The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Dr.Kusol Bogboon, 2020-07-31 01:10:20

อนัมศึกษา1 ebook

อนัมศึกษา1 ebook


หนังสอื เรยี น

อนัมศกึ ษา ส.๒๑๑๐๑

โรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ ๑๔

ท่ปี รกึ ษา
องพจนกรโกศล ดร. ประธานกลุ่มที่ ๑๔
พระครูนันทกติ ติคณุ ผอู้ ำนวยการ
องปลดั ธรรมปญั ญาธวิ ัตร รองผู้อำนวยกสน

ผู้จดั ทำ/ออกแบบปก/รูปเล่ม/E-BOOK
ดร.กศุ ล บอกบญุ

โรงเรียนกศุ ลสมาครวทิ ยาลยั

ลิขสทิ ธ์ิ
โรงเรยี นกศุ ลสมาครวทิ ยาลัย ถนนราชวงศ์ เขตสมั พันธวงศ์ กรงุ เทพมหานคร ๑๐๑๐๐



คำนำ

หนังสือเรียน อนัมศึกษา ๑ เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทาง การจัดการเรียนการสอน
สำหรับครูและนักเรยี น ถือเป็นแหล่งข้อมลู ในการศึกษาหาความรู้ในเรื่องของอนัมนิกาย หรือกลุ่ม
ชนที่สนใจศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจและเป็นประโยชน์กับนักเรียนนักศึกษาที่กำลังหาข้อมูล
หนังสือเล่มนี้เป้าหมายให้ครูและนักเรียนใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนรู้พร้อมกับการพัฒนาของ
ชมุ ชนชาวเวียดนาม ไม่ว่าจะเปน็ ประเพณี พิธีกรรม ถอื เปน็ วัฒนธรรมท่ีเปน็ เอกลกั ษณใ์ นประเทศ
ไทย และเสริมสร้างพัฒนาการนักเรียนให้การเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรที่กำหนด ตลอดจน
การพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เพื่อสามารถเข้าใจในอนัมนิกายและการอยู่
รว่ มกันกับสังคมไทยไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียน อนัมศึกษาเล่มนี้ จะช่วยให้นักเรียนได้รับการ
พัฒนาความรู้ ความสามารถ ด้านอนัมนิกายในเนื้อหาสาระแต่ละเรื่องแต่ละหัวข้อที่สำคัญ ซึ่ง
องค์ประกอบชองหนังสอื เลม่ นี้จะชว่ ยส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นเกดิ การเรยี นร้อู ยา่ งครบถ้วนตามหลกั สูตร

ดร.กศุ ล บอกบญุ
อาจารย์ประจำรายวิชาอนัมศกึ ษา



คำชแี้ จง

หนังสือเรียน อนัมศึกษา๑ (ส.๒๑๑๐๑) เล่มนี้ ได้ออกแบบสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด
องค์ความรู้ แนวทางการจัดการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อบูรณการแนวคิด
ทางการเรยี นร้อู ยา่ งหลากหลาย ประกอบด้วย

๑.ตวั ชีว้ ดั ช้ันปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนานักเรียน ซง่ึ สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้มี
รหัสของมาตรฐานการเรียนรู้ เช่น ส.๒๑๑๐๑ รหัสแต่ละตัวมีความหมายดังนี้ (ส.) หมายถึงกลุ่ม
สาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษาศาสนาและวฒั นธรรม

๒.สาระการเรยี นรู้ เป็นการจดั ระเบยี บและรวบรวมเนอื้ หาแต่ละหน่วยการเรียนรู้
๓.ประโยชน์จากการเรียนรู้ นำเสนอไว้เพอ่ื กระตุ้นให้นกั เรียนนำความรูแ้ ละทักษะจากการ
เรียนไปใช้
๔.คำถามนำ เป็นคำถามหรือสถานการณ์เพื่อกระตุ้นใหน้ ักเรียนเกิดความสนใจที่จะค้นหา
คำตอบ
๕.เน้ือหา แบง่ เป็นหวั ข้อ เรือ่ ง บท และหวั ขอ้ ยอ่ ย
๖.บทสรปุ เปน็ การทบทวนความรู้ แผนทีค่ วามคดิ หลงั จากการเรยี นรู้ทุกครั้ง
๗.กิจกรรมเสนอแนะ เป็นกิจกรรมบูรณการทักษะที่รวมหลักการและความคิดรวมยอด
เรื่องตา่ งๆ ในแต่ละบทจนนำไปสู่การลงมือปฏิบัติ
๘.คำถามทบทวน เป็นคำถามแบบอัตนัยที่มุ่งถามเพื่อทบทวนผลการเรียนรู้
๙.ท้ายเล่ม ประกอบไปด้วย บรรณานกุ รม เอกสาร หนงั สอื ทีใ่ ช้ค้นคว้าอา้ งองิ

คณะผู้จดั ทำ

จ หนา้

สารบญั ค

เรอ่ื ง จ

คำนำ ๑๐
คำชี้แจง ๒๓
สารบัญ ๓๖
บทท่ี ๑ ประวัติความเปน็ มาของอนมั นิกายในประเทศไทย ๔๗
บทท่ี ๒ พระสงฆ์อนมั นกิ ายในประเทศไทย ๕๔
บทที่ ๓ หลักธรรมพระพุทธศาสนามหายาน อนัมนิกาย
บทท่ี ๔ ศาสนพิธสี มั พันธ์กับสงั คมไทย ๖๐
บทที่ ๕ บทสวดมสต์อนมั นกิ าย
บทที่ ๖ การสวดมนต์ทำนองเสนาะ(มนต์ต๊าง)

บรรณานุกรม



แผนภาพที่ ๑ รปู แบบการปกครองคณะสงฆ์อนมั นกิ ายในประเทศไทย

บทที่ ๑
ประวตั คิ วามเปน็ มาของชาวอนมั ในประเทศไทย

จดุ ประสงคป์ ลายทาง
นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถอธิบาย และบอกประวัติความเป็นมาของชาวไทย กับชาว

ญวน (เวียดนาม) ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร พร้อมบ่งช้ีสาเหตุของการเข้ามาอาศัยในประเทศไทยได้
และสรุปสภาพของสังคมไทยทช่ี าวเวยี ดนามเข้ามาอาศยั ในกรงุ ศรอี ยุธยาได้

จดุ ประสงคน์ ำทาง
๑. นกั เรยี นรู้และเข้าใจประวตั คิ วามเปน็ มาของชาวไทยกับชาวญวนได้เป็นอยา่ งดี
๒. นักเรยี นสามารถเลา่ ประวัติความสัมพนั ธภาพระหวา่ งไทยกับญวนได้
๓. นักเรียนสามารถบ่งชี้ถึงสาเหตุของชาวญวนท่ีเข้ามาอาศัยในประเทศไทยในสมัยกรุงศรี
อยธุ ยาไดถ้ ูกตอ้ ง
๔. นกั เรยี นสรปุ สภาพของสังคมไทยในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาได้

ความสัมพนั ธภาพระหว่างไทยกับเวียดนาม
ความสมั พนั ธภาพระหวา่ งไทยกับเวียดนาม ในบทนจี้ ะแบ่งศกึ ษา เปน็ ๓ ยุค คือ

๑. ยุคพุทธกาล– ก่อนสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
๒. ยคุ ก่อนกรงุ ศรีอยุธยา
๓. ยคุ กรุงศรอี ยธุ ยา
ยุคพทุ ธกาล-ก่อนถงึ สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา

ถ้าศึกษาชาวไทยกับชาวญวน (เวียดนาม) ให้ลึกลงไปนั้นทั้งสองฝ่ายน่าจะสืบเชื้อสายมาจากที่
เดียวกันหรือเป็นคนเชื้อสายเดียวกนั ด้วยซำ้ ไป แตแ่ ยกกนั ไปตัง้ ถ่นิ ฐานในท่ีตา่ งกนั เทา่ นน้ั เอง เน่อื งจากว่า
ในอดีตไทย (ไต) ถูกจีนรุกรานจึงต้องถอยร่นลงมาทางใต้ และคนไทยพวกหนึ่งได้เข้าไปต้ังถ่ินฐานอยู่ท่ี
ประเทศเวยี ดนาม (ปัจจบุ ัน) และอีกพวกหน่ึงไดม้ าตั้งถิน่ ฐานอย่แู ถบแหลมทอง (สวุ รรณภมู ิ) น่ันเอง

เหตุนี้เราจึงต้องรู้ก่อนว่าถ่ินฐานหรือภูมิลำเนาเดิมของชาวไทย (ไต) ตั้งอยู่ท่ีตรงส่วนไหนของ
พื้นผิวโลก หรือมีความเป็นมาอย่างไรจึงมีความสัมพันธภาพกัน ดังนั้นจึงได้มีการสันนิษฐานกันว่า ชาว
ไทย (ไต) และชาวญวนนั้นเป็นพวกเดียวกัน ต้ังอยู่ทางเหนือของลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง เนื่องจากถูกกดขี่
เบียดเบียนอย่างไม่สน้ิ สุดของจีน คนไทยจึงได้อพยพลงมาทางใต้บ้าง ทางตะวันออกเฉียงใตบ้ ้าง และทาง
ตะวันตกเฉียงใต้บ้าง ทั้งได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางด้วยการปราบปราม “อาณาจักรยูน



นาน” “แคว้นฉาน” “ดินแดนทางเหนือของพม่า” “อัสสัมกับมณี -ปุระ” ส่วน “ทางตะวันออก” และ
“ตะวันออกเฉียงใต้” ได้แผ่ขยายไปใน “มณฑลไกวเจา” “กวาง-สี” “กวางตุ้ง” และ “หมู่เกาะไฮนาน”
ในที่สุดก็ได้เข้าครอบครอง “ตังเก๋ียเหนือ” “ลาว” และ “สุวรรณภูมิ” ดินแดนอันเป็นท่ีต้ังของประเทศ
ไทย ในปจั จบุ นั

ชาวไทยและชาวญวน (เวยี ดนาม) จึงมีความเกี่ยวข้องกนั มาตั้งแต่อดตี คร้งั พทุ ธกาลเลย และถอื ได้
ว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่แยกกันเป็นกลุ่มไปค้นหาแหล่งตั้งถิ่นฐานของตนเองและเรียกตนเองไปต่าง ๆ
ออกไป เช่น ไทยเหนือ ไทยลือ้ (แควน้ สบิ สองปนั นา) ไทยน้ำ ไทยลาย ไทยแกว ไทยอาหม ไทยมอญ ไทย
พม่า ไทยใหญ่ (แคว้นฉาน) ไทยนุง ไทยโท้ ไทยยาง ไทยเชียง ไทยลานนา ไทยเสียม (สยาม) (ประเทศ
ไทยปจั จุบนั ) ไทยมลายู เป็นต้น

หนังสือพงศาวดารชาติไทย ของพระบริหารเทพธานี ได้กล่าวถึงความเป็นมาของชาวเวียดนาม
(ญวน) หรอื ท่เี รียกวา่ “ไทยแกว” ไว้อย่างกะทัดรัดว่า

“ญวนเป็นคนไทย พวกหนึ่ง ซ่ึงอพยพลงมาจากถ่ินเดิมในประเทศจีน แล้วลงมาตั้งภูมิลำเนาใน
ตงั เกี๋ยมาราวต้น ๆ พุทธกาล ภายหลังเรียกว่า แกว หรือ ไทยแกว หรือ ญวนแกว ราชธานีของพวกญวน
ตง้ั อยู่ที่ “กรงุ ลองเบียน” หรอื “ฮาโหน่ย” (ฮานอย) เรียกเมืองนี้ในตำนานทางไทยว่า “เมืองจุฬณีนคร”
ความสัมพันธ์ติดต่อของเองจุฬณีนครเก่ียวกับข้องอยู่กับ “เมืองมรกุ ขนคร” ราชธานีของอาณาจักรโคตร
บูรในตอนต้น ๆ มาก จนเห็นได้ว่าเมืองท้ังสองนี้พลเมืองเป็นพวกไทยชาติเดียวกัน ไทยพวกนี้ คือ พวก
กาวลาว และ อ้ายลาว พวกอ้ายลาวน้ันเป็นพวกเดียวกับพวกที่ลงมาอยู่ในเชียงลาว และในอาณาจักร
โคตรบรู กบั ตามลุม่ แม่น้ำโขง”

ด้วยข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า ชาวไทยและชาวญวน (เวียดนาม) มีสัมพันธภาพในลักษณะการ
เคยเป็นพวกเดยี วกนั และอพยพไปตามพวกพอ้ งเพอ่ื ต้ังภมู ิลำเนาของตน

ยุคกอ่ นสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา
ความสัมพันธภาพระหว่างไทยกับเวียดนามน้ัน ส่วนใหญ่ในอดีตจะเป็นลักษณะการทำสงคราม

ขยายดินแดนของตัวเองมากกว่าจะเป็นการสัมพันธ์ทางการค้า หรือการทูต ซ่ึงในยุคก่อนสมัยกรุงศรี
อยธุ ยาจะเป็นเรือ่ งที่อยูใ่ นช่วงอาณาจกั รไทยเดิม เปน็ อาณาจกั รท่ตี งั้ อย่ทู างตอนใตข้ องจนี ในสมัยน้นั

ถ้าพูดตามหลักของความเป็นจริงแล้ว ชาวพื้นเมืองเดิมของเวียดนามก็คือคนไทยนั่นเอง ดังมี
ขอ้ ความใน “หนงั สือหลักไทย” ของ “ขุนวจิ ติ รมาตรา” กล่าวไวว้ า่

“ในตอนต้นพุทธศก ระหว่างศตวรรษที่ ๑ ถึงท่ี ๕ น้ี ชนชาติไทยพวกหนึ่งได้กระจายไปทาง
ตะวันตก ไปต้ังภูมิลำเนาอยู่ทางลุ่มน้ำเอราวดี และลุ่มน้ำสาละวิน (แม่น้ำคงคา) ไทยพวกนี้คือ ไทยใหญ่



หรือซ่ึงบางทีเรียกว่า เงี้ยว อีกพวกหน่ึงลงมาอยู่ในแคว้นตังเกี๋ย ไทยพวกนี้คือ พวก แกว (คำว่า “แกว”
เพีย้ นมาจากคำวา่ “เงี้ยว”) หรอื ซึง่ บางทีเราเรยี กว่า ญวน”

ตอนปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ พระเจ้าโถ่ กษัตริย์ไทยได้เป็นผู้สร้างประเทศนั่นเหยอะ(แต้จ๋ิว
เรยี กว่า “น่ำหวัด” ชาวญวนเรียก “นามเวยี ด” และไทยเรยี ก “เวียดนาม” ในทีส่ ุด)

ตอนต้นพุทธศตวรรษท่ี ๕ คือใน พ.ศ. ๔๓๒ พระเจ้าบู่ต่ี (บางตำราเรียก วู่ตี่) ของจีนยกกองทัพ
มาตเี วียดนามใต้ แตช่ าวเวียดนามยงั คงรักษาวัฒนธรรมของชาติตนไว้จงึ ไม่ถกู กลืนชาตแิ มจ้ ะต้องตกอยใู่ ต้
อำนาจการปกครองของจีนต่อเน่ืองกันมาถึงพันปีเศษ จริงอยู่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นเวียดนา ม
สามารถลุกข้ึนต่อสเู้ ปน็ อสิ ระได้ แตก่ เ็ พยี งช่ัวระยะเวลาอันสัน้ และแลว้ จีนกย็ กมาตคี ืนได้อีก

อย่างไรก็ดีในระยะเวลาพันปีเศษท่ีเวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนนั้น ชาติไทยสมัย
อาณาจักรน่านเจา้ ก็สามารถรบพงุ่ จนชนะแยง่ ชงิ ดนิ แดนเวียดนามไปจากจนี ได้

กษัตริย์ไทยผู้สามารถในการสงครามก็คือ ขุนบรม (พีล่อโกะ๊ ) พระองค์ ได้ทรงปกครองอาณาจักร
นา่ นเจา้ เม่ือ พ.ศ. ๑๒๗๒ แลว้ ทรงฟนื้ ฟอู าณาจักรไทยเดิมไปจากจีนได้ และตอ่ มาใน พ.ศ. ๑๒๗๔ กท็ รง
ขยายอาณาเขตแลทรงตเี วียดนามได้เปน็ คร้ังแรก

การทำสงครามระหวา่ งไทยกบั เวียดนาม (เป็นความสมั พันธ์ก่อนสมัยกรงุ ศรีอยุธยา) ดังนี้
๑) พ.ศ. ๑๒๗๔ ขุนบรม (พระเจ้าพลี อ่ โกะ๊ ) ทรงตเี วียดนามได้แล้วทรงสร้าง เมืองแถง (เดยี นเบียนฟู)
ในแว่นแคว้น ๑๒ จุไทยประทับเป็น “ราชธานี” ของอาณาจักรทางตอนใต้และยังได้โปรดให้พระราช
โอรสท้ังสามพระองค์ไปทรงสร้างเมอื งตา่ ง ๆ ท่ีสำคัญคือ ขุนสามจุมัง ซ่ึงเป็นพระราชโอรสองคห์ นึ่งได้มา
สรา้ ง เมืองแกว (ตงั เกย๋ี ) และเมอื งแท่นบัว (ถ้วนหวา่ )
๒) พ.ศ. ๑๒๙๗ พระเจ้ากาลหงส์ (โก๊ะล่อฝง) ผู้ครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาได้ทรงเปิดฉากการ
สงครามกับประเทศจีนคร้งั ท่ีย่ิงใหญ่ที่สุด คือเสดจ็ ไปตีได้หัวเมืองใหญ่น้อยของจีนรวม ๓๒ หัวเมือง และ
ไทยสามารถฆ่าทหารจนี ได้ถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน แตไ่ ทยกต็ อ้ งเสยี เวยี ดนามใหแ้ ก่จนี ในรัชกาลของพระองค์
๓) พ.ศ. ๑๓๘๓ กองทัพน่านเจ้าได้ยกกองทัพไปตีเมืองยาวเจา (เวียดนาม) แต่ถูกข้าหลวงจีนช่ือ
“มุ่ยเหงวียนยือ” ต้านทานไว้ และตีทัพไทยแตกไป หลังจากนั้น “หลีโหะ” ข้าหลวงจีนก็ได้เข้ามา
ปกครอง แตเ่ นอื่ งจากไมม่ ีใจเปน็ ธรรม พวกราษฎรจึงหนั มาขอความช่วยเหลอื จากไทย กองทัพนา่ นเจ้าจึง
ยึดเมืองหลวงของเวียดนามได้โดยง่าย หลีโหะต้องกลับไปเมืองจีน ครั้นทางจีนส่ง เวืองโคนมาปราบ
พวกน่านเจ้าก็ตอ้ งถอยไป
๔) พ.ศ. ๑๔๐๑ ตรงกับแผ่นดิน “พระเจ้าซ้องจงฮ่องเต้” ซ่ึงเป็นรัชกาลที่ ๑๖ แห่งราชวงศ์ถังเจ้า
เมืองเวียดนามซ่ึงเป็นประเทศราชของจีนได้รับซื้อ ฝูงม้า วัว ควาย ของพวกโจรซึ่งลักลอบขโมยไปจาก
อาณาจักรน่านเจ้า พระเจ้าฝงเอี้ยว (อ้ายฟ้า) กษัตริย์ไทยทรงพระพิโรธมาก จึงยกกองทัพมาตี “เมือง



อ้อนหน่ามโต๊ววูฝ่ ู” ได้ เมืองน้ีเป็นที่ต้ังสำนักงานปกครองของเวียดนามแล้วกวาดต้อนผู้กระทำความผิด
ขึน้ มายงั อาณาจกั รน่านเจ้า

๕) พ.ศ. ๑๔๐๓ ตรงกับแผ่นดิน “พระเจ้าอ๋ีจงฮ่องเต้” ซึ่งเป็นรัชกาลท่ี ๑๗ ในราชวงศ์ถัง ได้มีผู้ร้าย
ชือ่ “ตูเซียวเช่ง” ซ่ึงตั้งอยปู่ ลายแดนเวยี ดนามคุมสมัครพรรคพวกไปปล้นหัวเมอื งในเขตเวียดนามและได้
ถูกเจ้าเมืองฆ่าตาย พรรคพวกท่ีเหลือได้หลบหนีเข้าไปใน “เมืองปอจิว” ซ่ึงไทยตีมาได้จากจีนในรัชกาล
ของพระเจ้าเอี่ยวโล่ง ดังนั้นทัพเวียดนามจึงได้ยกล่วงล้ำเขตแดนไทยเข้ามาเพ่ือตามจับตัวคนร้าย ไทยไม่
พอใจในการกระทำน้ีจึงไดแ้ กเ้ ผ็ดด้วยการยกทัพเขา้ ตยี าวเจา (เวียดนาม) ดว้ ยจำนวนทหาร ๕๐,๐๐๐ คน
และก็สามารถตีได้ กษัตริย์ไทยจึงสถาปนาพระยศเป็น “ฮ่องเต้” ครองเวียดนามแล้วเปล่ียนนาม
อาณาจักรใหม่ว่า “ไต้ไล่ก๊ก” ในการรบคร้ังนี้พวกเวียดนามต้องเสยี ชีวติ ถึง ๑๕๐,๐๐๐ คน ฝา่ ยจนี ต้อง
เสียกำลงั ทหารถงึ ๔๐,๐๐๐ คน

๖) พ.ศ. ๑๔๐๖ ไทยยกกองทัพไปปราบเวียดนามซึ่งตั้งแข็งเมือง เมื่อพ.ศ. ๑๔๐๕ และตีได้ก่อนที่
กองทัพจีนจะยกมาช่วย หลักจากท่ีได้ตั้งข้าราชการอยู่ปกครองดูแล ทางไทยก็ได้ยกทัพกลับ ปรากฏว่า
ตอ่ มาใน พ.ศ. ๑๔๐๙ พระเจ้าแผ่นดินจีมีรับสั่งให้ กาวเบ้ียน (โกเบียน) นักรบผสู้ ามารถของเวียดนามนำ
ทหารไปปราบกองทัพน่านเจ้าซง่ึ ยดึ ครองเวยี ดนามได้

ครน้ั ถึง พ.ศ. ๑๔๔๖ ไทยได้เกดิ สงครามเปล่ียนวงศ์กษัตรยิ ์ใหม่ยังผลให้คนไทยแยกกนั ตง้ั รัฐอิสระ
ไมข่ ้ึนแก่กันอยู่หลายรฐั และบางพวกก็ถอยรน่ ไปทางใต้ ไทยจึงไมม่ โี อกาสเข้าครอบครองเวยี ดนามอีกเลย

เม่ือเวียดนามสามารถกู้เอกราชจากไทยได้แล้ว ก็ได้คิดต่อสู้กู้เอกราชจากจีนได้สำเร็จใน พ.ศ.
๑๔๘๒ ซง่ึ ทำใหก้ ารปกครองเวียดนามสมยั แรกของจีนซ่ึงกินเวลาถงึ หนง่ึ พนั ปสี น้ิ สุดลงอย่างเดด็ ขาด

ในส่วนของประเทศไทยในขณะนั้น ก็มีการต้ังกรุงสุโขทัยข้ึน และไม่มีรายละเอียดความสัมพันธ์
ระหว่างไทยและเวยี ดนามในสมัยสโุ ขทยั เลย และมามีอีกคร้ังหนง่ึ สมยั กรงุ ศรอี ยุธยา ซ่งึ มกี ารสร้างวัด ขุน
ญวน ขน้ึ นั่นเอง

สมัยกรุงศรีอยธุ ยา
จากความเป็นมาในคร้ังอดีตราวพุทธกาลเราจะเห็นได้อย่างไม่ชัดเจนสักเท่าไร แต่ท่ีชาวญวน

(เวียดนาม) ได้สัมพันธภาพกับไทย มีหลักฐานท่ีชัดเจนข้ึน เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้นเอง
ขณะนั้นชาวเวียดนามไดอ้ พยพเขา้ มาต้ังถิ่นฐานในกรุงศรีอยธุ ยาระหว่างเวลา ๑๐๐ ปเี ศษท่ีสรา้ งกรงุ แล้ว
มีหลักฐาน คอื การสร้าง “วดั ขุนญวน” ขึ้นบำเพญ็ กศุ ลของพวกเขา บรเิ วณทเ่ี ขา้ มาอาศัยอยไู่ ด้แก่ “เหนือ
วัดนางกราย” ขึ้นไปจนถึง “ปากครองตะเคียนด้านเหนือ” ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งการอพยพ
เข้ามาครั้งน้ันอาจจะมากพอดู จึงสามารถสร้างวัดขึ้นมาได้ ดังปรากฏข้อความใน “หนังสือประชุม
พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๓ เร่ืองกรงุ เกา่ ” กล่าวไวว้ า่



