อน แกว้ นำ้ เยน็ เคร่อื งมอื เหล็ก เล่ือย สิ่ว กบ ค้อน ขวาน

๒๖

๓. ผ้าสำหรับทอดกฐิน
ผ้าที่สงฆ์ใชก้ รานกฐินนัน้ อาจเปน็ ผา้ ใหม่ ผา้ เทียมใหม่ ผ้าเก่า หรือผา้ บังสุกลุ ก็ได้ แตต่ ้องเป็น

ผ้าท่ีมีบุคคลถวายให้กับสงฆ์แล้วเท่านั้น ห้ามใช้ผ้าที่ได้มาโดยมิชอบ เช่น ขโมย ทำปาฏิหาริยข์ อ หรือ
แม้แต่ผ้าที่ได้มาโดยบริสุทธิ์แต่เก็บค้างคืนไว้ก็ห้ามมิให้นำมาเป็นผ้ากฐิน สำหรับฆราวาสผู้ต้องการ
ทอดกฐนิ ถวายผ้าแกพ่ ระสงฆ์ ผา้ ทนี่ ำมาถวายน้ันตอ้ งมลี ักษณะดังนี้

- ไม่ใชผ่ ้าทข่ี อยืมเขามาทอด
- ไมใ่ ชผ่ ้าทเ่ี ป็นสันนิธิ คอื ผา้ ที่ได้ทอดมาแลว้
- ไม่ใช่ผา้ ทีเ่ ปน็ นสิ สคั คยี ์ คือ ผา้ ท่ภี กิ ษเุ สียสละโดยตอ้ งโทษตามวนิ ัยบัญญตั ิ

๔. ลกั ษณะภิกษทุ ่ีรบั ผา้ กฐิน
๔.๑ เปน็ ภิกษทุ ป่ี รกตไิ มต่ อ้ งรับโทษวินยั
๔.๒ เปน็ ภกิ ษทุ ไ่ี ดอ้ ยจู่ ำพรรษาในวัดน้ันครบพรรษาโดยบรบิ ูรณไ์ มข่ าดพรรษา
๔.๓ วัดนน้ั ตอ้ งมีภกิ ษอุ ยา่ งตำ่ ๕ รูป จำพรรษา (ถา้ ตำ่ กวา่ ๕ รูป ถือว่าไมบ่ ริบรู ณ์)
๔.๔ ภิกษุต้องประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ รู้จักถินไตรจีวร รู้จักอธิษฐานไตรจีวร รู้จักการ

กราน รจู้ ักหัวข้อแห่งการเดาะกฐิน รู้จักปลโิ พธ รู้จักการเดาะกฐิน และร้อู านสิ งสก์ ฐนิ

๕. คำถวายผ้ากฐนิ
นำโมตา๊ กด๊าดทาโต ย่าดายาอาราฮาเด้ ตามเหยยี่ วตามเผกิ ดา้ ต๋า ๓ ครงั้

หงากมิ จ๋งุ ดั๋ง ตถ้ี ือตามอี เตย๋ี กุง หยือตงั ย่ายาหยวี พี ับผกุ ตามเบ๋ยี น (กล่าว ๓ ครงั้ )
คำแปล บัดน้ีข้าพเจ้าท้ังหลาย ยกเอาผ้าสามตัวน้ีมาน้อมถวายแด่นาเคนทรเถรเพื่อเป็นผ้า

ครองสกิ ขาบท (กล่าว ๓ คร้ัง)
๖. กำหนดการทอดกฐิน

กำหนดเขตให้ทอดกฐินนั้น มีบ่งไว้ว่าให้เริ่มต้ังแต่ วันที่ ๑๖ เดือน ๘ (บ๊าดเหวียกถ็อบ-
หลกุ หยึก) ข้างจนี มเี วลาทอดกฐิน ๑ เดือน หมดเขตเมอื่ พน้ จากวนั ทีร่ ะบุไว้

กำหนดการทอดกฐนิ ของอนมั นิกาย
เรื่องของกฐินนั้นตามคัมภีร์ต้ีแควบาเด้หมก (ภิกขุปาฏิโมกข์ของอนัมนิกาย) กำหนดให้มีการ
ทอดกฐินหลงั จากออกพรรษาแล้ว ๑ เดอื น คอื ภายในวันท่ี ๑๖ เดอื น ๘ (บ๊าดเหวยี กถอ็ บหลุก-หยึก) ข้าง
จีน หากเลยไปแล้วจะถือว่าเป็นกฐนิ เดาะ แต่การทอดกฐินในฝ่ายมหายานไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ จะมีการ
กำหนดทอดกฐนิ ก็ไดไ้ ม่มีก็ได้

๒๗

๗. อานิสงส์ของการทอดกฐิน
การทอดกฐิน ถือเป็นการเพิ่มพูนสนับสนุนพระพุทธศาสนา สงเคราะห์ภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัยลาภ

อีกทั้งเปิดโอกาสให้เกิดธรรมมิตรสูบ่ รรดาพทุ ธบริษทั ทัง้ หลายทไ่ี ดท้ ำการทอดกฐนิ ร่วมกัน ทำให้จติ มุ่งแต่
สงิ่ อันเปน็ กุศล มคี วามเบกิ บานผอ่ งแผว้ เปน็ บอ่ เกิดของไตรกรรม หรอื ไตรธรรม คือ

- กุศลกรรม (กรรมอนั เปน็ กศุ ล ย่อมไดร้ ับผลทีเ่ ปน็ กุศล)
- อโหสิกรรม (การยกโทษ ใหอ้ ภยั และไม่จองเวรซึง่ กนั และกนั )
- สามคั คีธรรม (ช่วยใหเ้ กิดความสามัคคใี นหมู่คณะ)
พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญกฐินทานน้ีว่า เป็นสังฆทาน คือ เป็นทานท่ีมีอานิสงส์มากกว่าทานที่
ถวายแก่พระองค์เองโดยเฉพาะ

พิธบี ชู าดาวนพเคราะห์
ตามเน้ือความในพระคัมภีร์นพเคราะห์ มีคำอรรถกถาว่า เผิกเท๊ียดเทียนกรุงบั๊กโด๋วโก๋เผิกเตียว

ตายเยยี นถ่อเหย่ียวกิน ซึ่งมีอรรถาธิบายไวว้ า่
ตำนานของพธิ ีบูชาดาวนพเคราห์

ครั้งหน่ึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาไว้ว่า “อันเทพเจ้าประจำดวงดาวนพเคราะห์ท้ัง
๙ พระองค์ซึ่งเสวยอายุของสัตว์มนุษย์และเราท่านท้ังหลายท่ีอยู่ในโลกน้ี มีนามว่า กึ๊วว่าง แปลว่า ๙
พระองค์ เป็นดาวที่มนุษย์ปุถุชนผู้หนึ่งผู้ใดถ้าได้ปฏิบัติทำความเคารพสักการะ และได้นิมนต์ พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆม์ าเจรญิ พระพุทธมนต์ตามพระคัมภีร์นพเคราะห์นี้แล้ว จะเป็นการต่อและเพ่ิมอายใุ ห้
ยืนยาวนาน และเป็นการขอพรเพิ่มเป็นศิริมงคล รวมทั้งปกป้องคุ้มกันภยันตรายให้แก่ตัวเอง พร้อมกัน
นัน้ ส่วนของผลานิสงส์ก็จะสนองให้ได้รับความสุข ความเจรญิ ท้ังในชาตินี้ และยังผลใหถ้ ึงอนาคตในภาย
ภาคหนา้ มนี สิ ยั ไวป้ ระจำตัว เพราะจติ มีความเชื่อม่นั และเคารพนบั ถอื ศลี และทาน ๒ ประการนเ้ี ปน็ ส่วน
ให้มนุษยเ์ ราทง้ั หลายได้เป็นทนุ สำหรับฝงั ไว้ในจติ เป็นเคร่ืองให้ความอบอุน่ และสนั ตสิ ุขตลอดไป”

