รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญ โดย นายธนากร โวหารสุชน เลขที่ 2 นายพงศธร โกศลรอด เลขที่ 4 นายวรภาส ชาญสิริรัตนกุล เลขที่ 6 นายศุภศิลป์ ตันยา เลขที่ 7 นายอธิวัฒน์ กวนเมืองใต้ เลขที่ 8 นายธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน เลขที่ 32 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 เสนอ ครูรัฐพล ศรีบูรณะพิทักษ์ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา I30202 IS2 การสื่อสารและการนำเสนอ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
ก บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯต้องเผชิญ สมาชิก นายธนากร โวหารสุชน เลขที่ 2 นายพงศธร โกศลรอด เลขที่ 4 นายวรภาส ชาญสิริรัตนกุล เลขที่ 6 นายศุภศิลป์ ตันยา เลขที่ 7 นายอธิวัฒน์ กวนเมืองใต้ เลขที่ 8 นายธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน เลขที่ 32 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/4 ครูที่ปรึกษา นายรัฐพล ศรีบูรณะพิทักษ์ ปีการศึกษา 2565 รายงาน เรื่อง รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯต้องเผชิญ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาค้นคว้าและ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจราจรติดขัด สาเหตุของสภาพการจราจร สำรวจ และข้อมูลเกี่ยวกับการจราจรติดขัด ผลกระทบของการจราจรติดขัด แนวทางการควบคุมและแก้ไข การจราจรติดขัด จากการศึกษา พบว่า องค์ประกอบการจราจร, กฎหมายและพฤติกรรมการขับขี่บน ท้องถนนแบบปลอดภัยที่มีอยู่มาก ทั้งนี้พฤติกรรมของผู้ขับขี่รถบนท้องถนนที่คนส่วนใหญ่จึงนิยมใช้ รถส่วนตัว ทำให้จำนวนรถบนท้องถนนมีเพิ่มมากขึ้นทำให้รถติดได้ด้วย และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ เกิดปัญหาการจราจรติดขัดเป็นระยะเวลานาน โดยสรุปแล้ว สาเหตุต่าง ๆ อย่างพฤติกรรมผู้ขับขี่ รถบนท้องถนนและการเดินเท้าที่ไม่คำนึงถึงกฎจราจร เป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดการจราจรติดขัด ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างมากมายทั้งในชีวิตประจำวันและในสังคม ทั้งทางด้านร่างกายและ จิตใจ ดังนั้นการตระหนักถึงกฎระเบียบจราจรจึงเป็นปัญญาสำคัญที่จะลดปัญหาการจราจรติดขดได้ อีกทางหนึ่ง ลายมือชื่อครูที่ปรึกษา ............................ ลายมือชื่อนักเรียน 1. ........................ 2. ........................ 3. ........................ 4. ........................ 5. ........................ 6. ........................
ข กิตติกรรมประกาศ รายงาน เรื่อง รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญ ฉบับนี้สำเร็จได้ ด้วยความเมตตา จาก ครูรัฐพล ศรีบูรณะพิทักษ์กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ครูประจำวิชา I30202 IS2 การสื่อสารและการนำเสนอ ครูธมลวรรณ หลิมวงศ์ ครูอัมพิกา เสนาวงศ์ และครูอรณี ขวัญตา ที่ให้ความเมตตาประสิทธิ์ประสาทความรู้และทักษะด้านการศึกษาค้นคว้าและการเขียน รายงานวิชาการ อีกทั้งได้สละเวลาให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ ตรวจและแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่ ขอขอบคุณบิดา มารดา ตลอดจนเพื่อนนักเรียนทุกคน ที่คอยเป็นแรงผลักดันและแรงใจใน การจัดทำรายงานวิชาการฉบับนี้จนสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี คุณค่าและประโยชน์ของรายงาน เรื่อง รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญ ฉบับนี้ คณะผู้จัดทำขอมอบให้แก่คณะครูที่มีส่วนในการวางรากฐานทางการศึกษา และประสิทธิ์ประสาท วิชาความรู้แก่คณะผู้จัดทำตลอดมา คณะผู้จัดทำ 27 มกราคม 2566
ค คำนำ รายงาน เรื่อง รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯต้องเผชิญ ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของการศึกษา วิชา I30202 IS2 การสื่อสารและการนำเสนอ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ พัฒนาทักษะการแสวงหา ความรู้อันเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป รายงาน เรื่อง รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญ ฉบับนี้มีความมุ่งหวังนำเสนอเนื้อหา เกี่ยวกับ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจราจรติดขัด สาเหตุของสภาพการจราจร สำรวจและข้อมูล เกี่ยวกับการจราจรติดขัด ผลกระทบของการจราจรติดขัด แนวทางการควบคุมและแก้ไขการจราจร ติดขัด คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานเรื่องนี้จะเอื้อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้า แก่ผู้ที่สนใจได้เป็นอย่างดีขอขอบคุณครูที่ปรึกษาและท่านผู้รู้ที่กรุณาให้คำแนะนำจนเขียนรายงาน ได้สำเร็จและสมาชิกผู้จัดทำที่ให้ความร่วมมือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จนงานสำเร็จลุล่วง และสามารถ ผ่านอุปสรรคได้ด้วยดี คณะผู้จัดทำ 27 มกราคม 2566
สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข คำนำ ค สารบัญ ง สารบัญภาพ จ รถติด ปัญหาที่คนกรุงเทพฯต้องเผชิญ 1 บทนำ 1 1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจราจร 2 1.1 นิยามและความหมายของการจราจร 2 1.2 องค์ประกอบของการจราจร 2 1.2.1 ความสำคัญขององค์ประกอบการจราจร 2 1.2.2 ประเภทขององค์ประกอบการจราจร 2 1.2.3 เครื่องหมายการจราจรทางบกและความหมาย 3 1.3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจราจร 20 2. สาเหตุของการจราจรติดขัด 23 2.1 ปัญหาของระบบขนส่งสาธารณะ 23 2.2 ปัญหาขององค์ประกอบการจราจร 24 2.3 ปัญหาสภาพภูมิศาสตร์ 28 2.4 ปัญหาของวินัยการขับขี่ 28 3. ปัญหาการจราจรและการใช้รถใช้ถนน 30 3.1 จำนวนประเภทผู้ตอบแบบสอบถาม 30 3.2 ผลการสำรวจ 31 4. ผลกระทบของการจราจรติดขัด 41 4.1 ผลกระทบของที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต 41 4.2 ปัญหาวิกฤตจราจรสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 43 4.3 โรคที่เกิดจากรถติด 45
สารบัญ หน้า 5. แนวทางการแก้ไขและการควบคุมปัญหาการจราจรติดขัด 45 5.1 การแก้ไขพฤติกรรมวินัยการขับขี่ของคนใช้ถนน 45 5.2 การแก้ไของค์ประกอบของจราจร 46 5.3 การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ 46 บทสรุป 47 บรรณานุกรม 48 ภาคผนวก 50 ประวัติผู้เขียน 51
รถติด ปัญหาชีวิตที่คนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญ https://www.google.com/url?sa=i&url=https%3A%2F%2Fthematter.co บทนำ การจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานปัญหา ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้คนในสังคมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้พลังงาน สุขภาพจิต เศรษฐกิจชุมชน และสิ่งแวดล้อมของเมือง เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการ ด้วยกัน เช่น ปัญหาองค์ประกอบจราจร, ปัญหาวินัยจราจร, ปัญหาสภาพภูมิศาสตร์ และปัญหาด้าน ประสิทธิภาพของบริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดได้หลายวิธี ไม่ว่า จะเป็นการแก้ไของค์ปะกอบจราจร, การแก้ไขพฤติดรรมวินัยการขับขี่ของคนใช้ถนน, การพัฒนาระบบ ขนส่งสาธารณะซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาระดับชาติและจะต้องช่วยกันแก้ไข ทางกลุ่มเราจึงเห็นว่าปัญหานี้ ควรได้รับการแก้ไข
