1
การพฒั นาทักษะการอา่ นและการเขียนคำที่มสี ระและวรรณยกุ ต์
โดยใชแ้ บบฝกึ ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2
โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎรธ์ านี
เพ็ญพศิ เกลยี้ งเกิด
วัลภา เทพทอง
สภุ าพร สุวรรณ์
กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
ปีการศกึ ษา 2564
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี
2
การพฒั นาทักษะการอา่ นและการเขียนคำที่มสี ระและวรรณยกุ ต์
โดยใชแ้ บบฝกึ ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2
โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎรธ์ านี
เพ็ญพศิ เกลยี้ งเกิด
วัลภา เทพทอง
สภุ าพร สุวรรณ์
กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
ปีการศกึ ษา 2564
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี
3
กติ ตกิ รรมประกาศ
รายงานการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกของ
นักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี สำเร็จลุล่วงได้
ดว้ ย ผ้อู ำนวยการโรงเรียนโรงเรียนธดิ าแม่พระ คณะครูและนักเรียน โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง
จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี ผ้รู ายงานขอขอบพระคุณเป็นอยา่ งสงู
ขอขอบคุณคณะครู นักเรียนโรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมอื ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ให้ความ
รว่ มมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ในครัง้ น้ี
คณุ ค่าและประโยชนข์ องรายงานฉบับน้ี ผู้รายงานขอมอบเป็นเคร่ืองแสดงความกตัญญูต่อบิดา
มารดา ที่ให้การศึกษา อบรมส่ังสอน ให้มีสติปัญญาและคุณธรรมท้ังหลาย อันเป็นเครื่องมือนำไปสู่
ความสำเรจ็ ในชีวิตของผูร้ ายงาน
คณะผ้วู จิ ยั
4
ชอื่ เร่อื ง การพัฒนาทกั ษะการอ่านและการเขยี นคำทีม่ สี ระและวรรณยกุ ต์โดยใช้แบบฝึก
ชอ่ื ผู้วจิ ยั ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมอื ง
จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี
นางสาวเพญ็ พิศ เกลยี้ งเกิด นางสาววัลภา เทพทอง และ นางสาวสภุ าพร สุวรรณ์
ปที วี่ จิ ัย 2564
บทคดั ยอ่
การทำวิจัยในช้ันเรียนการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์
โด ย ใช้แ บ บ ฝึ ก ขอ งนั ก เรีย น ชั้ น ป ระถม ศึ ก ษ าปี ที่ 2 โรงเรียน ธิด าแม่ พ ระ อ ำเภ อ เมื อ ง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 และเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎรธ์ านี ให้มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์
มาตรฐาน 80/80 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศกึ ษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 2/1 2/6 และ
2/10 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 14 คน ได้มาจากคุณสมบัติ ของกลุ่มตัวอย่าง โดยทดสอบก่อนการใช้แบบฝึกทักษะ
(ศึกษาจากประชากร ) ซึ่งได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครอื่ งมือท่ีใช้ใน
การเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีวรรณยุกต์
จำนวน 15 แบบฝึก และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก
จำนวน 30 ข้อ แบบแผนการทดลองใช้แบบกลุ่มเดียว (One Group Pre-test Post-test Design)
สถติ ิท่ีใชค้ อื คา่ เฉลี่ย คา่ รอ้ ยละและคา่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ พบวา่
1. การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีประสิทธิภาพ
เทา่ กบั 81.00/84.52 ซึง่ สงู กวา่ เกณฑ์มาตรฐานท่ีต้งั ไว้ คือ 80/80
2. ผลที่เกิดกับนักเรียนหลังการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ โดย
ใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบว่านักเรียนมีทักษะการอ่านและการเขียนดีข้ึน ซ่ึงส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ สูงขึ้น มีค่าเฉล่ียร้อยละ
84.52
สารบญั 5
เรือ่ ง หน้า
บทคัดย่อ 1
กติ ตกิ รรมประกาศ 3
บทที่ 1 บทนำ 3
4
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา 4
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
ขอบเขตของการวจิ ัย 6
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 6
ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ บั
9
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ยี วข้อง 14
เอกสารทีเ่ กย่ี วข้อง 16
- หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 26
- หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทยตามหลกั สูตร 29
แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 29
- การอ่านและการเขยี น
- แบบฝึกทักษะ 30
- การผนั เสยี งวรรณยุกต์ 30
งานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง 31