ในคร้ังบรรพกาล พระอานนท์ได้เสด็จตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และได้ทรงประทับยังวิมานน้ัน ในสวรรค์ช้ันนั้นพร่ังพร้อมไปด้วยพระอินทร์ พระพรหม เทพยดากับ
บริวารท้ัง ๘ จำพวกและโลกบาลทั้ง ๔ จำพวก ทั้งหมดได้มาประชุมกันเพ่ือท่ีจะฟังพระพุทธองค์ทรง
แสดงพระธรรมเทศนา มีพระโพธิสัตว์พระองค์หน่ึงคือ องค์หม่านทู้เท๊ิกเหล่ย ได้เห็นนิมิตเกิดขึ้น และได้
ทูลถามพระองคว์ ่า “ขา้ แตอ่ งค์พระชนิ สหี ์ ข้าพระพทุ ธเจา้ ไดพ้ ิจารณาเห็นว่า มนุษยท์ ง้ั หลายทีเ่ กิดในชมพู
ทวีปนั้น ต้ังแต่เจ้าพระยามหากษัตริย์ ตลอดจนถึงเวไนยสัตว์ทั้งหลายต้องตกอยู่ในอำนาจของดาวนพ
เคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ เพราะท่านเป็นเจ้าปกครองหมดท้ังส้ิน เพราะเหตุว่าดาวนพเคราะห์นัน้ มีอำนาจ
บารมีส่องท่ัวถึงสรรพสัตว์ท่ีเกิดอยู่ในโลกเป็นที่พ่ึ งแก่สัตว์ทั้งหลายท่ีมาจุติเกิดข้ึนทั้งในปัจจุ บันและ

๒๘

อนาคต ข้าพระพุทธเจ้าจึงขออาราธนา และขอความเมตตาได้ทรงกรุณาช้ีแจงให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้

ทราบถึงคุณบารมี และบุญญาภินิหารของดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์นี้ เพื่อจะได้เป็นท่ีพึ่งระลึกของ

สัตว์โลกท้ังหลาย อันจะเป็นนิสัยทำจิตให้บังเกิดความเลื่อมใสต่อไป” องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัส

กับพระโพธิสัตวอ์ งค์หมา่ นทเู้ ท๊ิกเหล่ย ว่า “ดีแล้ว เราตถาคตขอช้ีแจงแสดงให้ท่านทง้ั หลายฟัง จะได้รูว้ ่า

ดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์น้ี มีคุณบารมีท่ีได้ปกครองเวไนยสัตว์เอาไว้เพียงใด เม่ือถึงคราวสมัยท่ี

เวไนยสัตว์อันเชิญท่านท้ังหลายลงไปยังมนุษย์โลก จะได้ไปบอกกับเวไนยสัตว์ในปัจจุบันหรืออนาคต

ข้างหน้า ถ้าเวไนยสัตว์มีจิตคิดระลึกถึง และทำการสักการะบูชาด้วยความเลื่อมใสแล้ว จะมีความสุข

ความเจริญยิ่ง ๆ ข้ึนไปตามความประสงค์” พระพุทธองค์จึงได้เอาพระนามของเทพเจ้าประจำดาวนพ

เคราะห์ทั้ง ๙ ดวงข้นึ มาแสดง ซง่ึ มพี ระนามดังตอ่ ไปน้ี

องค์ท่ี ๑ พระอาทติ ย์ ไทเ่ ยือง

องคท์ ี่ ๒ พระจนั ทร์ ไทอ่ ็อม

องคท์ ่ี ๓ พระองั คาร หมอกดก๊ึ

องค์ที่ ๔ พระพธุ หวาดก๊ึ

องคท์ ่ี ๕ พระพฤหัสบดี โถดึก๊

องคท์ ่ี ๖ พระศกุ ร์ ไท่บัด

องค์ท่ี ๗ พระเสาร์ ถดี กึ๊

องคท์ ี่ ๘ พระราหู ราโหว้

องคท์ ี่ ๙ พระเกตุ เกโ้ ด่

(เทพยดาประจำดาวนพเคราะห์ท้ัง ๙ นี้ มีอยู่ ๗ พระองค์ที่เป็นใหญ่ปกครองดูแล ส่วนอีก ๒

พระองค์คอื พระราหู และ พระเกตุ มีหน้าท่ีคอยชว่ ยเหลอื เทพยดาผ้เู ปน็ ใหญ่ทัง้ ๗ พระองคน์ น้ั )

ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ได้เทศนาตามพระคัมภีร์นพเคราะห์สูตรจบแล้ว พระพุทธองค์จึงได้ยกเอา

ประวัติของเทพเจ้าท้ัง ๙ พระองค์ขึ้นมาตรัสต่อไปว่า “ในอดีตกาลสมัยน้ัน ต้ังแต่เทพเจ้าทั้ง ๙ พระองค์

ยังไม่ได้เข้าสู่ปรินิพพาน ได้ทรงแผ่บารมีเมตตากรุณาแก่สรรพสัตว์คือ เราแลท่านท้ังหลายที่อยู่ในโลกน้ี

คร้นั ปรนิ ิพพานไปแลว้ จงึ ข้ึนไปจุติเป็นเทพยดาประจำดาวนพเคราะห์หมดท้ัง ๙ พระองค์”

ฝ่ายพระอินทร์ พระพรหม และเทพยดาท้ังหลาย ครั้นได้สดับรับฟังองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แสดงพระธรรมนพเคราะห์สตู รดังนั้นแล้ว จึงพร้อมกันกราบนมสั การกลา่ วเป็นคำสรรเสริญข้นึ วา่ “เทพย

ดาท้ัง ๙ พระองค์ท่านได้ปฏิญาณตนไว้วา่ จะแผ่เมตตาไปให้ถึงสรรพสัตว์ท่ีเกิดอยู่ในโลกนี้ ความดี ความ

ประเสริฐของพระองค์สูงสุดอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งใดจะมาเปรียบเทียบกับพระองค์ได้ พระองค์ปราศจากกิเลส

หลุดพ้นจากโลกีย์วิสัยแล้ว ในอดีตแม้พระองค์จะได้สร้างพระบารมีถึงซึ่งมรรคผลแล้ว พระองค์ก็ยังทรง

ตง้ั อยู่ในความอุตสาหะพากเพียรแผ่เมตตาจิต อบรมโปรดสัตว์อยู่ต่อไปอีกถึง ๔ กัลป์ ดาวนพเคราะห์ทั้ง

