๔๕
วันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ชาวจีนก็มีการทำบุญข้ึนบ้านใหม่เหมือนชาวไทย แบบประเพณีใกล้เคียง
กันเหลือเกิน มีการนิมนต์พระสงฆ์ญวน – จีน มาเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่บ้านที่
อยู่อาศยั และบตุ รหลานที่อาศยั อยู่ในบา้ นนัน้ ๆ ด้วย
พิธีเคารพบูชาและระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ เป็นพิธีทางสงฆ์ที่ถือปฏิบัติ
กันสืบมาแต่โบราณ เป็นคติความเช่ือของชาวญวน – จีน เป็นการน้อมระลึกถือวันที่สำคัญ ของ
พระพทุ ธเจ้า และพระโพธิสัตว์ ซึง่ มีวนั ประสตู กิ าล วนั ตรัสรู้ ซ่งึ บางองค์ต้องไว้ปีหนงึ่ ถึง ๓ ครั้ง หรอื ปลี ะ
คร้ังก็มี และบางคร้ังต้องข้ึนอยู่กับความพร้อมของแต่ละวัดด้วย และปัจจุบันนี้ก็ยังคงถือปฏิบัติสืบต่อ ๆ
กันมา
งานอวมงคล
เทศกาลเช็งเม้ง เป็นเทศกาลไหว้บรรพบุรุษท่ีได้ล่วงลับไปแล้ว โดยการไปจัดไหวท่ีสุสานของ
บรรพบุรุษ ซึ่งคนจีนถือกันว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณที่ไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบได้
และการกระทำน้ันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ลูกหลาน ซ่ึงในหนึ่งปีจะมีแค่หน่ึงครั้ง ดังน้ันชาวจีน
จึงได้ตระเตรียมอาหารอันประณีตท่ีบรรพบุรุษชอบไปไหว้ด้วย เป็นการทำบุญอุทิศไปให้ท่าน ซ่ึงถือว่า
เปน็ หนา้ ท่ีของบุตรหลานทุกคนจะต้องถือปฏิบตั ิสืบต่อไป การไหวจ้ ะตรงกับเดอื น ๓ ของชาวจีน และจะ
ตรงกับเดือนเมษายนของไทยนน่ั เอง
พิธีเซ่นข้าว – เผากระดาษ เป็นการเชิญดวงวิญญาณของบรรพบุรุษหรือพ่อแม่หรือผู้มี
อปุ การะคุณกับเราให้ได้มารับประทานอาหารคาว หวาน ท่ีได้จัดไว้ และรับส่งิ ของเคร่ืองใช้ตา่ ง ๆ ท่ีบุตร
หลานไดพ้ ากันนำมาจัดอุทศิ ให้ โดยมีพระสงฆเ์ ป็นส่ือกลางในการทำบุญในครัง้ น้ี
พิธีคุยหม่างโหล่ว เป็นการนำผลู้ ่วงลับไปแล้วในทนั ทีบรรจลุ งในโลง ถือเป็นพธิ ีแรกท่ลี ูกหลานได้
จดั ใหก้ บั ผู้ลว่ งลบั โดยนิมนต์พระสงฆม์ าประกอบพิธีตามประเพณนี ยิ มทที่ ำสบื ตอ่ ๆ มา
ไม่ว่าจะเป็นพิธีมงคลหรืออวมงคล ชาวบ้านก็จะพากันนิมนต์พระสงฆ์ไม่ว่าจะไทยหรือญวนหรือ
จีน ไปประกอบพิธี เพื่อความเป็นมงคลและปัดเป่าภัยอันตรายต่าง ๆ เพื่อให้ส่ิงดี ๆ เกิดกับที่พักอาศัย
คนในครอบครัว และศาสนพิธีหลายอย่างในประเทศไทย ท่ีพระสงฆ์ญวนเข้าไปมีส่วนเป็นผู้นำในการ
ประกอบพิธี ไม่ว่าเช้ือชาติใดก็ตามความเชื่อไม่อาจแยกออกกับศาสนาได้อย่างชัดเจน แต่ส่ิงใดก็ตาม
กระทำลงไปตามความเชื่อโดยมศี าสนาเปน็ ตวั กำหนดถอื ว่าเปน็ สิง่ ที่ดีมมี งคลอยา่ งแน่นอน
๔๖
กจิ กรรมเสริมความรู้
๑. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกัน ๕ - ๗ รูป ร่วมกันพิจารณาว่า สังคมไทยกับพระสงฆ์ญวนมี
ความสัมพนั ธก์ ันในลกั ษณะใด และใหแ้ ต่ละกล่มุ ออกมาแสดงบทบาทสมมตหิ น้าชนั้ เรยี น
๒. ใหน้ กั เรยี นแต่ละคนสำรวจตัวเองวา่ มีความสามารถเปน็ ผนู้ ำทางด้านการประกอบพิธีกรรมกับ
พทุ ธศาสนกิ ชนอยา่ งไรบ้าง และจะช่วยพัฒนาจิตใจของชาวบา้ นไดอ้ ย่างไร
๓. ให้นักเรียนค้นคว้าหาข้อสรุปร่วมกันว่า สังคมไทยกับศาสนพิธีของพระสงฆ์อนัมมีความ
เก่ยี วขอ้ งกันอยา่ งไร พระสงฆ์อนัมจะชว่ ยสังคมได้อย่างไร และให้แตล่ ะรปู ทำเป็นรายงานส่งครู
๔. ครูและนักเรียนร่วมกันศึกษา ศาสนพิธีของพระสงฆ์ญวนให้อะไรกับสังคมไทยบ้าง แล้วให้
นักเรยี นสรปุ เปน็ บันทกึ สง่ ครู
กจิ กรรมการวดั ผล
นกั เรยี นตอบคำถามทกุ ข้อดงั ตอ่ ไปนี้
๑. ในฐานะนักเรียนเป็นพระสงฆ์อนมั นักเรียนจะใหอ้ ะไรกบั สังคมไทยบ้าง อธบิ าย ?
๒. งานที่ชาวจนี ในสังคมไทยถอื ปฏบิ ัติ เป็นงานมงคล มีอะไรบา้ ง ยกตวั อยา่ ง สรุปเป็นประเด็นท่ี
สำคัญ ?
๓. ชาวญวนในเมืองไทยถือธรรมเนียมปฏบิ ัตเิ หมือนอยา่ งชาวจีน มีพธิ ีอะไรบา้ งที่มีความแตกต่าง
จากชาวไทยพทุ ธกระทำในปัจจุบัน อธิบาย ?
๔. งานอวมงคล เป็นงานเช่นไร อธิบาย ?
๕. ชาวญวนกับชาวจีนในเมืองไทยปัจจุบันน้ีแทบแยกกันไม่ออก การถือธรรมเนียมปฏิบัติในงาน
อวมงคล ของท้ังสองชนชาตนิ ี้มอี ะไรบ้าง อธิบายสรปุ สาระสำคญั ?
๖. ทำไมจึงมีพิธีไหวบ้ รรพบรุ ุษ ?
๗. เทศกาลตรษุ จีน ของชาวจีนมีวันท่สี ำคัญแท้ ๆ อยกู่ ่ีวัน อะไรบา้ ง อธิบาย ?