- งานวจิ ัยในประเทศ 31
บทท่ี 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั
ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง
เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย
แบบแผนการทดลองและข้ันตอนการทดลอง
การสร้างและหาคณุ ภาพเครื่อง
สารบญั (ต่อ) 6
เรื่อง หน้า
การวิเคราะห์ข้อมลู 34
สถติ ทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล 34
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 36
สญั ลกั ษณท์ ่ีใช้ในการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 36
ลำดับขนั้ ตอนในการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 36
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
38
บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 38
วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย 38
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 39
เครื่องมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั 39
การดำเนนิ การวจิ ัย 40
สรปุ ผล 40
อภิปรายผล
ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
1
บทท่ี 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545
หมวดท่ี 4 มาตรา 22 ได้เน้นถึงการเรียนการสอนท่ีคำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนรู้จักวิเคราะห์
เป็น กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเตม็ ศักยภาพและ
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ กำหนดให้สถานศึกษา และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ดำเนินการ
ดังน้ี ข้อ 2 “จัดกระบวนการเรียนรู้โดย ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์
และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา” ข้อ 3 “จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง”
(กระทรวงศึกษาธกิ าร 2548)
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง
ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดำเนินชีวิตร่วมกัน
ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก
แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้
ทันต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ใน
การพัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นส่ือแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้าน
วัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพเป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติ
ไทยตลอดไป กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551)
ด้วยความสำคัญดังกล่าว หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้
กำหนดให้ภาษาไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การ
เรียนรู้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและเพื่อนำไปใชใ้ นชวี ิตจรงิ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2551)
ดงั น้ัน เดก็ ไทยทุกคนควรเรียนรแู้ ละใช้ภาษาไทยได้อยา่ งถูกตอ้ งทุกโอกาส ซง่ึ การเรียนการสอน
ภาษาไทยเปน็ ทักษะท่ีตอ้ งฝึกฝนจนเกดิ ความชำนาญ ในการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร การอ่านและการฟัง
เป็นทักษะของการรับรู้เร่ืองราว ความรู้ ประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขียนเป็นทักษะของการ
แสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็น ความรู้และประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยจึงต้องเรยี นเพ่ือการ
ส่อื สาร ใหส้ ามารถรับรูข้ ้อมลู ขา่ วสารได้อย่างพินิจพเิ คราะห์ สามารถนำความรู้ ความคิดมาเลือกใช้เรยี บ
เรยี งคำมาใช้ตามหลกั ภาษาได้ถูกตอ้ งตรงตามความหมาย กาลเทศะและใช้ภาษา
ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ วิมลรตั น์ สุนทรโรจน์ (2549)
2
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็น
กำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็น
พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข มีความร้แู ละทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติท่ีจำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและ
การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และ
พัฒนาตนเองไดเ้ ต็มตามศกั ยภาพ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2551)
ธรรมชาติของภาษาไทยเป็นเร่ืองทักษะ จะแยกเน้ือหาสาระของทักษะแต่ละชั้นปีโดยเด็ดขาด
ไม่ได้ จำเป็นจะต้องมีกระบวนการฝึกทักษะต่าง ๆ ให้ต่อเนื่องกันไป เน้ือหา เช่น การอ่านและการเขียน
สะกดคำ การอา่ นจับใจความ การเลือกใชค้ ำให้ตรงตามความหมาย การเขยี นแสดงความร้สู ึก ความคิด
ประสบการณ์ ความต้องการ จินตนาการ การนำความรู้จากการอ่านไปใช้ในการตัดสินใจ การแกป้ ัญหา