๒๙

๙ พระองค์ยงั ทรงอยู่ในชมพูทวีปมาจนถึงทกุ วนั นี้ ก็เพราะเหตุดว้ ยต้ังจติ เมตตาสรรพสตั วท์ ั้งหลายที่อย่ใู น
โลก ดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์นี้ท่านจะแสดงปาฏิหาริย์ให้เป็นรูปเทวดา จะได้ช่วยกันโปรดแนะนำ
สรรพสัตว์ที่ยังอยู่ในโลกนั่นเอง ส่วนสรรพสัตว์เราท่านท้ังหลายก็ได้อาศัยดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์
ช่วยคุ้มครองรักษาโดยทั่วกัน เพราะเหตุดังนั้นองค์พระศากยมุนีซึ่งเป็นพระบรมครูแห่งเรา ท่านจึงได้
โปรดเทศนาชี้แจงแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายให้ทราบถึงกันว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์น้ี มี
บุญคณุ แก่พวกสรรพสัตว์สุดท่ีจะคณานับ” ฝ่ายเทพยดากบั หมู่มนุษย์ทงั้ หลาย เมอ่ื ได้สดับรับฟังคำที่พระ
พุทธองค์ทรงช้ีแจงเหตุมาน้ันต่างก็ทราบซึ่งเป็นอันดี จึงให้ปุถุชนที่ได้มาฟังพระธรรมคำสอนน้ีช่วยกันชัก
นำผูท้ ี่ปฏบิ ตั ิใหท้ ราบโดยท่วั กันในปัจจุบัน จนถงึ อนาคตข้างหนา้ ตอ่ ไป

วิธกี ารบำเพ็ญพธิ บี ูชาดาวนพเคราะห์
ในครั้งกระนั้นองค์พระศากยมุนีได้ตรัสเทศนาต่อไปว่า “ถ้าท่านสัปบุรุษหญิงชายทั้งหลาย ท่ีมี
จติ ใจเล่ือมในเคารพแลว้ ในระหว่าง
๑. เดือน ๑ ข้ึน ๑-๘ คำ่ ข้างจีนตรงกับเดือน ๓ ไทย
๒. เดอื น ๗ ขึน้ ๑-๗ คำ่ ขา้ งจนี ตรงกบั เดอื น ๙ ไทย
๓. เดอื น ๙ ข้ึน ๑-๙ คำ่ ขา้ งจีน ตรงกับเดือน ๑๑ ไทย
๔. หรือวนั เกิดของผ้กู ระทำนน้ั กด็ ี
จะทำพิธีบูชาดาวนพเคราะห์ขอพรสิ่งใด ให้นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจแล้วต้ังท่ีบูชาดาวนพ
เคราะห์ท้ัง ๙ พระองค์ เพ่ือความสุขกายสบายใจแก่ตัวท่านทั้งหลาย เคร่ืองที่จัดไว้บูชาให้จัดส่ิงละ ๙
อย่าง แล้วให้ตั้งใจสวดพระนามพระองค์ท่านท้ัง ๙ หรือถา้ สวดไปได้กใ็ ห้นิมนต์พระสงฆ์สวดแทน แลว้ ตัว
ท่านก็ปฏิบัติตาม กราบไหว้ สำรวมจิตอธิษฐานไป ให้ต้ังใจทำจนตลอดพิธีอย่าได้ขาดเลยจะเป็นการดี
ทำให้ครบตามพิธีที่ช้ีแจงมานี้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนอย่าให้ขาดเลยจะเป็นการดีมาก ถ้าท่าน
ทัง้ หลายประสงค์จะขอพรส่งิ ใดแลว้ ก็จะไดส้ มความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ”

อานสิ งส์ของการทำพธิ ีบูชาดาวนพเคราะหท์ ้ัง ๙
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาไว้กับพระโพธิสัตว์ องค์หม่านทู่เท๊ิกเหล่ย นั้นว่า
“อันสรรพส่ิงที่เกิดมาอยู่ในโลกน้ี ไม่ว่าท่านท้าวพระยามหากษัตริย์ หรือสมณชีพราหมณ์ คนทั้งหลาย
หรือสัตว์ท่ีมีดวงจิตและวิญญาณแล้ว ตกอยู่ในอำนาจปกครองของดวงดาวนพเคราะห์ท้ัง ๙ พระองค์
ทัง้ สน้ิ ถา้ ท่านเปน็ ประธานาธิบดีได้ฟัง หรือได้สวดนามของเทพยดาแหง่ ดาวนพเคราะห์นแี้ ล้ว และปฏิบัติ
ตามท่ีส่ังสอนเอาไวน้ ้ัน เม่อื จะบูชากใ็ หจ้ ัดรูปเทพยดาประจำดาวนพเคราะหก์ ับเครื่องดอกไม้ธูปเทียน ทำ
การสักการะบูชาอยเู่ ปน็ นิจ