๔๗
บทท่ี ๕
บทสวดมนตอ์ นมั นิกาย
จดุ ประสงคป์ ลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในบทสวดมนต์และสามารถท่องสาธยายเน้ือหาของมนต์พิธีได้และ
เหน็ ถึงความสำคัญของมนตพ์ ิธีตา่ ง ๆ ได้ถูกตอ้ ง
จุดประสงคน์ ำทาง
๑. นักเรียนเขา้ ใจการใชม้ นตพ์ ิธีของพระสงฆ์อนมั ได้อยา่ งถูกตอ้ ง
๒. นกั เรียนสามารถสวดมนต์พิธีได้ถกู ตอ้ งตามประเพณนี ิยมของพระสงฆ์อนัมได้ถูกตอ้ ง
๓. นกั เรยี นเห็นความสำคญั ของมนตพ์ ธิ ีของพระสงฆ์อนัมได้ถูกต้อง
๔. นกั เรียนสามารถนำบทสวดมนต์ไปประยุกต์ใช้ให้ถูกตอ้ งตามหลกั ของ
พระสงฆอ์ นัมไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
บทสวดมนตอ์ นัมนกิ าย
กล่าวถือศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นดี ทุกศาสนามีคำสอน บทสวดต่าง ๆ ก็เป็นหน่ึงในคำ
สอนขององค์ศาสดา บางอย่างกเ็ ป็นบทสวดท่ีครบู าอาจารย์ท่านแต่งขึ้นเองหรืออา้ งอิงดัดแปลงให้เขา้ กับ
ยุคสมัย แต่ท่ีสำคัญเน้ือหาและสาระสำคัญไม่มีดัดแปลงอย่างแน่นอน เพราะบทสวดมนต์ของแต่ละ
ศาสนาบ่งบอกถึง ความผูกพันทางจิตวิญญาณ ของแต่ละศาสนาแตกต่างกันออกไป บทสวดมนต์ของ
อนัมนิกาย ซงึ่ พระสงฆ์เวียดนามในอดีต ได้นำเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทย จนทำให้ธรรมเนียมปฏิบตั ิแต่
เดิมมีน้อยมากน้ัน บางอย่างแม้จะเปล่ียนแปลงตามชนชาติไทยให้เหมาะสมกับสังคมประเพณีอันดีงาม
ของเมืองไทย แต่บทสวดมนตย์ งั คงใช้สำเนยี งเวยี ดนามอยู่อยา่ งเดิม
บทน้ีจะขอยกบทสวดมนต์ส่วนหนึ่งของบทสวดมนต์มากมายของพระสงฆ์อนัมนิกายที่ใช้สวดกัน
อยู่ในปจั จบุ ัน และแต่ละบทจะบอกถงึ ความสำคญั ไว้ ดงั นี้
บทสวดอนโุ มทนา (ยะถา-สัพพ)ี
นามโมต๊ากดาหนอม ตามเหม่ยี วตามโบ้ด้า กจู หี นอม ดา๊ กเดียกทา อ๊านเจี๊ยกเหร่จเู๋ หร่ จ๋นุ เดต้ าบ่า
ฮา อา๊ นมานบี ๊ากยีห้อง ห้องยบี ๊ากนีมาอ๊าน
๔๘
เท้ยางหงูหยุกหลาก หวักผุกจือเทียนหลาก เหยือกต๋ีอ๊ายเติ่งหลาก เทียงเพิงเบิ๊กก็อบยึก ยอต็
อบนังซันโข เยินโขผุกซันต็อบ บ๊ากทั้นด่าวนังเซียว จ๊ีเหย่ียวหนากบ้างซื้อ เสอหยี่โบ๊ท้ีหยา เติ๊กหวัดกี้
เหลย่ อิ๊ด เหยือกยหี ลากโบ๊ท้ี โหว่ เติ๊กดก๊ั องั หลาก
ผ่างถึงหยีเฮิก ดังเหวี่ยงจุ๊งซัน เสอต๊ากยายเบ่ียง กู่จือเผิกพ๊าบ (เม่ือมีการถวายสังฆทาน ให้สวด
บท...ต้ายพ๊าบหย่ที ี้ ดั๋งโยซายเบียก ดา้ งบาราเหมกิ กตู่ กุ๊ เยียงหมาง แทน)
เหว่ยี งเตยี วตามเจอื๊ งตร้อื เพย่ี งหนาว เหว่ียงดั๊กตรเ๊ี หวเ่ จงิ มินเหลยี ว
โผเหว่ียงโต่ยเจื้องเต๊ิกเตียวตรือ้ เท้เทเ้ ทื่องห้ันโบ้ตา๊ กดา่ ว
เหวีย่ งหยถี ือกอ็ งด๊กึ โผกอ็ บอือยกึ เทีย๊ ก
หงาด๋ังหยอื ทีจ้ ู๋ ยายกอ่ งท่านเผิกด่าว ฯ
ความสำคัญของบทสวดมนต์อนโุ มทนาน้ี เป็นการอทุ ิศบญุ กุศลใหแ้ ก่ผลู้ ่วงลับของผู้ทอ่ี ทุ ิศให้ และ
เป็นการให้ความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัวทั้งภพน้ีและภพหน้า ในบทน้ีอาจจะมีการกรวดน้ำด้วย
ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสะดวก แต่ที่สำคัญท่ีสุดของการกรวดน้ำคือต้ังจิตให้ม่ันคง จดจ่ออยู่กับการทำบุญใน
คร้ังนจี้ ึงจะสำเรจ็ แห่งการทำบุญ
บทสวดคำบูชาขา้ วพระพุทธ
กุ๊งเยื่อง ทันต่ินพ๊าบเทิง ต้ีลือย้านาเผิก เยียนหมางบ๊าวเทิง ลือช้านาเผิก เทียงบ๊าอึ๊กว้าเทิง ทิด
กามึวนีเผิก ดังลายห่าซันยีหลากโตนเผิก กึกหลากเท้ย้าย อายีด้าเผิก ถ็อบเพืองตามเท้ญึกเที๊ยกจือเผิก
ด่ายกรีย๊ งั ทู่ซือเหล่ยโบต่ ๊าก ด่ายหั่นโผเห่ยี นโบ่ต๊าก ด่ายบกี วางเท้อ็อมโบ่ต๊าก จอื โตนโบ่ต๊าก มาฮาต๊าก
มาฮาบ๊าดหญาบาลาเหมิก ตามด๊ึกหลุกหยี่ กุ๊งเผิกก็อบตัง พ๊าบย้ายหึวติ้น โผด่องกุ๊งเย่ือง (ถ้าใช้
ขา้ วต้มบชู า...จ๊กุ หวึ ถอ็ บเหล่ย เยยี วอดิ๊ หนั่ เญิน กว๋าบ๊าวโยเบยี น กว๊ึ กนิ๊ เท่ืองหลาก)
เหยือกผ่างถกึ ที่ ดังเหวีย่ นจุ๊งซนั เถ่ียนเหยยี ดยถี กึ พา๊ บเหยซุงหมาง
ดดี น้ำข้างใน
พ๊าบหลึกเบ๊ิกตือง่ี ต่ือบีโยเจื๊องหง่าย เทิ๊กหลาบเบี๊ยนถ็อบเพือง โผท้ีโจวซาย้าย * อ๊านโด่เหล่ยอ๊ิด
ตา๊ ฮา * ๓ หน
ดีดน้ำข้างนอก
ด่ายบ้างกิมจ๋ีเด๋ียว คว้างหยากวี๋เท่ิงจุ๊ง ลาซักกวี๋ตื๋อโหมว กามโล่เต๊ิกซุงหมาง * อา๊ นหมุกเด๊ ต๊าฮา
* ๓ หน
ลาข้าวพระพุทธ
กงุ๊ เผิกหยีเฮ๊ิก ดังเหวี่ยนจุ๊งซัน เสอต๊ากยายเบี่ยน กจู่ อื เผกิ พา๊ บ
พิจารณาฉันข้าว
๔๙
จ๊อบกรี้อ๊ึงคี้ ดังเหว่ียนจุ๊งซัน ท่านตึ่วพาบค้ี ถ่อเทียนเญินกุ๊ง อ๊านจ๋ีหร่ีจ๋ีหร่ี ผ่าหญึกลาห้อง
เพิง้ กรา
ความสำคัญของการบูชาข้าวพระพุทธ เป็นการกระทำก่อนที่จะลงมือฉันข้าวตามประเพณี ให้