และการดำเนินชีวิต จำเป็นต้องสอนทุกช้ันในเรื่องของทักษะภาษา และแต่ละช้ันจะมีเนื้อหาในการฝึก
ทักษะท่ีเพ่ิมความซับซ้อนและยากมากขึ้น เช่น จำนวนคำเพ่ิมมากขึ้น ประโยคที่ใช้ยาวและซับซ้อนขึ้น
เรอ่ื งท่นี ำมาอา่ นยาวขนึ้ กรมวิชาการ (2544)
กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประเมินสภาพการจัดการเรียน
การสอนภาษาไทย ในโรงเรียนประถมศึกษาแล้วพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนกั เรยี นมี
คะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ สมรรถภาพท่ีมีปัญหาได้แก่ ทักษะการอ่านและการเขียน ปัญหา
คือการออกเสียงพยัญชนะ สระ คำควบกล้ำไม่ชัดเจน การแจกลูกสะกดคำ การใช้หลักภาษาไทยไม่
ถกู ต้อง การแจกลูกสะกดคำเป็นเรอ่ื งจำเป็นมากสำหรับผู้เริ่มเรียน หากครไู ม่ได้สอนแจกลูกสะกดคำแก่
นกั เรียนในระยะเร่ิมเรียน การอ่านของนักเรยี นจะขาดหลักเกณฑ์การประสมคำ เมอ่ื อ่านหนงั สือมากขึ้น
ทำให้สับสนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือผิด ซึ่งเป็นปัญหามากของนักเรียนไทย ในปัจจุบัน ผลจาก
การอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนในวิชาอื่น ๆ ด้วย เพราะการ
อา่ นเป็นเคร่ืองมอื สำหรบั การแสวงหาความรูด้ ว้ ยตนเอง กรมวชิ าการ (2546 )
การสอนภาษาไทยให้บรรลวุ ัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพน้ัน จำเป็นตอ้ งฝกึ ทักษะต่างๆ ให้
สมั พนั ธ์กนั ท้ังการรับเข้ามา คือ การอ่านและการฟงั กบั ทกั ษะการถา่ ยทอดออกไป คือ การพดู และการ
เขียน ในด้านการเขียน ถอื เป็นทักษะท่ยี ุ่งยากซบั ซ้อนและเปน็ ทักษะถา่ ยทอดท่ีสำคญั ต่อการส่ือสาร
อยา่ งยงิ่
จากข้อมูลสภาพปัญหา ความสำคัญ และหลักการดังกล่าว ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ตัวครูผู้สอน ควรจะมีการศึกษาหาวิธีปรับปรงุ พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ให้มี
ประสทิ ธิภาพ ให้ทงั้ ความรู้ทักษะการคิด ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ ไปพร้อม ๆ กัน มเี ทคนิคการสอนที่
หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความแม่นยำ จดจำง่าย และเข้าใจอย่างลึกซ้ึง จัดระบบเช่ือมโยง
ความคิดตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั
3
ผู้รายงานได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยพร้อมท้ังวัด
และประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอ
เมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบว่าในปีการศึกษา 2564 นักเรียนมีปัญหาทางด้านการอ่านและการเขียน
คำที่มีวรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง ส่ิงเหล่านี้เป็นสาเหตุให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนต่ำและการท่ี
นักเรยี นอ่านและเขียนคำท่ีมีวรรณยุกตไ์ ม่ถูกต้อง ยังมีผลกระทบต่อไปในการเรียนการสอนในกลุ่มสาระ
การเรียนรู้อ่ืนอกี ด้วย
ผู้รายงานได้คิดหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้ศึกษาหานวัตกรรมทั้งเก่าและใหม่นำมา
แก้ปัญหา จึงพบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะจะทำให้สามารถ
แก้ปญั หาดังกลา่ วได้ และพัฒนาการเรยี นการสอนภาษาไทยให้มปี ระสทิ ธิภาพมากยงิ่ ข้ึน
วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา
1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ี่ 2
2. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 2
สมมตุ ิฐานการวจิ ยั
นกั เรยี นมีทักษะการอา่ นและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์มากข้นึ และมีผลสัมฤทธิท์ างกา
รเรยี นท่ีดีข้นึ ด้วย
ขอบเขตการวจิ ยั
ประชากร
ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2/1 2/6 และ 2/10
จำน วน 122 คน ภ าคเรียน ท่ี 1 -2 ปี การศึกษ า 2564 โรงเรียน ธิดาแม่พ ระ อำเภ อเมือง
จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี
กล่มุ ตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2/1 2/6 และ 2/10
โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 14
คน ไดม้ าจากคุณสมบตั ขิ องกลมุ่ ตัวอย่าง โดยทดสอบก่อนการใชแ้ บบฝกึ ทักษะ (ศกึ ษาจากประชากร )
เนอ้ื หาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั
เนื้อหาที่นำมาใช้ประกอบในการทำวิจัยในช้ันเรียนคร้ังน้ีเป็นการจัดกิจกรรมการสอนตามปกติ
เน้นการพัฒนาทักษะการอ่าน และเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุ กต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง คำที่มีสระและวรรณ ยุกต์ เป็นคะแนนที่เช่ือถือได้
นกั เรียนที่ทำแบบทดสอบ ทำแบบทดสอบตามความสามารถที่มอี ยู่
4
สถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู
การวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน สถิติทใ่ี ช้ (นิลวรรณ อัคติ. 2548.)