“พรรคพวกมหานาคชว่ ยกันขุดคูนอกค่ายกันทัพเรือจึงเรียกวา่ คลองมหานาค ลำคลองแต่แม่น้ำ
เข้าไปจึงถึงวัดภูเขาทองเห็นจะเป็นคลองเดิมของวัด เพราะวัดภูเขาทองอยู่กลางดอนมหานาคคงจะขุดคู
แยกจากคลองวัดภเู ขาทองลงมาขา้ วใตถ้ งึ วัดศาลาปูน แลว้ เลย้ี วลงทางตะวนั ตกผา่ นหลงั วัดขุนญวน และ
หน้าวัดป่าพลูมาออกแม่น้ำใหญ่ที่เหนือหัวแหลม”

ดว้ ยเหตุนี้เราควรที่จะรู้ถึงเรอื่ งราว “คลองมหานาค” วา่ ขุดในสมัยใด จึงขอยกตัวอย่าง ตามพระ
ราชพงศาวดาร ๒ ฉบับ ดังนี้

พระราชพงศาวดารฉบับ “พระราชหัตถเลขา” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง
ราชานุภาพ ได้ความวา่

“สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชย์เมื่อปีวอก จุลศักราช ๙๑๐ หรือ พ.ศ. ๒๐๙๒ เสวยราชย์
ได้ ๗ เดือน พระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ก็ยกทัพเข้ามา มาครั้งเดียว และได้รบกันจนเสียพระสุริโยทัยใน
คราวน้ีเอง ทุ่งลุมพลีนี้เป็นท่ีสำคัญในการป้องกันกรุงศรีอยุธยาข้างด้านเหนือ เพราะพระราชวังอยู่ข้าง
ริมน้ำด้านเหนือดังกล่าวมาแล้ว ถ้าเสียค่ายทุ่งลุมพลี ข้าศึกษาก็เข้าได้ถึงเชิงกำแพงเมืองด้านพระราชวัง
เพราะฉะนั้นในการเตรียมรบข้าศึกษาที่เข้ามาตี กรุงศรีอยุธยา ในคราวนี้หรือ คราวต่อ ๆ มา ไทยจึงออก
ออกไปตั้งค่ายม่ันยึดที่ลุมพลีน้ีไว้ทุกคราว ที่กล่าวในพระราชพงศาวดารว่า มหานาคกับญาติโยมอาสา
ช่วยราชการสงครามได้ช่วยกันขุดคลอง ๆ หนึ่ง จึงเรียกว่า คลองมหานาค น่ันคือ ขุดข้าวด้านเหนือหลัง
ทงุ่ ภเู ขาทองซงึ่ ตดิ กับทุ่งลมุ พลี ใหเ้ ป็นคกู นั พระนครชัน้ นอกออกไปอีกชน้ั ๑”

พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับความสมเดจ็ กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรส กล่าวไวด้ ังน้ี
“ลุศักราช ๙๐๕ (พ.ศ. ๒๐๘๖) สมเด็จพระเจ้าหงสาวดี ทรงพระราชดำริว่า คร้ังก่อนเรายก
กองทพั รุดไปพระนครศรีอยธุ ยาพลแต่สามหม่ืนล่วงเขา้ ถึงชานเมอื ง ตำบลลุมพลี หามผี ู้ใดมาประมอื ไม่แต่
หากทว่าพลน้อยจะทำการมิถนัด ครั้งนี้จะยกไปให้มากสักสิบเท่า ก็เห็นจะได้พระนครศรีอยุธยาสมเด็จ
พระเจ้าหงสาวดีทรงพระดำริแล้ว ให้เกณฑ์พลสามสิบหมื่น ช้างเครื่องเจ็ดร้อย ม้าสามพัน ให้พระมหา
อปุ ราชเป็นกองหน้า พระเจ้าแปรเป็นเกียกกาย พระยาพสิมเป็นกองหลังดำเนินเคลื่อนพยุหโยธาทัพออก
จากกรุงหงสาวดีรอนแรมมาเจ็ดวัน ข้ามแม่น้ำเมาะตะมะเดิน โดยทางสมีขณะน้ัน มีหนังสือบอกเมือง
กาญจนบุรีเข้ามาว่าชาวด่านไปถีบด่านถึงตำบลจอยยะได้เนื้อความว่า สมเด็จพระเจ้าหงสาวดียกมาข้าม
พลเมอื งเมาะตะมะถึงเจด็ วนั จงึ สน้ิ สมเด็จพระมหาจกั พรรดิราชาบัญชาตรัสให้เทครวั เมอื งตรี จตั วา และ
แขวงจังหวัดเข้าพระนคร แล้วมีพระราชกำหนดข้ึนไปถึงเมืองพิษณุโลกว่าถ้าศึกหงสาวดีมาติด
พระนครศรอี ยุธยาเมื่อใด ให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาเอาทัพหน้าเป็นทัพกระหนาบ แล้วตรัสให้พระยา
จักรีออกต้ังค่าย ตำบลลุมพลี พลหมื่นห้า ล้วนใส่เสื้อแดง หมวกแดง ฝ่ายพระมหานาคบวชอยู่ ณ วัด
ภูเขาทอง สึกออกรับตั้งค่ายกันทัพเรือ ต้ังค่ายแต่วัดภูเขาทองลงมาจนถึงวัดป่าพลู พวกสมกำลงั ญาติโยม
ทาสชายหญงิ ของมหานาคชว่ ยกันขดุ คูนอกคา่ ยกนั ทัพเรือจงึ เรียกวา่ คลองมหานาค”



สรุปได้ว่า ในแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิ จุลศักราช ๙๑๐ (พ.ศ. ๒๐๙๑) พระเจ้าหงสาวดีได้ยก
มาตีกรุงศรีอยุธยาเป็นคร้ังแรก ซึ่งเป็นเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินของไทยขึ้นครองราชสมบัติได้ ๗ เดือนเท่า
นั้นเอง มหานาคซึ่งบวชอยู่ที่วดั ภูเขาทองได้สึกออกมาช่วยขุดคลองโดยมีญาติโยมและพวกทาสชายหญิง
ร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก เพ่ือเป็นการป้องกันการบุกของพม่าข้าศึก คลองน้ีจึงได้ช่อื ว่า “คลองมหานาค”
เป็นคลองท่ีขุดผ่านหลัง “วัดขุนญวน” อย่างไรก็ตาม เราได้ทราบว่า พวกเวียดนาม (ญวน) ได้อพยพเข้า
มาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยาอย่างเป็นปึกแผ่นก่อน พ.ศ. ๒๐๙๑ ถึงได้สร้างวัดขุนญวนไว้เพ่ือบำเพ็ญ
กศุ ลของพวกตน

กรุงศรีอยุธยาได้รับการสถาปนาให้เป็นราชธานีไทยใน พ.ศ. ๑๘๙๓ และกรุงสุโขทัยได้เริ่มเส่ือม
ลงมาเป็นลำดับ จนกระท่ังได้สูญเสียอำนาจให้แก่กรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๑๙๑๔ ซ่ึงเป็นเวลาที่กรุงศรี
อยุธยาตั้งมาได้ ๒๑ ปี นับจากระยะเวลาท่ีเริ่มสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนถึงรัชกาลพระมหา
จักรพรรด์ิน้ีเป็นระยะเวลาประมาณ ๑๙๘ ปี และในช่วงระยะเวลานี้ที่ชาวเวียดนามได้อพยพเข้ามาตั้ง
บ้านเรือนในประเทศไทยแล้ว จึงกล่าวได้ว่าชาวเวียดนาม (ญวน) นี้ได้เข้ามาต้ังบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรี
อยธุ ยาต้ังแตร่ ะยะแรก ๆ สรา้ งกรงุ เลยทีเดียว

ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีพระราโชบายส่งเสริมการค้าขายและการเจริญ
ทางพระราชไมตรกี บั นานาประเทศ ทรงใหเ้ สรีภาพทางการค้าและทรงมขี นั ตธิ รรมทางศาสนา จงึ ดงึ ดดู ให้
ชาวต่างประเทศเข้ามาแลพักอาศัยเป็นอันมาก ดังท่ี ซีโมน เดอ ลา ลูแบร์ (Simone De la Loubere)
ราชทูตฝร่ังเศส ในคณะทูตชุดท่ี ๒ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.
๒๒๓๐ กล่าวไว้ในจดหมายเหตขุ องเขาวา่

“...ชาวต่างประเทศ...มีจำนวนมาก อพยพมาจากบ้านเมืองต่าง ๆ โผเข้ากรุงสยามแต่กาลก่อน
เพราะขอ้ ที่มคี วามชอบธรรมมอี ิสระ ค้าขายได้ตามชอบใจ...มีผบู้ อกเล่าว่า มหานครสยามมมี นษุ ยต์ า่ งชาติ
มาพงึ่ พระบรมโพธิสมภาร ต้ังทำมาหาเลย้ี งชีพอยู่ถึง ๔๐ ภาษา...”

ชาวต่างชาติท่ตี ้ังภมู ิลำเนาในกรุงศรีอยุธยาไดร้ ับ “ความชอบธรรมท่ีจะเล้ียงชพี อยู่ตาม ยถาสุขได้
ตามธรรมเนียมของตน สดุ แทแ้ ตจ่ ะศรทั ธาสกั การะบูชาศาสนาไหนได้โดยสมัคร” พร้อมยังทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ แก่ผู้ท่ีเข้ามาพง่ึ พระบรมโพธิสมภาร พระราชทานทดี่ ินใหไ้ ด้อาศัยอยเู่ ปน็ หมวดหมู่ตามพรรค
พวกของชาติตน ท่ีดินพระราชทานอยู่รอบนอกเขตพระนคร หากจากชุมชนที่อาศัยของคนไทย หมู่บ้าน
ชาวต่างชาติได้แก่ ชาวโปรตุเกส จีน มลายู ญ่ีปุ่น ฮอลันดา และเวียดนาม เป็นต้น หมู่บ้านชาวต่างชาติ
มักเรียกกันในหมู่คนสยามว่า “บ้าน” แต่ชาวต่างชาติเองเรียกว่า “ค่าย” การท่ีชาวเวียดนามอาศัยอยู่ใน
อยุธยาน้ี อาจเป็นเพราะพระมหากษัตริย์สยามทรงคุณธรรมดังกล่าว จึงทำให้ชาวเวียดนามพากันเข้ามา
เพื่อหวังกำไรทางการค้าด้วย เวลาต่อมาได้เกิดการจลาจลสู้รบเพ่ือชิงราชบัลลังก์ใน พ.ศ. ๒๒๓๑ ทำให้
ชาวเวยี ดนามจำนวนหนึง่ อพยพออกจากกรงุ ศรอี ยุธยาไป



ต่อมาสมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. ๒๒๔๑ -๒๒๕๐) เป็นต้นมากพระองค์ทรงชิงชัง
ชาวตะวันตก โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสและพวกที่นับถือคริสต์ศาสนาอย่างรุนแรง จนมีการทำทารุณกรรม
เพราะเกรงว่าจะเป็นผู้นำอันตรายมาคุกคามเอกราชของประเทศ ในปลายรัชกาลทรงลดหย่อนความ
รุนแรงลงบ้าง จึงได้เมตตาให้ชาวเวียดนามได้อยู่อาศัยในที่เดิมและปฏิบัติกิจทางศาสนาได้ตามใจชอบก็
ตามความสุขท่ีเคยมีก็ถูกกำจัดให้น้อยลงกว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ จำนวนชาวเวียดนามที่ยังคง
สมัครอยู่ในกรงุ ศรอี ยธุ ยาจงึ เหลอื อยนู่ อ้ ยมาก ทเ่ี หลือกท็ ่ศี รัทธาในศาสนาอย่างจรงิ จังเทา่ นนั้ เอง

สาเหตุทีช่ าวเวยี ดนามเขา้ มาในประเทศไทย
การที่ชาวเวียดนามอพยพเข้ามาต้ังถน่ิ ฐานในบ้านเมอื งของประเทศสยามมีอยู่ ๒ สาเหตุ คือ

๑. การลี้ภัยทางการเมืองและศาสนา ชาวเวียดนามที่เข้ามาตามประการแรกจะเป็นพวกท่ีสมัครใจ
เข้ามาแบบหนรี ้อนมาพ่งึ เย็น เพราะประเทศสยามเป็นเพื่อนบ้านที่มีเสถียรภาพ อุดมสมบูรณ์และเป็นที่ท่ี
จะอาศัยอยอู่ ย่างสงบสขุ ได้

๒. การถูกกวาดต้อนเข้ามาในฐานะเชลยศึกสงคราม ชาวเวียดนามที่เข้ามาจำพวกท่ีสองน้ีเป็น
ลักษณะท่ถี ูกบังคับให้เขา้ มา จงึ บางครง้ั ต้องขาดเสรีภาพบ้าง แตช่ าวเวียดนามก็เตม็ ใจท่ีจะตั้งถนิ่ ฐานอยทู่ ่ี
ประเทศสยามต่อไป

สภาพของสังคมไทย
สภาพสังคมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นลักษณะเปิดเสรีภาพให้กับชาวต่างประเทศ สามารถ

เข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารได้ และสามารถเข้าติดต่อค้าขายกันได้อย่างเสรีภาพ แต่การต้ังถิ่นฐานจะ
เป็นไปตามกษัตริย์วา่ จะอนุญาตใหส้ ามารถตั้งถิ่นฐานไดใ้ นส่วนไหนของเมือง ต้ังเปน็ ค่าย หรือ บา้ น หรือ
ชุมชน ก๊ก เหล่า เป็นต้น แล้วแต่ว่าจะเรียกไปอย่างไร ส่วนชาวไทยก็สามารถค้าขายอย่างอิสระได้ สภาพ
พน้ื ที่เป็นแหลง่ อู่ข้าวอู่นำ้ ของประเทศ มีอิสระท่ีจะสร้างในเขตพ้ืนที่ของตน ๆ ไดเ้ สรี สว่ นในด้านการเมอื ง
ประเทศอยู่ในความสงบร่มเยน็ ไม่มีภาวะสงครามบ่อยนัก และส่วนใหญ่ถ้ามีสงครามก็จะเป็นฝ่ายชนะมา
โดยตลอด ทำใหบ้ า้ นเมืองเป็นปกึ แผ่น กว้างขวาง และเจรญิ รุ่งเรอื งมาโดยลำดับ

ในส่วนของชาวเวียดนามที่ตงั้ ถน่ิ ฐานน้ันในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่มีหลักฐานที่จะสรปุ ได้วา่ มกี ารเข้า
มาเป็นจำนวนเท่าไร แต่จากการสันนิษฐาน มีการสร้างวัดขุนญวน ขึ้นมาเพื่อประกอบ ศาสนพิธีของ
ตนแล้ว น่าจะมีมากพอสมควร ถึงอย่างไรทุกคนท่ีเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร สามารถอยู่ร่วมกับชาว
ไทยได้อยา่ งผาสุกตลอดมา



บทสรุป
ในราว ๆ ต้นพุทธกาลมีกลุ่มชนชาติหน่ึงมีท้ังชาวไทยและชาวญวน ได้ต้ังถ่ินฐานอยู่ทางตอนใต้

ของประเทศจีน ตามลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง และได้อพยพลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนด้วย
การเบียดเบียนจากจีน จึงทำให้ชาวไทย-ญวน ได้แตกสานะโมกันไปในท่ีต่าง ๆ ตามแต่กลุ่มของตนจะ
แยกไปสรรหาท่ี ที่เหมาะสมกับการตั้งถ่ินฐานของตนเอง ภายหลังพวกญวน หรือเรียกว่า แกว ได้ตั้งราช
ธานีอย่ทู ่ีฮานอย อกี พวกหน่ึง ได้ไปตั้งเมืองมรกุ ขนคร เป็นราชธานีของอาณาจักรโคตรบรู หรอื ทเี่ รียกกัน
ว่า พวกกาวลาว หรือ อ้ายลาว ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงสันนิษฐานกันว่า พวกญวน กับไทย
ลาว เป็นพวกเดียวกัน มีความสัมพันธภาพกันทางเผ่าพันธุ์ และได้อพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศ
จีนทีเ่ ดียวกัน น่ันเอง

และในตอนก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวไทย และชาวญวน ส่วนใหญ่จะมีสัมพันธ์ในลักษณะของ
การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน มีการยกทัพไปได้หัวเมืองของกันและกันอยู่เนือง ๆ เช่น พ.ศ. ๑๔๐๑ เจ้า
เมืองเวียดนาม ของราชวงศ์ถัง ได้รับซื้อ ฝูงม้า วัว ควาย ของพวกโจรซ่ึงลักลอบขโมยไปจากอาณาจักร
น่านเจ้า พระเจ้าฝงเอี้ยว (อ้ายฟ้า) กษัตริย์ไทยทรงพระพิโรธมากจึงยกกองทัพมาตี “เมืองอ้อนหน่าม
โตว๊ วฝู่ ”ู ได้ เมอื งน้ีเป็นที่ต้ังสำนกั งานปกครองของเวยี ดนามแล้วกวาดต้อนผกู้ ระทำผิดขนึ้ มายังอาณาจกั ร
น่านเจา้ เป็นต้น

และเมอ่ื พ.ศ. ๑๔๘๒ ชาวเวียดนามไดก้ ู้อิสรภาพคืนจากจีนได้เป็นผลสำเร็จ ซึง่ ถูกจีนปกครองกิน
เวลาถึง หนง่ึ พนั ปี ก็สิ้นสดุ ลงอย่างเดด็ ขาด

ต่อมาในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ถึง ๔๑๗ ปี ได้มีชาวเวียดนามอพยพ และถูกเกณฑ์
เข้ามาในฐานะเชลยศึกสงครามบ้าง เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยในตอนนั้น และได้สร้างวัดข้ึนมา
เพื่อบำเพ็ญบุญกุศลตามศาสนาของตน วัดตามหลักฐาน มีช่ือว่า “วัดขุนญวน” ซ่ึงเป็นบริเวณท่ีเข้ามา
อาศัยอยู่ ตั้งแต่ เหนือวัดนางกราย ขึ้นไปจนถึงปากคลองตะเคียนด้านเหนือ และการเข้ามาพึ่งพระบรม
โพธิสมภารของเจ้าแผ่นดนิ ไทยนั้น พอสรปุ ไดเ้ ป็น ๒ นยั ดังน้ี

นยั ท่ี ๑ เข้ามาโดยการล้ภี ยั ทางการเมอื งและศาสนา
นยั ที่ ๒ เขา้ มาโดยการกวาดต้อนมาในฐานะเชลยสงคราม
และอาจจะมกี ารเขา้ มาแบบอ่นื ๆ อย่างเชน่ การค้าขาย การเป็นคณะทตู เปน็ ต้น
การเข้ามาอยู่ของชาวญวน ก็อาจจะเป็นเพราะสภาพสังคมบ้านเมืองของประเทศไทยเร่ิมเปิดให้
อิสระกับชาวต่าง ๆ เข้ามาติดตอ่ สัมพันธภาพได้ เช่นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ให้มชิ ชั่นนารี
(ครูสอนศาสนา) ต่างชาติ เข้ามาสอนชาวไทยได้ และการเข้ามาของพวกสอนศาสนานั่นก็นำเอาชาวญวน
ท่ีเป็นลูกจ้าง เข้ามาด้วย เป็นเหตุให้มีการต้ังถิ่นฐานกันอยู่ตามท่ีต่าง ๆ อย่างม่ันคง และพอท่ีจะเดินทาง



ไปท่ีอื่น ๆ บางพวกก็ขออาศัยอยู่กับท่ี เพราะประเทศไทยนั่นอุดมสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ทางธรรมชาติ
มากมาย ดังคำที่วา่ “ในนำ้ มปี ลา ในนามขี ้าว” เปน็ ตน้
กจิ กรรมเสรมิ ความรู้

นักเรยี นแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ ๕ รูป แล้วให้เลือกประธานและเลขานุการ กลุ่มกันเอง พร้อม
กันนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ศึกษาข้อมูลเพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลภายในและภายนอกโรงเรียน ในหัวข้อ
เร่อื ง ดังน้ี

กลมุ่ ท่ี ๑ เรอื่ ง ความสัมพันธภาพระหวา่ งไทยกับญวน ยคุ พทุ ธกาล – กอ่ นสมยั กรุงศรอี ยุธยา
กลมุ่ ท่ี ๒ เรื่อง ความสัมพันธภาพระหวา่ งไทยกบั ญวน กอ่ นสมัยกรุงศรอี ยุธยา
กลมุ่ ที่ ๓ เรื่อง ความสมั พันธภาพระหว่างไทยกบั ญวนสมยั กรุงศรอี ยุธยา
กลมุ่ ที่ ๔ เรอ่ื ง สาเหตขุ องชาวเวยี ดนาม (ญวน) ท่เี ข้ามาในประเทศไทย
กลุ่มท่ี ๕ เรอ่ื ง สภาพของสังคมไทย ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
เสรจ็ แลว้ ให้แต่ละกลมุ่ จดั ทำเปน็ รายงาน พร้อมกับส่งตัวแทน ๒ รูปแต่ละกลมุ่ ออกมาบรรยายให้
เพื่อนในห้องฟงั และสรปุ การบรรยายเป็นเรอ่ื ง ๆ ไป
ซ่ึง กลุ่มที่ ๑ ให้บรรยาย ชว่ั โมงที่ ๑ – ๒

กลุ่มที่ ๒ ให้บรรยาย ชั่วโมงท่ี ๓ – ๔
กลมุ่ ที่ ๓ ใหบ้ รรยาย ชวั่ โมงที่ ๕ – ๖
กลมุ่ ท่ี ๔ ให้บรรยาย ชว่ั โมงท่ี ๗ – ๘
กลุ่มท่ี ๕ ใหบ้ รรยาย ช่วั โมงท่ี ๙ – ๑๐
หลังจากเสร็จแล้วครูซักถาม สรุปการบรรยายในแต่ละชั่วโมงไป และนักเรียนเขียนบทสรุปของ
การบรรยาย สง่ ครู

กจิ กรรมการวัดผล
นกั เรียนตอบคำถามทกุ ขอ้ ดังตอ่ ไปน้ี

๑. ทำไม จงึ สันนิษฐานว่า ชาวไทยกบั ชาวญวน มเี ผา่ พันธ์ุเดียวกนั ? อธบิ าย
๒. ทำไม ชาวญวนถงึ ถกู เรยี กวา่ “แกว”
๓. อะไรเปน็ สาเหตุให้ร้วู ่า ชาวญวนอพยพเขา้ มาอยู่ในเมืองไทย ตัง้ แตส่ มยั กรงุ ศรีอยธุ ยา ?
๔. คลองมหานาค มีความเป็นมาอยา่ งไร ? อธบิ ายพอสงั เขป
๕. สาเหตุของการเขา้ มาพึง่ พระบรมโพธิสมภารของเจา้ แผน่ ดินไทย มีกอ่ี ยา่ ง อะไรบ้าง ?
๖. สภาพของสังคมไทยในอดตี สมัยกรงุ ศรอี ยุธยา มาพอสงั เขป ?
๗. ก่อนกรุงศรอี ยุธยาเปน็ ราชธานี ไทยมคี วามสมั พันธก์ ับญวน ในทางใด ?