2 1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจราจร 1.1 นิยามและความหมายของการจราจร ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ได้ให้ความหมายของ “การจราจร” ไว้ดังนี้ การจราจร [กานจะราจอน] หมายความว่า การที่ยวดยานพาหนะ คน หรือ สัตว์ พาหนะเคลื่อนไปมาตามทาง, เรียกผู้มีหน้าที่เกี่ยวด้วยการนั้น (สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, 2554) 1.2 องค์ประกอบของการจราจร 1.2.1 ความสำคัญขององค์ประกอบการจราจร เครื่องหมายต่าง ๆ บนป้ายจราจรล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้การจราจร บนท้องถนนมีระเบียบมากยิ่งขึ้นและยังสามารถช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ด้วย หรือแม้กระทั่งยังช่วยทำให้ การจราจรบนท้องถนนนั้นมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ดังนั้นถ้าหากขับรถบนท้องถนนต้องสังเกต ป้ายจราจรก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะว่าทุกเครื่องหมายบนป้ายจราจรนั้นมีความสำคัญมาก ถ้าขับรถ แบบไม่เคารพกฎป้ายจราจรก็คงทำให้ท้องถนนวุ่นวายมาก และอาจจะทำให้รถติดยาว 1.2.2 ประเภทขององค์ประกอบการจราจร ป้ายจราจรที่เราเห็นบนท้องถนนต่าง ๆ นั้นมีการจำแนกประเภทที่แตกต่างกัน ออกไป การทำความเข้าใจเรื่องประเภทป้ายจราจร จะทำให้สังเกตป้ายจราจรได้ง่ายขึ้นและขับรถแบบ ไม่ฝ่าฝืนกฎจราจร 1) ป้ายจราจรประเภทป้ายบังคับ เป็นป้ายประเภทป้ายห้ามเลี้ยวซ้าย ป้ายห้ามแซง และป้ายห้ามจอดรถ ซึ่งมี ไว้เพื่อควบคุมให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดและเพื่อวินัยการขับขี่ที่ดีบนท้องถนน 2) ป้ายจราจรประเภทป้ายเตือน ป้ายจราจรแบบนี้จะสังเกตได้จากป้ายจราจรประเภทป้ายทางข้ามทางรถไฟ ป้ายทางโค้งขวา ป้ายวงเวียนข้างหน้า จุดประสงค์ก็มีไว้เพื่อแจ้งเตือน ให้ผู้ขับขี่มีความระมัดระวังในการใช้ รถใช้ถนนกันมากขึ้น และเป็นการแจ้งเตือนถึงสิ่งที่จะเจอข้างหน้าอีกด้วย 3) ป้ายจราจรประเภทป้ายแนะนำ เครื่องหมายบนป้ายจราจรจะมีเครื่องหมายอย่างตำแหน่งทางข้าม จุดกลับ รถ และบอกระยะทางเป็นระยะ ๆ โดยประโยชน์ของป้ายจราจรประเภทนี้มีไว้เพื่อช่วยแนะนำการเดินทาง ให้สะดวกสบายและง่ายต่อการสังเกตมากขึ้น
3 1.2.3 เครื่องหมายการจราจรทางบกและความหมาย เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 1) หยุด https://dparktraffic.com/wp-content/uploads/ %E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%94.png รถทุกชนิดต้องหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้ เคลื่อนรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง 2) ห้ามจอด https://www.roojai.com/wp-ontent/uploads/ 2022/07/commonly-misunderstood-road-signs-2.jpg ห้ามมิให้จอดรถทุกชนิดระหว่างแนวนั้น เว้นแต่ การรับ-ส่งคน หรือสิ่งของชั่วขณะ ซึ่งต้องกระทำ โดยมิชักช้า 3) ให้ทาง https://cdn.carsome.co.th/news/2_7-768x576.jpg รถทุกชนิดต้องระมัดระวังและให้ทางแก่รถและคน เดินเท้าในทางขวางหน้าผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่า ปลอดภัย และ ไม่เป็นการกีดขวางการจราจรที่ บริเวณทางแยกนั้นแล้ว จึงให้เคลื่อนรถต่อไปได้ ด้วยความระมัดระวัง
4 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 4) ให้รถสวนทางมาก่อน https://cdn.carsome.co.th/news/3_2-768x576.jpg ให้ผู้ขับรถทุกชนิดหยุดรถตรงป้าย เพื่อให้รถที่ กำลังแล่นสวนทางมาก่อน ถ้ามีรถข้างหน้าหยุดรอ อยู่ก่อนก็ให้หยุดรถรอถัดต่อกันมาตามลำดับ เมื่อ รถที่สวนทางมาได้ผ่านไปหมดแล้ว จึงให้รถที่หยุด รอตามป้ายนี้เคลื่อนไปได้ 5) ห้ามแซง https://cdn.carsome.co.th/news/4_2-768x576.jpg ห้ามมิให้ขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในเขตทางที่ ติดตั้งป้าย 6) ห้ามเข้า https://cdn.carsome.co.th/news/5_3-768x576.jpg ห้ามมิให้รถทุกชนิดเข้าไปในทางที่ติดตั้งป้าย
5 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 7) ห้ามกลับรถไปทางขวา https://cdn.carsome.co.th/news/6_2-768x576.jpg ห้ามมิให้กลับรถไปทางขวาไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆในเขต ทางที่ติดตั้งป้าย 8) ห้ามกลับรถไปทางซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/6_2-768x576.jpg ห้ามมิให้กลับรถไปทางขวาไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆในเขต ทางที่ติดตั้งป้าย 9) ห้ามเลี้ยวซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/8_2-768x576.jpg ห้ามมิให้เลี้ยวรถไปทางซ้าย
6 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 10) ห้ามเลี้ยวขวา https://cdn.carsome.co.th/news/9_1-768x576.jpg ห้ามมิให้เลี้ยวรถไปทางขวา 11) ห้ามรถยนต์ https://cdn.carsome.co.th/news/10_1-768x576.jpg ห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้ง ป้าย 12) ห้ามรถบรรทุก https://cdn.carsome.co.th/news/11_1-768x576.jpg ห้ามรถบรรทุกทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตทางที่ ติดตั้งป้าย
7 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 13) ห้ามรถจักรยานยนต์ https://cdn.carsome.co.th/news/12_1-768x576.jpg ห้ามรถจักรยานยนต์ผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้ง ป้าย 14) ห้ามรถยนต์สามล้อ https://cdn.carsome.co.th/news/13_1-768x576.jpg ห้ามรถยนต์สามล้อผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้ง ป้าย 15) ห้ามคน https://cdn.carsome.co.th/news/sHfNbcFb-21.jpg ห้ามคนผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย
8 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 16) ห้ามหยุดรถ https://cdn.carsome.co.th/news/H2DccApG-23.jpg ห้ามมิให้หยุดรถหรือจอดรถทุกชนิดตรงแนวนั้น เป็นอันขาด 17) หยุดตรวจ https://cdn.carsome.co.th/news/YoGD03HK-24.jpg ให้ผู้ขับรถหยุดรถที่ป้ายนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจ และเคลื่อนรถต่อไปได้เมื่อได้รับอนุญาตจาก เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจแล้วเท่านั้น 18) จำกัดความเร็ว https://cdn.carsome.co.th/news/oz6TRwnC-25.jpg ห้ามมิให้ผู้ขับรถทุกชนิดใช้ความเร็วเกินกว่า ที่กำหนดเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามจำนวน ตัวเลขในแผ่นป้ายนั้น ๆ ในเขตทางที่ติดตั้งป้าย จนกว่าจะพ้นที่สุดระยะที่จำกัดความเร็วนั้น
9 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 19) ห้ามรถหนักเกินกำหนด https://cdn.carsome.co.th/news/Q0CmS3XV-26.jpg ห้ามมิให้รถทุกชนิดที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนด หรือเมื่อรวมน้ำหนักรถกับน้ำหนักบรรทุก เกินกว่า ที่กำหนดไว้เป็น “ตัน” ตามจำนวนเลขใน เครื่องหมายนั้น ๆ เข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย 20) ห้ามรถสูงเกินกำหนด https://cdn.carsome.co.th/news/ZWwvv0jP-28.jpg ห้ามมิให้รถทุกชนิดที่มีความสูงของรถรวมทั้งของ ที่บรรทุกเกินกว่ากำหนดเป็น “เมตร” ตามจำนวน เลขในเครื่องหมาย เข้าไปในเขตทางหรืออุโมงค์ที่ ติดตั้งป้าย 21) ให้รถเดินทางเดียวไปข้างหน้า https://cdn.carsome.co.th/news/mAxXIWI9-29.jpg ให้ขับรถตรงไปตามทิศทางที่ป้ายกำหนด