บูชาข้าวต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน เพ่ือให้พระองค์ฉันก่อน น้ีความเช่ือที่พระสงฆ์ปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ
กนั มานับตงั้ แตส่ มยั โบราณ
บทสวดคำถวายผา้ กฐิน
เมื่อพระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกายเข้าพรรษา คือเริ่มต้ังแต่วันที่ ๑๖ เดือน ๔ และออกพรรษา ในวันท่ี
๑๖ เดือน ๗ ทุกปีไป มีกำหนดระยะเวลา ๓ เดือน นับตามปฏิทินข้างญวน-จีน จึงมีกำหนดให้รับกฐินได้
ภายใน ๓๐ วัน นบั ต้งั แต่วันท่อี อกพรรษาเปน็ ตน้ ไป
โดยมบี ทสวดถวายผา้ กฐินดงั น้ี
นามโมต๊ากด๊าดทาโต ยา่ ดายาอาราฮาเด้ ตามเหยีย่ วตามเผกิ ดา้ ตา๋ ๓ คร้งั
หงากมิ จงุ๊ ดั๋ง กร้ถี ือตามอี เติ๊งกงุ๊ หยือยอื ตังย่ายา หยยี พี า๊ บผุก ๓ ครง้ั
“ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินทิพย์ (จีวร ๓ ผืน) พร้อมด้วยผ้าบริวารทั้งหลายเหล่านี้
ขอนอ้ มถวายต่อที่ประชุมสงฆ์ ขอพระภิกษุท้ังหลายจงโปรดพิจารณาว่า ผ้ากฐนิ ทิพย์ (จีวร ๓ ผืน) พร้อม
ดว้ ยผา้ บริวารทั้งหลายเหลา่ นี้ จะสมควรและเหมาะสมกบั ภกิ ษรุ ปู ใดรปู หนึ่งตอ่ ไป”
การทอดกฐินนัน้ มีกำหนดใหท้ อดได้ปีละ ๑ ครงั้ สว่ นการทอดกฐินนัน้ ควรจะทำกนั ในพระอุโบสถ
จึงจะเหมาะสม ตลอดพรรษาทุกกึ่งเดอื นจะต้องลงสวด ตแี้ ควบาเด้หมก (พระภิกษุปาฎิโมกข์) และวดั ใด
จะรบั กฐินได้ ต้องมพี ระสงฆ์อยู่จำพรรษาตัง้ แต่ ๕ รปู ขึน้ ไป
บทสวดคำถวายสังฆทาน
นำโมต๊ากดา๊ ดทาโต ยา่ ดายาอาราฮาเด้ ตามเหย่ียวตามเผิกดา้ ต๋า ๓ คร้ัง
เหว่ียนดา่ ยด๊ึก หงากิมจุ๊งด๋งั กรี้ถือถกึ ซกั เฮืองหยี่ เถื่องกุ๊งงถอ็ มเพือง เผิกพ๊าบตัวตามบ๋าว กงุ เผือ
งจือเหี้ยนทั้น ห่าก็อบหลุกด่าวผอม ด๋ังท้ีโยซายเบียด ถินด่ายดึ๊กเต๊ียบถ่อถึก ซักเฮืองหย่ี เหว่ียนโก้วผู่
โหมว โหว่ เต๊กิ ดัก๊ อังหลาก ด้างบาราเหมิก กู่ตุ๊กเหยียงหมาง
“ข้าแตพ่ ระภกิ ษุสงฆ์ผ้เู จรญิ ข้าพเจา้ ทัง้ หลาย ขอนอ้ มถวายด้วยเคร่อื งภัตตาหาร พรอ้ มกับสิ่งของ
ซง่ึ เป็นบริวารทั้งหลายเหล่าน้ี น้อมถวายข้ึนเป็นพุทธบชู า ธรรมบูชา สังฆบูชา ต่อคุณพระศรีรัตนตรัยเจ้า
ท้ังสาม กับหมู่เทพยดาอินทร์พรหมทั้งหลาย ส่วนเศษอาหารท่ีเหลือจากนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศให้
เป็นทานแก่หมู่สัตว์ท้ังหลายขอท่านผู้เจริญจงรับเคร่ืองภัตตาหารพร้อมกับสิ่งของซ่ึงเป็นบริวารท้ังหลา ย
เหล่าน้ีไว้ด้วย เพื่อประโยชน์เก้ือกูลความสุขความเจริญ มีคุณบิดาและญาติกาของข้าพเจ้าท้ังหลาย ที่
๕๐
ล่วงลับไปสู่ยังบรมสุคติอันย่ิง ๆ ขึ้นไป สวนข้าพเจ้าท้ังหลายขอจงมีความสุขกายสุขใจตลอดกาลนาน
เทอญ”
ความสำคัญของการถวายสงั ฆทาน เป็นสิ่งทีพ่ ุทธศาสนิกชนไดน้ ้อมถวายข้ึนเป็นกุศลเพ่อื ถวายแด่
พระภกิ ษสุ งฆ์ นำไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ กจิ วตั รประจำวัน เปน็ การอุทศิ บญุ นใ้ี ห้กับผูล้ ่วงลบั ไปแล้วเพ่อื ให้ไดร้ ับ
ผลานิสงคน์ ตี้ ามเจตนารมณ์ของผ้ถู วายนัน่ เอง
บทสวดมนตร์ งั เงียม
ดา่ ยเผกิ ดนั๋ ถูรงั เงยี มเถงิ่ จู๊ (พระศูรางคบธารณสี ตู ร)
นามโมรงั เงยี มโหย่ เถื่องเผิกโบ่ต๊าก
เหยีย่ วกรา่ มต๋องกรี้เบิ๊กด่องโตน ถูรังเงียมเยืองเท้ฮีหึว เตียวหงาอ๊ึก เกยี๊ บเดียงด๋าวเตื๋อง เบิ๊กหลิด
ตังก้ีหวัดพ๊าบเทิง เหว่ียนกิมดั๊กกว๋าท่านบ๋าวเยือง ว่างโด่ญือถ่ีห้ังซาจุ๊ง เตืองถือท็อมต็อมเผ่ืองเกร้ิงซัก
ถี่ตั๊กยันญีบ๊าวเผิกเอง ผุกถินเท้โตนหย่ีจึ๊งมิน หงูเกรือกอา๊ กเท้เถ่เตียงหญ็อบ ญือญึกจุ๊งซันหยที่ ่านเผิก จุง
เบิ๊กอือถือถูเนว่าง ด่ายหุ้งด่ายหลึกด่ายตื่อบี ฮีก๋ันถ็อมกรื้อญีเต๊หวัก หล่ินหงาต๋าวดังโยเถ่ืองย๊าก อือถ็อบ
เพอื งย้ายตร่าด่าวกร้าง ถุ่นหญาดาตั๊นขาเตียวย็อง เทอื๊ กการาต็อมโยดอ่ งเจี๋ยน
นามโมเถ่ืองกรู่ถ็อบเพืองเผิก นามโมเถื่องกรู่ถ็อบเพืองพ๊าบ นามโมเถื่องกรู่ถ็อบเพืองตัง นามโม
ทดิ กามึวนเี ผกิ นามโมเผิกดัน๋ ถูรงั เงียม นามโมกวางเทอ้ อ็ มโบ่ตา๊ ก นามโมกิมกางตา่ งโบ่ต๊าก
หญีท่ีเท้โตน ตุ่งหยุกเก๊กรุง หย็องบ๊าบ๋าวกวาง กวางกรุงหญ็องชุด เทียงเหยียบบ๋าวเรียน หึว
ว้าญือลาย ต่าบ๋าวฮวากรุง ดั๋นพ้องถ็อบด่าว บ๊าบ๋าวกวางมิน ญึกญึกกวางมิน ยายเบ๊ียนถ่ีเหี่ยน ถ็อบห้ัง
หา้ ซา กิมกางเหมิกต๊ดิ กิ้นเซิงกรี้ฉือ เบี๊ยนฮือค็องย้าย ด่ายจุ๊งเหงืองกวาง วี้อ๊ายเกียมบา้ ว โก้วเผิกอายหึ่ว
ญึกต็อมท้ินเผิก โยเก๊ยี นดนั๋ เตอ๊ื ง พ้องกวางญือลาย เตวียนเทีย๊ ดเท่ิงจ๊.ู ...