๑๐

บทท่ี ๒
พระสงฆอ์ นมั นกิ ายในประเทศไทย

จุดประสงค์ปลายทาง
นกั เรียนมีความเข้าใจ และสามารถบอกประวัติความเป็นมาของชาวญวนและพระสงฆ์รวมถงึ การ

สร้างวัดที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยสมัยกรุงธนบุรี บอกสาเหตุของการเปล่ียนแปลงการแต่งกาย และ
การเปล่ียนคติเดมิ ของพระสงฆญ์ วน และให้ความหมายของคำวา่ “อนมั ” พร้อมกับอธิบายถงึ การทำวัตร
เชา้ ในวดั ทีต่ นจำพรรษาอยู่ได้อยา่ งถูกตอ้ ง

จดุ ประสงคน์ ำทาง
๑. นกั เรยี นสามารถเขา้ ใจความเป็นมาของชาวเวยี ดนามสมยั กรุงธนบุรไี ด้
๒. นักเรยี นสามารถเล่าประวัติความเป็นมาของพระสงฆ์อนัมและชาวอนัมกับการสร้างวัดขึ้นใน
สมัยกรงุ ธนบรุ ไี ดถ้ กู ต้อง
๓. นักเรียนบอกสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงคตเิ ดิมของพระสงฆ์อนมั ได้
๔. นักเรยี นบอกความหมาย คำว่า “อนมั ” และ “อนมั นิกาย”ไดถ้ ูกต้อง
๕. นกั เรยี นสามารถอธิบายสรปุ การทำวตั รเชา้ ของพระสงฆอ์ นมั ได้

พระสงฆ์อนมั สมัยกรุงธนบุรี
จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของพระสงฆ์อนัมในสมัยกรุงธนบุรียังไม่ชัดเจนว่ามีการบวชท่ี

เมืองญวนแล้วอพยพมาพรอ้ มกบั พวกที่เขา้ มาสมยั พระเจ้ากรุงธนบุรี หรือว่าอาจมีการบวชที่ประเทศไทย
เลย ก็ยังไม่มีหลักฐานท่ีชัดเจนในสมัยนี้ แต่มีประวัติการเข้ามาของพวกญวนที่ทำให้เกิดการสัมพันธ์ร
ระหว่างไทยกบั เวยี ดนาม ตามหนังสอื “สารคดเี วียดนาม” ของ ร.อ.หญงิ นนั ทา โรจนประดษิ ฐ์ ได้กลา่ ว
ไว้ดังน้ี

เหตุการณ์ย้อนกล่าวตอนท่ีกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงเป็นครั้งที่ ๒ ให้แก่พม่า ในปีพ.ศ. ๒๓๑๐ คน
ไทยได้แตกเป็นก๊ก เป็นเหล่า ต่างก็เป็นอิสระไม่ยอมขึ้นแก่กัน ประเทศกัมพูชาก็ฉวยโอกาสเป็นเอกราช
ไม่ยอมขึ้นแก่ไทย

คร้ันต่อมา ในพ.ศ. ๒๓๑๒ หลักจากท่ีพระเจ้ากุรงธนบุรีทรงกู้อิสรภาพของชาติไทยแล้วก็ได้
รวบรวมกำลังของไทยเข้าเปน็ อันหนึ่งอนั เดียว และสร้างกรงุ ธนบุรีเป็นเมืองหลวงเสร็จ จึงทรงมีศุภอักษร
ไปถึงสมเด็จพระนารายณ์ราชาเจ้ากรุงกัมพูชา เพ่ือขอให้จัดเครื่องราชบรรณาการมาถวาย เหมือนครั้ง

๑๑

กรุงศรีอยุธยา เพราะพระองค์ได้ทรงปราบปรามบ้านเมืองเรียบร้อยเหมือนแต่ก่อนแล้ว พระเจ้ากรุง
กัมพูชาได้มีศุภอักษรตอบมาว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ใช่เชื้อสายเจ้านายเก่า ไม่ยอมเป็นเมืองข้ึนพระเจ้า
กรุงธนบุรีทรงพระพิโรธมากจึงให้จัดกองทัพไปปราบปราม กองทัพไทยตีได้เมืองเสียมราชและพระ
ตะบอง แล้วต้องรีบยกทัพกลับเพราะมีข่าวลือว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีไปสิ้นพระชนม์ที่เมือง
นครศรธี รรมราช

กัมพูชาได้แสดงความอาจหาญต่อไทย ด้วยการเกณฑ์ไพร่พลในเมืองบันทายมาศ และเมืองกรัง
แล้วยกมาตีเมืองตราด เมืองจันทบุรี ใน พ.ศ. ๒๓๑๔ แล้วกวาดต้อนครอบครัวไปเป็นอนั มากพระเจ้ากรุง
ธนบรุ ีทรงพระพิโรธจึงเปน็ จอมทพั เสดจ็ ไปเอง ทัพหลวงตีไดเ้ มอื งบนั ทายมาศ ทพั เจ้าพระยาจกั รีตไี ดเ้ มอื ง
พระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ และเมืองบริบูรณ์ และยกลงไปตีได้บันทายเพชร ด้วยความสามารถของ
กองทัพไทยนี้เอง สมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงกัมพูชาก็มิอาจต้านทานได้จึงได้พาครอบครัวอพยพ
ไปพึ่งเวียดนาม เมื่อเห็นว่ากัมพูชาหมดฤทธ์ิแล้ว ทัพไทยก็ได้ยกกลับ ปรากฏว่าพระเจ้ากัมพูชา ก็ได้พา
กองทัพเวยี ดนามขึ้นมารกั ษาเมอื งไว้ดงั เดิม

แต่ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๕ ได้เกิดจลาจลในเมืองเว้ กัมพูชาเห็นว่าจะพ่ึงเวียดนามไม่ได้ จึงได้ส่ง
พระองค์แก้ว (ด้วง) เข้ามาหาแม่ทัพไทย ขอเจรจาสงบศึก และในปี พ.ศ. ๒๓๑๘ ก็ได้ยอมให้พระราม
ราชา (นักองโนน) ซ่ึงได้หนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระเจ้าแผ่นดินไทยคร้ังกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.
๒๓๐๑ กลับไปเป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชา โดยสมเด็จพระนารายณ์ราชาได้ลดลงเป็นพระมหาอุปโยราช
เร่ืองทางเขมรก็ระงับไปได้ ดังน้ันเราจะเห็นได้ว่าเวียดนามได้เข้ามาเก่ียวข้องกับการเมืองไทยทางด้าน
กัมพูชานัน่ เอง

พ.ศ. ๒๓๑๙ ญวนไกเชนิ เป็นกบฏ รบกับเจา้ เวยี ดนาม แลว้ มาตีเมืองไซงอ่ นได้ ทำใหพ้ วกราชวงศ์
ญวนต้องอพยพหนีออกจากรุงเวียดนาม ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่สำคัญ ๆ ก็คือ “องเชียงซุน” ท่านไดพ้ า
บุตรชาย ช่ือ องกลัก และบุตรหญงิ ช่อื มเู ซ (โกเงนิ ) ลภี ยั เข้าไปอยู่ทเ่ี มือง บันทายมาศ ของกัมพชู า

เรอื่ งราวขององเชยี งซนุ เป็นชาวเวียดนามคนแรกทีพ่ าพรรคพวกอพยพเขา้ มาตัง้ ภูมลิ ำเนาในสมัย
กรุงธนบุรี ขอยกข้อความจาก พงศาวดารญวน ซึ่ง องเบ็ดจัด และองเบ็ดตรึง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ในราช
สำนกั ญวนได้เรียบเรียงไว้ ดงั มขี อ้ ความตอนหนง่ึ วา่

“พระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพไปตีเมือง บันทายมาศ จึงได้องเชียงซุนกับครอบครัวเข้ามาเลี้ยงไว้
ในกรุงธนบุรี เม่อื ปลายแผ่นดิน เจ้ากรงุ ธนบุรีเสยี พระจริต นงั่ พระธรรมเห็นไปวา่ องเชียงซนุ กลืนเพชรเม็ด
ใหญ่ซ่อนไว้ในท้อง จึงรับส่ังให้หามาไต่ถามองเชียงซุนไม่รับ ภายหลังมีผู้กราบทูลว่าจะหนีจึงรับสั่งให้
ประหารชีวิตเสียท้ังบุตรชายด้วย ค้นหาเพชรก็ไม่ได้ แต่โกงเงินบุตรขององเชียงซุนน้ันให้เอาไปเล้ียงไว้ใน
วัง

๑๒

พงศาวดารธนบุรีระบุไว้ว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีได้พระราชทานที่ดินนอกกรุงธนบุรี “คือแถวพาหุ
รัด” ทุกวันน้ใี ห้องเชยี งซุนและพวกชาวญวนท่ไี ด้อพยพตดิ ตามมาดว้ ยพักอยู่ แตต่ ่อมาองเชียงซนุ พยายาม
จะหนีจึงมีรับส่ังให้ประหารชีวิตเสีย ฉะน้ันองเชียงซุนและพวก จงึ นับเป็นเวียดนามรุ่นแรกที่ได้อพยพเข้า
มาตัง้ ภมู ลิ ำเนาในประเทศไทยภายหลังท่กี รงุ ศรีอยุธยาเสียแก่ขา้ ศกึ แล้ว

การเข้ามาของญวนพวกแรกได้มีในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงรา
ชานุภาพ ไดก้ ล่าวถึงพวกของ องเชยี งซนุ ดังมีข้อความตอนหนงึ่ วา่

“เม่ือราว พ.ศ. ๒๓๑๖ เกิดกบฏขึ้นที่ เมืองเว้ อันเป็นราชธานีของประเทศญวน พวกกบฏชิงได้
เมืองแล้ว ฆ่าฟันเจ้านายเสียอันเป็นอันมาก พวกราชวงศ์ญวนท่ีรอดอยู่ได้พากันหนีพวกกบฎลงมาทาง
เมอื งไซง่ อ่ นหลายองค์

องเชียงซนุ ราชบุตรที่ ๔ ของเจ้าเมืองเว้ มาอาศยั อยู่ท่ีเมืองฮาเตียนซ่ึงติดต่อดินแดนเขมร มณฑล
บันทายมาศของเขมร พวกกบฏยกกองทัพมาติดตาม เจ้าเมืองฮาเตียนเห็นเหลือกำลังท่ีจะต่อสู้ ก็อพยพ
ครอบครัวพาองเชยี งซุนเข้ามายงั กรุงธนบรุ ี เมอื่ ราวปวี อก พ.ศ. ๒๓๑๙

พระเจา้ กรุงธนบุรีโปรดฯ ให้รับไว้ แลว้ พระราชทานท่ีให้ญวนพวกองเชยี งซุนตั้งบา้ นเรือนอย่นู อก
พระนครฝั่งตะวันออก คือตรงที่แถวถนนพาหุรัดทุกวันน้ี จึงเรียกกันว่าบ้านญวนมาจนสร้างถนนพาหุรัด
อยู่มาองเชียงซุนพยายามจะหนี พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสีย (กล่าวกันอีกนัยหน่ึงว่า
เม่ือพระเจา้ กรุงธนบุรี มีสัญญาวปิ ลาส เกดิ อุปาทานวา่ มีแก้วอยใู่ นทอ้ งขององเชียงซุน จึงให้ประหารชวี ิต
เพื่อค้นหาแก้วนั้น) พวกองเชียงซุนเป็นญวนพวกแรกท่ีอพยพเข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศนี้ เมื่อ
ภายหลงั เสยี กรุงศรีอยุธยาแก่พมา่ ขา้ ศึกแล้ว”

ในพงศาวดารเวียดนามท่ีเรยี กว่า “เวียดนามสือก้ี” มีหลักฐานว่าไทยและเวียดนามได้มีทางไมตรี
ด้านการทูตต่อกันในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ไม่ปรากฏว่าเริ่มต้นมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ข้อความตาม
พงศาวดารว่า

“ครน้ั ณ วันเดือน ๘ ปีจอ จุลศกั ราช ๑๑๔๐ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๒๓) องคเ์ ทียนสือจงึ แตร่ าชสาส์น
กับเคร่ืองราชบรรณาการให้ลิวเพือกตรึง เป็นราชทูตนำเข้ามากรุงศรีอยุธยา (ท่ีถูกคือ กรุงธนบุรี –
ผเู้ ขียน) (คำว่าผู้เขียนคือ ร.อ.หญิง นันทา โรจนประดิษฐ์) ขอเป็นพระราชไมตรี และเพื่อประโยชน์จะได้
สบื ขา่ วคราว ตงเทิกชุน ซึ่งเป็นพระญาติพระวงศ์ขององเทยี นสอื และกลนี เทียนตด๊ิ ดว้ ย

เดิมตงเทิกชุนกับกลีนเทียนต๊ิด เป็นผู้รักษาเมืองห้าเตียง ครั้นพวกไต้เชิงยกมาตีเอาเมืองห้าเตียง
แตก ตงเทิกชุนกับกลีนเทียนต๊ิดจึงอพยพครอบครัวบ่าวไพร่หนีข้าศึกเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารใน
กรุงเทพพระมหานคร (ตอนนั้นตรงกับสมัยกรุงธนบุรี – ผู้เรียบเรียง) คร้ังนั้นขุนหลวงพระยาตากได้เป็น
เจ้ากรุงธนบุรี ตงเทิกชุนหวังใจจะขอกองทัพกรุงธนบุรียกไปช่วยปราบพวกไต้เชิง แต่เวลาน้ันพม่าข้าศึก

๑๓

ยงั กำลังทำสงครามติดพันกันอยู่ ขุนหลวงพระยาตากก็ได้ทะนุบำรุงชุบเลี้ยงตงเทิกชุนกบั กลีนเทียนติ๊ดไว้
เพราะฉะนน้ั องค์เทยี นสือ่ จึงแตท่ ูตมาฟงั ข่าวคราว”

ใน พ.ศ. ๒๓๒๔ พวกบรรดานายทหารและขุนนางท้ังหลายได้ยกย่องให้องเทียนสือ (บางตำราว่า
องเชียงสือ) ให้เป็นพระเจ้ากรุงเวียดนาม ทรงพระนามว่า “พระเจ้ากาวว่างเหงวียงจั๊ว” และในปี
เดียวกันน้ันองเทียนสือ ได้แต่งต้ังราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่ง ปรากฏใน
พงศาวดารเวยี ดนาม วา่

“คร้ันอยู่มา ณ วันเดือนหก ปีฉลู จุลศักราช ๑๑๘๓ พระเจ้ากาวว่างเหงวียงจ๊ัว จึงจัดให้ทามตีน
เป็นราชทูต จำทูลพระราชสาส์นกับเครื่องบรรณาการเข้ามาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (ตอนนั้นตรงกับ
สมัยพระเจา้ กรงุ ธนบรุ -ี ผู้เรียบเรียง) เพอื่ ขอเป็นพระราชไมตรี

เวลานั้นมีเรือสำเภาลำหน่ึงของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (ตอนนั้นตรงกับสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี-ผู้
เรียบเรียง) บรรทุกสินค้าไปขายเมืองจีน กลับมาจากเมืองกวางตุ้งถึงหน้าเมืองห้าเตียง ลึว ถูทัง ผู้รักษา
เมืองกำปอดและเมืองห้าเตียง คุมสมัครพรรคพวกออกไปปล้นสะดมตีเรือของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
(ตอนนนั้ ตรงกับสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี-ผ้เู รยี บเรยี ง) พระเจ้ากรุงธนบุรีมคี วามโกรธยิ่งนักจงึ ให้จับ ทามตีน
ราชทตู แล้วจำคุกขังไว้

ขณะนั้นยังมีเจ้าเขมรองค์หน่ึงชื่อ พระองค์แก้ว จึงทูลยุยงพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (ตอนนั้นตรงกับ
สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี-ผู้เรียบเรียง) ว่าเจ้าเมืองไซ่ง่อนให้ทามตีนเป็นราชทูตมาน้ัน เจ้าเมืองไซ่ง่อนมี
หนังสือลับมาถึงตงเทิกชุนให้เป็นไส้ศึกจะคิดชิงเอากรุงศรีอยุธยา (กรุงธนบุรี-ผู้เรียบเรียง)ใช่ว่าจะต้ังใจ
เป็นทางพระราชไมตรนี ้ันหาไม่

เม่ือพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (พระเจ้ากรุงธนบุรี) ได้ฟังดังนั้นก็ทรงเชื่อถือถ้อยคำของพระองค์แก้ว
เขมรทั้งสิ้น จงึ รับสง่ั ให้จับครอบครวั ตงเทิกชนุ กบั กลนี เทียนติด๊ รวม ๕๓ คน เอาไปประหารชวี ิตเสยี เหลือ
นอกนนั้ ก็เนรเทศออกไปอย่ยู ังนอกกรงุ ทง้ั ส้นิ ”

มีบางตำราได้กล่าวถึง เร่ืองราวของ องเชียงซุนกับญวนพวกแรกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย
สมยั กรุงธนบุรี ของ ผุสดี จันทวมิ ล “เวียดนามในเมืองไทย” ไวด้ ังนี้

“ญวนพวกแรกท่ีเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แลได้รับพระราชทานท่ี
นอกฝั่งพระนครทางตะวันออก คือแถวถนนพาหุรัดในปัจจุบัน ให้เป็นที่อยู่อาศัย เรียกว่า บ้านญวนพาหุ
รัด เวียดนามพวกน้ีได้แก่ องเชียงชุน พระอนุชากษัตริย์เมืองเว้และบริวารซ่ึงลี้ภัยทางการเมืองจากพวก
กบฎไตเซินใน พ.ศ. ๒๓๒๑ (บ้างก็ว่า พ.ศ. ๒๓๑๙) มาจากเมืองบันทายมาศหรือฮาเตียน หลักฐานระบุ
ว่าต่อมาองเชียงชุนต้องพระราชอาญาประหารชีวิตพร้อมกับบริวารเพราะคิดหนีกลับเวียดนาม (บ้างว่า
เป็นเพราะสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีพระสติฟั่นเฟือนเข้าพระทัยว่า องเชียงชุนขโมยเพชรกลืนไว้ใน
ทอ้ ง ในพงศาวดารญวนกล่าววา่ องเชียงชุนถูกประหารเนื่องจากมีสลัดเวียดนามปล้นเรือสินค้าไทยทำให้

๑๔

ทรงพิโรธ ประกอบกับที่พวกเขมรฟ้องร้องว่าองเชียงชุนเป็นไส้ศึกเวียดนาม) จีนชาวเวียดนามที่ถูก
ประหารชีวิตกับองเชียงชุนระบุไว้ว่ามี ๕๔ คน ที่เหลือซึ่งไม่ปรากฏจำนวนน้ัน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ทรงเนรเทศออกไปอย่นู อกพระนครหมด”

จากการศึกษาพงศาวดารทั้งของไทยและเวียดนามแล้ว ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๓๑๕ เป็นต้นมา ชาว
เวียดนามได้มีเหตุการณ์จลาจลในประเทศอยู่ตลอดมา และได้อพยพเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารของ
พระเจ้าแผ่นดินไทยอยู่ตลอดระยะเวลาดังกล่าว และถูกประหารชีวิต พร้อมกับได้ถูกเนรเทศไปต้ัง
ภูมิลำเนาอยู่นอกพระนคร และสิ้นสุดปี พ.ศ.๒๓๒๔ ซึ่งเป็นปลายปีรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ
พระเจ้าตากสนิ มหาราช และในปีถัดมา กเ็ กิดการเปล่ยี นรัชกาลใหม่ขนึ้ ถือเป็นการส้ินสดุ รชั สมัยของกรุง
ธนบรุ โี ดยสนิ้ เชงิ นั่นเอง

การสร้างวดั อนมั สมัยกรงุ ธนบุรี
วัดญวนที่สร้างข้ึนมาในประเทศไทย เป็นการอนุโลมตามเรื่องที่พวกญวนท่ีเข้ามาอาศัยอยู่ใน

ประเทศไทย พวกแรกที่มากับองเชียงซุน สร้างวัดไว้ ๒ วัด ณ ถิ่นเดิมคือ ท่ีตำบลบ้านหม้อ ถนนพาหุรัด
ซงึ่ เปน็ ท่พี วกตนต้งั ถิ่นฐานอยู่เปน็ ทแี่ รก

วัดทีส่ ร้าง ไดแ้ ก่ “วดั กามโล่ต่อื ” และ “วัดโหย่ คัน้ ตอ่ื ”
วัดกามโลต่ ่ือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว (รชั กาลท่ี ๕) ไดพ้ ระราชทานนามให้ใหม่วา่ “วัด
ทิพยวารวี หิ าร” ต้ังอยู่ที่ หลงั ตลาดบ้านหม้อ ปัจจุบันน้เี ปน็ วดั พระจนี แลว้
๑.วัดโห่ยคั้นต่ือ เดิมต้ังอยู่ที่บ้านญวนข้างหลังวังบูรพาภิรมย์
ครั้นจะตัดถนนพาหุรัด วัดนั้นกีดแนวถนน พระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวจงึ โปรดฯ ให้กระทำผาติกรรมอย่างวัดไทย
คือพระราชทานที่ดินและให้สร้างวัดขึ้นใหม่แลกวัดเดิมย้ายไปต้ัง
ที่ริมถนนแปลงนาม อำเภอสัมพันธวงศ์ และพระองค์ได้
พระราชทานนามใหม่มีชื่อว่า “วัดมงคลสมาคม”จะขอกล่าวถึง
รายละเอียดของ วดั มงคลสมาคม พอสงั เขป เพราะเปน็ เพียงวัดเดียวในสมยั กรงุ ธนบุรที ่ีพระญวนยงั คงจำ
พรรษาอยู่น่ันเอง “วัดมงคลสมาคม” ปัจจุบันตั้งอยู่ เลขท่ี ๔๘ ถนนแปลงนาม เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพมหานคร

ถ้านับจากอดีต พ.ศ. ๒๓๒๑ ถึง ปัจจุบัน รวมระยะเวลาตั้งวัดนี้ ๒๒๖ ปี ก่อนสมัยกรุง
รตั นโกสินทร์ เสียด้วยซ้ำ การตั้งวดั ครั้งแรกในอดีตไม่มีปรากฎในพงศาวดารวา่ มีพระญวนจำพรรษาอยู่ท่ี
นั้น กล่าวคือว่า ไม่ได้กล่าวอ้างถึงพระสงฆ์เลย การบวชพระญวนในสมัยธนบุรีน้ันไม่น่าจะเกิดมีใน

๑๕

ประเทศไทย พระสงฆ์ญวนอาจเดินทางมาจากประเทศเวียดนามโดยตรงเลย จนมีพระนิพนธ์ “ตำนาน
พระญวน” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กลา่ วไวว้ ่า

“พระญวนในประเทศสยามน้ัน ช้ันแรกก็คงบวชเรียนมาจากเมืองญวน แต่เห็นจะมีเช่นน้ันเพียง
ในรัชกาลท่ี ๑ ต่อนั้นมาเองญวนกับไทยเกิดเป็นอริกันมาตลอดรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลท่ี ๓ ชาวประเทศ
ท้ัง ๒ ฝ่าย มิได้ไปมาหาสู่กันอย่างปกติ พระญวนในประเทศน้ีก็มีแต่บวชเรียนในประเทศน้ีเอง แต่ยังมีที่
เป็นญวนนอกลงมาเพียงพระครูคณานัมสมณาจารย์ (ฮงึ ) และพระครูคณานัมสมณาจารย์ (เหย่ียวกร่าม)
ท่านทงั้ ๒ นี้ เมอ่ื ยงั เป็นเด็ก ตามบิดามารดาเข้ามาในรชั กาลที่ ๓ แล้วมาบวชในกรุงเทพฯ นี้”

พอจะสรุปได้ว่า ในสมัยกรุงธนบุรีขณะต้ังวัดน้ันยังไม่มีพระญวนที่บวชในประเทศไทยเลย จะมี
ตามสันนิษฐานว่า ได้อพยพมาพร้อมกับพวกองเชียงซุนที่เข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้า
แผน่ ดินไทยน่ันเอง

ด้วยเหตุท่ีไม่สามารถจะบอกได้ว่า เจ้าอาวาสของวัดมงคล รูปแรกที่จำพรรษาตามขนบธรรมเนยี ม
ของชาวญวน นั้นช่อื ว่าอะไร แต่มีปรากฏเป็นหลกั ฐานครั้งแรกอย่างเป็นทางการอยู่ในรัชกาลที่ ๕ ซ่ึงก็คือ
องสรภาณมธุรส (เหมิกโงน หรือท่ีเรียกกันว่า “บี๊) ดำรงตำแหน่ง ปลัดขวา เป็นฐานานุกรมของพระครู
คณานัมสมณาจารย์ (ทันเคีย๊ ด) วดั อุภยั ราชบำรุง ในสมัยนน้ั และองสรภาณมธรุ ส (เหมิกโงน) ได้เปน็ พระ
ครคู ณานมั สมณาจารย์ ต่อจาก หลวงพอ่ ทันเคย๊ี ด