10 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 22) ทางเดินรถทางเดียวไปด้านซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/7CLp4ODw-30.jpg รถไปทางซ้ายแต่ทางเดียว 23) ทางเดินรถทางเดียวไปทางขวา https://cdn.carsome.co.th/news/IHgEoeVV-31.jpg ให้ขับรถไปทางขวาแต่ทางเดียว 24) ให้ชิดซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/dUBKnzOX-32.jpg ให้ขับรถผ่านไปทางซ้ายของป้าย
11 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 25) ให้ชิดขวา https://cdn.carsome.co.th/news/rnrkEaG7-33.jpg ให้ขับรถผ่านไปทางขวาของป้าย 26) ให้เลี้ยวซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/TaCE3nu3-34.jpg ให้ขับรถผ่านไปทางขวาของป้าย 27) ให้เลี้ยวขวา https://cdn.carsome.co.th/news/vndmvCwN-35.jpg ให้ขับรถเลี้ยวไปทางขวาแต่ทางเดียว
12 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 28) ให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา https://cdn.carsome.co.th/news/q515.jpg ให้ขับรถไปทางซ้ายหรือไปทางขวา 29) ให้ไปทางซ้ายหรือทางขวา https://cdn.carsome.co.th/news/q514.jpg ให้ขับรถผ่านไปทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวาของ ป้าย 30) วงเวียน https://cdn.carsome.co.th/news/38-768x576.jpg ให้รถทุกชนิดเดินวนทางซ้ายของวงเวียน และรถที่ เริ่มจะเข้าสู่ทางร่วมบริเวณวงเวียนต้องหยุดให้ สิทธิแก่รถที่แล่นอยู่ในทางรอบวงเวียนไปก่อน ห้ามขับรถแทรกหรือตัดหน้ารถที่อยู่ในทางรอบ บริเวณวงเวียนนึกถึง
13 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 31) ทางโค้งซ้าย https://www.carsome.co.th/news/wpcontent/uploads/1_10-768x576.jpg ทางข้างหน้าโค้งไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลง พอสมควร และเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความ ระมัดระวัง 32) ทางโค้งขวา https://cdn.carsome.co.th/news/2_9-768x576.jpg ทางข้างหน้าโค้งไปทางขวา ให้ขับรถให้ช้าลง พอสมควร และเดินรถชิดด้านขวาด้วยความ ระมัดระวัง 33) ทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/3_4-768x576.jpg ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความ ระมัดระวัง
14 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 34) ทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวขวา https://cdn.carsome.co.th/news/4_4-768x576.jpg ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางขวา ให้ขับรถให้ ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวาด้วยความ ระมัดระวัง 35) ทางโค้งรัศมีแคบเริ่มซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/5_5-768x576.jpg ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางซ้ายแล้วกลับ ให้ ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวา ด้วยความระมัดระวัง 36) ทางโค้งรัศมีแคบเริ่มขวา https://cdn.carsome.co.th/news/6_4-768x576.jpg ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางขวาแล้วกลับ ให้ ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวา ด้วยความระมัดระวัง
15 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 37) ทางคดเคี้ยวเริ่มซ้าย https://cdn.carsome.co.th/news/7_5-768x576.jpg ทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้าย ด้วยความระมัดระวัง 38) ทางคดเคี้ยวเริ่มขวา https://cdn.carsome.co.th/news/8_4-768x576.jpg ทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มไปทางขวา ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและเดินรถชิดด้านซ้าย ด้วยความระมัดระวัง 39) วงเวียนข้างหน้า https://cdn.carsome.co.th/news/17_3-768x576.jpg ทางข้างหน้าจะเป็นทางแยกมีวงเวียน ให้ขับรถให้ ช้าลง และเดินรถด้วยความระมัดระวัง
16 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 40) ทางข้ามรถไฟมีเครื่องกั้นทาง https://cdn.carsome.co.th/news/23_1-768x576.jpg หน้าที่กั้นทาง หรือมีเครื่องกั้นทางปิดกั้น ถ้ามีรถ ข้างหน้าหยุดรออยู่ก่อน ก็ให้หยุดรถถัดต่อมา ตามลำดับ เมื่อเปิดเครื่องกั้นทางแล้วให้รถที่หยุด รอเคลื่อนที่ตามกันได้ 41) ทางขึ้นลาดชัน https://cdn.carsome.co.th/news/24_1-768x576.jpg ทางข้างหน้าเป็นทางลาดชันขึ้นเขาหรือขึ้นเนิน สัน เขา หรือสันเนิน อาจกำบังสายตาไม่ให้มองเห็นรถ ที่สวนมา ให้ขับรถให้ช้าลง และเดินรถใกล้ขอบ ทางด้านซ้ายให้มาก กับให้ระมัดระวังอันตรายจาก รถที่สวนทางมา 42) ทางลงลาดชัน https://cdn.carsome.co.th/news/25_2-768x576.jpg ทางข้างหน้าเป็นทางลาดลงเขาหรือลงเนิน ให้ขับ รถให้ช้าลง เดินรถใกล้ขอบทางด้านซ้ายให้มาก และผู้ขับรถไม่ควรปลดเกียร์หรือดับเครื่องยนต์ เป็นอันขาดในกรณีที่เป็นทางลงเขา หรือเนินที่ชัน มาก ให้ใช้เกียร์ต่ำเพื่อความปลอดภัย
17 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 43) เตือนรถกระโดด https://cdn.carsome.co.th/news/26_1-768x576.jpg ทางข้างหน้าเปลี่ยนระดับอย่างกะทันหัน เช่น บริเวณคอสะพาน ทางข้ามท่อระบายน้ำ และสัน ชะลอความเร็ว เป็นต้น ให้ขับรถให้ช้าลง และเพิ่ม ความระมัดระวัง 44) ผิวทางขรุขระ https://cdn.carsome.co.th/news/27_1-768x576.jpg ทางข้างหน้าเปลี่ยนระดับอย่างกะทันหัน เช่น บริเวณคอสะพาน ทางข้ามท่อระบายน้ำ และสัน ชะลอความเร็ว เป็นต้น ให้ขับรถให้ช้าลง และเพิ่ม ความระมัดระวัง 45) ทางลื่น https://cdn.carsome.co.th/news/28_1-768x576.jpg ทางข้างหน้าลื่นเมื่อผิวทางเปียกอาจเกิดอุบัติเหตุ ได้ง่าย ให้ขับรถให้ช้าลงให้มาก และระมัดระวัง การลื่นไถล อย่าใช้ห้ามล้อโดยแรงและทันทีการ หยุดรถ การเบารถ หรือเลี้ยวรถในทางลื่น ต้อง กระทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
18 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 46) สัญญาณจราจร https://cdn.carsome.co.th/news/35_1-768x576.jpg ทางข้างหน้ามีสัญญาณไฟจราจร ให้ขับรถช้าลง และพร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร 47) ระวังคนข้ามถนน https://www.carsome.co.th/news/wp-content/uploads/37- 768x576.jpg ทางข้างหน้ามีทางสำหรับคนข้ามถนนหรือมี หมู่บ้านราษฎรอยู่ข้างทาง ซึ่งมีคนเดินข้ามไป-มา อยู่เสมอ ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและ ระมัดระวังคนข้ามถนน ถ้ามีคนกำลังเดินข้ามถนน ให้หยุดรถให้คนเดินข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย 48) ระวังคนข้ามถนน https://www.carsome.co.th/news/wpcontent/uploads/38_1-768x576.jpg ทางข้างหน้ามีโรงเรียนตั้งอยู่ข้างทาง ให้ขับรถให้ ช้าลงและระมัดระวังอุบัติเหตุซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแก่ เด็กนักเรียน ถ้ามีเด็กนักเรียนกำลังเดินข้ามถนน ให้หยุดรถให้เด็กนักเรียนข้ามถนนไปได้โดย ปลอดภัย ถ้าเป็นเวลาที่โรงเรียนกำลังสอน ให้งด ใช้เสียงสัญญาณ และห้ามทำให้เกิดเสียงรบกวน ด้วยประการใด