๓๐

๑. จะกอ่ ให้เกิดความเจรญิ ถงึ ซ่งึ ยศถาบรรดาศกั ด์ิ
๒. จะทำมใี หอ้ ายุยืนนาน จะผลานิสงส์มากหาประมาณมไิ ด้
๓. เป็นการแผ่ผลานิสงส์ถึงบิดาและญาติทั้งหลายที่ลว่ งลบั ไปแล้วยังโลกหน้าน้ัน ไม่อาจทราบได้
ว่าจะได้รับทุกข์สุขประการใดบ้าง จะสวดพระคัมภีร์ดาวนพเคราะห์นี้หรือสร้างคัมภีร์ข้ึนอุทิศเป็นทานก็
ได้ แลว้ ตัง้ จิตอธษิ ฐานขอแผ่ผลานิสงฆ์ที่เราทำไว้ให้แก่บิดามารดาญาตมิ ิตรที่ล่วงลับไปแลว้ ยังโลกหน้าให้
มคี วามสุขดว้ ยผลบุญแหง่ การบำเพญ็ พธิ ีบชู าดาวนพเคราะห์นี้
๔. ถ้าหากว่าเราเคราะห์ร้าย เผอิญถูกภูติผปี ีศาจเข้ามาสงิ สู่ ทำให้ใจเคลิบเคล้ิมหลงใหลหัวใจมืด
มัว สติฟ่ันเฟือนไปแล้ว ให้ท่านจงตั้งใจทำพิธีสวดมนต์ขับไล่ ผลานิสงส์ที่ท่านได้ตั้งใจทำการบูชาด้วย
ความเลือ่ มใสศรทั ธาเชือ่ ถอื จะชว่ ยใหท้ ่านหายฟน้ื คืนสตไิ ด้ตามปกตดิ งั เดิม
๕. ถ้าผู้หน่ึงผู้ใดมีเคราะห์กรรมเพราะเกิดโรคภัยมาเบียดเบียนเช่น เกิดเป็นโรคตาแดง มีพิษ
ร้อน หรือตาเป็นต้อหรือหมอกเป็นฝ้าต้องสำรวมจิตมารับศีลกินเจ ทำพิธีแล้วจึงสวดพระคัมภีร์เสดาะ
เคราะห์เสีย กศุ ลอานิสงสอ์ าจจะอปุ ถมั ภป์ ดั เปา่ ใหโ้ รคภยั หายได้
๖. เปน็ การแก้ไขหากตอ้ งดวงชะตาราศีอันร้าย หรอื ถูกดาวโจรตอ้ งได้รับโทษอันร้ายแรงถึงจำคุก
หรือต้องถูกผูกมัด ซึ่งเป็นโทษอันมิควรเป็นไปได้ บางครัง้ เวลานอนหลบั เกดิ มีเหตุนิมิตอันร้าย หรือมีสัตว์
มาร้องทักทำให้เกิดลางสังหรณ์ต่าง ๆ หากท่านกลัวจะเกิดมีเหตุแล้ว จงจัดต้ังพิธีบูชาดาวนพเคราะห์ข้ึน
นำเอาธูปเทียนดอกไม้ไปทำการสักการะบูชา สวดมนต์ของท่านให้ได้ ๗ จบข้ึนไปจนถึง ๔๙ จบ ด้วย
เดชะอำนาจบุญบารมีของมนต์ อาจจะสามารถดับส่ิงชั่วร้ายต่าง ๆ ให้อันตรธานสูญหายไปได้สมตาม
ความปรารถนาของท่านทกุ ประการ
๗. ในกรณีของคนท่ีไม่มีบุตร และอยากได้บุตร จะขอพรให้เกิดมีบุตรเป็นนักปราชญ์ท่ีเก่งกาจ
สามารถมชี ื่อเสียงได้ กใ็ ห้ต้ังบวงสรวงด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เคร่ืองสกั การะบูชาใหค้ รบถ้วนบริบูรณ์ เวลา
กลางคนื ประมาณ ๒ ทุ่มเศษ ให้เจริญพระพทุ ธมนต์ ๗ จบ จนถึง ๑๐๐ จบ และเจรญิ ต่อไปอีกแลว้ แตจ่ ะ
เจริญไปได้สักเท่าไร ย่ิงมากยิ่งดี พร้อมท้ังอธิษฐานต่อดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ ของให้สมกับความ
ปรารถนา กจ็ ะได้ผลบุญผลกศุ ลสมดังทป่ี รารถนาได้
๘. ในกรณีของการทำอาชีพต่าง เช่น ทำไร่ไถนา เลี้ยงสัตว์ หรือทำการปลูกพืชผักผลไม้ หรือ
เพาะปลูกพันธุ์ได้ดอกไม้ประดับ ถ้าหากท่านปรารถนาจะให้ส่ิงเหล่านี้เจริญงอกงามและบริบูรณ์ดี ให้
ทา่ นทำพิธสี วดคัมภรี ์แลว้ ต้ังคำอธิษฐาน พืชพันธุ์นน้ั อาจจะเจริญงอกงามขึ้นได้ดงั ท่ตี ง้ั ใจเอาไว้
๙. สตรมี ีครรภท์ ั้งหลายรู้ตวั ว่ามีครรภ์แลว้ เกรงกลัววา่ เวลาคลอดบตุ รจะเกิดมอี นั ตรายแก่ตนเอง
จงต้ังใจรักษาศีลกินเจแล้วทำการบูชาสักการะดาวนพเคราะห์ท้ัง ๙ น้ันเป็นเวลา ๙ วัน เมื่อครบกำหนด
คลอดบุตรถึงจะมีเวรกรรม หรืออันตรายซ่ึงจะเกิดขึ้น ก็อาจจะช่วยป้องกัน หรือปัดเป่าให้สูญหายไปได้

๓๑

ส่วนบุตรท่ีเกิดมาน้ันจะออกมาเป็นชายหรือหญิงก็ตาม จะเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย โรคภัยไม่มี ลักษณะงาม
กวา่ เด็กทงั้ หลาย

องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าได้ตรสั เทศนาแก่มนษุ ย์ว่า “ท่านท้ังหลาย ผู้ใดมีจิตเล่ือมใสระลึก
ถึงคุณแห่งดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ ผู้ซ่ึงเป็นผู้มีบุญคุณแผ่เมตตากว้างขวาง อบรมและปกครอง
สรรพสัตว์ช้ันสูง คือ พระอินทร์ และเทวดา ช้ันกลางคือ กษัตริย์ ท่ีอยู่ในเมืองมนุษย์ และชั้นต่ำพวก
มนษุ ยแ์ ละสัตว์ทงั้ หลายตลอดจนถึงภูเขาและมหาสมุทร ตน้ ไม้แลต้นหญ้า นพเคราะห์ต้องอบรมปกครอง
ดูแลสอดส่องรักษาให้ได้ซึ่งความสุขความเจริญโดยท่ัวกัน มนุษย์ปุถุชนท้ังหลาย ถ้าเวลามีดวงชะตาไม่ดี
ทำให้เคราะห์ร้าย และเกิดมีภยันตรายมาเบียดเบียน ทำให้มีการขัดสนไปต่าง ๆ ให้ตั้งพิธีบวงสรวงแล้ว
สวดตามคมั ภีร์นพเคราะห์สูตรน้ีให้เสมอไป ก็อาจจะกำจัดโรคภัยที่กล่าวมานั้นได้ หมู่ประเทศเมืองใดเกิด
มีศึกมารบราฆ่าฟันกันข้ึน หรือเกิดการจลาจลขึ้นในบ้านเมืองใดก็ดี ให้ตั้งพิธีเอารูปเทพยดาดาวนพ
เคราะห์ตั้งขึ้น แล้วให้ปฏิบัติบูชาเจริญพระคัมภีร์อย่าให้ขาด ขอให้เทพยดาเข้ามาดลใจให้พวกทหารมี
น้ำใจแกลว้ กล้า ไปสงครามสารทศิ ใด ๆ ข้าศึกก็จะครัน่ ครา้ ม จะไดร้ บั ชัยชนะในสงครามทุกครงั้ ไป”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า “ส่วนบารมีของดาวนพเคราะห์น้ีมี
อำนาจมาก มีอภินิหารมาก ถ้าจะพรรณาให้ละเอียดในเวลานี้ก็ไม่หมด” แล้วพระองค์ได้ทรงแสดงพระ
คาถาอันเป็นอักขรเลขยันต์ไว้ว่า “อ๊านฮักนาด้างนา กรากราเด้ มาฮาเด้ ทั๊กกรา ฮักบ๊ัดนาเหย่ ตาบ้า
ฮา” ซึ่งพระคาถาบทนี้เป็นของดี ของประเสริฐ เป็นของขลังสำหรับผู้ที่เลื่อมใสในทางไสยศาสตร์อีกท้ัง
สำหรบั ป้องกนั ภยั จากโจร ผรู้ ้ายที่จะมาทำอนั ตรายตา่ ง ๆ ไดท้ กุ อย่าง

ครั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงช้ีแจง เรื่องคัมภีร์นพเคราะห์สูตรน้ีจบแล้ว พระ
โพธสิ ัตวอ์ งคห์ ม่านเทิก๊ เหลย่ พร้อมด้วยพระอินทร์ พระพรหม กับเทพยดาทัง้ หลายถึง ๘ จำพวก ได้พรอ้ ม
ใจกันทำการนมัสการกราบทูลว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายเม่ือได้รับฟังคำส่ังสอน ต่างมีจิต
เลอ่ื มใส และจะขอเชื่อถือปฎิบัตติ ามพระธรรมคำส่งั สอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสเทศนา สว่ นผลานิสงส์
ในพระคัมภีร์นพเคราะหส์ ูตรน้ี ไดร้ ับความแจ่มแจ้งทุกอย่างทุกประการ สำหรับท่านทัง้ หลายท่ีได้ฟังพระ
ธรรมเทศนาในที่นี้เป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ และถ้ามีจิตรับศีลภาวนาในการพิธีน้ี จะได้รับซ่ึงส่วนบุญส่วน
กุศลมากหนกั หนา จะประสบกับความสุขทงั้ ในชาตนิ ี้และในชาตหิ นา้ ”

