The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Dr.Kusol Bogboon, 2020-07-31 01:14:41

อนัมศึกษา3 ebook

อนัมศึกษา3 ebook

๓๘

กูฮีรา, รีบ่าดา, โจวเหล่ยบั้นด้าย่า, นานด้า, อานานด้า, ราโห่วรา, เกี่ยวผ่ามบาเด่ เติงโด่วลือ ผาราด่ า
กาลึวด้ายี มาฮาเกี๊ยบเติงนา บากโกวรา อาโหน่วโลวด้า ญือถี่ด๋ัง จือด่ายเด่ต๋ือ ตินจือโบ่ต๊ากมาฮาต๊าก
ยังถู่ซือเหล่ยพ๊าบเยืองต๋ือ, อาเหยิกดาโบ่ต๊าก, ก้านด้า ฮาเด้โบ่ต๊าก, เถ่ืองตินเต๊ิงโบ่ต๊าก หญือญือถี่ด๋ังจือ
ด่ายโบ่ต๊าก ก็อบทิดเด้ ว่างเยิงดั๋ง โยเหลื่องจือเทียนด่ายจุ๊งกู หยีที่เผิกเก๊าเกรื๋องหลาว ช้าเหล่ยเพิ๊ก ตุ่ง
ถ่ีตัยเพือง กว๊าถ็อบหย่างอ๊ึกเผิกโด่ หึวเท้ย้ายยันเยี๊ยก กึกหลาก ก้ีโด่หึวเผิก เห่ียวอายีด้า กิมเห่ียนต่าย
เที๊ยดพา๊ บ ช้าเหล่ยเพก๊ิ บี๋โด่หา่ โก๊ยันยกี ึกหลาก ก้ีเกว๊กิ จงุ๊ ซัน โยหวึ จุ๊งโข, ดา๋ งถ่อจือหลาก, โก๊ยันกึกหลาก
, ห่ึวช้าเหล่ยเพ๊ิก, กึกหลากเกว๊ิกโด่, เทิ๊กกรุ้งรางถุน เท๊ิกกรุ้งราหย็อง เทิ๊กกรุ้งห้างถ่อ, ยายถ่ีตื๊อบ๋าว,
โจวตร๊าบยีเหยียว, ถี่โก๊บี๋เกวิ๊ก, ยันยีกึกหลาก, หึ่วช้าเหล่ยเพ๊ิก, กึกหลากเกิ๊กโด่, หึวเทิ๊กบ๋าวกรี้, บ๊าดก็
องดึ๊กถวี, ซุงหมางกี้กรุง, กรี้เด๋ถุ้นหยี, กิมซาโบ๊เดี่ย, ตื๊อเบียนยายด่าว, กิมเงิงลึวลี, ผาเลหาบท่าน, เถ่ือง
หึวโล่วก๊าก เหยียดหยีกิมเงิงลึวลี, ผาเรซาก้ือ, ชิดโจวหมาหนาว, ญีเงียมซึกจี กร้ีกรุงเรียนวา ด่ายญือซา
รุน, ทันซักทันกวาง วิ่นซักว่ินกวาง, ชิดซักชิดกวาง, บัดซักบัดกวาง,ยีเหย่ียวเฮืองเคี๊ยด,ช้าเหล่ยเพิ๊ก, กึก
หลากเกวก๊ิ โด่, ทา่ นต่ึวญอื ถี่, กอ็ งด๊กึ รงั เงยี ม, ห่ึวช้าเหล่ยเพก๊ิ , บ๋ีเผิกเกวก๊ิ โด่, เถื่องตั๊กเทียนหญาก วิ่นกมิ ยี
เดี่ย กรู๊หย่าหลุกที่, หยอเทียนหม่านด้าราวา กี้โด่จงุ๊ ซัน เถื่องหยีทันด๊าง, ก๊ากหยอี ีกิด๊ , ถัน่ จงุ๊ เหยี่ยววา กุ๊ง
เหย่ืองทาเพือง, ถ็อบหย่างอึ๊กเผิก, ตึ๊กหยีถึงท่ี, ว่างด๊าวโบ๋นเกว๊ิก, ผ่างถึงกินห่ัน, ช้าเหล่ยเพิ๊ก, กึกหลาก
เกวก๊ิ โด่, ท่านตวึ่ ญือถี่, ก็องด๊ึกกรังเงียม, ผุกทื้อ ช้าเหล่ยเพิ๊ก, บ๋ีเกว๊ิกเถือ่ งหวึ เจอ๋ื งเจอื๋ ง, ก้ีเหย่ียวตาบซัก
จีเดี๋ยว บัดหากข็องเตื๊อก, อันหยอช้าเหล่ย, การังเต่ิงย่า, ก่องหม่างจีเดี๋ยว, ถี่จือจุ๊งเด๋ียว, กรู๊หย่าหลุกท่ี,
ชดุ ว่าหญาอ็อม ก้ีอ็อมเหยียนเซื้อง, หงูกงั หงูหลกึ , เท๊ิกโบ่เด่เผงิ่ , บา๊ ดท้ันด่าวเผิ่ง, ญอื ถด่ี ั๋งพ๊าบ กโ้ี ด่จ๊งุ ซัน,
ยังถี่อ็อมหยียายเต๊ิก,เหน่ียมเผิก เหนี่ยมพ๊าบเหนี่ยมตัง ช้าเหล่ยเพิ๊ก, หญือเหยิกหย่ีถือเดี๋ยว, เถิกถ่ี
โต่ยบ๊าวเสอซัน, เสอหยีหยาห่า บี๋เผิกเกว๊ิกโด่, โยตามอ๊ากด่าว, ช้าเหล่ยเพ๊ิก, ก้ีเผิกเกว๊ิกโด่, เถ่ืองโยอ๊าก
ด่าวจยี ัน, ห่าฮ้วงหึวเถกิ , ถี่จือจุ๊งเด๋ียว, ยายถีอ่ ายีด้าเผิก, หยุกหลิ่นพา๊ บอ็อมเตียนลึว, เบี๊ยนว้าเสอตก๊ั , ช้า
เหล่ยเพ๊ิก, บี๋เผิกเกวกิ๊ โด่, ยีพ็องชีด่อง, จือบ๋าวห้างถือ, ก็อบบ๋าวราหย็อง, ชุดยีเหย่ียวอ็อม, ที้ญือบ๊าเทียง
เจื๋องหญาก ด่องที่กูตั๊ก, ยังถ่ีอ็อมหยา, ต่ือเยียงยายซัน เหนี่ยมเผิก, เหนี่ยมพ๊าบ เหนี่ยมตัง จีต็อม ช้า
เหล่ยเพ๊ิก, ก้ีเผิกเกว๊ิกโด่, ท่านต่ึวญือถี่ก็องดึ๊กกรังเงียม, ช้าเหล่ยเพิ๊ก, อือหยืออี๊เยิงห่า, บี๋เผิกห่าโก๊ เหี่ยว
อายีด้า, ช้าเหล่ยเพ๊ิก, บี๋เผิกกวางมินโยเหล่ือง เจี๊ยวถ็อบเพืองเกว๊ิก, โยเสอเจื๊องหง่าย, ถี่โก๊เห่ียวยีอายีด้า
ห่ึวช้าเหล่ยเพ๊ิก บ๋ีเผิกถ่อหม่าง, ก็อบก้ีเญินเญิง, โยเหล่ืองโยเบียน, อาตัวกี้เกี๊ยบ, โก๊ยันอายีด้า, ช้าเหล่ย
เพิ๊ก, อายีด้าเผิก, ท่านเผิกหยีลาย, อือกิมถ็อบเก๊ียบ, หึ่วช้าเหล่ยเพ๊ิก, บ๋ีเผิกหึว โยเหล่ืองโยเบียน, ทินยัง
เด่ตื๋อ, ยายอาราฮ้าน, พีถี่ต๊างโซ้, จีเสอนังกรี, จือโบ่ต๊ากจุ๊ง, เหยียดผุกญือถ่ี, ช้าเหล่ยเพิ๊ก, บ๋ีเผิกเกวิ๊กโด่,
ท่านตึวญือถี่,ก็องดึ๊กกรังเงียม, หึ่วช้าเหล่ยเพิ๊ก, กึกหลากเกว๊ิกโด่, จุ๊งซันซันหยา, ยายถี่อาเบ่บากกรี้, ก้ี
กรุงดาหึว ญกึ ซันโบซ๋ ือ, กโี้ ซ่ถอ่ มดา, พถี ีต่ ๊างโซ เสอนังกรีจี, ด๋างขาหยโี ยเหล่ืองโยเบียน, อาตงั กเี้ ท๊ยี ด, ช้า
เหล่ยเพ๊ิก, จุ๊งซันยังหยา อึงดางพ๊ากเหว่ียน, เหวี่ยนซันบ๋ีเกว๊ิก, เสอหยีหยาห่า, ดั๊กหญือญือถ่ี, จือเถื่อง

๓๙

เถ่ียนเญิน, กูโห่ยญึกซ้ือ ช้าเหล่ยเพ๊ิก, เบิ๊กขาหยีเถียวเถี่ยนกังเพื๊กดึ๊กเยินเยียน, ดั๊กซันบี๋เกว๊ิก ช้าเหล่ย
เพ๊ิก, เหยือกหึวเถี่ยนนามต๋ือ, เถียนหนือเญิน, ยังเท๊ียดอายีด้าเผิก, จ๊อบกร้ียันเห่ียว, เหญือกญึกหญึก,
เหญือกหญ่ีหญึก, เหญือกตามหญึก, เหญือกต๊ือหญึก, เหญือกหงูหญึก, เหญือกหลุกหญึก, เหญือก
เทิ๊กหญึก, ญึกย็อมเบ๊ิกหล่าน, ก้ีเญินล็อมหม่างจุงที่, อายีดา้ เผิก, หยือจือทั้นจุ๊ง, เห่ียนต่ายกี้เตี่ยน, ถ่ีเญิน
จุงท่ี, ต็อมเบ๊ิกเดียงด๋าว, ตึ๊กดั๊กหยางซัน, อายีด้าเผิก, กึกหลากเกวิ๊กโด่, ช้าเหล่ยเพ๊ิก, หงาเกี๊ยนถ่ีเหล่ย,
โก๊เที๊ยดถอื โงน, เหญือกหึวจุ๊งซัน, ยังถ่ีเที๊ยดหยา, อึงดางพ๊ากเหวีย่ น, ซันบี๋เกว๊ิกโด่, ชา้ เหลย่ เพิ๊ก, ญือหงา
กมิ หยาตา๊ งท้าง, อายดี ้าเผิก, เบก๊ิ ขาตอื ง,่ี ก็องดึ๊ก จีเหลย่ ,