ความสำคัญอยู่ที่ว่า เป็นบทสวดมนต์ใหญ่บทแรกของการทำวัตรเช้า เป็นการสวดสรรเสริญ
พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์อนื่ ๆ ตามปกติบทสวดรังเงียมยาวมาก แต่ปัจจุบันน้ีเนื่องจากเวลาในการ
ทำวัตรมอี ยจู่ ำกดั จึงทำใหส้ วดบทย่อ ดังท่ไี ดก้ ล่าวมาแลว้ นนั้
บทสวดมนต์ดา่ ยบี
(มหากรุณาธารณสี ตู ร)
นามโมด่ายบโี หย่ เถ่ืองเผกิ โบต่ า๊ ก ๓ คร้งั
เทียงถูเทียงหญาง โยหง่ายด่ายบี ต็อมด่ารานี้ นามโมฮักราด๊าดนา ด๊าราหย่ายา นามโมอาหรี่ยา
บ่าโลเอี๊ยดเด๊ เท๊ือกบ๊าดรายา โบ่เด่ต๊ากต๋าบ่ายา มาฮาต๊ากต๋าบ่ายา มาฮากาโลนีกายา อ๊าน ต๊ากบั้นรา
ผากเหย่ โซ้ด๊าดนาด๊าดต๋า นามโมเติ๊กเก๊ียดเหลิกด๋าอีม็องอาหรี่ยา บ่าโลเก๊ียดเด๊เทิ๊กเผิกรารังด้าบ่า นาม
๕๑
โมนาราเก๋ิงกรี้ เฮหรี่มาฮาบ้ันด๊าซาเม้ ต๊ากบ่าอาทาโด่วยูบ้าง อาเถหญึ่ง ต๊ากบ่าต๊ากด๊า นามาบ่าต๊าก ดา
นามาบาหย่า มาผากดักโด่ว ด๊าดเดียดทา อ๊าน อาบ่าโลเฮ โลกาเด๊ การาเด๊ ยีเฮหรี่ มาอาโบ่เด่ต๊ากต๋า
ตา๊ กบา่ ต๊ากบา่ มารามารา มาเฮมาเฮหรี่ดา้ หญึ่ง กูโลกูโลเอี๊ยดมอ็ ง โด่โลโดโ่ ลผากซ่ายาเด๊ มาฮาผากซ่ายา
เด๊ ด้าราด้ารา เด่ียหรี่นี เท๊ิกเผิกรายา ย้าราย้ารา หม่าหม่า ผากมารา หมุกเด๊เหร่ อีเฮอีเฮ เทิ๊กนาเทิ๊กนา
อาราซอ็ มเผิกราช้าเหล่ย ผากตาผากซ็อม เผกิ ราช้ายา โฮโลโฮโลมารา โฮโลโฮโลเฮหรี่ ตารา ตารา เต๊กิ หร่ี
เต๊ิกหรี่ โตโลโตโล โบ่เด่หย่าโบ่เด่หย่า โบ่ด่าหย่าโบ่ด่าหย่า ยีเด๊หรี่หย่า นาราเก๋ิงกรี้ เด่ียหรี่ซักนีนา บา
หย่ามานา ตาบ่าฮา, เติ๊กด้าหย่า, ตาบ่าฮา, มาฮาเต๊ิกด้าหย่า ตาบ่าฮา เต๊ิกด้าหยูเหง่ เท๊ิกบั้นรายา ตาบ่า
ฮา, นาราเก๋งิ กร้ี ตาบ่าอา มารานารา ตาบ่าฮา เต๊กิ ราตังอาหมุกเคยา ตาบ่าอา, ตาบ่ามาฮาอาเต๊ิกด้าหย่า
ตาบ่าฮา, หยาเกี๊ยดราอา เติ๊กด้าหย่า ตาบ่าฮา, บาด้ามาเอี๊ยดเต๊ิกด้าหย่า ตาบ่าฮา, นาราเก๋ิงกรี้บั้นย่ารา
ยา ตาบ่าฮา, มาบ่าเหล่ยท้ังเอ๊ียดราหย่า ตาบ่าฮา, นามโมฮักราด๊าดนาด๊าราหย่ายา, นามโมอาหรี่ยา
บาโลเกย๊ี ดเด๊, เทอื๊ กบน้ั ราหย่า ตาบา่ ฮา, อา๊ น เตก๊ิ เดยี่ นโด หม่านดารา บากด้ายา ตาบ่าฮา.....
