ก
กติ ตกิ รรมประกาศ
การศึกษารูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็น
พี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย
ในครั้งนี้เกิดขึ้นและสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณ นายทองปอนด์ สาดอ่อน นางสาวจีระพันธ์
อุดมลาภ ดร.ธวัช ชุมชอบ ดร.ทวีป วงศ์ชาลีกุล และ ดร.สมนึก นาห้วยทราย ซึ่งสละเวลาให้คำแนะนำในสิ่งท่ี
เป็นประโยชน์ ตลอดจนแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งตา่ งๆ ดว้ ยความละเอยี ดและใหค้ ำปรกึ ษาแนะนำด้วยดีเสมอมา
ขอขอบพระคุณ คณะครู บุคลากร นักเรียน ผู้ปกครองโรงเรียนป่าแดดวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๓๖ และ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานของโรงเรียนทุกภาคส่วนที่ให้
ความร่วมมือในการตอบแบบสำรวจ และแบบประเมนิ จนงานสำเร็จลลุ ่วงดว้ ยดี
ผู้ศึกษา
วันรักษ์ ขันหอม
ข
บทคัดยอ่
ชอื่ งานการศกึ ษา : การศึกษารปู แบบการพฒั นาครเู กง่ ครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชแ้ี นะสอน
งานและการเป็นพ่ีเล้ยี ง (Coaching and Mentoring Supervisor)
โรงเรียนปา่ แดดวทิ ยาคม อำเภอปา่ แดด จงั หวัดเชียงราย
ชื่อผู้ศึกษา : วันรักษ์ ขนั หอม
สถานทที่ ำงาน : โรงเรียนปา่ แดดวทิ ยาคม
ปกี ารศกึ ษา : ๒๕๖๓
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ
ชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) ศึกษาผลงานครูเก่งครูดีก่อน
และหลังการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching
and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย และศึกษาความพึง
พอใจของครูและผบู้ รหิ ารทม่ี ีต่อการพฒั นาครูเก่งครดู ีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชแ้ี นะสอนงานและการเป็น
พี่เล้ียง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวิทยาคม อำเภอปา่ แดด จังหวดั เชียงราย มี
ขั้นตอนการศึกษาดังนี้ ขั้นตอนที่ ๑ การสร้างรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ
ชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม
อำเภอปา่ แดด จังหวดั เชยี งราย ขัน้ ตอนท่ี ๒ การทดลองใชแ้ บบประเมนิ คุณลักษณะครูเก่งครูดี โดยใช้รูปแบบ
การพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and
Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย และทำการสำรวจผลงาน
ครูเก่งครูดีก่อนและหลังการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศ
แบบชี้แนะสอนงาน และการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม
อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ขั้นตอนที่ ๓ การประเมินความพึงพอใจของผู้บริหารและครูที่มีต่อแบบ
ประเมินคุณลักษณะครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching
and Mentoring Supervisor) โรงเรยี นปา่ แดดวทิ ยาคม อำเภอป่าแดด จงั หวัดเชยี งราย
ผลการศึกษาพบว่า (๑) ค่าความตรง (Validity) ของประสิทธิภาพรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดย
ใช้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching
and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย มีค่าเฉลี่ยของค่า
ความตรง (Validity) ทัง้ หมดเท่ากบั ๐.๙๕ อยู่ในระดบั ใช้ได้ และคา่ ความตรง (Validity) ของคุณภาพรูปแบบ
การพฒั นาครเู กง่ ครูดี โดยใช้รูปแบบการพัฒนาครูเกง่ ครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบช้ีแนะสอนงานและ
ค
การเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัด
เชียงราย มีค่าเฉลี่ยค่าของความตรง (Validity) ทั้งหมดเท่ากับ ๐.๙๘ อยู่ในระดับใช้ได้ และจากการประเมิน
คุณภาพของรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง
(Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรยี นป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวดั เชยี งราย พบวา่ ทั้ง
๓ ด้าน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๘๓ มีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์อย่ใู น
ระดบั มากที่สดุ (๒) ผลประเมนิ คณุ ลักษณะครูเกง่ ครูดี การใช้รปู แบบการพฒั นาครูเก่งครูดี โดยใชก้ ระบวนการ
นิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดด
วิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย พบว่า ผลการประเมินคุณลักษณะครูเก่งครูดี มีค่าเฉลี่ยก่อน
การศกึ ษาเท่ากับ ๔.๐๕±๐.๕๕ จัดอยู่ในระดบั ปานกลางและมีค่าเฉลี่ยหลังการศึกษาเทา่ กบั ๔.๔๐±๐.๖๓ จัด
อยู่ในระดับปานกลาง โดยผลต่างค่าเฉลี่ยหลังการศึกษาสูงกว่าก่อนการศึกษาเท่ากับ ๐.๓๖±๐.๐๘ และผล
การศึกษาผลการประเมนิ ผลงานครูเก่งครูดีก่อนและหลังการพัฒนาโดยใช้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้
กระบวนการนเิ ทศแบบชี้แนะสอนงานและการเปน็ พีเ่ ล้ยี ง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียน
ป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย พบว่า รายการประเมินที่ ๑-๘ มีค่าร้อยละเพิ่มขึ้นเท่ากับ
๖.๙, ๑๗.๒๔, ๑๐.๓๔, ๓๑.๐๔, ๒๗.๕๙, ๒๗.๕๙, ๓๑.๐๓, ๓๗.๙๓ และ ๔๑.๓๘ ตามลำดับ ซึ่งรายการ
ประเมินที่ ๙ มีค่าเท่าเดิม คือ เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งก่อนและหลังการการพัฒนาผลงาน โดยจำนวนผลงาน
ทง้ั หมดก่อนการพัฒนาผลงานครูเก่งครูดีเทา่ กับ ๑๙๔ และ หลังการพัฒนาผลงานครเู ก่งครูดีเท่ากบั ๒๖๑ (๓)
ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ครูและผู้บริหารโดยใช้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการ
นิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดด
วิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย พบว่า ผลการประเมินระดับความพึงพอใจของครู มีค่าเฉลี่เท่ากับ
๔.๐๙±๐.๖๗ อยู่ในระดับความพึงพอใจมากและระดับความพึงพอใจของผู้บริหารมีค่าเฉล่ียเท่ากับ ๕.๐๐±
๐.๖๗ จัดอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด และผลการประเมินระดับความพึงพอใจของครูและผู้บริหาร มี
คา่ เฉลีย่ ท้งั หมด เท่ากับ ๔.๕๕±๐.๖๗ อยูใ่ นระดบั ความพงึ พอใจมาก
ง
สารบัญ
เรอ่ื ง หน้า
กติ ตกิ รรมประกาศ ก
บทคัดย่อ ข
สารบญั ง
สารบัญตาราง ช
บทท่ี ๑ บทนำ
๑
ทม่ี าและความสำคัญของโครงงาน ๓
วตั ถปุ ระสงค์ ๓
ขอบเขตการวิจัย ๔
กรอบแนวคิดของการศกึ ษา ๕
สมมติฐานการศึกษา ๕
นิยามเฉพาะ ๕
ประโยชน์ท่ีได้รับจาการศึกษา
บทท่ี ๒ เอกสารและโครงงานท่ีเกีย่ วข้อง ๖
ขอ้ มูลพน้ื ฐานโรงเรียนป่าแดดวทิ ยาคม ๑๑
คุณลกั ษณะครูเก่งครูดี ๒๐
การนิเทศการศึกษา ๒๔
ความสำคัญของการพฒั นาครู ๒๕
รปู แบบการพัฒนาครู ๓๓
ทฤษฎีเกย่ี วกับความพึงพอใจ ๓๗
งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้อง
บทที่ ๓ วธิ ีการดำเนนิ การศกึ ษา ๔๙
ข้นั ตอนท่ี ๑ การดำเนินการสร้างรปู แบบการพฒั นาครเู กง่ ครดู ีโดยใช้กระบวนการ
นเิ ทศแบบช้ีแนะสอนงานและการเปน็ พี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring
Supervisor) โรงเรยี นปา่ แดดวทิ ยาคม อำเภอป่าแดด จังหวดั เชียงราย ในการ
สรา้ งรปู แบบการพัฒนาครเู กง่ ครดู ี โดยใช้กระบวนการนเิ ทศแบบชแ้ี นะสอนงาน
และการเปน็ พเ่ี ลีย้ ง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดด
วทิ ยาคม อำเภอปา่ แดด จังหวัดเชยี งราย
จ
สารบัญ (ต่อ)
เร่อื ง หน้า
ขน้ั ตอนที่ ๒ การทดลองใชแ้ บบประเมนิ คุณลกั ษณะครเู ก่งครดู ี แบบสำรวจผลงาน ๕๒
ครูเกง่ ครูดี กอ่ นและหลังการพฒั นาครูเก่งครดู ี แบบประเมินประสทิ ธภิ าพ
นวตั กรรมการศึกษาโรงเรยี นปา่ แดดวทิ ยาคม ๕๓
และทดลองใชแ้ บบประเมินความพงึ พอใจโดยใช้รปู แบบการพัฒนาครเู ก่งครูดี โดย
ใช้กระบวนการนเิ ทศแบบชแี้ นะสอนงานและการเปน็ พ่เี ลี้ยง (Coaching and ๕๗
Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวิทยาคม อำเภอปา่ แดด จังหวดั ๖๒
เชียงราย
ขน้ั ตอนท่ี ๓ การประเมินความพงึ พอใจของครูและผู้บรหิ าร ที่มีต่อแบบประเมิน ๖๗
คุณลักษณะครเู ก่งครดู ี โดยใช้รูปแบบการพฒั นาครเู กง่ ครูดีโดยใชก้ ระบวนการ
นิเทศแบบชแ้ี นะสอนงานและการเปน็ พเี่ ลีย้ ง (Coaching and Mentoring ๖๙
Supervisor)โรงเรยี นปา่ แดดวทิ ยาคม อำเภอป่าแดด จงั หวดั เชียงราย ๗๑
๗๕
บทท่ี ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๗๖
ตอนท่ี ๑ การสรา้ งรปู แบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ
ชแี้ นะสอนงานและการเปน็ พี่เลยี้ ง (Coaching and Mentoring Supervisor)
โรงเรยี นป่าแดดวทิ ยาคม อำเภอปา่ แดด จังหวัดเชยี งราย
ตอนท่ี ๒ ผลการศึกษาการทดลองใช้แบบประเมนิ คุณลกั ษณะครูเก่งครูดโี ดยใช้
รปู แบบการพฒั นาครเู ก่งครูดโี ดยใช้กระบวนการนเิ ทศแบบช้แี นะสอนงานและการ
เป็นพ่ีเลี้ยง (Coaching and
Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวทิ ยาคม อำเภอป่าแดด
ตอนที่ ๓ ผลการประเมินความพึงพอใจของผูบ้ รหิ าร และครทู มี่ ตี ่อแบบประเมิน
คุณลักษณะครเู ก่งครดู โี ดยใช้รปู แบบการพฒั นาครูเกง่ ครูดี โดยใชก้ ระบวนการ
นิเทศแบบชแ้ี นะสอนงานและการเป็นพ่ีเล้ียง (Coaching and Mentoring
Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคมอำเภอป่าแดดจังหวัดเชียงราย
บทที่ ๕ สรุปผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ
สรุปผลการศึกษา
อภปิ รายผล
ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานกุ รม
สารบญั (ต่อ) ฉ
ภาคผนวก ๗๓
ภาคผนวก ก การหาคุณภาพเครอ่ื งมือในการวจิ ยั ๑๐๐
ภาคผนวก ข ตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ ๑๐๘
ภาคผนวก ค การเผยแพร่ ๑๑๒
ภาคผนวก ง ประวัตผิ ศู้ ึกษา
ช
สารบัญตาราง
ตารางท่ี หน้า
๑ ตารางแสดงคา่ ความตรง (Validity) ของประสิทธภิ าพรูปแบบการพฒั นาครูเก่งครดู ี โดยใช้ ๖๗
รปู แบบการพฒั นาครูเกง่ ครูดี โดยใชก้ ระบวนการนเิ ทศแบบชี้แนะสอนงานและการเปน็ พ่เี ลีย้ ง
(Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรยี นป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จงั หวัด ๖๘
เชียงราย
๒ ตารางแสดงค่าความตรง (Validity) ของคุณภาพรปู แบบการพฒั นาครเู กง่ ครดู โี ดยใช้รูปแบบ ๖๙
การพัฒนาครเู กง่ ครดู ี โดยใช้กระบวนการนเิ ทศแบบชีแ้ นะสอนงานและการเปน็ พีเ่ ลี้ยง ๗๑
(Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวทิ ยาคม อำเภอป่าแดด จังหวดั ๗๕
เชยี งราย
๓ ตารางแสดงผลการประเมินคณุ ภาพของรูปแบบการพัฒนาครูเกง่ ครดู โี ดยใชก้ ระบวนการ ๗๗
นิเทศแบบชีแ้ นะสอนงานและการเปน็ พเี่ ลีย้ ง (Coaching and Mentoring Supervisor)
โรงเรียนป่าแดดวทิ ยาคมอำเภอปา่ แดด จงั หวัดเชยี งราย
๔ ตารางแสดงผลสรปุ การประเมินคุณลักษณะครูเก่งครูดี การใช้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครดู ี
โดยใชก้ ระบวนการนิเทศแบบชีแ้ นะสอนงานและการเป็นพเ่ี ลย้ี ง (Coaching and Mentoring
Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอปา่ แดด จงั หวัดเชยี งราย
๕ ตารางแสดงผลการศึกษา ผลการประเมินผลงานครเู ก่งครูดีก่อนและหลังการพฒั นาโดยใช้
รปู แบบการพฒั นาครูเกง่ ครูดโี ดยใช้กระบวนการนิเทศแบบช้ีแนะสอนงานและการเปน็ พเี่ ลีย้ ง
(Coaching andMentoring Supervisor) โรงเรยี นป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จงั หวดั
เชยี งราย
๖ ตารางแสดงผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของครูและผูบ้ ริหารโดยใชร้ ูปแบบการพัฒนาครเู ก่ง
ครูดีโดยใช้กระบวนการนเิ ทศแบบชแี้ นะสอนงานและการเปน็ พ่ีเล้ยี ง (Coaching and
Mentoring Supervisor)โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวดั เชียงราย
๑
บทท่ี ๑
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา
การจัดการศกึ ษาในปจั จุบนั มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมือ่ เข้าสู่โลกในศตวรรษที่ ๒๑ การจัดการ
ศึกษาเน้นไปที่การสร้างนวัตกรรมเพื่อสนองความต้องการและการแก้ปัญหาการพัฒนาตนเองผ่านเทคโนโลยี
และเครื่องมือที่มีศักยภาพการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมผ่าน
ทางชมุ ชนออนไลน์ และ เครือข่ายสังคมออนไลน์ เมอ่ื โลกมกี ารเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเรว็ การจดั การเรยี นรู้ของ
ครูจึงต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้นปรับเปลี่ยนจากการจัดการเรียนรู้โดยรวมศูนย์ความรู้ไว้ที่ครู
เปลี่ยนเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นสร้างองค์ความรู้โดยผู้เรียนดังนั้นบทบาทหน้าที่ของครูจึงต้อง
เปลี่ยนไปดังที่ วิจารณ์ พานิช (๒๕๕๕ : ๑๕-๑๖) กล่าวถึงการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ ไว้ดังนี้ ครูเพ่ือ
ศิษยต์ ้องไม่ใช่แค่มใี จ เอาใจใสศ่ ษิ ย์เท่านัน้ ยงั ตอ้ งมีทักษะในการจดุ ไฟในใจศษิ ย์ให้รกั การเรียนรู้ ใหส้ นุกกบั การ
เรียนรู้ หรือให้การเรียนรู้สนุกและกระตุ้นให้อยากเรียนรู้ตอ่ ไปตลอดชีวิต ครูต้องยึดหลักสอนน้อยเรียนมาก
โดยที่การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เด็กครูต้องตอบให้ได้ว่า ศิษย์ได้เรียนรู้อะไร และเพื่อให้ศิษย์ได้เรียนสิ่งเหลา่ นั้น
ครูต้องทำอะไร ไม่ทำอะไร ในสภาพเช่นนี้ ครูยิ่งมี ความสำคัญมากขึ้น และท้าทายครูทุกคนอย่างที่สุดที่จะไม่
ทำหน้าท่ีครผู ิดทาง คือ ทำให้ศษิ ย์เรียนไม่สนุก หรือเรียนแบบขาดทักษะสำคัญดังนั้นครูซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญใน
การพัฒนาคุณภาพการศึกษา จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะได้รับการพัฒนาเพื่อให้สามารถจัดการเรียนรู้ที่
สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ ได้ และเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยเฉพาะ
โรงเรียนขนาดเล็ก รูปแบบสำคัญที่จะช่วยให้ครูในโรงเรียนขนาดเล็กได้รับ การพัฒนา จึงควรเป็นการพัฒนา
โดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน ดงั ที่ ธานินทร์ ปัญญาวัฒนากุล และคณะ (๒๕๕๖ : ๑๘) กล่าวไวว้ า่ การพฒั นาครูโดย
ใชโ้ รงเรียนเป็นฐานเป็นการพฒั นาครูทีเ่ กดิ จากความ ต้องการ หรือความจำเป็นของการพัฒนา ทง้ั นกี้ ารพัฒนา
ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติงานและพัฒนาในสถานศึกษาที่เป็นสถานการณ์จริง เพื่อแก้ปัญหาหรือ
สนองตอบต่อความต้องการอย่างตรงประเด็น และให้มีระบบของการพัฒนาทีค่ รบวงจรของการ พัฒนา ได้แก่
การประเมินความต้องการจำเปน็ ในการพัฒนา การวางแผนการพัฒนาการดำเนินการพฒั นาการนิเทศตดิ ตาม
ผลการพัฒนาไปสู่การปฏิบัติ และการประเมินผลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของการจดั การศึกษาในปัจจุบันจึง
เป็นความจำเป็นทต่ี ้องเรง่ ดำเนินการพัฒนาครูซ่ึงเปน็ กลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้มีความรู้
และทักษะสำหรับครูในศตวรรษที่ ๒๑ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศให้สูงขึน้ การพัฒนาครูและ
บคุ ลากรทางการศึกษาจึงจัดเปน็ วาระแห่งชาติ เน่ืองจากเปน็ ผู้ท่ีมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาเยาวชนของชาติ
ให้เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะที่สำคัญในการดํารงชีวิตอยู่ ในยุคศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งเป็นยุคแห่ง
เทคโนโลยีสารสนเทศ และมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านทั้ง ด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ดัง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ การเตรียมพร้อมด้านกำลังคนและ
การเสริมสร้างศักยภาพของประชากรในทุกช่วงวัย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็น
ทุนมนุษย์ที่มีศักยภาพสูงภายใต้เงื่อนไข การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงไปสู่โครงสร้าง
ประชากรสงั คมสูงวัยสมบูรณเ์ มือ่ สิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๒ จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลงต่อเนื่องมา
ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ และเกิดการขาดแคลนแรงงาน ผลิตภาพแรงงานต่ำคุณภาพคนยังมีปัญหาในทุกช่วงวัยและ
ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกันตลอดชว่ งชีวิต ตั้งแต่ พัฒนาการไม่สมวัยในเด็กปฐมวัย ผลลัพธ์ทางการศึกษาของ
เด็กวัยเรียนค่อนข้างต่ำแรงงานมีปัญหาทั้งในเรื่อง ความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ไม่ตรงกับความต้องการของ
๒
ตลาดงาน และผสู้ ูงอายุมปี ญั หาสุขภาพโดยที่จำนวนไมน่ ้อยต้องพึ่งพงิ ผู้อื่นในการดำเนนิ ชวี ิต การพัฒนาทักษะ
ความรู้ความสามารถของคน มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยเพื่อวางรากฐานให้เป็นคนมี
คุณภาพในอนาคตการพัฒนาทักษะสอดคล้องกับความต้องการ ในตลาดแรงงานและทักษะที่จำเป็นต่อการ
ดำรงชีวติ ในศตวรรษที่ ๒๑ ของคนในแต่ละชว่ งวยั ตามความเหมาะสม เช่น เดก็ วัยเรียนและวยั รุน่ พฒั นาทักษะ
การวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มคี วามคิดสร้างสรรค์รวมท้ัง การให้ความสำคัญกับการพฒั นาให้มีความพร้อมใน
การต่อยอดพัฒนาทักษะในทุกด้าน มีทักษะการทำงานและการใช้ชีวิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน วัยแรงงานเน้น
การสร้างความรแู้ ละทกั ษะในการประกอบอาชพี ท่ีสอดคล้อง กับตลาดงานทัง้ ทกั ษะขน้ั พ้ืนฐาน ทักษะเฉพาะใน
วชิ าชพี ทักษะการเป็นผ้ปู ระกอบการรายใหม่ ทักษะการประกอบอาชีพอสิ ระ วยั สูงอายเุ น้นพัฒนาทักษะท่ีเอื้อ
ต่อการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและ ประสบการณ์ การยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศใน
ทุกระดับและยกระดับ การเรียนรู้ โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งการบริหารจัดการ
โรงเรยี นขนาดเล็กปรับระบบการจัดการเรยี นการสอน และการพฒั นาคุณภาพครทู ้ังระบบรวมทั้งการยกระดับ
คุณภาพการศึกษาสู่ ความเปน็ เลศิ ในสาขาวชิ าท่ีมีความเชยี่ วชาญเฉพาะด้าน และพัฒนาระบบทวภิ าคหี รือ สห
กิจศึกษาให้เอื้อต่อการเตรียมคนที่มีทักษะให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน นอกจากนี้ต้องให้ความสำคัญกั บการ
สร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตทั้งสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย สำนักงาน
คณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ, สำนกั นายกรัฐมนตรี (๒๕๕๙ : ๑๕)
การพัฒนาครูและบุคลากรในสถานศึกษาถือว่าเป็นเรื่องจําเป็นที่ต้องได้รับการส่ งเสริมและพัฒนา
อย่าง มรี ะบบและต่อเนื่อง ครูและบุคลากรในสถานศึกษาลว้ นมีความสัมพันธเ์ กยี่ วเนื่องกบั ผเู้ รยี น สถานศึกษา
จะสามารถบรรลุถึงวตั ถุประสงค์หรอื เป้าหมายหลักทางการศึกษานั่นคือคณุ ภาพของครูในการจัดกระบวนการ
จัดการเรียนรู้หรือกระบวนการจัดมวลประสบการณ์ต่างๆท่ีผู้เรียนควรได้รับก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สําคัญต่อ
คุณภาพผู้เรียน บุคคลที่สําคัญต่อการพัฒนาครแู ละบุคลากรในสถาน คือ ผู้บริหารสถานศึกษาเพราะผู้บริหาร
สถานศึกษาถือว่าเป็นผู้นําหลักของโรงเรียนในการก้าวไปสู่หนทางการปฏิรูปการศึกษาและเป็นผู้นําไปสู่
เป้าหมายหลักทางการศึกษาน่ันคือคุณภาพทางการศกึ ษาด้วยเหตุที่ผู้บริหารสถานศึกษาเปน็ ผู้ท่ีจะตอ้ งจัดวาง
นโยบายและแนวปฏบิ ตั ิทชี่ ัดเจนเก่ียวกบั วิธกี ารจดั การเรยี นการสอนของครูการวางมาตรฐานการจดั การศกึ ษา
การวางแผนการตรวจสอบคุณภาพการเรียนรู้ รวมถึงการสร้างขวัญกําลังใจ การเร่งรัดพัฒนาค รูอย่างเป็น
ระบบและต่อเน่อื งให้ครผู ู้สอนเกดิ ทักษะมีความสามารถในการจัดการเรียนรแู้ ละประสบการณ์แก่ผู้เรยี นให้เป็น
