The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by No.18 อรพรรณ, 2023-03-28 15:35:16

การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง)

การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง)

Keywords: วิจย

การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) Development of reading comprehension skills using the 5W1H technique for students in grade 2 Khon Kaen University Demonstration School Primary Education Department (Mor Din Daeng) นางสาวกานติมา สุวรรณศิลป์ รหัสนักศึกษา 633050240-9 นางสาวพิมพ์มาดา ชัชวาลย์ รหัสนักศึกษา 633050256-4 นางสาวศิรประภา ปอศรี รหัสนักศึกษา 633050261-1 นางสาวอรพรรณ นาอุดม รหัสนักศึกษา 633050267-9 นักศึกษาชั้นปี ที่ 3 สาขาวิชาการสอนภาษาไทย อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เมตตา มาเวียง วิจัยนี้เป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชา ED003010 การวิจัยและการพฒันานวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ ภาคการศึกษาปลาย ปี การศึกษา 2565 สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น


การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) Development of reading comprehension skills using the 5W1H technique for students in grade 2 Khon Kaen University Demonstration School Primary Education Department (Mor Din Daeng) นางสาวกานติมา สุวรรณศิลป์ รหัสนักศึกษา 633050240-9 นางสาวพิมพ์มาดา ชัชวาลย์ รหัสนักศึกษา 633050256-4 นางสาวศิรประภา ปอศรี รหัสนักศึกษา 633050261-1 นางสาวอรพรรณ นาอุดม รหัสนักศึกษา 633050267-9 นักศึกษาชั้นปี ที่ 3 สาขาวิชาการสอนภาษาไทย อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เมตตา มาเวียง วิจัยนี้เป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชา ED003010 การวิจัยและการพฒันานวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ ภาคการศึกษาปลาย ปี การศึกษา 2565 สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) Development of reading comprehension skills using the 5W1H technique for students in grade 2, Khon Kaen University Demonstration School Primary Education Department (Mor Din Daeng) คณะผู้วิจัย นางสาวกานติมา สุวรรณศิลป์ นางสาวพิมพ์มาดา ชัชวาลย์ นางสาวศิรประภา ปอศรี นางสาวอรพรรณ นาอุดม สาขาวิชา การสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เมตตา มาเวียง บทคัดย่อ งานวิจัยน้ีมีวตัถุประสงค์เพื่อพฒันาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ส าหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยัในคร้ังน้ีเป็นนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ห้อง 2/1 จ านวน 38คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ไดแ้ก่แผนการจดัการเรียนรู้ การอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H จ านวน 1 แผน แผนละ 1 ชวั่โมง และใบภารกิจการเรียนรู้ สถิติที่ใชใ้นการวิเคราะห์ขอ้มูลไดแ้ก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ทกัษะการอ่านจบั ใจความของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 โดยสังเกตได้จากคะแนนแบบประเมินใบภารกิจการเรียนรู้ (รายบุคคล) จากคะแนนเต็ม 9 คะแนน มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.87 คิดเป็ นร้อยละ 87.44 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของแบบประเมิน ใบภารกิจการเรียนรู้ (รายบุคคล) เท่ากับ 1.04 แสดงให้เห็นว่าคะแนนของนักเรียนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากคณะผู้วิจัยได้จัดกระบวนการเรียนการรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H ตามลา ดับข้ันตอน เพื่อให้ นักเรียนสามารถลา ดับเหตุการณ์เรื่องราวตามเน้ือเรื่องแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความส าคญั ได้ โดยเน้นกระบวนการการฝึกต้งัคา ถามเชิงคิดวิเคราะห์ประกอบการจดัการเรียนรู้ดว้ยรูปแบบ 5W1H จ านวน 6 ประเด็น ได้แก่ Who (ใคร) What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไร) Why (ท าไม) How (อย่างไร) โดยมีการเรียงจากค าถามที่ง่ายไปยาก ใช้เทคนิคค าถามที่ชัดเจนท าให้นักเรียนสามารถ


ข ตอบค าถามได้อย่างตรงประเด็น เข้าใจหลักการ ความสัมพันธ์ของเรื่องราวได้อย่างครบถ้วน ประกอบกับ การทา ใบภารกิจการเรียนรู้มีเน้ือหาที่แปลกใหม่สร้างสรรค์ กระตุ้นการเรียนรู้ท าให้นักเรียนได้ฝึ กฝน และทบทวนความรู้เกี่ยวกบัการอ่านจบั ใจความไดด้ียิ่งข้ึน นา ไปสู่การพฒันาทกัษะดา้นการจบั ใจความ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Abstract The purpose of this research was to develop reading comprehension skills using the 5W1H technique for grade 2 students at Khon Kaen University Demonstration School, Primary Education Department (Mor Din Daeng). The sample group used in this research were 38 students in grade 2, semester 2, academic year 2022, room 2/1 by purposive sampling. The research tools were a learning plan for reading comprehension using the 5W1H technique 1 plan, 1 hour and a learning task sheet. Statistics used to analyze the data were percentage, mean and standard deviation. The results showed that the reading comprehension skills of grade 2 students passed the criteria over 7 0 percent, which can be observed from the scores of the learning task assessment form (individual) out of a full score of 9 with an average of 7.87representing 87.44percent and the standard deviation of the assessment form The learning task sheet (individual) equals 1.04 indicating that the students' scores are on a similar level because the researchers organized the learning process using the 5W1H technique in order of steps. To allow students to sequence the events of the story according to the plot, the practice of reading comprehension skills by emphasizing the process of practicing analytical questioning. Accompanied by learning management using the 5W1H technique that have 6 question, namely Who, What, Where, When, Why and How with questions in order from easy to difficult. Use clear questioning techniques that allow students to answer the questions directly to the point. understand the principle the relationship of the story in its entirety, together with making a learning mission sheet There is new, creative content that stimulates learning that make students practice and review their knowledge of reading comprehension better. leads to effective development of reading comprehension skills.


ค กิตติกรรมประกาศ การดา เนินการจดัทา วิจยัฉบบัน้ีส าเร็จลุล่วงสมบูรณ์ได้ด้วยความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากผูช้่วย ศาสตราจารย์ ดร.เมตตา มาเวียง ที่กรุณาอุทิศเวลาให้ค าปรึกษาและให้ค าแนะน า ตรวจสอบแก้ไข ขอ้บกพร่องและใหข้อ้คิดต่าง ๆ ทา ใหร้ายงานวิจยัฉบบัน้ีสา เร็จดว้ยความเอาใจใส่อยา่งดียงิ่เสมอมา ขอขอบคุณท่านผูเ้ชี่ยวชาญ ได้แก่อาจารย์ศิราวรรณ บุญสุข อาจารย์ประจา วิชาภาษาไทย โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยัขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) และนางสาวภิรมยาดา เบ้าจังหาร นักศึกษาปฏิบัติการสอน ที่กรุณาตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการท าวิจัยและให้ข้อมูลค าแนะน าที่เป็ น ประโยชน์ส่งผลใหเ้ครื่องมือที่ใชใ้นการจดัการเรียนรู้มีความถูกตอ้งสมบูรณ์มากยงิ่ข้ึน ขอขอบพระคุณคณะผู้บริ หารสถานศึกษา บุคลากร โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) และนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2/1 ผู้ให้ความร่วมมือเป็ นอย่างดีในการ เก็บขอ้มูล ตลอดจนอา นวยความสะดวกแก่คณะผวู้ิจยัในการจดัการเรียนรู้จนสา เร็จลุล่วงดว้ยดี ตลอดจนเวลาของการท าวิจัย คณะผู้วิจัยได้รับก าลังใจที่ดีเสมอมาจากครอบครัวและเพื่อน ๆ จนท าให้งานวิจัยเสร็จสมบูรณ์ คณะผวู้ิจยัจึงขอขอบคุณผมู้ีอุปการคุณดงักล่าวไว้ณ โอกาสน้ี คณะผู้วิจัย


ง สารบัญ หน้า บทที่ 1 บทน า 1 1.1ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 7 1.3 สมมุติฐานการวิจัย 7 1.4 ขอบเขตการวิจัย 8 1.5 ประโยชน์ที่ได้รับ 8 1.6 ค านิยามศัพท์เฉพาะ 9 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10 2.1 หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 11 2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเชิงทดลอง 22 2.3 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการอ่านจับใจความ 27 2.4 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคนิค 5W1H 37 2.5กรอบแนวคิดการวิจัย 44 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย 45 3.1 ระเบียบวิธีวิจัย 45 3.2 ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง 45 3.3 ตัวแปรที่ท าการวิจัย 46 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 46 3.5 การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ 46 3.6 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) 49 3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) 49


จ บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล 55 4.1 ผลการการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ของนักเรียน ช้นั ประถมศึกษาปีที่2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยัขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) 55 4.2 อภิปรายผลการวิจัย 62 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 65 5.1 สรุปสาระส าคัญของการด าเนินการวิจัย 65 5.2 สรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ 65 5.3 ข้อเสนอแนะในการวิจัย 66 5.4 ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 66 5.5 ขอ้เสนอแนะในการทา วิจยัคร้ังต่อไป 67 บรรณานุกรม 68 ภาคผนวก 71


ฉ สารบัญรูปภาพ หน้า ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย 44 ภาพที่ 2 การท าใบภารกิจการเรียนรู้ เรื่อง จับใจความแสนสนุก 61


ช สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 ตารางวิเคราะห์ความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาแผนการจดัการเรียนรู้รายขอ้ 48 ตารางที่ 2แบบประเมินใบภารกิจการเรียนรู้ (รายบุคคล) 57


1 บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร เป็ นการสื่อสารให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารเกิดความเข้าใจซึ่งกัน และกนั โดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อหรือเครื่องมือไดแ้ก่การฟังการพูด การอ่าน และการเขียนภาษาไทย โดยปกติการใช้ภาษาไทยมักจะใช้ร่วมกัน เช่น การฟังมักจะใช้ร่วมกับการพูด การอ่านมักจะใช้ร่วมกับ การเขียน เป็ นตน้หรือบ่อยคร้ังมีการใช้ภาษาร่วมกนัท้งั 4 ด้าน การใช้ภาษาไทยจึงมีความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กัน (สมหวัง อินทร์ไชย และคณะ, 2553) แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 (2553) อธิบายว่า การจัดการเรียนรู้เป็ นกระบวนการที่ส าคัญ ในการน าหลกัสูตรสู่การปฏิบตัิในช้ันเรียนให้นักเรียนมีคุณภาพตามที่หลกัสูตรกา หนดและเพื่อให้ การจัดการเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนานักเรียน คุณครูจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในหลักการ แนวคิด และจุดเน้นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2544 โดยยึดหลักว่านักเรียนมีความส าคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถ ในการเรียนรู้และพฒันาตนเองได้ยึดประโยชน์ที่เกิดกบันกัเรียน รวมท้งัในกระบวนการจดัการเรียนรู้ ต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ค านึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล และพฒันาการทางสมอง เนน้ ให้ความส าคญัท้งัความรู้และคุณธรรมซ่ึงครูตอ้งพยายาม คัดสรรกระบวนการเรียนรู้ ออกแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับศักยภาพและบริบทของนักเรี ยน การก าหนดบทบาทของครูและนักเรียน การใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และการออกแบบการวัด และประเมินผล เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ น าไปสู่การพัฒนาสมรรถนะ ส าคัญของนักเรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 -2579 (2560) ที่กล่าวว่า การศึกษาเป็ นเครื่องมือส าคัญในการสร้างคน สร้างสังคม และสร้างชาติ เป็ นกลไก หลักในการพัฒนาก าลังคนให้มีคุณภาพ สามารถด ารงชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างเป็ นสุข ในกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกศตวรรษที่ 21 เนื่องจากการศึกษามีบทบาทส าคัญ ในการสร้างความได้เปรียบของประเทศเพื่อการแข่งขันและยืนหยัดในเวทีโลกภายใต้ระบบเศรษฐกิจและ


2 สังคมที่เป็นพลวตั ประเทศต่าง ๆ ทวั่โลกจึงใหค้วามสา คญัและทุ่มเทกบัการพฒันาการศึกษาเพื่อพฒันา ทรัพยากรมนุษย์ของตนให้สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ภูมิภาค และของโลก ควบคู่กับการธ ารงรักษาอัตลักษณ์ของประเทศ ในส่วนของประเทศไทยได้ให้ ความส าคัญกับการจัดการศึกษา การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของคนไทยให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงานและการพัฒนาประเทศภายใต้ แรงกดดันภายนอกจากกระแสโลกาภิวัตน์และแรงกดดันภายในประเทศที่เป็ นปัญหาวิกฤต ที่ประเทศต้องเผชิญ เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมไทยเป็ นสังคมคุณธรรม จริ ยธรรม และประเทศสามารถก้าวข้ามกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว รองรับการ เปลี่ยนแปลงของโลกท้งัในปัจจุบันและอนาคต โดยการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญและส่งผลกระทบต่อ ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทย เนื่องจากภาษาไทยถือเป็นเอกลกัษณ์ของชาติเป็นสมบตัิทางวฒันธรรรมอนัก่อให้เกิดความ เป็ นเอกภาพ และเสริ มสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็ นไทย เป็ นเครื่ องมือในการ ติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเขา้ใจและความสัมพนัธ์ที่ดีต่อกัน ดังน้ัน ทักษะด้านภาษาไทยจึงเป็น ทักษะที่ต้องฝึ กฝนให้เกิดความช านาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อน าไปใช้ในชีวิตจริง โดยหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ได้กา หนดสาระการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ดังน้ีสาระที่ 1 การอ่าน ประกอบด้วยการอ่านออกเสียงค า ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว ค าประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจ เพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อน าไปปรับใช้ใน ชีวิตประจ าวัน สาระที่ 2 การเขียน ประกอบด้วยการเขียนสะกดค าตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารรูปแบบ ต่าง ๆ การเขียนเรี ยงความ ย่อความ เขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า เขียนตามจินตนาการ เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด ประกอบด้วยการฟัง และดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดล าดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็ นเหตุ เป็นผลการพูดในโอกาสต่าง ๆ ท้งัเป็นทางการและไม่เป็นทางการและการพูดเพื่อโนม้นา้วใจ สาระที่4 หลักการใช้ภาษาไทย ประกอบด้วยการศึกษาธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษา ให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของ


3 ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย และสาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ประกอบด้วยการวิเคราะห์ วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และเพื่อความ เพลิดเพลิน การเรียนรู้และทา ความเข้าใจบทเห่บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพ้ืนบ้านที่เป็นภูมิปัญญา ที่มีคุณค่าของไทยซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี เรื่องราวของสังคม ในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซ้ึงและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ไดส้ ั่งสมสืบทอด มาจนถึงปัจจุบัน การอ่าน เป็ นการรับรู้ความหมายจากถ้อยค าที่ตีพิมพ์อยู่ในรูปสิ่งพิมพห์รือหนังสือโดยผูอ้่าน รับรู้ว่าผูเ้ขียนส่งสารใดมาสู่ผูอ้่าน ท้งัในดา้นความคิด ความรู้ความหมายและความสัมพนัธ์กบัสิ่งอื่น (สมพร มันตะสูตร, 2534) โดยการอ่านเป็ นกระบวนการทางสมองที่ต้องใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรหรือ สิ่งพิมพอ์ื่น ๆ รับรู้และเขา้ใจความหมายของค าหรือสัญลักษณ์โดยแปลออกมาเป็ นความหมายที่ใช้สื่อ ความคิดและความรู้ระหว่างผูเ้ขียนกบัผูอ้่านให้เขา้ใจตรงกนัและผูอ้่านสามารถนา เอาความหมายน้นัๆ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ (วรรณี โสมประยูร, 2542) สอดคล้องกับรังษิมา สุริ ยารังสรรค์ (2555) ที่ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่าน คือ การเข้าใจความหมายของตัวอักษรและสัญลักษณ์ซึ่งเป็ น เรื่องของกระบวนการทางสติปัญญาและจินตนาการ โดยมีประสบการณ์เดิมเขา้มาเกี่ยวข้องก่อนที่ จะประมวลกลายเป็ นความรู้ใหม่ และความคิดที่มนุษย์น ามาใช้สื่อสารร่วมกันในสังคม ส าหรับความส าคัญของการอ่าน กรมวิชาการ (2554) กล่าวถึง ความส าคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็ นทักษะที่ส าคัญ จ าเป็ นต้องเน้น รวมถึงฝึ กฝนให้นักเรียนเป็ นอย่างมาก เนื่องจากการอ่านเป็ น กระบวนการส าคัญที่ท าให้ผู้อ่านสร้างความหมายหรือพัฒนาการวิเคราะห์ตีความและท าความเข้าใจกับ เรื่องที่อ่าน นพดล จันทร์เพ็ญ (2557) ไดอ้ธิบายว่าการอ่านมีความส าคญัต่อมนุษยอ์ย่างยิ่งโดยเฉพาะ ในยุคปัจจุบันที่มีหนังสือให้เลือกอ่านได้มากมาย ช่วยให้สามารถสืบค้นความรู้ ความบันเทิง สร้างเสริม ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ท้งัการศึกษาอาชีพการงาน และการอยู่ร่วมกนักบัผูอ้ื่นในสังคม ดังน้ัน การอ่านจึงมีความจา เป็นที่ต้องฝึ ก ให้เกิดความช านาญ เพื่อสะสมประสบการณ์ ท าให้เกิด ความคิดที่กว้างขวาง เข้าใจเรื่องที่อ่านไดร้วดเร็วและถูกตอ้ง ช่วยเพิ่มพูนความรู้ความคิด ส่งเสริมใหเ้กิด การพัฒนาชีวิตที่ดีงาม และช่วยประสานความรู้ของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาเข้าด้วยกัน ท าให้เกิดการ


4 พฒันาสิ่งที่เป็นประโยชน์หลากหลายดา้น (ไกรษร ประดบัเพชร, 2561) นอกจากน้ีในการอ่านหนงัสือ ผู้อ่านจะตอ้งมีจุดมุ่งหมายซ่ึงในการอ่านแต่ละคร้ังย่อมแตกต่างกนัตามความประสงค์ของผูอ้่านซ่ึงมี ผู้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการอ่าน ดังเช่นนพดล จันทร์เพ็ญ (2557) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่าน โดยทวั่ ไป สามารถแบ่งออกได้4 ประการ ไดแ้ก่ (1) การอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้ เป็ นการอ่านเพื่อมุ่ง ให้ไดค้วามรู้ในเรื่องที่ตอ้งการ เพื่อให้เกิดความรู้ความเขา้ใจในเรื่องราวเน้ือหาน้ัน ๆ โดยผูอ้่านอาจจะ ตอ้งการศึกษาหาความรู้โดยละเอียดหรือโดยย่อ การอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้น้ีมกัใช้ในการอ่านตา รา วิชาการต่าง ๆ หรืออ่านงานเขียนเฉพาะเรื่องที่ต้องการศึกษาเข้าใจ (2) อ่านเพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจ ผู้อ่านมุ่งที่ความผอ่นคลายอารมณ์ความเพลิดเพลินที่เกิดจากการอ่านอนัไดแ้ก่การอ่านหนงัสือประเภท บนัเทิงคดีนวนิยาย หรือสารคดีที่มีเน้ือหา มุ่งความเพลิดเพลิน เช่น สารคดีท่องเที่ยววรรณคดีและ วารสาร นิตยสารที่ประกอบดว้ยเรื่องราวในแนวสาระบนัเทิงต่าง ๆ การอ่านเพื่อจุดมุ่งหมายน้ีเป็นการ อ่านที่ใช้มากในชีวิตประจา วนัของบุคคลทวั่ ไป (3) อ่านเพื่อคน้หาคา ตอบในสิ่งที่ตอ้งการซ่ึงหมายถึง การคิดค้นในเรื่องที่ตนสนใจเป็ นพิเศษ และ (4) อ่านเพื่อฝึ กทักษะในการอ่านออกเสียง เป็ นการฝึ กฝน ตนเองในการอ่านออกเสียง เพื่อใหผ้อู้ื่นฟังแลว้เกิดความรู้ความเขา้ใจหรือความซาบซ้ึงในอรรถรสท้งัน้ี ข้ึนอยกู่บั ประเภทของงานเขียน ส่วนผอู้่านน้นัมุ่งที่การฝึกฝนการอ่านออกเสียงของตนใหถู้กตอ้งชดัเจน และเหมาะสมตามประเภทของงานเขียนที่น ามาอ่าน การอ่านจบั ใจความเป็นทกัษะพ้ืนฐานที่มีความจา เป็นต่อการอ่าน หากนักเรียนไม่สามารถอ่าน จบั ใจความไดก้ารอ่านในระดบัสูงข้ึนไปย่อมเป็นการยากเนื่องจากการอ่านทุกประเภทต้องอาศัยการ อ่านจบั ใจความเป็นพ้ืนฐาน การอ่านจบั ใจความจึงมีความส าคญัต่อการอ่านมากรวมถึงเป็นเครื่องมือ ส าคัญของนักเรียนที่ใช้ในการแสวงหาความรู้ โดยลมโชย ด่านขุนทด (2544) ให้ความหมายของการ อ่านจับใจความว่า การอ่านจับใจความ หมายถึง การอ่านเพื่อเข้าใจสาระส าคัญของสารในแง่มุมต่าง ๆ และผู้อ่านสามารถเข้าใจจุดมุ่งหมายที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านได้รับอย่างถูกต้องครบถ้วน สอดคล้องกับ ณัฐิยา ภูขามคม (2552) ที่กล่าววา่การอ่านจบั ใจความเป็นการทา ความเขา้ใจเน้ือเรื่องหรือขอ้ความที่อ่าน เพื่อต้องการทราบว่าเรื่องน้ันเป็นเรื่องเกี่ยวกบัอะไร มีความส าคญัที่จุดใดและหมายความว่าอย่างไร การแปลความ ตีความ ขยายความ การประเมินค่า สามารถเข้าใจ ค าศัพท์ สามารถเรียงล าดับเรื่องได้


5 จับใจความส าคัญของเรื่ องได้ การอ่านจับใจความจึงเป็ นเครื่ องมือที่จะกระชับเวลาในการอ่าน เป็ นทักษะส าคญัที่จะนา ไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนและการคน้ควา้เพื่อให้ไดค้วามรู้จากสิ่ง ที่อ่านไดเ้ป็นอยา่งดีประกอบกบัธนชัพร มนั่เจ๊ก(2554) กล่าวว่า การอ่านจับใจความส าคัญเป็ นการอ่าน ที่นักเรียนสามารถจับสาระส าคัญของเรื่องบอกจุดมุ่งหมายของเรื่อง เลือกประโยคใจความส าคัญ ต้งัคา ถามและตอบคา ถามจากขอ้ความที่อ่านไดว้่าเป็นเรื่องของใคร ทา อะไร ที่ไหน อย่างไร ดงัน้นัจึง กล่าวไดว้่าการอ่านจบั ใจความส าคญัมีความส าคญัต่อการดา รงชีวิตมนุษยใ์นสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็ นยุคของข้อมูลข่าวสาร เนื่องจากการอ่านและการฟังจะท าให้ผู้คนได้รับข่าวสาร ขอ้มูลความรู้และไดร้ับทราบความเคลื่อนไหวตลอดจนขอ้คิดเห็นต่าง ๆ ของผคู้นในสังคม นอกจากน้ี การอ่านลว้นสามารถพฒันามนุษยใ์ห้มีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึนไดเ้ช่นกนั โดยผูร้ับสารจะไดร้ับประโยชน์ จากการอ่านอย่างเต็มที่หากผู้รับสารสามารถรับสารที่ผู้ส่งสารส่งให้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง กระบวนการส าคัญที่สุดที่จะท าให้ผู้รับสารสามารถรับสารจากเรื่องที่อ่านได้ คือ การจับใจความส าคัญ ดงัน้นัการจบั ใจความส าคญัจึงนบัเป็นหัวใจของการอ่าน (จุไรรัตน์ลกัษณะศิริและบาหยนัอิ่มส าราญ, 2554) กรมวิชาการ (2546) เสนอแนวทางการอ่านจับใจความให้บรรลุจุดประสงค์ เพื่อให้การอ่าน มีประสิทธิภาพมากยงิ่ข้ึน ไดแ้ก่(1) ต้งัจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน เช่น อ่านเพื่อหาความรู้อ่านเพื่อ ความเพลิดเพลินหรื อเพื่อบอกเจตนาของผู้เขียน เพราะเป็ นแนวทางให้ก าหนดการอ่านได้อย่าง เหมาะสมและจับใจความหรือคา ตอบไดร้วดเร็วยิ่งข้ึน (2) ส ารวจส่วนประกอบของหนังสืออย่างคร่าว เช่น ชื่อเรื่องคา นา สารบญัคา ช้ีแจงการใช้หนังสือ ภาคผนวก ฯลฯ เพราะส่วนประกอบของหนงัสือ จะท าให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องหรือหนังสือที่อ่านได้อย่างกว้างขวาง (3) ท าความเข้าใจลักษณะ ของหนังสือว่าประเภทใด เช่น สารคดี ต ารา หรือบทความซึ่งจะช่วยให้มีแนวทางในการอ่านจับใจความ ส าคัญได้ง่าย (4) ใช้ความสามารถทางภาษาในด้านการแปลความหมายของค า ประโยค และข้อความ ต่าง ๆ อย่างถูกต้องรวดเร็ว (5) ใช้ประสบการณ์หรือภูมิหลังเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านมาประกอบจะท าให้ เขา้ใจและจบั ใจความที่อ่านไดง้่ายและรวดเร็วการจดัการเรียนรู้โดยการต้งัคา ถาม ครูจะตอ้งมีทฤษฎี ทกัษะ และศิลปะในการต้งัคา ถาม เพื่อกระตุน้ ให้นักเรียนได้ฝึกไต่บนั ไดความคิดจากข้นัที่ง่ายไปสู่