ความสำคัญของบทนี้ เป็นบทสวดสรรเสริญเจ้าแม่กวนอิม หรือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ท่ีชาว
จนี เคารพนับถือมาก เป็นบทท่ีกล่าวถือความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย บทสวดน้ีเป็น
หน่งึ ในบทสวดพื้นฐานทสี่ ำคญั มาก เพราะเป็นบท ทตี่ อ้ งสวดอยู่เสมอ ไมว่ ่าจะเป็นงานมงคลหรอื อวมงคล
จะมบี ทสวดน้ีเปน็ พระคาถากำกบั ด้วย
อานสิ งสข์ องการสวดด่ายบี (มหากรุณาธารณสี ตู ร)
๑. มคี วามสุขความเจรญิ
๒. ปราศจากโรคภยั ไข้เจ็บ
๓. มีอายุยนื ยาวนาน
๔. อุดมดว้ ยสมบัตพิ ัสถาน
๕. ตดั วิบากกรรมทงั้ ในอดตี และปจั จุบนั
๖. ปราศจากอปุ สรรคนานาประการ แคล้วคลาดจากอนั ตรายตา่ ง ๆ
๗. เปน็ การเสรมิ สร้างบารมี
๘. เต็มเป่ียมไปด้วยคุณธรรม เมอ่ื สิ้นอายุขยั ได้เฝ้าองคพ์ ระสมั มาสมั พุทธเจ้า ณ แดนสุขาวดี
พระคาถาตา่ ง ๆ
พระคาถาต่าง ๆ น้ีเป็นสวดมนต์ที่พระสงฆ์อนัมได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา และเป็นบทคาถาสั้น ๆ ท่ี
เม่อื ทำกิจธุระอะไรทจี่ ำเป็นกจ็ ะสวดคาถาเหลา่ น้ี
คาถากำกับการนงุ่ กางเกง
เกร๊อื กหา่ กวง้ึ ที่ ดางเหวยี่ นจงุ๊ ซนั ผุกจอื เถีย่ นกงั กู่ตกุ๊ ตา้ มกวี๊
คาถากำกบั การคาดประคตเอว
๕๒
จิน๋ อีทุกดา๊ ย ดางเหวี่ยนจงุ๊ ซนั เก๋ียมทกุ เถย่ี นกงั เบ๊ิกหลนิ่ ต๊างเทิ๊ก
คาถากำกับการใสเ่ ส้อื
เหญอื กเกรือ๊ กเถ่อื งอี ดางเหวี่ยนจงุ๊ ซัน หวดั ทง้ั เถยี่ นกัง จีพ๊ ๊าบบ๋หี งา่ น
คาถากำกับจีวรอาศยั
เถี่ยนตายหยายทา๊ ดผกุ โยเถอ่ื งเพ๊ือกเด่ียนอี หงากิมด๋นั ดา๊ ยถอ่ เทเ้ ทเ้ บ๊กิ ฉาลี อา๊ นเต๊ิกดา้ ยาตา๊ ฮา
คาถากำกบั จีวรครอง
เถี่ยนตายหยายท๊าดผุก โยเถื่องเพ๊ือกเด่ียนอี หงากิมดั๋นด๊ายถ่อ เท้เท้เถ่ืองด๊ักพี อ๊านโด่บาโด่บา
ต๊าฮา
คาถาไหวพ้ ระพุทธ
เทยี นเถื่องเทียนหา่ โยญือเผกิ ถ็อบเพืองเทย้ายเหยียดโยตี๋ เท้ยางเสอหึวหงาเต่ิงเกี๊ยน ญึกเท๊ียกโย
หวึ ญือเผิกหยา อ๊านผา่ หญกึ ลาหอ่ งเพ้ิงกรา
คาถาล้างหนา้
หยถี วเี ตย๋ เหยี่ยน ดางเหวยี่ นจงุ๊ ซนั ด๊ักติ่นพา๊ บโมน หยินโยโกว๊ เหยียม อ๊านราม ๒๑ หน
บทสวดมนต์ต่าง ๆ ของพระสงฆ์อนัมนั้นมีความหมายอยู่ในตัวมนต์อยู่แล้ว และผู้ใช้ควรท่ีจะ
นำไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์และเหมาะสมกับพธิ ีตา่ ง ๆ
บทสรุป
บทสวดมนต์อนัมนิกายเป็นส่ิงที่สำคัญของพระสงฆ์อนัมที่ได้ยึดถือปฏิบัติท่องบ่นสาธยายกันสืบ
ต่อ ๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังสืบทอดกันมาโดยตลอด ในบทนี้จึงได้นำเอาส่วนหน่ึงของบทสวด
มนต์ทั้งหลายของพระสงฆ์อนัมนิกาย ท่ีถือว่าเป็นบทสวดเบ้ืองต้นมาให้นักเรียนได้เล่าเรยี นกัน พระมนต์
พธิ ีมีความขลังอย่ใู นตัวของบทสวดมนตน์ ั้น ๆ เอง และถือเป็นการสืบทอดพุทธพจน์ไวใ้ ห้ตราบชัว่ นิรนั ดร์
๕๓
กจิ กรรมเสรมิ ความรู้
๑. ครูและนักเรียนได้ร่วมกันท่องบนสาธยาย และสรุปความสำคัญของมนต์พิธีที่สวด และให้
นกั เรยี นสรปุ กันเป็นกลุ่ม แล้วนำมาอภิปรายให้เพอ่ื นนกั เรียนไดจ้ ับประเดน็ สง่ ครู
๒. ครูใหน้ กั เรยี นฝึกทอ่ ง แล้วทดสอบหลงั เรียน
กจิ กรรมวดั ผล
นักเรยี นตอบคำถามทกุ ขอ้ ดังต่อไปนี้
๑. คำอนุโมทนา มีความหมายวา่ อย่างไร ?
๒. บทสวดพจิ ารณาขา้ ว มคี วามหมายถงึ อะไร ?
๓. การรบั กฐนิ ในพระสงฆ์อนัม เกิดขนึ้ ในช่วงใด ?
๔. การเขา้ พรรษาของพระสงฆอ์ นัม อยใู่ นชว่ งใด ?
๕. ทำไม จงึ มกี ารเกดิ การถวายสังฆทาน ?
๖. บทสวดด่ายบี มคี วามหมายอยา่ งไร ?