ทรพั ยากรมนุษยใ์ ห้เจริญเติบโตงอกงามไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมของชวี ิต คอื เปน็ คนดี คนเกง่ ทม่ี ี ความสุขและ
มีความใฝร่ ู้ เป็นทรัพยากรมนุษย์ทมี่ ีความสําคญั ต่อสงั คมหรือประเทศชาติ
ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนโรงเรียนป่าแดดวิทยาคมสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษาเชียงราย ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก มีการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑
ถึง ๖ จากสภาพโรงเรยี นท่ีอยใู่ นชุมชนชนบทและจากรายงานปฏิบตั ิการประจำปีของโรงเรียนปา่ แดดวิทยาคม
พบว่า ประชาชนผู้ปกครองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของโรงเรียน ยังไม่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของ
โรงเรยี นไม่มากเท่าทค่ี วร การมีส่วนร่วม มอี ยบู่ ้างในรปู ของการสนับสนุนทนุ การศึกษามากกว่าการร่วมคิดร่วม
วางแผน ร่วมตดั สินใจหรอื รว่ มกันพฒั นาคณุ ภาพของนักเรยี น ดงั น้นั ทางโรงเรยี นจึงต้องเร่งพฒั นาคุณภาพของ
การจดั การศึกษาเพ่ือสร้างความมน่ั ใจและยอมรบั ของชมุ ชนโดยเรง่ พฒั นาครูให้เป็นครูเก่งครูดีเพ่ือใช้ในการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพตลอดจนการทำงานสนับสนุนให้เกิดประสิทธิผลให้นัก เรียนได้รับ
การพัฒนารอบด้านให้เป็นคนดี คนเก่ง และคนกล้าตามเป้าหมายของโรงเรียน ดังนั้นผู้บริหารและคณะ ผู้
ศกึ ษาจึงร่วมกนั จัดทำรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบช้ีแนะสอนงานและการเป็นพ่ี
เล้ยี ง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวิทยาคม อำเภอปา่ แดด จงั หวดั เชียงราย ข้ึน
๓
เพื่อพัฒนากระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูและการทำงานของครูในทุกมิติให้สอดคล้องกับ
การศึกษาของโลกท่ีมีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองและรวดเรว็ ตลอดจนเพอ่ื พัฒนานักเรียนให้เป็นคนดี คนเก่ง คน
กลา้
วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา
๑. เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพ่ี
เลยี้ ง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวิทยาคม อำเภอปา่ แดด จงั หวดั เชยี งราย
๒. เพื่อศึกษาผลงานครูเก่งครูดี ก่อนและหลังการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบ
ชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม
อำเภอปา่ แดด จังหวัดเชยี งราย
๓. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูและผู้บริหารที่มีต่อการพฒั นาครูเกง่ ครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศ
แบบแนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม
อำเภอป่าแดด จงั หวัดเชยี งราย
ขอบเขตของการวจิ ัย
การศึกษาครัง้ นี้ ผู้ศึกษาได้กำหนดขอบเขตของการศึกษาไวด้ ังน้ี
๑. ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ี ได้แก่ ผู้บริหาร ๒ คน ครู ๒๙ คน รวม ๓๑ คน โรงเรียนป่าแดด
วิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ – ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา
๒๕๖๓ กลุม่ ผใู้ หข้ อ้ มูลไดจ้ ากการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
๒. ขอบเขตด้านเน้อื หา
เน้อื หาทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาครัง้ น้ี ประกอบดว้ ย
๒.๑ ขอ้ มูลพื้นฐานและประวัตโิ รงเรียนปา่ แดดวทิ ยาคม
๒.๒ ขอ้ มูลเกี่ยวกับการนเิ ทศการศึกษา
๒.๓ แนวคดิ เก่ียวกบั การสอนงาน (Coaching)
๒.๔ แนวคิดเกย่ี วกับระบบพเ่ี ลยี้ งในองคก์ร (Mentoring)
๒.๕ ทฤษฏเี กีย่ วกับความพึงพอใจ
๒.๖ งานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง
๓. ขอบเขตดา้ นตัวแปร
๓.๑ ตัวแปรอิสระ ได้แก่ รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี ใช้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้
กระบวนการนเิ ทศแบบช้ีแนะสอนงานและการเป็นพเ่ี ล้ยี ง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียน
ป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จงั หวดั เชียงราย
๓.๒ ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่
๓.๒.๑ คุณลักษณะครูเก่งครูดี หลังการใช้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการ
นิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดด
วิทยาคม อำเภอปา่ แดด จังหวดั เชียงราย
๔
๓.๒.๒ ผลงานของครูเก่งครดู ี กอ่ นและหลงั การพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใชร้ ปู แบบการพัฒนาครู
เก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring
Supervisor) โรงเรยี นป่าแดดวทิ ยาคม อำเภอป่าแดด จังหวดั เชียงราย
๓.๒.๓ ความพึงพอใจของครูและผู้บริหารที่มีต่อการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้รูปแบบการ
พัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and
Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวดั เชยี งราย
๔. ขอบเขตด้านเวลา
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา คือ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ - ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา
๒๕๖๓
กรอบแนวคิดของการศึกษา
Input Process Output
รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครู การพัฒนาครูเก่งครูดี โดย - รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้
ดี โดยใช้กระบวนการนิเทศ ใช้กระบวนการนิเทศแบบ กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงาน
แบบชี้แนะสอนงานและการ ชี้แนะสอนงานและการเปน็ และการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and
เป็นพี่เลี้ยง (Coaching and พี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โ ร ง เ ร ี ย น ป่ า
Mentoring Supervisor) Mentoring Supervisor) แดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัด
โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม เชียงรายทีม่ คี ณุ ภาพ
อำเภอป่าแดด จังหวัด อำเภอป่าแดด จังหวัด - ผลที่ได้จากการทดลองใช้รูปแบบครูเก่ง
เชยี งราย เชียงราย ครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะ
สอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching
and Mentoring Supervisor) โรงเรียน
ป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัด
เชยี งราย
- ความพึงพอใจของผู้บริหาร และครูที่มี
ต่อการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้
กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงาน
และการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and
Mentoring Supervisor) โ รงเรียนป่า
แดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัด
เชียงราย
๕
สมมตฐิ านการศกึ ษา
สมมติฐานของการศกึ ษามีดังนี้
๑. การพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้รูปแบบกระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง
(Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวทิ ยาคม อำเภอปา่ แดด จงั หวดั เชยี งราย
๒. ครูโรงเรียนป่าแดดวิทยาคมเป็นครูเก่งครูดีมีประสิทธิภาพสูงกว่าก่อนได้รับการพัฒนาโดยใช้
กระบวนการนเิ ทศแบบชีแ้ นะสอนงานและการเปน็ พีเ่ ล้ยี ง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรยี น
ปา่ แดดวิทยาคม อำเภอปา่ แดด จังหวัดเชยี งราย
๓. ผูบ้ ริหาร ครู มีความพงึ พอใจตอ่ การพัฒนาครูเก่งครดู ี โดยใช้รูปแบบกระบวนการนิเทศแบบชี้แนะ
สอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาค อำเภอ ป่า
แดด จงั หวดั เชยี งราย ในระดับมากขึ้นไป
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
ผู้ศกึ ษาได้นยิ ามคำศัพท์เฉพาะไว้ ดงั น้ี
กระบวนการนิเทศตดิ ตามแบบ Coaching and Mentoring หมายถึง กระบวนการนิเทศกระบวนการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยการใช้ระบบชี้แนะสอนงานและระบบพี่เลี้ยงภายในโรงเรียนเพื่อพัฒนาการ
จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนของครู โรงเรยี นปา่ แดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวดั เชยี งราย
การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการของผู้นิเทศ ที่มุ่งให้คำปรึกษา แนะนำ ความช่วยเหลือแก่
ครูผู้สอน และคณะทำงานในการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดผลดีต่อการเรียนรู้
และพฒั นาการของผู้เรยี น โดยการนิเทศรายบคุ คล การนิเทศกลุ่มสาระการเรยี นรู้ การนเิ ทศกลมุ่ งาน
ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติ ความรู้สึก หรือความคิดเห็นของผู้บริหาร และครูที่มีต่อการพัฒนา
ครูเก่งครูดีโดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring
Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวทิ ยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชยี งราย
ประโยชนท์ ่ีได้รับจากการศึกษา
๑. ได้รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง
(Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ที่มี
คุณภาพ
๒. ครูมีคุณลักษณะเป็นครูเก่งครูดี หลังการใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่
เลยี้ ง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนปา่ แดดวิทยาคม อำเภอปา่ แดด จงั หวดั เชยี งราย สูง
กว่ากอ่ นการพฒั นา
๓. ครูและผู้บริหาร มีความพึงพอใจต่อการพัฒนาครูเก่งครูดีโดยใช้รูปแบบกระบวนการนิเทศแบบ
ชี้แนะสอนงานและ การเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม
อำเภอป่าแดด จงั หวดั เชยี งราย ในระดับมากข้ึนไป
๖
บทที่ ๒
เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง
การวิจัย เรื่อง รายงานผลรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดี โดยใช้กระบวนการนิเทศแบบชี้แนะสอนงาน
และการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor) โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม อำเภอป่าแดด
จังหวัดเชียงราย คณะผู้ศึกษาได้ทบทวนวรรณกรรมจาก แนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเอกสารอื่นๆ
นำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดและสมมุติฐานของการวิจัยในประเด็นที่สำคัญ โดยมี
รายละเอยี ดของการนำเสนอดงั ตอ่ ไปนี้
๑. ขอ้ มลู พ้นื ฐานโรงเรยี นปา่ แดดวทิ ยาคม
๒. คุณลักษณะครเู กง่ ครดู ี
๒.๑ ความหมายของครู
๒.๒ คุณลกั ษณะครูเก่ง
๒.๓ คณุ ลักษณะครูดี
๓. การนิเทศการศกึ ษา
๔. ความสำคัญของการพัฒนาครู
๕. รูปแบบการพฒั นาครู
๖. แนวคิดเกยี่ วกบั การชี้แนะสอนงานและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor)
๖.๑ การช้ีแนะสอนงาน (Coaching)
๖.๒ การเป็นพ่ีเลี้ยง (Mentoring Supervisor)
๗. ทฤษฎเี กย่ี วกับความพงึ พอใจ
๘. งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
๘.๑ งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับการพฒั นาครู
๘.๒ งานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั รูปแบบการพัฒนาครเู กง่ ครูดโี ดยใช้กระบวนการนเิ ทศแบบชี้แนะสอน
งานและการเป็นพเี่ ลยี้ ง (Coaching and Mentoring Supervisor)
๑. ข้อมลู พื้นฐานโรงเรยี นป่าแดดวิทยาคม
๑.๑ ขอ้ มูลทั่วไป
โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม ไดร้ ับอนมุ ัตใิ หจ้ ัดตั้งเมื่อ วันท่ี ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๘ สังกัดกรมสามัญ
ศึกษา กระทรวงศึกษาธิการเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาแบบสหศึกษาโดยในระยะแรกทางอำเภอป่าแดด
ร่วมกับราษฎรจัดสร้างอาคารเรียนชั่วคราว ๑ หลัง มีจำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ จำนวน ๘๐ คน
ทางราชการได้แต่งตั้ง นายบุญส่ง จินดาหลวง ศึกษาธิการอำเภอในขณะนั้นมารักษาการในตำแหน่งครูใหญ่
และในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ได้แต่งตั้ง นายกวี เพ็งศรี ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเชียงคำวิทยาคมมาดำรงตำแหน่ง
ครูใหญเ่ ป็นคนแรก
โรงเรยี นปา่ แดดวทิ ยาคม เป็นท่ีราชพสั ดุ มีพ้นื ท่ี ๔๕ ไร่ ๐ งาน ๔๖.๕ ตารางวา ตง้ั อยบู่ นเนนิ สงู และในบรเิ วณ
โรงเรียนมีภูเขาหินสูงตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สูงประมาณ ๒๐ เมตร พื้นที่ประมาณ ๑๕ ไร่
เขตพ้ืนท่ีบริการของโรงเรียนคือพื้นที่อำเภอป่าแดด จำนวน ๕ ตำบล ได้แก่ ๑. ตำบลป่าแดด ๒. ตำบลป่าแงะ
๓. ตำบลสนั มะค่า ๔. ตำบลโรงชา้ ง ๕. ตำบลศรีโพธิ์เงิน
๗
โรงเรียนป่าแดดวิทยาคม ตั้งอยู่ที่ ๗๘ หมู่ ๑๑ ตำบลป่าแดด อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย รหัสไปรษณีย์
๕๗๑๙๐ สำนักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย โทรศัพท์ ๐๕๓-๗๑๖๕๐๒ ,
๐๘๑-๗๘๓๑๘๕๑ โทรสาร ๐๕๓-๗๑๖๕๐๒
E-mail: [email protected] website: http://www.padad.ac.th
เปิดสอนระดบั ช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑ ถงึ ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๖
๑.๑.๑ ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น
นางสาววันรักษ์ ขันหอม การศึกษาสูงสุด ปริญญาเอก สาขาบริหารการศึกษา e-mail :
[email protected] โทรศัพท์ ๐๙๓-๑๓๖๖๘๐๘ วุฒิการศึกษา Ph.D (Education of Administration),
Adamson University, Philippines ดำรงตำแหนง่ ทีโ่ รงเรยี นปา่ แดดวิทยาคม ตัง้ แตว่ นั ท่ี ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๖๒
๑.๑.๒ รองผู้อำนวยการ
นางสาวประภาภร กองตาพันธุ์ การศึกษาสูงสุด ปริญญาโท สาขา บริหารการศึกษา
โทรศัพท์ ๐๘๑-๗๙๖๖๗๗๔ E-mail : [email protected] ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการ กลุ่ม
บรหิ ารงานวิชาการ กลุ่มบรหิ ารงานอำนวยการ กล่มุ บรหิ ารงานกิจการนักเรยี น และกล่มุ บรหิ ารงานทั่วไป
๑.๑.๓ สัญลักษณข์ องโรงเรียน : ตราโรงเรียน
๑.๑.๓.๑ ตราสญั ลักษณข์ องโรงเรยี น ประกอบด้วย
ดอกทานตะวัน ๑๘ กลีบ มพี ระธาตุอยู่ด้านบน และมีรศั มพี ระธาตุจอมคีรี
ดอกทานตะวันเป็นดอกไมป้ ระจำโรงเรยี นป่าแดดวิทยาคม หมายถงึ การมุง่ แสวงหาแนวทาง
แห่งปัญญา เพราะเรามีความเชื่อว่าปัญญาคือแสงสว่างแห่งโลก ความมืดดำเป็นอวิชชา คือความไม่รู้ การที่
นักเรียนมาโรงเรียนเพื่อแสวงหาความรู้ ความคิด ความจริงและสัจธรรม และจำนวน ๑๘ กลีบ หมายถึง ปีที่
จดั ตั้งของโรงเรียน คือ พ.ศ.๒๕๑๘
พระธาตุจอมครี ี ในอาณาบริเวณที่โรงเรียนป่าแดดวิทยาคมตง้ั อย่นู ้ีเปน็ เมืองเก่า ซ่ึงชาวบ้าน
ป่าแดดเรียกว่า “เวียงเดิม” มีจุดศูนย์กลางของเมืองอยู่บริเวณที่ตั้งของอาคารเรียน และบนดอยที่เป็นที่
ประดิษฐานของ หลวงพอ่ หนมุ่ ซึ่งเปน็ พระพุทธรูปหินทราย ถัดจากดอยหลวงพอ่ หนมุ่ กเ็ ป็นดอยอีกลูกหน่ึงซ่ึง
อยู่ทางทิศเหนือ เรียกว่า “ดอยธาตุ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมคีรี และเป็นที่เคารพสักการะของชาว
อำเภอป่าแดดทุกคน
รัศมีพระธาตุจอมคีรี พระธาตุเปล่งรัศมีเป็นเสมือนหนึ่งแสงรัศมีแห่งปัญญาที่ได้เรียนรู้จาก
สรรพวิทยาการ ที่มีมากมายหลายสาขา สำหรับนักเรียนโรงเรยี นป่าแดดวิทยาคมทุกคนจะต้องศึกษา
และแสวงหาความรู้
๑.๑.๔ อักษรย่อของโรงเรยี น : ป.วค.
๑.๑.๕ ดอกไม้ประจำโรงเรียน คอื ดอกทานตะวนั
๑.๑.๖ คำขวัญของโรงเรยี น : สุภาพ สามคั คี มีวินยั ใฝ่ศึกษา
๑.๑.๖ สปี ระจำโรงเรียน คอื สีชมพู-ดำ
๘
สชี มพู หมายถงึ ความออ่ นหวาน สุภาพ
สีดำ หมายถึง ความหนักแน่นในภมู ิปัญญา อดทน อดกล้นั
๑.๑.๗ ปรัชญาประจำโรงเรียน “ปญฺญา โลกสฺมํ ปชฺโชโต” แปลว่า ปัญญาเป็นแสงสว่างแห่งโลก
หมายถึง โรงเรยี นจดั การเรียนรโู้ ดยเนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั ใหม้ ีปัญญานำทางชวี ติ ในอนาคตสามารถใช้ปัญญาใน
การจัดการกับชีวิตของตนเองได้ทั้งด้านการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ การปรับตัวอยู่ในสังคมและ การ
ดำรงชวี ติ
๑.๑.๘ วสิ ัยทศั น์
“โรงเรยี นป่าแดดวทิ ยาคม มคี ณุ ภาพตามมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของชุมชน”
๑.๑.๙ อตั ลักษณ์
“สขุ ภาพดี มีจติ สาธารณะ”
สุขภาพดี หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการมีสุขภาพกาย สุขภาพจิตและสวัสดิภาพ
ทางสงั คม อยใู่ นสภาพดี
มีจิตสาธารณะ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือ
สถานการณ์ทก่ี อ่ ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อนื่ ชุมชน และสังคม ดว้ ยความเตม็ ใจ กระตือรอื ร้น โดยไม่หวัง
ส่งิ ตอบแทน
๑.๑.๑๐ เอกลกั ษณ์
“โรงเรียนรักษ์สงิ่ แวดลอ้ ม”
โรงเรียนรักษ์สิ่งแวดล้อม หมายถึง โรงเรียนมีบรรยากาศสิ่งแวดล้อม ภูมิทัศน์ สวย สะอาด
และส่งเสริมให้นักเรียนเห็นความสำคัญ รู้จักอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมทั้งในโรงเรียน
และชมุ ชม
๑.๑.๑๑ วฒั นธรรมองคก์ ร
“ร่วมรับรู้ รว่ มคดิ ร่วมทำ” การดำเนนิ งานทุกอยา่ งในโรงเรียนเน้นการมสี ่วนรว่ มทุกข้นั ตอนโครงการ
ทีโ่ รงเรยี นเขา้ ร่วม ได้แก่
- โรงเรยี นมาตรฐานสากล
- โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล
- โรงเรยี นในฝนั (Lab School)
- โรงเรยี นวิถีพทุ ธ
- โรงเรียนท่ีจดั กจิ กรรมการเรยี นร้ฯู ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
- โรงเรียนจัดการศกึ ษาพเิ ศษเรียนร่วม
- โรงเรยี นเสรมิ สร้างคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และธรรมาภิบาลในสถานศึกษา "โรงเรียนสจุ รติ "
- โรงเรยี นปลอดขยะ
- โรงเรยี นเครือขา่ ยสะเต็มศกึ ษา ภาคเหนือตอนบน
- โรงเรียนคุณภาพด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี (SMT) ตามมาตรฐาน
สสวท.
๙
๑.๒ ขอ้ มูลบุคลากร พนกั งานราชการ ครูอตั ราจ้าง เจา้ หนา้ ทอ่ี ่ืนๆ รวม
๒๓ ๘ ๔๑
ผูบ้ ริหาร ข้าราชการครู
๒ ๒๖
๑.๓ ขอ้ มูลนกั เรียน
จำนวนนักเรียนทั้งสิ้น ๔๖๔ คน จำแนกตามระดบั ชน้ั ทเ่ี ปิดสอน
ระดับช้นั เรียน จำนวนหอ้ ง เพศ รวม เฉล่ยี
ชาย หญงิ ต่อห้อง
๘๒
ม.๑ ๓ ๓๕ ๔๗ ๘๘ ๒๗.๓๓
๘๑ ๒๙.๓๓
ม.๒ ๓ ๔๐ ๔๘ ๖๙ ๒๗.๐๐
๖๔ ๒๓.๐๐
ม.๓ ๓ ๓๘ ๔๓ ๘๐ ๒๑.๓๓
๔๖๔ ๒๖.๖๗
ม.๔ ๓ ๒๘ ๔๑
ม.๕ ๓ ๓๒ ๓๒
ม.๖ ๓ ๓๕ ๔๕
รวมท้ังหมด ๑๘ ๒๐๘ ๒๕๖
ระดบั ช้นั เรียน จำนวนหอ้ ง เพศ รวม เฉลีย่
ชาย หญิง ตอ่ หอ้ ง
ม.๑/๑ ๑ ๖ ๒๖ ๓๒
ม.๑/๒ ๑ ๑๓ ๑๒ ๒๕ ๒๗.๓๓
ม๑/๓ ๑ ๑๖ ๙ ๒๕
รวม ม.๑ ๓ ๓๕ ๔๗ ๘๒ ๒๙.๓๓
ม.๒/๑ ๑ ๑๐ ๒๓ ๓๓
ม.๒/๒ ๑ ๑๔ ๑๔ ๒๘ ๒๗.๐๐
ม.๒/๓ ๑ ๑๖ ๑๑ ๒๗ ๒๗.๘๙
รวม ม.๒ ๓ ๔๐ ๔๘ ๘๘
ม.๓/๑ ๑ ๙ ๒๖ ๓๕
ม.๓/๒ ๑ ๑๕ ๙ ๒๔
ม.๓/๓ ๑ ๑๔ ๘ ๒๒
รวม ม.๓ ๓ ๓๘ ๔๓ ๘๑
รวม ม.ต้น ๙ ๑๑๓ ๑๓๘ ๒๕๑
๑๐
ระดบั ชั้นเรียน จำนวนห้อง เพศ รวม เฉลี่ย
ชาย หญงิ ตอ่ หอ้ ง
ม.๔/๑ ๑ ๖ ๑๔ ๒๐
ม.๔/๒ ๑ ๔ ๑๔ ๑๘
ม.๔/๓ ๑ ๑๘ ๑๓ ๓๑
รวม ม.๔ ๓ ๒๘ ๔๑ ๖๙ ๒๓.๐๐
ม.๕/๑ ๑ ๑๕ ๑๗ ๓๒
ม.๕/๒ ๑ ๘ ๘ ๑๖
ม.๕/๓ ๑ ๙ ๗ ๑๖
รวม ม.๕ ๓ ๓๒ ๓๒ ๖๔ ๒๑.๓๓
ม.๖/๑ ๑ ๘ ๑๙ ๒๗
ม.๖/๒ ๑ ๑๓ ๑๔ ๒๗
ม.๖/๓ ๑ ๑๔ ๑๒ ๒๖
รวม ม.๖ ๓ ๓๕ ๔๕ ๘๐ ๒๖.๖๗
รวม ม.ปลาย ๙ ๙๕ ๑๑๘ ๒๑๓ ๒๓.๖๗
รวมท้ังหมด ๑๘ ๒๐๘ ๒๕๖ ๔๖๔ ๒๕.๗๘
๑.๓ ขอ้ มูลอาคารสถานท่ี
อาคารเรียน ๓ หลัง ไดแ้ ก่
- อาคาร cs๒๑๓ จำนวน ๑ หลงั
- อาคาร ๔๒๔ ล(พเิ ศษ) จำนวน ๑ หลงั
- อาคาร ๓๑๘ ล(พิเศษ) จำนวน ๑ หลัง
จัดเป็นห้องเรียน ๒๖ ห้อง ห้องปฎิบัติการ ๑๑ ห้อง ห้องห้องแนะแนวห้องกลุ่มสาระห้องสำนกั งาน ห้อง
เกบ็ เอกสาร หอ้ งเก็บอุปกรณ์ ห้องโสต และ ห้อง EIS
อาคารประกอบ มี ๓ หลงั ได้แก่
- อาคารหอประชมุ ๑๐๐/๒๗
- อาคารฝึกงาน
- เรอื นพยาบาล
จัดเป็นห้องปฏิบัติการงานคหกรรม ๑ ห้อง เก็บอุปกรณ์ช่าง ๒ ห้อง และหอประชุมใช้อบรมและจัด
กิจกรรมต่างๆ ห้องพยาบาล ๑ หอ้ ง
๑.๔ ข้อมูลสภาพชมุ ชนโดยรวม
อำเภอป่าแดด จังหวดั เชยี งราย มพี ้ืนที่ ๓๓๓.๓ ตารางกิโลเมตร ประชากร ๒๖,๐๔๕ คน ความหนาแน่น
ของประชากร ๗๘.๔๙ คน/ตารางกิโลเมตร รหัสทางภูมิศาสตร์ ๕๗๐๖ รหัสไปรษณีย์ ๕๗๑๙๐ สภาพ