6 ข้นัที่ยากเกิดความสนใจในการร่วมกิจกรรม และเกิดการฝึกฝนความคิดในระดบัที่สูงการต้งัคา ถาม เพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนจะทา ให้ครูสามารถตดัสินใจได้ว่าจะทบทวนบทเรียนเสียก่อนหรือ จะเคลื่อนเขา้สู่บทเรียนต่อไป หากเป็นคา ถามที่สะทอ้นผลลพัธ์ของการเรียนรู้ที่ได้ต้งัไวเ้พียงใดย่อม จะช่วยเป็ นการให้เกรดที่แม่นย าและยตุิธรรมมากยงิ่ข้ึน ท้งัน้ีการใช้คา ถามเป็นหน่ึงในแนวทางการอ่านจบั ใจความที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิดมี ความรู้ความเขา้ใจในเรื่องที่อ่าน และเกิดทกัษะในการอ่านจบั ใจความมากข้ึน โดยวิทวฒัน์ขตัติยะมาน และอมลวรรณ วีระธรรมโม (2549) ได้กล่าวถึงการต้งัประเด็นคา ถามเพื่อให้นักเรียนได้บรรลุตาม เป้าหมายที่ก าหนดไว้ โดยใช้ค าถาม 5W1H ซึ่งเป็ นส่วนหนึ่งของค าถาม 6 ประเภทตามแนวคิดของบลูม (Bloom) ได้แก่ Who (ใคร) หมายถึง บุคคลส าคัญที่เป็ นตัวประกอบหรื อผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะได้รับ ผลกระทบท้ังด้านบวกและด้านลบ เช่น ใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง ใครน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เช่นน้ีบา้ง ใครน่าจะเป็นคนที่ทา ให้เกิดเหตุการณ์เช่นน้ีมากที่สุด What (อะไร) หมายถึง ปัญหาหรือ สาเหตุที่เกิดข้ึน เช่น เกิดอะไรข้ึนบา้ง มีอะไรเกี่ยวขอ้งกบัเหตุการณ์น้ีหลกัฐานที่ส าคญัที่สุดคืออะไร สาเหตุที่ท าให้เกิดเหตุการณ์น้ีคืออะไร Where (ที่ไหน) หมายถึง สถานที่หรือต าแหน่งที่เกิดเหตุการณ์ เช่น เรื่องน้ีเกิดข้ึนที่ไหน เหตุการณ์น้ีน่าจะเกิดข้ึนที่ใดมากที่สุด When (เมื่อไร) หมายถึงเวลา ที่เหตุการณ์น้นั ไดเ้กิดข้ึนหรือจะเกิดข้ึน เช่น เหตุการณ์น้นัน่าจะเกิดข้ึนเมื่อไร เวลาใดบางที่สถานการณ์ ้ เช่นน้ีจะเกิดข้ึนได้Why (ทา ไม) หมายถึง สาเหตุหรือมูลเหตุที่ทา ให้เกิดข้ึน เช่น เหตุใดตอ้งเป็นคนน้ี เป็นเวลาน้ีเป็นสถานที่น้ีเพราะเหตุใดเหตุการณ์น้ีจึงเกิดข้ึน ทา ไมจึงเกิดเรื่องน้ีและ How (อย่างไร) หมายถึง รายละเอียดของสิ่งที่เกิดข้ึนและสิ้นสุดลงแล้วหรือก าลังจะเกิดข้ึนว่ามีความเป็นไปได้ ในลกัษณะใด เช่น เขาทา สิ่งน้ีไดอ้ย่างไรลา ดบัเหตุการณ์น้ีดูว่าเกิดข้ึนไดอ้ย่างไรเหตุการณ์น้ีเกิดข้ึนได้ อย่างไร มีหลักในการพิจารณาคนดีอย่างไรบ้าง ส าหรับครูที่ใช้คา ถามที่ใช้ทกัษะการคิดข้นัสูงจะช่วย ยกระดับการเรียนรู้ของนักเรียนได้ (Jay McTighe, 1991อ้างถึงใน ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2553) สอดคล้อง กับงานวิจัยของภัทรสุดา นาคสุข (2564) ซึ่งศึกษาการพัฒนาความสามารถทางการอ่านจับใจความของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิ คการสอน 5W1H ร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่น ภาคกลาง พบว่า ความสามารถทางการอ่านจบั ใจความของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน


7 สูงข้ึนกวา่ก่อนเรียน โดยผลการทดสอบหลงัเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.89 มากกวา่ก่อนเรียนซ่ึงมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 8.78 รวมท้งัผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอน 5W1H ร่วมกบัวรรณกรรมทอ้งถิ่นภาคกลาง มีความคิดเห็นภาพรวมอยู่ใน ระดับเห็นด้วยมากที่สุด โดยความคิดเห็นด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้อยู่ในระดับความคิดเห็น มากที่สุด จากความส าคัญดังกล่าวคณะผู้วิจัยจึงเห็นว่าการอ่านจับใจความเป็ นทักษะที่นักเรียนซึ่งเป็ น นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ควรได้รับการพัฒนาและฝึ กฝนโดยใช้เทคนิคการการอ่านจับใจความ แบบ 5W1H หรือเรียกว่ารูปแบบการสอนที่ช่วยให้นักเรียนสามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจ และ สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อเป็ นแนวทางส าหรับการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการ อ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ที่เหมาะสมกับนักเรียนระดับประถมศึกษา อีกท้งัเป็นแนวทาง ส าหรับครูในการใช้เทคนิค 5W1H ในระดบัช้นัและกลุ่มสาระอื่น ๆ รวมถึงสามารถนา มาประยุกตใ์ช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ส าหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปีที่2โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยัขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) 1.3 สมมุติฐานการวิจัย นกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2 ที่ได้รับการฝึ กทักษะการอ่านจับใจความได้อย่างถูกต้องโดยใช้ เทคนิค 5W1H โดยสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70


8 1.4 ขอบเขตการวิจัย 1.4.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ีเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรี ยนสาธิต มหาวิทยาลยัขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565จ านวน 180คน 1.4.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังน้ีเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่2 โรงเรี ยนสาธิต มหาวิทยาลยัขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ห้อง 2/1 จ านวน 38คน โดยการเลือกแบบเจาะจง 1.4.3 เนื้อหาในการวิจัย เน้ือหา เรื่องการอ่านจบั ใจความโดยใชเ้ทคนิค5W1H เป็นเน้ือหาหรือสารที่นา มาจาก สิ่งพิมพต์ ่าง ๆ และอินเทอร์เน็ต ซ่ึงมีเน้ือหาตรงตามหลกัสูตรการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดบัช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 1.4.4 ระยะเวลาในการวิจัย ระยะเวลาในการวิจัย ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ระหว่างวันที่ 25 มกราคม - 1 เมษายน พ.ศ. 2566 1.4.5 ตัวแปร ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H ตัวแปรตาม คือ ทกัษะการอ่านจบั ใจความของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่2โรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลยัขอนแก่น ฝ่ ายประถมศึกษา (มอดินแดง) 1.5 ประโยชน์ที่ได้รับ 1) เป็ นแนวทางส าหรับการจัดการเรียนรู้ของครูในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค5W1H


9 2) นกัเรียนมีทกัษะการอ่านจบัใจความที่ดีข้ึนหลงัจากไดร้ับการพฒันาทกัษะการอ่านจบั ใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H 3) เป็ นแนวทางส าหรับการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในการพัฒนาทักษะทาง ภาษาไทยของนักเรียนโดยใช้เทคนิค 5W1H 1.6 ค านิยามศัพท์เฉพาะ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการ ต้ังค าถาม 5W1H ซึ่ งประกอบด้วย Who (ใคร) What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไหร่) Why (ท าไม) How (อย่างไร) เขา้มาประยุกตใ์ชใ้นการจดักิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเป็นตวัช้ีนา ในการถาม นักเรียนเพื่อหาค าตอบที่สัมพันธ์กับความต้องการที่ก าหนดไว้ และเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดทักษะใน การอ่านจับใจความ ทักษะการอ่านจับใจความ คือ การอ่านที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อจับใจความส าคัญหรือแนวคิด สาระส าคญัของเรื่องต่าง ๆ ซ่ึงเป็นขอ้ความที่อธิบายเกี่ยวกบัเน้ือหาท้งัหมดไดอ้ย่างสมบูรณ์ สามารถ ตอบค าถามได้ว่า ใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ท าไม อย่างไร สามารถสรุปใจความส าคัญ เรียงล าดับ เหตุการณ์ และบอกข้อคิดจากเรื่องที่อ่านได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์โดยสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ส าหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 2ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสาร ต ารา คู่มือ แนวคิด ทฤษฎีงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และรวบรวม เอกสารตามลา ดบัดงัน้ี 2.1 หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 2.2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเชิงทดลอง 2.3 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการอ่านจับใจความ 2.4 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคนิค 5W1H 2.5กรอบแนวคิดการวิจัย 2.1 หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 น้ีจดั ท าข้ึนส าหรับทอ้งถิ่นและ สถานศึกษาได้น าไปใช้เป็ นกรอบและทิศทางในการจัดท าหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการ สอนเพื่อพฒันาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดบัการศึกษาข้นัพ้ืนฐานให้มีคุณภาพดา้นความรู้และ ทักษะที่จ าเป็ นส าหรับการด ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) 2.1.1วิสัยทัศน์ หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกา ลงัของชาติให้เป็นมนุษยท์ ี่มีความสมดุลท้งัดา้นร่างกายความรู้คุณธรรม มีจิตส านึก ในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมนั่ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทกัษะพ้ืนฐาน รวมท้งัเจตคติที่จ าเป็ นต่อ การศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นนักเรียนเป็ นส าคัญบน พ้ืนฐานความเชื่อวา่ทุกคนสามารถเรียนรู้และพฒันาตนเองไดเ้ตม็ตามศกัยภาพ


11 2.1.2 หลักการ หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 มีหลกัการที่สา คญัดงัน้ี 1) เป็ นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็ นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ เรียนรู้ เป็ นเป้าหมายส าหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน พ้ืนฐานของความเป็นไทยควบคู่กบัความเป็นสากล 2) เป็ นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาค และมีคุณภาพ 3) เป็ นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาใหส้อดคลอ้งกบัสภาพและความตอ้งการของทอ้งถิ่น 4) เป็นหลกัสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นท้งัดา้นสาระการเรียนรู้เวลาและการ จัดการเรียนรู้ 5) เป็ นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นนักเรียนเป็ นส าคัญ 6) เป็ นหลักสูตรการศึกษาส าหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ 2.1.3 จุดหมาย หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐานพุทธศกัราช 2551 มุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็ น คนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงก าหนดเป็ นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับนักเรียนเมื่อจบการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ดงัน้ี 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง 2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยี และมี ทักษะชีวิต 3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกก าลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตส านึกในความเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมนั่ในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข


12 5) มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดลอ้ม มีจิตสาธารณะที่มุ่งท าประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกนั ใน สังคมอย่างมีความสุข 2.1.4 สมรรถนะส าคัญของนักเรียน หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 มุ่งให้นักเรียนมีคุณภาพ ตามมาตรฐาน ที่ก าหนด ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดสมรรถนะส าคัญ 5 ประการ ดงัน้ี 1)ความสามารถในการสื่อสาร เป็ นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและ สังคม รวมท้งัการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขดัแยง้ต่าง ๆ การเลือกรับหรือ ไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2)ความสามารถในการคิด เป็ นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็ นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้าง องค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3)ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็ นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญไดอ้ย่างถูกตอ้งเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลกัการ เหตุผล คุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหา ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดย ค านึงถึงผลกระทบที่เกิดข้ึนต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดลอ้ม 4)ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็ นความสามารถในการน ากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการ ปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเอง และผู้อื่น 5)ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็ นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้าน


13 การเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมี คุณธรรม 2.1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 พัฒนานักเรี ยนให้มี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะ เป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงัน้ี 1)รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่ เรียนรู้ 5)อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมนั่ในการท างาน 7)รักความเป็ นไทย 8) มีจิตสาธารณะ นอกจากน้ีสถานศึกษาสามารถก าหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้ สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง 2.1.6 มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนานักเรียนให้เกิดความสมดุล ต้องค านึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและ พหุปัญญา หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน จึงก าหนดให้นักเรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ดงัน้ี 1) ภาษาไทย 2)คณิตศาสตร์ 3)วิทยาศาสตร์ 4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและพลศึกษา 6)ศิลปะ 7)การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ


14 ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้ก าหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็ นเป้าหมายส าคัญของ การพัฒนาคุณภาพนักเรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงคเ์มื่อจบการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน นอกจากน้นัมาตรฐานการเรียนรู้ ยังเป็ นกลไกส าคัญในการขับเคลื่อน พัฒนาการศึกษาท้งัระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้ จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และ ประเมินอย่างไร รวมท้งัเป็นเครื่องมือ ในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอก 2.1.7 ตวัช้ีวดั ตวัช้ีวดัระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบตัิได้รวมท้งัคุณลกัษณะของนักเรียนในแต่ละ ระดับช้ัน ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็ นรูปธรรม น าไปใช้ในการก าหนดเน้ือหา จดั ท าหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็ นเกณฑ์ ส าคัญส าหรับการวัดประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพนักเรียน 1) ตวัช้ีวดัช้นั ปีเป็นเป้าหมายในการพฒันานักเรียนแต่ละช้นั ปีในระดบัการศึกษาภาค บังคับ (ประถมศึกษาปี ที่1 - มัธยมศึกษาปี ที่ 3) 2) ตวัช้ีวดัช่วงช้นัเป็นเป้าหมายในการพฒันานักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปี ที่ 4 - มัธยมศึกษาปี ที่ 6) กล่าวโดยสรุปไดว้่า หลกัสูตรแกนกลางการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศกัราช 2551 จัดให้คนไทย ทุกคนได้รับการพัฒนาคุณภาพให้เป็ นคนดี มีปัญญา คุณธรรม มีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความ พร้อมท้งัดา้นร่างกาย สติปัญญาอารมณ์และศีลธรรม จิตใจที่ดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมท้งัมีสมรรถนะ ทกัษะและความรู้พ้ืนฐานที่จ าเป็ นในการด ารงชีวิตและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ 2.1.8กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 1) ความส าคัญของภาษาไทย ภาษาไทยเป็ นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบตัิทางวฒันธรรมอนัก่อให้เกิดความเป็น เอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็ นไทย เป็ นเครื่องมือในการ ติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ท าให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และด ารงชีวิตร่วมกันในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็ นเครื่ องมือ ในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้


15 พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนน าไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความ มั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียงัเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวฒันธรรม ประเพณีและสุนทรียภาพ เป็นสมบตัิล้า ค่า ควรแก่การเรียนรู้อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ ชาติไทยตลอดไป 2) สาระส าคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทยเป็ นทักษะที่ต้องฝึ กฝนจนเกิดความช านาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อน าไปใช้ในชีวิตจริง 2.1) การอ่าน การอ่านออกเสียงค า ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว ค าประพันธ์ชนิด ต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเขา้ใจและการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อน าไปปรับใช้ในชีวิตประจ าวัน 2.2) การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยค าและรูปแบบ ต่าง ๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตาม จินตนาการ วิเคราะห์ วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ 2.3)การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความ คิดเห็น ความรู้สึก พูดล าดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็ นเหตุเป็ นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ท้งัเป็น ทางการและไม่เป็ นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ 2.4) หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของ ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย 2.5) วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และท าความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพ้ืนบา้นที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซ่ึงไดถ้่ายทอดความรู้สึก นึกคิดค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อใหเ้กิดความซาบซ้ึงและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ไดส้ ั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบนั


16 2.1.9แผนการจัดการเรียนรู้ 1)ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ได้มีนักการศึกษาหลายท่านให้ความหมาย ดงัน้ี เขียน วันทนียตระกูล (2552) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการสอน น าวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่จะต้องท าการสอนตลอดภาคเรียน มาสร้างเป็ นแผนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อ อุปกรณ์การสอน และการวัดและประเมินผล โดยการ จดัเน้ือหาสาระและจุดประสงคก์ารเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของ หลักสูตร สภาพของนักเรียน ความพร้อมของโรงเรียน เรืองยศ ศิริเสาร์ (2553) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผน ก าหนดรูปแบบของบทเรียนแต่ละเรื่องซึ่งจะเป็ นแนวทางในการด าเนินการจัดการเรียนการ สอนแก่ครูให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ความคิดรวบยอด เน้ือหาและการวดัผลประเมินผล ที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรี ยนรู้ หมายถึง เป็ นการวาง แผนการสอนอย่างเป็ นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็ นแนวทางการสอนของครูอันจะช่วย ให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ พิสมัย ลาภมาก (2553) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงการจัดกิจกรรม และแนวด าเนินการที่จัดเตรียมไว้ส าหรับการสอน เป็ นการเตรียมการสอนอย่างเป็ นระบบและ เครื่ องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการเรี ยนการสอนไปสู่จุดมุ่งหมายการเรี ยนรู้ ประกอบด้วย จุดประสงคก์ารเรียนรู้เน้ือหาวิธีการจดักิจกรรม สื่อการเรียนรู้และการประเมินผลนักเรียน ส าลี รักสุทธิ (2553)ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็ นการน ารายวิชา หรือกลุ่ม ประสบการณ์ที่จะต้องท าการสอนตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็ นแผนการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน การใช้สื่ออุปกรณ์การสอนและการวัดผลประเมินผลเพื่อใช้สอนในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ โดยก าหนดเน้ือหาสาระและจุดประสงคข์องการเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือ จุดหมายของหลักสูตร สภาพของนักเรียน ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุ อุปกรณ์และ ตรงกบัชีวิตจริงในทอ้งถิ่น วันชัย แย้มจันทร์ฉาย (2554)ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผน ล่วงหน้าเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยจัดท าเป็นเอกสาร เน้ือหาความรู้สื่อการเรียน การสอน กิจกรรมและการประเมินผล


17 สุวิทย์ มูลค า (2554) ได้กล่าวถึงแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการหรือโครงการที่จัดท าเป็ นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอน ในรายวิชาใดวิชาหนึ่ ง เป็ นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็ นเครื่องมือที่ช่วยให้ครู พัฒนาการจัดการเรี ยนการสอนไปสู่จุดประสงค์และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็ นการวางแผนการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้าโดย มีการก าหนดรูปแบบของบทเรียนแต่ละเรื่อง เพื่อเป็ นแนวทางในการด าเนินการจัดการเรียน การสอนแก่ครูและเพื่อช่วยให้ครูพฒันาการเรียนการสอนไปสู่จุดมุ่งหมาย ซ่ึงแผนการเรียนรู้ ประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้เน้ือหา วิธีการจดักิจกรรม สื่อการเรียนรู้ และการวัดผล การประเมินผลนักเรียนตามที่หลักสูตรก าหนด 2.1.10ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ส าลีรัก สุทธิ (2553)กล่าวถึงความส าคญัของแผนการจดัการเรียนรู้ดงัน้ี 1) ช่วยให้ครูได้มีโอกาสศึกษาหลักสูตรแนวการสอน วิธีวัดผลประเมินผล ศึกษา เอกสารที่เกี่ยวข้องและการบูรณาการกับวิชาอื่น 2) ท้งัในเรื่องทรัพยากรของโรงเรียน ทรัพยากรของทอ้งถิ่น ค่านิยม ความเชื่อและ สภาพที่เป็นจริงของทอ้งถิ่นตลอดจนการเชื่อมโยงสัมพนัธ์กบวิชาอื่นด้วย ั 3) เป็ นเครื่องมือของครูในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ มีความมนั่ใจใน การสอนมากข้ึน ท่านจะเหมือนนักรบที่เดินลงสนามอย่างองอาจกล้าหาญ 4)ครูสามารถใชเ้ป็นขอ้มูลที่ถูกตอ้ง เที่ยงตรง เสนอแนะแก่บุคลากรที่เกี่ยวขอ้ง 5) ใช้เป็ นคู่มือส าหรับครูที่สอนแทนได้ 6) เป็ นการพัฒนาวิชาชีพและมาตรฐานวิชาชีพครูที่แสดงว่างานสอนต้องได้รับการ ฝึ กฝนโดยเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสารที่จ าเป็ นส าหรับการประกอบวิชาชีพด้วย อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) กล่าวถึง ความส าคญัของแผนการจดัการเรียนรู้ดงัน้ี 1) ท าให้ครูมีความมั่นใจ เพราะได้เตรียมการทุกอย่างไวพ้ร้อมแล้ว การสอนก็จะ ด าเนินไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างสมบูรณ์ 2) ท าให้เป็ นการสอนที่มีคุณค่า คุ้มกับเวลาที่ผ่านไป เพราะครูสอนอย่างมีเป้าหมาย ทิศทางในการสอน


18 3) ท าให้เป็ นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร เพราะครู ต้องศึกษาหลักสูตรท้ังด้าน จุดประสงค์การสอน เน้ือหาสาระการจดักิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และ การวัดประเมินผล การจัดท าแผนการเรียนรู้ตรงตามจุดประสงค์ จุดมุ่งหมายและทิศทางของ หลักสูตร 4) ท าให้การสอนเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนที่ไม่มีการวางแผน 5) ท าให้ครูมีเอกสารเตือนความจ า สามารถน าไปใช้เป็ นแนวทางในการสอนต่อไป ท าให้ไม่เกิดความซับซ้อน และใช้เป็ นแนวทางการสอนของครูผู้มาสอนแทน 6) ท าใหน้กัเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อครูและต่อรายวิชา ท้งัน้ีเพราะครูสอนดว้ยความพร้อม ท าให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในบทเรียน สรุปได้ว่าความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้เป็ นการเตรียมการสอนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น เน้ือหา สื่อการสอน กิจกรรมการเรียนรู้การวัด ประเมินผลท าให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงคก์ารเรียน สร้างความมนั่ใจในการสอน เป็ นคู่มือ ส าหรับครูและครูที่สอนแทนน าไปใช้ปฏิบตัิการสอนอยา่งมนั่ใจ 2.1.11 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ส าลี รักสุทธี (2553) กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรี ยนรู้ที่ดีจะต้องประกอบด้วย องค์ประกอบของแผนการจัดการเรี ยนรู้ครบถ้วน มีกิจกรรม สื่อ การวัดและประเมินผล ที่สอดคล้องกันตลอด แนวทางที่ส าคัญคือต้องให้นักเรี ยนมีส่วนในการปฏิบัติมากที่สุด ทุกข้นัตอนทุกกระบวนการตอ้งลงสู่นักเรียน ให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้ความสามารถอย่าง เต็มศักยภาพ ซึ่งสรุปเป็ นข้อ ๆ ไดด้งัน้ี 1) เป็ นแผนการสอนที่มีกิจกรรมที่ให้นักเรียนเป็ นผู้ได้ลงมือปฏิบัติให้มากที่สุด โดยครู เป็นเพียงผูค้อยช้ีน า ส่งเสริม หรือกระตุ้นให้กิจกรรมของนักเรียนด าเนินการไปตามความ มุ่งหมาย 2) เป็ นแผนการสอนที่เปิ ดโอกาสให้นักเรียนเป็ นผู้ค้นพบค าตอบหรือท าส าเร็จด้วย ตนเอง โดยครูพยายามลดบทบาทของผู้บอกค าตอบ มาเป็ นผู้คอยกระตุ้นด้วยค าถาม หรือ ปัญหาให้นักเรียนคิดแก้หรือหาแนวทางไปสู่ความส าเร็จในการท ากิจกรรมเอง 3) เป็ นแผนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการมุ่งให้นักเรียนรับรู้ และน ากระบวนการ ไปใช้จริง


19 4) เป็นแผนการสอนที่ส่งเสริมให้ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สามารถจัดหาได้ในท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์ส าเร็จรูปราคาสูง อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) กล่าวว่าลกัษณะของแผนการจดัการเรียนรู้ที่ดีมีลกัษณะดงัน้ี 1) สอดคล้องกับหลักสูตร และแนวการสอนของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2) น าไปใช้สอนจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับนักเรียนและเวลาที่ก าหนด 4) มีความกระจ่างชัดเจน ท าให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจได้ตรงกัน 5) มีรายละเอียดมากพอที่ท าให้ผู้อ่านสามารถน าไปใช้สอนได้ 6) ทุกหัวข้อในแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ต้องเน้นนักเรียนเป็ นส าคัญ มีความสอดคล้องกัน ในทุก ๆ ดา้น ไดแ้ก่สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และ การวัดประเมินผล4 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบของแผนการจดัการเรียนรู้น้ันมีรูปแบบที่หลากหลายตามสภาพความพร้อม และลกัษณะสิ่งแวดลอ้มของครูแต่ละคน แต่ต้องมีส่วนประกอบที่ครบถ้วนคือ จุดประสงค์การ เรียนรู้กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลที่ค านึงถึงความสัมพันธ์ของเวลา อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) กล่าวว่า รูปแบบของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่มี รูปแบบตายตวัข้ึนอยกู่บัหน่วยงานหรือสถานศึกษาแต่ละแห่งจะก าหนด อย่างไรก็ตามลักษณะ ส่วนใหญ่ของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะคล้ายคลึงกัน ซึ่งพอสรุปได้ 3 รูปแบบ ดงัน้ี 1)แบบเรียงหวัขอ้หรือแบบบรรยาย รูปแบบน้ีจะเรียงตามล าดบัก่อนหลงัโดยไม่ตอ้งตี ตาราง รูปแบบน้ีใหค้วามสะดวกในการเขียน เพราะไม่ตอ้งตีตาราง แต่มีส่วนเสียคือยากต่อการ ดูให้สัมพันธ์กันในแต่ละหัวข้อในตารางด้วย 2) แบบตาราง รูปแบบน้ีจะเขียนเป็นช่อง ๆ คล้ายแบบกึ่ งตาราง โดยน าหัวข้อ สาระส าคัญมาไว้ 3)แบบก่ึงตาราง รูปแบบน้ีจะเขียนเป็ นช่อง ๆ ตามหัวข้อที่ก าหนด แม้ว่าต้องใช้เวลา ในการตีตารางแต่ก็สะดวกต่อการอ่าน ท าให้เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละหัวข้ออย่างชัดเจน


20 สุวิทย์ มูลค า(2554) กล่าวว่าแผนการจดัการเรียนรู้ที่นิยมใชก้นัทวั่ ไปมี3 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ 1)แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย เขียนโดยใช้การล าดับกิจกรรมการเรียนการสอน จะเขียนเป็ นเชิงบรรยายกิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ โดยไม่ระบุชัดเจนว่านักเรียนท าอะไร 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง เขียนโดยใช้ประเด็นส าคัญที่เป็ นองค์ประกอบ ของแผนการจัดการเรียนรู้มาก ากับ และบรรจุองค์ประกอบส าคญัเหล่าน้นัลงไปในตารางเกือบ ท้งัหมด 3)แผนการจดัการเรียนรู้แบบก่ึงตาราง เป็นแผนการจดัการเรียนรู้ที่มีรายละเอียดมากข้ึน การจัดล าดบักิจกรรมการเรียนการสอนแยกเป็นกิจกรรมที่ครูปฏิบตัิและสิ่งที่นักเรียนปฏิบตัิซ่ึง สอดคล้องกัน จากรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ นิยมใช้กนัทวั่ ไปมี3 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย แผนการจัดการ เรียนรู้แบบตาราง และแผนการจัดการเรียนรู้แบบกึ่งตาราง ท้งัน้ีผศู้ึกษาเลือกใชแ้ผนการจดัการ เรียนรู้แบบบรรยาย ซึ่งครูสามารถเลือกใช้รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ สภาพบริบทหรือปรับได้ตามความเหมาะสม 2.1.12ข้นัตอนการท าแผนการจัดการเรียนรู้ ส าลี รักสุทธี (2553)ไดก้ล่าวสรุปข้นัตอนการจดัท าแผนการจัดการเรียนรู้ไวด้งัต่อไปน้ี 1)ก าหนดหรือเลือกรูปแบบ ตัดสินใจว่าจะเอารูปแบบใด 2)ก าหนดชื่อสาระการเรียนรู้ (ชื่อเรื่อง) 3) วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ แล้วเขียนเป็ นจุดประสงค์หรือมาตรฐานการ เรียนก็ได้ 4)ก าหนดมาตรฐานหรือจุดประสงค์ที่วิเคราะห์ไว้แล้ว ที่มีความสัมพันธ์กับ สาระการเรียนรู้ที่ก าหนด เพื่อน าไปเขียนลงในแผนการจัดการเรียนรู้ 5)วิเคราะห์สาระการเรียนรู้เป็ นรายละเอียดส าหรับน าไปจัดการเรียนรู้ต่อไป 6)ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ก าหนดเทคนิควิธีการถ่ายทอดที่ดี 7)ก าหนดเรื่องให้เหมาะสมกับสาระ 8) จัดท าล าดับข้นัตอนการจดักิจกรรมโดยค านึงถึงธรรมชาติวิชา ค านึงถึง นักเรียนเป็ นส าคัญการเชื่อมโยงการเรียนและการเรียนรู้แบบองค์รวม