ด็องเพืองเหยียดหึว, อาโซเบ่เผิก, ตูยีเต๊ืองเผิก, ด่ายตูยีเผิก, ตูยีกวางเผิก, เหย่ียวอ็อมเผิก, ญือ
ถ่ีดั๋ง หั้งห้าซาโซ้จือเผิก, ก๊ากอือกี้เกวิ๊ก, ชุดกว๋างเกร่ืองเถียดเต๊ือง, เบี๊ยนพ้อตามเทียงด่ายเทียงเท้ย้าย,
เท๊ียดทา่ นเถิกโงน, หญอื ด๋ังจุ๊งซนั ดางต๊ินถ่ีซึงต๊าง, เบ๊ิกขาตืองก่ี ็องด๊ึก, ญึกเท๊ียกจือเผิก, เสอโหเ่ หนี่ยมกนิ ,
ชา้ เหลย่ เพิก๊ ,

นามเพืองเท้ย้าย, หึวหญึกเหวียกดังเผิก, ยันยังกวางเผิก, ด่ายเหย่ียมเกียงเผิก, ตูยีดังเผิก, โยเห
ล่ืองตินเติ๊งเผิก,ญือถ่ีด๋ัง ห้ังห้าซาโซ้จือเผิก, ก๊ากอือก้ีเกวิ๊ก, ชุดกว๋างเกร่ืองเถียดเต๊ือง, เบี๊ยนพ้อตามเทียง
ดา่ ยเทียงเท้ย้าย, เท๊ียดท่านเถิกโงน, หญือด๋งั จุ๊งซัน ดางติ๊นถีซ่ ึงตา๊ ง, เบ๊ิกขาตืองี่กอ็ งดก๊ึ , ญึกเท๊ียกจือเผิก,
เสอโห่เหน่ียมกนิ , ชา้ เหล่ยเพิก๊ ,

ตัยเพืองเท้ย้าย, หึวโยเหลื่องถ่อเผิก, โยเหลื่องเตื๊องเผิก, โยเหล่ืองกร้างเผิก, ด่ายกวางเผิก, ด่าย
มินเผิก, บ๋าวเตื๊องเผิก, ต่นิ กวางเผิก,ญือถี่ดั๋ง หงั้ หา้ ซาโซจ้ ือเผิก, ก๊ากอือกี้เกว๊ิก, ชดุ กว๋างเกร่ืองเถยี ดเตื๊อง,
เบย๊ี นพอ้ ตามเทยี งด่ายเทียงเท้ย้าย, เทยี๊ ดท่านเถิกโงน, หญอื ดั๋งจ๊งุ ซัน ดางต๊นิ ถีซ่ ึงตา๊ ง, เบ๊กิ ขาตืองี่ก็องด๊ึก,
ญกึ เท๊ียกจอื เผกิ , เสอโห่เหนีย่ มกนิ , ช้าเหลย่ เพิก๊ ,

บั๊กเพืองเท้ย้าย, หึวเหยี่ยมเกียงเผิก, โต๊ยทั้งอ็อมเผิก, นานเทอเผิก, หญึกซันเผิก, หย็องมินเผิก,
ญอื ถ่ดี ัง๋ หัง้ ห้าซาโซจ้ ือเผิก, กา๊ กออื กเี้ กวิ๊ก, ชุดกว๋างเกรอ่ื งเถียดเตอ๊ื ง, เบ๊ยี นพ้อตามเทียงด่ายเทียงเท้ย้าย,
เท๊ยี ดทา่ นเถกิ โงน, หญอื ดงั๋ จุ๊งซัน ดางติ๊นถีซ่ ึงตา๊ ง, เบ๊ิกขาตืองี่ก็องดึ๊ก, ญึกเท๊ียกจือเผิก, เสอโหเ่ หน่ยี มกนิ ,
ชา้ เหลย่ เพกิ๊ ,

หา่ เพืองเท้ย้าย, หึวซือต๋ือเผิก, ยันยังเผกิ , ยนั กวางเผิก, ดาดหม่าเผิก, พ๊าบกรา้ งเผิก, กรี้พ๊าบเผิก,
ญือถด่ี ๋งั ห้งั ห้าซาโซ้จือเผิก, ก๊ากอือกเี้ กวก๊ิ , ชดุ กว๋างเกรื่องเถียดเตือ๊ ง, เบย๊ี นพ้อตามเทยี งดา่ ยเทียงเท้ย้าย,
เที๊ยดทา่ นเถิกโงน, หญือดง๋ั จุ๊งซนั ดางติ๊นถีซ่ ึงตา๊ ง, เบิ๊กขาตอื งก่ี ็องด๊ึก, ญึกเที๊ยกจือเผกิ , เสอโห่เหนีย่ มกิน,
ชา้ เหล่ยเพิ๊ก,

เถื่องเพืองเท้ย้าย, หึวผ่ามอ็อมเผิก, ตู๊เยืองเผิก, เฮืองเถื่องเผิก, เฮืองกวางเผิก, ด่ายเหย่ียมเกียง
เผิก, ตราบซักบ๋าว วาเงียมเทิงเผิก, ตาราถ่อเยืองเผกิ , บ๋าววาดึ๊กเผิก, เกี๊ยนญึกเท๊ียกหงายเผิก, ญือตูยีเซิง
เผกิ , ญอื ถ่ีด๋ัง หัง้ ห้าซาโซ้จือเผกิ , ก๊ากอือกีเ้ กวิ๊ก, ชดุ กว๋างเกร่อื งเถยี ดเต๊ือง, เบี๊ยนพอ้ ตามเทียงดา่ ยเทยี งเท้

๔๐

ย้าย, เที๊ยดท่านเถิกโงน, หญือด๋ังจุ๊งซัน ดางต๊ินถี่ซึงต๊าง, เบิ๊กขาตืองีก่ ็องดึ๊ก, ญึกเท๊ียกจือเผิก, เสอโห่เหน่ี
ยมกนิ , ช้าเหล่ยเพ๊ิก,

อือหญืออ๊ีเยิงห่าห่าโก๊ยันยี, ญึกเท๊ียกจือเผิก, เสอโห่เหน่ียมกิน, ช้าเหล่ยเพิ๊ก, เหญือกหึวเพ่ียน
นามต๋ือ, เถ่ียนหนือเญิน, ยังถี่กินถ่อกรี้หยา, ก็อบยังจือเผิกยันหยา, ถ่ีจือเถ่ียนนามตื๋อ, เถ่ียนหนือเญิน,
ยายยญี ึกเทย๊ี กจือเผิกจีเสอโหเ่ หนี่ยม, ยายด๊ักเบ๊ิกโท้ยเจ๋ียน, อืออาโหน่วดารา, ตามเหมี่ยมตามโบ่เด่, ถี่โก๊
ช้าเหล่ยเพ๊ิก, หญือด๋ังยายดางตน๊ิ ถ่อหงาหงอื กอ็ บจือเผิกเสอเท๊ยี ด, ช้าเหล่ยเพ๊ิก, เหยือกหึวเญิน, หยีพ๊าก
เหวีย่ น, กิมพ๊ากเหว่ียน, ดางพ๊ากเหวี่ยน, หยุกซันอายดี ้าเผิกเกว๊ิกหยา, ถจ่ี ือเญินดั๋ง, ยายดัก๊ เบิ๊กโทย้ เจ๋ียน
อืออาโหน่วดารา ตามเหมีย่ มตามโบ่เด่ ออื บ๋เี กวิ๊กโด,่ เหยอื กหยีซัน, เหญือกกิมซัน เหญือกดางซัน ถ่โี กช๊ ้า
เหล่ยเพิ๊ก, จือเถ่ียนนามตื๋อ, เถี่ยนหนือเญิน, เหญือกหึวต๊ินหยา อึงดางพ๊ากเหว่ียน ซันบ๋ีเกว๊ิกโด่, ช้า
เหล่ยเพ๊ิก, ญอื หงากิมหยา ซึงตา๊ งจือเผิก เบิ๊กขาตือหงีก่ อ็ งด๊ึก บ๋ีจอื เผกิ ดงั๋ เหยียดซงึ ต๊างหงา เบก๊ิ ขาตือหงี่
กอ็ งด๊ึก, ญีต๊ักถี่โงน, ทิดกามึวนีเผิก, นังยีถ่อมนานฮีหึวจีสื่อ, นังออื ตาบ่าเกว๊ิกโด่, หงูเกรือกอ๊ากเท้, เกี๊ยบ
เกรือก, เกี๊ยนเกรือก, เผ่ียนหนาวเกรือก, จุ๊งซันเกรือก, หม่างเกรือก, กรุงด๊ักอาโหน่วดารา, ตามเหมี่ยว
ตามโบ่เด่, ยีจือจ๊งุ ซัน, เทยี๊ ดถ่ญี ึกเทย๊ี ก, เท้ยางนานต๊นิ จีพ๊าบ, ชา้ เหล่ยเพิ๊ก, ดางกรหี งาอือ, หงเู กรอื กอา๊ ก
เท้, หั่นถือนานส่ือ ด๊ักอาโหน่วดารา, ตามเหมี่ยมตามโบ่เด่, ยีญึกเท๊ยี กเท้ยาง, เที๊ยดถือนานติ๊นจีพ๊าบ, ถี่ยี
ถ่อมนาน, เผิกเท๊ียดถอื กินหยี, ชา้ เหลย่ เพ๊ิก, ก็อบจือต้แี คว, ญึกเที๊ยกเท้ยาง, เทียนเญินอาตูราดั๋ง, ยังเผิก
เสอเท๊ียด, วางเหยตนิ๊ ถอ่ , ต๊ากเหลญีค๊ือ, เผกิ เท๊ียดอายีดา้ เผกิ ,

บากญึกเท๊ียกเหงียบเจือ๊ งกังโบ๋น ดก๊ั ซันตน่ิ โดด่ า้ ร้านี
นำโมอายีดาบ่าหย่า ด๊าทา หย่าดาหยา่ ด๊า เด่ียหย่าทา อายีหร่ีโดบ่าตี้ อายีหร่ีด๊า เต๊ิกดำบ่าตี้ อายี
หรดี่ ๊า ตก้ี ารนั เด๊ อายหี ร่ีดา๊ ต้ีการันดา ย่าหยหี นี่ ย่าย่านา จีด๋ ากาเหร่ ตาบา่ ฮา ๓ จบ