๑๑
ภูมิอากาศโดยทั่วไป มีลักษณะร้อนชื้น ประกอบไปด้วย ๕ ตำบล ๕๙ หมู่บ้าน ๕ เทศบาลตำบล แหล่งน้ำที่
สำคัญ ได้แก่ แม่นำ้ พงุ , แม่น้ำอิง
สถานที่ราชการบริเวณใกล้เคียงโรงเรียนได้แก่ สถานีตำรวจอำเภอป่าแดด โรงพยาบาลป่าแดด ที่ทำการ
ไปรษณีย์ป่าแดด ที่ว่าการอำเภอป่าแดด ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สาธารณสุขอำเภอป่าแดด เทศบาลตำบลปา่ แดด โรงเรียนเทศบาล๑ เป็นตน้
อาชีพหลักของคนในชุมชนคือเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน อาชีพเสริม ได้แก่ รับจ้าง ค้าขาย ผลผลิตทาง
การเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว, ลำไย, แตงโม โรงงานอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่โรงสีข้าวและ โรงโม่หิน โรง
อบลำไย คนในชุมชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประเพณี/ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป คือ
การแหบ่ ั้งไฟ ไหวส้ าพระธาตุ รดนำ้ ดำหวั ผู้ใหญ่ งานเทศการข้าวหอมและของดีอำเภอป่าแดด
๒. คุณลักษณะครูเกง่ ครดู ี
ครูอาจารย์ในอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างกันมาก โดยในอดีตผู้ที่เป็นครูจะมีฐานะดี สอนผู้เรียน
ด้วยความสมัครใจและเป็นคนเก่งๆ ที่ได้รับคัดเลือกจากนักเรียนทุนที่เก่งที่สุดของจังหวัดเข้ามาศึกษาวิชาครู
มคี วามรกั และศรทั ธาในอาชพี มีความรับผดิ ชอบในหนา้ ทแี่ ละตอ้ งการอบรมคนให้เปน็ คนดี ดังน้ันจึงถูกยกย่อง
ไว้ในฐานะสูงเป็นปูชนียบุคคล (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, ๒๕๕๕ : ๒) แต่ปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปทุกด้าน
ทําให้บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบของครู ได้เปลี่ยนแปลงไปจากหน้าที่สําคัญ คือการสอนซึ่งเป็น
กระบวนการทผ่ี สมกันระหวา่ งศาสตร์กับศลิ ป์แต่จะเหน็ ได้ว่าครูใหม่บางคนท่ีไม่เคยเปน็ ครูมาก่อนและเร่ิมสอน
เป็นครั้งแรกจะขาดประสบการณ์ มีแต่ความรู้ตามหลักทฤษฎี และไม่สามารถทําให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตาม
ความมงุ่ หวังของผู้ทีเ่ กย่ี วข้องได้ ์(Fishman et al, ๒๐๐๓ : ๖๔๕) ดงั น้ัน การเปน็ ครู มิใช่มแี ตค่ วามรู้ตามหลัก
วิชาการเทา่ น้ัน แต่ยงั ต้องอาศัยแรงจูงใจในหลายด้านประกอบกนั เช่น ความมศี รทั ธาในอาชีพ ความรักผู้เรียน
และรักการสอนเป็นตน้
๒.๑ ความหมายของครู
ถ้าพิจารณาความหมายของครูจากคําว่า “TEACHERS” ที่มีผู้อธิบายไว้ ดังต่อไปนี้ (รัตนวดี
โชติกพนชิ , มปป. : ๒๗-๒๙)
T – Teaching (การสอน) หมายถึง บุคคลที่มีการทําหน้าที่สั่งสอนศิษย์ให้เป็น คนดีมีความรู้ใน
วิชาการทั้งปวง ซึ่งถือว่าเป็นงานหลักของครูทุกคน ทุกระดับชั้นที่สอน มีความตระหนักในเรื่องการสอนเป็น
อันดับแรก โดยถือวา่ หวั ใจความเป็นครู คือ การอบรมสั่งสอนศษิ ย์ให้เป็นคนดมี ีความรใู้ นวิทยาการทงั้ ปวง
E – Ethics (จริยธรรม) หมายถึง บุคคลที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการสง่ เสริมจริยธรรมให้แก่
นักเรียนและตัวเองครูก็ต้องมีความประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นผู้มีจริยธรรมอันดีง ามเหมาะสมด้วยเพื่อเป็น
ตวั อยา่ งท่ดี แี กล่ ูกศิษย์
A – Academic (วิชาการ) หมายถึง บุคคลที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบในทางวิชาการทั้งของตนเอง
และลกู ศษิ ย์ ตอ้ งศึกษาหาความรู้เพม่ิ เติมอยเู่ ป็นประจาํ เพ่ือให้ทนั ต่อวทิ ยาการสมยั ใหม่
C – Cultural Heritage (การสบื ทอดวฒั นธรรม) หมายถงึ บคุ คลทมี่ ีหน้าท่รี ับผิดชอบในการสบื ทอด
วัฒนธรรมไปยงั คนอีกร่นุ หนง่ึ ซ่ึงต้องมกี ารปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนยี มประเพณีที่ดงี ามของชาติ เพอ่ื ให้เข้าใจ
ในวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยที่ดีงาม เช่น แต่งกายให้ถูกต้อง เหมาะสมหรือการมีกริยามารยาท
แบบไทยในการจัดงานพธิ ีตา่ ง ๆ เช่น งานแตง่ งาน งานบวช เปน็ ตน้
H – Human Relationship (มนุษยสัมพันธ์) หมายถึง บุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคคลทั่วไป
เพราะจะช่วยให้ครูสามารถปฏิบตั หิ นา้ ท่ีการงานได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพซง่ึ สามารถจําแนกออกได้ดงั ต่อไปนี้
๑๒
๑. มนษุ ยสมั พันธร์ ะหว่างครูกบั นักเรียนเป็นทปี่ รกึ ษาของลกู ศิษยพ์ ยายามหาทางชว่ ยเหลือถา้ มีปัญหา
๒. มนุษยสัมพันธ์ระหว่างครูกับครูเพื่อใหเ้ กิดความสามัคคีกันที่จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาโรงเรียนให้
เจริญกา้ วหน้าไปได้อยา่ งรวดเรว็
๓. มนุษยสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้ปกครองและชุมชนซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความสําคัญต่อ
การเรียนการสอนและการพัฒนาโรงเรยี นถ้าโรงเรียนใดสามารถโน้มนา้ วให้ผปู้ กครองเขา้ มา
E – Evaluation (การประเมินผล) หมายถึง บคุ คลทีป่ ระเมนิ ผลการเรยี นการสอนของนักเรียนซึ่งถือ
ว่ามคี วามสาํ คัญ เพราะเป็นการวัดความเจริญก้าวหนา้ ของในด้าน ต่างๆ หากไมม่ กี ารวัดผลก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า
โดยสามารถทําได้หลายแบบ ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบการศึกษาเป็นรายบุคคล การใช้
แบบสอบถามและแบบสํารวจการบันทึกย่อและระเบียนสะสมและอนื่ ๆ
R – Research (การวจิ ัย) หมายถึง บคุ คลทต่ี อ้ งเป็นนักแก้ปัญหา โดยใช้การวิจยั เป็นวิธีเพื่อศึกษาหา
ความรคู้ วามจรงิ ที่เชื่อถอื ได้
S – Service (การบริการ) หมายถึง บุคคลที่ให้บริการแก่ศิษย์ ผู้ปกครองและชุมชน เช่น การ
ให้บริการความรทู้ างวชิ าการท้งั ในด้านอาชีพ สขุ ภาพอนามัย การใหค้ ําปรึกษาหารอื เปน็ ตน้
ชดาพร พมิ พชิ ัย (๒๕๕๕ : ๑๐๙-๑๑๐) ไดใ้ หค้ วามหมายของครูไว้ดังตอ่ ไปนี้
๑. ฝ่ายจิตนิยม ถือว่า “ครูคือแม่พิมพ์” (Paradigmatic Self) ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งด้านความรู้
และ ความประพฤติ ต้องมีความสามารถในการถา่ ยทอดความรโู้ ดยใช้ สัญลกั ษณไ์ ด้ดมี ปี ระสิทธิภาพ
๒. ฝ่ายสัจนยิ ม หรือ วัตถนุ ิยม ถือว่า “ครคู อื ผสู้ าธติ ” (Demonstrator) เป็นส่อื กลางระหว่างนักเรียน
กับความรทู้ เี่ ป็นข้อเทจ็ จรงิ
๓. ฝ่ายประสบการณ์นิยม ถือว่า “ครูเป็นเสมือนผู้อํานวยการโครงการวิจัย” กําหนดให้ครูเป็นเพียง
ผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนของผู้เรียน ครูมิใช่ ตัวกลางหรอื มิใชผ่ ู้นําสารแตอ่ ยู่ในฐานะผู้ดูแลให้แต่ละคน
ดาํ เนินไปส่เู ปา้ หมายเปน็ สําคญั
๔. ฝ่ายอัตถิภาวนิยม ถือว่า “ครูคือผู้คอยกระตุ้นหรือยั่วยุ” คือเป็นผู้กระตุ้น ให้แต่ละคนได้เรียนรู้
ค้นพบความจรงิ ดว้ ยตนเอง
๕. ฝ่ายโทมัสนิยมใหม่ ถือว่า “ครูคือผู้รักษาวินัยทางความคิด” (Mental Disciplinarian) กําหนดให้
ครูเป็นนายทางปัญญา หรือ ผู้อํานวยการฝึกฝน ทางปัญญา และความคิด เป็นพิธีกรทางปัญญา หรือผู้พัฒนา
อํานาจทางความคิด เปน็ ผูม้ คี วามสามารถในการใหเ้ หตุผล มีเจตจํานงอนั แน่วแน่และมคี วามจาํ ดี
วรากรณ์ สามโกเศศ (๒๕๕๘ : ๓๔) ไดใ้ ห้ความหมายว่า “คร”ู คือ ผใู้ ห้ ผู้เตมิ เตม็ และผมู้ ีเมตตา เป็น
ผู้ที่ให้ความรู้ไม่จํากัดทุกที่ทุกเมื่อ ครูต้องเต็มไปด้วยความรู้ และรู้จัก ขวนขวายหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ สะสม
ความดี มีบารมีมาก และครูที่ดีจะต้องไม่ปิดบัง ความรู้ ควรมีจิตและวิญญาณของความเป็นครู เป็นผู้เติมเต็ม
การที่ครูจะเป็นผู้เติมเต็มได้ ครูควรจะเป็นผู้แสวงหาความรู้ ต้องวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ และมาบูรณาการ
ความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกันและเป็นผู้ที่มีเมตตา จะต้องสอนเต็มที่โดยไม่มีการขี้เกียจหรือปิดบังไม่ให้ความรู้
เต็มที่ ครูตอ้ งไม่ลําเอียง ไม่เบยี ดเบียนศิษย์
แอนเดอร์สัน (Anderson ๑๙๘๙ : ๑๔๒-๑๔๓) ได้ให้ความหมายของคําว่า “ครู” (teacher) ไว้
ดังต่อไปน้ี
๑. ครู คือ ผู้ที่มีความสามารถให้คําแนะนํา เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเรียน สําหรับนักเรียน หรือ
นกั ศกึ ษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทงั้ ของรฐั และเอกชน
๒. ครู คอื ผูท้ ่ีมคี วามรู้ประสบการณ์และมีการศึกษามากหรือดเี ปน็ พเิ ศษ หรอื มี ท้งั ประสบการณ์และ
การศึกษาดเี ปน็ พิเศษในสาขาใดสาขาหน่งึ ทส่ี ามารถชว่ ยใหผ้ ู้อื่นเกดิ ความเจริญก้าวหนา้ ได้
๑๓
๓. ครู คอื ผู้ทเี่ รยี นสาํ เร็จหลักสูตรวิชาชีพจากสถาบนั การฝึกหัดครู และไดใ้ บรับรองทางการสอนดว้ ย
๔. ครู คือ ผ้ทู ่ที าํ หน้าทส่ี อนใหค้ วามรแู้ ก่ศิษย์
สํานักพัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน (๒๕๕๔: ๗๖) ไดใ้ ห้ความหมายของคาํ วา่ “ครู”
(teacher) ไว้ดังต่อไปน้ี
๑. “ครู คือ ปูชนียบุคคล” หมายถึง ครูที่เสียสละ เอาใจใส่เพื่อความเจริญ ของศิษย์ ซึ่งเป็นบุคคลที่
ควรเคารพเทดิ ทนู
๒. “ครู คอื แมพ่ มิ พข์ องชาติ” หมายถึง การเปน็ แบบอย่างท่ดี ีของลกู ศษิ ยท์ ีจ่ ะ ปฏบิ ตั ติ วั ตามอย่างครู
๓. “ครู คือ ผู้แจวเรือจ้าง” หมายถึง อาชีพครูเป็นอาชีพที่ไม่ก่อให้เกิดความรํ่ารวย ครูต้องมีความ
พอใจในความเปน็ อยอู่ ยา่ งสงบเรยี บร้อย อยา่ หว่นั ไหวต่อลาภ ยศ ความสะดวกสบาย
จากความหมายของคําวา่ ครูท่ีกล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ครู คือ บคุ ลากรวิชาชีพท่ีทําหน้าท่ีใน
การจัดการเรียนการสอนส่งเสริม การเรียนรู้ของผู้เรียนดว้ ยวิธีการตา่ งๆเพื่อใหศ้ ิษย์เกดิ ความรู้ ความคิดและมี
คณุ ธรรม จริยธรรมท่ีดีสามารถนําความรู้ไปใช้ในการพฒั นาตนเองและสังคมในอนาคตได้
๒.๒ คุณลกั ษณะครเู กง่
กระทรวงศึกษาธกิ าร (๒๕๔๓: ๗๑) กล่าวถึงลกั ษณะข้าราชการครูทีเ่ กง่ ไวด้ ังต่อไปนี้
๑. ผ้สู อนควรจะมคี วามรู้หลายด้าน ได้แก่
๑.๑ มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน รู้ถึงเหตุผลที่มาของความรู้ มองเห็นความสําคัญและ
ความสัมพนั ธข์ องความรู้นน้ั
๑.๒ ผู้สอนควรรู้จกั ผเู้ รียน
๑.๓ ผู้สอนควรจะมีความรู้ในเรื่องการบริหารงาน โดยเฉพาะงานทางด้านวิชาการการเตรียมการ
สอน และการประเมนิ ผล
๒. ผูส้ อนควรมคี วามรูใ้ นเร่ืองการบรหิ ารงาน ให้เกียรติและพร้อมทจ่ี ะชว่ ยเหลือผูเ้ รยี นอยู่เสมอ พร้อม
ทง้ั รกั ในวิชาทีต่ นสอน และศรัทธาในวิชาชพี ครู
๓. ผู้สอนควรมีความสามารถปฏบิ ตั ิการสอนไดห้ ลากหลายวธิ ี
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สํานักงาน (๒๕๕๓ : ๑-๒) มีข้อมูลที่แสดงว่าการปฏิรูปครูตามแนว
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น ได้ตั้งความหวังไว้กับครูสูงมากเพราะต้องรับภาระหน้าท่ี
ส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดการพัฒนารับมือกับกระแสโลกาภิวัตน์ได้ รวมทั้งพัฒนาเจตคติที่มีต่อการเรียนรู้ ครูต้อง
สามารถเร่งเร้าให้ผู้เรียนมีความใฝ่ รู้ใฝ่ เรียน กระตุ้นให้มีอิสรเสรีทางความคิด ส่งเสริมให้มีสติปัญ ญาเฉียบ
แหลมและสร้างเสริมให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างสัมฤทธิ์ผล ครูจึงเป็นผู้ที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อ การ
ปฏิรูปการศึกษาในการเป็นผู้หล่อหลอมกล่อมเกลาเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ครูต้องสามารถตอบสนอง
ความคาดหวังจากสังคม ต้องมีความรู้และทักษะอันเหมาะสม มีลักษณะนิสัยส่วนตัวทีเ่ หมาะจะเป็นครเู พื่อให้
สามารถสอนได้อยา่ งดมี ีประสิทธภิ าพอยู่ตลอดไป
บอร์เดอร์และแวน โน้ต คลิม (Border; & Van Note Chism (eds.) ๑๙๙๒ : ๑๑๖) กล่าวว่า
คุณลักษณะของครเู ก่ง ประกอบดว้ ย
๑. สอนเต็มเวลา หมายถึงว่า ต้องไม่เข้าห้องสอนช้ากว่าปกติ ถึงเวลาก็ต้องเข้าห้องเลยและไม่เลิก
ก่อนเวลา ครูบางคนมัวโอ้เอ้แล้วเลิกก่อนเวลา เป็นการเบียดบังผลประโยชน์ของผู้เรียนโรงเรียนควร
จะสอนตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน มิใช่เอาเวลาไปให้ผู้เรียนซื้อหนังสือ หรือจัดชั้นเรียน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้ ควรต้องเรียบร้อยกอ่ นวันเปดิ เรยี น น่คี ือสอนเตม็ เวลา
๑๔
๒. สอนเต็มหลักสูตร ครูจะต้องศึกษาหลักสูตรที่ตนสอนว่า จะต้องสอนอะไรบ้าง จะสอนเรื่องใด
กอ่ นหลงั กไ็ ด้ แตต่ ้องสอนใหค้ รบเตม็ หลกั สูตร
๓. สอนเตม็ ความสามารถ ครูทุกคนมคี วามสามารถประจาํ ตน ย่ิงสอนนาน ประสบการณ์ก็มากข้ึน
ความสามารถของครูย่อมมากขึ้น ต้องสอนให้เต็มความสามารถ ของตน เพราะผลของการศึกษาออกมาท่ี ตัว
ผู้เรยี น
เบน (Bean ๑๙๙๖ : ๑๐๖) ได้เสนอว่า คุณลกั ษณะของครเู ก่ง ประกอบด้วย
๑. ผู้นําทกี่ ําหนดจุดประสงคแ์ ละทป่ี รึกษาของผู้เรียน
๒. ผ้ชู าํ นาญในการสอน
๓. ผ้วู ัดผลและประเมินผล
๔. เป็นมิตรของผ้เู รยี นและกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นปรับตัวเข้ากบั สังคม
บรูคฟิลและเพรสคิล (Brookfield; & Preskill ๑๙๙๙ : ๑๓๗) กล่าวว่า ครูเก่ง ยุคใหม่ที่คาดหวังว่า
จะมภี าพลักษณ์ คุณลกั ษณะทีส่ ะทอ้ นมาจากหลกั การ ๑๐ ประการ ดังต่อไปนี้
๑. มคี วามเข้าใจในเรือ่ งของแนวคิดหลักแหง่ วชิ าชีพครู มคี วามร้คู วามเขา้ ใจในเร่อื งของเครื่องมือท่ี
จะใช้สําหรับการแสวงหาความรู้ การสอบถาม มีความเข้าใจในโครงสร้างของสาขาวิชาที่ตนเป็นผู้สอน และ
สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริมในเนื้อหาวิชาเหล่า นั้นเกิดประโยชน์
สงู สดุ แกผ่ ู้เรียน
๒. มีความเข้าใจในการเรียนรู้และพัฒนาของผู้เรียน รู้จักสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น เพื่อ
ชว่ ยเสริมสร้างพัฒนาการทางสติปัญญา สงั คมและพัฒนาการส่วนบุคคล
๓. มคี วามเข้าใจถึงความแตกตา่ งในการเรยี นรู้ของผู้เรียน และสามารถสร้างสรรคโ์ อกาสในการจัด
การเรียนการสอนทจี่ ะนําไปประยกุ ต์ใช้กบั ผู้เรยี นที่หลากหลายได้
๔. มีความเขา้ ใจและรู้จักใช้ยุทธวธิ ีทห่ี ลากหลายในการสอน เพ่อื กระตุน้ ให้ผเู้ รียนได้รู้จักคิดอย่างมี
เหตผุ ล สามารถแกไ้ ขปญั หาและมีทักษะในเชงิ ปฏิบตั ิ
๕. ใช้ความเข้าใจในตัวผู้เรียนแต่ละบุคคล รวมทั้ง การใช้ทั้งแรงจูงใจและพฤติกรรมของกลุ่มมา
สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในเชิงสร้างสรรค์ มีส่งวนร่วมอย่าง
กระตอื รือร้นในการเรียนร้แู ละการสรา้ งแรงจูงใจในตวั ผเู้ รยี น
๖. รู้จักเลือกใช้ถ้อยคําที่ก่อให้เกิดผล สามารถใช้อากัปกริยาท่าที รวมทั้งเทคนิควิธีการสื่อ
ความหมายที่ชว่ ยกระตุ้นให้ผู้เรียนรูจ้ กั ถามรู้จักแสวงหาความรู้ตลอดทั้งรู้จักสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ
และปฏิสมั พนั ธ์ในห้องเรยี นอยา่ งสรา้ งสรรค์
๗. รู้จักวางแผนการสอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาความต้องการของชุมชนและเป้าหมายของลัก
สูตร
๘. มีความเข้าใจและใช้ยุทธวิธีการประเมนิ ผลในรูปแบบทั้งท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพ่ือ
ประเมินสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นว่า ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาทั้งทางสติปัญญา สังคม และร่างกายอย่าง
ตอ่ เนือ่ ง
๙. จะต้องเป็นนักปฏิบัติการที่มีความถี่ถ้วน รู้จักประเมินผลการปฏิบัติงานของตนเองและบุคคล
อืน่ อยา่ งตอ่ เนื่อง พรอ้ มทั้งหาโอกาสสรา้ งความก้าวหนา้ ทางวชิ าชพี ของตนให้เกิดขึ้น
๑๐. จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานในสถานศึกษา พ่อแม่ ผู้ปกครอง และหน่วยงานต่างๆ
ในชุมชนขนาดใหญ่ เพ่อื สนบั สนนุ การเรียนรูแ้ ละความเป็นอย่ทู ดี่ ขี ึน้ ของผู้เรียน
๑๕
แม็คลาฮนิ และทอลเบริท (McLaughlin; & Talbert ๒๐๐๑ : ๑๘๓) กลา่ วว่าครูเก่ง ควรมีคณุ ลกั ษณะ
ดงั ต่อไปน้ี
๑. คิดค้นวิธีการสอนใหม่ ๆ อยู่เสมอ ใช้วิธีการสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดหาทนทางสร้างความรู้ด้วย
ตนเองครเู ป็นเพียงผชู้ ีแ้ นวทาง การนาํ ความรจู้ ากแหลง่ ต่าง ๆ มาใชป้ ระโยชน์ท่ีจะเรยี นรู้ส่งิ ใหม่ๆ ต่อไปได้หรือ
สอนใหผ้ ู้เรียนรวู้ ธิ กี ารเรียนรู้ คดิ หาความรดู้ ว้ ยตนเอง เกิดความคดิ อย่างหลากหลายและคิดหาความรู้ดว้ ย
๒. วางแผนจัดการเรียนการสอน โดยให้ความสําคัญกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล ทําความเข้าใจกับ
ผเู้ รยี นและเช่อื ว่าผู้เรียนทุกคนพฒั นาได้ด้วยการเรยี นรูจ้ ากกระบวนการศึกษาท่ีผ้เู รยี นเรียนรู้ และปฏิบัติดีจริง
ดว้ ยตนเอง
๓. มีความรู้และทักษะอย่างดี ในสาระการเรียนรู้ที่สอน มีความรคู้ วามเขา้ ใจในขอบขา่ ยสาระ การ
เรียนรู้ทีจ่ ะสอนอย่างท่องแท้ สามารถบูรณาการภายในกลุม่ วิชาและระหว่างกลุ่มวิชาให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้
ตามสภาพความเป็นจรงิ และสอดคล้องกับการดําเนินชีวติ ในสังคม
๔. มีความสามารถในการสร้างและพัฒนาหลักสูตรในห้องเรียน มีความรู้และทักษะในการนําสาระ
การเรียนร้ทู จี่ ําเป็นและตรงตามความตอ้ งการของผ้เู รยี นมาสรา้ งเปน็ หลกั สตู รในห้องเรยี นของตนเองได้
กัวริโนและคณะ (Guarino et al ๒๐๑๑ : ๑๓๕) ได้เสนอว่า คุณลักษณะของครูเก่งที่มีประสิทธิผล
ของครผู า่ นบทบาทหนา้ ท่ี ๔ ด้าน ประกอบด้วย
๑. ครใู นฐานะผูอ้ าํ นวยการสอน
๒. ครใู นฐานะเพื่อนและผ้ใู หค้ ําปรกึ ษาแกน่ ักเรียน
๓. ครใู นฐานะสมาชกิ คนหนงึ่ ของชุมชนโรงเรยี น
๔. ครูในฐานะสมาชกิ ของสมาคมวชิ าชพี
จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าครูเก่ง มีคุณลักษณะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถมีความชํานาญใน
การสอนเข้าใจในขอบขา่ ยสาระการเรียนรูท้ ี่จะสอนอย่างท่องแท้ เปน็ ครูมอื อาชพี สอนเดก็ ให้เกง่ ไดโ้ ดยมเี ทคนิค
การสอนดีและเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนพัฒนาได้ด้วยการเรียนรู้จากกระบวนการศึกษาที่ผูเ้ รียนเรียนรู้และปฏิบัติดี
จริงด้วยตนเองชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอใฝ่หาความรู้ โดยพัฒนาตัวเองศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาให้
ความสําคัญกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล มีการวางแผนการสอนอย่างต่อเนื่อง ใช้สื่อการสอนที่เหมาะสม
หลากหลายนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้สอนนักเรียน สามารถใช้ประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ส่งเสริม
การเรียนรูใ้ ห้เกดิ ประโยชนส์ งู สุด สง่ เสริมให้ผเู้ รียนได้เกดิ การพฒั นาในด้านต่างๆ สามารถจัดการเรียนการสอน
ตามศักยภาพของผู้เรียนรู้จักวางแผนการสอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาความต้องการเพื่อผู้เรียนทั้งทาง
สติปัญญา สังคม และร่างกายอย่างต่อเนื่องมีความตั้งใจทํางานรู้จักใช้คําพูด มีความสามารถในการอธิบาย
แนะนําหรือให้คําปรึกษาด้วยรูปแบบวิธีการที่เหมาะสมกับบุคคลกาลเทศะได้เป็นอย่างดี สอนให้นักเรียนรู้จัก
สร้างความรู้ด้วยตนเอง รู้จักใช้แหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน สอนให้ผู้เรียนรู้วิธีการ
เรียนรู้ คิดหาความรู้ด้วยตนเอง อย่างหลากหลาย มีความสามารถในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม
สภาพจริงสามารถเร่งเร้าให้ผู้เรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน กระตุ้นให้มีอิสรเสรีทางความคิดส่งเสริมให้มีสติปัญญา
เฉียบแหลมและสร้างเสริมให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างสัมฤทธิ์ผล และสรุปความรู้ทั้งหลายได้ด้วยตนเอง
กอ่ ใหเ้ กิดค่านิยมและนสิ ัยในการปฏิบัติจนเป็นบุคลิกภาพถาวรติดตัวผู้เรียนตลอดไป มกี ารพัฒนาคุณภาพของ
ผู้เรียนอย่างเป็นระบบโดยการวางแผนการสอน ดําเนินการสอน วัดผลและประเมินผล และแก้ไขพฤติกรรม
ผู้เรยี น
๒.๓ คณุ ลกั ษณะครดู ี
๑๖
คณะกรรมการข้าราชการครู, สํานักงาน (๒๕๕๒ : ๑-๓) มีความเห็นว่า ลักษณะของครูที่ดีมี ๕