21 9)ก าหนดวิธีการวัดผลประเมินผล อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) กล่าวไว้ว่า การจัดท าแผนการจดัการเรียนรู้มีข้นัตอนดงัน้ี 1) วิเคราะห์ค าอธิบายรายวิชา รายปี หรือรายภาค และหน่วยการเรี ยนรู้ที่ สถานศึกษาจัดท าข้ึน เพื่อประโยชน์ในการเขียนรายละเอียดของแต่ละหัวข้อของ แผนการจัดการเรียนรู้ 2)วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังเพื่อน ามาเขียนเป็ นจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยให้ ครอบคลุมพฤติกรรมท้งัดา้นความรู้ทกัษะ/กระบวนการเจตคติและค่านิยม 3) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนรู้ ให้สอดคล้อง กับนักเรียน ชุมชนและทอ้งถิ่น 4) วิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้ เลือกการจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียน เป็ นส าคัญ 5)วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่ สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ 6) วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้ โดยคัดเลือกสื่อการเรียนรู้ และแหล่งการเรียนรู้ ท้งัในและนอกหอ้งเรียน ใหเ้หมาะสมสอดคลอ้งกบักระบวนเรียนรู้ จากข้นัตอนการท าแผนการจัดการเรียนรู้ที่กล่าวมาขา้งตน้ สรุปไดว้่าข้นัตอนการท า แผนการจัดการเรียนรู้ มีล าดบัข้นัตอน คือ 1) วิเคราะห์สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ตวัช้ีวดัให้สอดคลอ้งกบัหลกัสูตรที่ ก าหนดให้ชัดเจน 2) วิเคราะห์ค าอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา โครงสร้างเวลาเรียน ระดับ การศึกษา 3) วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการ เรียนรู้ การวัดผลประเมินผล สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 4) ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ โดยเลือกรูปแบบให้สอดคล้องกับบริบท ของสถานศึกษาความถนัดและความแตกต่างของนักเรียน ความเหมาะสมของแต่ละ สาระวิชา 5) เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามล าดบัข้นัตอนที่ก าหนดไว้


22 2.2การวิจัยเชิงทดลอง 2.2.1 ความหมายของการวิจัยเชิงทดลอง นกัการศึกษาไดใ้หค้วามหมายของการวิจยัเชิงทดลอง ดงัน้ี Best and Kahn (1993) กล่าวว่าการวิจัยเชิงทดลองเป็ นการวิจัยที่มุ่งบรรยายและ วิเคราะห์สิ่งที่ควรเกิดข้ึนภายใตส้ภาพการณ์ควบคุมอย่างระมดัระวงัพวงรัตน์ทวีรัตน์(2543) กล่าวว่าการวิจัยเชิงทดลองเป็ นการวิจัยที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของตัวแปรของ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยมีการจัดกระท ากับตัวแปรที่เป็ นเหตุ แล้วสังเกตดูว่าจะเกิดผลเช่นไร นอกจากน้ียงัมีการควบคุมสภาพการณ์บางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องให้หมดไปตามวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ ส่วนบุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2551)กล่าวว่าการวิจัยเชิงทดลองเป็ นการค้นหา ข้อเท็จจริงซึ่งเป็ นความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล (Cause and effect relationship) ที่เกิดข้ึน ภายใต้ภาวการณ์ควบคุม สรุปได้ว่า การวิจัยเชิงทดลอง หมายถึง การวิจัยที่ศึกษาหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล ของตัว แปรภายใต้การควบคุมสถานการณ์ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 2.2.2 ประเภทของการวิจัยเชิงทดลอง การแบ่งประเภทของการวิจัยเชิงทดลอง อาจแบ่งได้ 2 ลักษณะ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543) คือ 1) แบ่งตามสภาพแวดล้อมของการศึกษา แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ดงัน้ี 1.1) การวิจัยด้วยการทดลองในห้องปฏิบัติการ (Laboratory experiment) เป็ น การวิจัยที่ด าเนินการทดลองในห้องปฏิบตัิการเท่าน้ัน เป็นการยึดถือการใช้กฎของ ตัวแปรเดียว (law of single Variable) กล่าวคือพยายามควบคุมหรื อขจัดตัวแปรที่ ไม่ต้องการศึกษาให้หมดไปให้เหลือแต่ตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาเพียงตัวเดียว เท่าน้นั ท าการทดลองเพื่อวัดผลที่ตัวแปรตาม เพื่อดูว่าเกิดจากตัวแปรอิสระที่คิดว่าเป็ น สาเหตุจริงหรือไม่การวิจยัเชิงทดลองในลกัษณะน้ีเหมาะส าหรับการวิจัยทางด้าน วิทยาศาสตร์ (Physical Science) มากกว่าการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ (Social Science) เพราะการวิจัยทางสังคมศาสตร์ส่วนใหญ่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนท าได้ยาก 1.2) การวิจัยด้วยการทดลองในสนาม (field experiment) เป็ นการวิจัยที่มี ระเบียบวิธีวิจัยคล้ายกับวิธีการทดลองในห้องปฏิบัติการมาก เพราะมีการก าหนดตัว


23 แปรอิสระเพื่อศึกษาผลที่เกิดข้ึน แต่วิธีน้ีต่างกับการทดลองในห้องปฏิบตัิการตรงที่ เป็ นการศึกษาวิจัยในสภาพการณ์ที่เป็ นจริงตามธรรมชาติ โดย ผู้วิจัยพยายามควบคุม ตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษาหรื อตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ อย่างระมัดระวังภายใต้ สภาพการณ์เท่าที่จะอ านวยให้การวิจยัแบบน้ีจึงเป็นที่นิยมกระท าส าหรับสาขาวิชา ด้านพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์อย่างมาก เพราะการศึกษากับมนุษย์ไม่สะดวก ที่จะศึกษาและวิจัยในห้องปฏิบัติการ เพราะการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ของมนุษย์ ท าได้ยาก 2) แบ่งตามวิธีการศึกษาตัวแปร แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ดงัน้ี 2.1) การทดลองแท้ (true experiment) เป็ นการทดลองที่สามารถด าเนินการ ทดลองได้ครบถ้วน กระบวนการทดลอง ซึ่งมีลักษณะที่ส าคญัดงัน้ี - เป็ นการหาความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผลอย่างแท้จริง - สามารถจัดกระท ากับตัวแปรอิสระ หรื อตัวแปรทดลองตามที่ ต้องการศึกษาได้ เพื่อดูว่าตวัแปรอิสระหรือตวัแปรทดลองน้ันจะเป็น สาเหตุท าให้เกิดผล(ตัวแปรตาม) เช่นไร - สามารถจัดสภาพการณ์การทดลองให้ตรงตามทฤษฎีและแนวคิด ส าคัญได้ - สามารถแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็ นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมได้ - สามารถใช้หลัก max min con principle ในการควบคุมตัวแปรแทรก ซ้อนได้ -ผลการวิจัยสามารถอ้างอิงไปสู่ประชากรได้ 2.2) การทดลองกึ่งทดลอง (quasi experiment) เป็ นการทดลองที่ไม่สามารถ ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้ การวิจัยกึ่งทดลองมีลักษณะส าคัญดังน้ีคือ ก าหนดไว้ได้ - เป็ นการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของตัวแปรที่ไม่สมบูรณ์นัก - ไม่สามารถจัดสภาพการณ์การทดลองให้เป็ นไปตามทฤษฎีและ แนวคิดส าคัญที่ก าหนดไว้ได้ - เป็ นการทดลองในสภาพที่เป็ นจริงตามธรรมชาติ


24 -ไม่สามารถใช้หลัก max min con principle ในการควบคุมตัวแปรแทรก ซ้อนได้ 2.2.3 ความมุ่งหมายของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีความมุ่งหมายที่ส าคัญ 2 ประการ คือ 1) เพื่อหาความสัมพันธ์เชิงประจักษ์ ซึ่งเป็ นความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (Cause and effect relationship) ระหว่างตัวแปรที่เป็ นสาเหตุกับตัวแปรที่เป็ นผลมาจากการทดลอง การท า การทดลองมกัจะเริ่มจากความอยากรู้อยากเห็นของผูว้ิจยัว่าถา้เปลี่ยนค่าตวัแปรน้ีแลว้ผลที่เกิด ตามมาจะเป็ นอย่างไร เช่น อยากรู้ว่าถ้าเปลี่ยนสูตรปุ๋ ยแล้วจะท าให้ต้นไม้เจริญเติบโตหรือไม่ อย่างไร เป็ นต้น ในกรณีที่ผู้วิจัยยังไม่มีทฤษฎีที่จะน ามาใช้พยากรณ์ผลที่เกิดข้ึน จึงยงัไม่มี สมมติฐานที่จะทดสอบ แต่ก็สนใจอยากทราบว่าผลจะเป็ นอย่างไร เมื่อท าการศึกษาด้วยการ ทดลอง ผลการทดลองก็จะออกมาในลักษณะที่ว่าถ้าท าอย่างน้ีแลว้ผลจะเป็นอย่างน้ัน ซ่ึงเป็น การหาความสัมพนัธ์เชิงประจกัษเ์ท่าน้นั 2) เพื่อตรวจสอบทฤษฎี โดยยึดเกณฑ์การพยากรณ์เป็ นส าคัญ หากการพยากรณ์ของ ทฤษฎีไม่ตรงกับปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึน แสดงว่าทฤษฎีน้ันผิดพลาด การใช้ระเบียบวิธีวิจัย เชิงทดลอง เพื่อตรวจสอบ ทฤษฎีเป็ นวิธีการที่ค่อนข้างสะดวก เพราะสามารถที่จะทดสอบ เมื่อไรก็ได้หรือสามารถเปลี่ยนแปลงข้นัตอนบางส่วนของการทดลอง เพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลง ก็สามารถท าได้ 2.2.4 ลักษณะของการวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลองมีลักษณะที่ส าคัญ (Koul, 1984 อ้างถึงใน พิชิต ฤทธิ์ จรูญ, 2554 และ สุวิมล ติรกานันท์, 2554) ดงัน้ี 1) การสุ่ม (randomization) เป็ นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่เกิดจากกลุ่มตัวอย่าง และวิธีการทดลอง ซึ่งการสุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็ น 2 ข้นัตอน ดงัน้ี 1.1) การสุ่มตัวอย่างจากประชากร (random selection) เป็ นการสุ่มแต่ละหน่วย ของตัวอย่างจากประชากร โดยทุกหน่วยของประชากรที่ต้องการศึกษามีโอกาสที่จะ ถูกเลือกเป็ นตัวแทนเท่า ๆ กัน 1.2) การสุ่มตัวอย่างเข้ารับวิธีการทดลอง (random assignment) เป็ นการสุ่ม หน่วยตัวอย่างเข้าสู่แต่ละวิธีของการทดลอง โดยแต่ละหน่วยมีโอกาสที่จะได้รับวิธีการ ทดลองเท่า ๆ กัน


25 2) การจัดกระท าตัวแปร (manipulation) ตัวแปรในการวิจัยเชิงทดลองเป็ นตัวแปรที่ ผู้วิจัยจัดกระท าข้ึน (active variable) โดยสามารถแบ่งตัวแปรออกเป็ นระดับต่าง ๆ หลายวิธีที่ ใช้ในการทดลอง การแบ่งระดับของตัวแปรที่ศึกษาเป็ นหลายระดับ เพื่อศึกษาผลที่ได้จาก แต่ละระดับของตัวแปร เช่น การทดสอบคุณภาพปุ๋ยสูตรต่าง ๆ ในกรณีน้ีปุ๋ยจะเป็นตวัแปร สูตรต่าง ๆ ของปุ๋ ยคือระดับของตัวแปร ซึ่งระดับของตัวแปรในการวิจัยเชิงทดลองเรียกว่า treatment 3) การควบคุม (Control) เป็ นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม ในการ ทดลอง การทดลองในห้องปฏิบัติการ (lab) เป็ นวิธีการที่ได้รับการยอมรับในทาง วิทยาศาสตร์ว่าสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุด แต่ในทางสังคมศาสตร์เป็ นการศึกษา เกี่ยวกับมนุษย์ การศึกษาในห้องปฏิบัติการจึงไม่สามารถกระท าได้ เพราะมีผลในแง่จริยธรรม และการละเมิดสิทธิมนุษยชน 4) การสังเกต (Observation) จะต้องมีการวดัหรือการสังเกตผลที่เกิดข้ึนจากการ ทดลอง เป็ นการวัดการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตาม เพื่อศึกษาว่าเป็ นผลมาจากตัวแปรอิสระ ที่ทดลองหรือไม่ 5) การออกแบบการทดลอง จะต้องมีการออกแบบการทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้การวิจัยมีความเที่ยงตรงภายในและภายนอก อันจะน าไปสู่การได้ผลการวิจัยที่ตรงตาม ความจริง 6) กลุ่มเปรี ยบเทียบ (replication) การวิจัยเชิงทดลองจะต้องมีกลุ่มควบคุมเอาไว้ เปรียบเทียบผล การทดลองที่ได้ เพราะการควบคุมตัวแปรภายนอกด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างหรือ วิธีอื่น ๆ น้นัสามารถควบคุมไดเ้พียงระดบัหน่ึงเท่าน้นัยงัไม่อาจควบคุมอิทธิพลของตวัแปร ภายนอกไดท้ ้งัหมด จึงจ าเป็ นต้องมี กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการทดลองเอาไว้เปรียบเทียบ 2.2.5 ระเบียบวิธีวิจัยของการวิจัยเชิงทดลอง ระเบียบวิธีวิจัยของการวิจัยเชิงทดลอง ด าเนินการตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่าง แทจ้ริง ซ่ึงประกอบดว้ยข้นัตอนที่ละเอียด ดงัต่อไปน้ี 1) เลือกหัวข้อปัญหาเพื่อท าการวิจัย หัวข้อปัญหาจะต้องก าหนดขอบข่ายของงานวิจัย ว่าจะศึกษาในขอบเขตแค่ไหน และในแง่มุมใด