คำแปล
พระสูตรสุขาวดยี หู สูตร

ขอนบน้อมแตพ่ ระสรรเพช็ ญ์เจ้า ข้าพเจ้าได้สดบั มาดังนี้ สมัยหน่งึ พระผู้มพี ระภาคเสด็จ สำราญ
พระอิริยาบถ อยู่ในเขตวนารามของท่านอนาถปิณฑกะ ใกล้กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมูใหญ่ คือ
ภิกษุ ๑.๒๕๐ รูป ผู้แตกฉานในอภิญญา เป็นพระเถระมหาสาวกล้วนแต่พระอรหันต์เจ้า เช่น พระศาริ
บตุ รเถระ, พระมหาเมาท คัลยายนะ, พระมหากาศยปะ, พระมหาศุทธิปถั กะ, พระนนั ทะ, พระอานนั ทะ
, พรารหุละ, พระความปติ, พระภรัทวาชะ, พระกาโลทยิน, พระวักกุละและพระอนิรุทธะ กับพระสาวก
อ่ืนอีกมากหลาย ตลอดจนพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นอันมาก เช่น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์, พระกุมารภูติ
โพธิสัตว์, พระอชิตโพธิสัตว์, พระคันธหัสดีโพธิสัตว์, พระนิตโยทยุกตโพธิสัตว์และพระอนิกษิปตธุร

๔๑

โพธิสัตว์, กับพระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ อื่นอีกมากมายและ ท้าวศักระจอมเทพ , ท้าวสหัมบดีพรหม กับ
เทพบตุ รอน่ื ๆเปน็ อันมาก นับจำนวนแสนนยุตะ (๑นยุต๑๐๐,๐๐๐โกฏ)ิ

ณ สถานท่ีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุว่า ดูก่อนศาริบุตร ในทิศภาค
เบื้องตะวันตก นับแต่พุทธเกษตรนี้ไปแสนโกฏิพุทธเกษตร มีโลกธาตุหนึ่ง นามว่า สุขาวดี อันเป็นที่
ประทับอยู่แห่งพระอมิตาภะตถาคตอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา้ ผู้ยังทรงพระชนม์และแสดงธรรมอยูใ่ นกาล
บัดนี้ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อน้ันเป็นไฉน เหตุดังฤๅโลกธาตุโลกธาตุน้ันจึงได้นามว่าสุขาวดี. ศาริ
บุตรเอย สัตว์ท้ังหลายในโลกธาตุนั้น ไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย มีแต่เหตุแห่งสุขอันหาประมาณมิได้อย่าง
เดยี ว เหตุดงั น้ัน โลกธาตนุ ัน้ จงึ ได้นามวา่ สุขาวดี.

ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุประดับประดาแวดล้อมไปด้วยกำแพง ๗ ชั้น ต้นตาล ๗ แถว
และข่ายกะดึงทั้งหลายงดงามน่าดูด้วยรัตนะ ๔ ประการคือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ศาริบุตรเอย พุทธ
เกษตรนน้ั ประดบั ด้วยองคคณุ ประจำพุทธเกษตรเห็นปานน้ี.
ดูก่อนศารบิ ุตร อนึ่ง สุขาวดโี ลกธาตุมสี ระโบกขรณีท้ังหลายอันแล้วด้วยรัตนะ ๗ ประการ คือ ทอง เงิน
ไพฑรู ย์ ผลึก ทบั ทมิ มรกต และบุศราคัม เป่ียมดว้ ยอัษฎางคิกวารี (น้ำประกอบด้วยองค์แปด) มีท่าน้ำอัน
เรียบราบ พอท่ีกา(จะก้มลง)ด่ืมได้ รายระยับไปด้วย ทรายทองและมีบันได ๔ บันไดโดยรอบท้ัง ๔ ทิศ
งดงามน่าดูด้วยรัตนะ ๔ ประการ คือทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก มีรัตนพฤกษ์อันงดงามน่าดูด้วยรัตนะ ๗
ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิบ มรกตและบุศราคัม ข้ึนอยู่รายรอบสระโบกขรณีเหล่าน้ัน มี
ดอกประทุมอันมีธรรมชาติ สี แสง ความน่าดู เขียว เหลือง แดง ขาวและสลับสีใหญ่ประมาณเท่ากง
เกวียน. ศาริบตุ รเอย พุทธเกษตรน้นั ประดับด้วยองคคณุ ประจำพุทธเกษตรเห็นปานน.้ี

ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้นมีทิพยดนตรีอนั บรรเลงอยู่เป็นนิตย์ และมหาปฐพกี ็มสี ีเพียง
ดงั ทองน่ารื่นรมย์ มีฝนดอกมณฑารพอนั เป็นทิพย์ตกคนื ละ ๓ คร้ัง วนั ละ ๓ ครั้ง สตั วท์ ่ีเกิดในพทุ ธเกษตร
น้ัน ย่อมไปสู่โลกธาตุอื่น ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแสนโกฏิพระองค์ช่ัวเวลาก่อนอาหารคราวหนึ่ง ใช้ฝน
ดอกไม้แสนโกฏิเกล่ยี ลงบชู าพระตถาคตเจา้ แต่ละพระองค์ แลว้ กลบั มาสโู่ ลกธาตนุ ้ันแลอกี เพอ่ื พักผอ่ นใน
กลางวัน. ศาริบุตรเอย พทุ ธเกษตรนนั้ ประดับดว้ ยองคคณุ ประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี.้

ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้น มีหงส์ นกกะเรียน นกยูง ประชุมกันขับประสานเสียงของ
ตน คืนละ ๓ ครั้ง วันละ ๓ ครั้ง เสียงของปวงนกท่ีประสานกันนั้น ย่อมเปล่งประกาศอินทรีย์(ธรรมอัน
เป็นใหญ่) พละ (ธรรมเป็นกำลัง)และโพชฌงค์ (ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้) มนุษย์ทั้งหลายในพุทธ
เกษตรนั้น ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมเกิดมนสิการในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ศารบิ ุตร เธอจะสำคัญ
ความข้อนั้นว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดในกำเนิดดิรัจฉานกระน้ันหรือ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย ข้อนั้น
เพราะเหตุดังฤๅ ศาริบุตร แม้แต่ช่ือแห่งนรก กำเนิดดิรัจฉานและยมโลก ก็ไม่มีในพุทธเกษตรนั้น หมู่นก

๔๒

เหล่าน้ัน พระอมิตาภะยุคถาคตเจ้าทรงนิรมิตขึ้นให้เปล่งเสียงประกาศพระธรรมต่างหาก ศาริบุตร พุทธ
เกษตรนน้ั ประดับดว้ ยองคคุณประจำพทุ ธเกษตรเห็นปานนี้.

ดูก่อนศาริบุตร อน่ึง แถวต้นตาลและข่ายกระดึงทั้งหลายในพุทธเกษตรนั้น เมื่อลมโชยมากระทบ
ย่อมเปล่งเสียงไพเราะจับใจดุจเสียงทิพยดนตรีมีเครื่องประกอบแสงโกฏิ อนั อารยชนบรรเลงแล้ว. มนุษย์
ในพุทธเกษตรน้ัน สดับเสียงนั้นแล้วย่อมพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังหานุสสติตั้งอยู่ในกาย. ศาริบุตร
เอย พุทธเกษตรนั้นประดับดว้ ยองคคุณประจำพทุ ธเกษตรเหน็ ปานนี้

ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤๅ พระตถาคตเจ้าน้ันจึงได้พระนามว่า
อมิตายุ. ศาริบุตรเอย พระตถาคตเจ้าและมนุษย์เหล่าน้ัน มีประมาณแห่งอายุอันกำหนดนับมิได้. เหตุ
ดงั นั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตายุ. อนึง่ พระตถาคตเจ้าน้ันตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว
ได้ ๑๐ กลั ป์

ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อน้ันเป็นไฉน เหตุดังฤๅ พระตถาคตเจ้าน้ันจึงได้พระนามว่า
อมิตาภะ รัศมีแห่งพระตถาคตเจ้าน้ัน (สว่างไป) ไม่ติดขัดในพุทธเกษตรท้ังปวง. เหตุดงั น้ัน พระองคจ์ ึงได้
พระนามว่า อมิตาภะ อน่ึง พระอรหันตสาวกสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ของพระตถาคตเจ้านั้น หาประมาณมิได้ ไม่
เป็นการง่ายที่จะกล่าวประมาณ ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรน้ันประดับด้วยองคคณุ ประจำพุทธเกษตรเห็น
ปานน.้ี

ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ท่ีเกิดข้ึนในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ผ้บู ริสุทธ์ิ
ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเก่ียวเนื่องอยู่เพียงชาติเดียว การนับประมาณพระโพธิสัตว์เหล่าน้ัน มิใช่ทำได้
โดยงา่ ย นอกจากจะนับว่า "อประไมย" (ประมาณไมไ่ ด้) "องสไขย" (นบั ไมไ่ ด)้ อน่ึง ศารบิ ุตร สัตว์ท้ังหลาย
ควรตั้งประณิธาน(ท่ีจะไปเกิด) ในพุทธเกษตรน้ัน. ข้อน้ันเพราะเหตุไร เพราะว่าท่ีไหนเล่า การได้อยู่
ร่วมกันสัตบุรุษเห็นปานนั้นจึงจะมีได้ (เหมือนในสุขาวดีนี้) ศาริบุตร สัตว์ท้ังหลาย ย่อมบังเกิดในพุทธ
เกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจา้ มิใชด่ ว้ ยกศุ ลมูลเพยี งเล็กนอ้ ย ศาริบุตร กลุ บตุ รหรอื กุลธิดาไรๆ จักได้
สดับพระนามของพระอมิตายคุ ถาคตเจ้านั้น ครั้นสดับแลว้ จักมนสิการ จกั มีจติ ตไ์ ม่ซดั สา่ ย มนสกิ ารตลอด
ราตรีหน่ึง หรือ ๒ ราตรี หรือ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ราตรี เม่ือกุลบุตรหรือกุลธิดาน้ันจักสิ้นชีพ พระอมิตายุค
ถาคตเจ้านั้น อันสาวกสงฆ์แวดล้อมมีหมู่พระโพธิสัตว์ตามหลัง จักปรากฏเบื้องหน้าเขาผู้กำลังส้ินชีพ เขา
ย่อม
มีจิตสงบส้ินชพี ไป ครั้นสิน้ ชพี แล้วก็จะไปเกิดในสขุ าวดโี ลกธาตุอนั เป็นพุทธเกษตรของพระอมิตายคุ ถาคต
เจ้านน้ั แล. ศาริบตุ รเอย เหตุดังนัน้ แหละ เราเห็นอำนาจประโยชน์น้ี จงึ กล่าวว่า กุลบตุ รหรือกุลธดิ าพึงตั้ง
จติ ตประณิธาน (ท่จี ะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนน้ั โดยเคารพ