ได้แก่
ร้อยละ (Percentage ) ใช้สูตร P
สตู ร
เมื่อ แทน รอ้ ยละ
แทน ความถ่ีทต่ี ้องการแปลงใหเ้ ปน็ รอ้ ยละ
แทน จำนวนความถท่ี ้ังหมด
คา่ เฉลี่ย (Arithmetic Mean) ของคะแนน
สูตร
เมือ่ แทน คา่ เฉล่ยี
แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดในกลุ่ม
แทน จำนวนนกั เรียน
สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation)
สูตร
เม่ือ แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
แทน คะแนนแต่ละตวั
แทน จำนวนคะแนนในกลมุ่
แทน ผลรวม
ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้รบั
1. นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 2 มที ักษะการอา่ นและการเขยี นคำท่มี ีสระและวรรณยุกตม์ ากข้นึ
2. ได้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ท่ีผ่านการพัฒนาและหาประ
สิทธิภาพจากผูเ้ ชีย่ วชาญเรียบร้อยแลว้
3. นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 2 มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนที่เพ่ิมขน้ึ
นิยามศพั ท์เฉพาะ
1. แบบฝกึ ทักษะ หมายถึง แบบฝกึ ทักษะเรอื่ ง คำทม่ี สี ระและวรรณยุกต์ ท่ีผูว้ จิ ัยสรา้ งข้ึน
2. นักเรียน หมายถึง นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2/1, 2/6 และ 2/10 ภาคเรียนท่ี 1-2
ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 14 คน
3. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง คำที่มีสระ
และวรรณยุกต์ ทผี่ ู้วจิ ยั สรา้ งข้นึ เพือ่ ทดสอบนกั เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน00
4. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เรือ่ ง คำทม่ี สี ระและวรรณยกุ ต์ ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 2
5
5. ประสิทธิภาพของแบบฝึก หมายถึง แบบฝึกทักษะคำที่มีสระและวรรณยุกต์ กลุ่มสาระการ
เรยี นร้ภู าษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 ท่ผี ู้วจิ ยั สร้างข้นึ เกณฑม์ าตรฐาน 80/80
80 ตัวแรก คือ คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละของประสทิ ธภิ าพของชุดแบบฝึกทักษะ
80 ตวั แรก คือ คะแนนเฉล่ยี รอ้ ยละของการทดสอบวัดความสามรถการอ่านและการเขียน
คำท่ีมสี ระและวรรณยุกต์หลงั เรยี น
6. การอ่าน หมายถงึ การอา่ นแจกลกู สะกดคำประสมด้วยสระและวรรณยุกตฃ์
7. การเขยี น หมายถึง การเขียนแจกลูกสะกดคำประสมดว้ ยสระและวรรณยุกต์
6
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้อง
การดำเนินการศึกษาคน้ คว้าครง้ั น้ี ผรู้ ายงานได้ศกึ ษาค้นคว้าเอกสารและงานวจิ ัยท่ี
เก่ียวข้องในดา้ นต่าง ๆ ดังนี้
1. เอกสารทเี่ ก่ยี วข้อง
1.1 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
1.2 หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
1.3 การอา่ นและเขยี น
1.4 แบบฝึกทกั ษะ
1.5 การผันเสียงวรรณยกุ ต์
2. งานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง
2.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
1. เอกสารทเ่ี กีย่ วข้อง
1.1 หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
วิสยั ทัศน์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็น
มนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพล
โลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ
ทักษะพื้นฐาน รวมท้ังเจตคติท่ีจำเป็นต่อการศกึ ษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดย
มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพ้ืนฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม
ศกั ยภาพ
สมรรถนะของผูเ้ รียน
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ม่งุ พฒั นาผเู้ รยี นให้มคี ุณภาพตามมาตรฐาน การเรยี นรู้
ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5
ประการ ดังนี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรอง
เพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ
7
ความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง
และสังคม