19 เครื่องหมายการจราจร ความหมาย 49) ระวังสัตว์ https://www.carsome.co.th/news/wpcontent/uploads/39_1-768x576.jpg ทางข้างหน้าอาจมีสัตว์ข้ามทาง ให้ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังอันตรายเป็นพิเศษ 50) คนทำงาน https://cdn.carsome.co.th/news/47-768x576.jpg ทางข้างหน้ามีคนงานกำลังทำงานอยู่บนผิวจราจร หรือใกล้ชิดกับผิวจราจร
20 1.3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจราจร 1.3.1 พระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติการจราจรทางบก ปัจจุบันใช้ พระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2552 โดยมีการปรับปรุงจากพระราชบัญญัติฉบับเดิม ได้แก่ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2477 พระราชบัญญัติจราจรทางบก แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2478 พระราชบัญญัติจราจร ทางบก (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2481 พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2508 และ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 59 ลงวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2515 โดย พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่าโดยที่เป็นการสมควรปรับปรุง กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดย คำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ (1) “การจราจร” หมายความว่า การใช้ทางของผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนที่จูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ (2) “ทาง” หมายความว่า ทางเดินรถ ช่องเดินรถ ช่องเดินรถประจำทาง ไหล่ทาง ทางเท้า ทางข้าม ทางร่วมทางแยก ทางลาด ทางโค้ง สะพาน และลานที่ประชาชนใช้ ในการจราจร และให้หมายความรวมถึงทางส่วนบุคคลที่เจ้าของยินยอมให้ประชาชนใช้ในการจราจรหรือ ที่หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร*ได้ประกาศให้เป็นทางตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย แต่ไม่รวมไปถึงทางรถไฟ (3) “ทางเดินรถ” หมายความว่า พื้นที่ที่ทำไว้สำหรับการเดินรถไม่ว่าในระดับ พื้นดิน ใต้หรือเหนือพื้นดิน (4) “ช่องเดินรถ” หมายความว่า ทางเดินรถที่จัดแบ่งเป็นช่องสำหรับ การเดินรถ โดยทำเครื่องหมายเป็นเส้นหรือแนวแบ่งเป็นช่องไว้ (5) “ช่องเดินรถประจำทาง” หมายความว่า ช่องเดินรถที่กำหนดให้เป็น ช่องเดินรถสำหรับรถโดยสารประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารประเภทที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำหนด (6) “ทางเดินรถทางเดียว” หมายความว่า ทางเดินรถใดที่กำหนดให้ผู้ขับรถ ขับไปในทิศทางเดียวกันตามเวลาที่หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร*กำหนด (7) “ขอบทาง” หมายความว่า แนวริมของทางเดินรถ (8) “ไหล่ทาง” หมายความว่า พื้นที่ที่ต่อจากขอบทางออกไปทางด้านข้าง ซึ่งยังมิได้จัดทำเป็นทางเท้า (9) “ทางร่วมทางแยก” หมายความว่า พื้นที่ที่ทางเดินรถตั้งแต่สองสายตัดผ่านกัน รวมบรรจบกัน หรือติดกัน (10) “วงเวียน” หมายความว่า ทางเดินรถที่กำหนดให้รถเดินรอบเครื่องหมาย จราจรหรือสิ่งที่สร้างขึ้นในทางร่วมทางแยก
21 (11) “ทางเท้า” หมายความว่า พื้นที่ที่ทำไว้สำหรับคนเดินซึ่งอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ของทาง หรือทั้งสองข้างของทาง หรือส่วนที่อยู่ชิดขอบทางซึ่งใช้เป็นที่สำหรับคนเดิน (12) “ทางข้าม” หมายความว่า พื้นที่ที่ทำไว้สำหรับให้คนเดินเท้าข้ามทางโดย ทำเครื่องหมายเป็นเส้นหรือแนวหรือตอกหมุดไว้บนทาง และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ที่ทำให้คนเดินเท้า ข้ามไม่ว่าในระดับใต้หรือเหนือพื้นดินด้วย (13) “เขตปลอดภัย” หมายความว่า พื้นที่ในทางเดินรถที่มีเครื่องหมายแสดงไว้ ให้เห็นได้ชัดเจนทุกเวลา สำหรับให้คนเดินเท้าที่ข้ามทางหยุดรอหรือให้คนที่ขึ้นหรือลงรถหยุดรอก่อนจะ ข้ามทางต่อไป (14) “ที่คับขัน” หมายความว่า ทางที่มีการจราจรพลุกพล่านหรือมีสิ่งกีดขวาง หรือในที่ซึ่งมองเห็นหรือทราบได้ล่วงหน้าว่าอาจเกิดอันตรายหรือความเสียหายแก่รถหรือคนได้ง่าย (15) “รถ” หมายความว่า ยานพาหนะทางบกทุกชนิด เว้นแต่รถไฟและรถราง (16) “รถยนต์” หมายความว่า รถที่มีล้อตั้งแต่สามล้อและเดินด้วยกำลัง เครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้าหรือพลังงานอื่น ยกเว้นรถที่เดินบนราง (17) “รถจักรยานยนต์” หมายความว่า รถที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น และมีล้อไม่เกินสองล้อ ถ้ามีพ่วงข้างมีล้อเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งล้อ (18) “รถจักรยาน” หมายความว่า รถที่เดินด้วยกำลังของผู้ขับขี่ที่มิใช่ เป็นการลากเข็น (19) “รถฉุกเฉิน” หมายความว่า รถดับเพลิงและรถพยาบาลของราชการ บริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือรถอื่นที่ได้รับอนุญาต จากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ หรือให้ใช้เสียงสัญญาณไซเรนหรือเสียง สัญญาณอย่างอื่นตามที่จะกำหนดให้ (20) “รถบรรทุก” หมายความว่า รถยนต์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้บรรทุกสิ่งของหรือ สัตว์ (21) “รถบรรทุกคนโดยสาร” หมายความว่า รถยนต์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้บรรทุก คนโดยสารเกินเจ็ดคน (22) “รถโรงเรียน” หมายความว่า รถบรรทุกคนโดยสารที่โรงเรียนใช้รับส่ง นักเรียน (23) “รถโดยสารประจำทาง” หมายความว่า รถบรรทุกคนโดยสารที่เดินตาม ทางที่กำหนดไว้ และเรียกเก็บค่าโดยสารเป็นรายคนตามอัตราที่วางไว้เป็นระยะทางหรือตลอดทาง (24) “รถแท็กซี่” หมายความว่า รถยนต์ที่ใช้รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน เจ็ดคน (25) “รถลากจูง” หมายความว่า รถยนต์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับลากจูงรถหรือ เครื่องมือการเกษตรหรือเครื่องมือการก่อสร้าง โดยตัวรถนั้นเองมิได้ใช้สำหรับบรรทุกคนหรือสิ่งของ