ดูก่อนศาริบุตร เราประกาศเร่ืองโลกธาตุน้ันอยู่ในบัดน้ีฉันใด พระตถาคตเจ้าท้ังหลายในทิศบูรพาเป้น
ต้นว่า พระอักโษภยตถาคต พระเมรุธวัชตถาคต พระมหาเมรุธวัชตถาคต พระเมรุประภาสตถาคต พระ

๔๓

มญั ชุธวัชตถาคต กับพระผู้มพี ระภาคพุทธเจ้าท้ังหลายในทิศบูรพา อุปมาด้วยเกล็ดทรายในคงคานทีก็ฉัน
นั้นแล ต่างอธิบายประกาศท่ัวพุทธเกษตรของพระองค์ว่า "ท่านทั้งหลายจงเช่ือฟังธรรมบรรยายนี้ อัน
ประกาศซ่งึ คณุ เปน็ อจนิ ไตย อนั ไดน้ ามว่า ไดร้ บั ความคมุ้ ครองแห่งพระพุทธเจ้าทัง้ ปวง

ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าท้ังหลายในทิศทักษิณเป็นต้นว่า พระจันทรสูรยประทีปตถาคต
พระยศประภะตถาคต พระมหารุจิสกันธตถาคต พระเมรุประทีปตถาคต พระอนนั ตวรี ยตถาคตกับพระผู้
มีพระภาคเจ้าท้ังหลายในทิศทักษิณ อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่ว
พุทธเกษตรของพระองค์ว่า "ทา่ นท้ังหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อนั ประกาศซ่ึงคณุ เปน็ อจนิ ไตย อนั ได้
นามว่า ไดร้ ับความคมุ้ ครองแห่งพระพทุ ธเจา้ ท้งั ปวง

ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าท้ังหลายในทิศประจิมเป็นต้นว่า พระอมิตายุคถาคต พระอมิตส
กันธตถาคต พระอมติ ธวัชตถาคต พระมหาประภะตถาคต พระมหารตั นเกตุตถาคต พระศุทธรศั มิประภะ
ตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าท้ังหลายในประจิม อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันน้ัน ต่าง
อธบิ ายประกาศท่ัวพุทธเกษตรของพระองค์วา่ "ทา่ นทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายน้ี อันประกาศซึ่งคุณ
เปน็ อจนิ ไตย อันไดน้ ามว่า ไดร้ ับความค้มุ ครองแหง่ พระพุทธเจ้าทัง้ ปวง"

ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศอุดรเป็นต้นว่า พระมหารจิสกันธตถาคต พระไว
ศวานรนิรโฆษตถาคต พระทุนทุภินิรโฆษตถาคต พระอาทิตยสมภพตถาคต พระชโลนิประภะตถาคตกับ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าท้ังหลายในทิศอุดร อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบาย
ประกาศท่ัวพุทธเกษตรของพระองค์ว่า "ท่านท้ังหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายน้ี อันประกาศซ่ึงคุณเป็น
อจินไตย อันได้นามวา่ ไดร้ ับความคมุ้ ครองแห่งพระพุทธเจ้าทัง้ ปวง"

ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าท้ังหลายในทิศเบื้องต่ำ เป็นต้นว่า พระสิงหตถาคต พระยศตถาคต
พระยศประภาสตถาคต พระธรรมตถาคต พระธรรมธรตถาคต พระธรรมธวชั ตถาคต กนั พระผมู้ ีพระภาค
พุทธเจ้าทั้งหลายในทิศเบ้ืองต่ำ อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศท่ัวพุทธ
เกษตรของพระองค์ว่า "ท่านทั้งหลายจงเช่ือฟังธรรมบรรยายนี้ อนั ประกาศซ่งึ คุณเป็นอจินไตย อันได้นาม
วา่ ไดร้ ับความคุ้มครองแหง่ พระพุทธเจา้ ทงั้ ปวง"
ดูก่อนพระศาริบุตร พระตถาคตเจ้าท้ังหลายในทิศเบื้องบน เป็นต้นว่า พระพรหมโฆษตถาคต พระ
นักษัตรราชตถาคต พระอินทรเกตุธวชตถาคต พระคันโธตตมตถาคต พระคันธประภาสตถาคต พระ
มหารจิสกันธตถาคต พระรัตนกุสุมสังปุษปิตถาตรตถาคต พระสาลินทรราชตถาคต พระรัตนโนตปลศรี
ตถาคต พระสรวารถทรศตถาคต พระสุเมรุกาลปตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าในทิศเบ้ืองบน
อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันน้ัน ต่างอธิบายประกาศท่ัวพุทธเกษตรของพระองค์ว่า "ท่าน
ท้ังหลายจงเช่ือฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซ่ึงคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่ง
พระพุทธเจ้าท้ังปวง"

๔๔

ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อน้ันเป็นไฉน เพตุดังฤๅ ธรรมบรรยายนี้จึงได้นามว่า "ได้รับ
ความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าท้ังปวง" ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักได้สดับนามแห่งธรรม
บรรยายน้ี และจำทรงจำพระนามแห่งพระผมู้ ีพระภาคเจา้ เหลา่ น้นั กลุ บตุ รกลุ ธิดาทั้งปวงน้ัน จักเปน็ ผู้อัน
พระพุทธเจ้าคุ้มครองจักไม่กลับกลายในอนุตตรสมั มาสัมโพธิ ศาริบุตร เหตนุ ้ันแล ท่านท้ังหลายจงเชื่อฟัง
อย่าสงสัยต่อเราและพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักทำหรือทำ
แล้วหรือกำลังทำซึ่งจิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตผู้มีพระภาคนั้น
กุลบุตรหรือกุลธิดาท้ังปวงนั้น จักไม่กลับกลายในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และจักเกิดข้ึน หรือเกิดข้ึนแล้ว
หรือกำลังเกิดขึ้นในพุทธเกษตรน้ัน ศาริบุตร เหตุน้ันแล กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้มีศรัทธา จึงควรทำจิตตป
ระณิธานให้เกดิ ข้นึ ในพทุ ธเกษตรนั้น

ดกู ่อนศาริบุตร เราประกาศคุณอันเป็นอจินไตยของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ในกาลบัดน้ี
ฉันใด พระผู้มพี ระภาคพุทธเจ้าเหล่าน้ันก็ฉันนน้ั เหมือนกัน ย่อมทรงประกาศคุณอนั เป็นอจินไตย แม้ของ
เราอย่างน้ีว่า พระศากยมนุ ผี ้มู ีพระภาค ผู้เปน็ อธิราชแหง่ ศากยะทรงทำกรรมทท่ี ำได้โดยยากย่ิง ทรงตรสั รู้
อนตุ ตรสมั มาสมั โพธิญาณอันยอดเยี่ยมในสหาโลกธาตุ (โลกธาตุอันเต็มไปด้วยทกุ ข์ซึ่งจะต้องอดทน) แล้ว
ทรงแสดงธรรมอันให้ผลแก่โลกทั้งปวง" ใน (ท่ามกลาง) ความเสื่อมแห่งอายุ ความเสื่อมเพราะกเิ ลส.

ดูก่อนศาริบุตร ข้อที่เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเย่ียมในสาโลกธาตุ แล้วแสดง
ธรรมอันให้ผลแก่โลกทงั้ ปวง" ใน (ท่ามกลาง) ความเส่อื มแห่งสัตว์ ความเสือ่ มแห่งทิฏฐิ ความเสอ่ื มเพราะ
กเิ ลส ความเส่อื มแหง่ อายุ ความเส่อื มแหง่ กลั ป์นัน้ เป็นสิง่ ท่ที ำไดย้ ากยิ่งแม้ของเรา

พระผู้มีพระภาคตรัสเร่ืองนี้จบลงแล้ว พระศาริบุตรผู้มีอายุ ภิกษุและพระโพธิสัตว์เหล่านั้น
ตลอดจนสัตวโ์ ลกกับทง้ั เทวา มนุษย์ อสรู คนธรรพ์กพ็ ากนั มีใจยินดชี ่ืนชมภาษติ ของพระผ้มู พี ระภาคเจ้า*
จบ สุขาวดียูหมหายานสูตร

** แปลโดย สโุ ชโวภิกขุ วดั กันมาตยุ าราม

๔๕

บทสรปุ
บทสวดมนตอ์ นัมนิกาย เป็นสิ่งที่สำคัญของพระสงฆ์อนัมท่ีได้ยึดถอื ปฏิบตั ิท่องบ่นสวดสาธยายกัน

สบื ต่อ ๆ มาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังสืบทอดกันมาโดยตลอด ไมว่ ่างเวน้ แม้บางยุคบางสมยั จะผิดเพีย้ น
ทางดา้ นสำเนยี งไปบ้างแตก่ ็ยังคงรปู แบบเดมิ ไว้และในบทน้ีจึงได้นำเอาสว่ นหนงึ่ ของบทสวดมนตท์ ้ังหลาย
ของพระสงฆ์อนัมนิกาย ท่ีถือว่าเป็นบทสวดท่ีสำคัญในการประกอบพิธีกรรมหรือสวดมนต์ทำวัตรมาให้
นักเรียนได้เล่าเรียน สวดสาธยายกัน พระมนต์พิธีนั้น ๆ มีความขลังอยู่ในตัวของบทสวดมนต์ของมันเอง
เราจะสวดเมื่อไรก็มีความเป็นศิริมงคลเม่ือน้ันและการเล่าเรียนสวดสาธยายมนต์ถือเป็นการสืบทอดพุทธ
พจนไ์ วใ้ ห้ตราบชว่ั นิรันดร์