2. ความสามารถในการคดิ เปน็ ความสามารถในการวเิ คราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคดิ อย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพื่อการตดั สนิ ใจเกย่ี วกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่
เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นต่อ
ตนเอง สงั คมและสง่ิ แวดล้อม
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการตา่ ง ๆ ไปใชใ้ น
การดำเนินชีวติ ประจำวัน การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรูอ้ ย่างต่อเนอื่ ง การทำงาน และการอยรู่ ว่ มกัน
ใน สั งค ม ด้ ว ย ก ารส ร้างเส ริม ค วาม สั ม พั น ธ์อั น ดี ระห ว่างบุ ค ค ล ก ารจัด ก ารปั ญ ห าแล ะ
ความขัดแย้งต่าง ๆอย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม
และการรู้จกั หลีกเล่ียงพฤติกรรมไมพ่ งึ ประสงค์ทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผ้อู ืน่
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยี
ดา้ นต่าง ๆ และมที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่อื การพฒั นาตนเองและสงั คมในด้านการเรียนรู้
การสื่อสาร การทำงาน การแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคณุ ธรรม
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน มงุ่ พัฒนาผู้เรยี นให้มีคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ เพือ่ ให้
สามารถอย่รู ่วมกับผอู้ ื่นในสงั คมไดอ้ ย่างมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลกดังนี้
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซอื่ สัตยส์ จุ ริต
3. มวี ินยั
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยอู่ ย่างพอเพยี ง
6. มุง่ ม่ันในการทำงาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจติ สาธารณะ
8
สาระการเรียนรู้สาระกรียนรู้
สาระสาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะ
อนั พึงประสงค์ซ่ึงกำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจำเป็นต้องเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น 8
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ดังนี้
ภาษาไทย : ความรู้ ทกั ษะ คณิตศาสตร์ : การนำความรู้ วิทยาศาสตร์ : การนำความรู้
แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม ก า ร ใช้ ภ า ษ า ทักษะและกระบวนการทาง แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง วิ ท ย า -
เพ่ือการสื่อสาร ความชื่นชม ค ณิ ต ศ าส ต ร์ไป ใช้ ใน ก าร ศ าส ต ร์ ไป ใช้ ใน ก ารศึ ก ษ า
การเห็นคุณค่าภูมิปัญญาไทย แก้ปัญหา การดำเนินชีวิต ค้นคว้าหาความรู้และแก้ปัญหา
และภูมิใจในภาษาประจำชาติ และศกึ ษาต่อ การมเี หตมุ ีผล อย่างเป็นระบบ การคิดอย่าง
มี เจ ต ค ติ ท่ี ดี ต่ อ ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ เปน็ เหตเุ ป็นผล คิดวเิ คราะห์
พัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ และจิตวิทยา-
และสร้างสรรค์ ศาสตร์
ภาษาต่างประเทศ : ความรู้ องคค์ วามรู้ ทักษะสำคัญ สงั คมศึกษา ศาสนา และ
ทักษะ เจตคติ และวัฒนธรรม และคุณลักษณะ วัฒนธรรม : การอยรู่ ่วมกนั
การใช้ภาษาต่างประเทศในการ ในสังคมไทยและสังคมโลกอย่าง
ส่ือสาร การแสวงหาความรู้และ ในหลักสตู รแกนกลาง สนั ตสิ ุข การเป็นพลเมืองดี
การประกอบอาชพี การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ศรทั ธาในหลักธรรมของศาสนา
การเหน็ คุณคา่ ของทรัพยากร
และสง่ิ แวดลอ้ ม ความรักชาติ
และภูมใิ จในความเป็นไทย
การงานอาชีพและเทคโนโลยี : ศลิ ปะ : ความรู้และทกั ษะ สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา : ความรู้
ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติใน ในการคิดริเริ่ม จินตนาการ ทกั ษะและเจตคตใิ นการสร้างเสริม
การทำงาน การจัดการ การ ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น ศิ ล ป ะ สุขภาพพลานามัยของตนเอง
ดำรงชีวติ การประกอบอาชพี สุนทรียภาพ และการเห็น และผู้อน่ื การป้องกันและปฏิบตั ิ
และการใช้เทคโนโลยี คณุ ค่าทางศลิ ปะ ต่อสิง่ ตา่ ง ๆ ท่ีมีผลตอ่ สุขภาพ