26 2) ศึกษาเอกสารและงานวิจยัที่เกี่ยวขอ้งกบั ปัญหาวิจยั โดยเฉพาะอยา่งยงิ่ศึกษาเกี่ยวกบั ทฤษฎีและหลักการเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษา ซึ่งจะท าให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษามาก ยงิ่ข้ึน และไดแ้นวทางในการต้งัสมมติฐานการวิจยัอยา่งเหมาะสม 3) พิจารณาหัวข้อปัญหาที่จะวิจัย เพื่อให้ทราบว่าต้องการศึกษาตัวแปรอะไร อะไรเป็ น ตัวแปร อิสระ อะไรเป็ นตัวแปรตาม และตัวแปรแทรกซ้อนที่จะต้องควบคุมมีอะไรบ้าง 4) ท าการนิยามปัญหาให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตรวจสอบโดยวิธีวิจัย 5) ต้งัสมมติฐานการวิจยัใหช้ดัเจน และสอดคลอ้งกบัวตัถุประสงคข์องการวิจยั 6) ออกแบบการวิจัย (experimental design) โดยการก าหนดรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้งในการทดลอง ไดแ้ก่เครื่องมือ 6.1) การก าาหนดตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรทดลอง หรือตัวแปรจัดกระท า 6.2) การก าหนดตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษา และหาวิธีการที่จะควบคุมตัวแปร เหล่าน้นั 6.3) เลือกแบบการทดลอง 6.4) ก าหนดและเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยให้เป็ นตัวแทนของมวลประชากรที่ ต้องการศึกษา 6.5) ก าหนดและสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ตลอดจนการตรวจสอบ คุณภาพของเครื่องมือ 6.6) ท าการศึกษาน า (pilot study) ก่อนท าจริง เพื่อศึกษาลู่ทาง และหาทางขจัด ปัญหาอนัอาจเกิดข้ึนในขณะด าเนินการทดลอง 6.7) ด าเนินการทดลองตามแบบการทดลองที่ได้ก าหนดไว้ 6.8) จัดกระท าข้อมูล และวางแผนการน าเสนอข้อค้นพบ 6.9) สรุปผลการทดลอง 6.10) เขียนรายงานการวิจัย จากการศึกษาการวิจัยเชิงทดลองที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การวิจัยเชิงทดลอง หมายถึงการวิจัยที่ศึกษาหาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของตัวแปรภายใต้การควบคุม สถานการณ์ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและ ผลระหว่างตัวแปรและมุ่งตรวจสอบทฤษฎี ประเภทของการวิจัยเชิงทดลองถ้าแบ่งตาม สภาพแวดล้อมที่ศึกษาจ าแนกออกเป็ น 2 ประเภท ไดแ้ก่การวิจยัการทดลองในห้องปฏิบตัิการ


27 และการวิจัยการทดลองภาคสนาม การวิจัยเชิงทดลองมีลักษณะที่ส าคัญประกอบด้วยการสุ่ม การจัดกระท าตัวแปร การควบคุม การสังเกต การออกแบบการทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการอ่านจับใจความ 2.3.1 ความหมายของทักษะการอ่านจับใจความ การอ่านเป็นทกัษะพ้ืนฐานที่ส าคัญและจา เป็นต่อการศึกษาหาความรู้การอ่านเป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ การอ่านที่ดีและมีประสิทธิภาพจะต้องอ่านแล้วจับใจความได้ สรุปสาระส าคัญของเรื่องที่อ่านได้ฉะน้ันการสอนอ่านจับใจความส าคัญเป็นสิ่งส าคญัต่อ ครูผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการอ่านจับใจความส าคัญ ซึ่งนักการ ศึกษาได้ให้ความหมายของทักษะการอ่านจบั ใจความสา คญั ไวด้งัน้ี ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2552) กล่าวว่า ทักษะการอ่านจับใจความส าคัญเป็ นการอ่านเพื่อ ทา ความเขา้ใจเน้ือเรื่อง เป็นการอ่านเพื่อต้องการทราบว่าเรื่องน้ันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอะไร มีความส าคัญตรงไหน และหมายความว่าอย่างไร จะเห็นได้ว่าการอ่านจับใจความ ส่วนใหญ่จะ เน้นในเรื่องความเข้าใจในเรื่องที่อ่าน ค้นหาสาระส าคัญหรือประเด็นส าคัญของเรื่องที่อ่าน สุริยา เพ็งลี (2552) กล่าวว่า ทักษะการอ่านจับใจความส าคัญหมายถึง การอ่านเพื่อจับ ประเด็นของเรื่อง เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่อ่าน สามารถบอกข้อคิดและจุดมุ่งหมายส าคัญของเรื่อง น้นัๆ ได้และสามารถนา แนวคิดไปปรับใชใ้นชีวิตประจ าวัน วันเพ็ญ คุณพิริยะทวี (2556) กล่าวว่า ทักษะการอ่านจับใจความ หมายถึง กระบวนการ อ่านเพื่อทา ความเขา้ใจความหมายของขอ้ความ หรือเน้ือเรื่องสามารถต้งัคา ถาม ตอบคา ถาม และล าดับเหตุการณ์ได้ถูกต้อง จากความหมายของทักษะการอ่านจับใจความข้างต้นผู้ศึกษาค้นคว้าสรุปได้ว่า ทักษะ การอ่านจับใจความหมายถึง การอ่านเรื่องแล้วสามารถบอกส่วนส าคัญของเรื่องซึ่งตรงกับที่ ผู้เขียนต้องการสื่อให้ทราบได้โดยใช้ความคิดของตนแปลความ ตีความ ขยายความและใช้ ความคิดวิเคราะห์ในการตัดสินเลือกใจความส าคัญและพูดหรือเขียนสื่อความออกมาได้


28 2.3.2 ประเภทของการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความมีอยู่ 2 ประเภทคือ 1) อ่านเพื่อจับใจความรวม เป็ นการอ่านหาภาพรวมของหนังสือหรือข้อความ 2)การอ่านเพื่อจับใจความส าคัญ ใจความส าคัญในย่อหน้า ใจความส าคัญ คือ ข้อความที่เป็ นความคิดส าคัญหรือประเด็นส าคัญของเรื่อง ใจความ ส าคัญมีอยู่ 2 แบบ คือ 1) ใจความส าคัญที่เป็ นประโยค มักปรากฏอยู่ตอนต้น ตอนท้าย หรือตอนกลางของ ข้อความ 2) ใจความส าคัญที่ไม่เป็ นประโยคแต่อยู่กระจายไปในย่อหน้า 2.3.3ความส าคัญของทักษะการอ่านจับใจความ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ภาษาไทยได้ ก าหนดคุณภาพนักเรียน และมาตรฐานการเรียนรู้ในระดบัช้นัเน้นการสอนอ่าน ให้มีทักษะในการจับ ใจความ หารายละเอียดของเรื่อง จับประเด็น มีพ้ืนฐานทกัษะการอ่าน จับใจความที่ดีย่อมสามารถน าไปใช้เป็ นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ในสาขาวิชาอื่น ๆ ได้เป็ นอย่างดี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) วิไล ทองสม (2558) ได้กล่าวถึงความส าคัญของทักษะการอ่านจับใจความไว้ว่า ทักษะ การอ่านจบั ใจความมีความส าคญัอย่างยิ่งต่อการดา รงชีวิตของมนุษยใ์นโลกสังคมยุคปัจจุบนั ซึ่งเป็ นยุคของข้อมูลข่าวสาร ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากการอ่านอย่างเต็มที่ ถ้าผู้อ่านสามารถ รับสารที่ผู้เขียนส่งให้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง กระบวนการส าคัญที่สุดที่มีส่วนช่วยท าให้ ผอู้่านสามารถรับสารไดอ้ยา่งถูกตอ้งนนั่ก็คือการอ่านจบั ใจความ สายใจ ทองเนียม (2560) ได้อธิบายเกี่ยวกับความส าคัญของทักษะการอ่านจับใจความ ไว้ว่า การอ่านจับใจความเป็ นทักษะที่ส าคัญ นักเรียนตอ้งรู้จกัการอ่านคา นั่นคือการอ่านออก


29 รู้ความหมายของค า ส านวน วลี ประโยค จับใจความส าคัญของเรื่องที่อ่านได้ เพราะถ้าผู้อ่าน ไม่สามารถอ่านจับใจความจากเรื่องที่อ่านได้ อาจส่งผลต่อการอ่านเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ที่ยาก กว่าและจะเป็ นสาเหตุท าให้ผู้อ่านสามารถพัฒนาการอ่านของตนได้ ชุติมา ยอดตา (2561) ได้อธิบายเกี่ยวกับความส าคัญของทักษะการอ่านจับใจความไว้ ว่าการอ่านจบั ใจความมีความส าคญัเพราะเป็นทกัษะพ้ืนฐานที่ส าคญัส าหรับการอ่านระดบัข้นั สูงข้ึนไป เพราะถา้หากนักเรียนไม่สามารถอ่านจับใจความได้ ก็จะส่งผลให้ไม่สามารถเข้าใจ เรื่องที่อ่านเนื่องจากการอ่านจบั ใจความมีส่วนช่วยให้ผูอ้่านเกิดความเขา้ใจในแก่นเรื่องที่อ่าน ได้ถูกต้องและส าหรับนักเรียนในรายวิชาต่าง ๆ ทุกสาขาวิชาจา เป็นอย่างยิ่งที่ตอ้งอาศยัทกัษะ การอ่านจับใจความ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ดงัน้นั นักเรียน ที่ขาดทกัษะการอ่านจบั ใจความก็จะไม่สามารถสรุปเน้ือหาสาระเรื่องที่อ่านได้ ถนอมวงศ์ล้า ยอดมรรคผล (2561) กล่าวว่าทักษะการอ่านจับใจความนับเป็ นหัวใจ ส าคัญของการอ่านทุกรูปแบบเพราะหากจับใจความไม่ได้ย่อมไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน หากต้องใช้ ประโยชน์จากการอ่านน้ันก็ต้องกลับมาอ่านใหม่ส่งผลให้เสียเวลา หากอ่านแล้วสามารถ จับใจความเรื่องที่อ่านได้ก็จะสามารถน าประโยชน์ที่ได้จากการอ่านไปใช้ได้ทันที โดยไม่ จ าเป็ นต้องกลับมาอ่านใหม่ จากข้อความข้างต้นสามารถสรุปความส าคัญของทักษะการอ่านจับใจความได้ดงัน้ี 1) การอ่านเป็นทักษะที่จ าเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้และพัฒนาชีวิตซ่ึง นอกจากจะทา ให้เกิดความรู้แลว้ยงัก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และส่งเสริมให้มี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไดแ้นวคิดในการดา เนินชีวิต การอ่านจึงเป็ นหัวใจของการศึกษาทุก ระดับและเป็ นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้เรื่องต่าง ๆ 2)การอ่านที่ดีมีประสิทธิภาพจะต้องอ่านแล้วจับใจความส าคัญได้ สรุปสาระส าคัญ ของเรื่องที่ อ่านได้ แต่การส ารวจการประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนพบว่า ปัญหา ที่ส าคัญในการอ่าน ของนักเรียน คือ อ่านแล้วจับใจความส าคัญไม่ได้ ไม่สามารถสรุปประเด็น ได้ ไม่สามารถแยกความรู้ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ไม่สามารถแยกใจความส าคัญกับใจความรอง


30 ได้ ท าให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการอ่านเท่าที่ควร ท้งัยงัเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเรียนรู้และ การศึกษาวิชาต่าง ๆ ด้วย 2.3.4 หลักจิตวิทยาด้านการอ่านจับใจความส าคัญ ผู้ศึกษาได้ตระหนักในการอ่านจับใจความให้ประสบผลส าเร็จน้ันต้องค านึงถึง จุดมุ่งหมายในการสอน ท้งัน้ีเพื่อจะน านักเรียนไปสู่เป้าหมายในการเรียน นอกจากทฤษฎีที่ เกี่ยวข้องแล้วต้องค านึงถึงหลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน กล่าวคือ ถ้าเด็กมีความพร้อมก็ สามารถอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพน้นัเด็กตอ้งมีความพร้อม ท้งัร่างกาย อารมณ์สติปัญญา ซ่ึงเป็นไปตามกฎแห่งความพร้อมของ Thorndike กล่าวคือ การ เรียนรู้จะเกิดข้ึนได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อนักเรียนมีความพร้อมท้งัร่างกายและจิตใจที่จะเรียน และ เรียนรู้ได้จริง ๆ ซึ่งสามารถน ามาประยุกต์ใช้ตามหลักการจัดการเรียนรู้ดงัน้ี 1)การจัดการเรียนรู้ควรให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการกระท าโดยการลองผิดลองถูก มี กระบวนการแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง มีความเขา้ใจในเรื่องที่เรียนและภาคภูมิในสิ่งที่ตนเองได้ กระท า 2)ครูควรส ารวจความพร้อมของนักเรียนวา่มีความรู้พ้ืนฐานเพียงใด จากน้นัครูควรจดั กิจกรรมให้มีการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่โดยให้นกัเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้นั ๆ และควรค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย 3)ครูควรฝึกทกัษะให้เกิดข้ึนกบั นักเรียนได้อย่างแท้จริง ซึ่งอาจจะเป็ นทักษะในด้าน การปฏิบตัิเพื่อให้นกัเรียนไดเ้รียนรู้จากสภาพจริง แต่ไม่ควรฝึกซ้า ซากจนเกิดความเบื่อหน่าย แก่นักเรียน 4) เมื่อครูฝึกเด็กให้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่เรียนแลว้ควรให้นกัเรียนนา สิ่งที่ไดไ้ปใช้ ใน สถานการณ์ต่าง ๆ ให้บ่อย ๆ นอกจากน้ีPiaget อธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็ นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญาจะ มี พัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลา ดบัข้นัพฒันาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติพฒันาการ


31 เรียนรู้ของแต่ละคนย่อมมีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะพัฒนาการทางด้านสติปัญญาที่ เป็นไปตามวยัของแต่ละบุคคล สติปัญญาสามารถเกิดข้ึนไดโ้ดยไดร้ับการเรียนรู้จากการเรียน ประสบการณ์เดิม ประสบการณ์ใหม่ดังน้ัน การจัดการเรียนการเรียนรู้ของครูต้องค านึงถึง สติปัญญาและความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย 2.3.5แนวการสอนอ่านจับใจความ นกัวิชาการไดน้า เสนอเกี่ยวกบัแนวทางการสอนอ่านจบั ใจความไวด้งัน้ี ทิพวรรณ บุญรินทร์ (2553) ได้ให้แนวทางของการอ่านจับใจความส าคัญให้บรรลุ จุดประสงคแ์ละประเภทการอ่านจบั ใจความไว้ดงัน้ี 1) ต้ังจุดมุ่งหมายในการอ่านได้อย่างชัดเจน เช่น อ่านเพื่อหาความรู้เพื่อความ เพลิดเพลิน หรือเพื่อบอกเจตนาของผู้เขียน เพราะจะเป็ นแนวทางให้ก าหนดการอ่านได้อย่าง เหมาะสมและจบั ใจความหรือคา ตอบไดร้วดเร็วยงิ่ข้ึน 2) ส ารวจส่วนประกอบของหนงัสืออย่างคร่าว ๆ เช่น ชื่อเรื่องคา นา สารบญัคา ช้ีแจง การใช้หนังสือ ภาคผนวก ฯลฯ เพราะส่วนประกอบของหนังสือจะท าให้เกิดความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องหรือ หนังสือที่อ่านได้กว้างขวางและรวดเร็ว 3) ท าความเข้าใจลักษณะของหนังสือว่าประเภทใด เช่น สารคดี ต ารา บทความ ซึ่งจะ ช่วยให้มีแนวทางอ่านจับใจความส าคัญได้ง่าย 4) ใช้ความสามารถทางภาษาในด้านการแปลความหมายของค า ประโยค และข้อความ ต่าง ๆ อย่างถูกต้อง รวดเร็ว 5) ใช้ประสบการณ์หรือภูมิหลังเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านมาประกอบ จะท าให้เข้าใจและ จบั ใจความที่อ่านไดง้่ายและรวดเร็วข้ึน


32 ประทีป วาทิกทินกร (2555) ได้อธิบายเกี่ยวกับ วิธีการอ่านจับใจความอาจกระท าได้ โดยยึดหลกัการง่าย ๆ ดงัน้ี 1)อ่านเรื่องราวใหต้ลอดหมดท้งัเรื่อง 2) ต้งัคา ถาม ถามตวัเองส้ัน ๆ วา่เรื่องอะไร ใครทา อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่อยา่งไรและ ท าไม บางเรื่องอาจจะมีค าตอบไม่ครบก็ได้ แต่เราต้องตอบเท่าที่เราสามารถตอบได้ให้ครบถ้วน เพื่อจะไดส้ามารถอ่านจบั ใจความไดค้รอบคลุมเน้ือหาใหไ้ดม้ากที่สุด แววมยุรา เหมือนนิล (2556) กล่าวถึงวิธีการอ่านจบั ใจความไวด้งัน้ี 1)ควรเริ่มตน้การอ่านจบั ใจความในแต่ละย่อหนา้ใหถู้กตอ้งแม่นยา เพราะในแต่ละย่อ หน้าจะมีใจความที่ส าคัญที่สุดอยู่ใจความเดียว และเมื่อน าประเด็นที่ส าคัญของแต่ละย่อหน้ามา พิจารณารวมกนัจะไดแ้นวคิด หรือแก่นของเรื่องที่สา คญัที่สุดไดง้่ายข้ึน 2) ใจความในแต่ละย่อหน้าหมายถึง ข้อความที่มีสาระคลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้า น้นัๆ ไวท้้งัหมด 3) ใจความในแต่ละย่อหน้าส่วนมากมักจะอยู่ในประโยคใดประโยคหนึ่ งโดยมี ขอ้สังเกต ดงัน้ี 3.1) ประโยคตอนต้นย่อหน้า เป็ นจุดที่พบใจความของเรื่องในแต่ละย่อหน้า มากที่สุดเพราะผู้เขียนมักจะบอกประเด็นส าคัญไว้แล้วจึงขยายรายละเอียดเพื่อให้ ชดัเจนข้ึนภายหลงั 3.2) ประโยคตอนท้ายย่อหน้า เป็ นจุดที่พบใจความมากรองลงมาจากประโยค ตอนตน้ย่อหนา้โดยผูเ้ขียนจะบอกรายละเอียด หรือประเด็นย่อยมาก่อนแลว้สรุปดว้ย ประโยคที่เก็บประเด็นส าคัญไว้ภายหลัง 3.3) ประโยคตอนกลางย่อหน้า เป็ นจุดที่ค้นหาใจความได้ยาก เพราะต้อง พิจารณาเปรียบเทียบให้ได้ว่าสาระส าคัญที่สุดอยู่ในประโยคใด


33 3.4)ไม่ปรากฏในประโยคใดอย่างชัดเจน อาจอยู่ในหลายประโยคหรือรวม ๆ อยู่ในย่อหน้า ซึ่งผู้อ่านจะต้องสรุปออกมาเอง ซึ่งเป็ นการจับใจความที่ยากกว่าอย่างอื่น ผูอ้่านอาจจะใช้วิธีในการต้งัคา ถามกบัตนเองว่า ใคร ทา อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ท าไม ซึ่งจะท าให้ผู้อ่านเห็นถึงส่วนที่เป็ นประเด็นส าคัญ และส่วนที่เป็ นประเด็นเสริม หรือการขยายความไดง้่ายข้ึน 4)การตัดประโยคหรือข้อความที่เป็ นส่วนขยาย หรือไม่จ าเป็ นในแต่ละย่อหน้าออกก็ จะเหลือส่วนที่เป็ นใจความส าคัญของย่อหน้าได้ ศิริพร ลิมตระการ (2556) ได้แนะน าวิธีการสอนอ่านจับใจความไว้ว่า การอ่าน จบั ใจความเน้ือเรื่องที่อ่านจากยอ่หนา้หรือจากขอ้ความต่อเนื่องที่ผเู้ขียนไม่ต้งัประเด็นเขียนและ ไม่มีการขยายความประเด็นที่ต้งัไวแ้ต่เขียนไปเรื่อย ๆ น้นั ใหอ้่านไดย้าก ผู้อ่านต้องอาศัยการฝึ ก คิดวิเคราะห์โครงสร้างของประโยค ข้อความ ย่อหน้า จึงจะเข้าใจความหมาย แต่ส าหรับงาน เขียนที่มีโครงสร้างกระชับเป็ นระบบผู้อ่านจะสามารถอ่านจับใจความได้ง่าย การอ่านประเภท น้ีเป็นการอ่านที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจบั ใจความทวั่ ไป ซ่ึงแบ่งออกได้2 อย่างคือ 1) ใจความส าคญัหรือใจความหลกั ให้ต้งัคา ถามว่า ย่อหน้าน้ีกล่าวถึงใครหรืออะไร กล่าวถึงบุคคลน้นัหรือสิ่งน้นัวา่อยา่งไร 2) ใจความรอง คือรายละเอียดที่เป็ นข้อมูลสนับสนุนใจความหลักให้มีความชัดเจน มากยงิ่ข้ึน อาจจะเป็นการยกตวัอยา่งเหตุผลและสถานการณ์ต่าง ๆ ประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ การอ่านเป็ นกระบวนการคิดที่ผู้อ่านใช้ความรู้เดิมประสบการณ์เดิมมาผนวกกับความรู้ใหม่ เพื่อใหเ้กิดความเขา้ใจเรื่องราวที่อ่านมากยงิ่ข้ึน สรุปได้ว่า การสอนอ่านจับใจความเป็ นการมุ่งเน้นสาระของเรื่องที่อ่าน เป็ นทักษะที่ ต้องฝึ กฝน ให้กับนักเรียนอย่างมีข้นัตอน เพื่อใหอ้่านเรื่องแลว้บอกสาระของเรื่องไดว้่า ใคร ทา อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และสรุปใจความส าคัญของเรื่องได้ ซึ่งเป็ นทักษะส าคัญที่ครูต้อง ฝึกฝนให้แก่นกัเรียน เพื่อการแสวงหาความรู้ไดด้ว้ยตนเอง และเพิ่มประสบการณ์ในการอ่าน


34 จะท าให้การอ่านจับใจความประสบความส าเร็จ สามารถน าไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการ ด าเนินชีวิตประจ าวันได้เป็ นอย่างดี 2.3.6การประเมินผลความสามารถในการอ่านจับใจความ สุนนัทา มนั่เศรษฐวิทย์(2545) ได้เสนอแนวทางการประเมินการอ่านจับใจความโดย ใชเ้กณฑพ์ ิจารณาเน้ือเรื่องที่อ่านจบั ใจความไว้2 วิธี คือ 1) การใช้เครื่องมือที่เป็ นแบบทดสอบ ผู้อ่านจะต้องตอบค าถามได้ร้อยละ 70 ข้ึนไป การยึดเกณฑน์ ้ีนกัการศึกษามีความเห็นว่าผูอ้่านไดพ้ลาดเน้ือหาบางตอนไปร้อยละ30 แล้วหา ยึดเกณฑ์ประเมินที่ต ่ากวา่น้ีจะท าให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเหตุการณ์ส าคัญของเรื่อง 2) การใช้แบบประเมินค่า โดยใช้ระดับตัวอักษรแล้วตีค่าออกมาเป็ นคะแนน เช่น เมื่อ ผอู้่านประเมินการอ่านจบั ใจความของตนแลว้รวมคะแนนท้งัหมดในแต่ละช่อง สมมติใหแ้บบ ประเมินค่าท้งัหมดมี 20 ข้อ มีระดับตัวเลือก 4 ระดับตัวอักษร4 ระดับ คือ มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด มีค่าคะแนนเป็ น 4 3 2 1 ตามล าดับ ถ้าเครื่องหมายในช่อง “มาก” ทุกช่องจะได้ คะแนนเต็ม 80 คะแนน ระดบัคะแนนที่ไดม้ีขอบเขต ดงัน้ี คะแนน 72 – 80 เท่ากับ 4 หมายถึง ดี คะแนน 52 – 71 เท่ากับ 3 หมายถึง ค่อนข้างดี คะแนน 32 – 51 เท่ากับ 2 หมายถึง พอใช้ คะแนน 0 -31 เท่ากับ 1 หมายถึง ปรับปรุง ผู้อ่านที่ประเมินการอ่านจับใจความของตนเองแล้ว หากรวมคะแนนแล้วอยู่ในระดับ 4 และ 3 แสดงว่ามีความสามารถในการอ่านจับใจความที่น่าพอใจ แต่ถ้าผลที่ได้อยู่ในระดับ 2 หรือ 1 ผอู้่านควรปรับปรุงเพื่อพฒันาคุณภาพการอ่านจบั ใจความให้ดีข้ึน กรมวิชาการ (2546) ได้เสนอแนวทางการทดสอบทางภาษาด้านทักษะการอ่านจับ ใจความ ดงัน้ี 1) การอ่านจับใจความ เป็ นการทดสอบการรับรู้ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ วารสาร ประกาศ โฆษณา จดหมาย ฯลฯ กิจกรรมในการทดสอบทักษะการอ่าน จ าแนกไดด้งัน้ี 1.1) กิจกรรมที่เป็ นตัวกระตุ้นให้ผู้เข้าสอบได้อ่านข้อความที่มีความยาวตาม ความ เหมาะสมที่เป็ นงานเขียนประเภทต่าง ๆ เช่น บทความจากหนังสือพิมพ์และ


35 วารสาร รายละเอียด สนับสนุน หรือเป็ นรายละเอียดที่แย้งกัน เพื่อให้ข้อมูลตรงกันข้าม ตลอดท้งัเขา้ใจความสัมพนัธ์ระหวา่งรายละเอียดดว้ยกนั 1.2) ความสามารถอ่านจับในความ สามารถระบุแก่นเรื่อง หัวเรื่องและ ใจความส าคัญของเรื่องที่อ่านได้ 1.3) ความสามารถวิเคราะห์และประเมินความสัมพนัธ์ของเน้ือความ และ สุนทรียศาสตร์ การใช้ภาษา สามารถใช้ความรู้ด้านค าศพัท์ไวยากรณ์ความเขา้ใจสิ่งที่ อ่านและความรู้เกี่ยวกับรูปแบบ ลีลาภาษาที่ใช้ในบทอ่านที่เป็ นตัวกระตุ้น วิเคราะห์ ประเมินและสรุปไดว้่า สารที่อ่านน้ันเป็นสารประเภทใด ลีลาภาษาที่ใช้เป็ นทางการ หรือไม่ทางการ เจตนาทัศนคติของผู้เขียนที่แฝงอยู่สามารถบอกความน่าเชื่อถือของ สมมติฐานที่ผูเ้ขียนต้ังไว้ความเป็นไปได้ของข้อสรุป ตลอดจนสามารถประเมิน ประสิทธิภาพของการอ่านน้ันไดว้่ามีความชดัเจนเขา้สู่ประเด็นอย่างไม่ออ้มคอ้มและ ใช้ภาษาได้อย่างกระชับ และการก าหนดความสามารถตามเกณฑ์อาจใช้มาตราส่วน ประมาณค่าเป็นระดบัดงัน้ี 1 หมายถึง ไม่มีความสามารถ 2 หมายถึง มีความสามารถน้อย 3 หมายถึง มีความสามารถพอประมาณ 4 หมายถึง มีความสามารถมาก 5 หมายถึง มีความสามารถยอดเยี่ยม แววมยุรา เหมือนนิล (2556) ไดก้ล่าวถึงการประเมินการอ่านจบั ใจความไวด้งัน้ี 1) สามารถจ าแนกล าดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องที่อ่าน และบอกเล่าเป็ นค าพูดของตน ได้ถูกต้อง 2) สามารถเล่าความทรงจา โดยเป็นสิ่งที่เฉพาะในเรื่องที่อ่าน เช่น รายละเอียดที่สา คญั 3) สามารถปฏิบัติตามแนวทางหรือข้อเสนอแนะจากเรื่องที่อ่านได้ 4) สามารถแยกแยะประเด็นที่เป็ นข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น หรือจินตนาการของผู้เขียนได้ 5) สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เดิมและความรู้ใหม่ที่ได้รับจากการอ่านได้