๗. บทสวดรงั เงียม มคี วามสำคัญอย่างไร ? อธบิ าย
๕๔
บทที่ ๖
การสวดมนต์ทำนองเสนาะ (มนต์ต๊าง)
จุดประสงค์ปลายทาง
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในบทสวดมนต์ และสามารถท่องสาธยายเนื้อหาของมนต์ต๊างได้
รวมถึงการเคาะจังหวะและสวดเป็นทำนองได้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการประกอบพิธีได้อย่าง
เหมาะสม
จดุ ประสงคน์ ำทาง
๑. นักเรยี นเขา้ ใจการในบทสวดมนตต์ ๊างได้ถกู ตอ้ ง
๒. นักเรยี นสวดมนต์ตา๊ งตามสำเนียงเดิมได้ถูกต้อง
๓. นักเรียนเคาะจงั หวะกบั การสวดมนต์ได้
๔. นักเรียนเห็นคุณค่าในการนำการสวดมนต์ไปใช้กับการสวดมนต์ในชีวิต-ประจำวัน ได้
อย่างเหมาะสม
การสวดมนต์ทำนองเสนาะ (มนตต์ ๊าง)
การสวดมนต์ทำนองเสนาะ (ญวนเรียกว่า ต๊าง) หมายถึง การสวดมนต์ที่ใส่จังหวะ ให้มีทำนองที่
ไพเราะเสนาะหยู ิ่งขนึ้ การสวดมนต์ต๊างนี้ พระสงฆ์ทุกนิกายในพุทธศาสนา มีการประยุกต์ใช้ให้เหมาะ
กับสถานการณ์และสังคมน้ัน ๆ พระสงฆ์อนัมนิกายในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ได้มีการสวดมนต์ต๊า
งสืบทอดต่อ ๆ กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซ่ึงปัจจุบันน้ีได้มีการเปล่ียนแปลงโดยนำเอาดนตรี
บางอย่างเขา้ มาประยกุ ตใ์ ช้ใสจ่ ังหวะ ให้เกิดความไพเราะยิ่งขึ้น ดนตรที ี่นำมาใช้ประกอบจงั หวะนนั้ มี ขิม,
ซอ, กลอง, อิเล็กโทน เป็นตน้ ทำใหต้ ัวมนต์ต๊างน่าฟัง ไม่ให้ผู้ฟังรู้สกึ เบื่อ และมนต์ต๊างถึงจะเปลี่ยนแปลง
ด้วยจังหวะตามยุคตามสมัยก็ตาม ตัวมนต์เองก็ยังคงความศักด์ิสิทธิ์และไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตาม
สมยั และความขลงั กย็ งั คงเดิมไม่เส่ือมคลาย
ในบทน้ี จะกล่าวถึงการสวดมนต์ต๊างในเบ้ืองต้นพอเป็นแนวทางการศึกษาระดับช่วงชั้นที่ ๓
ดงั ตอ่ ไปน้ี
อุปกรณ์การสวดมนตต์ า๊ ง
ในท่ีนจ้ี ะขอกลา่ วถึงอปุ กรณท์ ่ปี ระกอบการสวดมนต์ ดงั นี้
๑. หมอ (บกั๊ ฮอื้ )
๕๕
๒. ระฆัง (จว้ ง)
๓. โด๋ว
หมอ (บก๊ั ฮ้อื )
หมอ (บ๊ักฮ้ือ) คือ เครื่องใช้สำหรับในการตีให้จังหวะใน
การสวดมนต์ของสงฆ์ แต่เดิมมักจะแกะสลักเป็นรูป
ปลารวมอยู่ด้วย เพื่อให้สงฆ์ได้เอาอย่างปลา เพราะมัน
ไม่เคยหยุดน่งิ เลยแม้กระทงั่ เวลานอน ครีบและหางของ
มนั จะโบกสะบัดอยูเ่ สมอ หมอนส้ี ่วนมากทำจากไม้แก่น
จนั ทร์ หรอื แก่นขนุนนำมาเจาะให้ตรงกลางเปน็ โพรง มี
ไม้ตีให้เกิดเสียงดัง (ความมุ่งหมายคือเวลาพระผู้นำใช้ตี
จงั หวะสวดมนตอ์ ยู่ คณะสงฆต์ ้องสำรวมจิตสมาธิ จติ ใจแน่วแน่ ไมใ่ หเ้ สยี จังหวะในการสวดมนต)์
ระฆงั (จวง)
ระฆัง (จวง) คือ สิ่งที่ใช้ตีเพื่อให้เปล่ียนบทสวด
มนต์ และเพ่ือเป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักด์ิสิทธิ์
ณ ที่น้ัน ลักษณะของระฆัง (จวง) นี้เหมือนกับรูปของไข่
ตัดครึ่งใบแล้วหงายขึ้น ตรงกลางกลวงทั้งหมด เพื่อให้มี
เสียงดังกังวาลเวลาตี หล่อด้วยทองเหลืองหรือโลหะผสม
สว่ น ส่วนท่ีใช้ตีทำจากไม้
โด๋ว โดว๋ น้ัน มีอยู่ ๔ ประเภท ดงั นี้
๑.โด๋วนา คือ พระที่ทำหน้าท่ีรองจาก ยีจุ๊ง มีหน้าที่ตี
โดว๋ หมัก
๒.โด๋วจุ๊ง คือ พระท่ีทำหน้าที่รองจาก โด๋วนา มีหน้าที่ตี
โด๋วไก๊
๓.โด๋วหมัก คือ สิ่งท่ีใช้ตีจังหวะเป็นทำนอง เพื่อให้การต๊า
งมนต์ (สวดมนต์) มีความพร้อมเพียงและน่าฟังยิ่งข้ึน ทำด้วยทองเหลือง กลึงให้มีลักษณะเหมือนกับฝา
บาตรแตเ่ ล็กกวา่ ประมาณ ๕ เทา่ มเี ชอื กรอ้ ยเปน็ หสู ำหรับใช้น้วิ มอื เก่ียว
๔.โด๋วไก๊ คือ ส่ิงที่ใช้ตีขัดจังหวะเป็นทำนองกับโด๋วหมัก เพ่ือให้การต๊างมนต์ (สวดมนต์) มีความไพเราะ
และน่าฟังยง่ิ ข้นึ ทำด้วยทองเหลืองเหมอื นโด๋วหมกั
๕๖
วัสดุที่ใชต้ โี ดว๋ ทำจากไมไ้ ผ่ นำมาเหลาใชไ้ มต้ รงปล้องเปน็ ปมุ่ หรอื ส่วนหัวตี และมีก้านจับเหลาให้เล็กบาง
การเคาะจังหวะของโด๋วหมัก มีอย่ดู ้วยกัน 2 วธิ ี คอื
วิธีที่ ๑ จังหวะ ๓ ลูก ได้แก่ ๑ ๒ ๓ (เคาะ ๓ ลูกตลอดบทสวดมนต์นนั้ ๆ )
วิธที ่ี ๒ จงั หวะ ๕ ลูก ไดแ้ ก่ ๑ ๒๓ ๔ ๕ (เคาะ ๕ ลกู ตลอดบทสวดมนต์นน้ั ๆ)
บทสวดมนตข์ องพระสงฆ์อนมั นกิ าย มอี ยู่ ๒ แบบ คือ
แบบท่ี ๑ ต๊างเท่ียง (ธรรมดา)
แบบท่ี ๒ ตา๊ งต๊อื กู๊ (หรืออาจมีตา๊ ง ๒ ชัน้ หรือต๊างแบบพเิ ศษเฉพาะบทน้ัน ๆ กไ็ ด้)
บทสวดมนต์ทำนองเสนาะ (มนต์ตา๊ ง)
ขอยกมาเพ่ือให้เป็นแนวทางในการศึกษาในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ เท่าน้ัน และสิ่งท่ีสำคัญ
ท่ีสดุ ตอ้ งฝกึ ปฏบิ ัติ สวดท่องสาธยายอย่เู ป็นประจำสมำ่ เสมอ ดังนี้
บทสวดลือเฮอื ง
ลือเฮอื งส่าเหย่ียด, พ๊าบย้ายม็องวงึ , จือเผิกหายโห่ยเติ๊กเยยี วยงั ,