อย่างถูกวิธแี ละทักษะในการ
ดำเนนิ ชวี ติ
9
การจดั การเรียนรู้
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )
พ.ศ.2545 มาตรา 22 กำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า
ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด ฉะน้ันครูผู้สอน
และผู้จัดการศึกษาจะต้องเปล่ียนแปลงบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นำผู้ถ่ายทอดความรู้ ไปเป็นผู้ช่วยเหลือ
ส่งเสริม และสนับสนุนผู้เรียน ในการแสวงหาความรู้จากส่ือและแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และให้ข้อมูลที่
ถูกตอ้ งแกผ่ เู้ รยี น เพ่ือนำข้อมลู เหลา่ นนั้ ไปใชส้ รา้ งสรรคค์ วามรู้ของตน
การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน นอกจากจะมุ่งปลูกฝัง
ด้านปัญญา พัฒนาความคิดของผู้เรียนให้มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ
แล้วยังมุ่งพัฒนาความสามารถทางอารมณ์โดยการปลูกฝังให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของตนเอง เข้าใจตนเอง
เหน็ อกเห็นใจผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาข้อขัดแยง้ ทางอารมณ์ได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม
การเรียนรู้ในสาระการเรยี นรู้ตา่ ง ๆ มกี ระบวนการและวิธีการที่หลากหลาย ผสู้ อนต้อง
คำนึงถึงพฒั นาการทางด้านร่างกาย และสติปัญญา วิธีการเรียนรู้ ความสนใจ และความสามารถของ
ผู้เรียนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้ในแต่ละช่วงชั้นควรใช้รูปแบบวิธีการท่ี
หลากหลาย เน้นการจัดการเรยี นการสอนตามสภาพจริง การเรียนรู้แบบบูรณาการใช้การวจิ ัยเปน็ สว่ น
หนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ การเรียนรู้คู่คุณธรรมท้ังต้องพยายามนำกระบวนการการจัดการ
กระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อม กระบวนการคิดและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไป
สอดแทรกในการเรียนรู้ในลักษณะองค์รวม การบูรณาการเป็นการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกัน
ยึดผู้เรยี นเปน็ สำคัญ โดยนำกระบวนการเรียนรูจ้ ากกลุ่มสาระเดียวกนั หรอื ต่างกลุม่ สาระการเรียนรู้
มาบูรณาการในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งจัดได้หลายลักษณะ เช่น การบูรณาการการสอนแบบ
ผสู้ อนคนเดยี ว การบูรณาการแบบคู่ขนาน การบรู ณาการแบบสหวทิ ยาการ และการบรู ณาการ
การเรยี นรู้แบบโครงงาน
1.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
พุทธศักราช 2551
1.2.1 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกำหนดสาระและมาตรฐานการ
เรยี นรู้ของกลุม่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทยจำนวน 5 สาระและ 5 มาตรฐาน ดังนี้
สาระท่ี 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน
การดำเนินชวี ิตและมีนสิ ยั รักการอา่ น
10
สาระที่ 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเร่ืองราว
ในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้า
อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
สาระที่ 3 การฟงั การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณ ญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด
ความรู้สึกในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ และสรา้ งสรรค์
สาระที่ 4 หลกั การใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบตั ขิ องชาติ
สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วจิ ารณว์ รรณคดี และวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็น
คณุ ค่าและนำมาประยุกตใ์ ช้ในชีวติ จรงิ
คณุ ภาพผเู้ รียนกล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ เร่ืองส้ัน ๆ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ได้ถูกต้อง
คล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคำและข้อความท่ีอ่าน ต้ังคำถามเชิงเหตุผล ลำดับเหตุการณ์
คาดคะเนเหตุการณ์ สรุปความรู้ข้อคิดจากเร่ืองท่ีอ่าน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำอธิบายจากเร่ืองท่ีอ่านได้