ประการ ได้แก่
๑. มีความสัมพันธ์อันดีกับนักเรียน คือ ครูต้องสนใจ เอาใจใส่ปัญหาของนักเรียน คอยตอบปัญหา
ต่างๆ ให้ชัดเจน แนะแนว ไม่แสดงอารมณ์รุนแรง ไม่เยาะเย้ย รู้จักระงับ อารมณ์ มีนํ้าใจเป็นนักกีฬา อดทน
วางตวั เหมาะสมกับผู้เรียน ไม่สนทิ สนมเกนิ ไป ชมเชยเมอ่ื ผเู้ รยี น ทาํ ความดี และตดั สินความดีงามของนักเรียน
ด้วยเหตุผล
๒. มีความรักในอาชีพครู มีส่วนช่วยแนะนําเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนเสมอ รับฟังคําแนะนํา
ปรบั ปรงุ ตนเองเสมอ ทันสมัยตอ่ ความรแู้ ละกิจกรรมของครู เหน็ ว่าอาชีบ ครูดี สอนไม่อมภูมิ ร่วมมือสนับสนุน
สมาคมการศึกษาหรือวิชาชีพที่สนใจ ทําตนให้เป็น ประโยชน์ต่อทางราชการ มีความสามารถในอาชีพ และใช้
เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ในการ สอน
๓. มีจรรยาครู ไม่แพร่ข่าวลอื ซื่อสัตย์ตอ่ อาชพี ไม่ขโมยผลงานของผู้อื่น ไม่ให้ร้าย ผู้อื่น มีมารยาทใน
การตดิ ต่อราชการตามลําดับสายงาน ไม่อา้ งอิงศาสนามาทาํ ให้ศาสนาอ่ืน เสียหายปรับปรงุ ตัวเองเสมอ ไม่กวด
วิชานักเรียนตนเอง รักษาความลับของนักเรียน ไม่โฆษณาชวนเชื่อ ไม่นําผู้อื่นมานินทาให้นักเรียนฟัง ไม่
เรยี กร้องเงินเดอื นเพ่ือตัวเอง ไมใ่ ช้ อทิ ธพิ ลส่วนตวั ในทางราชการและปฏิบัตติ ามสญั ญาทที่ ำไวก้ ับราชการอย่าง
เคร่งครดั
๔. มคี ุณสมบตั ิส่วนตัวดี มีความซื่อตรง สติปัญญาดี เชอื่ มนั่ ในตวั เอง มคี วามคดิ ริเร่ิมกระตือรือร้น คิด
ปรับปรุงโรงเรียน เป็นกันเองกับนักเรียน รู้จักผ่อนหนักเป็นเบา มีน้ำใจจริง สุภาพอ่อนโยน สุขภาพดี รู้จัก
ร่วมมอื ไมท่ ำกรยิ าอาการอันน่ารำคาญ พูดชดั แตไ่ มต่ ะโกน ตรง ต่อเวลา ให้คะแนนเท่ียงตรง เข้าใจกฎระเบียบ
และปฏบิ ตั ิโดยเครง่ ครดั ร้จู ักรักษากลนิ่ ปากและ กลิน่ ตวั
๕. มีรูปร่างท่าทางดี มีใบหน้าสะอาด ตัดผมเรียบร้อย สุภาพ โกนหนวดโกนเคราให้เรียบร้อย เสื้อผ้า
สะอาดเรียบร้อย รองเท้าขัดมันสะอาด สวมเสื้อผ้าเหมาะสมกับกาลเทศะ รักษาท่าทางให้สง่างาม ไม่สูบบุหรี่
หรือเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออาหารระหว่างสอน รักษานิ้วมือ เล็บ ให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา รักษาฟัน ซ่อมฟันให้
สะอาดเรยี บร้อย แตง่ กายสุภาพ รูปทรงสสี ัน เหมาะสมกับการเปน็ ครู
สำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๒ : ๖๘-๖๙) สรุปว่าข้าราชการครูที่ดีจะต้องใฝ่หา
ความรู้ใหท้ นั สมัย ทันเหตุการณ์อยเู่ สมอ และมสี ่วนร่วมในการพฒั นาประเทศชาติ ควรมีคณุ ลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ี
๑. มีความเมตตากรุณา ใส่ใจในประโยชน์สขุ ช่วยเหลอื แก้ไข ทุ่มเทการจดั การเรียนรู้ให้ศิษย์เม่ือศษิ ย์
มาปรึกษา ทั้งเรือ่ งส่วนตวั และการเรยี น
๒. มีความประพฤติดี ประพฤติตนสมควรแก่ฐานะ เป็นที่พึงให้ความปลอดภัยและก่อให้เกิดความ
อบอุน่ แกศ่ ษิ ย์ได้
๓. มีความขยัน เป็นผู้ใฝร่ ู้ ฝกึ ฝน ปรบั ปรุงตนเองอยเู่ สมอ เปน็ บคุ คลแห่งการเรียนรู้ เปน็ แบบอย่างที่ดี
แก่ศิษย์
๔. มคี วามสุภาพ เป็นผ้รู จู้ กั ใชค้ ำพดู แนะนำให้ไดผ้ ล มคี วามสามารถในการอธบิ ายสอนแนะนำหรือให้
คำปรึกษาดว้ ยรูปแบบวิธกี ารที่เหมาะสมกบั บคุ คล กาลเทศะ ได้เปน็ อยา่ งดี
๕. มีความอดทน อดทนต่อการรับฟัง ต่อการให้คำปรึกษา และการซักถามของผู้เรียนไม่แสดงอาการ
เบือ่ หน่าย ตอ่ การตอบคำถามของผเู้ รียน
กระทรวงศึกษาธกิ าร (๒๕๕๓ : ๒๑) ไดก้ ำหนดลักษณะครทู ี่ดไี ว้ดังตอ่ ไปนี้
๑๗
๑. ครตู ้องเป็นผู้ซ่ือสัตย์สจุ ริตเป็นที่ไว้เน้ือเช่ือใจของบุคคลทัว่ ไป ไมพ่ ูดจากลับกลอกหรือหน้าไหว้หลัง
หลอก จะต้องหาเลีย้ งชีพโดยสุจริต ไม่ฉ้อโกงหรือเบยี ดบังเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนในทางที่ไม่ชอบ หรือ ฉ้อ
ราษฎร์บงั หลวง
๒. ครูต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ผูกพยาบาทกัน เมื่อคู่กรณียอมรับผิด ต้องให้ อภัยด้วยความยินดี
จะต้องไม่กล่าวร้ายป้ายสีซึ่งกันและกัน เพราะการกล่าวร้ายป้ายสี เพื่อนมนุษย์มีโทษร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่า
มนษุ ย์
๓. ครูต้องวางตนให้เป็นคนซ่ือสัตยแ์ ละเทีย่ งธรรม แม้ว่าเขาได้แต่งตัง้ ให้เป็นผู้ ชี้ขาดในเรื่องหนึง่ เรือ่ ง
ใด ก็จงวินิจฉยั ด้วยความเท่ยี งตรง ไมล่ ำเอียงเพราะเหน็ แกข่ องกำนัล
๔. ครูต้องให้เกียรติแก่ผู้ที่ให้เกียรติแก่ตนใหม้ ากกว่า หมายความว่า เมื่อผู้หนึ่งให้ ความคารวะแก่เรา
เราตอ้ งใหค้ วามคารวะตอบแก่ผู้น้นั ใหม้ ากกวา่ ท่เี ขาให้แก่เราหรือ เท่ากัน
๕. ครูต้องมีความอดทนในสิ่งที่ประสบ หมายความว่า เป็นผู้มีความหนักแน่นไม่ใจเบาหรอื ใจเร็วดว่ น
ได้ ความอดทนนจี้ ะทำใหเ้ ขาบรรลผุ ลสำเร็จในผลงานแน่นอน
๖. ครูต้องไม่ดูถูกดูแคลนระหว่างเพื่อนครูพี่น้อง และเพื่อนร่วมงานด้วยกัน อย่ากล่าวตำหนิติเตียน
และให้ร้ายซึ่งกันและกัน ตลอดจนนินทากาเลทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะ การประพฤติดังกล่าว เป็นเสมือน การ
รบั ประทานเน้ือสัตว์ที่ตายเนา่ เหมน็ ครูตอ้ งไม่ใช้ คำพูดที่ไม่เหมาะสมกับผ้เู รียนโดยเฉพาะผเู้ รียนกำพร้า จงใช้
คำพูดท่ีอ่อนโยนและละมุนละไม จงอย่าใช้คำพูดที่ดุตะคอกต่อผู้ที่มาขอและเมื่อครูได้รับโชคดี วาสนาดี จง
บอกเลา่ ให้เพอ่ื น ฝงู ทราบสาเหตุท่ีเขาไดร้ ับโชคนน้ั เพือ่ เพือ่ นฝูงจะไดน้ ำเอาไปเปน็ ตวั อยา่ ง
๗. ครูต้องหมั่นหาวิชาเพิ่มเติมอยู่เสมอ การศึกษาถือว่าเป็นอาหารของชีวิต เพราะอิสลามบัญญัติว่า
การศึกษาหาความรู้เปน็ ความจําเป็นของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ท้ัง ชายและหญิง ตงั้ แตอ่ ยใู่ นเปลจนถึงหลุมฝังศพ
หมายความวา่ ต้องศกึ ษาตลอดชวี ิต ตรง กบั หลกั การศึกษาปจั จุบันท่ีเรียกว่า “การศกึ ษา คอื ชีวิต”
๘. ครูต้องมคี วามเพยี รพยายามในกิจการงานทุกสง่ิ ทุกอย่างให้สาํ เร็จ ซงึ่ อสิ ลาม ไดบ้ ญั ญัติการส่งเสริม
ความเพยี ร มีความว่า “ผ้ใู ดมคี วามเพยี รพยายาม ผู้นนั้ จะพบกบั ความสาํ เรจ็ ”
๙. ครตู ้องมคี วามละอายต่อบาป ไม่พยายามทําในสิ่งท่ีเป็นบาปเล็กบาปใหญ่ ทง้ั ในทล่ี บั และที่แจ้ง ไม่
วา่ บาปนน้ั จะเป็นบาปทเี่ กดิ จากกาย วาจา หรือใจก็ตาม
๑๐. ครูต้องมีความสํานึกผิด ทุกคนย่อมมีความผิด เมื่อเขาสํานึกผิดได้แล้ว ศาสนาสอนให้รับผิด ถ้า
ความผิดเกี่ยวกับบุคคล เขาจะต้องไปสารภาพผิดต่อบุคคลนั้น ถ้า เป็นความผิดที่เกี่ยวกับพระเจ้า เขาจะต้อง
ขอลุแก่โทษตอ่ พระเจ้า พระเจา้ กจ็ ะอภยั โทษใหเ้ ขา
๑๑. ครูต้องมีความสันโดษ หมายความว่า ต้องมีความรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไม่ โลภโมโทสนั ในส่งิ
ที่ไม่ใช่ของตน คําว่า “สันโดษ” ไม่ได้หมายถึงว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ ประกอบอาชีพเช่นนั้นก็หาไม่ แต่
หมายความว่าต้องประกอบอาชีพโดยสุจริต ตามที่พระเจ้ากําหนดไว้ให้ พร้อมทั้งมีใจกุศลเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นด้วย
คอื พอใจในส่ิงทีต่ นมอี ยู่
๑๒. ครูต้องเป็นผูร้ ู้คุณ ต้องว่าใครเป็นผู้มีพระคุณต่อตน เช่น บิดามารดา ครู อาจารย์ของตน รวมทั้ง
คนอื่นที่มีพระคุณแก่ตน แล้วหาทางตอบแทนให้สมเจตนารมณ์ จึงเป็นผู้มีความเจริญในชีวิตและทำให้ชีวิตมี
ความก้าวหน้า
๑๓. ครตู ้องมวี ิญญาณครู คอื มนี าํ้ ใจรกั การเปน็ ครู เป็นผู้ท่ีเสยี สละทกุ อยา่ งเพื่อ ศิษย์และบุคคลทั่วไป
หาความรูเ้ พม่ิ เติมอย่เู สมอ เพ่อื ท่จี ะเผยแพร่แก่กุลบตุ รธิดาต่อไป ดงั ทีอ่ ิสลามสอนวา่ “จงเป็นคนหนงึ่ ในสาม คือ
เป็นผู้สอน (ครู) หรือเป็นผู้เรียน (นักเรียน หรือนักศึกษา) หรือเป็นผู้ฟังทั่ว ๆ ไป จงอย่าเป็นคนที่สี่ หมายถึง
๑๘
เป็นผู้ที่ไม่ได้อะไรเลย ทั้งสามอย่างนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าต้องหาความรู้เสมอ ไม่มีเวลาหยุด ดังคําสุภาษิต
ทว่ี า่ “ไม่มใี ครแก่เกินเรยี น”
๑๔. ครูต้องประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดี มีมารยาททั้งกาย วาจา และใจ มีสัมมา คารวะซึ่งเป็น
การแสดงถงึ ผมู้ ีวัฒนธรรมอันสูงส่ง ดงั พระวัจจนะพจน์ ของศาสดา มะหะหมดั กลา่ วไว้มีความหมายว่า “บุคคล
ทมี่ ีความประเสริฐเลศิ ในพวกท่าน คอื บคุ คลที่ มีมารยาทอันดีงาม” และอกี ตอนหน่ึงกล่าววา่ “เส้ือผ้าอาภรณ์
อนั มรี าคาทต่ี กแต่งร่างกาย นัน้ ไม่ไดท้ ําใหผ้ ู้สวมใส่เกิดความสวยงามเลยแม้แตน่ ้อย อนั ที่จริงส่ิงที่จะทําให้ผู้น้ัน
มี ความสวยงามคอื ความรูแ้ ละมารยาทอันสวยงามทีม่ ีอยูใ่ นตัวเขา”
คุรุสภา, สํานักงานเลขาธิการ กองมาตรฐานวิชาชีพครู (๒๕๕๖ : ๖๗-๖๙) กล่าวว่าครูดีจะต้องมี
คณุ ลักษณะ ๖ ประการ ไดแ้ ก่
๑. บุคลกิ ภาพดี คอื รปู รา่ งหนา้ ตาหมดจด แตง่ กายสะอาด เรียบร้อย พูดถกู ตอ้ ง ชัดเจนและปรบั ตวั ดี
๒. การจัดชั้นเรียนดี คือ จัดถูกหลักวิชา มีบรรยากาศดี ถูกสุขลักษณะ อากาศ ถ่ายเทสะดวกและใช้
อุปกรณ์ใหเ้ กดิ ประโยชน์
๓. มีความสัมพันธอ์ นั ดีกบั นักเรียน คือ ใช้จติ วทิ ยาให้เกิดประโยชน์ ใกล้ชดิ กับ นักเรยี นทําให้อบอุ่นใจ
เป็นทพี่ ง่ึ แกศ่ ษิ ย์ได้
๔. การสอนดี คือ มีการเตรียมการสอนสมํ่าเสมอ ทําโครงการสอน สอนตามหลักสูตรและสอนได้
ถกู ตอ้ ง
๕. มีเจตคตทิ ่ีดีต่ออาชีพครู คอื มีจรรยามารยาท และวนิ ยั ตามระเบียบประเพณขี องครู
๖. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง คือ ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ปกครอง เพื่อรู้ความเป็นไปของผู้เรียนทาง
บา้ น เพอ่ื ผลการศึกษาและความเจรญิ ของโรงเรียน
สํานักวิจัยและพัฒนาการศึกษา (๒๕๕๙ : ๑-๒) มีข้อมูลที่แสดงว่าครูดี คือคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต
เสมอภาคและเทย่ี งธรรมมีนา้ํ ใจอนั เกิดจากสว่ นลึกของจิตใจ มเี มตตาใหค้ วามรักต่อศิษย์ของตนอยา่ งเสมอภาค
มีการประพฤติปฏิบัติตนให้เหน็ เป็นตัวอย่างและผูเ้ รยี นสามารถนําแบบอย่างของครูไปประพฤติปฏิบัติตามแม้
จะเป็นเรื่องเล็กน้อยมีจรรยาบรรณวิชาชีพ และปฏิบัติตนโดยมุ่งผลสัมฤทธิของงาน ยึดมั่นและยืนหยัดกระทาํ
ในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรม ย่อมส่งผลต่อพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศชาติ นอกจากนั้น ยังถือได้ว่าครูดี
เป็นตน้ แบบแหง่ ความซอ่ื สตั ย์สุจรติ และก่อให้เกดิ การพฒั นาสังคม ประเทศชาตไิ ดอ้ ย่างย่ังยนื อันจะนําเยาวชน
ที่มีคุณภาพไปสู่การเป็นสมาชิกที่มีคุณภาพต่อสมาคมประชาชาติแห่งอาเซียน (Thai children progressive
towards Asian) ได้อย่างมีคุณค่าและสง่างามและนี่คือผลงานแห่งความภาคภูมิใจตามกรอบแห่งวิชาชีพของ
ตน
Franke et al (๒๐๐๑ : ๖๕๗-๖๕๘) เสนอวา่ ครทู ี่ดีจะตอ้ งประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปน้ี
๑. มีความรบั ผิดชอบทด่ี ี ร้วู ชิ าทีส่ อนเป็นอยา่ งดี มคี วามรู้กว้างขวาง
๒. ชอบวชิ าท่สี อน
๓. ชอบและรู้จักผเู้ รียน ใจกว้าง มอี ารมณ์ขัน
๔. มคี วามหวังและมเี มตตาธรรม
๕. มคี วามประพฤตเิ รียบรอ้ ย
๖. มีความรู้ดี
๗. มีบุคลกิ ลกั ษณะและการแต่งกายดี
๘. สอนดี
๙. ตรงตอ่ เวลา
๑๙
๑๐. มคี วามยุตธิ รรม
๑๑. หม่ันหาความรอู้ ยเู่ สมอ
๑๒. รา่ เริงแจ่มใส
๑๓. ซือ่ สัตย์
๑๔. เสยี สละ
Angelo & Cross (๑๙๙๓ : ๑๐๔) กลา่ วว่าคุณลกั ษณะของครทู ด่ี ี ไดแ้ ก่
๑. รา่ เรงิ
๒. เอาใจใส่
๓. ใหค้ วามร่วมมอื
๔. นา่ เชอื่ ถือ
๕. มอี ารมณ์มน่ั คง
๖. มีศีลธรรมจรรยา
๗. มีความสุขมุ รอบคอบ
๘. มคี วามยืดหยุ่น
๙. มีความมานะ
๑๐. มีการตดั สนิ ใจดี
๑๑. มปี ระสาทวอ่ งไว
๑๒. บคุ ลกิ ภาพมีเสนห่ ์
๑๓. มีความกระตือรือรน้
๑๔. มีความเป็นนกั วิชาการ
Adams et al (๑๙๙๔ : ๑๓๕) ไดเ้ สนอว่า คุณลกั ษณะของครูดีประกอบด้วย
๑. ผู้นำการเปลีย่ นแปลงและนักปฏิรูปสงั คม โดยบุกเบกิ ความคดิ
๒. ผู้รกั ษาไวซ้ ่ึงวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี
๓. ผใู้ หบ้ รกิ ารสาธารณะ
๔. ผอู้ บรมเลยี้ งดหู รอื สรา้ งสังคมประกติ (Socialization Agent)
๕. ผเู้ ปน็ ตัวกลางหรือผ้กู ่อใหเ้ กิดการเรยี นรู้
๖. ผู้รักษาวินยั
๗. ผูเ้ ป็นเสมอื นพอ่ แม่และท่พี ่ึงของผู้เรียน
จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าครูดี มีคุณลักษณะเป็นผู้ที่เอาใจใส่นักเรียนทุกคนและมุ่งมั่นใน การ
ทาํ งานทุ่มเทการจัดการเรยี นรู้ใหศ้ ิษยเ์ มื่อศิษยม์ าปรึกษาทง้ั เรื่องสว่ นตัวและการเรียนมีเมตตาใสใ่ จในประโยชน์
สขุ และชว่ ยเหลือผู้อ่ืน มีคุณธรรมจรยิ ธรรมและเสยี สละ วางตนใหเ้ ป็นคนซ่ือสัตย์และเที่ยงธรรมมีธรรมะอยู่ใน
จิตใจอย่างมั่นคง มีความรับผิดชอบมีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความสํานึกในหน้าที่และการงานรวมไปถึง
ความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดียิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตรของเด็กและกระตุ้นให้
เด็กปรับตัวเข้ากบั สงั คม ชว่ ยเหลอื งานของโรงเรียนและชุมชน แบ่งปนั เก้อื กูลผู้อ่นื ในเรื่องของเวลา กําลังกาย
และกําลังทรัพย์ มีความเสียสละในด้านเวลา แรงงาน และทรัพย์สิ่งของอุทิศตนเพื่อการสอน มีความรักความ
ศรัทธาในอาชีพครู ตั้งใจสอนและกระตุ้นให้ผู้เรยี นคิด มีความสุจรติ ใส่ใจและให้ความรู้ผู้เรียนทุกคนอย่างเทา่
เทียมกัน เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนกั เรียน เสริมสร้างค่านิยมทีเ่ หมาะสมใหเ้ กิดขึ้นประพฤติตนสมควรแก่ฐานะ
เป็นที่พึ่ง ให้ความปลอดภัยและก่อให้เกิดความอบอุ่นแก่ศิษย์ มีความอดทนต่อการรับฟังและการซักถามของ
๒๐
ผู้เรียนไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายต่อการตอบคําถามของผู้เรียน ตะหนักรู้ในการพัฒนาคุณสมบัติส่วนตัวท่ี
เกี่ยวข้องกับการสอน มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักแสวงหาความรู้ใหม่ๆ มีความเป็นผู้มี
ความคิดริเรม่ิ วจิ ารณ์และตัดสินอย่างมีเหตุผล เอาใจใสอ่ บรมสัง่ สอนให้ศิษย์เกิดความรแู้ ละเป็นเพื่อนร่วมทุกข์
ร่วมสุขกับผู้เรียนได้ตลอดเวลา รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ สอนในสิ่งที่
ถูกต้องไม่บิดเบือนสอนด้วยความสนุกสนานเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนสามารถควบคุมอารมณ์ได้ มีความ
ประพฤติดีละเว้นอบายมุข ชักจูงศิษย์ไปในทางที่ดี เป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงและนักปฏิรูปสังคม โดยบุกเบิก
ความคดิ รกั ษาไว้ซ่งึ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรมไทยและปฏิบัติหนา้ ที่ด้วยความ
ซื่อสัตย์สุจริต เสมอภาคและเที่ยงธรรม มีความวิริยะ อุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร ดูแลเอาใจใส่รักษาประโยชน์
และปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพอยา่ งเคร่งครดั
๓. การนิเทศการศึกษา
การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาความรู้ ความคิด ความสามารถรวมทั้งพฤติกรรม เจตคติ
ค่านิยม และคุณธรรมของบุคคล คุณสมบัติของบุคคลดังกล่าว เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งด้าน
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง ยิ่งปัจจุบันสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็น
ความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยีสารสนเทศ การแขง่ ขันอย่างรนุ แรงทางเศรษฐกิจปัญหาการจัดการศึกษาของไทย
ยงั ไม่สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการเปลี่ยนแปลงทง้ั หลายในยุคโลกาภิวัตน์ ไม่ว่าจะเปน็ ภายในหรอื ภายนอก
ประเทศ ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาที่เป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาคน รัฐบาลได้
ท่มุ เทกำลงั ท้งั ในแง่ความคิดและทรัพยากรของประเทศทจี่ ะปฏิรปู การศกึ ษา เพอื่ ปรบั เปล่ียนการจดั การศึกษา
ให้เป็นการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สามารถผลิตคนที่มีคุณภาพ และเป็นการศึกษาที่สอดคล้อง
เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เปลีย่ นแปลงในยุคโลกาภิวตั น์ ดังจะเห็นได้จาก พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๒ บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ โดยเฉพาะหมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา เน้นการ
ปฏิรูปการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุด ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ,
๒๕๔๒ : ๑๔) ตั้งแต่มาตรา ๒๒ – ๓๐ ซึ่งมุ่งหมายให้ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ การพัฒนา
คุณภาพการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย จนถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนา
ประเทศฟื้นฟูได้ การให้ความสำคัญของการจัดการศึกษาในระดับสถานศกึ ษาทีต่ ้องพัฒนาผู้เรียนใหบ้ รรลุตาม
เปา้ หมายของการศกึ ษาชาติ “เกง่ ดี และมีความสขุ ” บนพื้นฐานของความสอดคล้องกับบริบทชุมชน และเกิด
ความภมู ใิ จในความเป็นไทย
๓.๑ ความหมายของการนิเทศ
ความหมายของการนิเทศ พิจารณาได้ทั้งตามความหมายของรูปศัพท์ และตามความหมาย ตาม
แนวทางของการบริหาร กล่าวคือ ความหมายตามรูปศัพท์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช
๒๕๒๕ ไดใ้ ห้ความหมายของ “การนเิ ทศ” วา่ หมายถึง การช้แี จง การแสดง การจำแนก
การนิเทศ ตรงกับคำภาษาอังกฤษวา่ Supervision ซง่ึ ประกอบด้วย Super และ vision คำว่า Super
หมายถึง ดีมาก วิเศษ vision หมายถึง การเห็น การมอง การดู พลังในการจินตนาการ ฉะนั้น Supervision
จึงหมายถึง การมองเห็นที่ดีมาก เห็นโดยรอบ การดูจากที่สูงกว่า การมองจากเบื้องบน การมีโลกทรรศนะ
กว้างขวางกวา่
บุคคลที่ทำหน้าที่นิเทศ เรียกว่า Supervision ภารกิจหรือหน้าที่ของผู้นิเทศ คือ ให้การนิเทศ หรือ
Supervise ได้แก่ การชว่ ยเหลอื แนะนำ ช้แี จง ปรับปรุง เพอ่ื ชว่ ยใหบ้ คุ ลากรภายใต้ความรบั ผิดชอบแก้ปัญหา
๒๑
ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังเผชิญอยู่ให้ลุล่วงไปด้วยดี รวมทั้งพัฒนางานที่บุคลากรกำลังปฏิบัติอยู่ ให้มีวิธีท่ี
เหมาะสม มีประสทิ ธผิ ลยิ่งขึน้
นักการศึกษาหลายท่านทั้งนักการศึกษาของไทยและต่างประเทศให้ความหมายของการนิเทศ
การศึกษาไว้หลายแนวคิด ทน่ี ่าสนใจและนำมาศึกษามีดงั น้ี
สาย ภาณรุ ัตน์ (๒๕๑๗ : ๒๕) กล่าวไวว้ ่า การนิเทศการศึกษาคือการช่วยเหลือให้ครเู ติบโต พึ่งตนเอง
ได้ แล้วนำผ้ทู ี่พงึ่ ตนเองไดไ้ ปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์แก่สังคม นน่ั คอื การนเิ ทศเพอื่ ไมต่ ้องนิเทศ
สงัด อุทรานันท์ (๒๕๒๙ : ๗) ให้ความหมายไว้ว่า การนิเทศการศึกษาคือกระบวนการทำงานร่วมกับ
ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา เพอ่ื ให้ไดม้ าซึ่งสัมฤทธผิ์ ลสูงสดุ ในการเรยี นของนักเรียน
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (๒๕๔๐ : ๑) นิยามความหมายไว้ว่าการนิเทศ
การศกึ ษาคือการทผี่ ู้นิเทศใช้กระบวนการ กระตุ้น ยั่วยุ ท้าทาย รเิ รมิ่ รว่ มคิด รว่ มทำ สนับสนุนให้มีการพัฒนา
คุณภาพของนักเรยี นตามความจำเป็นของการพฒั นาโดยผา่ นครแู ละผู้บรหิ ารโรงเรยี น
๓.๒ ความมงุ่ หมายของการนิเทศการศึกษา
ความมงุ่ หมายของการนเิ ทศการศึกษา ตามทัศนะของนักการศึกษาแต่ละคนแตกต่างกนั แต่โดยเนื้อหา
สาระแล้วมจี ดุ ม่งุ หมายไปในแนวเดียวกัน
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (๒๕๓๔ : ๘) กล่าวถึงความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาว่าเป็นการมุ่ง
ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยมุ่งช่วยให้ครูได้พัฒนาความรู้ ความสามารถในการสอน
ก่อให้เกิดขวญั และกำลังใจแกผ่ เู้ กี่ยวข้อง รวมทง้ั สรา้ งความสมั พนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ งบคุ คลที่เกีย่ วข้องในการทำงาน
รว่ มกัน
สงัด อุทรานันท์ (๒๕๒๙ : ๗-๘) กล่าวไว้ว่า การนิเทศการศึกษามุ่งพัฒนาคนคือครูและบุคลากร