22 (26) “รถพ่วง” หมายความว่า รถที่เคลื่อนที่ไปโดยใช้รถอื่นลากจูง (27) “มาตรแท็กซี่” หมายความว่า เครื่องแสดงอัตราและค่าโดยสารของรถ แท็กซี่ โดยอาศัยเกณฑ์ระยะทางหรือเวลาการใช้รถแท็กซี่ หรือโดยอาศัยทั้งระยะทางและเวลาการใช้รถ แท็กซี่ (28) “ผู้ขับขี่” หมายความว่า ผู้ขับรถ ผู้ประจำเครื่องอุปกรณ์การขนส่งตาม กฎหมายว่าด้วยการขนส่ง ผู้ลากเข็นยานพาหนะ (29) “คนเดินเท้า” หมายความว่า คนเดินและให้รวมตลอดถึงผู้ใช้เก้าอี้ล้อ สำหรับคนพิการหรือรถสำหรับเด็กด้วย (30) “เจ้าของรถ” หมายความรวมถึงผู้มีรถไว้ในครอบครองด้วย (31) “ผู้เก็บค่าโดยสาร” หมายความว่า ผู้ซึ่งรับผิดชอบในการเก็บค่าโดยสาร และผู้ดูแลคนโดยสารที่อยู่ประจำรถบรรทุกคนโดยสาร (32) “ใบอนุญาตขับขี่” หมายความว่า ใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วย รถยนต์ และใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก (33) “สัญญาณจราจร” หมายความว่า สัญญาณใด ๆ ไม่ว่าจะแสดงด้วยธง ไฟ ไฟฟ้า มือ แขน เสียงนกหวีด หรือด้วยวิธีอื่นใด สำหรับให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนที่จูง ขี่ หรือไล่ต้อน สัตว์ ปฏิบัติตามสัญญาณนั้น (34) “เครื่องหมายจราจร” หมายความว่า เครื่องหมายใด ๆ ที่ได้ติดตั้งไว้ หรือ ทำให้ปรากฏในทางสำหรับให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนที่จูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ ปฏิบัติตามเครื่องหมาย นั้น (35) “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ (36) (ยกเลิก) (37) “เจ้าพนักงานจราจร” หมายความว่า หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรและ ข้าราชการตำรวจซึ่งดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้ (ก) รองผู้กำกับการจราจร (ข) สารวัตรจราจร (ค) รองสารวัตรจราจร (ง) ผู้บังคับหมู่งานจราจร (จ) รองผู้บังคับหมู่งานจราจร (ฉ) ข้าราชการตำรวจตำแหน่งอื่นซึ่งหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรแต่งตั้ง ให้ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจร (38) “หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร” หมายความว่า ผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติหรือข้าราชการตำรวจซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองผู้กำกับการหรือเทียบเท่าที่ได้รับแต่งตั้ง จากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
23 (39) “อาสาจราจร” หมายความว่า ผู้ซึ่งผ่านการอบรมตามหลักสูตรอาสา จราจร และได้รับแต่งตั้งจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน จราจร*ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ (40) “ผู้ตรวจการ” หมายความว่า ผู้ตรวจการตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่ง ทางบกและผู้ตรวจการตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ [คำว่า “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2559] (ราชกิจจานุเบกษา, 2522) 2. สาเหตุของการจราจรติดขัด 2.1 ปัญหาของระบบขนส่งสาธารณะ ระบบขนส่งในประเทศไทยกำลังเติบโตและถูกจับตามองจากชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยได้ดำเนินการลงทุนด้านระบบขนส่งทั้งการขนส่งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ มากขึ้น แต่ผู้ประกอบธุรกิจขนส่งยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดและปัญหาในการดำเนินกิจการ ที่ส่งผลต่อ การดำเนินธุรกิจ 2.1.1 ปัญหาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการขนส่ง ระบบขนส่งทางเรือ ท่าเรือหลักของไทยไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดินเรือหลักของโลก จึงเกิดข้อจำกัดในเรื่องของประสิทธิภาพของช่องทางการค้า ระบบขนส่งทางอากาศ การสร้างเครือข่ายทางการค้ายังไม่เป็นที่รู้จักและมี อุปสรรคในเรื่องของขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาช้า ระบบขนส่งแบบราง ยังมีประสิทธิภาพที่ไม่มากพอต่อการตอบสนองการส่ง สินค้าไปยังผู้ใช้บริการ เนื่องจากยังมีสถานีเพื่อรองรับสินค้าที่ไม่เพียงพอ และขาดศูนย์กระจายสินค้า ในพื้นที่สำคัญ ระบบขนส่งทางถนน ยังพบปัญหาการจราจรติดขัด พนักงานขับรถยังไม่มี ความชำนาญในเส้นทางมากพอ และมักเกิดอุบัติเหตุระหว่างการส่งบ่อยครั้ง จึงทำให้ไม่สามารถส่งสินค้า ได้ตามเวลาที่กำหนด 2.1.2 ปัญหาด้านผู้ให้บริการระบบขนส่ง ผู้ให้บริการด้านการขนส่งยังไม่มีศักยภาพมากพอที่จะแข่งขันกับบริษัทต่างชาติ เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศในอาเซียนอย่างเช่น การจัดการการขนส่งสินค้าทางเรือของประเทศ สิงคโปร์ ที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการกำหนดนโยบายด้านการขนส่งทางทะเลที่ ชัดเจนและมีองค์กรเฉพาะเพื่อรับผิดชอบกิจการท่าเรือและพาณิชย์นาวี ในขณะที่ประเทศไทยยังคงเผชิญ กับปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาท่าเรือของไทย ปัญหาเกี่ยวกับเอกสาร พิธีการ กฎระเบียบ รวมถึง ปัญหากำลังคนด้านพาณิชย์นาวี
24 2.1.3 ปัญหาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อุปสรรคสำคัญคือขาดการเชื่อมโยงเครือข่ายของการทำธุรกรรมระหว่างองค์กร ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์กรยังคงไม่มีประสิทธิภาพ เท่าที่ควร อีกทั้งปัญหาเรื่องการจัดเก็บข้อมูลการขนส่ง ดังนั้นจำเป็นต้องเสริมสร้างและนำเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังมากขึ้น 2.1.4 ปัญหาด้านการบริหารจัดการ ระบบขนส่งของไทยยังคงขาดทักษะในการทำการตลาด เนื่องจากขาด การประชาสัมพันธ์ ขาดกลยุทธ์ทางการตลาด อีกทั้งยังมีกระบวนการจัดการที่ซับซ้อน หลายขั้นตอน และ ยังไม่ค่อยเปิดใจนำเทคโนโลยีหรือความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน 2.1.5 ปัญหาที่เกิดจากภายในองค์กร ธุรกิจการขนส่งในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายอย่างที่เป็นอุปสรรค หรือปัญหาต่อการดำเนินกิจการ และเป็นเหตุให้ต้นทุนในการขนส่งสินค้าสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ค่าแรงงาน ต้นทุนค่าขนส่ง เนื่องจากค่าเงินที่แข็งตัว ค่าน้ำมันแพงขึ้น คู่แข่งขันมีมากและทวีความรุนแรง เพิ่มขึ้น (สถาบันวิจัยและบริการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอยูโพล), 2559) 2.2 ปัญหาขององค์ประกอบการจราจร 2.2.1 คนขับรถยนต์(Driver) คนขับรถยนต์(Driver) เกี่ยวข้องกับการจราจรได้ใน 3 ลักษณะ คือ สมรรถนะ ในการขับรถยนต์, การตัดสินใจ, มารยาทในการขับรถ 1) สมรรถนะในการขับรถยนต์(Ability) มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ปัจจัยทางกายภาพ (Physical Factors) ได้แก่ ความสามารถในการมองเห็น (Vision) การได้ยิน (Hearing) และการมีปฏิกิริยาโต้ตอบ (Reflection) นอกจากสมรรถนะหรือความสามารถในการขับขี่รถนั้น เกี่ยวข้องกับความพร้อมของร่างกาย ความเมา ความง่วง เป็นต้น 2) การตัดสินใจ (Decision Making) จะเกี่ยวข้องกับระยะเวลาในการตัดสินใจ (Percption–ReactionTime, PIEV) คือ ระยะเวลาที่ร่างกายรับรู้ทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ตา หู การสัมผัส และส่งการรับรู้ ไปยังสมอง เพื่อสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่รถยนต์ เช่น ให้มือและเท้าเหยียบเบรก การเลี้ยวซ้ายหรือขวา หรือ หยุดรถ เป็นต้น ระยะเวลาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนี้ คือระยะเวลาในการตัดสินใจ 3) มารยาทในการขับรถ เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปัญหาจราจรประการหนึ่ง มารยาทในการขับรถ จะเกี่ยวข้องกับ การศึกษา (Education) การอบรม (Train) การตระหนักถึง (Concern) ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย
25 2.2.2 คนโดยสาร (Passenger) เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปัญหาจราจร ประการหนึ่งทางด้านบวกและด้านลบ ที่ส่งผลต่อการขับขี่ของคนขับรถ ในด้านบวก เช่น การขับขี่รถหรือเดินทางที่มีระยะทางไกล แสงสว่าง มีฝนตกหรือพายุ หรือกรณีทัศนวิสัยไม่ปกติต่างๆ คนโดยสารสามารถเป็นผู้ช่วยคนขับขี่ให้มี ความระมัดระวังในการขับขี่มากยิ่งขึ้น หรือเป็นผู้ช่วยในการดูเส้นทาง (Navigator) หรือคอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่ให้คนขับเกิดความง่วง จะทำให้การขับขี่ มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน คนโดยสาร สามารถส่งผลกระทบในด้านลบต่อคนขับด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ อารมณ์ ความสามารถ ในการมองเห็น สมาธิหรือความตั้งใจในการขับรถ เป็นต้น 2.2.3 คนเดินเท้า (Pedestrian) คนเดินเท้าเป็นปัจจัยหนึ่งของการจราจร และมีผลกระทบต่อการไหลของ การจราจร ดังนั้นการออกแบบระบบการจราจรจะต้องให้สัมพันธ์กัน ได้แก่ บาทวิถี หรือทางเดินเท้าข้าง ถนน ทางข้ามถนน (ทางม้าลาย) สะพานลอย, อุโมงค์สำหรับคนข้าม ทางเดินยกระดับ (Sky walk) และ สัญญาณไฟสำหรับคนข้าม ฯลฯ ทางเดินเท้าข้างถนน มีประโยชน์ต่อการจราจรเพราะเป็นช่องทางสำหรับ ประชาชนสามารถเดินทางสัญจรไปมาได้โดยไม่จำเป็นต้องลงมาเดินบนผิวการจราจร ซึ่งจะทำให้กีดขวาง การจราจร และอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ ทางข้ามถนน (ทางม้าลาย) มีประโยชน์ในการสร้างความปลอดภัย ที่คน จะเดินข้ามถนนอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ควรประกอบสัญญาณไฟจราจรสำหรับคนข้ามถนน สะพานลอยและอุโมงค์จะทำให้คนสามารถเดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย โดยไม่จำเป็นต้องลงมาบน ผิวการจราจร หรือตัดกระแสการเดินรถ ทางเดินยกระดับ (sky walk) หรืออุโมงค์ใต้ดินสำหรับรถไฟฟ้า ใต้ดิน จะเป็นเส้นทางสำหรับคน ที่จะเดินหรือข้ามถนน โดยไม่จำเป็นต้องอยู่บนผิวการจราจรซึ่งจะทำให้ กีดขวางการจราจรโดยไม่จำเป็นต้องลงมาบนผิวการจราจร หรือตัดกระแสการเดินรถ เช่นกัน การจัดระเบียบคนเดินเท้าให้สัมพันธ์กับสภาพการจราจร โดยให้มีความสัมพันธ์กับป้ายรถประจำทาง สถานีรถไฟฟ้า หรือสถานีรถไฟใต้ดิน จะทำให้เกิดความสะดวกสบายและลดการใช้ยานพาหนะ ระยะทาง ที่คนเดินเท้าขึ้นอยู่กับสภาพของทางว่าร่มเย็นหรืออากาศร้อนแค่ไหน 2.2.4 รถยนต์(car) มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการคือ 1) ลักษณะขนาดและน้ำหนักของรถ (Statics) ลักษณะขนาดและน้ำหนักของรถ หมายถึง ขนาดความกว้าง ความยาว ความสูง และน้ำหนักรถ ขนาดของรถจะมีผลต่อการออกแบบความกว้างของถนนและไหล่ทาง, ที่จอดรถ, รัศมีความโค้งของถนน, เกาะกลางถนน และพื้นที่ปลอดภัย ส่วนน้ำหนักของรถจะเกี่ยวข้องกับ การออกแบบความหนาและความคงทนของถนน การประหยัดน้ำมัน และความสามารถในการเพิ่มอัตรา ความเร็วของรถยนต์
26 2) ลักษณะเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของรถ (Kinematics) รถแต่ละชนิดจะมีเครื่องยนต์ซึ่งทำให้เกิดกำลังการขับเคลื่อน โดย เครื่องยนต์จะเผาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อแปลงเป็นพลังงานให้เกิดการหมุน ของล้อ การขับเคลื่อนของรถ จะสัมพันธ์กับกำลังของรถ และอัตราการเร่งกำลังของรถ (Power) คือความสามารถในกาขับเคลื่อนของ รถ ที่จำเป็นต้องมีกำลังของยานพาหนะมากกว่าแรงต้านต่าง ๆ กำลังมีหน่วยเป็นแรงม้า อัตราการเร่ง (Acceleration) คืออัตราระหว่างความเร็วของรถที่คงที่ต่อระยะเวลา 3) ลักษณะของแรงต่าง ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการเคลื่อนที่ของรถ (Dynamic) รถในขณะที่เคลื่อนที่จะมีแรงต่าง ๆ มากกระทำต่อรถในทางตรงกันข้ามกับ แรงที่ทำให้รถเคลื่อนที่แรงดังกล่าวได้แก่ แรงเสียดทาน (Friction Resistance) เป็นแรงต้านการเร่งของยานพาหนะ เนื่องมาจากความขรุขระของผิวถนน แรงต้านทานเนื่องจากการเคลื่อนที่ (Rolling Resistance) เกิดขณะที่รถ แล่นไปบนทางราบในแนวตรงด้วยอัตราเร่งคงที่ขณะที่ล้อหมุนไปบนผิวทาง ในสภาพพื้นผิวจราจรปกติ แรงต้านเนื่องจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แรงต้านทานเนื่องจากความชัน (Grade Resistance) เกิดเมื่อรถแล่น ขึ้นเนินที่มีความลาดชัน จะเกิดแรงต้านระหว่างน้ำหนักของตัวรถและความลาดชันของพื้น 2.2.5 ถนน (Road) ถนนเป็นปัจจัยของการจราจร และมีความเกี่ยวพันกับวิศวกรรมจราจร (Traffic Engineering) เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่การออกแบบ การกำหนดประเภท การก่อสร้าง การควบคุม คุณภาพให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรมจราจร ตลอดจนโครงข่ายของถนน(Road Network) และโครงข่าย การจราจร (Traffic Network) ถนนจะต้องก่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางของรถ การก่อสร้างถนน จะต้องออกแบบด้วยหลักเรขาคณิต (Geometric Design) ซึ่งประกอบไปด้วย การวางแนวถนน (Road Alignment), การออกแบบทางโค้ง, ระยะสายตา (Sight Distance) และการออกแบบทางแยก (Intersection) เป็นต้น การก่อสร้างถนน จะต้องคำนึงถึงลักษณะ ขนาด และน้ำหนักของรถ การเคลื่อนที่ ของรถ และผลกระทบต่าง ๆ ที่มีต่อการเคลื่อนที่ของรถด้วย 1) การออกแบบถนน (Geometric Design) ต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1.1) ความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจร ของประเภทรถยนต์ ชนิดต่าง ๆ และความเร็วของรถ 1.2) ให้ความปลอดภัยและความมั่นใจแก่ผู้ขับรถ 1.3) ไม่ควรเกิดการเปลี่ยนแปลงของแนวถนน ทางโค้ง ความลาด ความชัน
27 1.4) สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบควบคุมการสัญจรต่าง ๆ ที่จำเป็น อาทิ ป้ายสัญญาณไฟ ฯลฯ 1.5) คำนึงถึงความประหยัดในการก่อสร้าง และการบำรุงรักษา นอกจากนี้ การออกแบบถนนยังควรคำนึงถึงความสวยงาม, ความพอใจของ ผู้ใช้ถนนหรือผู้อาศัยใกล้เคียง, มีประโยชน์ต่อสังคม 2) ประเภทของถนน ตามหลักวิศวกรรมจราจร มี 3 ประเภท คือ 2.1) ทางพิเศษหรือทางด่วน (Expressway System) เป็นถนนที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อ อำนวยความสะดวกในการ เดินทางให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีลักษณะแตกต่างจากถนนประเภทอื่น ๆ คือ สามารถรองรับ ปริมาณจราจรได้เป็นจำนวนมาก มีข้อกำหนดเป็นพิเศษแตกต่างจากถนนปกติ เช่น การจำกัดประเภทรถ หรืออนุญาตเฉพาะยานพาหนะที่มีเครื่องยนต์ ไม่อนุญาตให้คนหรือสัตว์เดินหรือข้าม และไม่มีทางแยก ตัดขวาง ซึ่งถ้าจำเป็นต้องสร้างทางแยกผ่านก็จะต้องสร้างเป็นถนนชนิดยกระดับข้าม หรือลอดข้างใต้เพื่อ หลีกเลี่ยงการเกิดทางแยกขึ้น นอกจากนี้อาจจะจำกัดจำนวนรถด้วยการคิดค่าบริการ หรือค่าผ่านทาง หรือค่าธรรมเนียม แล้วแต่กรณี 2.2) ถนนสายหลัก (Arterial Street) เป็นถนนโครงหลักของเมืองที่ใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลัก หรือใช้เป็น ถนนเชื่อมระหว่างเมืองเช่น ถนนสุขุมวิท ถนนพหลโยธิน ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนวิภาวดีฯ ถนนพระราม เก้า ถนนรามอินทรา ถนนบรมราชชนนี ถนนเพชรเกษม และถนนพระราม 2 ฯลฯ 2.3) ถนนสายรอง (Collector Road) เป็นถนนซึ่งใช้เชื่อมกับถนนสายหลัก โดยทั่วไปเป็นถนนโครงข่าย รองรับปริมาณการจราจรน้อยกว่าถนนสายหลัก เช่น ถนนอโศก ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนงามวงศ์วาน เป็นต้น 2.2.6 สภาวะแวดล้อม (Environmental) แบ่งออกเป็นสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ได้แก่ สภาพภูมิอากาศ, สภาพ ภูมิประเทศ, แสงสว่าง, ความมืดตามธรรมชาติ, หมอก, ฝน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ฯลฯ และ สภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ ลักษณะการใช้ที่ดิน สภาพการจราจร สภาพเส้นทางที่ใช้ ในการเดินทาง การประดับตกแต่งบริเวณเส้นทาง ป้ายโฆษณา ต้นไม้ แสงไฟที่มนุษย์สร้างขึ้น ควันไฟ สภาพแวดล้อมจะมีผลต่อผู้ขับขี่โดยเฉพาะทางด้านการแนวความคิด และทฤษฎีทางด้านการจราจร มองเห็น (Vision) การบดบังทัศนียภาพ หรือการจำกัดความสามารถในการมองเห็นของผู้ขับขี่ ในบางถนน ที่ไม่มีแสงไฟหรือมีแสงไฟน้อยกว่าปกติถ้าขับขี่ผ่านจากที่มืดสู่ที่สว่าง จะใช้เวลาปรับตัวในการมองเห็น ประมาณ 3 วินาที และถ้าผ่านจากที่สว่าง เข้าสู่ที่มืดจะใช้เวลาปรับตัวในการมองเห็นประมาณ 6 วินาที ดังนั้นการปรับปรุงสภาพแวดล้อม (Environmental Improvement) ด้วยการเพิ่มแสงไฟในถนน จะเป็น การช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้นการลดอุบัติเหตุด้วยการแก้ไขข้อจำกัดทางด้าน
28 สภาพแวดล้อมด้วยวิศวกรรมยานยนต์ เช่น กรณีที่ฝนตก หรือหมอกลงจัดสามารถแก้ไขข้อจำกัด ได้โดยการติดตั้งไฟตัดหมอก เป็นต้น การปรับปรุงสภาพแวดล้อม เพื่อให้ลักษณะทางกายภาพ เพื่ออำนวย ต่อการขับขี่ และเกิดความปลอดภัย เช่นการตัดแต่งต้นไม้ หรือการรื้อถอนป้ายโฆษณาที่อยู่บริเวณ ทางแยกบดบังทัศนียภาพในการมองเห็นออกเสีย ก็จะทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (ปิยะ ต๊ะวิชัย, 2556 ) 2.3 ปัญหาสภาพภูมิศาสตร์ ปัญหาด้านความต้องการการเดินทาง (Demand) เป็นปัญหาที่เกิดจากความต้องการ ในการเดินทางที่มีมากเกินกว่าความจุ ในการรองรับปริมาณการจราจรของถนนที่มีปัจจุบัน ซึ่งมีเหตุปัจจัย ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ปัจจัยเกี่ยวกับผังเมือง การขยายตัวของเมือง และการใช้ที่ดินไม่เป็นระเบียบ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครและพื้นที่ปริมณฑล โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มีผลผลิต อุตสาหกรรม ถึง 3 ใน 4 ของผลผลิตประเทศ เป็นผลมาจากการปรับปรุงก่อสร้างถนนสายหลัก การพัฒนาด้านธุรกิจพาณิชยกรรม ในพื้นที่ชั้นใน ซึ่งผลจากการก่อสร้างทางหลวงสายหลัก สายรอง รวมทั้งการขยายเส้นทางการเดินทางให้ไกลออกจากศูนย์กลางของเมือง ทำให้การขยายตัวของเมือง เป็นไปตามแนวราบ ตามถนนสายประธานต่างๆ เช่น ถนนพหลโยธิน ถนนสุขุมวิท และถนนเพชรเกษม แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ละเลยพัฒนาการก่อสร้างถนนสายรอง และถนนสายย่อย เพื่อเชื่อมโยงถนน หลักอย่างเป็นระบบ จึงทำให้ไม่มีเกิดการพัฒนาในพื้นที่ว่างเปล่า ที่อยู่ระหว่างถนนสายประธาน ถนน สายหลักต่างๆ ทำให้ใช้เวลาในการเดินทาง และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้นในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา จึงได้เริ่มมีการปรับปรุงพื้นที่ว่างเปล่าในเขตชั้นใน เขตชานเมือง โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณด้านเหนือ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันออก และการจัดสร้างสิ่งสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนก่อสร้างถนน ยังดำเนินการได้อย่างจำกัด เนื่องจากปัญหาการเวนคืนที่ดิน ปัญหาด้านงบประมาณ ปัญหาการการขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งการขยายตัวของเมืองใน ลักษณะนี้ ส่งผลต่อความหนาแน่นของประชากรจะลดลงตามลำดับ ตามระยะทางที่ห่างจากพื้นที่ ศูนย์กลางเมือง เนื่องจากกรุงเทพมหานครยังไม่มีการจัดรูปแบบและข้อบังคับของเมืองที่ชัดเจน ไม่มี การบังคับใช้ผังเมืองรวมที่เข้มข้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดอย่างมากใน ปัจจุบัน (ธัญรัตน์ ทองริบุรี และเบญญาภา ธีระกุล, 2556) 2.4 ปัญหาของวินัยการขับขี่ ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ไทยเราไม่มีกฎหมายจราจรที่เพียงพอ เพราะสืบค้นดู จะเห็นว่า พ.ร.บ. จราจร 2522 ของไทยนั้นมีข้อห้ามและวิธีบริหารจัดการจราจรแทบทุกอย่าง เรียกได้ว่ากฎหมาย ของไทยทัดเทียมประเทศที่เจริญแล้ว มีเขียนแม้กระทั่งว่า รถต้องหยุดให้คนที่ข้ามถนนตรงทางม้าลาย ไม่อย่างนั้นโดนปรับ 1,000 บาท แล้วในชีวิตจริงมีใครบ้างที่หยุด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กฎหมายไม่ใช่ ตัวปัญหาแต่การบังคับใช้กฎหมายนั่นแหละเป็นตัวปัญหาผู้คนคิดว่าปัญหาการไม่สามารถบังคับใช้ กฎหมายได้ไม่สามารถแก้ได้ เพราะมันฝังอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทยโดยส่วนใหญ่แล้ว ลองไปดูทั้ง
29 ตัวอย่างจริงและสถานการณ์ต่อไปนี้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ คงได้เห็นถึงการเคารพกฎจราจรของประเทศดังกล่าว ซึ่งทำให้เห็น ว่า คนประเทศเหล่านั้นเคารพกฎหมายมากกว่าคนไทย ปัญหาการไม่เคารพกฎจราจรเป็นที่ ‘คนไทย’ ข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับคนต่างชาติที่เมื่อมาไทยแล้วขับขี่แบบผิดกฎหมายจราจร โดยหลายรายถึงขั้นเสียชีวิต คงอธิบายได้ดีถึงระบบที่ไม่มีคุณภาพของประเทศไทยว่า ในทางกลับกัน ทำไมคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศ ของเขาจึงไม่กล้าทำผิดกฎ แต่พอมาประเทศไทยแล้วถึงทำผิดกฎหมาย ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อก ขับรถ ย้อนศร ฯลฯ โดยรวม ๆ สังเกตได้ว่า การเคารพในกฎจราจรและกฎหมายอื่น ๆ ของประเทศเขา เกิดจาก 2 ปัจจัยหลักที่เสริม ๆ กันอยู่ คือ 2.4.1 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อวินัยการขับขี่ การเคารพในสิทธิและหน้าที่ของกันและกันและของตนเองด้วย โดยไม่เกี่ยงว่าใคร จะมีฐานะเป็นอย่างไร เช่น คนขับขี่ก็ต้องเคารพสิทธิของคนเดินถนนหรือผู้ขี่จักรยาน และต้องรู้จักหน้าที่ ของตัวเองด้วยโดยใส่หมวกกันน็อก คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ดื่มเหล้าก่อนขับขี่และไม่ขี่รถบนทางเท้า ขณะเดียวกันคนเดินถนนก็ต้องเคารพสิทธิของคนขับขี่และรู้หน้าที่ของตนเองโดยไม่ข้ามถนนในที่ห้าม เป็นต้น การเคารพในสิทธิและหน้าที่ของกันและกันนี้ได้นำมาซึ่งกลไก ‘การลงโทษทางสังคม’ (Social Sanctions) อย่างไม่เคร่งครัด ซึ่งจะมีการนำภาพหรือข้อความที่สื่อในทางเชิงล้อเลียนคนที่จะกระทำ ผิดกฎหมาย การมีกฎหมายที่ ‘แรง’ และบังคับใช้ได้จริงกับทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ตลอดจนมีช่องทาง ที่ง่ายและแก้ปัญหาได้รวดเร็วเมื่อมีการทำผิดกฎ (เช่น หากมีคนมาจอดรถหน้าบ้านเราในเวลาห้ามจอด หรือกีดขวาง ก็สามารถโทรแจ้งไปที่เจ้าหน้าที่ และเพียงไม่กี่นาทีเจ้าหน้าที่ก็มาจัดการปัญหาให้ โดย ประชาชนไม่ต้องมาทะเลาะกันเอง) 2.4.2 สาเหตุและวิธีแก้ไขปัญหาวินัยการจราจร ปัจจัยหลักข้างต้นได้ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็น ‘ระบบ’ ที่ไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ที่น่าจะป้องกันได้และลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน และทรัพยากรของรัฐในการดูแลปัญหา ที่ตามมาจากการขาดระบบที่มีประสิทธิภาพได้มาก (ข้อมูลจากเว็บไซต์ BLT Bangkok ระบุว่า ในปี2560 พบว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนเฉลี่ยกว่า 20,000 คน หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 2-3 ราย ผู้บาดเจ็บ 1 แสนคน และในจำนวนนี้ กลายเป็นผู้พิการ 60,000 ซึ่งทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณกว่า 5 แสนล้าน บาทในการดูแล) การสร้างระบบดังกล่าวต้องเริ่มจากการปลูกฝังกันตั้งแต่เล็ก ๆ และเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลา ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่า ยากที่ระบบเช่นว่านี้จะเกิดขึ้นในไทย ผลก็คือปัญหานี้และวิธีการที่ใช้ แก้ปัญหากันอยู่กลายเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข (โกศล สถิตธรรมจิตร, 2562)