ดว้ ยเหตนุ ้ีสงฆท์ างฝ่ายมหายาน จึงได้ยดึ ถอื การจดั งานพธิ บี ูชาดาวนพเคราะห์ต่อชะตาเปน็ ประจำ
ทุกปี จนเปน็ ประเพณีสบื ต่อเนอ่ื งกันมา เพ่อื ความเป็นศิรมิ งคลแต่พุทธศาสนิกชนท้ังหลาย อันประเพณีนี้
เรยี กวา่ “พิธบี ูชาดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙”
พิธีสรงน้ำพระพทุ ธรูปปางประสูตใิ นวนั วิสาขบชู า

สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสกับพระมหากษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนาม
ว่า พระเจ้ามาฮาซ๊ักด้าว ว่า “ดูก่อนมหาบพิตร อันเทวโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี เม่ือเกิดมายากท่ีจะพบ

๓๒

พระพุทธศาสนาของตถาคต เพราะตถาคตได้สร้างสมอบรมบารมีไวเ้ ป็นอันมาก สุดที่จะพรรณาและชาติ
เกิดของตถาคตเวียนเกิดเวียนดับอยู่ในวัฏสงสารน้ีก็สุดท่ีจะพรรณาได้ มาจนครบชาติท่ีสุดน้ี ได้จุติเป็น
ราชบตุ รของพระเจา้ สุทโธทนะ (กรุงกาต้ีลาเกวิ๊ก หรือกรุงกบิลพัสด์ุ) ประสูตใิ นวนั ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖ แล้ว
ได้ย่างพระบาทไปทั้ง ๔ ทิศ ทิศละ ๗ ก้าว และพระหัตถเ์ บ้ืองซ้ายช้ีบนอวกาศ พระหัตถ์เบ้ืองขวาช้ีลงยัง
พื้นปฐพี แล้วได้เผยพระโอษฐ์ตรัสว่า “เทียนเถ่ืองเทียนห่ายือโงโด๊กโรน” แปลว่า “ท่ัวท้ัง ๓ ภพน้ีไม่มีผู้
หนึ่งผู้ใดจะใหญ่กว่าตถาคตอีกแล้ว” และในขณะนั้นเทพยดาทั้งหลายพากันเอาดอกไม้ธูปเทียนน้ำหอม
เป็นทิพย์ลงมาสรงพระวรกาย จนตถาคตได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้ว ได้ตรัสเทศนาสั่งสอนเวไนยสัตว์
ทัง้ หลายและเทพยดาอนิ ทร์พรหมใหไ้ ดส้ ำเรจ็ มรรคผลดงั ความปรารถนา ฉะน้นั เมือ่ บุคคลผู้หนึ่งผ้ใู ดจำวัน
เดือนปีที่ตถาคตประสูติได้แล้ว ถ้านำเอาเครื่องต้ังบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนผลไม้แล้ว จงเชิญพระรูป
ตถาคตเมื่อเพิ่งประสูตินั้นออกมาสรงด้วยน้ำสุคนธารอันมีกล่ินหอมต่าง ๆ ทำอย่างน้ีแหละกองการกุศล
จะปรากฏเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมากและผู้ทไี่ ด้ทำการสักการะบชู าโสรจสรงพระรูปพระโฉมดังที่ได้วิสชั นามา
ฉะนี้แล้ว ก็จะได้รับความอยู่เย็นเป็นสุขทั้งปัจจุบันนี้และอนาคตข้างหน้า ก็จะได้รับความสุขสวัสดิ์พิพัฒ
นมงคลผาสุขทุกประการ และมนุษย์ท่ีได้เกิดมาน้ีเป็นการยากอย่างย่ิงที่จะพบปะในพระรัตนตรัย
(ตามบ๋าว คือ ดวงแก้ว ๓ ประการ) ถ้าบุคคลผู้ใดมีดวงจิตคิดเห็นในวัฏสงสารแล้ว ก็รีบก่อสร้างกองการ
กศุ ลไว้เถดิ จะเป็นท่ีพ่งึ ต่อไปในภายภาคหนา้ ”

ดว้ ยเหตุน้ีวัดพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน จึงไดจ้ ัดให้เป็นงานเทศกาลประจำปี ทำบุญวิสาขบูชา
สรงน้ำพระพุทธรูป ปางพระพุทธเจ้าประสตู ิ หลอ่ เทยี นเขา้ พรรษา และอปุ สมบทนาครวมประจำปี

หลังจากวันวิสาขบูชาแล้ว ๑ วัน กล่าวคือทางจีนนับ วัน ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ถัดจากนั้นหน่ึงวัน วัด
ทุกวัดในพระสงฆ์อนัมนิกายจะต้องปวารณาเข้าพรรษา โดยต้องใช้เพียงวันเดียวเท่านั้น คือวัน ๑๖ ค่ำ
เดอื น ๔ ถา้ เปน็ วันอื่น ๆ ใชไ้ ม่ได้

การออกพรรษา
นับจากการเข้าพรรษา เม่ือวัน ๑๖ ค่ำ เดือน ๔ ไปแล้ว ๓ เดือน กล่าวคือ วัน ๑๖ ค่ำ เดือน ๗

พระสงฆ์อนัมนิกายจะทำการปวารณาออกพรรษา เพียงวันเดียวเท่านั้น และแต่ละวันจำกำหนดให้มีการ
รับกฐินภายใน ๓๐ วัน กล่าวคือ ต้ังแต่วัน ๑๖ ค่ำ เดือน ๗ ถึง ๑๖ ค่ำ เดือน ๘ พ้นไปแล้วไม่สามารถท่ี
จะรับได้

ช่วงหลังการเข้าพรรษา จะใกล้ออกพรรษา จนปวารณาออกพรรษาแล้ว กล่าวคือ วัน ๑ ค่ำ
เดือน ๗ จนถึง วัน ๓๐ ค่ำ เดอื น ๗ จะเปน็ การบริจาคทาน ดว้ ยพิธีสงฆ์ คือ การท้ิงกระจาด เพ่อื บริจาค
ทานให้กับภูติผีท้ังหลาย ซึ่งชาวจีน ชาวญวน เชื่อกันว่า เมื่อวัน ๑ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันท่ีขุมนรก เปิดให้
พวกภูติผที ่ีไรญ้ าติขาดมิตร ท่ีญาตพิ ี่น้องไม่ได้ทำบุญอุทิศให้ ให้ออกมารับส่วนบุญหรือรับสิ่งของที่คนเขา

๓๓

บริจาคทานให้ ดังนั้นการทำบุญท้ิงกระจาด จะจัดกันเป็นงานที่ใหญ่มาก และถือเป็นเทศกาลประจำวัน
พระสงฆ์อนัมนิกายเลยก็ว่าได้ การจัดไทยทานท้ิงกระจาด จะต้องภายใน ๓๐ วันเท่านั้น คือตั้งแต่ วัน ๑
ค่ำ เดือน ๗ จนถึง วัน ๓๐ ค่ำ เดือน ๗ เท่าน้ัน ถ้าพ้นไปแล้วไม่นิยมทำกัน และช่ือว่า ภูติผีจะต้องกลับ
เขา้ ส่ขู ุมนรกต่อไป