เขา้ ใจความหมายของข้อมลู จากแผนภาพ แผนท่ีและแผนภูมิ อา่ นหนังสืออยา่ งสม่ำเสมอ และมีมารยาท
ในการอา่ น
มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียนบรรยาย บันทึกประจำวัน
เขียนจดหมายลาครู เขียนเร่ืองเกี่ยวกับประสบการณ์ เขียนเรื่องตามจินตนาการ และมีมารยาทใน
การเขียน
เล่ารายละเอียดและบอกสาระสำคัญ ต้ังคำถาม ตอบคำถาม รวมทั้งพูดแสดง
ความคิดความรู้สึกเก่ียวกับเรื่องท่ีฟังและดู พูดส่ือสาร เล่าประสบการณ์ และพูดแนะนำ หรือพูด
เชิญชวนใหผ้ อู้ ืน่ ปฏบิ ัตติ าม และมมี ารยาทในการฟงั ดู และพูด
สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำและพยางค์ หน้าที่ของคำใน
ประโยค มีทักษะการใช้พจนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำ แต่งประโยคง่าย ๆ แต่ง
คำคล้องจอง แตง่ คำขวัญ และเลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่นไดเ้ หมาะสมกับกาลเทศะ
เข้าใจและสรุปข้อคิดท่ีได้จากการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม เพ่ือนำไปใช้ในชีวิต-
ประจำวันแสดงความคิดเห็นจากวรรณคดี วรรณกรรมท่ีอ่าน รู้จักเพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก
ซ่ึงเป็นวัฒนธรรมของท้องถ่ิน ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถิ่น ท่องจำบทอาขยานและบทร้อยกรอง
ท่มี คี ุณคา่ ตามความสนใจได้
11
จบช้ันประถมศึกษาปีที่ 6
อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง อธิบาย
ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหารจากเร่ืองที่อ่าน
เข้าใจคำแนะนำ คำอธิบายในคู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง จับใจความสำคัญของเร่ือง
ทอี่ า่ นและนำความรคู้ วามคดิ จากเรอ่ื งท่ีอา่ นไปตัดสินใจแกป้ ัญหาในการดำเนินชีวิต มมี ารยาทและมนี ิสัย
รักการอา่ น และเหน็ คณุ คา่ สงิ่ ทอ่ี า่ น
มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและคร่ึงบรรทัด เขียนสะกดคำ
แต่งประโยคและเขียนข้อความ ตลอดจนเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพ
โครงเร่ืองและแผนภาพความคิดเพื่อพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว กรอก
แบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น เขียนเร่ืองตามจินตนาการ
อย่างสร้างสรรค์ และมีมารยาทในการเขยี น
พูดแสดงความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเร่ืองท่ีฟังและดู เล่าเรื่องย่อหรือสรุปจากเร่ืองท่ีฟังและดู ตั้ง
คำถาม ตอบคำถามจากเร่ืองที่ฟังและดู รวมท้ังประเมินความน่าเช่ือถือจากการฟังและดูโฆษณาอย่างมี
เหตผุ ล พูดตามลำดับขนั้ ตอนเรอื่ งต่าง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเดน็ คน้ ควา้ จาก การฟัง การดู
การสนทนา และพดู โนม้ น้าวได้อย่างมีเหตผุ ล รวมทง้ั มมี ารยาทในการฟัง ดู และพูด
สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจชนิดและ
หนา้ ทข่ี องคำในประโยค ชนดิ ของประโยค คำภาษาถ่ินและคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใช้คำราชา
ศัพท์และคำสุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนส่ี กลอนสุภาพ และ
กาพย์ยานี 11
เข้าใจและเห็นคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน เล่านิทานพ้ืนบ้าน ร้องเพลงพ้ืนบ้าน
ของท้องถิ่นนำขอ้ คิดเหน็ จากเรือ่ งที่อา่ นไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ จริง และท่องจำบทอาขยานตามท่กี ำหนดได้
จบชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3
อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมาย
โดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งท่ีอ่าน แสดงความคิดเห็นและ
ขอ้ โตแ้ ย้งเกี่ยวกบั เร่ืองทีอ่ า่ น และเขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ ย่อความ เขยี นรายงานจากสง่ิ ท่อี ่านได้
วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีข้ันตอนและความเป็นไปได้ของเร่ืองท่ีอ่าน รวมทั้ง
ประเมนิ ความถูกตอ้ งของข้อมูลที่ใชส้ นบั สนุนจากเรื่องท่ีอา่ น