30 3. ปัญหาการจราจรและการใช้รถใช้ถนน จากการสำรวจความเห็นของนักเรียนวัดสุทธิวราราม กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 53 คน เพื่อศึกษา ถึงการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาการจราจรติดขัด (กรณีศึกษาการจราจรบนถนนเจริญกรุง) เพื่อนำมาใช้ ในการวางแผนการเดินทางในถนนเจริญกรุงและเพื่อศึกษาแนวทางและข้อเสนอแนะ ในการแก้ไขปัญหา การจราจร ผลการสำรวจพบว่า 3.1 จำนวนประเภทผู้ตอบแบบสอบถาม 1) เพศ (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) 2) อายุ (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
31 3) ระดับชั้น (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) 3.2 ผลการสำรวจ (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
32 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
33 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
34 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
35 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
36 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
37 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
38 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
39 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
40 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565)
41 (ธนภพ วิสิทธิกมลโยธิน และคณะ, 2565) จากการสำรวจ ความคิดเห็นที่มีต่อปัญหาการจราจรและการใช้รถใช้ถนนพบว่า มีหลายปัญหา ที่พบสิ่งอาจให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด ซึ่งปัญหาที่มีคนเห็นด้วยที่สุด คือ การมีจำนวนรถที่มากเกินไป ในถนนและการวางผังเมือง ซึ่งทางกลุ่มของเราก็เห็นด้วยว่า การที่มีรถในปริมาณที่เยอะและการวาง ผังเมืองนั้นก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด 4. ผลกระทบของการจราจรติดขัด 4.1 ผลกระทบของที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ เนื่องจาก ควันพิษที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันการสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสูญเปล่า ไปกับการหยุดนิ่งของ การจราจร การสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากเวลาการเดินทางที่เสียไปกับการติดขัดของ จราจร และต้องสูญเสียงบประมาณเพื่อรักษาผู้ป่วยที่รับผลกระทบจากมลพิษด้วย เป็นที่รู้และยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นภาวะปกติของเมืองใหญ่ที่มีประชากรอาศัยอยู่ หนาแน่น และมีการบริหารจัดการไม่ดีพอ จะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เช่น ปัญหาขยะมูลฝอย น้ำท่วมขัง และปัญหาจราจรติดขัด และปัญหาของเมืองใหญ่เหล่านี้ ปัญหาจราจรติดขัดจะมีความสำคัญ มากกว่าปัญหาอื่น เนื่องจากว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญหาตามมาอย่างน้อย 3 ประการดังต่อไปนี้ 1) ทำให้เสียเวลาในการเดินทาง และทำให้ต้นทุนในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น 2) เผาผลาญเชื้อเพลิงโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสูญเสียพลังงานแต่ไม่ได้ระยะทาง 3) ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนในเมืองนั้นส่วนใน เมืองจะได้รับผลกระทบจากปัญหาจราจรติดขัดมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
42 3.1) ขนาดของเมือง ความหนาแน่นของประชากร โดยเปรียบเทียบจำนวนกับ พื้นที่ และจำนวนยวดยานเปรียบเทียบกับพื้นผิวจราจรที่มีอยู่การบริหารจัดการในส่วนที่เกี่ยวกับการวาง ผังเมือง 3.2) การบริหารจัดการในส่วนที่เกี่ยวกับการวางผังเมือง และการจัดระเบียบ สังคมว่ามีความรอบคอบรัดกุม เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพียงไร ตลอดถึงการควบคุมจำนวนยวดยานให้สอดคล้องกับพื้นผิวการจราจรได้มากน้อยแค่ไหน และมีการจัดให้ มีบริการขนส่งสาธารณะในจำนวนที่เพียงพอ และมีคุณภาพดีพอที่จะจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการ แทนการนำรถยนต์ส่วนตัวออกมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน และเพียงไร 3.3) ผู้ใช้รถใช้ถนนเคารพกฎหมาย และมีวัฒนธรรมในการใช้ถนนหนทางร่วมกัน มากน้อยแค่ไหน (สามารถ มังสัง, 2559) ผลกระทบที่ตามมาจากปัญหาการจราจรดังกล่าวไม่เพียงแต่จะสร้างความยากลำบาก ในการเดินทางของประชาชน ยังก่อเกิดปัญหาด้านอื่น เช่น การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ เนื่องจากควันพิษที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมัน การสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิง อย่างสูญเปล่า ไปกับการหยุดนิ่งของการจราจร การสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากเวลา การเดินทางที่เสียไปกับการติดขัดของจราจร และที่ต้องสูญเสียงบประมาณเพื่อรักษาผู้ป่วยที่รับผลกระทบ จากมลพิษ การแก้ไขปัญหาจราจร จึงเป็นเสมือนหนึ่งสนามพิสูจน์ฝีมือของผู้บริหารทั้งในระดับชาติ การแก้ไขปัญหาการจราจรและอุบัติเหตุการจราจรทางบก เป็นไปแบบต่างคนต่างทำ ในทิศทางที่แตกต่าง กันตามภารกิจหลักของแต่ละหน่วยงาน ขาดการประสานงานอย่างจริงจัง มีการประชุมและจัดทำแผนงาน ซ้ำซ้อนกัน (ธนพัฒน์ เกิดผล และนิเทศ ตินณะกุล, 2561) บทความที่เคยตีพิมพ์ใน The New York Times สื่อเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกา ระบุถึง งานวิจัยต่าง ๆ ในปี 2019 รวมถึงงานของสถาบันการคมนาคมเท็กซัสเอแอนด์เอ็ม (Texas A&M Transportation Institute) ระบุว่า ชาวอเมริกันที่ใช้รถใช้ถนนเสียเวลาโดยเฉลี่ย 42 ชั่วโมงต่อปีให้กับ ‘รถติด’ ระหว่างชั่วโมงเร่งด่วน โดยเฉพาะชาวอเมริกันในลอสแอนเจลิสเสียเวลากับรถติดเป็น 2 เท่าของ ค่าเฉลี่ย และเวลาที่เสียไปกับการนั่งเฉย ๆ ระหว่างรถติด มีผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ และ สูญเสียทางเศรษฐกิจ งานวิจัยอธิบายว่า รถติดทำให้คนขับรถส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเปล่าประโยชน์ไปในระหว่างรถติด แถมยังเพิ่มปริมาณมลพิษทางอากาศ กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ มีผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจของกลุ่มเด็กและผู้มีโรคประจำตัว และ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงซึ่งส่งผลกระทบระยะยาวต่อทั้งโลก