ทางการศึกษาให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มุ่งพัฒนางานการสอนของครูให้ดีขึ้นมุ่งสร้างความสัมพันธ์ใน
ระหว่างผรู้ ว่ มงานและสร้างขวญั กำลังใจใหเ้ กดิ ขนึ้ แก่ผู้ปฏบิ ตั ิงาน
บริกส์และจัสท์แมน (Briggs and Justman, ๑๙๕๒ : ๕๓๙) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษามีความมุ่ง
หมายเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางอาชีพแก่ครู ส่งเสริมความเจริญงอกงามของครู ปรับปรุงการสอนของครู
ให้ดขี ึน้ ส่งเสรมิ แนะนำและสรา้ งความสมั พันธ์อันดรี ะหวา่ งโรงเรียนกับชมุ ชน
จากความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาของนักการศึกษาที่นำมากล่าวถึงข้างต้น จะเห็นว่าการ
นเิ ทศการศึกษามุ่งทจ่ี ะพัฒนาครูผู้สอนเป็นหลัก เนอ่ื งจากปรชั ญาของการนิเทศการศกึ ษามีความเชื่อว่าครูเป็น
องคป์ ระกอบทีส่ ำคัญท่สี ุดในกระบวนการจัดการศกึ ษา เพราะครเู ป็นผนู้ ำกระบวนการและองคป์ ระกอบอ่ืน มา
ใช้เพื่อให้เกิดผลการเรียนรู้แกเ่ ด็ก (วเิ วก สขุ สวสั ด์ิ, ๒๕๓๗ : ๑๓)
จึงสรุปได้วา่ การนิเทศการศึกษามีความมุ่งหมายเพื่อม่งุ ช่วยเหลือ แนะนำ ปรับปรุงและส่งเสริมครูให้
พัฒนาในด้านต่าง ๆ อย่างเต็มที่เพื่อที่จะเอาความสามารถของครูออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการ
สอนและการพัฒนาคุณภาพการศึกษา อันจะส่งผลต่อคุณภาพการเรียนการสอน ความเจริญก้าวหน้าของ
นกั เรียนและโรงเรยี นในทส่ี ุด
๓.๓ ความจำเปน็ ในการนิเทศภายในโรงเรียน
เหตุที่ต้องมกี ารนิเทศภายในโรงเรียน เกิดจากโรงเรียนประสบกบั สภาพปัญหาและความตอ้ งการท่จี ะ
พัฒนาการศกึ ษาให้ดีทีส่ ุด แต่การนเิ ทศจากภายนอกโรงเรียนไม่อาจตอบสนองต่อการแก้ปัญหาตรงตาม ความ
ตอ้ งการไดจ้ งึ จำเป็นตอ้ งใชร้ ะบบหรือวิธีการนเิ ทศภายใน
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (๒๕๓๓) ได้กล่าวถึงความจำเป็นของการนิเทศ
ภายในโรงเรยี นวา่
๒๒
๑. ศึกษานเิ ทศกม์ ีจำนวนจำกดั นเิ ทศได้ไมท่ ่วั ถึง
๒. สภาพปัญหาและความต้องการของโรงเรยี นแต่ละแหง่ แตกต่างกัน
๓. บุคลากรในโรงเรียนปัจจุบันมีศักยภาพสูง การนิเทศภายในจะช่วยกระตุ้นครูได้ และพัฒนา
ศักยภาพของตนเองได้สูงสดุ
๔. คุณภาพการศึกษาเกิดจากความร่วมมือและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในโรงเรียน การนิเทศ
ภายในจะสง่ เสริมและเรง่ ระดมความรว่ มมอื ได้ดีทสี่ ดุ
จุดมุ่งหมายของการนิเทศภายในโรงเรียน ในการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนจำเป็นต้องมี
จุดมุ่งหมายในการดำเนินงานเพราะจุดมุ่งหมายจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถมองเห็นแนวทางในการทำงาน
ซ่ึงจะช่วยให้การนิเทศบรรลผุ ล
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (๒๕๓๔ : ๙)ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการนิเทศ
ภายในโรงเรยี นไว้ดังนี้
๑. เปน็ การชว่ ยให้ครูผ้สู อนสามารถปรับปรุงตนเองและกิจกรรมการเรยี นการสอน
๒. สามารถพัฒนาพฤติกรรม บคุ ลิกภาพการสอนของครใู หด้ ขี ้ึน
๓. สนบั สนนุ ความร้คู วามสามารถของครูในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
๔. กำกบั ควบคมุ ติดตามผลการปฏบิ ัติงานของครูในการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งต่อเนอ่ื ง
๕. ส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกนั เป็นคณะ
๓.๔ หลักการนเิ ทศภายในโรงเรียน
หลักการและแนวคิดที่สำคัญของการนิเทศภายในโรงเรียน ผู้นิเทศต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลัก
การนิเทศอย่างถูกต้อง ตรงประเด็น มีระบบและขั้นตอนที่ชัดเจนในกระบวนการนิเทศกระบวนการนิเทศท่ี
เกิดขนึ้ ตอ้ งเกิดจากความรว่ มมือของคณะครูทุกคนท่ีปฏิบัติหนา้ ที่อยู่ในโรงเรียน และการนิเทศตอ้ งเป็นไปตาม
ค่มู ือการนเิ ทศภายใน กลุม่ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจดั การศึกษา สพป.สตลู พัฒนากระบวนการเรียน
การสอนของครู และการนิเทศการศึกษาควรมีการบริหารเป็นกระบวนการเชิงระบบ มีการวางแผนการ
ดำเนินงาน มีขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ถือหลักการมีส่วนร่วมในการทำงานมีความเป็นประชาธิปไตยมีการ
ดำเนินงาน อย่างสร้างสรรค์มีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอนสร้าง สภาพแวดล้อมในการทำงาน
ให้ดีขึ้น สร้างความผูกพันและความมั่นคงต่องานอาชีพ รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพครูให้มีความรู้สึก
ภาคภูมิใจในวชิ าชีพของตนเองพร้อมท่ีจะรับการพฒั นาอยา่ งต่อเนอ่ื ง
๓.๕ รปู แบบการนิเทศ เพอื่ พัฒนาสถานศกึ ษา
หลกั การนเิ ทศ มีดงั นี้
๑. การทำงานเป็นทีม ร่วมกับผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และชุมชนในการทำงาน
๒. การใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management) ให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางของการ
บริหารจัดการในการพฒั นาแบบองคร์ วม สู่การประกนั คุณภาพภายในของสถานศึกษา
๓. พัฒนาโรงเรยี นแบบมสี ว่ นรว่ ม (School Wide) ม่งุ เนน้ ให้โรงเรียนพฒั นาอย่างเป็นระบบกิจกรรรม
สำหรับการนิเทศการศึกษาในการที่จะช่วยให้ผู้รับการนิเทศมีความรู้ ความสามรถในการที่จะปฏิบัติงานได้
อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นที่ผู้นิเทศต้องจัดกิจกรรมการนิเทศให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ สำหรับ
กิจกรรมการนิเทศนำไปใช้ในการนเิ ทศภายในมี ๘ วธิ ดี ้วยกัน
๑. การประชมุ ก่อนเปิดภาคเรียนและหัวขอ้ ประชุมอยา่ งน้อยควรประกอบด้วย
๑.๑ การประเมนิ ผลงานในปี/ภาคเรยี นทแี่ ลว้ มา
๑.๒ ปญั หาอปุ สรรคในการดำเนนิ งานในปี/ ภาคเรยี นท่ีแลว้
๒๓
๑.๓ โครงการที่จะดำเนนิ งานในปี/ภาคเรียนต่อไป
๑.๔ การเตรยี มการเก่ียวกบั สอ่ื การเรยี นการสอน
๑.๕ การจดั ครเู ขา้ สอน
๑.๖ งานเร่งดว่ นที่ตอ้ งจัดทำ
๒. การสังเกตการสอนในหอ้ งเรยี น
๓. การศกึ ษาจากตำราเอกสาร
๔. การใหค้ ำปรกึ ษาหารอื
๕. การสนทนาทางวชิ าการ
๖. การสาธิตการสอน
๗. การพาครูไปศกึ ษาดูงาน
๘. การบรกิ ารเอกสารทางวชิ าการ
๓.๖ เทคนิควิธใี นการนิเทศ
วิธีการนิเทศภายในโรงเรียนมีหลายวิธี เช่น การเยี่ยมชั้นเรียน การสาธิตการสอน การประชุมกลุ่ม
การพบปะเป็นรายบุคคล การฝึกอบรม การผลิตเอกสารทางวิชาการ การค้นคว้าทดลอง การสังเกต ซึ่ง
ผู้บริหารจะต้องมีความรู้ความสามารถในงานนิเทศเป็นอย่างดีโดยเฉพาะการมีมนุษย์สัมพันธ์อย่างเพียบพรอ้ ม
แล้วงานนิเทศยอ่ มประสบความสำเร็จ
ปัญหาที่สำคัญ คือ เมื่อมีการนิเทศไปแล้วมกั ไม่มกี ารปฏิบัติตาม ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้ทำการนิเทศ
แนะนำวิธีที่ปฏิบัติยาก จึงไม่เต็มใจปฏิบัติตาม และวิธีการแก้ปัญหา คือ การทำความเข้าใจในจุดประสงค์ของ
การนิเทศให้ครไู ด้ตระหนักถึงความสำคญั ของการนเิ ทศ นอกจากนั้นผ้บู ริหารอาจมอบหมายให้หวั หน้าสายงาน
หัวหน้าฝ่ายมีส่วนร่วมในการนิเทศเพราะโดยปกติแล้วครูจะใกล้ชิดกับหัวหน้าสายงานหัวหน้าฝ่าย มากกว่า
ผบู้ ริหารโรงเรียน บรรยากาศของความเปน็ กนั เองจะมีมากขน้ึ
ยุทธศาสตร์การนิเทศภายในโรงเรียน การจัดการศึกษาในสถานศึกษามุ่งพัฒนานักเรียนเป็นคนดีเก่ง
มคี วามสขุ ทำประโยชน์ให้สว่ นรวม มคี ณุ ภาพตามเป้าหมายการจดั การศึกษาของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ความสำเร็จในการพฒั นาคณุ ภาพและบรหิ ารจดั การศึกษาของสถานศึกษาและ
สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา จำเป็นต้องมีการนเิ ทศซึ่งเป็นปัจจัยทีส่ ำคัญอยา่ งหนึ่งในกระบวนการดำเนินงาน
โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็น หลักการในการดำเนินงานการนิเทศคือการมีส่วนร่วมและ ทำงานอย่างเป็น
ระบบ
๑. การมสี ว่ นร่วมการนิเทศเป็นการทำงานร่วมกันระหวา่ งผู้นเิ ทศกับผรู้ บั การนิเทศทีม่ ีท้ังผรู้ ่วมคดิ ร่วม
ทำการชว่ ยเหลือพ่ึงพาด้วยปฏิสมั พนั ธอ์ ันดีต่อกัน ใหเ้ กียรตแิ ละจรงิ ใจต่อกัน ซง่ึ หลกั การทำงานดว้ ยหลักการ มี
ส่วนรว่ ม กอ่ ให้เกิดลกั ษณะการมีสว่ นรว่ มในการทำงานร่วมกัน ดังน้ี
๑.๑ การสรา้ งความสมั พนั ธท์ ี่ดรี ะหว่างผูน้ ิเทศกบั ผรู้ บั การนิเทศ
๑.๒ การสร้างเจตคติทดี่ ีตอ่ การนเิ ทศ
๑.๓ การกำหนดเป้าหมาย/ผลสำเร็จร่วมกัน
๑.๔ การพิจารณาบคุ ลากร/คณะบุคลากรร่วมรบั ผดิ ชอบ
๑.๕ การพิจารณา/หาวิธีการดำเนินงาน การกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกัน เพื่อสู่
เป้าหมายท่ตี ้องการ
๑.๖ การหาวิธีการเสรมิ แรงจูงใจใหร้ างวลั แก่ผ้ทู ำงาน
๑.๗ การกำหนดแนวทางการนเิ ทศภายในตดิ ตามประเมินผลการทำงานรว่ มกัน
๒๔
๒. การทำงานอยา่ งเป็นระบบ มขี ัน้ ตอนการทำงานทส่ี ำคญั ๕ ขน้ั ตอน คอื
๒.๑ วิเคราะห์ปัญหาตามต้องการจำเป็น
๒.๒ วเิ คราะหท์ างเลอื กในการแก้ปญั หา/พัฒนา
๒.๓ เลอื กทางเลอื กทเ่ี หมาะสมและวางแผน
๒.๔ ดำเนนิ การตามแผน
๒.๕ ประเมินผลการดำเนนิ งาน
๔. ความสําคัญของการพัฒนาครู
ครูเป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่จะส่งผลต่อคุณภาพการเรียนการสอนและคุณภาพของผู้เรียนคุณลักษณะ
ของครูในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นผู้ที่มีความรอบรู้มากขึ้น มีความเป็นมืออาชีพมีความสามารถและศักยภาพสูง
เป็นผู้ที่มนี วัตกรรมการสอนเพื่อให้นักเรียนได้ผลการเรียนรูท้ ี่ต้องการ และเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนใน
การเข้าสู่โลกของการทางานในศตวรรษที่ ๒๑ รักในอาชีพ มีชีวิตเรียบงา่ ย และมีจิตวิญญาณของความเป็นครู
มีการกำหนดสมรรถนะของครโู ดยภาพรวมประกอบดว้ ย
๑. ความรใู้ นเนอ้ื หาวชิ า
๒. การสือ่ สารและการใช้ภาษา
๓. การพัฒนาหลกั สตู ร
๔. การจัดการเรยี นรู้
๕.การจดั การเรียนรทู้ ่เี น้นผู้เรียนเป็นสําคญั
๖. การบรหิ ารจดั การช้ันเรียน
๗. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมทางการศกึ ษา
๘. การวดั และประเมนิ ผล
๙. การวิจัยเพอื่ พฒั นาการเรียนการสอน
๑๐. จติ วทิ ยาสาหรบั ครู
๑๑. การสร้างความสมั พันธ์กบั ชุมชน
๑๒. คุณธรรม จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชพี
๑๓.ภาวะผนู้ าํ และการทาํ งานเปน็ ทีม
๑๔.การพัฒนาตนเองและวชิ าชีพ
๑๕.การพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรยี น
มีการควบคุมคุณภาพการผลิตครู โดยการใชร้ ะบบการรับรองวิทยฐานะของสถาบันผลิตครู คัดคนเก่ง
ระดับหัวกะทิให้มาเป็นครูโดยกําหนดกลุ่มที่มีผลการเรียนสูงสุดเข้าเรียน และเข้าเป็นครู การยกย่องอาชีพครู
ว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูงเทียบเท่าอาชีพสำคัญๆ การได้รับการยอมรับ เชื่อถือ ไว้วางใจในระดับแนวหน้าของ
ประเทศ และมเี งินเดือนสูงระดับต้นๆเมื่อเปรียบเทียบอาชีพอ่ืนเช่น แพทย์ นกั กฎหมาย (สำนักงานเลขาธิการ
สภาการศกึ ษา, ๒๕๕๙ : ๑๐๖)
ไวท์ (Wright ๑๙๙๕ : ๑๑๒) กล่าวว่าการพัฒนาครูมีความสำคัญเพราะเชื่อว่า ครูเป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้
พัฒนาตนเอง และรับการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีกฎหมาย/นโยบายว่า ครูทุกคน
ต้องได้รับการพัฒนาจากหน่วยงานและพัฒนาตนเองทุกปี อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง และต้องเข้ารับการพัฒนา
อย่างต่อเนื่อง ครูบรรจุใหม่ต้องผ่านการอบรมตามโปรแกรมการอบรม เพื่อฝึกหัดการสอนและได้รับเงินเดือน
สูงระหว่างการอบรม ต้องพัฒนาตนเองภายใต้การกํากับดูแล ของศึกษานิเทศก์และผู้บริหาร และต้องผ่าน
๒๕
การทดลองงาน ๑ ปี ครูเก่าอายุงาน ๑๐ ปี ขน้ึ ไป ตอ้ งเข้ารับการพัฒนาดว้ ย โดยมอี งค์กรทําหน้าที่ด้านพัฒนา
ครูเป็นการเฉพาะ มีคูปองการพัฒนาให้ครูเข้ารับการพัฒนาตนเองตามความต้องการในแต่ละปี จาก
มหาวิทยาลัยที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ มีการสร้างเครือข่ายการพัฒนา มีระบบพี่เลี้ยง/ครูต้นแบบ (master
teachers) เพื่อช่วยครู การพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบและวิธีการต่างๆ ที่สอดคล้องกับ
สถานการณ์และผู้เรียน เช่น การทําห้องเรียนให้เป็นห้องทํางาน ทักษะปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ ทักษะ
การต้ังคาํ ถาม ทักษะการออกแบบการเรยี นรแู้ บบ active learning ทกั ษะการจัดกจิ กรรม ทกั ษะการให้ข้อมูล
ย้อนกลับแก่นักเรียนและเพื่อนครู ทักษะการเรียนรู้เป็นทีม ทักษะการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้เรี ยนแบบรู้จริง
ทักษะการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้กํากับการเรียนรู้ของตนเองได้ ฯลฯ มีระบบการนิเทศ ติดตามและพัฒนา
การทํางานของครูในชั้นเรียน การเรียนรู้และพัฒนาจากเพื่อนครู และการพัฒนาครูโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
นอกจากนั้น มกี ารสรา้ งครูจิตอาสา ชว่ ยสอน มีการพัฒนาการเรยี นการสอนของครู โดยเนน้ การสอนของครูให้
นอ้ ยลงและให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรแู้ ละนาํ ปฏิบตั ดิ ้วยตนเองมากข้ึน
เสลดนิ (Seldin ๑๙๙๑ : ๑๒๖) กล่าววา่ การใชค้ รู มีการกาํ หนดเง่ือนไขและคุณสมบัติของครูที่ผูกติด
กับคุณภาพทางการศึกษาและผู้เรียน ครูทุกคนต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูกําหนดให้ครูประถมศึกษา
อย่างน้อยต้องจบปริญญาตรี ระดับมัธยมศึกษาต้องจบสูงกว่าปริญญาตรีและมีความเชี่ยวชาญอย่างน้อยหน่ึง
วิชาในระดับทีส่ อน และต้องมีพืน้ ฐานความรู้ทางการศึกษาท่ัวไปและความรู้เฉพาะสาํ หรับวิชาชีพครู จิตวิทยา
ผู้เรียนและวัยรุ่น หลักและเทคนิคการสอน และประวัติศาสตร์ พื้นฐานการศึกษาและมีเวลาเพื่อการพัฒนา
วิชาชีพ ที่จะเป็นการยกระดับและการพัฒนาครูของต่างประเทศดังกล่าว เป็นบทเรียนหนึ่งที่สามารถนาไป
ประยุกต์และบูรณาการเพื่อการยกระดับคุณภาพครูทั้งในด้านการผลิต การพัฒนา และการใช้ครู เพื่อให้เกิด
การพฒั นาทกั ษะการจัดการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับศตวรรษที่ ๒๑ ภายใต้บริบทสังคมไทยตอ่ ไป
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่าครูเป็นผู้ที่มีความสําคัญยิ่งในการถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ เป็น
ผู้นําทางให้เยาวชนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เมื่อโลกเปลี่ยนไปเราต้องการให้เยาวชนรุ่นหลังมีลักษณะ
อยา่ งไรจดุ เร่ิมต้นของการถา่ ยทอดนําทางคอื ครู หากเราตอ้ งการใหเ้ ด็กเป็นอยา่ งไรเราจงึ ต้องมีการพัฒนาให้ครู
เป็นอย่างนั้น การพัฒนาครูจึงมีความสําคัญและจําเป็นที่ต้องมีการพัฒนาอยู่เป็นประจําและต่อเนื่องเพื่อให้
ทันตอ่ การเปล่ยี นแปลงของสังคมโดยรอบ
๕. รูปแบบการพัฒนาครู
การศึกษารูปแบบการพัฒนาครูและผลจากงานวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาครูและบุคลากร
ทางการศึกษาพบวา่ รูปแบบการพฒั นาครมู หี ลากหลายรปู แบบ สามารถสรปุ ได้ ดังต่อไปนี้
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (๒๕๕๑ : ๓๐) ได้กล่าวถึงรูปแบบการพัฒนาครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา วา่ มีแบบ ๖ รูปแบบ ได้แก่
๑. การเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยให้มีการจัดทําชุดการเรียนรู้ด้วยตนเองตามสาขาวิชาที่เป็นความรู้
พื้นฐานและความรกู้ บั ความตอ้ งการของท้องถิ่น ซ่งึ ครสู ามารถลงทะเบยี นเรยี นได้ตามความสนใจความต้องการ
และการปฏบิ ตั งิ านของครู
๒. การฝึกอบรมโดยการจัดทําหลักสูตรการฝึกอบรมประจําการและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อ
คํานึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสําคัญ รวมทั้งเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตามความต้องการ
ของครูและหน่วยงานตน้ สังกดั สําหรับวิธีการฝกึ อบรมนั้นจะดาํ เนินการทัง้ ในรูปแบบการมีห้องเรียนหรือแบบ
ทางไกล
๒๖
๓. การศึกษาดูงานเป็นการมุ่งเน้นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ใหม่กับการศึกษาดูงานเพ่ือ
นํามาปรับปรงุ และแก้ปัญหาการปฏิบัติงานในหนา้ ท่ีของครู
๔. การศึกษาตอ่ เปน็ การส่งเสริมให้ครูทกระดับมีวุฒิทางการศึกษาอยา่ งต่ําระดับปริญญาตรีและสูงข้ึน
เพอื่ ให้สอดคลอ้ งกับการเปล่ยี นแปลงโดยเนน้ ท่ีพฒั นาตามสาขาวชิ า
๕. การเขา้ รว่ มกิจกรรมวชิ าการเป็นการจัดกจิ กรรมวชิ าการที่หลากหลายสอดคล้องกบั ความสนใจและ
การปฏบิ ัติงานในหนา้ ท่ีของครู
๖. การแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ระหว่างสถาบันฝึกอบรมกับสถานศึกษา เป็นการจัดให้มีโครงการ
แลกเปลี่ยนครูอาจารย์ระหว่างสถาบันฝึกหัดครูกับสถานศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้ครูในสถานศึกษามา
ปฏบิ ัติงานในสถาบันฝึกหัดครู
มณนิภา ชุติบุตร (๒๕๕๓ : บทคัดย่อ) ได้ทําการวิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาคุณภาพครูด้วยวิธีเสริม
พลัง รูปแบบการพัฒนามี ๔ องค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ ๑. อบรม ๒. การเป็นพเ่ี ลย้ี ง ๓. การชีแ้ นะ และ ๔. การ
นิเทศ
วิสุทธิ เวียงสมุทร (๒๕๕๓ : บทคัดย่อ) ได้ทําการวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูในการ
เรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ ๑-๒ แบบพัฒนาครูประกอบด้วยกระบวนการ ๗ ขั้นตอน
ได้แก่ ๑. ศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหา ๒. นําพาสู่แนวทางแก้ไข ๓. ก้าวไกลเพิ่มพูนความรู้ของครู ๔. ลงสู่การ
ปฏิบัติจริงนั้นชั้นเรียน ๕. พากเพียร นิเทศ ติดตามประเมินผล ๖. บุคลากรทุกคนร่วมชื่นชม และ๗. เน้นการ
สรา้ งเครือข่ายร่วมใจพฒั นา ส่วนท่ี ๒ รูปแบบการพัฒนาครู ประกอบดว้ ย ๑. การประชมุ เชิงปฏิบัติการท่ียึดผู้
เขา้ อบรมเปน็ สําคัญโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน ๒. การจดั ต้ังเครือขา่ ยครแู ละพัฒนาเครือขา่ ยครใู หเ้ ป็นองค์กรแห่ง
การเรียนรู้ และ ๓. การติดตามนิเทศประเมินผลงานโดยการส่งเสริมให้ครูประเมินตนเองและรายงาน
การปฏิบัตงิ านต่อผบู้ ริหาร
ชัชวาล เจรญิ บุญ (๒๕๕๓ : ๑๕) ได้ทาํ การวจิ ัยเรอ่ื ง รปู แบบการพฒั นาครูเพ่ือส่งเสริมการจัดการเรียน
การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญของครูผู้สอนในจังหวดั มหาสารคาม ได้ใช้ ๓ กิจกรรม เป็นรูปแบบการพัฒนา
ครู ได้แก่ การอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารผลติ สือ่ นวตั กรรม การศกึ ษาดูงานและการประชุมทบทวนความรู้
ไอสันและบอนเวล (Eison ; & Bonwell ๑๙๙๓ : ๖) ได้ทําการวิจัยรูปแบบที่ประสบผลสําเร็จของ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาครูโดยมีวัตถุปะสงค์เพื่อศึกษารูปแบบที่ดีที่สุดของการพัฒนาครู เป็นรูปแบบที่มี
การสนับสนุนให้ครูทํางานอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนมีการวางแผนด้วยตนเอง มีความสําเร็จตามรูปแบบซึ่งมี
องค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ ๑.ศึกษาผลการปฏิบัติงานที่ดีที่สุด ๒. เข้าใจความสัมพันธ์แนวปฏิบัติของตนเองกับ
แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ๓.กําหนดแผนปฏิบัติการของตนเอง ๔. ดําเนินการตามแผน ๕. ประเมินผลด้วยตนเอง
๖.แสดงผลหรอื แก้ไขผลการดาํ เนนิ งาน และ ๗. ประชมุ แลกเปล่ยี นเรียนรูร้ ่วมกัน พบว่าครมู ีการพัฒนาตนเอง
หลังจากศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสมาชิกแต่ละกลุ่มทราบความก้าวหน้าของตนเองผ่านรูปแบบที่ประสบ
ผลสําเร็จเป็นระยะๆ มากกว่ารับทราบทางเอกสาร นอกจากนั้นผลการวิจัยทําให้ทีมพัฒนาครูได้ตระหนักถึง
การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ระหว่างครู กระบวนการสะท้อนผลการปฏิบตั ิงานของตนเอง
เบน (Bean ๑๙๙๖ : ๑๐๕) ไดเ้ สนอแนวทางการยกระดบั คุณภาพการศึกษาโดยการยกระดบั คุณภาพ
ครูในโรงเรยี น ไวด้ งั ต่อไปนี้