กจิ กรรมเสรมิ ความรู้
๑. ครูและนักเรียนได้ร่วมกันท่องบนสาธยาย และสรุปความสำคัญของมนต์พิธีที่สวด และให้
นักเรียนสรปุ กันเป็นกลมุ่ แลว้ นำมาอภิปรายใหเ้ พ่ือนในชนั้ เรียนฟงั และส่งครู
๒. ครูใหน้ กั เรียนไดเ้ ขา้ ใจท่มี าของพระสตู รนี้แลว้ จบั กลุ่มอภิปาย

กจิ กรรมวดั ผล
นกั เรยี นตอบคำถามทกุ ข้อดังตอ่ ไปน้ี

๑. บทสวดมนตย์ ดี ้า มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร ? อธบิ าย
๒. บทสวดมนต์ยดี า กล่าวถึงใคร มีความหมายถงึ อะไร ? อธบิ าย
๓. คำแปลสขุ าวดยี หู มหายานสตู ร มคี วามหมายอยา่ งไร ? อธบิ าย
๔. สขุ าวดียหู มหายานสูตร (ยดี ้า)มีความสำคัญอยา่ งไรต่อการประกอบพิธีกรรมทางฝ่ายพระสงฆ์

อนัมนิกาย ? อธบิ าย

๔๖

บทที่ ๖

พระศรีอารยิ เมตไตรย์โพธสิ ัตว์และ ๑๘ พระอรหันต์

จดุ ประสงค์ปลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจประวัติความเป็นมาของพระศรีอาริยเมตไตรยและ ๑๘ อรหันต์

รวมถงึ บอกคุณค่าของสง่ิ ที่แทนค่าธรรมะทใี่ ชย้ ึดเหน่ียวจิตใจของพทุ ธศาสนกิ ชนได้

จุดประสงคน์ ำทาง เถรวาท
๑. นกั เรียนสามารถเขา้ ใจและบอกประวัติของพระศรอี ารยิ เมตไตรยไ์ ด้ถกู ตอ้ ง
๒. นกั เรียนสามารถเปรียบเทียบได้ว่า สิ่งไหนชื่อว่าศาสนสถานของอนัมนิกายและ
อ่นื ๆ ไดถ้ ูกต้อง
๓. นกั เรยี นสามารถบอกประวตั ขิ อง ๑๘ อรหันตไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง

พระศรีอารยิ เมตไตรยโพธสิ ตั ว์
พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์นั้น คือ พระพุทธรูปที่น่ังพุงพลุ้ย ใบหน้ายิ้มแย้มเสมอ ภาษาจีน

เรียกว่า “โป้วต่อฮั่วเสียง” ภาษาอนัม (ญวณ) เรียกว่า “ดังลาย (ห่าซัน) ยีหลากโตนเผิก” แปลว่า
พระมหาเถระยา่ มผ้า (เพราะทา่ นชอบถอื ย่ามใบใหญ่เปน็ ประจำ)

ในพระสูตรของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีความเช่ือถือกันมาช้านานแล้วว่า พระอาริย
เมตไตรยโพธิสัตว์นั้น พระองค์ท่านคือ พระโพธิสัตว์แห่งอนาคตกาล ท่านจะมาบังเกิดในมนุษย์โลกใน
อนาคตกาล และสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ในกาลนั้นพระองค์จะเป็นผู้มีเมตตาจติ สูงส่ง
กว่าพระโพธิสตั วท์ ้ังปวง คุณวเิ ศษแห่งบารมีกค็ อื “เมตตา”

ประวัติความเปน็ มา
สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดมน้ัน พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ได้ปฏิสนธิทาง

ภาคใต้ของชมพทู วีป เกิดในตระกลู พราหมณม์ หาศาลเมตไตรยโคตร ทรงพระนามว่า อชิตะ (แปลว่า ผู้
ไม่มีผู้ใดสามารถชนะ) เมื่อทรงพระเยาว์วัยได้ออกบรรพชาศึกษาหนทางท่ีจะบำบัดทุกข์ของสรรพสัตว์
โลก แต่ได้เสด็จดับขันธ์ก่อนพุทธนิพพาน ไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิต เสวยทิพย์สมบัติดังหน่อพุทธางกูรทุก
พระองค์ท่ีเก่ียวเนื่องเพียงอีกชาติเดียว ก็จะเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระอังคีรสสืบพระศาสนาในภัทรกัลป์
นับเป็นลำดบั องค์ที่ ๕ ซึง่ เช่ือกันวา่

๔๗

เม่ืออายุขัยของมนุษย์เจริญข้ึนถึง ๘๔,๐๐๐ ปี เทพเจ้าในหม่ืนจักรวาลกราบทูลอาราธนาให้จุติ
เป็นพระพุทธเจ้า ณ เกตุมดีนคร (กว้าง ๗ โยชน์ ยาว ๑๒ โยชน์) เป็นบุตรของปุโรหิตาจารย์ของพระ
เจา้ สังขจักร ผู้เป็นบรมจักรพรรด์ิราชาธิราชนามวา่ สตุ พราหมณ์ และนางพราหมณ์วดพี ราหมณี เม่ือ
พระเยาว์ทรงพระนามวา่ เมตไตรย สมบรู ณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐
ประการ มีพระวรกายด่ังทอง แผ่รัศมีอันหาประมาณมิได้ ทรงเล็งเห็นสัตว์โลกท้ังหลายตกอยู่ในห้วง
แห่งกามคุณ ต้องทนทุกข์ทรมานด้วย ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารไม่
มสี ิ้นสุด แล้วก็เสด็จออกบรรพชาหาทางหลดุ พ้นจากห้วงทะเลแห่งความทุกข์น้ี ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมา
สัมโพธิญาณภายใต้ต้นโพธินาคบุษบา คร้ังน้ันหม่ืนโลกธาตุก็หว่ันไหวสะเทือนสะท้านแสงสว่างย่ิงไม่มี
ประมาณ ก็ได้ปรากฏข้ึนล่วงเทวานุภาพ เหล่าเทพยดาต้ังแต่ท้าวสหัมบดีพรหม ก็เปล่งเสียงแซ่ซ้อง
สาธุการหวนั่ ไหว

พระเจ้าสงั ขจักรมหาจักรพรรดิราชาธิราช ไดส้ ดับข่าวก็เสด็จมาส่โู พธิมณฑล ถวายนมัสการสดับ
ธรรมเทศนาศรัทธาเล่ือมใส ได้สละราชสมบัติออกบรรพชาพร้อมด้วยบริวาร สมัยของพระองค์มีการ
ประชุมสันนิบาต ๓ ครั้ง ได้แสดงธรรมเทศนาโปรดสัตวท์ ั้งหลายให้สำเรจ็ เปน็ พระอรหันตแ์ ละอรยิ บุคคล
ในพระศาสนาอันจะนับประมาณมิได้ ทรงประกาศธรรมจักร อยู่ตามอายุขัยแล้วเสด็จดับขันธปริ
นพิ พาน

๑๘ อรหนั ต์
อรหันต์ ตามสำเนียงจีนเรียกว่า ออล่อห่ัน ภาษาญวนเรียกว่า อาราฮ้าน แปลว่า ผู้ควรบูชา

(เอ่งกัง) ผู้กำจัดอริ (ซัวะซัด) ผู้สิ้นชาติ (ปุดแซ) หรืออธิบายได้ว่า “ผู้กำจัดได้สิ้นเชิงซ่ึงข้าศึก คือ
กิเลสอันหมักหมม อยู่ในดวงจติ

ประวัติการกำเนิดพระอรหันต์ ๑๘
วัดในญี่ปุ่น เกาหลี ญวน และธิเบต ถือว่าพระอรหันต์ชุดน้ีเดิมมีเพียง ๑๖ องค์ แต่ที่มีจำนวน

๑๘ องค์น้ีได้ข้อมูลมาจากวัดในประเทศจีน ซ่ึงนักปราชญ์ชาวตะวันตกได้ทำการศึกษาค้นคว้าในคัมภีร์
ต่าง ๆ ของจนี แลว้ ปรากฏวา่ เดิมมีเพยี ง ๑๖ องค์ เช่นกนั ตอ่ มามีเพ่มิ ข้นึ อกี ๒ องคเ์ มื่อไมน่ านนัก

พระพุทธเจ้าตรสั กับพระมหากัศยปว่า “ชวี ิตเราจะหมดไปเพราะอายุจะถงึ แปดสิบในไม่ช้า เวลา
น้ี เราตถาคตมีมหาสาวกอยู่สี่ ซึ่งเป็นผู้ท่ีสามารถรับหน้าที่ประกาศศาสนธรรมแก่มนุษยชาติ เป็นผู้มี
ญาณอันไม่รู้จักส้ิน และเต็มด้วยบารมี มหาสาวกทั้งสี่คือใครบ้าง คือ ภิกษุมหากัศยป กุณโฑปธานีย
ปณิ โฑล และราหุล ดูก่อน มหาสาวกท้ังสี่ ท่านอย่าเข้าปรินิพพานก่อน เม่อื ใดพระธรรมของเราส้ินไป
เม่ือนั้นแลท่านจึงเข้าปรินิพพานได้ ส่วนท่านกัศยปผู้เดียวท่ีจะต้องคอยจนกว่าพระศรีอาริยเมตไตรยมา

๔๘

ประกาศศาสนธรรม จึงจะเข้าปรินิพพานได้” เม่ือพระอรหันต์ทั้ง ๔ สถิตอยู่ในสี่ทิศของโลกก็เกิด
มหาสาวกข้ึนทศิ ละ ๔ พระองค์ จึงรวมเปน็ อรหันต์ ๑๖ องค์

ท้ังหมดน้ีเป็นตำนานการเกิดอรหันต์ ๑๘ ซ่ึงถือว่าเป็นผู้อภิบาลพระศาสนธรรม ตลอดจน
บรรพชติ และคฤหัสถผ์ ูบ้ รษิ ทั ของพระศากยมุนีพทุ ธเจ้า

คณุ สมบัตขิ องพระอรหันต์ ๑๘
ในเรื่องของคุณสมบัติของพระอรหันต์นั้นมีประวัติในเรื่องน้ีพอสังเขปว่า เม่ือคราวท่ีพระพุทธเจ้า