มขี ัน้ ตอนการออกพรรษา ดังน้ี
ขนั้ ตอนที่ ๑ ให้พระภิกษุสามเณรได้เข้ารว่ มสวดมนต์ทำวตั รเช้าโดยพร้อมเพรียงกัน สวดมนต์ทำ
วตั รเช้าไปจนถึง จบเหวี่ยนเตยี วเหว่ียนหยี แล้วสวดไตรสรณคมน์
ขั้นตอนที่ ๒ ประธานผู้นำสวดมนต์ (โดยส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าอาวาส) กล่าวคำปวารณาออก
พรรษา และใหพ้ ระภิกษุสามเณรว่าตาม ดังนี้
ผานังยีชุดห่า ตังย่าหยีตามสื่อ เก๊ียนยังงี ยียีต้ีอี๊ผู เอี๊ยดมาบัด ด่ายด๊ึกตังทิ้น ถือโหม๋ย๊าบ กิมยี
ห่าต่าตังย่าอี๊ เหยือกตังย่าท่ีจี๊ทิ้นหยา ตังย่าอ๊ึงเฮื๊อตังย่า กิมไซโหม๋ย๊าบ ดังยีห่าต่า ตังย่าตั๊กตี้อี๊ จือกู่ถ่อ
ทิ้นโหม๋ย๊าบ ดานยีห่าต่า ตังย่าตั๊กตี้อี๊หยา หมักเยียง เหยือกเบ๊ิกเฮื้อหยาเที๊ยด ตังย่าหยีทิ้น โหม๋ย๊าบดังยี
ห่าตา่ ตงั ย่าตั๊กตอี้ ๊ีกน๊ิ ตังย่าทนิ้ เฮ้ือยอหมกั เยียง โกห๊ งากมิ ยอื ถ่กี รี้
[ จ๋กู รีเ้ ช้ือง ด่ายด๊ึกตังทิ้น กมิ ตงั ย่าถ็อบหลุกหยกึ ตก๊ั ตอ้ี ี๊สอ่ื เหยือกตังย่าท่ีจ๊ที ้ิน ตังย่าอ๊ึงเฮื้อตังย่า
กิมตั๊กตอ้ี ี๊ บดั ยอื ถ่ี ** ใหว้ ่าตาม ๓ ครั้ง **]
กิมตังย่าถ็อบหลุกหยึก ต๊ากต้ีอ้ี หงาโหม๋ย๊าบ ให้ภิกษุสามเณรตอบว่า หงาเด๋ต๋ือ บอกชื่อ
............................ฉายา..............................
เหยียดอือถ็อบหลุกหยึก ต๊ากต้ีอ้ี หงาโหม๋ย๊าบ ให้ภิกษุสามเณรตอบว่า หงาเด๋ตื๋อ บอกชื่อ
............................ฉายา..............................
โด๊ยตังย่า บัดด่ายด๊ึกหยีตามส่ือ เกี้ยนยังงีต๊ากตี้อ๊ีส่ือ ด่ายดึ๊กตังเตี๊ยบถ่อ เย้าถี่หงาเหยียวอี๊ดไอเห
มงิ โก๊ เหยือกนงั เหมิงหยา เหวีย่ นไอเหมิงโก๊ เหยือกกรเี กย๊ี นโตย่ หงาดังยือบา๊ บ ยอื หลดุ ยีเที๊ยดโฮ้ย
* ให้ประธานนำวา่ ตาม ๓ คร้ัง *

ประธานสงฆว์ า่ อ้าวเดงิ กา สงฆต์ อบวา่ ตาโด่
โต้ยโตนหั้นยตี า่ ยช้าเหย่ ยจี ุ๊งเดต่ อ๋ื เที๊ยดยอื ถ่ี ยึกเทีย๊ ดยตี า่ ยก้ีถอ่ โหย่ กิมบา๊ ดหวา้ รันเตา่ ยเี ท่ือง ช้า

เหล่ยเพ๊ิกชาถูบัดเผิก เหวี่ยนยังดั๋งเกี๊ยนบ๊าดหว้ารัน ตามย้ายหึวยันท่านเท๊ียดที่ ตี้แควต่ือติ่นพ๊าบเยิงห้า
ชา้ เหล่ยเพ๊ิกลาหงาโบ๊เถา ยีออื ถ่อหา่ ห้างมาหลึก เหยือกเตาโบ๊เถาเหยยี ดยอื ถี่ กมิ หยือเสอซันดงั ต่ือติ่น ยื
ออ๊ึงเห้ียนหยาต่า ถี่ยีโยเสอวี้ หยีซันหลากโยหยุก ต่ายตามย้ายอังเอ๋ิง ห่าห้ันกิมหยีก๊ิน ยีถี่เผิกเด๋ต๋ือ ดัง
กั๊กตื่อเพิงเบียด เหมิงเทืองต่ายเท้ยัง กิมถี่เต้ด่ายเหวียก ยีย๊ากเด่ยึกกรีนังต่ือช๋าเทิงห้ัน เก๊ียนด่านเหยือก
กังโข ยีเที๊ยดจือโต่ยหนาว ย๊ากกรีโยโซ้โข ถี่หยีดั๊กด่าวเหยียด กิมยีบ๊าดหว้ารัน ทามหยุกเซิงเย้บาก

๓๔

เหยียดเบ๊ิกด๊ักหา่ ซัน ยนี ังด่านซันต๋อื เหยียดเบิ๊กด่านเต๋ืองกัง ต่อื กร๊ดี ๊ักเทียนเถื่อง เหยียดลายซันเยินยัง ถ่ี

หยีดก๊ั หยีด่ ่าว กิมยีบ๊าดหว้ารัน หยีกร๊ีดั๊กเทียนเถ่ือง เหยียดเบิ๊กด๊ักห่าซัน ยีต่ายเสอซันเทียน จืออ๊ายยหี ยี

เหยียด เท้ยังเด่ยึกพ๊าบ โตนหั้นยีหยีด๊ัก ถ่ีหยีด๊ักหยีด่าว กิมยีบ๊าดหว้ารัน ยึกเที๊ยดจืออั๊กหนาว ยีเติ่ง

ดั๊กหยายท๊าด หยีดั๊กต้ือกามโล่ ถี่ยีโยเสอวี้ จือมินยีหยีหว่าย เสอเฮื้องยึกเที๊ยดโข ถี่หย่ีตื๊อโต๊ยด่าว กิม

ยบี ๊าดหว้ารัน ยึกเหวยี กหยีกิ๊น ต๊กึ ดก๊ั ยึกกรี๊ หยี่เหวียกหยดี า๊ ว เตี่ยนด๊ักหยก่ี ร๊ี ยึกที่ตามเหวียก เตีย่ นดั๊กตา

มกร๊ี โห่ยหลักตามกร๊ี กิมยีบ๊าดรัน หยบี าดต้ือดอ็ ก โยหึวยือหยา หยีโด่หง่านยาย ยีด๊ักอังเอิ๋ง หยีกน๊ิ ตื๊อเห

วียก ยีโยเสอหยา หยีท่ันก็องด๊ึก กิมยีบ๊าดหว้ารัน นังผุกล็องโด้ว นานโด้วหว้ารา ตูยีเซิงด่อง เหยียด