๑. ยกระดบั การฝึกอบรมครูก่อนประจําการโดยสถาบันผลิตครู
๒. การผลิตและการบรรจุครูจะต้องสะท้อนดุลยภาพระหว่างครูในแต่ละรายวิชา ระหว่างครูที่มี
ประสบการณ/์ ด้อยประสบการณ์ และครใู นชนบท/ครใู นเมอื ง
๒๗
๓.ฝึกอบรมครูประจําการอย่างต่อเนื่อง เท่ากับเป็นการจัดการศึกษาตลอดชีพให้กับทุกคนที่อยู่ใน
อาชพี ครู ท้งั เปน็ การเพ่มิ ขีดความสามารถในการสอนของครทู ั้งภาคทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ัติ
๔. ควรมีการพิจารณาสภาพการทํางานของครูในด้านต่างๆ เช่น จํานวนนักเรียนในชั้นเรียนเวลาท่ี
สอนต่อวันและวัสดุอปุ กรณ์ต่างๆ
พุทนามและบอรโค (Putnam; & Borko ๑๙๙๗ : ๘๗) การพัฒนาสู่ครูมืออาชีพโดยใช้รูปแบบให้ครู
เสนอแนะซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ มีการสะท้อนผลการทํางาน โดยพบว่าครูเป็นตวั จัดการ
สําคัญในการปฏิรูปการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง การปฏิรูปจะไม่มีวนั สําเร็จได้ถ้าไม่ได้รับความร่วมมอื และการมีส่วน
รว่ มอยา่ งเขม้ แข็งและเสยี สละของครู ในขณะท่ีโลกภายนอกรกุ เร้าเขา้ มาในโรงเรียนมากข้ึน บางครง้ั ครูก็ตกอยู่
ในภาวะทเ่ี หมือนกับถกู เรียกร้องมากเกินไป ในการสอนของครูเปน็ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมเดย่ี วของแต่ละคนซึ่งบาง
คนก็จะรู้สึกว่าโดดเดี่ยวแก้ปัญหาไม่ว่าหนักหรือเบาอยู่คนเดียวและยังมีความคาดหวังของระบบการศึกษาท่ี
ซ่อนเร้นคําวิพากษ์วิจารณ์ที่มักไม่ค่อยยุติธรรม พุ่งเป้ามาที่ตัวครู จากการเรียกร้องว่าครูจะต้องเป็นผู้มีความ
สามารถเป็นครูมืออาชีพและอุทิศตนต่อภาระหน้าที่อย่างเต็มที่จึงเป็นผลให้ครูต้องมีภาระรับผิดชอบมากมาย
ยิ่งปริมาณการศึกษาขยายเพิ่มขึ้นมาก นกั เรยี นในแต่ละช้ันมจี าํ นวนมากขึ้นจนล้นห้อง ขาดงบประมาณและส่ือ
อปุ กรณท์ ี่เหมาะสม โรงเรียนจาํ นวนหนึง่ ขาดแคลนครูบางแห่งไม่มีครสู อนเฉพาะวชิ าบรรดาครูจึงต้องเผชิญกับ
ความจริงที่ว่าจะไม่สามารถอาศัยสิ่งที่เรียนมาตั้งแต่ต้นได้ไปจนตลอดชีวิต แต่จะต้องแสวงหาความรู้และ
เทคนิคต่างๆที่ทันสมัยและต้องปรับ- ปรุงอยู่เสมอ ดังนั้น จึงควรปฏิรูปคุณภาพของครูให้ได้ก่อน เพราะเป็น
ปจั จยั สาํ คัญท่ีส่งผลตอ่ การปฏิรปู กระบวนการเรยี นรขู้ องนกั เรียนอย่างไดผ้ ล
เบรย์ (Bray ๒๐๐๓ : ๑๒๐-๑๒๓) ได้นําเสนอรปู แบบการพัฒนาครไู ว้ ๕ รปู แบบ ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. รูปแบบการพัฒนาที่เกิดจากความต้องการของครูเอง (Individually Guided) รูปแบบนี้ เชื่อว่า ครู
คือผู้ที่จะกําหนดความต้องการจําเป็นในการพัฒนาตัวเขาเองที่ดีที่สุดและสิ่งที่จะพัฒนานั้นต้องมีความ
เกี่ยวข้องกับประสบการณ์การเรียนรู้โดยตรง ดังนั้นขั้นตอนการพัฒนาครูตามรูปแบบนี้จะเริ่มด้วยการระบุ
ความต้องการจําเปน็ (Needs) แล้วมีการปฏิบัติงานเพื่อบรรลุผลตามแผน (Plan) เพื่อการบรรลุความต้องการ
จาํ เป็นน้นั แล้วมีการปฏบิ ัติงานเพอ่ื บรรลตุ ามแผน (Accomplish the Plan) และการประเมินผลงานตามแผน
(Evaluation)
๒. การสังเกตและการประเมิน (Observation and Assessment) โดยให้โอกาสครูได้สังเกตและมี
ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) กับเพื่อนครูซึ่งจะส่งผลดีทั้งต่อผู้สังเกตและผู้ถูกสังเกต โดยใช้วิธี Peer
Coaching, Team Building และ Collaboration Clinical Supervision
๓. การมสี ว่ นเกี่ยวข้องในกระบวนการพัฒนา (Involvement in a Development Process) รูปแบบ
นี้เชื่อว่าครูในฐานะเป็น “ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่” จึงต้องการที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้อง
กับความสนใจในงานของเขา และเช่อื วา่ ครูอย่ใู นฐานะทจี่ ะเป็นผูก้ ําหนดแนวทางแก้ไขปัญหานั้นไดด้ ที ีส่ ุด โดย
ความเชื่อเช่นนี้จะทําให้ครูมีลักษณะกลายเป็นผู้วิจัยเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยจะเริ่มจากการกําหนดปัญหา
การหาทางเลือกที่เป็นไปได้เพื่อการแก้ปัญหา การรวบรวมข้อมูลหรือศึกษาปัญหาที่กําหนด การพัฒนาแผน
ดําเนินงานจากข้อมูลที่ศึกษาได้ การดําเนินการแก้ปัญหาและการประเมินผลการดําเนินงานตามแผน เพื่อ
นําไปส่กู ารปรับปรงุ หรอื การเปล่ียนแปลงแผน การดําเนินงานนั้นอีก
๔. การฝึกอบรม (Training) เป็นรูปแบบท่ีใช้กันค่อนข้างมาก แต่ก็มีลักษณะเป็น การถ่ายทอดความรู้
(Transforming) เป็นการเปลีย่ นแปลงที่เกิดจากการกระทําภายนอกซึง่ มกั พบใน การนาํ เอาทกั ษะการเรียนรู้ที่
ได้จากการฝึกอบรมไปส่กู ารปฏบิ ัติจริงในหอ้ งเรยี น และ
๒๘
๕. รูปแบบการสืบเสาะคน้ หา (Inquiry) ซึ่งอาจใชไ้ ด้กบั ทั้งรายบุคคลหรือกับรายกล่มุ เป็นรูปแบบที่มุ่ง
ให้ครูได้ศึกษาเพื่อเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาหารเรียนการสอนในห้องเรียนหรือปัญหาของโรงเรียน โดยอาจใช้
วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) หรือวิธีการวางวงจรคุณภาพ (Quality Circles) หรือวิธีการ
บริหารคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management)
๖. แนวคิดเกยี่ วกบั การชแ้ี นะสอนงานและการเปน็ พ่ีเลี้ยง (Coaching and Mentoring Supervisor)
๖.๑ การช้แี นะสอนงาน (Coaching)
๖.๑.๑ ความหมายของการช้ีแนะ
เฉลิมชัย พันธ์เลิศ (๒๕๔๙ : ๒๓) สรุปไว้ว่า การชี้แนะเป็นการดำเนินการที่เน้นปฏิสัมพันธ์
แบบรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย ที่ผมู้ ีหนา้ ท่ีช้แี นะไดช้ ่วยเหลือใหผ้ รู้ ับการชีแ้ นะสามารถจดั ระบบความคิดทบทวน
การทำงานท่ีผา่ นมาและแสวงหาแนวทางในการพฒั นางาน/แกป้ ัญหาการทำงานด้วยตนเอง
ธัญพร ชื่นกลิ่น (๒๕๕๓ : ๕๒) สรุปการโค้ช หมายถึง รูปแบบหนึ่งของการนิเทศการสอน ซึ่ง
เป็นกระบวนการร่วมมือระหว่างผู้ร่วมงานที่มีประสบการณ์ทัดเทียมกัน ร่วมกันพัฒนาการจัดการเรียนรู้และ
การปฏบิ ัตงิ านเพื่อใหผ้ ู้เรยี นมีคณุ ภาพตามเป้าหมาย
อรพรรณ บตุ รกตัญญู (๒๕๔๙ : ๓๖)ได้สรปุ วา่ การช้แี นะ หมายถงึ การใหค้ วามช่วยเหลือและ
จัดกิจกรรมต่างๆของผู้ชี้แนะที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงทางความคิดจากสภาพที่เป็นอยู่ไปสู่
สภาพที่พึงปรารถนาผ่านกระบวนการทางปัญญาด้วยการสร้างความไว้วางใจและการใช้เครื่องมื อทางภาษาใน
การก่อรูปทางความคิดและการพัฒนาศักยภาพในการแก้ปัญหาด้วยตนเองของผู้รับการชี้แนะ กระบวนการ
ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำของผู้ชี้แนะทีม่ ีความรู้ ความเข้าใจและมองเห็นแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาครูแต่ละ
คนและกลุ่มการเรียนรู้ และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างเพื่อนครูที่มคี วามรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์
มากกว่า โดยเนน้ การใหค้ วามชว่ ยเหลือเพื่อมอบอำนาจใหค้ รูได้มีแนวทางในการพฒั นาดว้ ยตนเอง
สรุปไว้วา่ การช้ีแนะเปน็ การให้ความชว่ ยเหลือแบบรายบุคคลหรือกลมุ่ ย่อยของผู้มีหน้าท่ีชี้แนะ
มตี อ่ ผู้รับการชแ้ี นะใหส้ ามารถจัดระบบความคดิ ทบทวนการทำงานท่ีผ่านมาและแสวงหาแนวทางในการพัฒนา
งาน/แกป้ ญั หาการทำงานด้วยตนเองผา่ นกระบวนการทางปัญญา
๖.๑.๒ ลกั ษณะสำคัญของการช้ีแนะ
อรพรรณ บตุ รกตญั ญู (๒๕๔๙ : ๓๖-๓๗)ไดร้ ะบุลักษณะสำคัญของการชีแ้ นะไว้ดงั นี้
๑. การชี้แนะเป็นกระบวนการ (process) ที่ต้องการการเรียนรู้การฝึกฝนการทำซ้ำและใช้เวลา
เป็นกระบวนการที่บุคคลเสริมพลังอำนาจให้กับตนเพราะบุคคลจะพัฒนาความรู้ทักษะผ่านสื่อต่างๆอย่างมี
อัตราต่างกัน การนำไปใช้ (application) และการสะท้อน (reflection) จึงจำเป็นต้องมีขึน้ หลักการทำงานทุก
ขน้ั ตอน
๒. การชี้แนะเป็นการเสริมพลังอำนาจ (empowerment) เป็นการถ่ายโยงความรู้ทักษะ และ/
หรอื คณุ คา่ และทัศนคตจิ ากผูช้ ้ีแนะไปสู่ผู้เรียน ผ่านความสัมพันธใ์ นการช้ีแนะผู้เรียนสามารถแสดงให้เห็นงาน
ใหม่ที่ดีกว่าที่กำลงั ทำอยู่ หรือทำอะไรที่แตกต่างออกไป หรือแสดงออกในระดับความสามารถที่สูงข้ึน ผู้ชี้แนะ
อาจชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นสามารถเชื่อมความรู้และทักษะเข้ากับความมงุ่ มั่นพยายามเพื่อใหง้ านสำเร็จอยา่ งเหมาะสม มี
ความเชือ่ ม่นั ในความสามารถของตนท่จี ะทำงานใหส้ ำเร็จ
๓. การชี้แนะเป็นความสัมพันธ์ (relationship) การชี้แนะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือผู้
ชี้แนะกับผู้เรียน การชี้แนะที่ประสบความสำเร็จต้องอยู่บนพื้นฐานการไว้วางใจ การยอมรับ และเคารพให้
เกยี รติกัน ใหค้ วามสำคัญกบั การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมหรอื การเรียนรู้ส่ิงใหมเ่ ป็นอันดบั รองลงไป
๒๙
๔. การชี้แนะเป็นการเปลี่ยนผ่าน (transformation) ผลของการชี้แนะคือ การทำให้ผู้เรียน
สามารถแสดงออกถึงความสามารถในระดับท่ีสูงขึ้นหรือสมบูรณ์มากขึน้ สามารถทำอะไรที่ต่างออกไป จัดการ
กับการเรียนรขู้ องตนเองในระดับท่ีซบั ซ้อนขึ้น ซงึ่ เรยี กวา่ meta-learning
๖.๑.๓ รปู แบบการชแี้ นะ
เฉลิมชัย พนั ธเ์ ลศิ (๒๕๔๙ : ๒๓-๒๔) ไดป้ ระมวลรปู แบบการช้แี นะเพื่อให้นักการศึกษาเลือกใช้ได้
ตามความเหมาะสม ดงั นี้
๑. การชี้แนะเชิงเทคนิค(technical coaching) เป็นการชี้แนะที่ Garmston(๑๙๘๗) อธิบายไว้
วา่ การชว่ ยเหลือให้ครสู ามารถถ่ายโยงสิ่งทีเ่ รียนรู้จากการอบรมไปสู่การปฏบิ ตั ิในชน้ั เรยี น ด้วยการช่วยเหลือท่ี
เข้มข้น การสนทนาเรื่องวิชาชีพ (professional dialogue)… รูปแบบนี้ Joyce และ Showers ได้พัฒนา
รูปแบบนี้ขึ้นใช้ในโรงเรียน โดยผู้ชี้แนะไปสังเกตการสอนแล้วประชุมพูดคุยช่วยให้ครูได้เชื่อมโยงสิ่งที่ได้อบรม
มาสู่การปฏิบัติ วิธีการที่ผู้ชี้แนะใช้ ได้แก่ การให้ข้อมูลป้อนกลับ(technical feedback) การวิเคราะห์สภาพ
การปฏิบตั ิในชั้นเรียน และการช่วยเหลือครเู ปน็ รายบคุ คล
๒. กลุ่มเรียนรู้เพื่อนชี้แนะ (peer coaching study teams) ในปี ๑๙๙๐ Joyce และShowers
ได้พัฒนารูปแบบเพื่อนชี้แนะ โดยให้ครูในโรงเรียนได้รวมกันเป็นทีมเรียนรู้ สมาชิกแต่ละคนปรับเปลี่ยน
การเรยี นการสอนของตน และสนบั สนุนการเปลี่ยนแปลงเพื่อครูดว้ ยกันเปน็ รูปแบบทีไ่ ม่ได้จดั ให้มีการให้ข้อมูล
ป้อนกลบั แต่กัน ผลการดำเนนิ การพบวา่ การนำยทุ ธวธิ ใี หมไ่ ปใชเ้ ปน็ ไปดว้ ยดี และนกั เรียนพฒั นาดขี ้ึน
๓. การชี้แนะแบบกลุ่ม (team coaching) รูปแบบนี้ได้บูรณาการเพื่อชี้แนะเข้ากับการสอน
ร่วมกัน (co-teaching) คล้ายกับรูปแบบของ Joyce และShowers มีเป้าหมายเพื่อการนำทักษะที่ได้เรียนรู้
จากการฝกึ อบรมมาใช้ในช้นั เรยี น ผ้ชู ้ีแนะเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญในการสอนนำครใู นการวางแผน ปฏิบตั ิการสอน และ
ประเมนิ บทเรยี น
๔. การชี้แนะทางปัญญา (cognitive coaching) Costa และ Garnston (๑๙๙๔) ได้พัฒนา
รูปแบบนี้ขึ้นเพื่อให้ครูได้พัฒนาทักษะทางสติปัญญาไปจนถึงระดับที่สามารถกำกับ วิเคราะห์ และประเมิน
ตนเองได้ โดยช่วยเหลือครูในการตัดสนิ ใจวางแผนการสอน การสะท้อนการเรียนรู้ และนำไปใช้ มีระดับขั้น ๓
ข้ันตอน คือ การประชุมวางแผน การสังเกตการเรียนการสอนและการประชุมสะทอ้ นการเรยี นรู้
๕. การชแ้ี นะแบบรว่ มพฒั นา (responsive coaching) เปน็ การชแ้ี นะท่ีมเี ป้าหมายเพ่อื ชว่ ยเหลือ
ครูในการปรับปรุงการเรียนการสอน แต่ไม่มีเป้าหมายเฉพาะ เนื่องจากขึ้นอยู่กับความสนใจ เป้าหมาย และ
ปญั หาของครแู ต่ละคน ซึง่ บางคนเรยี กรปู แบบน้ีว่า collegial coaching จากการศึกษาพบว่ามนี ักวิชาการและ
ผู้ทรงคุณวฒุ ไิ ด้ให้ความหมายของระบบพ่เี ลย้ี งในองค์กร (Mentoring) ไว้หลายทัศนคติดงั นี้
วรรณวรางค์ ทัพเสนยี ์ (๒๕๕๓ : ๖) ได้ใหค้ วามหมายของระบบพ่ีเล้ยี งในองค์กรว่า (Mentoring)
การเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) เป็นการให้ผู้ท่ีมคี วามรู้ความสามารถหรอื เปน็ ท่ียอมรบั หรือผู้บริหารในหน่วยงานให้
คำปรกึ ษาและแนะนาชว่ ยเหลือรนุ่ น้องหรือผทู้ ี่อยู่ในระดับตำ่ กว่า (Mentee) ในเรือ่ งที่เป็นประโยชน์ต่อการทำ
งานานเพือ่ ใหม้ ีศกั ยภาพสงู ขึ้น
ยอดหทัย เทพธรานนท์ (๒๕๕๒ : ๒๘) ได้ใหค้ วามหมายของระบบพี่เลี้ยงในองค์กรว่าพ่ีเล้ียงซึ่งก็
ใกล้เคียงและสื่อความหมายพอใช้ความจริงสังคมไทยเราใช้คาว่าพี่เลี้ยงมานานแล้วเช่นพี่เลี้ยงนักกีฬาพี่เลี้ยง
นักมวยหรือแม้กระทง่ั พีเ่ ล้ียงทีเ่ ลี้ยงเด็กตามบ้านอยา่ งไรก็ตามเราเพ่งิ จะใชค้ าวา่ พ่ีเลย้ี งในวงการศึกษา และวิจัย
เม่ือไม่นานมานี้เอง คาดั้งเดิมที่ใช้ในสถาบันการศึกษาและมีความหมายคล้ายๆกันคือ“adviser” ซึ่งภาษาไทย
ใช้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาความจริงแล้ว ”adviser” และ“mentor” มีความแตกต่างกันอยู่บ้างโดย “mentor”
จะทำหน้าที่ “mentoring” คือให้คาปรึกษาแนะนาในเรื่องต่างๆอย่างใกล้ชิดช่วยเหลือให้กาลังใจเป็นพิเศษ
๓๐
เปน็ ส่วนตวั มากกวา่ มุง่ เนน้ ให้คนท่ีอยู่ภายใต้การดูแลมีความแขง็ แกรง่ เชือ่ ม่ันในตัวเอง สามารถทำงานานได้เอง
ตามลาพังและประสบความสำเร็จดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ซึ่งผิดกับ “adviser” ซึ่งทำหน้าที่ ”advising” ซึ่งมี
ลักษณะออกไปในทำงานให้คาปรึกษาคาแนะนาตามหน้าที่ไม่มีจิตใจผูกผันใดๆน้ันทำให้เห็นชดั ว่าอาจารยบ์ าง
คนเป็น“adviser” ได้แต่เป็น“mentor”ไม่ได้ในที่นี้จะกล่าวถึง“mentor”และ“mentoring”ในวงการศึกษา
ดงั นั้น ถ้ากล่าวถงึ อาจารยท์ ีป่ รกึ ษาขอใหเ้ ขา้ ใจวา่ หมายถงึ อาจารยท์ ี่ปรึกษาทีท่ ำหน้าท่เี ป็นพเ่ี ลี้ยงด้วย
Mavuso, Michael Abby (๒๐๐๗ : ๙) ไดใ้ หค้ วามหมายของระบบพีเ่ ล้ียงในองค์กรวา่ เป็นระบบ
ที่เกิดจากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพนักงานที่มีประสบการณ์มากกวา่ กับพนักงานทีม่ ีประสบการณน์ ้อยกว่าโดยพ่ี
เลี้ยง หรือผู้ที่มีประสบการณ์สูงจะทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาแนะนำสอนงานและสนับสนุนการพัฒนา
ศักยภาพในการทำงานให้กบั พนกั งานที่อ่อนประสบการณ์
๖.๑.๔ ขั้นตอนการทำระบบพเี่ ลีย้ งในองคก์ ร
โสภณ ภ่เู กา้ ล้วน (๒๕๕๗ : ๑๕) ได้อธบิ ายขั้นตอนการทำระบบพีเ่ ล้ยี งไว้ดังน้ี
๑. การวางแผนการเป็นพี่เลี้ยงต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทั้งพี่เลี้ยง และ
ผู้เรียนเพิ่งได้มีโอกาสมาพบกันใหม่จึงต้องใช้เวลาของทั้งสองฝ่ายในการเตรียมตัว เตรียมคิดเตรียมการ
แสดงออก และเตรียมประเด็นต่างๆให้พร้อมเพื่อที่จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และเกิดประโยชน์แด่
สองฝ่ายทั้งนีไ้ ม่ได้หมายความวา่ จะตอ้ งเคร่งเครียดในการวางแผนจดั ทำอย่างเปน็ ทำงานการจนมากเกินไปแต่
ให้ทั้งพี่เลี้ยงและผู้เรียนได้คำนึงถึงสิ่งสำคัญๆเช่นแต่ละคนมีพื้นฐานมาอย่างไรขณะนี้แต่ละคนรู้สึกอย่างไร
รวมถึงในฐานะที่เป็นพี่เลี้ยงเราจะสามารถให้อะไรแก่ผู้เรียนของเราได้บ้างตลอดจนจะเตรียมความช่วยเหลือ
ผเู้ รียนในด้านใดบา้ ง
๒. การสร้างความสัมพันธภาพและทำข้อตกลงในกระบวนพี่เลี้ยงนั้นทั้งพี่เลี้ยงและผู้เรียนต่าง
ต้องเปน็ ห้นุ สว่ นความสำเร็จซ่ึงกนั และกันเขา้ ในใจประสบการณท์ ี่ต่างกนั และปรับจริตการเรียนรู้เข้าหากันเพ่ือ
สร้างความไว้วางใจเชื่อมั่นซึ่งกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่เลี้ยงและผู้เรียนมีความแตกต่างกันมากๆใน
เรื่องเพศอายุวัฒนธรรมจริตการเรียนรู้ทัศนคติและวิธีคิดในการทำงานทั้งสองฝ่ายไม่ควรด่วนสรุปใน การ
ตั้งเป้าหมายกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีในกระบวการเป็นพี่เลี้ยงมากเกินไปอาจจำเป็นต้องตกลงกันใน
รายละเอยี ดแม้กระท้ังสรรพนามท่ีใชเ้ รียกขานกนั การประชุมเพ่อื การวางแผนและทำความเขา้ ใจซึ่งกันและกัน
ในสองคร้ังแรกควรห่างไมเ่ กินสปั ดาห์ในกรณีการเปน็ พ่ีเลีย้ งอยา่ งเป็นทำงานการน้ันผู้ประสานงานกลาง จะทำ
หน้าที่เชือ่ มโยงการวางแผนและการจัดประชมุ ระหว่างพีเ่ ลีย้ งกบั ผู้เรียนตลอดจนจัดให้มีการพบปะสังสรรค์กัน
ระหว่างกล่มุ พเ่ี ลี้ยงและกลุ่มผูเ้ รียนเป็นบางคร้งั คราวดว้ ย
๓. การพัฒนาผู้เรียนและการักษาความสัมพันธ์อันดี ในกระบวนการเป็นพี่เลี้ยงทั้งสองฝ่ายคือ
ฝ่ายพ่เี ล้ยี งและฝ่ายผเู้ รียนต่างกจ็ ะได้ การพฒั นาให้เลือกการกำหนดเป้าหมายในกระบวนการเป้าหมายในการ
พัฒนาทักษะเป้าหมายในการเพ่ิมพนู การเรยี นรู้ และเป้าหมายในการปรับเปลย่ี นทัศนคติซงึ่ พ่ีเล้ียงต้องกำหนด
ไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นและผู้เรยี นตอ้ งเขา้ ใจและยอมรับขั้นตอนในการพัฒนาผู้เรียนรูแ้ ละรักษาความสัมพนั ธ์
อนั ดเี ปน็ ข้นั ตอนท่ยี าวท่ีสุดเนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ให้พ่เี ลีย้ งชว่ ยให้ผู้เรยี นพัฒนาไปสคู่ วามสำเร็จตามเป้าหมาย
ที่กำหนดทั้งสองฝ่ายจึงต้องร่วมกันเลือกกิจกรรมหรือแม้แต่โครงการที่จะทำร่วมกันเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ทักษะและทัศนคตขิ องผูเ้ รยี น
๔. การสิ้นสุดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการการสิ้นสุดความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งใน
กระบวนการพ่ีเล้ยี งเน่ืองจากมติ รภาพหรือความสมั พันธ์ที่จบลงอย่างเป็นทำงานการจะทำให้ทั้งสองฝ่ายสิ้นสุด
พันธะที่มีต่อกันและมีความสมั พันธ์ไปเปน็ เพื่อนรว่ มงานเป็นมิตรที่จะใหค้ วามช่วยเหลือซ่ึงกันและกนั จาก การ
วิจัยพบว่าคู่พีเ่ ล้ียงและผู้เรียนคูใ่ ดที่ไม่ดำเนินงานจบความสัมพันธ์จะทำให้ทั้งสองฝา่ ยเกิดการกระอักกระอ่วน
๓๑
ใจในการพบปะสนทนาหรือการแลกเปล่ียนความคิดเหน็ จนเป็นผลเสยี ต่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายในงานเลี้ยง
หรือรับประทานอาหารร่วมฉลองความสำเร็จทั้งสองฝ่ายอาจจะมีการแลกความประทับใจที่ได้ตั้งใจเขียนเพ่ือ
ขอบคุณซึ่งกันและกันอาจมีภาพถ่ายที่เคยทำกิจกรรมการเรียน การสอนมาด้วยกันเพื่อยืนยันว่าเคยได้ทำงาน
รว่ มกันและจากกนั ดว้ ยความพงึ พอใจท้ังสองฝ่าย
๖.๑.๕ ประโยชน์ของการทำระบบพเี่ ลย้ี งในองค์กร
อญั ชลี ธรรมะวิธกี ลุ (๒๕๕๘) ได้กลา่ วถงึ ประโยชน์ของการทำระบบพ่เี ลีย้ งในองค์กรไว้ดงั นี้
๑. สรา้ งกลุ่มคนท่มี คี วามสามารถมศี ักยภาพได้เรว็ กว่าพนกั งานปกติ
๒. จูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีและมีศักยภาพในการทำงานสูงให้คงอยู่กับ
หน่วยงาน
๓. กระตุ้นให้ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านสรา้ งผลงานมากข้ึนพร้อมทจ่ี ะทำงานานหนักและท้าทายมากขนึ้
๔. สร้างบรรยากาศการนาเสนองานใหม่ๆหรือความคดิ นอกรอบมากขน้ึ
๕. สร้างระบบการสื่อสารแบบสองช่องทำงาน (Two Way Communication) ระหว่าง
MentorและMenteeหวั หนา้ งานในฐานะ Mentor เพอ่ื เพมิ่ ประสิทธภิ าพในการทำงานานของทมี ไดม้ ากขนึ้
๖.๒ การเป็นพ่ีเลีย้ ง (Mentoring)
๖.๒.๑ ความหมายของการเปน็ พีเ่ ล้ยี ง
สมปรารถนา ประกัตฐโกมล (๒๕๕๐ : ๗) สรุปไว้ว่า คุณลักษณะของการเป็นพี่เล้ียง หมายถงึ
ผู้ที่มีทัศนคติที่ดี สามารถแสดงออกถึงความมีมนุษยสัมพันธ์ สามารถสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลได้
ขณะเดียวกันต้องเป็นผู้ที่มีทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านการปฏิบัติงานและสังคม ที่พร้อม
ถ่ายทอดใหก้ บั ผทู้ มี่ ปี ระสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญนอ้ ยกว่าได้ สามารถสนบั สนนุ ผู้อน่ื ไดอ้ ย่างเปดิ เผย
เฉลิมชัย พันธ์เลิศ (๒๕๔๙ : ๑๙) สรุปว่า การเป็นพี่เลี้ยง เป็นการพัฒนาบุคลากรที่เน้น
ความสมั พนั ธ์แบบหนง่ึ ต่อหนง่ึ หรือกลมุ่ ย่อย ที่ผู้มีประสบการณ์ เรียกว่า พีเ่ ลี้ยง(mentor) ดำเนินการพัฒนาผู้
ที่เข้ามาทำงานใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์น้อยกว่า เรียกว่า Mentee (ผู้รับการฝกึ จากพี่เลีย้ ง) หรือ protégé
(ผู้รับการปกป้อง) โดยพัฒนาทั้งทางด้านวิชาชีพและเรื่องส่วนบุคคล ในการศึกษามีการใช้การเป็นพี่เลี้ยงได้
หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับกลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและผู้รับการฝึก เช่น ผู้บริหารดูแลช่วยเหลือ
ผู้บริหาร ครูท่ีมปี ระสบการณ์กับครทู ่ีเขา้ มาใหม่ นกั เรยี นเก่งกับนักเรยี นอ่อน เม่อื เน้นไปทกี่ ารพัฒนาวิชาชีพครู
เปน็ หลักระบบพเ่ี ลีย้ งถอื เปน็ กจิ กรรมการนิเทศแบบหนึ่ง
ธัญพร ชื่นกลิ่น (๒๕๕๓ : ๒๐) กล่าวว่าการติดตามดูแลแนะนำ (Mentoring) เป็นการนิเทศ
โดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ มีความรู้สูงกว่า และมีอาวุโสมากกว่า ทำงานร่วมกัน เพื่อให้ความ
ช่วยเหลือผู้ที่มีประสบการณ์หรือความรู้น้อยกว่า ให้สามารถพัฒนาตนเองได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย
จุดประสงค์ของการพัฒนาต้องตอบสนองความต้องการจำเป็น หรือความสนใจของผู้รับการติดตามดูแลรับ
คำแนะนำ
ศุภวรรณ ศรีเกตุ (๒๕๕๒ : ๙) ได้ให้ความหมายว่า ระบบพี่เลี้ยงหมายถึงกระบวนการท่ี
เกีย่ วข้องกับการพัฒนาความรู้ทักษะความสามารถของพนกั งานโดยการแตง่ ต้ังบคุ คลหรือพเ่ี ล้ยี งให้ทำหน้าที่ให้
คำปรึกษาแนะนำเรื่องงานเรื่องส่วนตัวเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับการทำงานในองค์การแก่ผู้ที่อ่อนอาวุโสกว่า
หรือผ้ทู ไี่ ดร้ บั การดูแลเพื่อความกา้ วหน้าในอาชีพของผู้ได้รับการดูแลและตัวพี่เล้ียงเองและก่อให้เกิดประโยชน์
ต่อองคก์ รทส่ี ุด
จากความหมายข้างต้น พอสรุปได้ว่า ระบบพี่เลี้ยงหมายถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการ
พัฒนาความรู้ทักษะความสามารถโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ มีความรู้สูงกว่า และมีอาวุโส
๓๒
มากกว่า ทำงานร่วมกัน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีประสบการณ์หรือความรู้น้อยกว่าเพื่อความก้าวหน้าใน
อาชพี และก่อใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อองค์กรท่ีสดุ
๖.๒.๒ แนวคิดเกีย่ วกบั คณุ ลกั ษณะของความเป็นพ่ีเล้ยี ง
สมปรารถนา ประกัตฐโกมล (๒๕๕๐ : ๘-๙) ได้จำแนกคุณลักษณะของการเป็นพี่เลี้ยง
ดังต่อไปน้ี
๑. มคี วามสมั พันธ์ท่ีดี ผ้ทู เี่ ป็นพี่เล้ียงจะต้องเข้ากบั คนอ่ืนได้ดี มีทกั ษะในการส่ือกับบุคคลต่าง
ได้ ทั้งนี้ การสื่อสารที่ดนี ั้นสามารถยึดตามกฎ หรือข้อบังคับ ๒๐/๘๐ โดยแบ่งเป็นใช้เวลากบั การเป็น
ผู้รับฟังผู้อื่น ๘๐% และใช้เวลากับการพูดคุยกับผู้อื่นอีกประมาณ ๒๐%เพื่อจะได้นำข้อมูลที่ได้มา
วิเคราะห์ และกำหนดแนวทางเลือกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งพี่เลี้ยงสามารถแสดงพฤติกรรมใน
การรับฟงั ผู้อนื่ ไดจ้ ากคำพดู น้ำเสียง สีหนา้ และกิริยาท่าทาง
๒. การมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น พี่เลี้ยงที่ดีย่อมสามารถชักจูงให้บุคคลต่างๆโดยเฉพาะผู้บริหาร
ของหน่วยงานและผู้บริหารจากองค์การอื่นให้ความร่วมมือ ความช่วยเหลือ และการให้ข้อมูลต่างๆ รวมถึง
สามารถจงู ใจหรือทำให้บุคคลเช่ือถอื มีความคิดเหน็ คลอ้ ยตามและปฏิบตั ติ าม
๓. การมที ักษะของการบังคับบัญชาที่ดี พ่เี ล้ียงท่ีดีนนั้ จะต้องมีทกั ษะในการบังคับบัญชาหรือ
เป็นหัวหน้างานที่ดี มีทักษะในการมอบหมายงาน มีการบริหารเวลา และการบริหารงานอย่างเป็นระบบ รู้จัก
บริหารงานที่เร่งดว่ นภายใตร้ ะยะท่ีจำกัด รวมถึงมีความสามารถในการสื่อสารข้อความ การพูดให้คนอื่นเข้าใน
ในสิ่งทีต่ นอยากให้ผู้อืน่ ทำ ทั้งนี้ การที่พี่เลี้ยงมีทกั ษะในการบังคับบัญชาทีด่ ี จะทำให้มีเวลาพอทีจ่ ะพูดคุยและ
ดูแลเอาใจใส่ พนักงานของตน
๔. ความรู้ในสายวิชาชีพ/สายงานของตน ความเข้าใจในสายวิชาชีพของตนนั้นเป็นอีก
คณุ สมบตั หิ น่ึงที่พี่เลยี้ งควรมี รวมไปถงึ การไดร้ ับการยอมรับจากบุคคลต่างๆวา่ ตนเปน็ ผ้มู ีความรู้ในสายวิชาชีพ
นั้นๆ ทั้งนี้ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถแสดงออกได้จากพฤติกรรมต่างๆ เช่น ให้ข้อมูลหรือแลกเปลี่ยนความรู้
ของตนกับผูอ้ ืน่ ได้ สอนหรือให้คำปรึกษาแนะนำแกผ่ ูอ้ ื่นที่เก่ียวข้องกับสายงานของตน เป็นต้น เห็นได้วา่ การท่ี
พ่เี ลยี้ งเป็นผูม้ คี วามรู้ในสายงานของตนนั้น จะทำใหพ้ ่เี ลีย้ งสามารถแลกเปล่ียนข้อมูลหรือสิ่งที่ตนรู้กับพนักงาน
ของตนได้
๕. การตระหนักถึงผลสำเร็จในการทำงานของผู้อื่น การเป็นพี่เลี้ยงนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง
เข้าใจความตอ้ งการและความรู้สึกของบุคคลตา่ งๆ รวมไปถงึ บคุ คลทเี่ ป็นพนักงานของตนด้วยซึง่ ต้องแสดงออก
ถึงการยอมรับและยกย่องในผลสำเร็จในการทำงานของบุคคลอื่น โดยการให้เครดิตและการกล่าวถึงบุคคลอนื่
ด้วยการยกย่องอย่างเต็มใจและจริงใจ รวมถึงการพูดชมเชยถึงผลงานต่อหน้าบุคคลนั้น เพราะสิ่งเหล่าเองจะ
เปน็ พลังหรือกำลังใจที่สำคัญท่ีมีส่วนผลักดนั ใหผ้ อู้ นื่ รสู้ ึกอยากจะท่มุ เทการทำงานให้
เฉลิมชัย พันธ์เลิศ (๒๕๔๙ : ๒๐) เสนอว่า นักวิชาการพี่เลี้ยงควรมีความเอื้ออาทร มีความรู้
เป็นที่พึ่งพิงได้ และมีอารมณ์ดี คุณลักษณะเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ หน่วยงานที่คัดเลือกพี่เลี้ยงครูควรใช้เกณฑ์
กว้างๆเหล่าน้ใี นการคัดเลอื กพี่เลย้ี ง
๑. การเป็นแบบอย่างของผู้เป็นมืออาชีพ (professional role model) โดยส่วนใหญ่มักเป็น
ผใู้ หเ้ กียรตผิ ู้ร่วมงาน ยินดีที่จะมีผ้เู ขา้ ไปสงเกตการสอนของตน และให้คำแนะนำท่ีเป็นประโยชน์
๒. การมีจิตอาสารับใช้ (voluntary servants) คนส่วนใหญ่มักไม่พึงพอใจที่จะเป็นผู้รับใช้
แตค่ ณุ ลกั ษณะนีจ้ ำเป็นมากสำหรบั พเี่ ลีย้ ง
๓. การเป็นผู้มีความสามารถในการสื่อสาร (good communicators) หมายถึง ทักษะที่ใช้
สื่อสารระหว่างบุคคล ได้แก่ การฟัง การถามคำถาม การแก้ไขปัญหา และการตัดสินใจ มีความสามารถรู้
๓๓
จังหวะว่าเวลาใดควรฟัง เวลาใดควรใหค้ ำแนะนำ ให้ครสู ามารถม่นั ใจทีจ่ ะนำปญั หาเขา้ มาพดู คุยดว้ ย การมีใจที่
เปิดกว้างรบั ฟงั แม้อาจไม่เห็นดว้ ย
๔. การเป็นผู้ประสานงานที่ชาญฉลาด (astute diplomats) ผู้ที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลมักทำงาน
ผดิ พลาดบา้ งในบางครัง้ พ่ีเลี้ยงที่มหี นา้ ทช่ี ว่ ยชีใ้ ห้เห็นความผิดพลาด และพฒั นาทกั ษะการคดิ
๕. การเปน็ ผู้มคี วามม่ันคงทางจิตใจ (self-reliant individuals) การไม่รูส้ ึกว่าต้องชิงดีชิงเด่น
แขง่ ขัน เพราะบางคร้ังครใู หม่เองก็มคี วามสามารถสงู เพราะการเปน็ พี่เลย้ี งครูไม่ใช่การไปควบคุมผู้อื่น แต่เป็น
การเรยี นรูร้ ่วมกัน
สรุปได้ว่า คุณลักษณะของการเป็นพี่เลี้ยง ได้แก่ มีความสัมพันธ์ที่ดีมีความมั่นคงทางจิตใจ
เข้ากบั คนอน่ื ไดด้ ี มีทักษะในการส่อื กับบุคคลต่างได้ สามารถจูงใจหรอื ทำให้บคุ คลเชือ่ ถอื มคี วามคิดเหน็ คลอ้ ย
ตามและปฏิบัติตามมีทักษะในการบังคับบัญชาหรือเป็นหัวหน้างานที่ดี มีทักษะในการมอบหมายงาน มีการ
บริหารเวลา และการบริหารงานอย่างเป็นระบบเป็นผู้ประสานงานที่ชาญฉลาดได้รับการยอมรับจากบุคคล
ต่างๆว่าตนเป็นผู้มคี วามรูใ้ นสายวิชาชีพน้นั ๆตระหนกั ถึงผลสำเร็จในการทำงานของผู้อื่น มจี ิตอาสารับใช้
๖.๓ ความแตกต่างของ Coaching กับ Mentoring
อญั ชลี ธรรมะวธิ กี ลุ (๒๕๕๘) ได้กล่าวถงึ ความแตกต่างของการสอนงาน (Coaching) และการเป็นพ่ีเลี้ยง
(Mentoring) ว่ามีความแตกต่างกันที่จุดเน้นกล่าวคือ การสอนงานนั้นผู้บังคับบัญชาจะสอนงาน
ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของตนเกี่ยวกับวิธีการทำงานในหน้าที่ปัจจุบันและมีเป้าหมายระยะสั้นในขณะที่การ
เป็นพี่เลี้ยงนั้นผู้ที่เป็น Mentor ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ Mentee อาจอยู่ในหน่วยงาน
เดียวกันหรือต่างหน่วยงานก็ได้หากช่วยพัฒนา Mentee ให้เจริญก้าวหน้าไปในสายอาชีพได้กว้างขวางกว่า
Coach Mentoring จะมุ่งไปที่การพัฒนาสายอาชีพและจะเป็นการพัฒนา Mentee เพื่อให้เป็นผู้บริหารของ
หน่วยงานในระดับต่างๆต่อไป Coaching และ Mentoring อาจดำเนินการควบคู่กันไปได้ เพราะต่างก็เป็น
กระบวนการพัฒนาตนเองท่อี งคก์ รต้องเปน็ ผู้กำหนดขึ้นเช่นกัน
สรุปคือ Coaching และ Mentoring เปน็ เทคนิคในการพฒั นาการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กรทตี่ ้องการ
จะให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ Coaching เป็นการสอนงานจากผู้บังคับบัญชาถึงผู้ใต้บังคับบัญชา
โดยตรงด้วยวิธีการให้คำแนะนำและสอนงานแบบสองทำงาน (Two Way Communication) เพื่อให้
ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และมีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของ
ตนเองไปพร้อมกันสว่ น Mentoring การเป็นพี่เลี้ยง เลอื กจากผู้ท่ีมีความสามารถเป็นที่ยอมรับหรือผู้บริหารใน
หน่วยงานมาให้คำปรึกษาและแนะนำช่วยเหลือรุ่นน้องหรือผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าในเรื่องที่เป็นประโยชน์
โดยตรงต่อการทำงานเพือ่ ให้มีศักยภาพสูงข้ึน ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับหน้าท่ีในปัจจุบันโดยตรงก็ได้อย่างไรก็ตามทง้ั
Coaching และ Mentoring ต่างก็เป็นเทคนิคในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จะทำให้ทั้งผู้บังคับบัญชาและ
ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานได้อย่างมีศักยภาพและองค์กรมีความพร้อมในการรั บการเปลี่ยนแปลงมีผลการ
ปฏิบัติงานเป็นไปตามเปา้ หมายท่ีวางไว้ อย่างมปี ระสิทธิภาพ
๗. ทฤษฏเี กย่ี วกับความพึงพอใจ
๗.๑ ความหมายของความพึงพอใจ
การศึกษาความพึงพอใจ นับได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ในการทำงาน
และบรรลตุ ามเปา้ หมายทต่ี ั้งไว้ ไดม้ ผี ใู้ ห้ความหมายของคำวา่ ความพงึ พอใจไว้ ดงั นี้
๓๔
กรรณิการ์ ก้อนกลีบ (๒๕๕๐ : ๓๗) ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ปฏิกิริยาด้านความรู้สึก
ต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่ตนต้องการในขณะนั้นๆ ที่แสดงออกมาในลักษณะผลลัพธ์สุดท้ายของกระบวนการ
ประเมิน โดยบง่ บอกผลออกมาในสามลักษณะ คือ ทางบวก ทางลบ หรือไมม่ ีปฏกิ ิรยิ า คอื ไมแ่ สดงออก
จริ าพร นลิ กำเนดิ (๒๕๔๗ : ๖๓) ได้สรุปความหมายของความพึงพอใจไว้วา่ ความพึงพอใจหมายถึง
ความรู้สกึ นกึ คิดหรือเจตคตขิ องบคุ คลทีม่ ีต่อการทำงานในทางบวก เช่น ความรู้สึกชอบ รัก พอใจ เต็มใจ และ
ยินดี ซึ่งเกิดจากการได้รับการตอบสนองความต้องการทั้งทางด้านวัตถุ และจิตใจ เป็นความรู้สึกที่มีความสุข
เมือ่ ดำเนนิ การปฏิบตั งิ านนน้ั ๆ จนบรรลุผลสำเรจ็
ศรญั ญา บญุ ทันตา (๒๕๕๒ : ๓๘) กลา่ ววา่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรสู้ ึกท่ีเป็นความรู้สึก ของ
บุคคลตอ่ บางสิ่งบางอย่าง ความพึงพอใจของแต่ละบุคคลไม่มวี นั สิ้นสดุ เปลีย่ นแปลงไดเ้ สมอ ตามกาลเวลาและ
สภาพแวดล้อม บุคคลจึงมีโอกาสไม่พึงพอใจในสิ่งที่เคยพึงพอใจมาแล้วเพราะฉะนั้นครูผู้สอนจึงจำเป็นจะต้อง
สำรวจตรวจสอบความพึงพอใจในการปฏิบัติของนักเรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนตลอดไป
ท้ังน้ี เพอ่ื ใหก้ ารเรยี นสำเรจ็ ลุล่วงตามเป้าหมายทต่ี ั้งไว้
สลิลลา ชาญเชี่ยว (๒๕๔๗ : ๔๑) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกพอใจ ชอบใจ ในการ
รว่ มปฏิบัตกิ จิ กรรม และต้องการดำเนนิ กิจกรรมนน้ั ๆ บรรลผุ ลสำเรจ็
สวัสดิ์ สุขโสม (๒๕๕๑ : ๔๙) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกชอบ
พอใจ ทำให้บุคคลเกิดความสบายใจเป็นความสุขเป็นผลดีต่อการปฏิบัติงานทำงานที่สืบเนื่องมาจากทัศนคติ
ด้านต่าง ๆ ท่ีมีต่อการปฏิบัติงานซึ่งเกิดจากองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงปลอดภัย ความก้าวหน้าใน
หนา้ ทกี่ ารงาน ได้รบั ผลตอบแทนเพ่ือร่วมงาน ตลอดจนการได้รบั สนองความตอ้ งการของบุคคล
หทัยกาญจน์ วงษ์แก้ว (๒๕๕๒ : ๒๙) ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบ ยินดี
เต็มใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกในทางบวกและเป็นผลให้เกิดความกระตือรือร้นมีความมุ่งมั่น มีขวัญและกำลังใจใน
การทำงานทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
กิติมา ปรีดีดิลก (๒๕๔๙ : ๓๒๑) ได้ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างท่ี
สามารถลดความตึงเครียดของ ผู้ทำงานให้น้อยลง และความตึงเครียดนี้มีผลมาจากความต้องการของมนุษย์
เมื่อมนษุ ย์มคี วามตอ้ งการมากจะเกดิ ปฏกิ ิริยาเรยี กร้อง ถา้ เม่อื ใดความต้องการไดร้ บั การตอบสนองความเครียด
ก็จะ ลดนอ้ ยลงหรือหมดไปทำใหเ้ กิดความพึงพอใจ
สเตราส์ และเซเลส (อ้างถึงใน กิติมา ปรีดีดิลก. ๒๕๔๙ : ๓๒๑) ได้ให้ความเห็น ความพึงพอใจว่า
เป็นความรสู้ กึ พอใจในงานท่ที ำ เตม็ ใจท่จี ะปฏิบัติงานน้ันใหส้ ำเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ คนจะร้สู ึกพอใจในงานท่ีทำ
เม่อื งานนนั้ ให้ผลประโยชน์ตอบแทนทางด้านวัตถุและทางดา้ นจิตใจ ซงึ่ สามารถสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน
ของเขาได้
สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ เป็นความรู้สึกหรือเจคติที่ดีของบุคคลที่มีต่องานที่ปฏิบัติ ความรู้สึกพอใจ
ชอบใจ ในการร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต้องทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจใน
การเรยี น จึงจะทำให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรไู้ ดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ
๗.๒ ปจั จัยทที่ ำใหเ้ กดิ ความพึงพอใจ
สงิ่ จงู ใจ หมายถงึ องค์ประกอบตา่ ง ๆ ซ่ึงอาจจะเปน็ วัตถหุ รือสภาวะใด ๆ ซึ่งจะเปน็ เครื่องช่วยโน้ม
น้าวจิตใจ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานนั้น ๆ ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้งานนั้นประสบ
ความสำเร็จตามจุดมุง่ หมายที่วางไว้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึง่ คือ เครื่องล่อใจ ดำริ มุศรีพันธุ์ (๒๕๔๕ : ๔๒) ได้
กลา่ วถึงสง่ิ จงู ใจทใ่ี ช้เปน็ เครอ่ื งกระต้นุ เพ่ือให้บุคคลเกดิ ความพงึ พอใจ ในการปฏิบัตงิ านดังนี้
๓๕
๑. สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ (Material Inducement) สิ่งเหล่านี้ได้แก่ เงินทอง สิ่งของหรือสภาวะ ทาง
กายที่มีให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน และสิ่งจูงใจที่ไม่ใช่วัตถุ (Personal Non-Material Opportunities) เช่น อำนาจ
เกียรตภิ มู ิ การใช้สทิ ธพิ ิเศษมากกว่าคนอื่น
๒. สภาพทางกายภาพที่พึงปรารถนา (Desirable Physical Condition) หมายถึง การจัด
สภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขในการทำงาน เช่น สิ่งอำนวย ความสะดวกใน
สำนกั งาน ความพรอ้ มของเครือ่ งมือ
๓. ผลประโยชน์ทางอุดมคติ (Idle Benefactions) หมายถึง การสนองความต้องการในด้านความ
ภูมใิ จที่ไดแ้ สดงฝมี ือ การแสดงความภักดีต่อองคก์ รของตน
๔. ความดึงดูดใจทางสังคม (Associational Attractiveness) หมายถึงการมีความสัมพันธ์ของ
บคุ คลในหนว่ ยงาน การอยู่ร่วมกนั ความมัน่ คงของสงั คมจะเปน็ หลักประกันในการทำงาน
๕. การปรับทัศนคติและสภาพของงานให้เหมาะกับบุคคล (Adaptation of Conditions to
Habitual Method and Attitudes) คือ การปรบั ปรุงตำแหนง่ ความเหมาะสมให้สอดคล้องกันระหว่างงานกับ
คน
๖. โอกาสในการมีส่วนร่วมในการทำงาน (Opportunity of Enlarged Participation) คือ เปิด
โอกาสให้บคุ ลากรมีส่วนรว่ มในการทำงาน จะทำให้เป็นผู้มีความสำคญั ในหน่วยงาน จะทำใหบ้ ุคคลมกี ำลังใจใน
การทำงานมากขน้ึ
ศรัญญา บญุ ทนั ตา (๒๕๕๓ : ๔๓) แบ่งประเภทของสิ่งจูงใจออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ส่ิงจูงใจทเี่ ปน็ เงิน (Financial Incentive) สงิ่ จงู ใจประเภทนม้ี ลี ักษณะทเ่ี หน็ ไดง้ ่าย และมีอิทธิพล
โดยตรงตอ่ การปฏิบตั ิงานของพนักงานเจ้าหน้าท่ี ซง่ึ สง่ิ จงู ใจที่เปน็ เงินน้ียงั จำแนกออกเปน็ ๒ ชนิด คือ
๑.๑ สิ่งจูงใจทางตรง (Direct Incentive) เป็นสิ่งจูงใจที่มีผลโดยตรงต่อผลผลิตทางการ
ปฏิบัตงิ าน เช่น การจ่ายคา่ จ้างให้สูงขึ้น ในกรณีที่มผี ลการปฏบิ ัติงานได้สูงกว่าระดบั มาตรฐานที่กำหนดไว้ อัน
เปน็ วิธีการจูงใจตามแนวคิดท่ีวา่ Plus any for Plus Performance
๑.๒ สิ่งจูงใจทางอ้อม (Indirect Incentive) เป็นส่ิงจูงใจที่มีผลในทางสนับสนุนหรือส่งเสริมให้
พนักงาน เจา้ หนา้ ท่ใี นหนว่ ยงานปฏบิ ัติได้ดีขึน้ เช่น การจา่ ยบำเหนจ็ บำนาญและคา่ รักษาพยาบาลเม่ือเจ็บป่วย
ลักษณะของการใช้เงนิ เป็นสิง่ จูงใจทางอ้อม ส่วนมากได้แกป่ ระโยชนเ์ ก้อื กลู (Fringe Benefit) ต่าง ๆ
๒. สิ่งจูงใจที่ไม่ใช้เงิน (Non-Financial Incentive) สิ่งจูงใจประเภทนี้ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องท่ี
สามารถสนองความต้องการทางจิตใจ เช่น การยกย่องชมเชย (Recognition) การยอมรับว่าบคุ คลนั้นเป็นส่วน
หนึ่งของหมู่คณะ (Belonging) โอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติงานที่เท่าเทียมกัน (Equal Opportunity) และ
ความมน่ั คงในงาน (Security of Work)
สรุปได้ว่าปจั จัยท่ีทำให้เกดิ ความพงึ พอใจ ประกอบด้วย สงิ่ จงู ใจที่เปน็ วัตถุ ผลประโยชน์ ทางอดุ มคติ
ความดึงดูดใจทางสังคม การปรับทัศนคติและสภาพของงานให้เหมาะกับบุคคลและโอกาสในการมสี ่วนร่วมใน
การทำงาน
๗.๓ การวดั ความพงึ พอใจ
ความพึงพอใจหรือเจตคติเป็นนามธรรม เป็นการแสดงออกค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัด
ทศั นะคติโดยตรงแตเ่ ราสามารถวัดความพงึ พอใจโดยออ้ มไดโ้ ดยวดั ความคิดเห็นของบคุ คลเหลา่ น้ันแทน ฉะน้ัน
การวดั ความพึงพอใจจึงมขี อบเขตจำกัด อาจมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นถ้าบุคคลเหล่านี้แสดงความเห็นไม่ตรง
กับความร้สู ึกทแี่ ทจ้ รงิ ซ่ึงความคลาดเคลือ่ นเหล่านีย้ อ่ มเกิดขึน้ ได้ธรรมดาของการวดั ทว่ั ๆ ไป
๓๖
ศรัญญา บุญทันตา (๒๕๕๓ : ๓๙) ได้กล่าวถึงการวัดความพงึ พอใจไว้ว่า ในการวัดความพึงพอใจน้ัน
เป็นเรื่องที่เปรียบเทียบได้กับความเข้าใจโดยทั่วไป โดยปกติแล้วสามารถวัดได้ จากการสอบถามจากบุคคลท่ี
ต้องการจะถาม โดยมีเครื่องมือที่ต้องการใช้ในการวจิ ัยหลาย ๆ อย่าง อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าจะมีการวัดอยู่หลาย
แนวทางกต็ าม แต่การศึกษาความพึงพอใจน้นั สามารถแยกตามแนวทางวดั ไดส้ องแนวคิดตามความคิดเห็นของ
Salisnick Christen คือ
๑. สามารถวดั ไดจ้ ากสภาพท้ังหมดของแตล่ ะบุคคล เชน่ ทีบ่ า้ น ที่ทำงาน และทกุ ๆ อย่างที่เกี่ยวข้อง
กับชีวิตการศึกษา ตามแนวทางนี้จะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ แต่ทำให้เกิดความยุ่งยากกับการที่จะวัดและ
เปรียบเทียบ
๒. สามารถวัดได้โดยการแยกออกเป็นองค์ประกอบ เช่น องค์ประกอบที่เกี่ยวกับงาน การนิเทศท่ี
เปน็ งานเก่ียวกับนายจา้ ง
ศภุ วัลย์ ภู่ประเสริฐ (๒๕๕๒ : ๕๒) ไดส้ รุปว่า การวัดความพึงพอใจเป็นการวดั ด้านทัศนคติ หรือเจต
คตทิ เี่ ปน็ นามธรรมเป็นการแสดงออกที่ค่อนข้างซบั ซ้อนยากทจ่ี ะวัดไดโ้ ดยตรง สามารถใชเ้ ครื่องมือวัดได้หลาย
แบบ เชน่ วิธีการสงั เกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม
หฤทัย บุญประดับ (๒๕๕๒ : ๑๔) กล่าวว่า การวัดความพึงพอใจ เป็นเรื่องที่เปรียบกับ ความเข้าใจ
ทั่วๆ ไป ซึ่งปกติจะวัดได้โดยการสอบถามจากบุคคลที่ต้องการจะถาม มีเครื่องมือ ที่ต้องการจะใช้ในการวิจัย
หลายๆ อย่าง อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีการวัดอยู่หลายแนวทาง การศึกษาความพึงพอใจอาจแยกกล่าวแนวทาง
วดั ได้สองแนวคดิ ตามความเห็นของ ชาลี ชเนคตส์ เทนส์ กลา่ วคอื
๑. วัดจากสภาพทั้งหมดของแต่ละบุคคล เช่น ที่ทำงาน ที่บ้าน และทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
การศึกษา ตามแนวทางนี้จะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ แต่ทำให้เกิดความยุ่งยากกับการที่จะวัดและเปรียบเทียบ ๒.