ปัจจุบันเจ้าอาวาสมีนามว่า “องสรพจนสุนทร” (เหย่ียวคัง) ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยปลัดขวา ใน
คณะสงฆ์อนัมนิกาย ของเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอนัมนิกาย ช่ือว่า “พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร”
(ก๊ินเจี๊ยว)

วัดมงคลสมาคมเป็นวัดท่ีต้ังอยู่ใจกลางเยาวราช (ย่านการค้าของชาวจีน) หรือท่ีชาวต่างชาติรู้จัก
ในช่ือว่า “ไชน่า ทาวน์” เป็นวัดที่ยึดธรรมเนียมท่ีสอดคล้องกับชาวไทย ญวน และจีน มาโดยตลอด และ
ทส่ี ำคญั ทสี่ ุด ทางวดั ได้ใหก้ ารสนบั สนนุ ทางด้านการศกึ ษาของภิกษุสงฆ์ สามเณร มาตลอดระยะเวลา ๑๐
ปีจนถึงปัจจุบัน และมีภิกษุสามเณรจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลายรูป และกำลังศึกษาในระดับ
ปริญญาตรีอกี จำนวนมากเชน่ เดยี วกัน

การแต่งกายของพระสงฆอ์ นมั ในประเทศไทย
ในสมัยแรก ๆ ท่ีพระสงฆ์อนัมเข้ามาในประเทศไทย การแต่งกายจะมีลักษณะเหมือนอย่างพระ

ญวนในประเทศเวียดนามอยู่ และดูจะเหมือนพระจีนท่ีอยู่ในเมืองจีนเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าประเทศ
เวียดนามได้รับอารยธรรมแทบทุกอย่างจากประเทศจีน เหตุด้วยเวียดนามถูกประเทศจีนปกครองเป็น
ประเทศราชอยู่นับพันปี ดังน้ันไม่ว่าจะเป็นภาษา ตัวหนังสือ วัฒนธรรมต่าง ๆ และศาสนา ได้รับจากจีน
แทบท้ังสน้ิ

๑๖

ด้วยเหตุน้ีพระสงฆ์ท่ีอพยพเข้ามาพร้อมกับชาวญวนครั้งองเชียงซุนนั้น จึงมีลักษณะการแต่งกาย
เหมือนอย่างในประเทศญวนนั่นเอง โดยมีข้อความหน่ึงจาก พระนิพนธ์ “ตำนานพระญวน” ของสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กลา่ วไว้ว่า

“พระญวนในประเทศญวนกับประเทศสยามไม่ได้ติดต่อกันต่างฝ่ายต่างก็ถือคติตามประเทศท่ี
ตนเองอยอู่ าศยั

พระญวนท่ีมาอยู่ในประเทศสยามมาแก้ไขคติ หันมาตามพระสงฆ์ไทยหลายอย่าง เป็นต้นว่า มา
ถือสิกขาบทวิกาลโภชน์ ไม่กินข้าวเย็น ครองผ้าสีเหลืองแต่สีเดียว ไม่ใช้ต่างสี ไม่ใส่เกือก และถุงตีน
เหมือนเช่นในเมืองจีนเมืองญวน แต่ส่วนข้อวัตรปฏิบัติอย่างอ่ืน ตลอดจนกิจพระ คงทำตามแบบในเมือง
ญวน เช่นเดมิ ”

เราจะเห็นว่า แต่แรกเริ่มที่พระสงฆ์อนัมเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก การแต่งกายจะเป็น
ลักษณะพระจีน พระญวนเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือมีลักษณะ ถือสิกขาบทวิกาลโภชน์ สามารถฉันข้าวเย็น
ได้ การครองผ้าจีวรมีทั้งสีเทา สีแดงฝาด สีเหลือง และสีอ่ืน ๆ มีการใส่ถุงเท้า และเกือก (รองเท้าแบบ
พระจนี พระญวนปจั จุบัน)

ซง่ึ ในปัจจุบันนี้ในการแต่งกายน้นั ยังมีบริขารที่จำเป็นต้องรแู้ ละ

เข้าใจให้ชัดเจน เพราะในปัจจุบันนี้ต้องคอยตอบคำถามที่ว่า

เส้ือเรียกว่าอะไร ทำไมต้องใสช่ ุดแบบนี้ หรอื เป็นพระอะไร ซึ่ง

ปัจจุบันถ้านักเรียนหรือพระภิกษุไม่ได้ศึกษาเลยจะทำให้ไม่

สามารถท่จี ะตอบคำถามแบบนีไ้ ดเ้ ลย

ซึ่งแต่เดิมน้ันพระสงฆ์ของพุทธศาสนามีการนุ่งห่ม

ชดุ ในอดีต ชุดในปจั จบุ ัน เหมือนกนั หมด แต่เมอ่ื พทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานได้เผยแผ่ขน้ึ ไป
ทางเหนือซึ่งเป็นแถบที่หนาว จึงได้มีการเปล่ียนแปลงปรับปรุง

การนุ่งห่มของพระสงฆท์ ่อี ยแู่ ถบน้นั ให้เหมาะสมกบั สภาพภมู อิ ากาศเพือ่ ความอยู่รอดและเผยแผ่ ดว้ ยเหตุ

จงึ มกี ารอนุโลมใหเ้ ปลย่ี นเคร่อื งนุง่ หม่ เชน่ สบง เปล่ียนเปน็ กางเกง, องั สะ เปล่ียนเป็น เสอ้ื เป็นตน้

ต่อมาพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทย ซ่ึงเป็นเขตร้อน แต่ก็ยังยึดถือ

ประเพณีนุ่งห่มเหมือนดังแต่ก่อนเช่นเดิม จึงทำให้มีการเกิดความสงสัยกับคนไม่รู้ และอาจมีการต้อง

อธบิ ายกนั อยรู่ ่ำไป ช่วงรัชกาลท่ี ๔ จึงมีการเปล่ียนคติทางการแต่งกายให้สอดคล้องกับสังคมไทย แต่ก็ยัง

คงไวซ้ ่ึงแบบเดิม กลา่ วคือมีเสื้อ มีกางเกง เชน่ เดิม

และการแต่งยังมีชดุ อื่น ๆ อีก เช่น

๑๗

เสือ้ อ๊าวหญกึ บ้ิน

กางเกง ห

ญึ

จีวรครอง ก

บ้ิ
ทุกชุดที่กล่าวมา ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ กัน ซ่ึงถ้าเป็นชุดใหญ่ (มนีจีวรครอง) จะเป็น

งานท่ีเป็นกิจวัตร และทางการ ถ้าจะออกไปต่างวัด ก็เป็นการครองจีวรอาศัย ซึ่งการครองจีวรอาศัยมี ๒

แบบ ดังนี้

การขบฉนั ของพระสงฆอ์ นมั ในประเทศไทย
แต่เดมิ พระสงฆ์อนัมท่ีเข้ามาในสมัยแรกน้ัน มกี ารขบฉนั ตามแบบอย่างเหมือนกบั ประเทศของตน

อยู่ ด้วยเหตุน้ีเมื่อชาวไทย ที่ถือขนบธรรมเนียมประเพณีตามแบบพระสงฆ์ไทยเห็น จึงทำให้เกิดมีข้อ
ครหาขึ้น จึงมีการเปลี่ยนแปลงคติของตนเอง ยึดตามแบบของพระสงฆ์ไทย คือเว้นจากวิกาลโภชน์ (ฉัน
อาหารเยน็ )

พระนิพนธ์ “ตำนานพระญวน” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
กลา่ วไว้ตอนหนง่ึ วา่

“พระญวนที่มาอยู่ในประเทศสยามมาแก้ไขคติ หนั มาตามพระสงฆไ์ ทยหลายอย่าง เป็นต้นว่า มา
ถือสกิ ขาบทวกิ าลโภชน์ ไมก่ ินข้าวเย็น”

ไดม้ ีการเปล่ียนแปลงคติเดิม นับแตร่ ชั กาลที่ ๔ เปน็ ตน้ มา จนถึงปจั จบุ นั
ในสมัยแรก ๆ การขบฉนั ของพระสงฆ์อนัมจะเป็นไปในลักษณะของการฉันเจ กล่าวคือกินพวกผัก
ผลไม้ ไม่ฉันเน้ือ ถือปฏิบัติกันต่อมาเร่ือย ๆ ซ่ึงทำให้ขัดต่อความเป็นอยู่ของพระสงฆ์อนัมเป็นอย่างมาก
เพราะสภาพของประเทศไทยไม่เอื้อต่ออาหารการฉันน่ันเอง ส่วนพระสงฆ์ไทยไม่ได้เจาะจงเร่ืองการอยู่
การฉัน ผู้มีจิตใจศรัทธานำมาถวาย ท่านก็ฉันทุกอย่าง จึงไม่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น แต่ปัญหาไปเกิดกับ
พระสงฆ์อนัม ซึ่งยึดถือการฉันเจ เป็นหลัก ด้ังน้ัน เมื่อมีการเปล่ียนคติการฉันวิกาลโภชน์ ก็ถือโอกาส
เปลี่ยนลักษณะของอาหารการฉันไปด้วยในตัวเลย และมีการถือกิจวัตรตอนเช้าออกบิณฑบาตแล้วด้วย
จงึ เปน็ การยากต่อการเจาะจงในการฉนั อาหารเจได้ทุกมอื้

๑๘

แต่ปัจจุบันน้ีก็มีบางวัดที่ฉันเจอยู่ ซ่ึงก็ไม่ใช่ทุกมื้อเสมอไป ไม่เหมือนอดีตกาลแล้ว และปัจจุบันนี้
พระสงฆ์สามเณรมากขึ้น การออกโปรดญาติโยมตอนเข้า (การบิณฑบาต) ถือเป็นกิจวัตรประจำวนั หนึง่ ที่
ต้องพระสงฆ์อนัมถือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการออกบิณฑบาตไม่ปรากฏว่ามีอยู่ในอดีต ดังน้ันการท่ี
พระสงฆจ์ ะถือคติในการฉันเจทกุ ม้ือ จะเป็นคติสว่ นตัวเป็นสว่ นใหญ่ ไมใ่ ช่เป็นคตสิ ว่ นรวม

ดังนั้นการขบฉันของพระสงฆ์อนัมในประเทศไทยมีการเปล่ียนแปลงมาเร่ือย ๆ ตามยุคตามสมัย
เพ่ือใหเ้ หมาะกับสภาพของสงั คมไทยและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยดว้ ย

ความหมายของคำว่า “อนัม”
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายของคำว่า “อนัม” ไว้ว่า อนัม

แปลว่า ญวน ใชว้ า่ อนำ,อานำ หรือ อานมั หรือ อันนมั กม็ ี
ปทานุกรมจีน – ไทย โดย ชวน เซียวโชลิต (หรือประสิทธ์ิ ชวลิตธำรง) ได้ให้ความหมายของคำ

ว่า “อนมั ” ดงั นี้
คำวา่ “อนัม หรอื อานัม” สนั นษิ ฐานว่า มาจากคำวา่ “องั นำ้ ” ในภาษาจีนแตจ้ วิ๋
“อัง น้ำ” หมายถึง (ต่ี = ประเทศ) ญวน, เวยี ดนาม (Annam)
องั (อัว) หมายถึง สบาย, เป็นสุข, สวสั ดี, ปลอดภัย, สงบ, เงียบ, สันติ, จัดตั้ง, จัดวาง, จัดไว้, วาง

ไว,้ ไหนเลย, หรอื จะ, ปลอ่ ยไป
นำ้ หมายถึง ทิศใต้
“อ๊วก น้ำ” หมายถงึ (ต่ี = ประเทศ) เวยี ตนาม (คือญวน Annam Vietnam)
อ๊วก หมายถงึ ข้าม, พ้น, ผ่าน, เกิน, เหนือ, กว่า, ถดั , ลำ้ , เลย, ล่วง, ล่วงเลย, ล่วงล้ำ, เหลื่อมล้ำ,

กา้ วกา่ ย, ละเมดิ , ตก, หลน่ , ยิง่ , กระจาย, แจ่มใส, แจ่มแจ้ง, อ้อมคอ้ ม, คดเคี้ยว
น้ำ หมายถึง ทศิ ใต้
อ๊วก กก คือ ประเทศอ๊วก (เปน็ ประเทศโบราณในประเทศจีน)
อวกแซ่ คือ มณฑลอ๊วก (คืออกี ช่ือหนึ่งของมณฑลเจเกยี ง)
น้ำอ๊วก คือ เวยี ตนามใต้
ป๊ัก อ๊วก คอื เวยี ตนามเหนอื
สามเณร นันทสิทธิ์ ขันติกุล ผู้เรียบเรียง ประวัติพุทธศาสนา มหายาน อนัมนิกาย ได้กล่าวถึงคำ

ว่า อนัมนกิ าย วา่ เกิดขนึ้ ท่ปี ระเทศไทย คอื วา่ ทางราชการไดจ้ ัดแบ่งคณะสงฆ์ข้ึน เพ่ือง่ายต่อการปกครอง
ดังน้ันจึงได้เกิดนิกายนี้ขึ้นมา เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกายองค์ปัจจุบันนี้ ท่านได้กล่าวว่า คนส่วนใหญ่จะรู้จัก
ในนามว่า “เหยียกนัม” แปลว่า ญวน น่ันเอง

คำว่า อนมั นกิ าย แปลวา่ “จำพวกถือพระพุทธศาสนาเหมือนอยา่ งเมอื งญวน”

๑๙

สรุปแล้ว คำว่า “อนัม” ท่ีเรารูจ้ ักกันนี้ แปลว่า ญวน หรือ เวยี ดนาม นั่นเอง ชาวบ้านทีม่ ีเช้อื สาย
ของประเทศเวียดนาม ก็ถือว่าเป็นพวกญวน พวกอนัม เป็นพวกท่ีมีถ่ินอาศัยอยู่ในประเทศเวียดนาม
นนั่ เอง และเราสามารถเรียกพวกญวนที่อพยพเข้ามาอยูใ่ นประเทศไทย และอาจสรา้ งวัดข้นึ เราก็เรยี กวัด
นั้น เปน็ วัดญวน หรอื วดั อนมั ไดเ้ ช่นเดียวกนั

ดังนนั้ คำว่า อนมั กับ ญวน กบั เวียดนาม เป็นคำท่มี ีความหมายเดยี วกนั นนั่ เอง

วตั รปฏิบตั ิ (การทำวตั รเช้า)
การทำวัตรเช้า ถือเป็นกจิ วัตรที่พระสงฆ์พทุ ธศาสนาทั้งฝา่ ยมหายาน และเถรวาท ทุกนกิ ายยึดถือ

สืบปฏิบัติตามแบบอย่างกันมาเป็นระยะเวลาพัน ๆ ปีแล้ว และพระสงฆ์อนัมนิกายเช่นเดียวกับพระสงฆ์
พุทธศาสนาอ่ืน ๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนคติปฏิบัติแต่เดิมของตนแล้ว ก็ยังยึดถือปฏิบัติการสวดมนต์ไหว้พระ
(ทำวัตรเช้า) อย่างเคร่งครัด เพราะการทำวัตรเช้าของคติมหายาน หมายถึงการสวดมนต์เพื่อชำระจิตใจ
ของตนให้สะอาดผ่องใส รำลึกนึกถึง บูชา สรรเสริญพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ (ตามคติมหายาน) และ
เทพยดา ท้ังปวงทปี่ กปักษร์ ักษาพน้ื ทน่ี ั้น ๆ อยู่

วิธีการทำวัตรเช้าของแตล่ ะวดั จะแตกตา่ งกนั ออกไป บางวดั จะยนื สวดมนต์ บางวัดจะนง่ั สวดมนต์
บางวดั จะท้งั ยืน ท้งั นง่ั และมกี ารเดินเวยี นรอบอโุ บสถด้วย

- พอถึงเวลาที่ทางวัดกำหนดทำวัตรเช้า เวลา ๐๘.๐๐ น พระสงฆ์ที่รับผิดชอบการจุดธูปไหว้
ตามที่ไหว้ต่าง ๆ ภายในวัด ก็จะจุดธูปไหว้ เสร็จแล้วจะตีระฆัง ให้สัญญาพระสงฆ์สามเณรรูปอื่น ๆ ให้
เตรยี มพร้อมกับการทำวัตร

- พอพร้อมกันแล้วพระสงฆ์ทุกรูปน่ังคุกเข่า พระผู้นำสวดมนต์ (พระท่ีมีพรรษามาก) เริ่ม สวด
บทนำ (ด่ายจุ๊งด่องทินเหนี่ยมเผิกเจนโงน) ต่อด้วยมีบทสวดบูชาธูป บูชาเทียน บูชาดอกไม้ บูชาน้ำชา –
ผลไม้ และสดุ ทา้ ยจะเป็นการสวดเปิดคัมภรี ์ (คายกนิ เก)่

- พระสงฆ์ทุกรูปยืนแบ่งข้างเท่า ๆ กันคนและฝ่ังของพระอุโบสถ หันหน้าเข้าหากัน พระผู้นำ
สวดมนต์ เริ่มต้นสวดบทพระศูรางคบธารณีสูตร (บทรังเงียม), สวดบทมหากรุณาธารณีสูตร (บทด่ายบี),
สวดบททศธารณสี ูตร (บทถ็อบจ)ู๊ , สวดบทปรัชญาปารมติ าหฤทยั สตู ร (บทมาฮา), สวดบทคาถาสรรเสริญ
พระพุทธเจ้า (บทเถ่ืองลาย)

- พอสวดบทเถื่องลาย ถึง ทิดกามึวนีเผิก พระผู้นำจะตีระฆัง ๓ ครั้ง แล้วพระสงฆ์ร่วมพิธีจะ
เดินเข้าประจำที่เหมือนเดิม หลังจากนั้น พระผู้นำจะสวดบทนามโมทิดกามึวนีเผิก เดินนำเวียนรอบพระ
อโุ บสถ (ทักขิณาวฏั ) ๓ รอบ เสร็จแล้วเข้าประจำท่ีเหมือนเดมิ พอสวดเสร็จแล้ว คุกเข่าลงกราบในแต่ละ
บทตามผู้นำสวด

๒๐

- พระสงฆ์ทุกรปู คุกเข่า หรือน่ังแบบเบญจางคประดิษฐ์ก็ได้ ต่อด้วยการสวดบท เหลตุ่งกินซ้าม
โฮ้ยยัง (หงาเหนี่ยม) ผู้เรียนเคยถามพระผู้ใหญ่ว่า เป็นบทสวดเก่ียวกับอะไร ท่านตอบว่า เป็นบทที่สวด
มนต์ขอขมา ว่า ขณะท่ีเราสวดมนต์อยู่จิตอาจจะไม่นิ่งคิดไปต่าง ๆ นานา ทำให้เป็นการผิดต่อ
พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องสวดบทหงาเหนี่ยม เพื่อขอขมาลาโทษ ต่อด้วยบทกวี
หม่าง

- ขนั้ ตอนสุดท้าย พอสวดบทกวีหมา่ ง – เหน่ียมเผิกก็องดึ๊ก จบ พระสงฆ์ทุกรูปยกเว้นพระผู้นำ
สวด กราบหมอบลง จนกว่าพระผู้นำจะสวดบทตื๊อซันกึ๋วหึว จบ แล้วทุกรูปก็สวดบท เหว่ียนเตียว,
เหว่ยี นหยี พร้อมกัน ตามดว้ ยบท ตามกวีอี.(ไตรสรณาคมน)์

ระหว่างจะสวด ว่านาม.........ทั้นจุ๊ง (พระสงฆ์จะตีระฆัง ๑ รอบ และตามด้วยการตีระฆังสลับ
กับพระผู้นำสวด ๓ ครั้ง แล้วกราบพระพุทธเจ้า ๓ คร้ัง หันหลังมากราบท้าวมหาชมพู (ซึ่งเป็นเทพเจ้า
คมุ้ ครองบริเวณวัด พัทธสมี า แหง่ น้)ี เป็นอนั จบพิธสี วดมนต์ทำวตั รเชา้ ของพระสงฆว์ ดั มงคลสมาคม

อานสิ งสข์ องการทำวตั รเช้า - เยน็
๑. เมื่อจะสวดมนต์ ณ ทใ่ี ด ย่อมไมต่ ดิ ขัด และเป็นทต่ี ง้ั แห่งความศรัทธาเลอื่ มใสของเจ้าภาพและ
ญาตโิ ยม
๒. ทำให้เกิดความพร้อมเพรียงในหมู่คณะของสงฆ์ และเป็นที่ตั้งของความศรัทธาของผู้ที่มาพบ
เห็น
๓. ทำให้เพิม่ พนู ใน ศลี สมาธิ ปญั ญา และเปน็ การชำระ กาย วาจา ใจ ให้ สะอาดไปดว้ ย
๔. ทำใหเ้ พิ่มพนู วริ ิยะบารมี และขจดั ความเกียจครา้ น อันเปน็ ตวั กเิ ลสมารท่ีมาขัดขวางความดี
๕. ได้ทำกิจวัตรของสงฆ์ และรักษาระเบียบแบบแผนท่ีดีเอาไว้ให้พระภิกษุสามเณรรุ่นหลังได้ทำ
ตาม
๖. ไดเ้ ขา้ เฝ้าพระพุทธเจา้ ทั้งยามเชา้ – ยามเย็น
๗. ได้มโี อกาสเจรญิ เมตตา กรณุ า และแผ่สว่ นกุศลไปยังสรรพสตั ว์ท้ังหลายทุกถ้วนหนา้
๘. ไดส้ นองคุณแก่ญาติโยมท่ีนำปจั จยั ๔ มาถวาย
๙. เมอ่ื ดบั จติ ละโลกนี้ไปแลว้ ยอ่ มบังเกดิ ในสคุ ติภพ
๑๐. เป็นทพ่ี ง่ึ ทางจิตใจของพุทธศาสนกิ ชนได้ เปน็ มงคลแหง่ ชวี ิต

๒๑

บทสรปุ
พระสงฆ์อนัมในสมัยกรุงธนบุรี ยังไมช่ ัดเจนวา่ มกี ารอพยพเขา้ มาจากประเทศเวียดนามหรอื มีการ

บวชที่ประเทศไทยน้ี การเข้ามาของชนชาวญวนที่เข้ามานั้นมาจากสาเหตุทางด้านการเมือง โดยการ
อพยพมาทางประเทศกัมพูชา ซึ่งผู้ท่ีนำเขา้ มาน้ัน คือ องเชียงซุน (บางตำราว่า องคเ์ ทียนซุน) เม่ือปี พ.ศ.
๒๓๑๙ (บางตำราว่า ๒๓๒๑) โดยได้ตั้งภูมิลำเนาอยู่แถวพาหุรัด หรือตามถนนพาหุรัด ตลาดบ้านหม้อ
ปัจจุบนั น้ี นับจนถงึ ปจั จุบนั เป็นระยะเวลา ๒๒๘ ปแี ล้ว

พระสงฆ์ท่ีสันนษิ ฐานว่ามาพรอ้ มกับพวกญวนขององเชียงซุน ไดร้ ่วมกนั สร้างวัดขึ้นมาเพื่อบำเพ็ญ
บุญกศุ ลพิธใี นศาสนาของตน จำนวน ๒ วัด คอื วัดทพิ ยวารวี หิ าร (ปัจจบุ นั น้เี ป็นของพระจีนแลว้ ) และวัด
มงคลสมาคม (ปัจจุบันได้ย้ายจากแถวพาหุรัด มาอยู่ท่ีเยาวราช และมีพระสงฆ์ญวนจำพรรษาอยู่
ประมาณ ๘ รูป)

การแต่งของพระสงฆ์ญวนในสมัยแรก จะมีลักษณะเหมือนพระญวน หรือพระจีนที่อยู่ในประเทศ
เวียดนามและประเทศจีน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้มีการเปลี่ยนคติไปหลายอย่างรวมทั้งการแต่งกาย
ด้วย โดยหนั มาครองผ้าสีเหลือง แตร่ ูปแบบยงั คงไวซ้ ึง่ กางเกงและเสอื้ อยเู่ ช่นเดมิ