ต้ซี อ้ื เกีย๊ ดเตอ่ื งเยงิ , ถ่นั อ๊ี เพอื งเอิง, จอื เผิกเหี่ยนตา้ นเทงิ
นามโมเฮืองเยิงก๊ายโบ่ต๊าก มาฮาต๊าก ๓ จบ
บทสวดเยืองจี
เยืองจีต่ินถี, เบ๊ียนซ้ายตามเทียง, ต๊ันค็องบา๊ ดดึก๊ เหลย่ เยนิ เทียน,
พา๊ บยา้ ยกว๋างตังเยยี น, เหยยี ดโต่ย เตียวเคยี น, หวาเหยยี่ มว้าหอ้ งเรียน
นามโมทนั เลอื งเดยี่ โบ่ต๊าก มาฮาตา๊ ก ๓ จบ
บทสวดย้ายเฮอื ง
ยา้ ยเฮอื งดิ่นเฮอื งหยอื เหว่เฮือง หยายท๊าดหยายท๊าดกรเี ก๊ยี นเฮือง
กวางมนิ เยงิ ดา่ ยเบีย๊ นพา๊ บย้าย ก๊งุ เยอ่ื งถอ็ บเพืองจอื ท้ันเหย่ี น
นามโมเฮืองเยงิ ก๊ายโบ่ต๊าก มาฮาต๊าก ๓ จบ
บทสวดหายเจง๊ิ
หายเจ๊งิ เกรย่ี วอ็อมเที๊ยกโผโมน ก๋วึ เรียนวาลีเหย่ี นด่องเจนิ
เยอื งจียกึ ด๊ิดเจนิ กามโล่ ตา๊ งต๊ักเซงิ ห้าด่ายเดีย่ ซนุ
นามโมด่ายบีกวางเท้ออ็ มโบ่ต๊าก มาฮาต๊าก ๓ จบ
บทสวดเผิกตือ้
ตอ้ื กวา๋ งดา่ ยก๋ามอง๊ึ โยซาย ตดิ กวางตามหม่วยเบี๊ยนห่าซา
เหวีย่ นเบกิ๊ ลยี ่ายายา้ งเพอื๊ ก กรายหยากมิ เดย่ี หย็องเรียนวา
๕๗
นามโมย้างเก๊ยี ดเตอื่ งโบต่ า๊ ก มาฮาต๊าก ๓ จบ
บทสวดเฮืองบุนจ่าย
เฮืองบุนจา่ ยฉ่างพาง ใจหวา่ ยกิมโลพ่ อ้ ง โหน่ยอวิ๊ เหลยี วเหยียวเซ็งเฮียง
แยยว้ิ วานเผอ่ื ง เหี้ยนเตียวหงือเตีย้ น หย่วิ ลายฮุดถอ่ แย เหลื่องตกุ๊ โตน
นามโมเฮืองกุ๊งเยื่องโบ่ต๊าก มาฮาตา๊ ก ๓ จบ
บทสวดเขถู
เขถกู วอี ีโตเติก๊ เด๊ โดว่ เหยยี่ นดน๋ั เหลเท๊กิ กจู ี
หงากมิ ชึงตา๊ งดา่ ยจุน๋ เด้ ยีเหว่ยี นตื่อบีทย่ี าโห่
นามโมตา๊ กโตหนมิ ซามเหม่ยี วซามผู่ถอ่
กจู หี นิม ดา๊ ดเดยี ดทา อา๊ น เจ๊ียกเหลจู๋เหลจ๋นุ เด่ ตาบ่าฮา ๓ จบ
นามโมจุน๋ เดเ้ ยืองโบ่ตา๊ ก มาฮาตา๊ ก ๓ จบ
บทสวดเหว่ยี นเตียว - เหวี่ยนหยี
เหวีย่ นเตยี วตามเจ๊อื งกรื้อเพย่ี นหนาว เหว่ียนดัก๊ กรเ๊ี หว่เจินมนิ เหลียว
โผเหวย่ี นโต่ยเจอื๊ งเติ๊กเตยี วกรอ้ื เทเ้ ทเ้ ทือ่ งหั้นโบ่ต๊ากด่าว
เหวยี่ นหยถี ือกอ็ งดึ๊ก โผก็อบออื ยึกเที๊ยด
หงาดั๋งหยอื จุง๊ ซนั ยายก่องท่านเผิกด่าว
บทสวดเหวย่ี นซัน – เหว่ียนหยี
เหว่ยี นซนั ตยั เพืองต่นิ โดก่ รุง ก๋ึวผ็อมเรียนฮวายผี โู่ หมว
ฮวาคายเกีย๊ นเผกิ โหง่โยซัน เบิ๊กโทย้ โบ่ต๊ากยีบา่ งหรอื
เหวย่ี นหยถี อื กอ็ งดกึ๊ โผกอ็ บออื ยกึ เทยี๊ ด
หงาด๋ังหยือจุง๊ ซนั ยายก่องทา่ นเผิกด่าว
บทเหลนามโม
นามโมทิดกามึวนเี ผกิ นามโมอายีดา้ เผกิ
นามโมยังทู่ซอื เหลย่ โบต่ ๊าก นามโมกวางเท้ออ็ มโบ่ตา๊ ก
นามโมด่ายหน่ั โผเหย่ี นโบต่ ๊าก นามโมดา่ ยเทจ้ ี๊โบ่ตา๊ ก
นามโมดา่ ยบีกวางเท้ออ็ มโบ่ต๊าก นามโมเดย่ี ตา่ งเยืองโบต่ า๊ ก
นามดังลายยีหลากโตนเผิก นามโมทนั ติน่ ด่ายหายจุ๊งโบต่ า๊ ก
๕๘
บทสวดมนต์เหล่าน้ีเป็นการบทสวดมนต์ท่ีนำไปใช้ในพิธีจริงท้ังสิ้น ดังนั้นควรให้พุทธทายาทฝ่าย
อนัมนิกายได้ฝึกฝน หัดท่องสวดสาธยายอยู่บ่อย ๆ เพราะแต่ละบทมีการเอื้อนเสียง ของตัวมนต์ไม่
เหมือนกัน ต้องสวดแลว้ เข้าจังหวะด้วย ถอื เปน็ การยากในระดับเบ้ืองตน้ แต่พอเราจับทศิ ทางของการสวด
ในทำนองไดแ้ ล้วจะไมค่ ิดวา่ ยากเลย
ให้นักเรียนได้ฝึกฝนอยู่เรื่อย ๆ และศึกษาประวัติความเป็นมาของคณะสงฆ์อนัมนิกายที่นักเรียน
ไดบ้ วชเรยี นอย่ใู นขณะน้ี ชว่ ยกนั รกั ษาและเผยแผ่ ให้เป็นท่ีประจักษต์ อ่ พทุ ธศาสนกิ ชน สืบตอ่ ไป
บทสรุป
การสวดมนต์ทำนองเสนาะก็เหมือนการสวดสรภัญญะ ของพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท เป็นการสวด
มนต์เพื่อสร้างความไม่น่าเบ่ือให้กับผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกไพเราะเสนาะหู น่าฟังก็เป็นการเผยแผ่อีกแนวทาง
หน่ึง ถึงแม้กาลเวลาจะเปล่ียนไป จะมีเครื่องดนตรีท่ีใช้ประกอบแนวใหม่เข้ามา แต่ก็ยงั คงความศักดส์ิ ิทธิ์
และความขลงั อยูใ่ นตัวของมนตเ์ ช่นในอดตี
ดังน้ันแล้วสามเณรนักเรียนท่ีเป็นพุทธทายาทของพระสงฆ์ฝ่ายอนัมนิกาย ควรศึกษาเล่าเรียนกัน
จริง ๆ จัง ให้รู้ย่ิงเห็นจริงในส่ิงท่ีเป็นแก่นแท้และความเปน็ มาของพระสงฆ์อนัมให้ชัดเจนสามารถที่จะสืบ
ทอดต่อไปยงั รุน่ หลงั ได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมต่อไป
๕๙
กิจกรรมเสรมิ ความรู้
๑. ครูสอนนักเรียนให้เข้าใจในการสวดมนต์ต๊าง และจังหวะของการตีหมอ ตีโด๋ว ก่อนแล้วให้
นกั เรยี นฝึกฝนจนคลอ่ ง สมุ่ เลือกตัวแทน ๕ รูปมาสาธติ เคาะจังหวะใหเ้ พือ่ นดู
๒. ครูสอนนกั เรยี นท่องมนตต์ า๊ งใหข้ นึ้ ใจ และไม่ผดิ เพีย้ นจากสำเนียงเดิม
๓. ครูสอนนักเรียนให้สวดมนต์เข้าจังหวะและใส่ทำนองเข้าไป และให้นักเรียกฝึกฝนจนชิน แล้ว
ใหน้ ักเรยี นทดสอบทีละรปู
กิจกรรมวัดผล
นักเรยี นตอบคำถามตอ่ ไปนใ้ี ห้ถูกต้อง
๑. การสวดมนต์ทำนองเสนาะ ญวนเรยี กวา่ ?