เสด็จดับขนั ธปรินิพพานแลว้ ได้ ๘๐๐ ปี พระอรหันตอ์ งค์ชื่อนนทิมิตร อยูใ่ นนครพระเจ้าเซ่งตวั (ไม่ทราบ
แน่ว่าใคร บางแห่งว่าเป็นพระเจ้าประเสนชิต หรือ พระเจ้าชัยเสน) ในแคว้นจ๊ิบซือจู๊ (ว่าเป็นลังกา แต่ก็
แยง้ ตอ่ ช่ือพระเจ้าประเสนชติ ) บรรดาพทุ ธศาสนกิ ชนวิตกว่าพระพุทธศาสนาไม่ถาวรสบื ไป พระนนทิมิตร
ปรารภข้อน้ี ได้เทศนาว่า เมื่อพระพุทธเจ้าใกล้จะเสด็จเข้าปรินิพาน ทรงมอบพระศาสนาไว้แก่พระ
มหาสาวกอรหันต์ ๑๖ องค์ ให้เป็นผู้พิทักษ์รักษาให้ถาวรตลอดไป อย่าเพ่อดับขันธ์เข้าปรินิพาน จนกว่า
พระศรีอาริยจะมาตรัสรู้ พระนนทิมิตรได้แจง้ ช่ือพระอรหันต์ ๑๖ องคน์ ั้นคือใคร พระนนทิมิตรได้แจ้งช่ือ
พระอรหันตท์ ัง้ ๑๖ องค์แลว้ ท่านจึงทรงสรรเสริญคุณของพระอรหันต์เหลา่ น้ันต่อไปวา่ พระอรหันต์น้นั มี
คณุ ดังน้ี

พระอรหนั ต์ ๑๘ องคน์ ี้
๑. เปน็ ผทู้ รงวชิ ชาสาม (ซัมเหมง็ )
๒. อภญิ ญาหก (ลักซินทอง) วโิ มกษแ์ ปด (โปย้ เกียทุด่ )
๓. มบี ารมเี ตม็ (กงเต๊ก)
๔. พ้นแลว้ จากความเศรา้ หมองในโลกสาม (กามภพ รปู ภพ อรูปภพ)
๕. และรูแ้ จง้ ในพระไตรปฎิ กตลอดจนพาหริ ลทั ธิ (ง่วั เตีย๊ น)

**หมายเหตุ พระอรหนั ตเ์ ดิมนั้นมี ๑๖ องค์ แต่ตอ่ มามีการเพม่ิ เตมิ เป็น ๑๘ องค์

ภารกิจของพระอรหันต์ ๑๘
๑. พระอรหันต์ท้ัง ๑๖ องค์ มีหน้าท่ีไปสู่พุทธสถานท่ีมีการทำบุญกุศล และมักจะแปลงกายเป็น

สามญั ชนเข้าไปรับไทยทานเอาเงียบ ๆ โดยไม่มผี ใู้ ดรู้สึกได้ว่านคี่ อื พระอรหันต์
๒. พระอรหันต์ ๑๖ องค์ จะทรงพทิ ักษพ์ ระสัทธรรมไว้ และอำนวยผลบญุ ให้แกส่ าธุชน
๓. เมื่อประชาชนเบ่ือการทำสงคราม หันมาประพฤติตามศีลธรรมคุณงามความดี พระอรหันต์ ๑๖

องค์ จะมาเทศนาและเผยพระสัทธรรม ช่วยเหลือคนจำนวนมากให้ออกบวชถือเพศพรหมจรรย์ เกิด
อานสิ งสแ์ กม่ นษุ ยชาติท้ังหลายให้มีอายขุ ัยยืนนานถึงหกหม่นื ปี

๔๙

๔. เมื่อมนุษย์มีอายุขัยเจ็ดหม่ืนปี พระอภิธรรมจะสิ้นไป เม่ือนั้นพระอรหันต์ ๑๖ องค์ จะทำการ
ประชุมกันและเข้าสนู่ ิพพาน เพราะได้ทำภารกจิ ครบถ้วนแลว้ เหลือแต่พระกศั ยปที่คอยพระศรีอาริยม์ า
ประกาศสัทธรรมตอ่ จึงเขา้ นิพพาน

ประวัติ ๑๘ อรหันต์

๑. อรหนั ต์องคข์ ถี ลา ปะโลโต
พระอรหันต์องค์นี้ เรียกอีกชื่อว่า ปินโท่ล่อป้วดล่อต๋ัว

ได้แก่ พระปิณโฑลภารัทวาช (ฐานองค์พระลำดับท่ี ๙) มีพระ
อรหันต์ ๑,๐๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิต ณ อมรโคยานทวีป ทิศ
ตะวันตก มีความเป็นเลิศในการบรรลือสีหนาท เชี่ยวชาญในการ
ตอบโต้และปกป้องพระศาสนา ตามประวัติกล่าวว่า คราวหนึ่ง
ท่านเหาะไปหยิบบาตรไม้จันทน์บนยอดเสา อันเป็นการแสดง
ปาฏิหาริย์แข่งพวกเดียรถีย์ ฝูงชนพากันแซ่ซ้องสาธุการ ความ
ทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงตำหนิและห้ามพระสงฆ์มิให้
แสดงปาฏหิ าริยอ์ ีก และตรสั ใหท้ ่านออกไปจากชมพทู วีปไมต่ อ้ งเข้า
นิพพาน จะต้องอยู่รักษาพระศาสนาจนกว่าพระศรีอาริยเมตไตรยจะลงมาตรัสรู้ (พระอรหันต์ขีถลา ปะ
โลโต อรหันตอ์ งค์นี้นั่งขัดสมาธวิ างสองมือซอ้ นทับกับ)

๒. อรหันตอ์ งค์ ขายะเดชะ
พระอรหันต์องคน์ ้ี บางท่ีเรียกวา่ เกเนกเกีย ฮวดชา้ ได้แก่

พระกนกวัจฉะ มีพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิต ณ
แคว้นกัษมีระ ด้านทางทิศเหนือ เป็นผู้ได้รับเอตทัคคะว่ารู้แจ้งใน
บรรดาลัทธิต่าง ๆ ท้ังที่ผิดและชอบ และเป็นผู้มีธุดงควัตร คือ
ทรมานรา่ งกายโดยน่ังตากนำ้ คา้ งไม่หว่ันไหวตอ่ ลมและฝน
(อรหนั ต์ขายะเดชะ อรหันตอ์ งคน์ น้ี ่งั ห้อยขา มือขวาช้นี ้วิ )

๕๐

๓. อรหนั ตอ์ งคก์ ะยะขา
พระอรหันต์องค์นี้ บางทเ่ี รียกวา่ เกียเนกเกีย โบลีตั้ว ไดแ้ ก่

พระกนก ภารัทวาช มีพระอรหันต์ ๖๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิต ณ
บุรพวเิ ทหทวปี ด้านทศิ ตะวันออก
(อรหันต์องค์ กะยะขา อรหันต์องค์น้ีนั่งห้อยเท้า ยกมือซ้ายค้ำยัน
ศรี ษะไว้)

๔. อรหันต์องคพ์ ระโท
อรหันต์องค์นี้ บางท่ีเรียกว่า โซปินโท้ ได้แก่ พระสุปิณฑะ มี

พระอรหันต์ ๖๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิต ณ อุตรกุรุทวีป ทางทิศเหนือ
มีประวัติเล่าว่า ท่านเคยเป็นพราหมณ์ชาวเมืองกุสินาราชื่อสุภัทร เม่ือ
พระพุทธเจ้าประชวรหนักจวนจะเสด็จดับขันธ์ สุภัทรมีอายุ ๑๒๐ ปี ได้
สดับพระเทศนาบรรลุอรหัตตผล โดยเหตุไม่ต้องการเห็นพระพุทธเจ้า
ปรินิพพาน พระสุภัทรจึงชิงเข้านิพพานเสียก่อน(อรหันต์องค์ พระโท
อรหันตอ์ งคน์ ้นี งั่ ชนั เข่าซ้าย ยกแขนซา้ ย งอข้อศอกยันขาซา้ ย งอนิว้ มอื ท่ายอนหู)
๕. อรหันต์องค์ ยาสะ

อรหันต์องค์ยาสะโล บางท่เี รยี กวา่ เนกกอื โล ได้แก่ พระนกลุ มี
อรหนั ต์ ๘๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถติ ณ ชมพทู วีป ทางทศิ ใต้ ไม่นยิ มเทศ
โปรดใคร เพราะมหาสาวกองคอ์ น่ื ๆ กเ็ ทศนาได้ดเี ยย่ี มแล้ว ถือธุดงควตั ร
ประเภทวเิ วก ไมพ่ อใจการอยู่ระคนกับหมู่คณะ และไดร้ บั เอตทัคคะว่า
เปน็ ผมู้ ีโรคาพาธน้อย มีอายยุ นื ยาว ๑๖๐ ปี เพราะชาตกิ อ่ นท่านเป็นผู้ใจ
บุญ มีเมตตา เคยถวายเภสชั แกภ่ ิกษุอาพาธด้วยโรคปวดหัว จึงเปน็ ผล
บุญให้ทา่ นอายุยืนยาว (อรหันต์องค์ ยาสะโล อรหนั ต์องค์นนี้ ัง่ ค้ขู าซา้ ย หย่อนเท้าขวา ยกแขนขวาขน้ึ ชู
เฉยี บเหนอื ศรี ษะ แขนซ้ายเหยียดชีเ้ ฉียดลง)

๕๑

๖. อรหนั ตอ์ งค์ ปะโตโล
อรหันต์องค์น้ีบางที่เรียกว่า โปโตโล ได้แก่ ท่านภัทระ บางที

เรียกช่ือว่า ตามพภัทร กล่าวกันว่าเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า มี
เอตทัคคะว่าเป็นผู้มีสกุลสูง ทางฝ่ายจีนยกย่องว่ามีเทศนาโวหารดี
สามารถอธบิ ายอรรถธรรมอันลกึ ซึง้ ให้ผฟู้ งั เข้าใจได้ง่าย และชัดเจน
(อรหันต์องค์ ปะโตโล อรหันตอ์ งคน์ ี้อยใู่ นทา่ นง่ั ประนมมอื )

๗. อรหันต์องค์คักกะขา
อรหันต์คักกะขา บางที่เรียก เกียลีเกีย ได้แก่ ท่านกาลิก มีพระ

อรหันต์ ๑,๐๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ สังฆาฎทวีป เป็นพระ
อรหันต์ผู้มสี าวกมาก และเปน็ ทน่ี ับถอื ของพระเจ้าพมิ พิ-สาร