ด้านการขบฉนั อาหารในอดีตมกี ารฉนั เจโดยตลอดทุกมอ้ื และมกี ารวิกาลโภชน์ ได้เหมือนอย่างใน
ประเทศตน และปัจจบุ ันน้ีได้เปลีย่ นคตติ ามแบบไทย กล่าวคือเว้นจากการวิกาลโภชน์ (ไม่ฉันอาหารเย็น)
และอนุโลมการฉนั อาหารได้ตามแบบไทย ไมเ่ นน้ เฉพาะอาหารเจเท่าน้นั

มหี ลายคนที่ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “อนัม” จึงจำเป็นต้องอธิบายให้เข้าใจว่า อนัม บาง
คนเรียกวา่ อังน้ำ, อ๊วกน้ำ, อันนมั , อานัม และเหยียกนัม ทุก ๆ คำมคี วามหมายเดยี วกันท่ีมุ่งเน้นบอกว่า
คนนั้น พระสงฆ์รูปนั้น เป็นชาวญวน พระญวน วัดญวน และที่สำคัญบ่งบอกถึงเพียงชื่อว่า ญวน หรือ
ประเทศเวยี ดนาม เทา่ นน้ั เอง

ส่วนการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์อนัม ในบทนี้เน้นไปท่ีการทำวัตรเช้า ซ่ึงมีคติเป็นการสร้าง
กุศล ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ทำจิตใจให้ผ่องใส รำลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเทพยดา
ตา่ ง ๆ เป็นสงิ่ ทพี่ ระสงฆอ์ นัมปฏบิ ัตกิ ันสืบตอ่ มาจนกระท่ังปัจจุบนั

๒๒

กิจกรรมเสริมความรู้
นกั เรียนศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งความรภู้ ายใน และภายนอก ให้เลอื กหัวข้อใดหัวข้อหน่ึงแลว้ สรุป

เป็นรายงานส่งครู
พานักเรียนไปทัศนะศึกษาศาสนสถาน ชี้ให้เห็นถึงการเปรียบเทียบวา่ สิ่งไหนเป็นของญวนส่งิ ไหน

เป็นของจีน สิ่งไหนเป็นของไทย ซึ่งศาสนสถานบางแห่งจะเป็นทั้งจีนและญวนผสมกัน แล้วให้นักเรียน
สรุปลักษณะแตกต่างกันมาส่งครู

ใหน้ ักเรยี นชว่ ยกนั คดิ เปิดประเดน็ การอภปิ รายโต๊ะกลม ในชน้ั เรยี น ๒ หวั ข้อ

กิจกรรมการวดั ผล
นกั เรยี นตอบคำถามทกุ ขอ้ ดงั ต่อไปนี้

๑. นักเรียนคดิ ว่าพระสงฆ์อนมั เขา้ ครัง้ แรกเม่ือใด ?
๒. ชาวอนมั อพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยกรุงธนบรุ มี ใี ครเป็นผู้นำ ?
๓. ชาวอนัมอพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมยั กรงุ ธนบุรี เม่อื พ.ศ. ใด ?
๔. องเชียงซุน ถกู ประหารชีวิตเพราะเหตใุ ด ?
๕. วดั ญวนทีส่ รา้ งข้นึ ในสมัยกรุงธนบรุ ี คือวดั ใด ?
๖. ปจั จบุ นั ท่วี ัดที่สรา้ งขึน้ ในสมยั กรุงธนบุรีท่ียงั มีพระสงฆญ์ วนจำพรรษาอยู่ คือวดั ใด ?
๗. พระสงฆอ์ นมั อดีตมีการแตง่ กายลักษณะใด ?
๘. พระสงฆ์อนัมเปลีย่ นคตอิ ะไรบ้างในรชั กาลที่ ๔ เพราะเหตุไร ?
๙. ปัจจบุ ันพระสงฆ์ญวนแตง่ กายลักษณะใด ?
๑๐. การขบฉนั มีการเปลยี่ นแปลงอยา่ งไร ?
๑๑. คำวา่ “อนมั ” มคี วามหมายว่าอยา่ งไร ?
๑๒. “อนัมนกิ าย” หมายความวา่ อย่างไร ?
๑๓. การทำวตั รเช้า พระสงฆ์ญวนมคี ติความเช่ืออยา่ งไร ? อธิบาย
๑๔. บทสวด “ด่ายบี” เป็นบทสวดสรรเสรญิ พระโพธสิ ัตว์องคใ์ ด ?
๑๕. คำว่า “ขา้ วหมอ้ ใหญ่” หมายถึงบทสวดใด ?

๒๓

บทที่ ๓
หลักธรรมของพทุ ธศาสนามหายาน อนัมนิกาย

จุดประสงค์ปลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวประวัติของพระพุทธเจ้าตามคติญวน บอกประวัติพระพุทธเจ้า

พระกษิติครรภโพธิสัตว์ สรุปหลักธรรมท่ีสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถ
ท่องบ่นสาธยาย เปรยี บเทียบคำอาราธนาศีล ศีล ๕ ศีล ๑๐ ได้

จุดประสงคน์ ำทาง
๑. นกั เรยี นเขา้ ใจและสรุปประวัตขิ องพระพทุ ธเจ้าตามคติพระสงฆ์อนัมได้
๒. นกั เรียนสามารถเลา่ ประวตั ิของพระพุทธเจ้าตามคตพิ ระสงฆ์อนมั ได้
๓. นักเรียนสามารถบรรยายเรอื่ งความเปน็ มาของพระกษิตคิ รรภโพธิสัตว์ได้
๔. นักเรียนสามารถสรุปหลกั ธรรมทีเ่ ปน็ เบื้องต้นและสามารถนำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้
๕. นักเรียนท่องคำอาราธนาศีล ได้
๖. นักเรียนเปรียบเทยี บศลี ๕ ของพระสงฆ์ญวน และศลี ๕ ของพระสงฆ์ไทยไดถ้ ูกตอ้ ง

ประวตั ิพระพุทธเจา้ ตามคตพิ ระสงฆอ์ นมั นกิ าย
พระสงฆ์อนัมนิกาย เป็นพระสงฆ์นิกายหนึ่งที่มีอยู่ในประเทศไทย เป็นพุทธศาสนามหายาน ฝ่าย

อนัมนิกาย ซึ่งได้รบั การยอมรับอย่างเป็นทางการในรัชกาลท่ี ๕ มีวัตรปฏบิ ัตไิ มแ่ ตกตา่ งจากพระสงฆพ์ ุทธ
ศาสนาท่ัว ๆ ไป และมีพระพทุ ธเจ้า นามว่า โคตมะ เชน่ เดียวกบั พุทธศาสนาหนิ ยาน หรือเถรวาท

ขอยกประวัตคิ วามเป็นมาของพระพุทธเจ้าตามคตพิ ระสงฆ์อนัมนกิ าย พอสงั เขป ดังน้ี
- การเสดจ็ อบุ ตั ิขน้ึ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จอุบัติข้ึนในชนชั้นอริยกะ ในมัชฌิมชนบท (ญวนเรียกว่า
กรุงเกวิ๊ก) ชมพูทวีป แคว้นสักกะ ในตระกูลกษัตริย์ ศากยวงศ์ โดยพระโคตรว่า โคตมะ ในกรุงกบิลพัสด์ุ
(ญวนเรียกว่า กรุง ก้ีราเกว๊ิก) เป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ (ญวนเรียกว่า พระเจ้าต่ินผ่างเยือง) และ
พระมารดา พระนามว่า พระนางสริ ิมหามายา (ญวนเรียกว่า มายาภูเยงิ )
- การประสตู ิ

๒๔

พระองค์ประสูติในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันวิสาขะปูรณะมี ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี ที่
ป่าลุมพินีวัน (ญวนเรียกว่าป่า ยัมตี้นีเย็น) (บาราช้า คือป่าไม้รัง) นั่นเอง ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุง
เทวทหะ (ปไี หนที่ตรงกับวันนี้ จะเปน็ ปที ่พี ระสงฆอ์ นมั นิกายถึงกาลเข้าพรรษา)

- ขนานพระนาม
พระเจ้าต่ินผ่างเยือง (สุทโธทนะ) ผู้เป็นบิดา ได้ประชุมพราหมณ์ และขนานพระนามราชกุมารว่า
เติ๊กดาดดา ไทต้ ือ๋ (สิทธัตถะราชกุมาร)
- ทรงดำรงอยใู่ นเพศฆราวาส
พระองค์ทรงอยู่ในเพศฆราวาสสมบตั ิ เป็นเวลา ๒๙ ปี กล่าวคือ เมื่อพระชนั ษาได้ ๑๖ ปี พระเจ้า
ตน่ิ ผา่ งเยอื ง (สุทโธทนะ) ได้ทรงขอพระนางยโสธรา (ญวนเรยี กวา่ ยายูด้ารา) ซง่ึ เปน็ พระธิดาของพระเจ้า
สุปปะพุทธะแห่งกรุงเทวทหะ โดยมีพระราชโอรสหน่ึงองค์พระนามว่า ราโห้วรา (ราหุล) นับแต่การท่ีมี
พระชายาและพระโอรสรวมเวลา ๑๓ ปี จึงได้เสดจ็ ออกผนวช
(***คัมภีร์ของญวน ได้กล่าวว่า พระองค์อยู่ในเพศฆราวาสสมบัติ ๑๙ ปี คือเม่ือชันษาได้ ๑๖ ปี
พระราชบดิ าขอพระนางพมิ พาให้ และนับจากทม่ี ีพระชายาและพระโอรสมาได้ ๓ ปี จงึ เสดจ็ ออกผนวช)
- การตรัสรู้
นบั แต่ได้ทรงผนวชไป ๖ ปี (ญวนว่า หลุกเนียนโขหั่น) ล่วงแล้ว จึงได้ตรัสรู้อนุตตระสัมมาสมั โพธิ
ญาณ (ญวนเรียกว่า พระอาโหน่วดาราตามเหยี่ยวตามโบ้เด้) ซึ่งตรงกับวันวิสาขะปูรณะมี ก่อนพุทธศก
๔๕ ปี ในระหวา่ งนี้พระองคก์ ็ทรงบำเพ็ญความเพียรสืบต่อไปเร่ือย ๆ สถานท่ีพระองค์ไดต้ รัสรู้ ท่ีใต้ต้นศรี
มหาโพธ์ิ (ญวนเรียกว่า โบ้เด้ถ่อ) ริมฝ่ังแม่น้ำเนรัญชรา (ญวนเรียกว่า บัดเด้ห้า) ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
(ญวนเรยี กว่า ย่ายาทา่ น) แควน้ มคธ
- การประดษิ ฐานพระพุทธศาสนา
ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงในกรุงราชคฤห์ (ญวนเรียกว่า ลาเหยียดเกวิก๊ ) แคว้นมคธก่อน
เพราะเหตุวา่ มคธชนบท เป็นประเทศใหญ่และสมบูรณ์ เป็นท่ีต้ังของสำนักครูเจ้าลัทธิ ต่าง ๆ ทม่ี ีชื่อเสียง
ของศาสนาพราหมณ์ และพระองค์ทรงเหน็ ว่าถ้าประดิษฐานพระพุทธศาสนาไว้ท่ีมคธแล้วจะสามารถเผย
แผไ่ ปสแู่ ควน้ อืน่ ๆ ไดง้ า่ ย จงึ ไดเ้ ลือกมคธ เป็นตน้ กำหนดพระพทุ ธศาสนา
- ประกาศพระพทุ ธศาสนา ถงึ ปรนิ ิพพาน
พระพุทธองค์ทรงประกาศพระพุทธศาสนา ท่ัวแคว้นมคธ รวมถึงแคว้นใกล้เคียง ท่ัวชมพูทวีป
เปน็ ระยะเวลา ๔๕ ปี แลว้ พระพทุ ธองคท์ รงปลงมายสุ ังขารปรินพิ พาน (ญวนเรียกว่า บา๊ ดหนากบ้าง) คือ
การปรินิพพานน่ันเอง และตรงกับวันวิสาขปูรณะมีบูชา เพ็ญเดือนหก ก่อนพุทธศก ๑ ปี ท่ีกรุงกุสินารา
แขวงมัลละชนบท ป่าไม้รัง (ญวนเรยี กว่า โกวทีท่าน) จำพวกมัลละกษัตริย์เป็นเจ้าภาพจัดการถวายพระ
เพลิงพระศพ ณ มกุฎพันธะเจดีย์ พระธาตุคือ อัฐิของพระพุทธเจ้าได้ทรงแบ่งให้แก่พวกกษัตริย์ที่มาจาก

๒๕

แคว้นต่าง ๆ ด้วยความเสมอภาพสามัคคีธรรม โดยมีโทณพราหมณ์ เป็นผู้จัดแบ่ง เป็นอันเรยี บร้อย และ
พระมหากษตั รยิ แ์ ตล่ ะเมอื ง ได้นำไปสกั การะประดิษฐานไว้พระเจดยี ท์ ต่ี นสร้างข้ึนมาตอ่ ไป

สังเวชณียสถาน ๔ ตำบล ทคี่ วรจำเปน็ อย่างยง่ิ ดงั นี้
๑. สถานทีพ่ ระบรมศาสดาประสตู ิ (ญวนเรียก ซัน)
๒. สถานท่พี ระองคต์ รสั รู้ (ญวนเรยี ก ด๊กั ดา่ ว)
๓. สถานทีพ่ ระองคแ์ สดงธรรมจกั รกปั ปวตั นสูตร ปฐมเทศนา (ญวนเรียก เทยี๊ ดพา๊ บ)
๔. สถานที่พระองค์เสดจ็ ดับขนั ธ์ปรนิ พิ พาน (ญวนเรยี กวา่ หยอบหนากบ้าง)

ผเู้ ขยี นจะขอยกหลกั ธรรมส่วนหนึ่งทีพ่ ระสงฆอ์ นมั นิกาย ใชเ้ ทศนาสั่งสอน ดงั น้ี
หลักธรรมตามบ๋าว (รตั นะ ๓ อยา่ ง) คือ

๑. เผิก คือพระพุทธ (ผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้ายกายวาจาใจ ตามพระธรรมวินัยที่
เรียกว่าพระศาสนาชือ่ พระพุทธเจา้ )

๒. พา๊ บ คือพระธรรม (คำสัง่ สอนของพระพุทธเจ้า ได้ชอื่ วา่ พระธรรม)
๓. ตัง คือพระสงฆ์ (บรรพชิตท่ีนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติชอบตามพระ
ธรรมวนิ ยั เรียกว่าพระสงฆ)์
คุณของพระรตั นะ มี ๓ ประการ คือ
๑. พระพทุ ธเจา้ รดู้ ีรู้ชอบด้วยพระองคเ์ องก่อนแล้ว ทรงสั่งสอนผู้อื่นให้ร้ตู าม
๒. พระธรรม ยอ่ มรกั ษาผู้ปฏบิ ัติ ไม่ใหต้ กไปในท่ีชัว่
๓. พระสงฆ์ ปฏบิ ตั ิตามคำส่งั สอนของพระพุทธเจ้าแลว้ สอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตามด้วย
บุญกิริยาวตั ถุ ๓ อยา่ ง คือ
ส่งิ ทเ่ี ป็นทต่ี ัง้ แหง่ การบำเพ็ญบญุ เรียกวา่ บญุ กิรยิ าวตั ถุ มี ๓ อย่าง
๑. โบ๊ท้ี คือ ทานมัย บญุ สำเร็จด้วยการบรจิ าคทาน
๒. กร้ีย้าย คอื ศีลมยั บุญสำเรจ็ ด้วยการรักษาศลี
๓. เที่ยนด่ิน คอื ภาวนามยั บญุ สำเรจ็ ดว้ ยการเจริญภาวนา
ต๊อื บเี หยฉา คือ พรหมวิหาร ๔
๑. ตอื้ คือ เมตตา ความรกั ใครป่ รารถนาจะใหเ้ ปน็ สุข
๒. บี คอื กรณุ า ความสงสารคดิ จะชว่ ยให้พ้นทกุ ข์
๓. เหย คอื มทุ ิตา ความพลอยยินดี เมือ่ ผูอ้ ื่นได้ดี
๔. ฉา คือ อเุ บกขา ความวางเฉยไมด่ ีใจไมเ่ สียใจ เมื่อผู้อ่นื ถงึ ความวิบตั ิ
สี่ อยา่ งนเี้ ป็นทอี่ ยขู่ องผ้ใู หญ่

๒๖

ตอื๊ ยืออ๊ตี ๊กุ คอื อิทธบิ าท ๔
๑. หยุกยอื อ๊ตี ุ๊ก คือ ฉันทะ ความอยากในสิ่งที่ชอบธรรม
๒. เหน่ยี มยืออตี๊ กุ๊ คือ จิตตะ ความระลกึ ในส่ิงทชี่ อบธรรม
๓. เตง๊ิ ยอื อตี๊ กุ๊ คือ วิรยิ ะ ความเพยี รในส่ิงทชี่ อบธรรม
๔. เหวย่ ืออ๊ตี ุก๊ คือ วมิ งั สา ปัญญารอบรใู้ นส่ิงทชี่ อบธรรม

บ๊าดจั๊นดา่ ว คอื มรรค ๘ คือ ความเหน็ ชอบ
๑. จ๊ันเกยี๊ น (สัมมาทฎิ ฐิ) คือ ความดำรชิ อบ
๒. จั๊นตอื (สัมมาสงั กัปปะ) คือ เจรจาชอบ
๓. จนั๊ หงือ (สัมมาวาจา) คือ การงานชอบ
๔. จั๊นเหงยี บ (สมั มากัมมันตะ) คือ เพียรชอบ
๕. จั๊นตนิ เตงิ๊ (สัมมาวายามะ) คอื ต้ังใจชอบ
๖. จ๊นั ดิ่น (สัมมาสมาธิ) คือ ระลึกชอบ
๗. จนั๊ เหน่ียม (สัมมาสต)ิ คอื เล้ียงชพี ชอบ
๘. จ๊ันหม่าง (สัมมาอาชวี ะ)

ถอ็ บเถ่ียน คอื กศุ ลกรรมบถ ๑๐
เทงิ ตาม คอื กายกรรม มี ๓ อย่าง

๑. เบิ๊กซักซัน (ปาณาติปาตา) คอื ไมฆ่ ่าสัตว์ (พ้องซันเหงียบ คอื ปล่อยสัตว)์
๒. เบก๊ิ โทวด่าว (อทินนาทานา) คือ ไมล่ กั ฉ้อถือเอาของผูอ้ น่ื (ท้ีถกึ เหงยี บ คอื สละทรพั ย์บรจิ าคทาน)
๓. เบก๊ิ ต้ายอม (กาเมสมุ ิจฉา) คือ ไม่ประพฤติผดิ ในกาม (ผา่ มหนั่ เงียบ คอื กรยิ าเรยี บรอ้ ย)
โขวตอ๊ื คือ วจกี รรม มี ๔ อย่าง
๔. เบ๊ิกหยอ่ งหงือ (มุสาวาทา) คือ ไมพ่ ูดเทจ็ (เท๊ยี ดเถิกหงือ คอื กลา่ ววาจาตรงตามความเปน็ จรงิ )
๕. เบิ๊กอห๊ี งือ (ปสิ ุณายะ) คอื ไมพ่ ดู ส่อเสยี ด (เจก๊ิ กรกึ คอื พูดตามท่รี ู้เท่าท่ีเห็นไมพ่ ดู เรอ่ื งของคนอน่ื )
๖. เบก๊ิ เหลืองเถียด (ผรุสสายะ) คอื ไมพ่ ูดคำหยาบ (ว่ากล๊ัน คอื กลา่ วคำออ่ นหวาน)
๗. เบ๊กิ อา๊ กหม่า (สมั ผัปปลาปา) คือ ไม่พูดเพ้อเจอ้ (เท่ียงเหยียง คือ กลา่ ววาจาเรยี บรอ้ ย)

๒๗

อ๊ีตาม คือ มโนกรรม มี ๓ อยา่ ง
๘. เบิก๊ ทาม (อภชิ ฌา) คือ ไมโ่ ลภอยากไดข้ องเขา (เบิก๊ ติน่ กวา๊ ง คือ สตพิ จิ ารณาอันเป็นของบริสทุ ธ)ิ์
๙. เบก๊ิ เซิง (อพยาบาท) คือ ไม่โกรธพยาบาทปองร้อยเขา (ต้อี บีกว๊าง คอื สติพิจารณาเป็นอารมณอ์ ยู่
ในเมตตากรุณา)
๑๐. เบ๊ิกต้าเก๊ียน (สัมมาทิฎฐิ) คือ เห็นชอบตามครองธรรม (เยินเยียน คือ สติพิจารณาเป็นอารมณ์ว่า
เปน็ นิสัย กรรม ๑๐ อยา่ งนี้ เป็นทางบุญควรดำเนินตลอดไปตราบนิรนั ดร)์

หลักธรรมของพระสงฆ์อนัมนิกายท่ีได้เล่าเรียนศึกษากันมา และนำไปปฏิบัติ ส่ังสอนสาธุชนได้
ปฏิบตั ิตาม มาพอเป็นสังเขป ถ้ากลา่ วถึงหลักธรรมกันจรงิ ยังมีอีกมากมายนัก และเป็นเร่ืองของจิตใจเป็น
ส่วนใหญ่ ดังน้ัน หลักธรรมของพุทธศาสนามหายานกับเถรวาทจะมีลักษณะไม่แตกต่างกันเลย จะ
แตกต่างตรงท่ีแต่ละคนนำไปตีความและปฏิบัติกันเท่านั้นเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดของหลักธรรม คือ สอนให้
คนเป็นคนดี ไม่ทำช่ัว ทำจิตใจให้ผ่องใส่

ประวัติพระกษติ คิ รรภโพธิสตั ว์
พระสงฆ์อนัมนิกาย เป็นพระสงฆ์ท่ีนับถือพุทธศาสนามหายาน และไดร้ ับอารยธรรมจากประเทศ

จีนมานับพันปี ดังน้ันส่ิงต่าง ๆ ทางศาสนา ความเช่ือ ประเพณี
วฒั นธรรม ภาษา เหล่านีล้ ้วนได้รับจากจีนแทบทงั้ ส้ิน และไม่วา่ พระสงฆ์
จะจาริกไปแสวงบุญท่ีไหนกต็ าม ก็จะนำหลักธรรม ทางศาสนา ศาสนพิธี
พระโพธิสัตว์ ที่ตนนับถือไปด้วย และต่อไปน้ีจะขอกล่าวถึงเร่ืองราวของ
พระโพธิสัตว์ทพี่ ระสงฆ์อนมั นิกายในประเทศไทยได้เคารพนับถอื และใน
แต่ละวัดของพระสงฆ์อนัมนิกายจะมีรูปป้ันของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้
อยดู่ ว้ ยเสมอ นน่ั กค็ อื พระกษติ ิครรภโพธสิ ตั ว์

เรื่องราวของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ขออ้างจาก หนังสือพระกษิติครรภโพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร
ของ อ.โจว ชงิ ฟง่ แปล และ “รศั มีธรรม” เรียบเรยี ง ดงั มีใจความว่า

“พระพุทธองค์ได้ทรงมีอรรถาอธิบายแก่ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า “หากถือเอา ต้นไม้ ใบหญ้า
กรวด หิน แม้แตเ่ ศษผงละอองธุลี ตลอดจนทุกสรรพส่ิงในมหาอนันตจักรวาลนี้ท้งั หมด โดยเปรยี บเอาแต่
ละอย่างเป็นแม่น้ำคงคาสายหนึ่งและเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในแม่น้ำนั้น คือ โลกน้ี และเศษเส้ียวของละออง
ธุลีในโลกน้ัน ๆ คือ เพทภัยและเคราะห์กรรมหนึ่งอย่างของสรรพสัตว์ แล้วละก็....กุศลปัตตาทานท่ีพระ
กษิติครรภโพธิสัตว์ได้โปรดแผ่ให้แก่สัตว์ท้ัง ๖ เหล่าคือ เทวดา มนุษย์ อสูร เปรต เดรัจฉานและสัตว์ใน
นรกแลว้ นนั้ ยงั จะมีจำนวนมากกว่าเพทภยั และบาปเคราะหข์ องสรรพสตั ว์ถงึ หมนื่ แสนเทา่ ทวคี ณู เสียอีก