ต่นิ หายถี่ เสอกรีเ๊ ทียนช้อื ยายยกี ด้ี ่อง หมุกเก้ียนเรียนโบ๊ย กิมยบี ๊าดหว้ารนั ตอ่ื ย๊ากโตย้ เห้ียนหยา ยีจือช้ือ

หยีเต่ิง ยีเท้ยังห่ึวหยา เท่ืองด็อกห้ันถ่อห่า ยีที้หยู่ยือทิด ยีโต๊ยทิดจีเผิก กิมยีบ๊าดหว้ารัน ตามชื้อเบ๊ิกผุก

เกรือ๊ ก จุ๊งยีอ๊ีทนั ติ่น ตามเทิงยีหยีด่ิน ยีหยี่ลี้เกี๊ยวหม่าน ต่ายตามย้ายโยหยุก เหยียดเบ๊ิกด่องต่ินอี๊ อังท้ียือ

ตูยี กิมยีบ๊าดหว้ารัน หยีหั้นต่าหึ่วต้ือ ต๊ือด่าวยีหยีดิ่น เผิกเท๊ียดถ่ีเหี้ยนหยา โต้ยยีจุ๊งตังด๊ึก เสอตื้อท้ีดต้ย

อัง จงุ โยหึวนงั บ่าย เผิกดัก๊ จุ๊งตูเ่ หว่ กิมยีบา๊ ดหว้ารัน กร้ียา้ ยยหี ยกี ู่ จุ๊งหลกึ เบกิ๊ นังด่อง พ๊าบถึงอีบี่ผกุ เทอื่ ง

หลากต่ายเซิงยัง ถ่ยี ีหยีเกียนห้ัน ก่ตู ุ๊งโยห่าเว้ ทันติ่นหัน้ หยาเดี่ย กิมยบี ๊าดหว้ารนั กรี้ย้ายด่านจืออ๊กั จุง๊ ชา

ถูถ่อพ๊าบ ยียึกเท๊ียดเสอเฮื้อง จุ๊งมายายยีผุก จือเทียนเทื่องเถี่ยนเยิน ชึงหยือย้ายกู่ตุ๊ก เบ๊ิกผุกดจุ๊งมา กิม

ยีบ๊าดหว้ารัน ชดุ ห่ากอี้ ังก็องดึ๊กทู่ทั้งห้ันโยเบียนทั้งเพื๊อกยายโห้ยเฮ้ือง โผเหวี่ยนกร้อมนิดจือจุ๊งซัน ต็อกห

ยางโยเหลื่องกวางเผิกซัก โห้ยเฮ้ือง เลืองเยียนตามเท้เผิก ยังทู่โผเหี้ยน กวางต่ือต่ายจือโตนโบ้ต๊ากมา

ฮาต๊าก มาฮาบา๊ ดหยาบาราเหมิก

ขั้นตอนที่ ๓ สดุ ทา้ ย

ประธานกลา่ วว่า วา่ นาม สงฆ์รับว่า ท้นั จงุ๊

เปน็ อันจบพิธีออกพรรษา

พธิ ตี รายตัง ถวายข้าวสงฆ์ (ถวายสังฆทาน)
พิธีถวายข้าวสงฆ์น้ีไม่จำเป็นต้องทำทุกงาน ถ้างานใดเจ้าภาพเขาไม่จัดถวายข้าวสงฆ์ก็ไม่ต้องทำ

ถ้าเขาถวายจึงทำ คือ ประชุมคณะสงฆ์แล้วหันหน้าคุกเข่ารับ และสวดคำอนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี เมื่อ
ฉันแลว้ จงึ สวดพระสตู รอันบอกเหตุการณเ์ บื้องตน้ ทถี่ วายขา้ วสงฆต์ ่อไป

มลู เหตุของการทำพิธีถวายข้าวสงฆ์ (ถวายสังฆทาน)
พิธีถวายอามิสบูชา (กุ๊งเผิกตรายตัง) ต้นเหตุน้ันมีมาในพระสูตรหนึ่ง ความว่า สมัยหนึ่งองค์

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปประทับอยูที่เชตวันวิหาร เมืองสาวัตถี ในเวลาน้ันพระโมคคัลลานะ
เถระเจ้า ผู้มีทิพยจักษุตรวจดูท่ัวมนุษย์โลก ตลอดจนถงึ อบายภูมิ ได้เห็นมารดาของท่านไปเป็นปรทัตตูป

๓๕

ชีวเี ปรต ทนทุกขเวทนาอดอยาก ร่างกายซูบผอม พระผู้เป็นเจ้ามีความเมตตาระลึกถึงพระคุณแหง่ มารดา
จึงย่ืนบาตรข้าวให้มารดาบริโภค คร้ันมารดารับเอาบาตรอาหารถึงมือแล้ว แต่ยังไม่ทันท่ีจะบริโภค
อาหารในบาตรนั้นก็กับกลายเป็นไฟลุกข้ึนเป็นเพลิงพวยพุ่งออกมาทำให้ไม่อาจจะบริโภคได้ พระโมคคัล
ลานะเถระเจ้าจึงนำเอาเหตุนมี้ ากราบทูลต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระพุทธองค์ได้มพี ุทธฎีกา
ตรัสแก่พระโมคคัลลานะเถระเจ้าว่า “ดูกร โมคคัลลานะ มารดาของเธอน้ันสร้างเวรกรรมไว้แต่ชาติปาง
กอ่ นหนาแน่นมาก เหลอื อำนาจของเธอแตผ่ เู้ ดียวทจี่ ะโปรดมารดาเธอให้พ้นจากกองทกุ ข์ได้ ต้องพ่ึงบารมี
พระอรยิ สงฆ์เจา้ ทั้งสิบทิศจึงจะโปรดมารดาเธอให้พ้นจากกองทุกข์นน้ั ได้” พระโมคคัลลานะเถระเจ้าเม่ือ
ได้รับพระพุทธฎีกาดังนั้นแล้ว ท่านก็ได้ทำปฏิหาริย์ไปอาราธนาพระอริยสงฆ์เจ้าท้ังสิบทิศมาประชุม
สันนิบาตพร้อมกัน พระผู้เป็นเจ้าจงึ จัดเครื่องอาหารบิณฑบาตถวายพรอ้ มกนั ทั้งไทยทานต่าง ๆ เสรจ็ แล้ว
มารดาของพระโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงได้พ้นจากกองทุกข์ไปสู่สุคติ โดยพึ่งอำนาจบารมีอภินิหารแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าและอริยสงฆท์ ั้งสิบทิศ ต้นเหตุมีมาจากพระสูตรดงั กล่าวน้ี พระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายจึง
ไดก้ ระทำสืบต่อกันมาจนถงึ ปัจจุบัน

บทสรปุ
การทอดกฐนิ ในพระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกาย ไม่ต่างจากฝ่ายเถรวาทประเทศไทยเท่าใดนักเพราะบาง

สิ่งบางอย่างก็ประยุกต์ให้เข้ากับฝ่ายเถรวาทด้วย แต่ยังคงเหลือไว้ซ่ึงบทสวดมนต์ท่ียังต่างกันอยู่ และวัน
เวลาการรับกฐนิ ยงั คงรกั ษาไว้ซ่ึงธรรมเนียมปฏบิ ัติสืบทอดตอ่ ๆ กนั มาอย่อู ย่างไม่เปลี่ยนแปลง