วัดโดยแยกออกเป็นองค์ประกอบ เช่น องค์ประกอบที่เกี่ยวกับงาน การนิเทศงานเกี่ยวกับนายจ้าง สวัสดิ์ สุข
โสม (๒๕๕๑ : ๕๒) กล่าววา่ การวัดความพึงพอใจเปน็ การวัดความรู้สึกในทางบวกที่เกิดจากการปฏิบัติงานซึ่ง
ใช้ได้หลายรูปแบบขึ้นอย่กู บั ความเหมาะสมของสถานภาพของผ้ตู อบหรือกลมุ่ ท่ีต้องการศึกษา ซึ่งสามารถวัดได้
จากแบบวัดความพงึ พอใจตามลักษณะงาน คือ
๑. แบบวัดความพึงพอใจงานโดยทว่ั ไป เปน็ แบบวัดความพงึ พอใจของบคุ คลท่มี ีความสขุ กบั งาน
๒. แบบวัดความพงึ พอใจเฉพาะเกย่ี วกบั งาน ลักษณะของแบบวัดความพึงพอใจงานในแตล่ ะดา้ น สรปุ
ได้ว่า ความพึงพอใจหรือเจตคติเป็นนามธรรม เป็นการแสดงออกค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัด
โดยตรง แตเ่ ราสามารถวัดความพึงพอใจโดยอ้อมไดโ้ ดยวัดความคิดเห็นของบุคคลเหลา่ น้นั แทน ฉะน้ัน การวัด
ความพึงพอใจจึงมีขอบเขตจำกัด อาจมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นถ้าบุคคลเหล่านี้แสดงความเห็นไม่ตรงกับ
ความรู้สึกท่ีแท้จริง
๗.๔ เกณฑก์ ารวัดความพงึ พอใจ
บุญชม ศรีสะอาด (๒๕๔๕ : ๑๐๓) ให้เกณฑ์การแปลความหมายของแบบสอบถามความพึงพอใจ
ดังนี้
ระดับ ๕ ๔.๕๐ – ๕.๐๐ หมายถงึ ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ
ระดบั ๔ ๓.๕๐ – ๔.๔๙ หมายถงึ ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก
ระดับ ๓ ๒.๕๐ – ๓.๔๙ หมายถงึ ความพึงพอใจอยูใ่ นระดบั ปานกลาง
ระดบั ๒ ๑.๕๐ – ๒.๔๙ หมายถึงความพึงพอใจอย่ใู นระดบั นอ้ ย
ระดบั ๑ ๑.๐๐ – ๑.๔๙ หมายถงึ ความพงึ พอใจอยูใ่ นระดับนอ้ ยทีส่ ดุ
๗.๕ ทฤษฎีท่ีเก่ยี วกับความพงึ พอใจ
๓๗
รัตนา แสงแก่นเพชร (๒๕๔๓ : ๑๑) ได้ศึกษาค้นคว้าทฤษฎีที่เป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ
เรียกว่า The Motivation Hygiene Theory ซึ่งทฤษฎีนี้ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในการ
ทำงาน ๒ ปัจจยั คอื
๑. ปัจจัยกระตุ้น (Motivation Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับการงานซึ่งมีผลก่อให้เกิดความพึง
พอใจในการทำงานเช่นความสำเร็จของงานการได้รับการยอมรับนับถือลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ
ความกา้ วหน้าในตำแหนง่ การงาน
๒. ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factor) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในการทำงาน และมีหน้าท่ี
ให้บุคคลเกิดความพึงพอใจในการทำงานเช่น เงินเดือนโอกาสที่จะก้าวหน้าในอนาคตสถานะของอาชีพสภาพ
การทำงานเป็นต้น
Maslow (๑๙๗๐ : ๖๙ – ๘๐ ; อ้างองิ จาก ศรานนท์ วะปะแก้ว, ๒๕๔๗ : ๕๒) ไดเ้ สนอทฤษฎลี ำดับ
ขน้ั ของความต้องการโดยตั้งสมมตฐานไว้ว่า “มนษุ ย์เรามีความต้องการอยู่เสมอไม่มีท่ีสนิ้ สุด เมื่อความต้องการ
ได้รบั การตอบสนองหรือพงึ พอใจอยา่ งหนึ่งอย่างใดแลว้ ความตอ้ งการส่งิ อ่นื ๆกจ็ ะตามมาอีก ความต้องการของ
คนเราอาจเกิดขึ้นซ้ำซ้อนกันความต้องการอย่างหนึ่งยังไม่หมด ความต้องการอีกอย่างหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ”
ความต้องการของมนษุ ย์มลี ำดบั ข้นั ดังนี้
๑. ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
เน้นสิง่ จำเปน็ ในการดำเนินชีวติ ไดแ้ กอ่ าหารอากาศที่อยู่อาศยั เครื่องนุ่งห่มยารกั ษาโรคความต้องการทางเพศ
๒. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความมั่นคงในชีวิตทั้งที่เป็นอยู่ปัจจุบันและ
อนาคต ความเจรญิ ก้าวหนา้ ความอบอนุ่ ใจ
๓. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เป็นสิ่งจูงใจที่สำคญั ต่อการเกิดพฤติกรรมต้องการให้
สงั คมยอมรับตนเข้าเป็นสมาชิกตอ้ งการความเป็นมติ รความรกั จากเพอื่ นร่วมงาน
๔. ความต้องการมีฐานะ (Esteem Needs) ความอยากมีชื่อเสียงการยกย่องจากสังคมอยากมี
อิสรภาพ
๕. ความตอ้ งการความสำเร็จในชวี ิต (Self – Actualization Needs) เป็นความต้องการในระดับสูง
ต้องการความสำเร็จทกุ อยา่ งในชวี ิต
๘. งานวิจยั ท่เี กยี่ วขอ้ ง
๘.๑ วจิ ัยทเ่ี กยี่ วกบั การพฒั นาครู
ศรีวรรณ แก้วทองดีและคณะ (๒๕๖๒)ได้จัดทำรายงานวิจัย เรื่องแนวทางการพัฒนาตนเองของครูใน
สถานศึกษา สหวิทยาเขตบึงสามพัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๔๐ โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการและหาแนวทางการพัฒนาตนเองของครูในสถานศึกษา สหวิทยาเขตบึง
สามพนั สังกัดสำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต ๔๐ มวี ธิ กี ารศึกษา ๒ ขน้ั ตอน คอื ๑. ศึกษาระดับ
ความต้องการพัฒนาตนเองของครูในสถานศึกษาตามสมรรถนะหลักของการพัฒนาตนเอง ของสำนักงาน
พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ใน ๓ ด้าน ประชากรที่ศึกษาคือข้าราชการครูจำนวน ๑๑๒
คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนมีค่าความเที่ยงเท่ากับ ๐.๙๘ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่
ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย และ ค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ๒. หาแนวทางการพัฒนาตนเองของครใู นสถานศึกษา
โดยจัดประชุมสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๙ คน เครื่องมือเป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่มใช้วิธีการ
วิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า ความต้องการพัฒนาตนเองของครูในสถานศึกษา สหวิทยาเขตบึงสามพัน
สังกัดสำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต ๔๐ สว่ นใหญ่เปน็ เพศหญิง จำนวน ๘๑ คน ในภาพรวมอยู่
๓๘
ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความต้องการพัฒนาตนเอง ของครูมากที่สุด คือด้าน
การศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ติดตามองค์ความรู้ใหม่ๆ ทางวิชาการและวิชาชีพ รองลงมาคือด้านการสร้างองค์
ความรู้และนวัตกรรมในการพัฒนาองค์กรและวิชาชีพ ส่วนความต้องการ พัฒนาตนเองของครูต่ำสุด ได้แก่
ดา้ นการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และสรา้ งเครือข่าย แนวทางการพัฒนาตนเองของครูในสถานศึกษา สหวิทยา
เขตบึงสามพัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๔๐ คือ ๑. ควรวางแผนกำหนดแนว
ทางการพฒั นาตนเองของครูในการปฏิบตั ิงาน ๒. ควรสนับสนนุ งบประมาณและใหโ้ อกาสครูพฒั นาตนเองทาง
วิชาการและวิชาชีพ ๓. ควรส่งเสริมให้ครูสร้างนวัตกรรม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างเครือข่าย โดยใช้
วิธีการที่หลากหลาย เช่น การเข้าฝึกอบรม สัมมนา ศึกษาต่อ ๔. ควรจัดทำโครงการ PLC,EPLC ของโรงเรียน
๕. ควรมีการประเมินผลนเิ ทศติดตาม เผยแพรค่ วามรูท้ ี่ได้รับจากการพฒั นาตนเอง ๖. สหวทิ ยาเขตบึงสามพัน
ควรจัดทำ ทำเนียบครูที่ได้รับรางวัลทางวิชาการ และ วิชาชีพ ให้เป็นที่รู้จัก เป็นวิทยากรแนะนำความรู้ทาง
วิชาการ วิชาชีพ ทางการศึกษาตอ่ ไป
ธรินธร นามวรรณ (๒๕๖๑ : บทคัดย่อ) ได้จัดทำวิจัยเรื่องการพัฒนาครูโดยใช้นวัตกรรมการนิเทศ
การศกึ ษาเพ่ือยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พื้นฐานมีวัตถปุ ระสงค์เพื่อ ๑. หาประสิทธภิ าพของกระบวนการปฏิบตั นิ วตั กรรมการนเิ ทศการศึกษา ๒. ศึกษา
ผลการนํานวัตกรรมการนิเทศการศึกษาไปใช้และ ๓. ศึกษาความพึงพอใจของครูต่อกระบวนการปฏิบัติ
นวัตกรรมการนเิ ทศการศึกษาโดยมีกลุ่มเป้าหมายคือครูท่ีสมัครเข้ารว่ มโครงการนวตั กรรมยกระดับผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในปี ๒๕๖๐ จำนวน ๑๒๒
คนโดยใช้การวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (R&D) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือนวัตกรรมการนิเทศการศึกษา
ประกอบด้วย ๔ ชุดการเรียนรู้ได้แก่ชุดการเรียนรู้ ๑. การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ ชุดการ
เรียนรู้ ๒. การพัฒนาผู้นําด้วยการชี้แนะและสอนงานชุดการเรียนรู้ ๓. การปฏิบัติการคลินิกนิเทศเพื่อความ
เป็นเลิศ (ESC) ชุดการเรียนรู้ ๔. การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) แบบสังเกตการสอนแบบ
บันทึกผลการปฏบิ ตั แิ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรยี นรู้มีความเช่ือมั่นของแบบทดสอบทัง้ ฉบับเท่ากับ ๐.๘๔
และแบบสอบถามความพงึ พอใจมคี ่าความเช่ือม่ันท้งั ฉบับเท่ากับ ๐.๙๓ ผลของการวิจัยพบว่า ๑. ผลการหาค่า
ประสิทธิภาพของกระบวนการปฏิบัตินวตั กรรมการนิเทศการศึกษาเป็นราย ๔ ชุดการเรียนรู้มีคา่ เฉลี่ยคดิ เปน็
ร้อยละ ๙๐.๑๑/๘๘.๔๘, ๘๙.๐๓/๘๔.๕๖,๘๖.๐๕/๘๕.๖๐ และ ๘๘.๙๓/๘๔.๘๔ ตามลำดับซึ่งสูงกว่าเกณฑ์
๘๐/๘๐ ที่ต้งั ไว้ ๒. ผลการนํานวัตกรรมการนิเทศการศึกษาไปใชค้ ่าดัชนีประสิทธผิ ลของการพัฒนาครูโดยรวม
หลังการเรียนรู้ครูมีความรู้สูงขึ้นกว่าก่อนการเรียนรู้เท่ากับ ๐.๗๙๔๖ แสดงว่าครูมีความรู้เพิ่มขึ้นก่อน การ
เรียนรู้คดิ เป็นร้อยละ ๗๙.๔๖๓) ความพึงพอใจของครูต่อกระบวนการปฏิบัตินวัตกรรมการนิเทศการศึกษาอยู่
ในระดับมากทสี่ ดุ โดยรวมมคี า่ เฉลี่ยเท่ากบั ๔.๕๘ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กับ ๐.๔๘
ภัทรภรณ์ น้อยกอ (๒๕๖๑ : บทคัดย่อ) ได้จัดทำวิจัยเรื่องรูปแบบการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับ
ประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานการวิจยั ครั้งนี้มีวัตถปุ ระสงค์เพื่อ ๑. ศึกษา
องค์ประกอบของการนิเทศโรงเรียนสองภาษา ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน ๒. สร้างรูปแบบ การนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดส านักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน และ ๓. ประเมนิ รูปแบบการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีขั้นตอนการวิจัย ดังนี้ ขั้นตอนที่ ๑ ศึกษาองค์ประกอบของ การนิเทศ
โรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขั้นตอนที่ ๒ สร้าง
รูปแบบการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ขั้นตอนที่ ๓ ประเมินรูปแบบการนิเทศ โรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
๓๙
การศึกษาขั้นพื้นฐาน เก็บข้อมูล จากผู้บริหาร และศึกษานิเทศก์ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินรูปแบบด้าน
ความถูกตอ้ ง
ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ ในลกั ษณะมาตรสว่ นประมาณค่า ๕ ระดับ สถิติที่ใช้
คอื ค่าความถ่ี ค่ารอ้ ยละ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ัยพบวา่
๑. การศึกษาองค์ประกอบของการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัด สำนักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน ได้ ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบท่ี ๑ การกำกบั ดูแล องคป์ ระกอบ
ท่ี ๒ ปัญหาและความตอ้ งการ องคป์ ระกอบท่ี ๓ การวางแผนและออกแบบ องคป์ ระกอบ
ที่ ๔ การสร้างเครื่องมือ องค์ประกอบที่ ๕ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ องค์ประกอบที่ ๖ การสร้างบรรยากาศการ
นเิ ทศ และองค์ประกอบท่ี ๗ การตดิ ตามประเมนิ ผล
๒. การสร้างรูปแบบการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการ
การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน สามารถสรุปได้ ดังนี้
๒.๑ ผลการสร้างรูปแบบการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ ส่วนนำ ประกอบด้วย หลักการ
พื้นฐานของการนิเทศโรงเรียนสองภาษา ระดับประถมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และวัตถุประสงค์ของรูปแบบ การนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนที่ ๒ เนื้อหา ประกอบด้วย องค์ประกอบที่ ๑ การกำกับดูแล องค์ประกอบที่ ๒
ปัญหา และความตอ้ งการ องค์ประกอบที่ ๓ การวางแผนและออกแบบ องค์ประกอบที่ ๔ การสร้าง เคร่ืองมือ
องคป์ ระกอบท่ี ๕ การแลกเปลีย่ นเรียนรู้ องคป์ ระกอบที่ ๖ การสรา้ งบรรยากาศการนิเทศ และองค์ประกอบที่
๗ การตดิ ตามประเมนิ ผล ส่วนที่ ๓ เงือ่ นไขความสำเร็จ
๒.๒ ผลการตรวจสอบรูปแบบการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน สรุปได้ว่า ในภาพรวมนั้น รูปแบบการนิเทศโรงเรียน สองภาษาระดับ
ประถมศึกษา สังกดั สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน มีความเหมาะสม
๒.๓ ผลการประเมินความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศโรงเรียน สองภาษาระดับ
ประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า คู่มือการใช้ รูปแบบการนิเทศ
โรงเรยี นสองภาษาระดับประถมศึกษา สงั กดั สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความเหมาะสมใน
ระดบั มาก มคี ่าเฉล่ยี เทา่ กบั ๔.๔๔ คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๐.๓๙
๓. โดยรวมรูปแบบการนิเทศโรงเรียนสองภาษาระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความถูกต้อง อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ๔.๕๐ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ
๐.๖๓ มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ๔.๕๒ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๐.๖๐ มี
ความเป็นไปได้ อยใู่ นระดบั มาก มคี า่ เฉลีย่ เทา่ กับ ๔.๓๘ คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐานเท่ากับ ๐.๖๗ และมีความเป็น
ประโยชน์ อยใู่ นระดับมากท่สี ดุ มคี า่ เฉลีย่ เทา่ กบั ๔.๕๘ ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานเทา่ กบั ๐.๕๕
ธานินทร์ ปัญญาวัฒนากุลและ สมศักดิ์ เอี่ยมคงสี (๒๕๖๐ : บทคัดย่อ) ได้ทำวิจัยเรื่องการพัฒนาครู
ดา้ นทกั ษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ โดยใช้โรงเรียนเปน็ ฐาน ในโรงเรยี นขนาดเล็กของอำเภอบางคล้า
จังหวัดฉะเชิงเทรา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยผสมผสานรูปแบบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิง
ปรมิ าณ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ ๓ ประการ คือ ๑. เพื่อศกึ ษาสภาพปญั หาและความต้องการในการพฒั นาครู ด้าน
ทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในโรงเรียน ขนาดเล็กของอำเภอบางคล้า
จังหวัดฉะเชิงเทรา ๒. เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยใช้
โรงเรียนเป็นฐาน ในโรงเรียนขนาดเล็กของอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้มีคุณภาพอยู่ในระดับดี และ
๔๐
๓. เพื่อพัฒนาครูด้านทักษะ การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในโรงเรียนขนาดเลก็
ของอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้มีความสามารถ ใน ๓ ด้าน คือ ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้โดยใช้
รูปแบบการสอนแบบโครงงาน ด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว และถูกต้อง และ
ด้านทักษะการพัฒนาเกณฑ์เพื่อประเมินผลงานที่มีลักษณะจำเพาะชิ้นงาน แหล่งข้อมูล ได้แก่ โรงเรียนขนาด
เล็กในอำเภอ บางคล้า จำนวน ๑๔ แห่ง ที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า ๑๒๐ คน จำแนกเป็นผู้อำนวยการ
โรงเรียน ๑๔ คน และครูผู้สอน จำนวน ๘๖ คน รวมทั้งสิ้น ๑๐๐ คน การเก็บรวบรวมข้อมูล ในระยะแรก
ดำเนินการโดยใช้แบบสอบถามควบคู่กับการสัมภาษณ์ และการสัมมนากลุ่มย่อย ระยะที่สองดำเนินการ
สัมมนาสะท้อนผลการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตร ระยะที่สามการหา
คณุ ภาพ หลกั สตู รและนำหลกั สตู รไปใช้ฝึกอบรมตามความต้องการของกล่มุ เป้าหมาย ผลการวจิ ยั สรุปได้ ดงั นี้
๑. การศกึ ษาสภาพปญั หาและความต้องการในการพัฒนาครูดา้ นทักษะการจดั การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี
๒๑ โดยใช้โรงเรยี นเป็นฐาน ในโรงเรียนขนาดเลก็ ของอำเภอบางคล้า จงั หวัดฉะเชงิ เทรา สรปุ ไดว้ า่
๑.๑ โรงเรยี นขนาดเล็กของอำเภอบางคลา้ จงั หวัดฉะเชิงเทรามีปญั หาด้านการบริหารจดั การศึกษา
ดา้ นการจดั การเรยี น การสอน และการพฒั นาครดู ้านการจัดการเรยี นร้ใู นศตวรรษท่ี ๒๑ อยู่ในระดบั มาก
๑.๒ ความตอ้ งการในการพฒั นาครูดา้ นทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ ในโรงเรยี นขนาด
เล็กของอำเภอบางคล้า จังหวัด ฉะเชิงเทรา มีความต้องการในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับความ
ต้องการพัฒนาจากมากไปน้อย ได้แก่ ๑. การพัฒนาการจดั การ เรียนรูด้ ้วยวิธีโครงการเป็นฐาน ๒. การพัฒนา
ความสามารถในการพฒั นาเกณฑ์เพ่ือการประเมินผลงานที่มีลักษณะจำเพาะชิน้ งาน และ ๓. การพัฒนาทักษะ
การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู อยา่ งรวดเร็ว
๒. การพัฒนาหลกั สูตรฝึกอบรมด้านทักษะการจดั การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ ๒๑ โดยใชโ้ รงเรยี นเป็นฐาน
ในโรงเรียนขนาดเลก็ ของอำเภอบางคลา้ จังหวดั ฉะเชงิ เทรา มีคุณภาพอยใู่ นระดบั ดีมาก
๓. การพัฒนาครูด้านทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในโรงเรียน
ขนาดเล็ก อำเภอบางคลา้ จังหวดั ฉะเชงิ เทรา ใหม้ คี วามสามารถใน ๓ ดา้ น พบวา่ ๑. ทกั ษะการจัดการเรียนรู้
โดยใช้รปู แบบการสอนแบบโครงงาน ดา้ นการเขยี นแผนการ จัดการเรียนรู้ พบว่า มคี ณุ ภาพอยู่ในระดับดี และ
ด้านการปฏิบัติการสอน พบว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับดี ๒. ทักษะการใช้เทคโนโลยีในการ เข้าถึงข้อมูลอย่าง
รวดเร็วและถูกต้อง พบว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับดี และ ๓) ทักษะการพัฒนาเกณฑ์เพื่อประเมินผลงานที่มี
ลกั ษณะจำเพาะ ชนิ้ งาน พบวา่ มีคุณภาพอยู่ในระดับดี
มานิตย์ อาษานอกและชวลิต ชูกำแพง (๒๕๖๐ : บทคัดย่อ) ได้จัดทำรายงานวิจัยเรื่องการศึกษา
รปู แบบการพฒั นาครูมืออาชีพตามแนวคดิ วธิ ีการสอนงานและให้คำปรึกษาโดยใชว้ ีดิทศั น์ ท่ีส่งเสริมสมรรถนะ
การสอนครูในโรงเรียน มีความมุ่งหมายเพื่อ ๑. พัฒนารูปแบบการพัฒนาครูมอื อาชีพตามแนวคิดวธิ ี การสอน
งานและให้คำปรึกษาโดยใชว้ ีดทิ ัศน์ ท่ีสง่ เสรมิ สมรรถนะการสอนของครูในโรงเรยี น ๒. ศึกษาผลการใช้รูปแบบ
จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์การฝึกอบรม ความคิดเห็น ผลการปฏิบัติ สมรรถนะการสอน การนําเสนอและการ
ถอดบทเรียน ของครู และ ๓) ประเมินผลการจัดกิจกรรมการพัฒนาในรูปแบบ จากการสํารวจความเห็นของ
ครู ในโรงเรียนที่เข้าร่วม โครงการ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต ๑
จํานวน ๑๐๐ คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบทดสอบ แบบประเมิน แบบ
สัมภาษณ์เชิงโครงสร้างบันทึกถอดบทเรียนวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์
เนื้อหาแล้วนําเสนอด้วยการพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบที่ใช้ในการพัฒนาครู ประกอบด้วยขั้นตอน
การพฒั นา ๓ ขัน้ ๔ ระยะ คือ ๑. ชัน้ วางแผน (Plan) ๒. ข้ันดาํ เนินการพัฒนา (Process for Development)
มี ๔ ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ ๑ กิจกรรม Training for Coaching and Mentoring ระยะที่ ๒ กิจกรรม
๔๑
Sharing and Learning Together ระยะที่ ๓ กิจกรรม Coaching and Mentoring ระยะที่ ๓ กิจกรรม
Coaching and Mentoring และระยะที่ ๔ กิจกรรม Showcase ๓. ขั้นสรุปและสะท้อนผล (Post and
Refection) ผลการพฒั นาสมรรถนะการสอนครูพบว่า ครมู คี วามรคู้ วามเข้าใจในเน้ือหาหลังการฝึกอบรมระยะ
ที่ ๑ คิดเป็น ร้อยละ ๕๔.๒๖ และในระยะที่ ๒ครูยังขาดความมั่นใจในการสร้างระบบ Coaching and
Mentoring การสร้างชุมชนการ เรียนรู้ครู (PLC) มีความกังวลในการสร้างวดี ิทศั น์ เนื่องจากขาดทักษะการใช้
ไอซีที และมีความต้องการในการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาทักษะนี้ ในระยะที่ ๓ หลังการออกติดตามโดยอาจารย์
มหาวิทยาลัยและศึกษานิเทศก์ พบว่า ครูมีความมั่นใจ และเจตคติทางบวกในการปฏิบัติมากขึ้น มีเจตคติที่ดี
ต่อการสร้างชุมชนการเรียนรู้ครู และสามารถวางแผนในการนํา ระบบการสอนงานและให้คําปรึกษาไปใช้ใน
ห้องเรียนได้ และได้มีการฝึกอบรมการใช้โปรแกรมเพื่อตัดต่อวีดิทัศน์ให้สําหรับ ครูที่มีความต้องการเพิ่มเติม
ครูมีการแบ่งปันประสบการณ์การสอน มีภาวะผูน้ ําแบบรวมหมู่ และมีค่านิยมและวสิ ัยทัศน์ ร่วมในการพัฒนา
สมรรถนะการสอน ส่งผลให้เกิดการพฒั นาท้ังผู้เรยี นและผู้สอน ในระยะที่ ๔ พบว่าสมรรถนะการสอน ของครู
มคี วามเหมาะสมในระดบั มากที่สดุ ทง้ั ๔ มิติ ท้ังมิตกิ ารจดั การหอ้ งเรียน มติ ิดา้ นความรู้ มิตดิ า้ นวธิ ีสอน และมิติ
ด้านการวินิจฉัย สามารถนําเสนอผลงานวีดิทัศน์ ๖๓ ผลงาน สะท้อน การพัฒนาสมรรถนะการสอนครู ด้าน
การสอนแบบ กลุ่มร่วมมือมากที่สุด รองลงมา คือ การสอนแบบบูรณาการกลุ่มสาระ และการสอนแบบ
โครงงาน และสะท้อนการพฒั นา คุณภาพผเู้ รียน ต้นความสามารถในการใหเ้ หตุผล (Scientific Literacy) รอ้ ย
ละ ๗๑.๔๒ ความสามารถในการอ่าน (Reading Literacy) ร้อยละ ๖๓.๔๙ และความสามารถในการคํานวณ
(Mathematical Literacy) ร้อยละ ๓๓.๓๓ และ เห็นวา่ การจัดกจิ กรรมมีความเหมาะสม อย่ใู นระดับมาก
วาสนา มะณเี รอื งและคณะ (๒๕๕๙ : บทคัดยอ่ ) ได้จัดทำวิจัยเร่ือง รปู แบบการพฒั นาครูเก่งครูดีของ
สถานศึกษาขนั้ พน้ื ฐานModel of Smart Teacher Development in Basic Educationมีความมุง่ หมายเพ่ือ
ศึกษาคุณลักษณะครูเก่งครูดีของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และ เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน การ
ดำเนินการวิจัยมี ๓ ตอน ตอนที่ ๑ ศึกษาคุณลักษณะครูเก่งครูดีของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน วิเคราะห์ข้อมูล
ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ตอนที่ ๒ ศึกษารูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยนำ
แบบสอบถามไปเก็บข้อมูลกับครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถ มศึกษาระ
นครศรีอยุธยาเขต ๑, ๒ จำนวน ๔๐๐ คน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ค่าสหสัมพันธ์คาโนนิคอล ตอนที่ ๓ ประเมินรูปแบบการพัฒนาครูเกง่
ครูดขี องสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน โดยนำแบบประเมินไปเก็บข้อมูลกบั ผู้อำนวยการสถานศึกษาข้นั พื้นฐาน สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต ๑, ๒ จำนวน ๑๙๐ คน แล้ววเิ คราะห์ขอ้ มลู
ด้วยค่าเฉล่ยี ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานและการทดสอบทแี บบกลุม่ ตวั อย่างเดียว ผลการวิจัยสรปุ ไดด้ ังน้ี
๑. ครูเก่ง มีคุณลักษณะ ๕ ประการ ได้แก่ การพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ความสามารถในการสร้าง การ
พัฒนา หลักสูตรและสื่อการสอน ความสามารถในการสอน ความสามารถในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
และความสามารถในการแก้ปัญหา สำหรับครูดี มีคุณลักษณะ ๒ประการ ได้แก่ การครองตน และการครอง
งาน
๒. รูปแบบที่สามารถพฒั นาครูเก่งครดู ีของสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐานได้มากที่สดุ คือ
การสร้างระบบพี่เลี้ยง รองลงมาคือการฝึกอบรม และการนิเทศแบบคลินิกตามลำดับ โดยรูปแบบทั้งสาม
สามารถพัฒนาครูเก่งครดู ี ได้ร้อยละ ๖๕.๑
๔๒
๓. รูปแบบการพัฒนาครูเก่งครูดีของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การสร้างระบบพี่เลี้ยง การ
ฝึกอบรม และการนิเทศแบบคลินิก มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิตทิ ่รี ะดับ .๐๑
สรุปรูปแบบที่สามารถพัฒนาครูเก่งครูดีของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานได้มากที่สุดคือการสร้างระบบพ่ี
เลยี้ ง รองลงมาคือการฝึกอบรม และการนิเทศแบบคลินิก ตามลำดบั โดยรปู แบบทั้งสามสามารถพัฒนาครูเก่ง
ครูดไี ดเ้ พยี งร้อยละ ๖๕.๑ เทา่ นน้ั
วรรณภร ศิริพละ(๒๕๕๙ : บทคัดย่อ) ได้จัดทำรายงานวิจัย เรื่องรูปแบบพัฒนาครูของมหาวิทยาลยั
ราชภฏั มวี ตั ถุประสงค์ ๑. เพือ่ ศึกษาสภาพปัญหาการพฒั นาครูของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ๒. พัฒนารูปแบบการ
พัฒนาครูของมหาวิทยาลัยราชภัฏระเบียบวิธีที่ใช้ในการวิจัย คือ การสำรวจ และการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่ม
ตัวอย่าง ได้แก่ ๑. คณาจารย์และผู้บริหารของมหาวิทยาลัยราชภัฏ และ ๒. ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสังกัดสำนักงานการศึกษากรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
คือ แบบสอบถาม มาตรวัดประมาณค่า ๕ ระดับ และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา
และสมการถดถอยเชงิ พหุ ผลการวิจยั พบว่า
๑. สภาพปัญหาการพัฒนาครูของมหาวิทยาลัยราชภัฏคือ ๑. รูปแบบการพัฒนาครู ได้แก่ ปัจจัย
นำเข้าประกอบด้วย หลักสูตร บุคลากร งบประมาณ อุปกรณ์ เทคโนโลยีและการบริหารงานกระบวนการ
ประกอบด้วย วางแผน ลงมือปฏิบัติ ประเมินผลและตรวจสอบ ผลผลิต ประกอบด้วยวุฒิการศึกษาหรือวิทย
ฐานะเพ่มิ ขึ้น เทคนคิ การจัดการเรยี นรู้และวิจัยในชั้นเรยี น ผลสะท้อนกลับประกอบดว้ ย ความร่วมมือระหว่าง
มหาวิทยาลัยราชภัฏกับสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกปัจจัยมีผลการดำเนินงานระดับมาก ด้วย
คา่ เฉลี่ย ๓.๘๖, ๓.๘๑, ๓.๘๖ และ ๓.๘๗ ตามลำดบั สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ๐.๙๑, ๐.๙๐, ๐.๘๖ และ ๐.๘๕
ตามลำดับ และ ๒. ความพึงพอใจของครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานต่อการพัฒนาครูของมหาวิทยาลัยราชภฏั
ได้แก่ ปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย สำรวจความต้องการพัฒนาครู หลักสูตร สถานที่พัฒนาครู กระบวนการ
ประกอบด้วย กจิ กรรมสร้างทัศนคตทิ างบวกและเสริมแรงทางบวกกับผ้รู บั การพฒั นา อบรม รว่ มนเิ ทศ ติดตาม
ผลผลิต ประกอบด้วย ครูพึงพอใจต่อการพัฒนาและศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง มีวุฒิการศึกษาหรือวิทยฐานะ
เพิ่มขึ้น สถานศึกษาพัฒนาอย่างต่อเนื่องผลสะท้อนกลับประกอบด้วย ครูมีแรงจูงใจพัฒนาตนเองทุกปัจจัยมี
ความพึงพอใจระดับมาก คา่ เฉลีย่ ๔.๐๒, ๔.๐๙, ๔.๑๗ และ ๔.๑๔ ตามลำดบั ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ๐.๗๕,
๐.๗๘, ๐.๗๙ และ ๐.๗๔ ตามลำดบั
๒. รูปแบบการพัฒนาครูของมหาวิทยาลัยราชภัฏงานวิจัย ได้แก่ ๑.ปัจจัยนำเข้าประกอบด้วย
หน่วยงานรับผิดชอบ หลักสูตรพัฒนาครูตามความต้องการของครูด้านนโยบายของหน่วยงานต้นสังกัด ผู้มี
ความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา ๒.กระบวนการพัฒนาครู ประกอบด้วย นวัตกรรมใหม่ตามบริบทของ
มหาวิทยาลัยราชภัฏ ส่งเสริมการสร้างบทเรียนบนระบบการศึกษาแบบเปิดเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Thai
Massive Open Online Course: Thai Mooc) เน้นการชี้แนะ (Coaching) และติดตามผลที่สถานศึกษา ๓.
ผลผลิต เนน้ ผลท่สี อดคล้องความต้องการของผู้รับบริการเชิงวิชาการ ๔.ผลสะทอ้ นกลับประกอบด้วยการสร้าง
ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและสถานศึกษาแรงจูงใจในการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอส่งเสริมให้เกิดชุมชน
การเรยี นรู้ทางวิชาชพี ในสถานศึกษา (PLC-Professional Learning community) และ ๕.บรบิ ทประกอบด้วย
ทักษะการคิด ทักษะทางเทคโนโลยีสารสนเทศและทักษะทางภาษา กระบวนการพัฒนาครูของมหาวิทยาลัย
ราชภัฏการวิจัยคือ ๑.จัดทำสารสนเทศจากผลสำรวจความต้องการของผู้รับบริการ และ ๒.จัดทำแผนพัฒนา
และหลักสูตรพัฒนาครู ๓.ดำเนินการพัฒนาตามที่กำหนดตลอดจนสร้างทัศนคติที่ดีต่อการพัฒนาตนเองและ
การวิจยั ในชั้นเรียน ๔.กำกบั ตดิ ตาม ประเมนิ ผลการพัฒนา ท้ังดา้ นความรู้ และจติ พิสัย