๒๘

ตลอดอสงไขกัปป์นับไม่ถ้วนมาแล้วที่พระโพธิสัตว์กษิติครรภผู้ทรงคุณธรรมเมตตา ได้ปฏิบัติ
ช่วยเหลือโปรดสัตว์ท้ัง ๖ เหล่า ทั้งเทศนาส่ังสอนให้รู้สึกสำนึกในบาปกรรมทั้งหลาย อันจักส่งผลให้
กลับมาสนองทำลายผู้ทกี่ ระทำ อีกท้ังยงั แนะนำสรรพสัตวเ์ หลา่ นั้นให้ประกอบกุศลกรรมอันเป็นที่พ่งึ เพื่อ
จะไดพ้ น้ จากนรกไปสู่สุคติ กระท่ังนำทางใหพ้ วกเขาไดบ้ รรลุมรรคผลแล้ว ก็มจี ำนวนมากมายอเนกอนันต์
โดยลำดบั มา”

“มาตรแม้นวา่ ในอนาคตกาลหากมสี าธุชนชายหญิงผู้ใดต้งั มัน่ อยู่ในคณุ ความดี เพยี งแตไ่ ด้เอ่ยนาม
ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ด้วยจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์ ได้กราบไหว้สักการะบูชาด้วยธูป ประทีป ดอกไม้
เครื่องหอม ต่อรูปวาดหรือรูปสลักของท่าน บุคคลผู้นั้นเมื่อละสังขารจากโลกมนุษย์ก็จะไดไปจุติในสุคติ
ภพ อยู่เสวยทิพยสุข ๑๐๐ ชาติ และจะไมม่ ีวันตกลงสนู่ รกอเวจแี น่นอน”

“ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว ปางก่อนพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้เคยเกิดเป็นบุตรชายคนโตของ
คฤหบดี ผู้ม่ังค่ัง เป็นสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “ซือจื้อเฟิ่นซิ่นจี้จู่ฟ่ันสิงยู้ไล้”
เม่ือบุตรชายของเศรษฐีไดเ้ ห็นพระพักตร์ของพระพุทธองค์ อันเจริญด้วยอลังการบารมี จิตก็บังเกิดความ
ปีติยินดีเคารพเลื่อมใสจึงได้กราบทูลถามพระองค์ว่า “ข้าแต่พระมหามุนีผู้ประเสริฐพระองค์ได้ทรงตั้ง
ปณิธานอันใดไว้หรือ จึงมีพระรูปโฉมท่ีงดงามสมบูรณ์เช่นนี้?” พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า “ดูก่อน
กุลบุตร...การปรารถนาท่ีจะได้บุคลิกลักษณะอันเป็นอุดมมงคลเช่นนี้ บุคคลผู้น้ันจะต้องทำการโปรด
เวไนยสัตวท์ ้ังหลายที่ตกอยูใ่ นหว้ งแหง่ ความทุกข์ นับต้ังแต่อดตี กาลมาโดยตลอด เม่ือนน้ั จงึ ได้บรรลุความ
มงุ่ มาดปรารถนาทุกประการ”

ด้วยเหตุนี้แล กุลบุตรผู้นั้นจึงได้ต้ังปณิธานอย่างแน่วแน่เพื่อท่ีจะได้โปรดสรรพสัตว์ในไตรภูมิให้
หลุดพ้นจากวัฎฎสงสารโดยคุกเข่าลง ณ เบื้องพระพักตรข์ องพระพุทธเจ้าในอดีต แล้วตัง้ สัตยาธิษฐานว่า
“ข้าพเจ้าจะต้องโปรดสรรพสตั วท์ ง้ั หลายใหห้ ลุดพ้นจากหว้ งทะเลทุกขใ์ หห้ มดสน้ิ จงึ จะขอบรรลสุ ูพ่ ทุ ธภูมิ
หากแม้นนรกอเวจียงั ไม่วา่ งเวน้ จาก เวไนยสตั ว์ข้าพเจ้าก็จะไม่ขอสำเรจ็ เปน็ พระพุทธเจ้า”

ตราบจนกระท่ังบัดน้ีเวลาได้ผ่านไปนับหมื่นล้านโกฏิปีแล้ว เพื่อจะฉุดช่วยเหล่าเวไนยสัตว์
ทั้งหลาย พระกษิติครรภโพธิสัตว์ซึ่งก็คือบุตรชายคฤหบดี ในกาลน้ัน จึงยังคงดำรงอยู่ในโพธิสัตว์ภูมิและ
ปฏิบัติตามปณธิ านท่ีต้ังไว้เปน็ จริยกิจเสมอ โดยไมย่ อมเขา้ สแู่ ดนนพิ พาน”

เร่ืองราวของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ยังมอี ีกมากมาย น่ีถือเป็นตวั อย่างหนึ่งเท่าน้ันที่อดีตชาติของ
พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นกุลบุตรนั้น แต่สิ่งท่ีสำคัญท่ีสุด พระกษิติครรภโพธิสตั ว์ ท่านทรงมีมหา
เมตตาทยี่ ิ่งใหญเ่ หลือเกนิ ท่ีอดทนโปรดสตั วต์ ราบนริ ันดร์ จนกว่าคนบาปจะหมดจากโลกมนุษย์

๒๙

มหานามแห่งพระพุทธเจ้าในอดตี

พระนามของพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ มีอยู่หลายพระองค์ มากจึงขอยกตัวอย่างบางพระองค์

เท่านั้น ดังในหนังสือพระกษิติครรภโพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร ของ อ.โจว ชิง ฟ่ง แปล และ “รัศมีธรรม”

เรียบเรยี ง ดงั มีใจความว่า

“พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าขออนุญาตในการพรรณาถึงพุทธานุภาพอัน

ยิ่งใหญ่ในท่ามกลางที่ประชุม อยู่บนสวรรค์ชั้นท่ี ๒ ชื่อว่า

“ดาวดึงส์” ดังนี้

พระตัณหงั กรพระพุทธเจ้า ในกาลน้ันหากบุคคล

ผู้ใด เพียงแต่ได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิต

ศรัทธาหันมาปฏิบัติธรรม ก็จะพ้นจากบาปเคราะห์ท้งั ปวงไป

ตลอดระยะเวลานานถึง ๔๐ กลั ป์

พระเมธงั กรพทุ ธเจ้า ในกาลน้ันหากบุคคลใดได้ยิน

พระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิตศรัทธาหันมาปฏิบัติ

ธรรม บุคคลนั้นผู้ก็จะได้เข้าสูก่ ระแสธารแห่งสัจจธรรมตลอด

ชั่วนริ ันดร์ เหลา่ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ในอดตี กัลปต์ ามท่พี ระกษติ ิ
พระสรณังกรพุทธเจ้า ในกาลน้ันหากบุคคลใดได้ยิน ครรภโพธิสัตวก์ ราบทลู พระพุทธโคดม (พระพทุ ธเจา้
ปจั จุบนั ชาติ)
พระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิตศรัทธาหันมาปฏิบัติ

ธรรม บุคคลนน้ั ก็จะได้ไปจุติบนสรวงสวรรคเ์ ป็นเวลา ๑,๐๐๐ ชาติ

พระทีปังกรพระพุทธเจ้า ในกาลน้ันหากบุคคลใดได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิต

ศรัทธาหันมาปฏิบัติธรรม บุคคลนั้นก็จะได้รับการประทานพรจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ิทุกพระองค์ในทั่วสากล

พภิ พ

พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า ในกาลน้ันหากบุคคลใดได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิต

ศรทั ธาหนั มาปฏิบัติธรรม บุคคลผูน้ ้ันจะไดบ้ รรลถุ งึ พระอนุตตรสัมโพธญิ าณโดยเร็ว

พระมังคละพทุ ธเจ้า ในกาลนั้นหากบุคคลใดได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิตศรทั ธา

หันมาปฏบิ ตั ิธรรม บุคคลผูน้ ั้นจะได้เกิดเป็นมนษุ ย์ทีม่ ากดว้ ยบญุ ญาบารมี จะไม่มีวันลว่ งลงส่อู บายภมู ิเลย

พระสมุ นะพุทธเจา้ ในกาลน้ันหากบุคคลใดได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิตศรทั ธา

หนั มาปฏิบตั ิธรรม บคุ คลผู้นั้นจะได้ไปจุติในแดนสุขาวดีอยูเ่ สวยทพิ ยสุขชว่ั กาลนาน

พระเรวตะพทุ ธเจา้ ในกาลนั้นหากบุคคลใดได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิตศรทั ธา

หนั มาปฏบิ ัตธิ รรม บคุ คลผนู้ ั้นอีกไม่นานก็จะสามารถบรรลุมรรคผลสำเร็จอรหันต์

๓๐

พระโสภติ ะพุทธเจา้ ในกาลนั้นหากบุคคลใดได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิดจิตศรัทธา
หนั มาปฏบิ ตั ิธรรม บุคคลผูน้ ้นั กจ็ ะหลุดพ้นจากสงั สารวฏั โดยสิน้ เชงิ

พระอโนมทสั สพี ุทธเจ้า ในกาลน้ันหากบุคคลใดได้ยินพระนามของพระองค์แล้ว บังเกิด
จิตศรัทธาหันมาปฏิบัติธรรม บุคคลผู้นั้นก้จะมีโอกาสสดับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าทุก
พระองค์ในมหาอนันตจกั รวาล

ตลอดเวลาท่ีผ่านมา ได้มีพระพุทธเจ้าอุบัติข้ึนอีกหลายพระองค์สืบมา คือ พระปทุมะพุทธเจ้า
พระนารทะพุทธเจ้า พระปทุมมุตตระพุทธเจา้ พระสุเมธะพทุ ธเจ้า พระสุชาตะพระพุทธเจ้า พระอัตถทัส
สีพุทธเจ้า พระธรรมทัสสีพุทธเจ้า พระสิทธัตถะพุทธเจ้า พระติสสะพุทธเจ้า พระปุสสะพุทธเจ้า พระ
วิปัสสีพุทธเจ้า พระสิขีพุทะเจ้า พระเวสสภูพุทธเจ้า พระกกุสันธะพุทธเจ้า พระโกนาคมนะพุทธเจ้า
พระกัสสปะพุทธเจ้า ตราบจนกระทั่งบัดนี้ได้ลถุ ึงสมยั “พระโคตมะพุทธเจ้า” พระองค์ผู้ประเสรฐิ แห่งหมู่
ศากยราช

พระโคตมะพุทธเจ้า
เมอื่ เวไนยสัตวท์ ั้งในปัจจุบันและในอนาคตเม่ือกำลงั จะสนิ้ ใจ หากมีคนหน่ึงในบ้าน ได้สวดภาวนา

พระนามของพระพุทธเจ้าท้ังหลายแทน เมื่อบุคคลนั้นตายไปก็จะได้รับการผ่อนผันโทษทัณฑ์ในนรก ถ้า
บคุ คลนั้นทำอนันตริยกรรม ๕ สถาน เป็นการตกนรกอเวจี แต่การสวดภาวนานั้นจะทำให้โทษทณั ฑ์นั้น ๆ
ทุเลาเบาบางลงได้

เช่นน้ีแล้วจะกล่าวไปไย ถึงผู้ที่ได้ภาวนาบริกรรมพระนามของพระพุทธเจ้าด้วยตัวเอง มหากศุ ลที่
มอิ าจประมาณได้ยอ่ มจะบงั เกิดแก่บุคคลผู้น้นั อย่างแน่นอน”

หลกั ธรรมของพระกษติ คิ รรภโพธิสัตว์

เมื่อกล่าวถึงหลักธรรมที่ชัดเจนของพระกษิติครรภโพธิสัตว์แล้วจะไม่ปรากฎชัดเจนนัก แต่จะมี

ลกั ษณะเปน็ เร่ืองราวหรือเหตุการณแ์ ล้วนำไปส่ังสอน พอจะสรปุ ได้ดงั นี้

๑. ความเมตตา ๒. ความกรุณา

๓. ความเสียสละ ๔. ความมีสจั จธรรม

๕. การภาวนา ๖. กตญั ญกู ตเวที

๗. บรจิ าคทาน (ทำบุญ) ๘. ความตัง้ ใจ

๙. การทำความดี ๑๐. จิตใจมนั่ คงแนว่ แน่ มีปณิธานท่มี น่ั คง

๓๑

เม่ือสรุปแล้ว เป็นหลักธรรมที่บุคคลทั่วไปควรนำไปปฏิบัติได้จริง และเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนใน
ชีวิตประจำวันของคนแต่ละคนด้วยซ้ำไป ดั่งคำว่า ทำดี-ดี , ทำชั่ว-ชั่ว แน่นอน เมื่อทำบาป-บาป, เมื่อ
ทำบญุ -บญุ แนน่ อนเชน่ เดียวกนั ดังนน้ั การเปน็ คนดี หรอื คนชั่ว เราเปน็ ผ้กู ำหนด เทา่ น้นั

คำอาราธนาศลี ๕
พระสงฆ์อนมั นิกายในประเทศไทย ไดย้ ดึ แนวทางในการปฏบิ ตั ติ ามแบบพธิ ีกรรมของศาสนาตนไว้

เช่นเดิม เม่ือก่อนจะเร่ิมพิธีสงฆ์อะไรต่าง ๆ ก็ตาม จำเป็นจะต้องให้สัปปุรุษทายกทายิกาได้มาประชุม
พร้อมกันในพระอุโบสถ จุดธูปเทียนทำการสักการะพระรัตนตรัยก่อน แล้วกล่าวคำอาราธนาศีล ๕
ดังต่อไปน้ี
ในอดตี กลา่ ววา่ ....

๑. กิมถินด่ายดึ๊กยึ๊กตำเหนี่ยม เด่ตื๋อจุ๊งดั๋งกิมถินด่ายดึ๊ก ยีเก้ียนหงูเย้ยหว้าเถ่ือง เหวี่ยนด่ายดึ๊กยีห
งาตา๊ กหงเู ยย้ หว้าเถื่อง หงาอีดา่ ยดึก๊ โก๊ ดัก๊ ถอ่ เผ็อกก๊ำเยย้ ต้ือเหม็งโก๊

๒. ต้ายถินด่ายดึ๊กย๊ึกตำเหน่ียม หงาเดต่ ๋ือจงุ๊ ดัง๋ กิมถนิ ด่ายดึก๊ ยีเก้ืยนหงเู ย้ยหว้าเถ่ือง เหว่ียนด่ายด๊ึกยี
หงา ตา๊ กหงเู ย้ยหวา้ เถ่อื ง หงาอีด่ายดก๊ึ โก๊ ดั๊กถ่อเผอ็ กกำ๊ เยย้ ต้อื เหม็งโก๊

๓. ตามถินด่ายด๊ึกยึ๊กตำเหน่ียม หงาเด่ต๋ือจุ๊งดั๋งกิมถินด่ายดึ๊ก ยีเก้ียนหงูเย้ยหว้าเถื่อง เหว่ียนด่ายด๊ึก
ยหี งาตา๊ กหงเู ยย้ หวา้ เถ่ือง หงาอดี า่ ยดึก๊ โก๊ ดั้กถ่อเผ็อกก๊ำเยย้ ตื้อเหมง็ โก๊
ในปจั จุบันกล่าวว่า........

๑. กุงถิน ด่ายด๊ึกยึกต็อมเหน่ียม หงาเด่ตื๋อจุ๊งด๋ัง กิมกินด่ายดึ๊ก หย่ีหงาเก๊ียนหงูย้าย หงา อี
ด่ายดก๊ึ โก๊ ดก๊ั ถ่อเผกิ กอ๊ มยา้ ย ตอื้ เหมิงโก๊

๒. ต้ายถิน ด่ายดึ๊กยึกต็อมเหน่ียม หงาเด่ต๋ือจุ๊งดั๋ง กิมกินด่ายดึ๊ก หยี่หงาเก๊ียนหงูย้าย หงาอี
ด่ายด๊ึกโก๊ ดก๊ั ถ่อเผกิ กอ๊ มยา้ ย ตือ้ เหมงิ โก๊

๓. ตามถิน ด่ายดึ๊กยึกต็อมเหนี่ยม หงาเด่ตื๋อจุ๊งด๋ัง กิมกินด่ายดึ๊ก หย่ีหงาเกี๊ยนหงูย้าย หงาอี
ด่ายดึ๊กโก๊ ดั๊กถ่อเผิกก๊อมย้าย ตื้อเหมงิ โก๊

คำแปลคำอาราธนาศลี ๕
ขอท่านผู้มีธรรมอันประเสริฐ ข้าพเจ้าท้ังหลายขออาราธนา ท่านผู้มีธรรมอันประเสริฐ จงเป็น

อาจารย์ศีล ๕ แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าทั้งหลายขอยึดเหน่ียวท่านเป็นท่ีพ่ึงแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย จง
แนะนำสงั่ สอนขา้ พเจา้ ทง้ั หลายให้ปฏิบตั อิ ยใู่ นศีล ๕ ประการนี้ โดยเครง่ ครดั ตลอดชว่ั กาลนาน

๓๒

ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงศีล ๕ ของคฤหัสถ์ ท่ีถือเป็นข้อควรเว้นจากสงิ่ ท่ไี ม่ดไี ม่งามของคฤหสั ถท์ ี่ควร
หลีกให้ห่างไกล และจะกล่าวถึง ศีล ๑๐ ซ่ึงเป็นของสามเณรฝ่ายอนัมนิกายด้วย ที่สามเณรควรรู้และ
นำไปต้ังมั่นอยพู่ รอ้ มระลกึ ถึงอย่เู นือง ๆ

ศลี ๕ (เบญจศลี )
๑. ญกึ เย๊ียกเบก๊ิ ซักซัน ถ่ีเผกิ ก๊อมยา้ ยหงากมิ ถอ่ กรี้ แปลว่า เวน้ จากการฆา่ สตั ว์
๒. หญี่เยย๊ี กเบก๊ิ โทวด่าว ถเี่ ผิกก๊อมยา้ ยหงากิมถ่อกรี้ แปลว่า เวน้ จากการลักขโมย
๓. ตามเย๊ียกเบก๊ิ ต้าย็อม ถเี่ ผกิ กอ๊ มย้ายหงากิมถ่อกร้ี แปลวา่ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. ตื๊อเยยี๊ กเบ๊กิ หย่องหงอื ถเ่ี ผกิ กอ๊ มยา้ ยหงากิมถ่อกรี้ แปลวา่ เวน้ จากการพูดเทจ็
๕. หงูเย๊ียกเบิ๊กอ๋อมต๋ึว ถี่เผิกก๊อมย้ายหงากิมถ่อกรี้ แปลว่า เว้นจากการดื่มสุรา เมรัย น้ำเมา อัน
เป็นเหตุแห่งความประมาท
ศีล ๕ ข้อเป็นสิ่งทุกคนควรละเว้น เพราะมันเป็นกายกรรมที่ก่อบาปให้แก่ตนทุกชาติไป ไม่ว่าจะ

เป็นบรรพชติ หรอื คฤหสั ถ์ ก็ไมค่ วรที่จะละเมิดศลี อนั เปน็ พ้นื ฐานของชีวิตเดด็ ขาด

ศลี ๑๐ ขอ้ (สิกขาบทสามเณร)
สำหรับสามเณรที่บรรพชาในพระพุทธศาสนาจะต้องน้อมรับศีล ๑๐ ไว้เป็นข้อปฏิบัติละเว้นสิ่ง

ต่าง ๆ ดังนี้
๑. ญึกเยยี๊ กเบิก๊ ซักซนั ถี่ซายยี า้ ยหยอื ดังกร้ีผู แปลวา่ เวน้ จากการฆ่าสัตว์
๒. หญี่เยี๊ยกเบ๊กิ โทวดา่ ว ถ่ีซายยี า้ ยหยือดงั กร้ีผู แปลว่า เว้นจากการลกั ขโมย
๓. ตามเยีย๊ กเบ๊ิกตา้ ย็อม ถ่ีซายีย้ายหยอื ดงั กรผ้ี ู แปลว่า เว้นจากกรรมมิใช่พรหมจรรย์ คือ เมถุน
ธรรม
๔. ต๊อื เยย๊ี กเบ๊กิ หย่องหงอื ถซ่ี ายยี ้ายหยอื ดังกรผี้ ู แปลวา่ เว้นจากการพูดเทจ็
๕. หงเู ยี๊ยกเบ๊ิกอ๋อมตึ๋ว ถ่ีซายีย้ายหยือดังกรี้ผู แปลว่า เว้นจากการดื่มสุรา เมรัย น้ำเมา อันเป็น
เหตแุ ห่งความประมาท
๖. หลุกเย๊ียกเบ๊ิกเกรื๊อกเฮืองวามาง เบ๊ิกเฮืองโด้เทิง ถี่ซายีย้ายหยือดังกรี้ผู แปลว่า เว้นจากการ
ทัดดอกไม้ ทาเครอื่ งหอม อันเปน็ ฐานแต่งตวั
๗. เทิ๊กเย๊ียกเบ๊ิกกาหยอเช้ืองก่ีเบ๊ิกหยางกวางท้ิน ถี่ซายีย้ายหยือดังกร้ีผู แปลว่า เว้นจากการ
กระทำฟอ้ นรำ ขับร้อง และฟังหรือดูการบนั เทิง อันเป็นขา้ ศึกต่อทางกุศล
๘. เทิ๊กเย๊ียกเบิ๊กต่ากาวกว๋างด่ายซ่าง ถ่ีซายีย้ายหยือดังกรี้ผู แปลว่า เว้นจากการนอนบนที่นอน
สงู ท่ีนอนใหญ่

๓๓

๙. กึ๋วเยีย๊ กเบ๊ิกพีท่ีถึก ถี่ซายีย้ายหยือดังกรผ้ี ู แปลว่า แปลว่า เว้นจากการบรโิ ภคอาหารในเวลา
วิกาล

๑๐. ถ็อบเยี๊ยกเบิ๊กกร๊อกกรี้ซันเต่ืองกิมเงิงบ๋าวเหยิก ถ่ีซายีย้ายหยือดังกรี้ผู แปลว่า เว้นจาก
การรับเงินทอง

ศีล ๑๐ ข้อน้ีเป็นศีลสิกขาบทของสามเณรในพุทธศาสนามหายาน อนัมนิกาย ที่ยึดปฏิบัติกันมา
โดยตลอด และส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเห็นการรับศีลของสามเณรตอนที่บรรพชาเข้ามาเป็นสามเณรฝ่าย
อนัมนิกายแต่ต้น นอกจากน้ีแล้วสามเณรยังต้องยึด “สิกขาบทพระโพธิสัตว์” อีก ๕๘ ข้อด้วย จึงจะ
สมบรู ณ์

อานิสงส์ศลี ๕ (อนมั นิกาย)
ดางเกร้ียนหงูเย้ย เบ๊ิกดั่วตามโด้เตียงท้ันเหล่ยซันจีโบ๋น หมากชุดยูตือตื้อตือหยีเต้ียน

กรีกว๊าเต๊ิกก๋าย ตื้อตือหยีโห่ว ชึงเผิกยีซือ ชึงพ๊าบยีซือ ชึงตงั ยีซือกิ๊น เบิ๊กกวอี ีต้ามาหงว่ายด่าว อีเย้าเผ่ือง
หน้ั

คำแปลอานสิ งสศ์ ลี ๕
ผทู้ ีร่ กั ษาศลี ๕ โดยบรสิ ุทธ์บิ รบิ ูรณไ์ มด่ ่างพร้อย ผ้นู ้นั จะไม่ต้องไปเกิด คอื
๑. ไม่ต้องไปเกิดในนรกอเวจี
๒. ไมต่ อ้ งไปเกดิ เป็นเปรต อสุรกาย
๓. ไม่ตอ้ งไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน
ผ้บู ริบูรณ์ดว้ ยศีล ๕ ยอ่ มได้เสวยสขุ อยูเ่ บอื้ งบนสวรรค์ ตลอดถึงซ่ึงพระนพิ พาน
สิ่งอย่างหน่ึงท่ีขาดเสียมิได้คือการอาราธนาพระปริต ซ่ึงถือวา่ เป็นการปลอดภัยจากอันตรายทุกข์

โศกโรคภัยต่าง ๆ ในทน่ี ้จี ะขอกลา่ วไว้โดยเปรียบเทยี บของญวน และไทย ดงั นี้

คำอาราธนาพระปรติ ภาษาญวน
(ถนิ ตุ่งกนิ ยงั )