(อรหัตน์องค์คักกะขา อรหันต์องค์น้ีอยู่ในท่าน่ังห้อยเท้า เฉพาะมือ
ขวาถอื ฉาบ มอื ซา้ ยกำวางบนตกั )

๘. อรหันตอ์ งค์ วัดจารย์โต
อรหันต์วัดจารย์โต บางท่ีเรียกว่า ฮวดซือล่อฮุดโตโล้ ได้แก่

พระวัชรบุตร มีอรหันต์ ๑,๑๐๐ องค์ เปน็ บรวิ าร สถิตอยู่ ณ บรรณทวีป
พระอรหันต์รูปนี้ถอื ไม้ขักขระ ซ่ึงถือเป็นไม้โปรดสัตว์และเปน็ ของจำเป็น
สำหรับมหายาน สำหรับพระธุดงค์เพ่ือส่ันให้เกิดเสียงดังสัตว์จะได้หนีไป
มิต้องถูกเหยียบย่ำทำลาย กรณีเข้าไปในบ้านให้สั่นให้เกิดเสียงแทนวจี
วญิ ญัติ คอื การกล่าววาจา (อรหนั ต์ องค์ วัดจารย์โต อรหันต์องค์น้อี ยใู่ น
ทา่ นัง่ ไขวห่ ้าง ถอื ไม้ขกั ขระ ซ่ึงเปน็ บริขารอย่างหนึ่งสำหรบั ผ้ทู จ่ี ะอุปสมบทในฝา่ ยมหายาน)
๙. อรหันต์องคใ์ ดปกั ขา

อรหันต์ใดปักขา บางที่เรียกว่า ซูปุดเกีย ได้แก่ท่านสุปาก มี
อรหันต์ ๑,๙๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ กลางเขาคันธมาทน์ ตาม
ประวัติกล่าวว่ามารดาท่านตายตั้งแต่ท่านอยู่ในครรภ์ เม่ือนำไปเผาไฟก็
ไม่ไหม้ ผู้คนจึงพากันทิ้งหนีไป แล้วท่านก็คลอดออกมา คนยามมาพบ
เข้าจึงนำไปเลี้ยงคู่กับบุตรของตน เมื่ออายุ ๗ ขวบ ได้ฟังธรรมก็เกิด
เล่ือมใส จึงขออนญุ าตบิดาเลี้ยงออกบวช ภายหลังไดบ้ รรลุอรหันต์
อรหนั ต์ ปกั ขา (อรหันต์องคน์ ้สี วมประคำและมีขนคิว้ ยาว)

๕๒

๑๐. อรหนั ตอ์ งคป์ ตั ยะ
อรหันต์ปัตยะ บางท่ีเรียก ปันโตเกีย ได้แก่ ท่านปันถก (หรือ

มหาปันถก) มีอรหันต์ ๑,๓๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้น
ตรัยตรึงศ์ ท่านเกิดระหว่างทางจึงได้ช่ืออย่างนั้น ท่านได้รับเอตทัคคะ
ว่า พ้นจากสังสารวัฏด้วยปัญญา มีความเฉลียวฉลาดในการแก้ข้อ
ปัญหาให้แจ่มแจ้ง และมีอิทธิฤทธ์ิด้วยประการต่าง ๆ เช่น จำแลงกาย
เข้าไปในของแข็งได้ พุ่งตัวไปในอากาศ นิรมิตรไฟและน้ำให้เกิดข้ึนได้
และสามารถย่นย่อกายให้เลก็ ลงจนมองไม่เห็นไดด้ ว้ ยท่านมอี ิทธิฤทธม์ิ ากดังนี้ จึงไดร้ บั มอบหมายจากพระ
พทุ ธองคใ์ หไ้ ปปราบและเทศนาโปรดพญานาคท่ีดุรา้ ยชือ่ อัปลาล ให้ละพยศได้
(อรหันต์องคป์ ตั ยะ อรหนั ต์องค์นี้น่ังอยู่ใกล้สิงห์ มอื ขวายกงอ เหยียดระดบั ข้อศอก งุม้ ฝ่ามือลง)

๑๑. อรหันต์องค์ลาวาโล
อรหันต์องค์นี้ บางท่ีเรียกว่า ล่อเฮาลี้ ได้แก่ พระราหุล มี

อรหันต์ ๑,๑๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ ปริยังคุทวีป ท่านได้รับ
เอตทัคคะวา่ เปน็ ผศู้ กึ ษาพระธรรมวินัย และเครง่ ครดั ต่อการปฏิบัติ
พระราหุลเป็นคณาจารย์แห่งไวภาษิก และเป็นที่เคารพ บูชาแห่งบรรดา
สามเณรไดร้ บั ยกยอ่ งว่าเปน็ สามเณรองค์แรกใน

พระพุทธศาสนา และตามทรรศนะมหายานกล่าวว่า ราหุลจะ
เกดิ เป็นเชียงจ๊ือ คอื เชษฐโอรสของพระพุทธเจ้าภายภาคหนา้ โดยเฉพาะเปน็ โอรสของพระอานนท์ทีจ่ ะ
มาตรัสรู้นามว่า “สาครวรธรพุทธวิ ิกกรฑี ติ าพชิ ญ์”
(อรหนั ต์องค์ ลาวาโล อรหนั ตอ์ งคน์ ม้ี ถี ะ หรอื พระเจดยี ์เปน็ สญั ลกั ษณ์)

๑๒. อรหนั ตอ์ งค์ลาขานะ
อรหันต์ลาขานะ บางท่ีเรียกว่า นาเกียจ้ีนา ได้แก่พระนาคเสน

มีพระอรหันต์ ๑,๒๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ เขาปาณฑพใน
แคว้นมคธ ได้รับยกย่องว่ามีความสามารถในการอธิบายข้อธรรมอันลุ่ม
ลึก น่าจะเป็นองค์เดียวกับพระนาคเสน ผู้ตอบโต้ปัญหาธรรมกับพระ
เจ้ามิลินท์ บางแห่งเรียกส้ัน ๆ ว่า เสน เป็นผู้ตอบโต้ปริศนาธรรมกับ
พระเจ้านัมเต้ หรือนันทะ ได้อย่างยอดเยี่ยม(อรหันต์องค์ ลาขานะ
อรหันตอ์ งคน์ ี้แหงนหน้าเอียงคอ มอื ขวาเท้าคาง น่ังไขวห่ า้ ง )

๕๓

๑๓. อรหันตอ์ งคอ์ คิ ะโต
อรหันต์องค์น้ี บางท่ีเรียกว่า ยินกิดโท้ ได้แก่ พระอิงคท

(ฐานองค์พระลำดับท่ี ๓) มีอรหันต์ ๑,๓๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิต
อยู่ ณ ภูเขาไวบูลยปารศวะ พระอรหันต์องค์นี้ยังไม่สามารถสรุป
ประวัติอย่างบ่งชดั ได้ว่าเป็นรูปใดแน่ระหว่าง พระองั คช ผมู้ ีกล่ินกาย
หอม หรอื พระอังคลิ ผเู้ พยี บพรอ้ มด้วยสรรพส่ิง
(อรหันตอ์ งค์ อิคะโต อรหันต์องคน์ ้ีถือบาตรหรอื ยา่ ม มอื ขวาลว้ งยา่ ม)

๑๔. อรหันต์องคว์ ัดนะจุ
อรหันต์องค์น้ี บางท่ีเรียกว่า ฮวดล่อโพซือ ได้แก่ พระวัน

วาสี มีพระอรหันต์ ๑,๔๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ กลางเขา
วตั สะ มอี ุปนิสัยชอบอยปู่ า่
(อรหันตอ์ งคว์ ดั นะจุ อรหันตอ์ งคน์ ี้นง่ั ชันเข่าซา้ ย มอื ซ้ายถือสมดุ )

๑๕. อรหนั ต์อะสะโตตวั
อรหันต์องค์น้ี บางที่เรียกว่า โอชิโต ได้แก่ ท่านอชิต มี

อรหันต์ ๑,๕๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ กลางเขาคิชฌกูฎ
เน่ืองท่านอชิตน้ีไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าคือใคร เพราะคำว่า
อชิต มีปรากฏหลายที่ เช่น อชิต พระนามของพระศรีอารยะ หรื
ออชิตภิกษุหนุ่มท่ีปรากฏชื่อในทุติยสังคายนา หรืออสิตฤษีผู้
พยากรณ์พุทธลักษณะของสิทธารถะ ซึ่งไม่น่าจะเป็นท่านเหล่านี้
แต่อาจจะเป็นอชติ เถระ บุตรของพราหมณ์ ซ่งึ ปรากฏในเถรคาถา
(อรหนั ต์องค์ อะสะโตตวั พระอรหันต์องค์น้มี ีรูปหน้าคนท่อี กเปน็ สญั ลกั ษณ์)

๕๔

๑๖. อรหันตอ์ งคก์ ุจะปักยะขะ
อรหันต์องค์นี้บางท่ีเรยี กว่า จเู ต้ ปันโตเกีย ได้แก่ท่านจฬู ปัน

ถก มีอรหันต์ ๑,๖๐๐ องค์ เป็นบริวาร สถิตอยู่ ณ กลางเขาเนมินธร
ท่านเป็นน้องชายของท่านมหาปันถก เม่ือแรกจะบวชมีปัญญาทึบ
ท่องจำอะไรไม่ได้ พี่ชายจึงขับไล่ไม่ยอมให้บวช แต่ด้วยพุทธกุศโล
บาย จงึ ได้สำเร็จอรหนั ต์ ได้รับเอตทัคคะวา่ เชยี่ วชาญในมโนมยิทธิ
เนรมิตกายต่าง ๆ ได้รวดเร็วทันใจ เป็นเย่ียมในบรรดาสาวกที่พ้น
สังสารวัฏด้วยใจ (เจโตวิวัฏกสุ ละ) (อรหนั ต์องคก์ ุจะปกั ขะยะ อรหันต์
องคน์ ้ีมือขวายกข้ึนเสมอออกคลา้ ยถอื ของ มือซ้ายประคองนกไว้)