36 6) สามารถให้ตัวอย่างประกอบเพื่อความชัดเจน 7) สามารถจ าแนกประเด็นหลักประเด็นรองจากเรื่องที่อ่าน 8)กล่าวสรุปและประเมินผลจากเรื่องที่อ่าน บันลือ พฤกษะวัน (2557) อธิบายการตรวจสอบความเข้าใจในการอ่านจับใจความของ นกัเรียนไดห้ลายทาง ดงัน้ี 1) ตอบค าถามจากเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง 1.1) ตอบค าถามและข้อเท็จจริงจากท้องเรื่อง 1.2) ตอบค าถามโดยการวิเคราะห์หาเหตุผลของเรื่อง 1.3) ตอบค าถามจากการสรุปเรื่อง หรือวิจารณ์ ไตร่ตรอง 2) เล่าเรื่องและสรุปเรื่องที่อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ประเมินและเลือกตัวละคร โดยต้องให้เหตุผลประกอบการเลือก 4)แสดงละครประกอบเน้ือเรื่อง 5) หาความสัมพันธ์ของค าศัพท์ เช่น กระต่าย-กระโดด เต่า-คลาน 6) หาค าตรงข้ามเชิงความหมาย เช่น หิว-อิ่ม ยมิ้-บึง 7) สรุป ต้งัชื่อเรื่องที่ครอบคลุมใจความของเรื่อง สรุปได้ว่า การวัดทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียนท าได้หลายวิธี เช่น วัดและ ประเมินผลโดยการทดสอบ วัดผลอย่างเป็ นทางการหรือไม่เป็ นทางการ การใช้เครื่องมือวัดผล ควรสอดคลอ้งกบัจุดหมายในการประเมินน้นั


37 2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเทคนิค 5W1H ลัดดาวัลย์ วิยะกัน (2556) กล่าวว่า เทคนิค 5W1H คือเทคนิคการต้งัคา ถามที่ทา ให้เราสามารถ ย่อยเน้ือหาออกมาเขา้ใจง่าย ช่วยไล่เลียงความชดัเจนในแต่ละเรื่องที่กา ลงัคิด ทา ให้เกิดความครบถว้น สมบูรณ์โดยใช้คา ถามให้ครอบคลุมวตัถุประสงค์ที่ตอ้งการทราบขอ้เท็จจริงด้วยคา ถาม ได้แก่ what (อะไร) where (ที่ไหน) when (เมื่อไร) why (ท าไม) who (ใคร) และ how (อย่างไร)ในประเด็นต่างๆ ประณาท เทียนศรี (2560) อธิบายเกี่ยวกับเทคนิคการสอน 5W1H เป็นการฝึกต้งัคา ถามเชิง วิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงใหม่ ๆ ความเข้าใจใหม่ ๆ อันเป็ นประโยชน์ต่อการอธิบาย การประเมิน การแก้ปัญหา และการตดัสินใจที่รอบคอบมากข้ึน ดังน้ันขอบเขตของคา ถามที่เกี่ยวขอ้งกับการคิด วิเคราะห์ จึงเกี่ยวข้องกับการจ าแนกแจกแจงองค์ประกอบ และการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของเรื่อง ที่วิเคราะห์ โดยค าถามจะอยู่ในขอบข่าย 5W1H ใคร (Who) ท าอะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไร (When) ท าไม (Why) อย่างไร (How) เพื่อน าไปสู่การค้นหา ความจริงเกี่ยวกับเรื่องในแง่มุมต่าง ๆ นอกเหนือจากสิ่งที่ปรากฏ Kipling (อ้างถึงใน กมลพร ทองนุช และจุไรรัตน์ลักษณะศิริ, 2561) กล่าวว่า การจัดกิจกรรม การอ่านโดยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบดว้ยการต้งัคา ถาม 6 คา ถาม ดงัน้ี ค าถามที่ 1 Who ใคร = นักเรียนบอกถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ค าถามที่ 2 What อะไร = นักเรียนบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน ค าถามที่ 3 Where ที่ไหน = นักเรียนบอกถึงสถานที่ ต าแหน่ง บอกความแตกต่างแต่ละสถานที่ ค าถามที่ 4 When เมื่อไร = นักเรียนบอกถึงลา ดับเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนท้ังอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ระบุวันที่และเวลา ค าถามที่ 5 Why ท าไม = นักเรียนบอกถึงสาเหตุความเคลื่อนไหวที่ส่งผลต่อเรื่อง และค าถามที่ 6 How อย่างไร = นักเรียนบอกถึงเหตุการณ์เกิดข้ึนไดอ้ยา่งไร และจะแกไ้ขปัญหา อย่างไร


38 รวิสรา จิตรบาน (2562) ได้กล่าวเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์เป็ นการคิดโดยใช้ สมองซีกซ้ายเป็ นหลัก เป็ นการคิดเชิงลึก คิดอย่างละเอียด คิดจากเหตุไปสู่ผล ตลอดจนการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล การคิดวิเคราะห์ด้วยเทคนิค 5W1H สามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ได้ เป็ นอย่างดี เพราะเทคนิค 5W1H มีกระบวนการคิดที่สามารถช่วยไล่เรียงความชัดเจนในแต่ละเรื่องที่เรา ก าลังคิดได้ จากแนวคิดขา้งตน้ สรุปไดว้่า ผูว้ิจยัมีความสนใจที่จะใช้เทคนิคการต้งัคา ถาม 5W1H ในการ จัดการเรี ยนรู้ ประกอบด้วยค าถาม ใคร (Who) อะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไหร่ (When) เพราะเหตุใด (Why) และ อย่างไร (How) โดยในการต้งัคา ถามประเด็นต่าง ๆ กบัเน้ือหาและครอบคลุม ประเด็นหลกัของเรื่อง ส าหรับการต้งัคา ถามน้ันนักเรียนเป็นผูต้้งัคา ถามและหาคา ตอบครูเป็ นเพียง ผู้คอยช้ีแนะแนวทางต้ังค าถามและหาค าตอบ ครูเป็นเพียงผู้คอยช้ีแนะแนวทางการต้ังค าถาม ตามหลักเทคนิคการสอน 5W1H โดยนักเรียนอภิปรายค าตอบ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในห้องเรียน ซ่ึงจะส่งผลให้นักเรียนเกิดแนวทางในการต้งัคา ถาม ตอบคา ถาม และสามารถแยกแยะเน้ือหาออกมา ให้เขา้ใจได้ง่าย เทคนิคในการต้งัคา ถามน้ันจะตอ้งใช้คา ถามจากเหตุการณ์ สภาพแวดล้อมที่ใกล้ตัว หรือสิ่งที่นักเรียนมีความคุน้เคยมาก่อน 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.7.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ กรองทิพย์ สุราตะโก (2557) ได้ศึกษาผลการใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ร่ วมกับ เทคนิค 5W1H และผังกราฟิ ก ที่มีต่อความสามารถในคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ภาษาไทยของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่5 กับเกณฑ์ร้อยละ 60 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อกระบวนการคิด วิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค5W1H และผังกราฟิ ก กลุ่มตัวอย่างคือ นกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่5/1 โรงเรียนบ้านเนินโมก จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557 จ านวน 30 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการ คิดวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค 5W1H และผังกราฟิ ก จ านวน 6 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถ ในการอ่านเชิงคิดวิเคราะห์ แบบปรนัย จ านวน 30 ข้อและแบบทดสอบถามความพึงพอใจ ต่อการใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค 5W1H และผังกราฟิ ก จ านวน 12 ข้อ สถิติใน


39 การวิเคราะห์ขอ้มูลไดแ้ก่ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าทีผลการวิจยัพบวา่ ความสามารถในการอ่านเชิงคิดวิเคราะห์โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค 5W1H และผังกราฟิ ก คะแนนหลังเรียนสูงกว่าที่ก าหนดไว้ร้อยละ 60 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อผลการใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิค 5W1H และผังกราฟิ กโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด อารีย์ เข็มบุบฝา (2559) ได้วิจัยเรื่องแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์โดยใช้เทคนิค 5W1H เรื่องการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 6 การวิจยัคร้ังน้ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อพฒันาแผนการจดัการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ เรื่องการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่6 โดยใช้เทคนิค 5W1H ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน เรื่องการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่6 โดยใช้เทคนิค 5W1H ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์เรื่องการอ่าน กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6โดยใช้เทคนิค 5W1H มีประสิ ทธิภาพเท่ากับ 84.19/84.73 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนเรื่ อง การอ่าน กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปีที่6 โดยใช้เทคนิค 5W1H อยู่ในระดับมาก ภคพร เครือจันทร์ (2559) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของ นกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียนนายกวัฒนากร วัดอุดมธานี จังหวัดนครนายก โดยใช้ เทคนิคการต้งัค าถาม (5W1H) ในการจดัการเรียนรู้การวิจยัคร้ังน้ีมีวตัถุประสงคเ์พื่อศึกษาและ เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียน นายกวฒันากร วดัอุดมธานีจงัหวดันครนายก โดยใช้เทคนิคการต้งัคา ถาม (5W1H) ในการ จดัการเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายที่ใชใ้นการวิจยัคร้ังน้ีคือ นกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียน นายกวัฒนากร วัดอุดมธานี จังหวัดนครนายก ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2559 จ านวนนักเรียน 19 คน ได้ใช้รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) มีเครื่องมือทดลอง ได้แก่แผนการจดัการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการต้งัค าถาม (5W1H) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล ได้แก่แบบทดสอบวดัความสามารถในการคิดวิเคราะห์สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าสถิติพ้ืนฐานและค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (Mean difference) ผลการวิจยัพบวา่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียน นายกวฒันากร วดัอุดมธานีจงัหวดันครนายก โดยใช้เทคนิคการต้งัคาถาม (5W1H) ในการ


40 จดัการเรียนรู้นักเรียนมีคะแนนผ่านเกณฑ์ที่ระดับดีข้ึนไปร้อยละ 100 ของนักเรียนท้งัหมด ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียนนายกวัฒนากร วดัอุดมธานีจงัหวดันครนายก โดยใชเ้ทคนิคการต้งัค าถาม (5W1H) ในการจัดการเรียนรู้หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยร้อยละ 100.00 มีระดับผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80.00 ของคะแนนเต็ม และนักเรียนสามารถตอบคา ถามผ่านเทคนิคการต้งัคา ถามแบบ 5W1H อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งค าถามเกี่ยวกับ Where How และ What นักเรียนสามารถตอบได้มากที่สุดตามล าดับและ ค าถามเกี่ยวกับ When นักเรียนตอบได้น้อยที่สุด ดวงพร เฟื่ องฟู (2560) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความโดยใช้ เทคนิค 5W1H เพื่อส่งเสริมการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 6 การวิจยัน้ีเป็น การวิจยัเชิงทดลองมีวตัถุประสงคเ์พื่อพฒันาความสามารถใน การอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H ศึกษาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการอ่านจับ ใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการอ่าน จับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนกัเรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 6 กลุ่มเป้าหมายคือนกัเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่6 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2559 โรงเรียน สาธิตคริสเตียนวิทยา อ าเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี จ านวน 32 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใชใ้นการวิจยัไดแ้ก่แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H จ านวน 4 แผน แผนละ 3 ชวั่โมง รวม 12 ชวั่โมง ชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมของนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปี ที่ 6แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็ น แบบปรนัย เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อชุดกิจกรรม การอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษา ปี ที่ 6 จ านวน 1 ฉบบัสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้มูล ไดแ้ก่ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน โดยผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความสามารถในการอ่านจับใจความโดยใช้ เทคนิค 5W1H โดยมีคะแนนไม่ต ่ากว่าร้อยละ 80 จ านวน 26 คนคิดเป็ นร้อยละ 81.25 เนื่องจาก นักเรี ยนได้รับการฝึ กฝนในด้านการอ่านอย่างสม ่าเสมอ และมีวิธีการสอนที่เป็ นระบบ มีข้ันตอนที่ชัดเจน ชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความโดยใช้เทคนิค 5W1H มีประสิทธิภาพ 84/87.50 ซึ่งเป็ นไปตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ เนื่องจากการใช้ค าถามในชุดกิจกรรมเป็ นค าถามที่ ส่งเสริมในเรื่องการอ่านจับใจความของนักเรียน มุ่งพัฒนากระบวนการคิดให้นักเรียนได้ใช้


Click to View FlipBook Version