กุงถนิ เท่ยี นตงั เจยี๋ นตุ่งตูดารา บาราเหมกิ ดา กร้ือจือโข
ต๊ายถนิ เทย่ี นตงั เจินโงนเย้า ยังกร้อื เหยียดหนาว โด่กวง้ึ เม
ตามถินเท่ียนตัง เจย๋ี นตุ่งเจนิ โงนเย้า กร้อื บน่ิ หนา่ นโข โด่กวึง้ เม
คำอาราธนาพระปริตของไทย
วปิ ัตติปฎพิ าหายะ สัพพะสมั ปัตตสิ ทิ ธิยา สพั พะทกุ ขะ วนิ าสายะ ปรติ ตัง พรถู ะมังคะลัง

๓๔

วิปัตตปิ ฎพิ าหายะ สัพพะสัมปตั ตสิ ิทธยิ า สพั พะภะยะ วินาสายะ ปรติ ตัง พรถู ะมังคะลัง
วปิ ัตตปิ ฎพิ าหายะ สัพพะสัมปัตติสทิ ธิยา สพั พะโรคะ วินาสายะ ปริตตงั พรถู ะมังคะลงั

คำอาราธนาธรรมภาษาญวน
(ถนิ เท๊ียดพ๊าบบา๋ ว)

กุงถินด่ายด๊ึกยึกต็อมเหนี่ยม เตียนเท๊ียดจั๊นพ๊าบบ๋าว เหวี่ยนด่ายดึ๊กยีหงา เตียนเท๊ียดจ๊ันพ๊าวบ๋าว
หงาอีด่ายด๊กึ โก๊ ดั๊กยงั จัน๊ พา๊ บบ๋าว ต้ือเหมงิ โก๊

ต๊ายถินด่ายดึ๊กยึกต็อมเหนี่ยม เตียนเท๊ียดจั๊นพ๊าบบ๋าว เหวี่ยนด่ายดึ๊กยีหงา เตียน
เท๊ยี ดจน๊ั พ๊าวบ๋าว หงาอีด่ายด๊ึกโก๊ ดั๊กยงั จั๊นพ๊าบบา๋ ว ต้ือเหมงิ โก๊

ตามถินด่ายด๊ึกยึกต็อมเหน่ียม เตียนเท๊ียดจั๊นพ๊าบบ๋าว เหว่ียนด่ายดึ๊กยีหงา เตียน
เทย๊ี ดจ๊นั พ๊าวบ๋าว หงาอีดา่ ยดึ๊กโก๊ ดั๊กยังจ๊ันพา๊ บบ๋าว ตอื้ เหมิงโก๊

น้ีคอื บทสวดอาราธนาธรรมเทศนาและอาราธนาพระปริต ซงึ่ ฝ่ายภกิ ษุสงฆญ์ วนไดส้ วดกันอยู่เนอื ง
ๆ ในอดีต ส่วนในยุคปัจจุบันนี้ก็มีสวดบ้างในงานสำคญั ๆ เช่นการอปุ สมบทและบรรพชา เพราะน้อยคร้ัง
มากท่ีจะมีพระสงฆ์ญวนได้นำมาสวดบ่อย ๆ เมื่อเทียบกับพระสงฆ์ไทยแล้วท่ีมีการสวดบทอาราธนาธรรม
อาราธนาพระปริตบ่อยมากแทบทุกวัน ด้วยเหตุน้ีพระสงฆ์สามเณรฝ่ายอนัมนิกายควรศึกษาและฝึกท่อง
บ่นสาธยายกันให้สม่ำเสมออย่เู นือง ๆ จะได้ไมถ่ กู ลืม หรือมีไว้เพียงในตำราเท่าน้นั

สรปุ
หลักธรรมของพุทธศาสนามหายาน อนัมนิกายถ้ากล่าวกันแล้วมีลักษณะเหมือนของเถรวาท แต่

คนละภาษาเทา่ นัน้ เองความหมายมลี ักษณะเหมอื นกันแทบทกุ อยา่ ง อาจจะมีบ้างที่แตกต่างเพราะเปน็ ไป
ตามสภาพของสังคม น้ัน ๆ ด้วย เพราะการมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันจึงทำให้แทบทุกอย่างเหมือนกัน
ต่างกันตรงคติที่ยึดถือตามครูบาอาจารย์สืบต่อกันมาเท่าน้ันเอง เช่นการมีประวัติของพระพุทธเจ้า การ
ประสูติ ตรัสรู้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา และการปรินิพพานพร้อมมีหลักธรรมเบื้องต้นที่ศึกษาและ
เขา้ ใจในเบื้องต้นเหมือนกนั เช่น มพี รหมวหิ าร ๔, อิทธิบาท ๔ เปน็ ต้น

ส่วนคติของมหายานน้ันเน้นไปที่พระโพธิสัตว์เป็นส่วนใหญ่ หนังสือเล่มนี้ขอกล่าวถึงเพียงพระ
กษิติครรภโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นโพธิสัตว์ท่ีได้ต้ังปณิธาน ไว้ว่า “จะโปรดเวไนยสัตว์ให้หมดจากบาปทุกภพทุก
ชาติก่อนแล้วจึงค่อยเข้าสู่แดนพระนิพพานเป็นพระพุทธเจ้า” พระองค์ทรงมีพระเมตตาอันย่ิงใหญ่ต่อ
เวไนยสัตว์ทุกหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในโลกมนุษย์ อยู่ในนรกอเวจี ท่านก็เสด็จไปโปรดทุกท่ี ในเร่ืองของ

๓๕

หลักธรรมของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ยังไม่ได้ปรากฏชัด แต่พอสรุปได้โดยนัยว่า ความเมตตากรุณา
ความเสียสละ การบริจาคทำบุญ การอดทน เหล่าน้ีเป็นต้น ทรงส่ังสอนให้เวไนยสัตว์ลด ละ เลิกจาก
กิเลสทง้ั หลายท้ังปวง ใหส้ ร้างแตก่ ศุ ล ผลบญุ จะไดช้ ่วยนำส่งในแดนสขุ าวดตี อ่ ไป

บทสวดมนต์ที่ควรตระหนักเป็นเบื้องต้นอยู่เสมอในฝ่ายพระสงฆ์ญวนน้ัน เพ่ือเป็นการรักษาไม่ให้
สูญหายไป เชน่ คำอาราธนาศีล, อาราธนาธรรม, อาราธนาพระปรติ เป็นต้น และศีล ๕,ศีล ๑๐ ควรท่ีจะ
ศึกษาไว้ให้ชัดเจน

กจิ กรรมเสรมิ ความรู้
นักเรียนจัดแบ่งกลุ่มออกเป็น ๕ กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มไปศึกษานอกสถานที่โดยให้ไปดูเทวรูปจริง

ของชาวญวนท่ีเป็น พระกษติ คิ รรภโพธสิ ัตว์ ในจำนวน ๕ วัดดงั นี้
วดั กุศลสมาคร วัดมงคลสมาคม วัดโลกานุเคราะห์ วัดอุภัยราชบำรุง และวัดชัยภูมิการาม ซึ่งวัด

เหลา่ นอี้ ยู่ใกลก้ ับโรงเรียน
แล้วนำมาสรปุ เป็นรายงาน และใหต้ วั แทน ๑ รปู มาสรปุ ให้เพ่อื นฟัง

กจิ กรรมวัดผล
นักเรียนตอบคำถามทกุ ขอ้ ดังตอ่ ไปนี้

๑. ประวัติของพระพทุ ธเจ้าตามคตญิ วน เป็นอยา่ งไร จงสรปุ พอสังเขป ?
๒. หลกั ธรรมท่เี ปน็ พืน้ ฐานเบอ้ื งต้น มอี ะไรบ้าง ?
๓. มรรค ๘ ภาษาญวนมอี ะไรบ้าง ?
๔. พระกษติ คิ รรภโพธิสตั ว์ เปน็ ใคร มีหลกั ธรรมอย่างไร อธิบาย ?
๕. สง่ิ ท่ีสำคญั ทีส่ ดุ ของพระกษติ คิ รรภโพธิสัตว์ มอี ะไรบ้าง ?
๖. คณุ ธรรมทพี่ อจะสรปุ ไดข้ องพระกษิติครรภโพธิสัตว์ มอี ะไรบ้าง ?
๗. จงเปรยี บเทยี บคำอาราธนาศลี ๕ พระสงฆ์ญวนกับพระสงฆไ์ ทยมาพอสังเขป ?
๘. จงแสดงความคิดเห็นว่า หลักธรรมของพุทธศาสนามหายาน อนัมนิกาย กับฝ่ายเถรวาท มี

ลกั ษณะเช่นไร อธบิ าย พร้อมยกตวั อย่างประกอบ ?

๓๖

บทที่ ๔
ศาสนพธิ ีท่สี ัมพนั ธก์ ับสังคมไทย

จุดประสงค์ปลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในศาสนพิธี หรือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวพุทธมหายาน ของ

พระสงฆอ์ นัมนิกาย สามารถอธิบายความสำคัญและบอกไดว้ ่าเป็นงานมงคลและงานอวมงคล
จดุ ประสงคน์ ำทาง

๑. นักเรยี นเขา้ ใจในศาสนพธิ ีของพระสงฆ์อนมั ได้อยา่ งถูกตอ้ ง
๒. นักเรียนแบ่งแยกได้ว่าพิธีกรรมของพระสงฆ์อนัมว่าสิ่งไหนงานมงคล ส่ิงไหนงานอวมงคลได้
ถกู ตอ้ ง
๓. นักเรียนเห็นคุณค่าของการประกอบพิธีทางศาสนาท่ีพระสงฆ์อนัมเข้าไปเก่ียวข้องกับ
สงั คมไทยไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
๔. นักเรียนสามารถนำพิธีกรรมที่เป็นประโยชน์สามารถให้ความเป็นสิริมงคลไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจำวันได้

ศาสนพิธีทส่ี ัมพันธ์กับสงั คมไทย
ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมทางศาสนาของชาวชนชาตินั้น ๆ ที่ได้ยึดถือปฏิบตั ิสืบทอดต่อ ๆ กันมาจน

เป็นประเพณี ท่ีมีพระสงฆ์เข้าไปเก่ียวข้องตลอดพิธี เพราะส่ิงท่ีสำคัญที่ชาวชนชาติน้ัน ๆ โดยเฉพาะพุทธ
ศาสนา พระสงฆ์จะเข้าเป็นหนึ่งในพิธีกรรมเสมอไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืออวมงคล โดยเฉพาะงาน
อวมงคลนี้ จะนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อเปน็ สื่อในการเช่ือมโยงระหว่างวญิ ญาณกับโลกมนุษย์นั่นเอง และถือ
เปน็ สิ่งที่ยดึ เหนีย่ วจิตใจของคนใหม้ ่นั คง เพือ่ ก่อสรา้ งบญุ กุศลตอ่ ดวงวญิ ญาณทอ่ี ทุ ศิ ให้ต่อไป

ศาสนพธิ ใี นบทน้ีจะกลา่ วเรื่องใหญ่ ๆ ดงั นี้
งานมงคล คือ งานพิธีกรรมที่นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น งาน
ตรษุ จนี , งานทำบญุ ขน้ึ บ้านใหม่ เปน็ ตน้
งานอวมงคล คือ งานพิธีกรรมท่ีนิมนต์พระมาสวดพระพุทธมนต์เพ่ืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่
ดวงวิญญาณที่ตัง้ ใจอทุ ศิ ใหน้ ้ันเอง เชน่ เทศกาลเชง็ เมง้ , พิธเี ซ่นขา้ ว เปน็ ต้น
ในท่ีนี้จะขอกล่าวถึง ๓ งานที่เป็นมงคลก่อน คือ งานตรุษจีน การขึ้นบ้านใหม่และงานพิธีเคารพ
บชู าและระลึกถงึ คุณของพระพทุ ธเจ้าและพระโพธสิ ัตว์

๓๗

งานมงคล
งานมงคล เป็นงานท่ีเมื่อประกอบขึ้นแล้วจะนำไปสู่การเป็นสิริมงคลให้แก่คนทำและคนรอบข้าง

โดยจะนมิ นต์พระสงฆไ์ ปเปน็ สว่ นในการประกอบพิธเี ช่นกนั ในบทนที้ ่ีกล่าวถึงมีดังนี้
งานตรุษจนี (ประเพณตี รุษจีน)
งานทำบญุ ขึน้ บา้ นใหม่
งานพธิ ีเคารพบูชาและระลกึ ถงึ คุณของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์

งานตรษุ จีน
งานตรุษจีน หรือเรียกกันว่า ประเพณีตรษุ จนี (ข้ึนปีใหม่) นัน้ ถือได้ว่าอิทธิพลอย่างมากกบั ชาวจีน

ทุกรปู ทุกนามไม่ว่าจะเป็นชาวพ้ืนบ้าน พระสงฆ์ หรือเจ้าขุนมูลนายท่ีมีเช้ือสายชาวจีน วันนี้จะถือเป็นวัน
สำคัญย่ิง ตามลัทธิประเพณีของชาวจีนแต่เก่าก่อนว่า ถึงวันน้ีแล้วจะมีไม่มีการค้าขายใด ๆ ท้ังสิ้น หยุด
จากการทำงานหนักตลอดทั้งปี แล้วพักผ่อนให้เต็มท่ี คนท่ีพลัดบ้านมาทำงานยังต่างประเทศก็กลับไป
บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ส่วนคนท่ีต้ังรกรากปักฐานอยู่ที่ประเทศไทยแลว้ ก็จำจะปิดร้าน ไปพักผ่อน
กันตามจังหวัดต่าง ๆ หรือไปหาญาติที่ต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว และก่อนจะถึงวันตรุษจีน จริง ๆ นั้น
ทุกคนจะมาทำความสะอาดบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านของตนเอง ตามความเช่ือว่า จะเป็นการส่งเทพ
เจ้ามาท่ีคุ้มครองครอบครัวของตนอยู่และเพื่อรับพรในวันปีใหม่จีน ให้เงินทองไหลมาเทมาด้วย ส่ิงที่
สำคัญเห็นกันเป็นธรรมเนียมคือเวลาใครมาเยี่ยมเยือนก็จะมีอังเปา (เงินใส่ซอง) ให้เป็นขวัญถุง และเป็น
สริ มิ งคลแก่ตน เป็นการบริจาคทานด้วย น่เี ป็นสง่ิ ทเี่ กิดข้นึ จรงิ ในปัจจบุ ัน ยา่ นเยาวราชในเมืองไทย

ถา้ จะกล่าวถึงตรุษแท้ ๆ มอี ยู่ ๔ วัน
วันท่ี ๑ เปน็ วนั ส่งเจ้า คนจีนถอื วา่ ทกุ ครอบครวั จะมีเจ้าคอยคุ้มครองรักษาอยู่ พอวันท่หี นึ่งของปี
ใหม่ทุกปี เจ้าประจำครอบครัวจะต้องข้ึนไปสวรรค์ เพื่อเฝ้าพระอิศวร (เง็กเซียนฮ่องเต้ ) นำความดี
ความชอบของครอบครัวนน้ั ๆ ไปกราบทลู ใหท้ รงทราบ ๖ วนั
วนั ท่ี ๒ เป็นวันจ่าย คนจีนจะไปซ้ือของที่จำเป็นในการไหว้ เช่น กระดาษเงิน กระดาษทอง ขนม
เป็ด ไก่ หมู ผลไม้และดอกไม้ธูปเทียน ผลไม้ส่วนมากมักเป็นพวกส้มจีน เพราะชาวจนี ถือว่าส้มเปน็ ผลไม้
ศักดส์ิ ิทธิ์ เปน็ มงคล
วันที่ ๓ เป็นวันไหว้ จะเป็นวันท่ีทำพิธีไหว้เจ้า ส่วนมากไปไหว้กันท่ีศาลเจ้า ส่วนการไหว้ตาม
บ้านเรือนหรือหน้าร้านนั้นเป็นการไหว้ผีไม่มีญาติ เจ้าก็มีอยู่สองประเภท คือ เจ้าประจำบ้าน และ เจ้า
ประจำศาล ส่วนเจ้าประจำศาลยังมีอีก ๒ ประเภท คือ เจ้าท่ีมาจากสวรรค์ และเจ้าท่ีเกิดจากวิญญาณ
ของคนสำคัญ ๆ ในท้องถิน่ น้ัน ๆ ท่ีไดล้ ว่ งลับไปแล้ว

๓๘

เรื่องการจัดประทัดน้ัน ตามประเพณีเดิม จุดเพื่อไล่ผีท่ีจะมาทำร้าย แต่ภายหลังความนิยมเลย
กลับกัน คือใช้จุดประทัดเพ่ือเป็นเกียรติ เช่น การต้อนรับคนสำคัญ ๆ เพ่ือส่งเทพเจ้าสู่สวรรค์ และอ่ืน ๆ
อกี มากมาย

วันที่ ๔ เปน็ วนั ถอื เปน็ วันถอื เคลด็ เกย่ี วกบั โชคลาง เช่น
๑. ถือไม่พูดคำหยาบตลอดวันนั้น เพราะถือว่าถ้าใครพูดคำหยาบในวันถือแล้ว จะถูกคนดูหม่ิน

ตลอดท้งั ปี
๒. ถือไม่กนิ นำ้ ขา้ ว เพราะถา้ ใครกนิ นำ้ ข้าวในวันถือปีน้ันไปไหน ๆ จะเจอฝนกลางทาง
๓. ถือไมก่ วาดบา้ น เพราะจะทำให้เก็บเงนิ ไมอ่ ยูต่ ลอดปี
๔. ถอื ไม่ทวงหนี้ เพราะจะทำใหข้ าดแคลน
พอจวนถึงวันตรุษจีนจึงได้หาเงินหาทองใช้หนี้กันใหญ่ เพราะเหตุแห่งการถือน้ีเอง ประเพณี
ตรุษจีนนี้ไม่ใชท่ างพุทธ รากฐานเดมิ มาจากลทั ธิเต๋าและขงจ๊ือ ด้วยเหตนุ เี้ องจึงได้เรียกวา่ “ตรษุ จีน”

งานทำบุญขึน้ บา้ นใหม่
พอกล่าวถึง งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ น้ีนักเรียนให้สันนิษฐานได้เลยว่า เป็นประเพณีของชาวพุทธ

ไทยที่ได้จัดทำข้ึนมาแต่สมัยปู่ย่าตาทวดแล้ว เป็นประเพณีสืบทอดต่อ ๆ กันมาว่า เมื่อขึ้นบ้านใหม่ทุก
คราวไป ให้นิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพทุ ธมนต์เพ่ือความเป็นสริ ิมงคลให้แกบ่ ้าน บางคร้ังปัจจุบันนี้ก็มกี าร
เจิมบา้ นด้วยซำ้ ไป

แต่รู้ ๆ กันอยู่วา่ ชาวจีน ญวน ไดอ้ พยพเขา้ มาในแผ่นดนิ ไทยเปน็ ระยะเวลานานพอสมควร สิ่งไหน
ที่ชาวไทยพุทธนับถือและเป็นสิ่งที่ดีไม่ขัดต่อศีลธรรมประเพณีอันดีงาน ชาวจีน ญวนก็ได้ยึดตามแบบน้ัน
ใหส้ อดคลอ้ งเปน็ อันหน่ึงอนั เดียวกัน

ซง่ึ การขนึ้ บา้ นใหม่ของชาวจีนนั้น ขอสรปุ พอเปน็ สังเขปดงั น้ี
เมื่อถึงกำหนดเวลาแล้ว เจ้าของบ้านจะมานิมนต์พระสงฆ์ญวน จีน ไปเจริญพระพุทธมนต์ท่ีบ้าน
พร้อมกับฉันภัตตาหารเพลด้วย พอถึงท่ีบ้านแล้วพระสงฆ์ก็เริ่มประกอบพิธีทำน้ำพระพุทธมนต์ ด้วยบท
สวดทำวัตรเช้า จนถึงบทสวดมาฮา หลังจากน้ันพระสงฆ์จะฉันเพล และเสร็จแล้วจะมีพระสงฆ์ท่ีเป็น
ประธานข้ึนบทสวดชะยันโต (ญวน) คือ มนต์ต๊ากโตหนิมฯ แล้วประธานสงฆ์น้ันก็ได้นำน้ำพระพุทธมนต์
ไปรดทุกมุมของบ้าน และเจิมบ้านเพ่ือความปัดเป่าทุกโศกโรคภัยต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
และลูกหลานต่อไป หลังเสร็จจากน้ัน พระสงฆ์จะให้พร (อนุโมทนาบุญ) แก่เจ้าภาพ เป็นอันเสร็จพิธีข้ึน
บ้านใหม่ของชาวจีน ซ่ึงเป็นพิธีสั้นแต่เต็มไปด้วยความขลัง ส่วนใหญ่จะไม่เกินเท่ียง ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
ทำบุญขึ้นบา้ นใหม่

๓๙

พธิ เี คารพบชู าและระลกึ ถึงคณุ ของพระพุทธเจ้าและพระโพธสิ ัตว์

พิธีน้ีเป็นพิธีจะกล่าวให้ชัดเจนลงไปว่าเป็นงานมงคล หรืออวมงคลก็ไม่ใช่อันใดอันหน่ึงที่ชัดเจน

แต่ผู้เขียนขอยกหัวข้อนีม้ าอย่ใู นวันมงคล เพราะว่า เปน็ การรำลึกถงึ สิ่งที่เป็นมหากุศลอันย่ิงใหญ่เป็นบรม

ครูผู้สั่งสอนคนทุกหมู่เหล่าให้บรรลุธรรม เป็นส่ิงที่เมื่อประกอบพิธีแล้วมีแต่คำว่ามงคลมาสู่ตนเอง ด้วย

การเอ่ยนามพระพุทธเจา้ และพระโพธิสตั ว์ ถือเป็นสง่ิ ท่เี ปน็ มงคลยงิ่ ใหญอ่ ยแู่ ล้ว ดังน้ันผู้เขียนจงึ จัดให้เป็น

งานมงคล

โดยอ้างองิ จาก วดั ถาวรวราราม จงั หวดั กาญจนบรุ ี ได้เรยี บเรยี งไว้ ดงั นี้

เมื่อพุทธศาสนิกชนผู้มีความเล่ือมใสในบวรพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสเข้าไปในพระอุโบสถของ

พระสงฆ์ฝ่ายมหายาน (อนัมนิกาย) คร้ังใดก็ตาม จะได้พบเห็นว่าภายในพระอุโบสถน้ันนอกจากมีพระ

พุทธซึ่งเป็นพระประธานแล้ว จะมีรูปภาพหรือรูปป้ันของพระโพธิสัตว์ตลอดจนเทพเจ้าต่าง ๆ

ประดิษฐานรวมอยู่ด้วย เพ่ือให้พระภิกษุสงฆ์และพทุ ธศาสนิกชนได้เคารพสักการะบูชาและกราบไหว้ อัน

เป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ และเพื่อพระองค์จะได้ช่วยปกป้องรักษาคุ้มครองให้มี

ความสุขความเจริญ และปราศจากภัยท้งั ปวง ดังมีรายพระนามของพระองค์ดังต่อไปน้ี คือ

๑. พระศากยมุนโี คดม หรือพระพทุ ธเจ้า (ญวนเรยี กวา่ ทดิ กามวึ นเี ผิก)

วนั ประสตู ิกาล ตรงกับวนั ของจนี คือ ขน้ึ ๘ คำ่ เดือน ๔

วนั ตรสั รู้ ตรงกับวันของจีน คอื ขึน้ ๘ ค่ำ เดือน ๑๒

วันปรนิ ิพพาน ตรงกับวันของจีน คือ ขน้ึ ๑๕ ค่ำ เดือน ๒

สำหรับพระศากยมุนีโคดม (ทิดกามึวนีเผิก) ในปีหน่ึง ๆ จะมีพิธีเคารพสักการะบูชา ๒ คร้ัง คือ

ในวันประสูติกาล กับวันที่ทรงตรสั รู้ สว่ นวันปรินิพพานไม่มีพิธีเคารพสักการะบูชาในวันนี้ (สอดคล้องกับ

ทผี่ เู้ ขียนให้เหตุผลไว)้

๒. พระอวโลกเิ ตศวรหรือกวนอมิ (ญวนเรยี กวา่ กวางเท้ออ็ มโบ่ต๊าก)