๑๗. อรหันต์องคค์ ลี ี
อรหันต์องค์น้ี บางที่เรียกว่า เค่งอวิ๋ ได้แก่ ท่านนนทิมิตร

ทา่ นเป็นอรหันตอ์ งคใ์ หมท่ ่เี พ่ิมเติมในอรหันต์ ๑๖ เมอื่ ๘๐๐ ปี หลัง
พุทธปรินิพพานทีเ่ กาะลงั กา
(อรหันต์องค์คีลี อรหันต์องค์น้ีอยู่ในท่าน่ังชูมือขวาเสมอศีรษะ ถือ
ลูกแกว้ มือซา้ ยกำมงั กร)

๑๘. อรหนั ต์องค์ปกั ถาโล
อรหันต์องค์นี้ บางที่เรียกว่า ปินโท่ล่อ ได้แก่ ปิณโฑล

ประวัติของท่านไม่มีปรากฏชัดเพราะเป็นอรหันต์ท่ีเพ่ิมเติมมาในยุค
หลังคู่กับท่านนนทิมิตร บางทีอาจจะเป็นรูปของพระเจ้าเหลียงบูเต้
ผู้เป็นอัครศาสนูปถัมภก หรืออาจจะเป็นท่านกุมารชีพ ภิกษุชาว
อินเดียผู้ถูกจับเป็นเชลยศึกไปจากธิเบต เมื่อถึงเมืองจีนก็มุ่งแปล
คัมภีร์ต่าง ๆ และได้รับการยอมรับว่าแปลได้ถูกต้องชัดเจนท่ีสุด แต่
นักปราชญ์จีนบางคนเห็นว่า อรหันต์องค์น้ีน่าจะเป็นพระมหากา
ศยป ซง่ึ ได้รับมอบหมายใหส้ บื ต่อพระศาสนา แต่ไมม่ ีชอื่ อยู่ด้วย จึงไดเ้ ติมเขา้ ไปเปน็ องคท์ ี่ ๑๘
(อรหนั ต์องค์ปักถาโล อรหนั ตอ์ งค์นช้ี ูมอื ขวาถือห่วงชชู นึ้ ขเ่ี สอื )

๕๕

บทสรุป
พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ต่อจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโค

ดม ซึ่งเป็นองค์ท่ี ๕ ตามคตพิ ุทธศาสนาเถรวาท และชาวพุทธเชื่อว่าใครก็ตามท่ีได้เกิดในสมัยของพระศรี
อาริยเมตไตรยแล้วจะเป็นบคุ คลทห่ี าทุกขเ์ ข็ญไม่ได้ ชาวไทยบางพวกเรยี กวา่ พระศรีอารยิ ์

ส่วนพระอรหันต์ ๑๘ องค์ นั้นตามความเชื่อเดิม มีเพียง ๑๖ องค์เท่านั้น และมาเพ่ิมเติม
ภายหลัง พระอรหันต์ หมายถึง ผู้ควรบูชา ผู้กำจัดอริ ผู้สิ้นชาติ ผู้กำจัดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหา ท้ัง ๑๘ องค์
ล้วนมีเอตทัคคะในแต่ละทางของตนเอง ๑๘ อรหันต์เป็นความเชื่อมาจากทางประเทศจีนตั้งแต่อดีตมา
จนถึงปจั จบุ ัน วดั ญวนและวดั จีนส่วนใหญ่จะมี ๑๘ อรหนั ตไ์ วเ้ ปน็ ท่สี ักการะของพุทธศาสนิกชนทว่ั ๆ ไป

กจิ กรรมเสรมิ ความรู้
๑ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ๕ กลุ่ม ให้แต่ละกล่มุ ศึกษาเรื่อง ๑๘ อรหันต์แล้วให้แต่ละกลุ่มจดั อภิปราย
หน้าช้ันเรียนให้เพือ่ นร่วมรับฟงั แล้วสรุปเป็นรายงานส่งครู
๒ให้นักเรียนออกไปศึกษาเรื่องราวของพระศรีอาริยเมตไตรย และออกมาสรุปให้เพื่อนฟังและ
สรุปสง่ ครปู ระจำชนั้ ดว้ ย

กิจกรรมวดั ผล
๑.พระศรอี ารยิ เมตไตรย มปี ระวตั คิ วามเป็นมาอย่างไร ตามคติความเช่อื ชาวไทย ?
๒. ๑๘ หนั ต์มใี ครบ้าง ? อธิบายมาใหเ้ ขา้ ใจ?
๓.รปู ใดเป็นผูท้ ตี่ อ้ งอยู่สืบทอดจนกว่าจะมีพระศรอี ารยิ เมตไตรยมาประกาศพระศาสนา?
๔.ใหน้ ักเรียน บอกถึงคณุ ลักษณะพิเศษของพระอรหนั ตม์ า อย่างน้อย ๑๐ องค์?
๕.พระอรหันตท์ ้งั ๑๘ พระองค์ มีสัตวเ์ คยี งครู่ วมท้ังหมดกี่ตวั ? ชอื่ อะไรบา้ ง?

๕๖

บรรณานกุ รม
แก้วชาย ธรรมาชัย (แปล). กำเนิดพระโพธิสัตว์กวนอิม. พิมพ์คร้ังท่ี ๘. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ตงหัว

,_______.
คณะสงฆ์จนี นิกาย. พระพทุ ธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ :____________, ๒๕๓๑.
คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย. ท่ีระลึกงานทำบุญอายุและสมโภชน์สัญญาบัตรพัดยศ พระมหา

คณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (ก๊ินเจี๊ยวมหาเถระ). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๔
คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย. อนุสรณ์แด่ พระคณานัมธรรมสมาธิวัตร (ย๊ากเหมิงมหาเถระ).
กรงุ เทพฯ : บริษทั ประชาชนจำกดั , ๒๕๓๗.
คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย. งานฉลองสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระคณานัมสมณา
จารย์ (โผเรียน เปา้ ). กรุงเทพฯ : ____________, ๒๕๓๕.
จำนงค์ ทองประเสริฐ. ประวตั ิศาสตรพ์ ุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์. กรุงเทพฯ : องค์การคา้ ของคุรสุ ภา,
๒๕๓๔
ดร.สมชัย รักวิจิตร. กวนอิมโปรดสัตว์. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั คอมแพคท์พริน้ ท์ จำกดั , ๒๕๔๐.
ธีรยุทธ สนุ ทรา, รศ.พุทธศาสนามหายานในประเทศไทย จีนนิกายและอนมั นิกาย. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐
ประกายธรรม. เจา้ แมก่ วนอิม เทพธดิ าแห่งความเมตตา. กรงุ เทพฯ : ธรรมสภา, ____________.
ผุสดี จันทวิมล, เวียดนามในเมืองไทย (The Vietnamese in Thailand). กรุงเทพฯ โรงพิมพ์
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ : ๒๕๔๑.
พระครูคณานัมสมณาจารย์ (เหมิกโงน). พระภิกษุปาฏิโมกข์ ฝ่ายอนัมนิกาย (ตี๊แควบาเด้หมก). พระ
นคร : โรงพมิ พ์วฒั นธรรม, ๒๔๙๗.
พระครสู ังฆกจิ วสิ ทุ ธิ.์ มนต์พธิ ี. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พเ์ ลีย่ งเซยี ง, ๒๕๓๔
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต). พระพุทธศาสนาในอาเซยี . กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, ๒๕๔๐
พระมหาอุทยั ธมมฺ สาโร. พระพทุ ธศาสนาและโบราณคดใี นทวปี เอเชีย. กรงุ เทพฯ : เฟ่ืองอกั ษร, ๒๕๑๖
พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจี่ยว). สารัตถธรรมมหายาน. กรุงเทพฯ : วัดมังกรกมลาวาส,
๒๕๑๓.
วัดกุศลสมาคร. เอกสาร พิธีตรายตัง ในพิธีทิ้งกระจาดงานประจำปี. กรุงเทพฯ ____________,
๒๕๔๑.
วัดถาวรวราราม. ประวัตศิ าสนพิธพี ทุ ธศาสนามหายาน. กาญจนบุรี : ____________, ๒๕๒๔.

๕๗

วัดสุนทรประดิษฐ์. ที่ระลึกพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตรอุโบสถ. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดจิรรัชการ
พิมพ์, ๒๕๔๐.

วดั อนมั นกิ ายาราม. ฉลองอโุ บสถและพระพุทธปฏิมา. กรุงเทพฯ : ____________, ๒๕๑๑.
วัดอุภัยราชบำรุง. อุภัยฉลอง. กรุงเทพฯ : บริษทั ประชาชนจำกัด, ๒๕๔๓.
สมภาร พรมทา. พุทธศาสนามหายาน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.
สามเณรคงศักด์ ขันธวิชัย. มนต์เทศกาลกินเจอนัมนิกาย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาจุฬาลงกรณราช

วิทยาลยั , ๒๕๔๑.
ส. กตัญญูภกิ ข.ุ อนุสรณง์ านบำเพญ็ กุศล หลวงพ่อโฝ. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ประชาชนจำกัด, ๒๕๓๓.
ส. ศวิ รกั ษ์. ของดีจากธเิ บต. กรุงเทพฯ : บรษิ ัทส่องสยามจำกัด, ๒๕๔๔.
องปลัดสิทธิศักดิ์ เถี่ยนยา. เอกสาร คัมภีร์อธิษฐานเข้าพรรษา อนัมนิกาย. วัดถ้ำเขาน้อย กาญจนบุรี,

๒๕๔๓.
องสรภาณมธุรส (บ๋าวเอิง). อมตพจน์. พระนคร : โรงพมิ พร์ ุ่งเรืองรตั น,์ ๒๕๐๕.
องสรพจนสุนทร (เหวเ่ จือ๋ ง). อนุสรณ์ในงานพิธีเคารพบรู พาจารย์ (ก่ีโต๋) วัดถาวรวราราม. กรุงเทพฯ :

บรษิ ทั ประชาชนจำกดั , ๒๕๑๕.
องใบฎีกาปรีชา เถ่ยี นกือ และ นายประชา กลุ สุวรรณ์. พระราชทานนามวัดถาวรวราราม ฉลองสมโภช

๑๐๐ ปี. กาญจนบุรี : โรงพมิ พพ์ รสวรรคก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๓๙.
อนุสรณ์ฉลองสมณศักด์ิเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายและพระเถระจีนนิกาย. ประวัติแนวความคิด

มหายาน:___________ , ๒๕๓๑.
อภิชัย โพธ์ิประสิทธิ์ศาสต์. พระพุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย,

๒๕๓๙.


Click to View FlipBook Version