๒. การสวดมนต์ทำนองเสนาะมคี วามสำคญั อยา่ งไร ?
๓. บทสวดมนตเ์ ขถู อยู่ในบทใดของการทำวตั รเชา้ ?
๔. ในปจั จุบันน้ีในฐานะเป็นนักเรยี นควรสืบทอดการสวดมนต์ทำนองเสนาะไว้หรือไม่ เพราะเหตุ
ไร ?
๕. การสวดมนตต์ ๊าง เหมอื นกันสวดมนตอ์ ะไรของพระไทย (พระสงฆ์ฝา่ ยเถรวาท) ?
๖. นักเรียนมีความคิดเห็นอย่างไรกับการสวดมนต์ต๊างในปัจจุบันที่นำเอาเคร่ืองเสียงอิเล็กทรอ
นิกมาใช้ประกอบ ?
๗. การสวดมนต์ต๊างในปัจจุบันมีการประยุกต์ทำนองการสวดให้เข้ากับทำนองดนตรีบางอย่าง
ทันสมัย นักเรยี นมีความคดิ เหน็ อย่างไร ?
๖๐
บรรณานุกรม
แก้วชาย ธรรมาชัย (แปล). กำเนิดพระโพธิสัตว์กวนอิม. พิมพ์ครั้งท่ี ๘. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ตงหัว
,_______.
คณะสงฆ์จนี นิกาย. พระพทุ ธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ :____________, ๒๕๓๑.
คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย. ที่ระลึกงานทำบุญอายุและสมโภชน์สัญญาบัตรพัดยศ พระมหา
คณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (ก๊ินเจ๊ียวมหาเถระ). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๔
คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย. อนุสรณ์แด่ พระคณานัมธรรมสมาธิวัตร (ย๊ากเหมิงมหาเถระ).
กรงุ เทพฯ : บริษทั ประชาชนจำกดั , ๒๕๓๗.
คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทย. งานฉลองสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระคณานัมสมณา
จารย์ (โผเรียน เปา้ ). กรงุ เทพฯ : ____________, ๒๕๓๕.
จำนงค์ ทองประเสริฐ. ประวตั ิศาสตรพ์ ุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์. กรุงเทพฯ : องค์การคา้ ของคุรสุ ภา,
๒๕๓๔
ดร.สมชัย รักวิจิตร. กวนอิมโปรดสัตว.์ กรงุ เทพฯ : บริษัท คอมแพคทพ์ ริ้นท์ จำกัด, ๒๕๔๐.
ธีรยุทธ สนุ ทรา, รศ.พุทธศาสนามหายานในประเทศไทย จีนนกิ ายและอนมั นิกาย. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐
ประกายธรรม. เจา้ แมก่ วนอมิ เทพธิดาแหง่ ความเมตตา. กรงุ เทพฯ : ธรรมสภา, ____________.
ผุสดี จันทวิมล, เวียดนามในเมืองไทย (The Vietnamese in Thailand). กรุงเทพฯ โรงพิมพ์
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, : ๒๕๔๑.
พระครูคณานัมสมณาจารย์ (เหมิกโงน). พระภิกษุปาฏิโมกข์ ฝ่ายอนัมนิกาย (ตี๊แควบาเด้หมก). พระ
นคร : โรงพมิ พ์วัฒนธรรม, ๒๔๙๗.
พระครสู ังฆกจิ วสิ ทุ ธิ.์ มนต์พิธี. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพเ์ ลีย่ งเซียง, ๒๕๓๔
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พระพุทธศาสนาในอาเซีย. กรงุ เทพฯ : ธรรมสภา, ๒๕๔๐
พระมหาอุทยั ธมมฺ สาโร. พระพุทธศาสนาและโบราณคดใี นทวีปเอเชยี . กรงุ เทพฯ : เฟอื่ งอกั ษร, ๒๕๑๖
พระอาจารย์จีนธรรมคณาธิการ (เย็นเจี่ยว). สารัตถธรรมมหายาน. กรุงเทพฯ : วัดมังกรกมลาวาส,
๒๕๑๓.
วัดกุศลสมาคร. เอกสาร พิธีตรายตัง ในพิธีท้ิงกระจาดงานประจำปี. กรุงเทพฯ ____________,
๒๕๔๑.
วัดถาวรวราราม. ประวัติศาสนพิธีพทุ ธศาสนามหายาน. กาญจนบรุ ี : ____________, ๒๕๒๔.
๖๑
วัดสุนทรประดิษฐ์. ที่ระลึกพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตรอุโบสถ. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดจิรรัชการ
พิมพ์, ๒๕๔๐.
วดั อนมั นกิ ายาราม. ฉลองอโุ บสถและพระพุทธปฏิมา. กรุงเทพฯ : ____________, ๒๕๑๑.
วัดอุภัยราชบำรุง. อุภัยฉลอง. กรุงเทพฯ : บริษัทประชาชนจำกัด, ๒๕๔๓.
สมภาร พรมทา. พุทธศาสนามหายาน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.
สามเณรคงศักด์ ขันธวิชัย. มนต์เทศกาลกินเจอนัมนิกาย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั , ๒๕๔๑.
ส. กตัญญูภกิ ข.ุ อนุสรณง์ านบำเพญ็ กุศล หลวงพ่อโฝ. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ประชาชนจำกัด, ๒๕๓๓.
ส. ศวิ รกั ษ์. ของดีจากธเิ บต. กรุงเทพฯ : บรษิ ัทส่องสยามจำกัด, ๒๕๔๔.
องปลัดสิทธิศักดิ์ เถี่ยนยา. เอกสาร คัมภีร์อธิษฐานเข้าพรรษา อนัมนิกาย. วัดถ้ำเขาน้อย กาญจนบุรี,
๒๕๔๓.
องสรภาณมธุรส (บ๋าวเอิง). อมตพจน์. พระนคร : โรงพมิ พร์ ุ่งเรืองรตั น,์ ๒๕๐๕.
องสรพจนสุนทร (เหวเ่ จือ๋ ง). อนุสรณ์ในงานพิธีเคารพบรู พาจารย์ (ก่ีโต๋) วัดถาวรวราราม. กรุงเทพฯ :
บรษิ ทั ประชาชนจำกดั , ๒๕๑๕.
องใบฎีกาปรีชา เถ่ยี นกือ และ นายประชา กลุ สุวรรณ์. พระราชทานนามวัดถาวรวราราม ฉลองสมโภช
๑๐๐ ปี. กาญจนบุรี : โรงพมิ พพ์ รสวรรคก์ ารพิมพ,์ ๒๕๓๙.
อนุสรณ์ฉลองสมณศักด์ิเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายและพระเถระจีนนิกาย. ประวัติแนวความคิด
มหายาน:___________ , ๒๕๓๑.
อภิชัย โพธ์ิประสิทธิ์ศาสต์. พระพุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย,
๒๕๓๙.