วันประสตู ิกาล ตรงกับวันของจีน คอื ๑๙ ค่ำ เดือน ๒

วนั ออกบวช ตรงกับวันของจีน คอื ๑๙ คำ่ เดอื น ๙

วันตรสั รู้ ตรงกบั วันของจีน คือ ๑๙ คำ่ เดือน ๖

พิธีเคารพสักการะบูชาพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) น้ีจะมีปีละ ๓ ครั้ง คือในวันประสูติ วันออก

บรรพชาและวันตรัสรู้

๓. พระอมิตาภะพทุ ธ (ญวนเรียกวา่ อายดี า้ เผิก)

วนั ประสตู กิ าล ตรงกบั วันของจนี คือ ๑๗ คำ่ เดอื น ๑๑

๔. พระมญั ชุศรหี รือมัญชโุ ฆษ (ญวนเรียกว่า ยังท่ซู อื เหล่ยโบต่ า๊ ก)

วนั ประสูตกิ าล ตรงกับวันของจนี คือ ๔ คำ่ เดือน ๔

๔๐

๕. พระสมันตภัทร (ญวนเรียกวา่ ด่ายห่นั โผเหย่ี นโบ่ต๊าก)
วนั ประสูติกาล ตรงกับวันของจนี คือ ๒๑ ค่ำ เดือน ๒

๖. พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระสังกจั จายน์ (ญวนเรียกวา่ ดังลายยีหลากโตงเผกิ )
วันประสูตกิ าล ตรงกับวนั ของจนี คอื ๑ ค่ำ เดือน ๑

ต้ังแต่องค์ท่ี ๓ – ๖ จะต้องทำพิธีเคารพสักการะ ปีละ ๑ คร้ังเป็นประจำ เพื่อความเป็นสิริมงคล
แก่วดั และพทุ ธศาสนิกชนทม่ี าไหว้

เม่ือถึงวันเวลาท่ีกำหนดคนจีนส่วนใหญ่จะพาบุตรหลาน ไปทำการไหว้เพ่ือขอพรความเป็นมงคล
ให้แก่ตนถือว่าวันนั้น ๆ สำคัญย่ิง เป็นการยึดถือมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยังคงรักษาอย่างมั่นคงไม่เส่ือม
คลาย

สรุปแล้วงานมงคล เป็นความเช่ือของคนเราไม่สามารถลบล้างความเช่ือได้ง่าย ๆ การทำจนเคย
ชินเกิดเป็นประเพณีที่ฝั่งรากลึกลงในจิตใจของคนท่ียึดถือว่า การทำส่ิงต่าง ๆ ท่ีไม่ทำให้คนอ่ืนเดือดร้อน
และเป็นสิง่ ที่ไมผ่ ดิ ศีลธรรมทุกคนยอมรับถือว่าสิ่งน้ัน เป็นมงคลสุดหาท่ีเปรียบได้

งานอวมงคล
ส่วนงานอวมงคลน้ัน เป็นส่ิงหน่ึงท่ีพระสงฆ์อนัมได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญกับชาวบ้านท่ีมีเชื้อสาย

จนี ในบทนจ้ี ะขอกลา่ วถงึ เร่ือง เทศกาลเชง็ เมง้ , พิธีเซน่ ข้าว-เผากระดาษ, พิธคี ยุ หมา่ งโหลว่ ดังนี้
งานเทศกาลเช็งเมง้
งานพิธเี ซ่นขา้ ว-เผากระดาษ
งานพิธคี ยุ หมา่ งโหลว่

งานเทศกาลเชง็ เม้ง
เทศกาลเช็งเม้ง เป็นงานทเี่ กี่ยวข้องกับดวงวิญญาณบรรพบุรษุ พ่อแม่ ท่ีลว่ งลับไปแลว้ จดุ มุ่งหมาย

เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวจีน-ญวน ได้รำลึกนกึ ถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีของตนเอง ซ่ึงถือว่าเป็น
บคุ คลผู้มพี ระคณุ อันใหญ่หลวง เปรยี บเหมอื นพระพรหมที่อยู่ในบ้าน เราควรเคารพกราบไว้ เชดิ ชทู ่านไม่
ว่าจะเกิดในฐานะยากจน หรือร่ำรวย ต่างก็มีบุพการีเหมือนกัน ดังน้ันเม่ือคราวที่ท่านมีชีวิตอยู่เราเลี้ยง
ท่านใหด้ ีสมบูรณ์อย่าให้ขาดตกบกพร่อง และเม่ือยามท่ีท่านล่วงลับไปแล้วเราต้องรู้จักเซ่นไหว้บำเพ็ญบุญ
กุศลอทุ ิศให้แกท่ า่ นสม่ำเสมอ

ผู้เขียนขออา้ งอิงเอกสาร “เทศกาลเชง็ เม้ง” ของวัดสมณานัมบริหาร ไวด้ ังนี้

๔๑

เทศกาลเช็งเม็งเปน็ ธรรมเนยี มการไหว้บรรพบุรุษท่ีฮวงซยุ้ ชว่ งเดอื น ๓ ของชาวจีน โดยกำหนดให้
ไหวภ้ ายใน ๑๕ วันแรกของเดือน วนั ไหนก็ได้ ซึ่งที่เมืองไทยนิยมไปไหว้ในวนั ท่ี ๕ เมษายน แต่บางบ้านก็
อาศัยดูวันดี และหลายบ้านก็ดูตามวนั สะดวก เปน็ ต้น

ตำนานการไหว้ท่ีฮวงซุ้ย เนื่องจากว่า เดือน ๓ เป็นช่วงเวลาในฤดูใบไม้ผลของจีน ต้นไม้ใบหญ้า
เขียวชอุ่มสวยงาม สมควรแก่การไปชมทิวทัศน์ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมไปไหวบ้ รรพบุรุษที่สุสาน แทนการ
ไหว้อยใู่ นบ้านแตต่ อ้ งไปไหว้ในชว่ งเช้า อย่าใหเ้ ลย ๑๒.๐๐ นาฬกิ า

เมื่อไปถึงที่สุสาน ให้ไหว้ศาลเจ้าที่แป๊ะกงด้วยของคาวของหวาน ผลไม้ ขนมอ๊ี ๕ ที่ ชา ๕ ถ้วย
เพราะการไหวเ้ จ้าท่ี คอื การไหว้ธาตทุ ัง้ หา้ นัน่ เอง

เวลาจุดธูปไหว้ ก็ต้องไหว้ธูป ๕ ดอก บางแห่งมีไหว้เจ้าประตู หรือที่เรียกกันว่า “มึ่งซิ้ง” ก็ต้อง
ไหว้ธปู เพ่ิมอีก ๒ ดอก ปักทเ่ี สาประตูขา้ งละดอก

จากน้ันจึงเข้าไปไหว้บรรพบุรุษท่ีหลุม ซ่ึงทางสุสานจะปัดกวาดทำความสะอาด ดายหญ้า และ
กางเต็นท์ไวใ้ ห้ ถา้ เราส่งั โดยเสยี คา่ บริการกับทางผ้ดู แู ลสสุ านเอง

ของไหว้ทห่ี ลุม มี ๒ ชุด คือ
ชุดท่ี ๑ ไหว้บรรพบรุ ษุ
ชดุ ท่ี ๒ ไหว้โทว้ ตชี่ ง้ิ คอื เทพยดาผืนดิน

ของที่ไหว้น้ันจะมีทั้งของคาว ของหวาน ผลไม้ และท่ีนิยมไหว้กันคือ ขนม “จูชังเปี๊ย” หรือ
“ขนมเปยี๊ ะต้นหอม” มที งั้ แบบน่ิมและกรอบ รวมถงึ กับข้าวทีบ่ รรพบรุ ษุ ชอบ อาหารที่เปน็ นำ้ จะเปน็ แกง
หรอื ขนมอ๊ดี ว้ ยก็ได้

มธี รรมเนยี มอีกแบบหน่ึงซึ่งปฏิบตั กิ ันสว่ นใหญ่อยปู่ ระเทศจีน น่ันก็คือ”หอยแครงลวก” นำไปไหว้
และจะช่วยกันกินใหห้ มดตรงฮวงซุ้ยแล้วนำเปลอื กหอยแครงไปโปรยไวบ้ นเนินดิน

ธรรมเนียมแบบน้ีไม่ค่อยได้เห็นในเมืองไทยนัก เพราะมีชาวจีนน้อยคนมากที่จะรู้ถึงธรรมเนียม
แบบนี้ อีกไม่นานอาจถูกลืมไปเลยก็ได้ และเรื่องการไหว้บรรพบุรุษนี้ส่วนใหญ่จะถือตามแบบสบายถ้ามี
เวลากไ็ ป ถ้าไมม่ ีเวลากไ็ มไ่ ป ซ่งึ ความเคร่งครดั ในเด็กรุ่นใหมจ่ ะไมค่ ่อยได้เหน็ นัก

และมีตำนานการไหว้บรรพบุรุษด้วยหอยแครงลวก น้ันมีอยู่ในตำนานของ ๑ ใน ๒๔ ลูกกตัญญู
ของจีน ได้บอกไว้ว่า มีเด็กคนหน่ึงเกิดมาเป็นลูกกำพร้าท้ังบิดามารดา ฐานะยากจน แต่ในที่สุดก็ต้ังตัวได้
กลายเปน็ ผูม้ อี นั จะกิน

ด้วยความเป็นเด็กกำพร้าไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลย แต่ชายคนน้ีก็อยากจะเห็นพ่อแม่สักครั้ง จึง
ไหวเ้ จา้ อธิษฐานขอตอ่ สง่ิ ศักดสิ์ ทิ ธ์ิตลอดมา วา่ อยากจะพบและเหน็ หนา้ บพุ การี

๔๒

วนั หน่ึง จึงมีเจ้ามาเข้าฝันว่า เวลาไปไหว้เช็งเม้ง ให้ชายคนน้ีเอาหอยแครงลวกไปไหว้พ่อแม่ แล้ว
แกะเนื้อออก กินตรงฮวงซยุ้ นน้ั ตรงนีม้ คี ำจีนวา่ “กกุ๊ เนก้ เซียงเก่ยี ง”

กุ๊ก แปลวา่ กระดูก
เน้ก แปลวา่ เน้อื
เซียงเกีย่ ง แปลวา่ เจอกัน
แปลทง้ั ความวา่ ให้กระดูกเน้ือเจอกัน
เป็นเคล็ดว่า.....เมื่อนำหอยแครงไปไหว้ ก็ต้องแกะเปลือกเอา “เน้ือ” ออกมากัน จึงจะเกิดการ
“กระดูกเน้ือเจอกัน” ซึ่งมีความหมายว่า กระดูก คือพ่อแม่ เน้ือ คอื ลูก เป็นอุปมาอุปมัยว่า พ่อแม่ลูกได้
เจอกันนนั่ เอง
พอตกกลางคืน ชายหนุ่มก็ฝันว่า พ่อแม่ได้มาหา พร้อมทำนายโชคชะตาให้ว่า เขาจะก้าวหน้า
รำ่ รวย และโชคดมี ีสขุ จากากรเป็นลกู กตญั ญู
จนกลายเป็นธรรมเนียมท่ีเม่ือถึงเทศกาลเช็งเม้งแล้ว ชาวจีนจะนำเอาหอยแครงลวกไปไหว้ด้วย
สบื ต่อกันมา
การไหว้บรรพบุรุษท่ีฮวงซุ้ย มีธรรมเนียมอีกอย่างคือ การเอาสายรุ้ง ไปแต่งโปรยไว้บนเนินดิน
เหนือหลุม ถ้าไหว้เป็นปีแรก จะใช้สายรุ้งสีแดงโดยเฉพาะ ปีต่อ ๆ มาจึงเล่นหลายสีได้ แต่..มีบางบ้าน
ลกู หลานเอาธงหลากสีไปปกั ไว้เตม็ ไปหมด
มีความเชื่ออีกอย่างว่า หลาย ๆ บ้านจะถือมาก ห้ามปักเด็ดขาดเพราะถือว่าเป็นของแหลมท่ิม
แทงเข้าใส่บนหลมุ อาจทำให้หลงั คาบา้ นบรรพบรุ ุษใน อิมกงั (โลกคนตาย) ร่วั ได้
ต่อมาเป็นการไหว้คร้งั ท่ี ๓ เสร็จแล้วจึงนำกระดาษเงินกระดาษทองไปเผา และจุดประทัดส่งท้าย
ด้วยความเช่อื วา่ เปน็ การไล่ส่งิ ทีไ่ ม่ดไี ม่ใหม้ าเข้าใกลบ้ รรพบุรุษของเรา และจำทำใหล้ กู หลานรำ่ รวย
การไหว้บรรพบุรุษน้ี นิยมไหวห้ ลังจากผู้ล่วงลบั ผ่านไปแล้ว ๓ ปี ข้นึ ไป จึงไปไหว้ท่ีฮวงซุย้ ได้ในวัน
เทศกาลเช็งเม้ง
การมาไหว้บรรพบุรุษเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง ด้วยบุญคุณที่ยังคงค้ำฟ้าอยู่ในใจของเราชั่วกาล
นาน ถือเป็นการแสดงออกซ่ึงความกตัญญูกตเวที หลังจากท่ีท่านล่วงลับไปแล้วน้ัน ความกตัญญูของ
คนเราจะมากจะน้อยข้ึนอยู่กับการปฏิบัติด้วยตัวของเราเอง ซึ่งความกตัญญูกตเวทิตาท่านถือว่า เป็น
เครือ่ งหมายของคนดี

๔๓

พิธีเซน่ ขา้ ว – เผากระดาษ
พิธีเซ่นข้าว – เผากระดาษ เป็นพิธีท่ีอยู่ในพิธีเดียวกัน เมื่อมีเซ่นข้าวจะต้องมีเผาเคร่ืองกระดาษ

ด้วย ปกติแล้วการเซ่นข้าว – เผากระดาษน้ีชาวจีนจะนิมนต์พระสงฆ์ญวน – จีน ไปสวดเพ่ือเชิญดวง
วิญญาณของบรรพบุรุษ หรอื ของผู้ท่ีเราต้องการอุทิศให้มารับประทานอาหารและเคร่ืองเซ่นไหว้ต่าง ๆ ที่
ทางเจา้ ภาพไดจ้ ดั ไว้

และปัจจุบันน้ีเน้นท่ีความสะดวก ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย มีพุทธศาสนิกชนนิยมกระทำกัน
เม่ือบิดามารดาญาติพ่ีน้องและผู้มีอุปการะล่วงลับไปแล้วในระหว่างสัตวารท่ี ๑ วันที่ครบ ๗ วัน นับจาก
วันล่วงลับถึงสัตมวารที่ ๑๔ วนั ท่ีครบ ๑๐๐ วัน นับจากวันล่วงลับ หรือวนั ที่ครบ ๑ ปี และ ๓ ปี เป็นต้น
เจ้าภาพพร้อมกับบุตรหลาน ก็นิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระพุทธมนต์ประกอบพิธีเซ่นข้าว ซึ่งมีข้าว ๓ ถ้วย
เหล้า ๓ น้ำชา ๓ กับข้าวต่าง ๆ พวกอาหาร เน้ือหมู ไก่ แกง ผลไม้ และต้องมีกระดาษเงินกระดาษทอง
ด้วย หลักจากน้ันจะมีการสวดพระพุทธมนต์ แล้วเผากระดาษที่บรรดาบุตรหลานได้พากันจัดทำ เป็น
ภาชนะเครื่องใช้สอย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ ตู้เย็น พัดลม โต๊ะน้ำชา บ้าน รถ คนรับใช้ชาย – หญิง อ่างล้าง
หน้า ยาสีฟนั แปรงสฟี ันเหลา่ นี้เปน็ ตน้

มีพงศาวดารญวน (ต้ีด้างลี้เท้เยิง) ได้กล่าวเกี่ยวกับการเผากระดาษ ดังนี้ มีพระเจ้าแผ่นดิน
พระองค์หน่ึงทรงพระนามว่า พระเจ้าล้ีซีบิ๋น พระองค์สลบไป ดวงพระวิญญาณของพระองค์เสด็จไปยัง
อบายภูมิ นายนริ ยบาลจงึ ตรวจตราตามบัญชี เห็นว่าพระเจ้าลซี้ ีบิ๋นยังไม่ถงึ ท่ีมรณะ นายนริ ยบาลจงึ นำส่ง
พระเจ้าลีซ้ ีบิน๋ กลับมายังโลกมนุษย์ เวลาที่นายนริ ยบาลนำพระองค์มาน้ัน มีพวกอสูรกายพากันมาฉุดคร่า
พระองค์ไว้ พระเจ้าลี้ซีบิ๋นจึงเรียกให้นายนิรยบาลช่วย นายนิรยบาลจึงตอบว่าข้าพเจ้าช่วยพระองค์ไม่ได้
แม้พระองค์มีเงินทองจงแจกจ่ายให้แก่พวกอสูรกายนั้นแล้วจึงจะไปได้ พระเจ้าลี้ซีบิ๋นตอบว่าเราไม่มีเงิน
ทองตดิ มาเลย จะเอาท่ีไหนมาแจกจ่ายให้พวกนี้ นายนิรยบาลทูลว่ามีท่ีมนุษย์โลก มีราษฎรผู้หนึ่งนามชื่อ
ว่า เตืองเลือง เป็นราษฎรอยู่ในความปกครองของพระองค์ แลเป็นผู้ค้าขายเลี้ยงชีพ เมื่อค้าขายได้เงิน
มาแล้ว ผู้นั้นก็ซ้ือกระดาษเงินกระดาษทองเผาเสมอทุก ๆ วัน แต่หาได้อุทิศให้แก่ผู้ใดไม่ กระดาษท่ีเผา
น้ันก็กลายมาเป็นเงินอยู่ในอบายน้ี ๑๓ คลัง ขอพระองค์จงยืมเงินน้ีสักคลังหนึ่ง เพ่ือจะได้แจกจ่ายให้แก่
พวกที่อดอยากท่ีอบายนี้แล้วพระองค์จึงกลับไปได้สะดวก ครั้นพระเจ้าลี้ซีบ๋ินได้ทรงฟังนายนิรยบาลทูล
ดังน้ันแล้ว พระองค์จึงยืมเงินนั้นคลังหนึ่งแจกจ่ายให้แก่พวกอสูรกายท่ีอดอยากทั่วกันแล้ว นายนิรยบาล
จึงนำพระองค์กลับยังมนุษย์โลก ครั้นเมื่อพระเจ้าลี้ซีบิ๋นฟื้นข้ึนมาแล้ว พระองค์จึงตรัสเล่าให้ข้าราชการ
ของพระองคท์ ราบ แลว้ พระองค์มีรับส่งั ใหต้ าม เตืองเลือง เจ้าของเงนิ เขา้ มาแลว้ พระองค์จึงตรัสเล่าเรื่อง
ดังมีมาข้างต้นนั้นให้ เตืองเลือง เจ้าของเงินทราบ แล้วพระองค์จึงมอบเงินคลังหนึ่งใช้หน้ีให้ เตืองเลือง
ตามที่ได้ยืมน้ัน เรื่องเผาเครื่องกระดาษมีปรากฏในพงศาวดารญวนดังนี้ จึงได้มีการกระทำตลอดมาจน
ปัจจุบันนี้ แต่มาพลิกแพลงทำเป็นเคร่ืองภาชนะใช้สอยต่าง ๆ เผาอุทิศถวายแลให้ท่านที่ล่วงลับไปยัง

๔๔

ปรโลกแล้วน้ัน ในการประกอบพิธีเผาเคร่ืองกระดาษคือ ตั้งโต๊ะพระภูมิเจ้าที่ข้ึนโต๊ะหน่ึง มีเคร่ือง
สกั การะบูชาพร้อม แล้วยกเครื่องกระดาษมาตัง้ รวมแห่งเดยี วกนั แลว้ พระสงฆ์พาบุตรหลานของผู้ล่วงลับ
ไปแล้ว เดินเวียนซ้าย ๓ รอบ หลังจากเสร็จพิธีจะให้บุตรหลานช่วยกันยกเคร่ืองกระดาษนั้นไปเผา เป็น
อันเสรจ็ พิธีเซน่ ข้าว – เผากระดาษ

พิธคี ยุ หม่างโหล่ว
พิธีนี้เป็นการเรียกกันในหมู่พระสงฆ์ญวน เมื่อมีญาติโยมมานิมนต์พระไปสวดพระพุทธมนต์คุย

หม่างโหล่ว เป็นที่รู้กันทันทีว่า จะต้องไปสวดผู้ล่วงลับแน่นอน กล่าวคือ เม่ือมีผู้ล่วงลับไปยังปรโลกแล้ว
ใหม่ ๆ จะมบี ุตรหลานของผ้นู ้ันมานิมนต์พระสงฆ์ไปเพื่อประกอบพิธนี ำศพลงโลง โดยพระสงฆท์ ่ีรบั นมิ นต์
ไว้จะต้องเตรียม เก๊ียง, ขันน้ำมนต์, สายสิญจน์, ก่ิงทับทิม เพ่ือนำไปประกอบพิธีในคร้ังนั้น ๆ เพราะทุก
สิ่งทุกอย่างมีความสำคัญในแต่ละช่วงพิธีกรรมอยู่ในตัวของมันเอง เช่น เกี๊ยง สำหรับเคาะจังหวะขณะ
สวดมนต์ ขันน้ำมนต์ เอาไว้ทำน้ำมนต์ สายสิญจน์ เอาไว้จูงและให้บุตรหลานจับจูงขึ้นรถ ส่วนก่ิงทับทิม
เอาไว้สำหรับรดน้ำมนต์ เป็นต้น แล้วพอไปถึงสถานท่ีน้ันพระสงฆ์จะต้องสวดพระพุทธมนต์ตามท่ีได้เล่า
เรียนมา หลังจากเสรจ็ พิธสี งฆ์แล้วจะเป็นพธิ ขี องโยมท่จี ะนำผลู้ ่วงลับนั้นเข้าโลง เพ่ือนำไปท่ีวัด ทำพิธีสวด
ตามประเพณีนิยม เช่น ทำกงเตก๊ , สวดตามแบบไทย ท่ีทำกันในอดีตสบื ตอ่ ไป การใช้เวลาในพิธนี ี้เปน็ การ
ประกอบพธิ สี ้นั ๆ ไม่นาน

ไม่ว่างานมงคลหรืองานอวมงคล เป็นสิ่งที่พระสงฆ์ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ๆ ข้ึนชื่อว่าพระสงฆ์แล้วย่อม
มสี ่วนในการประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนาอย่างหลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ เพราะศาสนาถอื เป็นท่พี ง่ึ ทางใจของมนุษย์
ทุกชาติทุกภาษา ไม่ว่าจะดีมีจน ศาสนาไม่เคยเลือกปฏิบัติ ให้ความเสมอภาคกับทุกชนชั้นวรรณะ และ
พุทธศาสนา ไมม่ ีวรรณะ ถอื วา่ ทกุ คนเปน็ วรรณะพุทธทกุ คน

บทสรปุ
ศาสนพิธี เป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่ชาวไทย ญวน จีน นับถือปฏิบัติกับสังคมไทย โดยเน้นไปท่ี

ชาวญวน-จีน ทีม่ ีพระสงฆ์เข้าไปประกอบพิธที งั้ มงคลและอวมงคล
งานมงคล
เทศกาลตรุษจีน หรือวันข้ึนปีใหม่ของชาวจีน ทุกคนจะพากันจับจ่ายใช้สอย พักผ่อน ไปเที่ยวให้

สบาย กลับไปเยีย่ มบา้ นเกิดของตนเอง และท่ีนยิ มทำกันเปน็ พิเศษกจ็ ะมีอยู่ ๓ วัน คอื วันส่งเจ้า, วันจ่าย,
วันไหว้, วันถือ และท่ีเรา ๆ ท่านได้เห็นเป็นประจำ คือคนจีนจะเตรียมอังเปาไว้แจกบุตรหลานของตน
ด้วย และมีการจุดประทัดตอนเท่ียงคืนที่จะเข้าวันตรุษจีนแท้ ๆ เป็นการปฏิบัติสืบเนื่องต่อ ๆ กันมาเป็น
ประจำ


Click to View FlipBook Version