พิธีบูชาดาวนพเคราะห์ เป็นพิธีสงฆ์อนัมนิกาย โดยส่วนใหญ่แล้วจะจัดหลังตรุษจีน ต้นปีศักราช
ซึง่ เป็นการขอพรและเสดาะเคราะห์ให้ได้รับความสุขตลอดทั้งปี ตามความเชื่อท่ีปฏิบัติกนั สืบต่อมา โดยมี
ดวงดาวนพเคราะหท์ ้ัง ๙ คอยค้มุ ครองปกปักรกั ษาอยตู่ ลอดท้งั ปีน่นั เอง

พิธีการออกพรรษา เป็นพิธีหนึ่งที่เม่ือเข้าพรรษา และจะต้องปวารณาออกพรรษา เพื่อการจาริก
ไปแสวงหาธรรมและสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป โดยทางพระสงฆ์อนัมนิกายกำหนดไว้วัน ๑๖ ค่ำ
เดอื น ๗ นนั่ เอง

พิธีตรายตัง เรียกอีกอย่างว่า พิธีถวายข้าวสงฆ์ หรือ ถวายสังฆทาน ตามแบบประเพณีสงฆ์
ญวนนัน่ เอง ซึ่งปัจจบุ ันนม้ี ีเพยี ง ๒ วดั เท่านัน้ ที่ยังรักษาประเพณีไว้อยา่ งเดิมอยู่ คอื วัดกศุ ลสมาคร และวัด
ถาวรวราราม กาญจนบุรี

๓๖

กจิ กรรมเสรมิ ความรู้
๑. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเรื่องการทอดกฐินแบบพระสงฆ์ญวน และเปรียบเทียบกฐินกับ
ฝ่ายเถรวาท แล้วให้นักเรียนสรุปส่งครู
๒. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น ๓ กลุ่ม ๆ ละ ๘ รูป โดยประมาณ และให้แต่ละกลุ่มเลือกศึกษาใน
หัวข้อ ๓ หัวขอ้ คือ การออกพรรษา พิธีบูชาดาวนพเคราะห์ และพิธีตรายตัง แต่ละกลุ่มห้าม
ศึกษาซ้ำกัน แล้วให้คัดเลือกตัวแทนกลุ่มละ ๒ รูปออกมารายงานหน้าชั้นให้เพ่ือนได้ฟัง และ
ให้ทกุ กล่มุ สรปุ ส่งครู ทา้ ยช่ัวโมง
๓. นักเรียนตอบคำถามของครูโดยอาศัยความเข้าใจและความจำ

กิจกรรมวัดผล
นกั เรยี นตอบคำถามทุกขอ้ ดงั ต่อไปนี้

๑. กฐนิ หมายถึง ?
๒. กฐนิ มคี วามเปน็ มาอยา่ งไร อธบิ ายพอสงั เขป ?
๓. กฐินมกี ี่ประเภท อะไรบ้าง ?
๔. องค์ของกฐนิ มีอะไรบา้ ง ?
๕. ระยะเวลารับกฐินของพระสงฆ์ญวนกบั พระสงฆ์ไทยตา่ งกนั อย่างไร ?
๖. พระสงฆญ์ วนมีกำหนดรบั กฐนิ เม่ือไร ตรงกับเดือนอะไร ?
๗. พิธีบูชาดาวนพเคราะห์จดั ขนึ้ เมื่อไร ?
๘. งานบูชาดาวนพเคราะหม์ ีดาวเทพเจ้ากี่องค์ อะไรบ้าง ?
๙. การปวารณาออกพรรษาของพระสงฆญ์ วนตรงกบั วันอะไร ?
๑๐. พิธีตรายตงั ปัจจบุ นั มีจดั กว่ี ดั และมีประวตั ิสงั เขปว่าอยา่ งไร ?
๑๑. พธิ สี รงน้ำพระพทุ ธรูปปางประสตู ิ มอี านสิ งส์อยา่ งไร ?

๓๗

บทท่ี ๕ และสามารถทอ่ งบน่
บทสวดมนต์ยดี ้า สุขาวดวี ยหู สูตร

จดุ ประสงคป์ ลายทาง
นกั เรยี นมคี วามรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกบั บทสวดมนต์ของพระสงฆ์อนมั นกิ าย

สาธยายของบทสวดมนตท์ กี่ ำหนดในบทเรียนได้ถกู ตอ้ ง

จดุ ประสงค์นำทาง
๑. นกั เรียนสามารถเขา้ ใจในความหมายของการสวดมนตไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง
๒. นักเรยี นสามารถท่องบน่ สาธยายบทสวดในบทเรยี นไดถ้ กู ตอ้ ง
๓. นักเรียนรอู้ านิสงส์ของการสวดมนต์ได้ถูกต้อง

การสวดมนต์
การสวดมนต์ หมายถงึ การทอ่ งบน่ สาธยายพระพทุ ธพจนข์ องพระพุทธเจา้ หรือของพระอรหันต์
เพื่อเปน็ การสรรเสรญิ เชดิ ชู แสดงความเคารพ หรืออาจเปน็ การกลา่ วอา้ งถงึ พระโพธสิ ัตวห์ รือดวง
วิญญาณตา่ ง ๆ ในการประกอบพิธีทางศาสนา เพือ่ ใหเ้ กิดความเลื่อมใส ศรัทธาและสบื ทอดพระพทุ ธพจน์
ใหค้ งอยู่ตลอดไป
ในบทนี้จะกล่าวถึงบทสวดมนต์ยีด้า (สุขาวดีวยูหสูตร) พร้อมคำแปล ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ที่มี
ความสำคัญของพระสงฆอ์ นัมนิกายมาโดยตลอดตัง้ แต่อดีตจนถงึ ปัจจบุ นั

๑. บทสวดมนตย์ ีด้า (สขุ าวดวี ยูหสตู ร)
ความสำคญั ของบทสวดมนต์ยีด้า เป็นการสวดมนต์เพ่ือเป็นแนวทางในการปฏิบัตเิ พื่อไปสู่ดนิ แดน

พุทธเกษตรและสุขาวดีทางทิศตะวันตก เมื่อไปถึงที่น่ันแล้วจะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระสูตรน้ี
เปน็ บทสนทนาระหวา่ งพระอมติ ตาภะพุทธเจ้ากับพระสารีบุตร ถึงแนวทางในการไปสู่ดนิ แดนพุทธเกษตร
ดงั มีคำสวดมนต์วา่ ........

นามโมเรยี นกรี้หายโหย่ เผิกโบ่ตา๊ ก ๓ ครงั้
เผิกเที๊ยดอายีด้ากิน เหยี่ยวเต่ิงตามต่างพ๊าบซือกึวมาราถ็อบหยิด ญือถ่ีหงายัง ญึกท่ีเผิกต่ายช้า

เหย่เกวิ๊ก กี้ถ่อก๊อบโกด็อกเยียน, หญือด่ายต้ีแควตัง, เทียงหญี่บ๊าหงูถ็อบเญินกู, ยายถี่ด่ายอาราฮ้าน,
จุ๊งเสอกรีทึก, เกร๋ืองหลาวช้าเหล่ยเพิ๊ก, มาฮาหมุกเกี้ยนเรียน, มาฮากาเยี๊ยบ, มาฮากาเจียนเยียน มาฮา


Click to View FlipBook Version