เขียนส่ือสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษา
เขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ
และประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์
และแสดงความรคู้ วามคดิ หรือโตแ้ ย้งอยา่ งมเี หตุผล เขียนรายงานการศกึ ษาค้นควา้ และเขยี นโครงงาน
พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิดไป
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเร่ืองหรือประเด็นท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มี
12
ศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล
น่าเชอ่ื ถอื มีมารยาทในการฟัง ดู และพูด
เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาถ่ิน คำภาษาต่างประเทศ คำทับศัพท์
และศัพทบ์ ัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกตา่ งในภาษาพดู ภาษาเขยี น โครงสร้างของประโยครวม
ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ ก่ึงทางการและไม่เป็นทางการ แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอน
สภุ าพ กาพย์ และโคลงสส่ี ภุ าพ
สรุปเน้อื หาวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน วิเคราะห์ตวั ละครสำคัญวิถชี ีวิตไทย และคุณค่า
ท่ีได้รับจากวรรณคดี วรรณกรรมและบทอาขยานพร้อมท้ังสรุปความรู้ ข้อคิดเพ่ือนำไปประยุกต์ใช้ ใน
ชีวติ จริง
1.2.2 ความสำคัญของภาษาไทย
กรมวิชาการ (2544) กล่าวถึง ความสำคัญของภาษาไทยไว้ว่า ภาษาไทยเป็น
เอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ เป็นเครื่องมือในการ
ติดต่อสื่อสาร ทำให้ส่ือท่ีแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวฒั นธรรม ประเพณี และสุนทรยี ภาพโดย
บันทึกเป็นวรรณคดีอันล้ำค่า ควรแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์ให้สืบสานคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
ภาษาไทยจึงมีความสำคัญ จำเป็นที่คนไทยทุกคนจะต้องศึกษาจนเกดิ ทักษะเพ่ือให้ติดต่อระหว่างชนใน
ชาติ ในทน่ี ยี้ ังได้ประมวลความสำคัญของภาษาไทยไว้ ดังน้ี
1.2.2.1 ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสาร เมื่อคนเรามีความคิด
มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีความต้องการ จึงมีความต้องการท่ีจะถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก เราก็จะ
ใช้ภาษาในการส่ือความหมายไปสู่คนอื่นได้โดยการพูด การเขียน รวมท้ังใช้ภาษาทำความเข้าใจ
เรื่องราวด้านความคดิ ความรสู้ ึก ความตอ้ งการ กบั ผู้อื่นได้ดว้ ยการฟงั การอ่าน และการดู
1.2.2.2 ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ ความรู้และประสบการณ์อันมี
คุณค่าของบรรพบุรุษได้บันทึกและบอกเล่าต่อ ๆ กันมา คนรุ่นหลังสามารถแสวงหาความรู้เหล่าน้ันได้
โดยการฟัง การอ่านและการดู จากบุคคล จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ภาษาจะช่วยพัฒนาสติปัญญา
กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การวิจารณ์ จนเกิดเป็นความรู้ใหม่ ภาษายังเป็นเคร่ืองมือในการรับ
และถ่ายทอดวัฒนธรรม ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรมท่ีพึงประสงค์จากคนรุ่นก่อน และจากสังคม
เพอื่ ปลูกฝงั และหล่อหลอมใหเ้ ป็นผมู้ คี ณุ ลกั ษณะที่เหมาะสมตามทส่ี ังคมคาดหวงั
1.2.2.3 เปน็ เคร่ืองมือเสริมสร้างความเข้าใจอนั ดีต่อกัน การอยู่รว่ มกันเป็น
สังคมที่มีสันติสุขน้ัน สมาชิกมีความเข้าใจอันดีต่อกัน การใช้ภาษาส่ือความหมายให้ชัดเจนย่อมจะ
ก่อให้เกิดความเข้าใจท่ีดีต่อกัน เกิดความร่วมมือของคนในสังคมไม่สร้างปัญหา และความแตกแยกใน
สงั คม และอย่รู ว่ มกนั อยา่ งสันติสุข
1.2.2.4 ภาษาไทยเป็นเคร่ืองมือสร้างเอกภาพของชาติ สังคมจะเป็นปึกแผ่น
มัน่ คงเจรญิ คนในสังคมจะต้องมีความผูกพันตอ่ กันเป็นพวกพ้องเดียวกนั เพราะคนไทยมีภาษาไทยเป็น
13
ภาษากลางยึดเหน่ียวผูกพันให้เป็นเช้ือชาติเดียวกัน เกิดความเป็นเอกภาพของชาติ เป็นพลังทำให้เกิด
ความปรองดอง และรว่ มมือกนั ท่ีจะพัฒนาชาตไิ ทยใหเ้ จริญกา้ วหน้ามั่นคงต่อไป
1.2.2.5 ภาษาไทยเป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่
ต้องการได้รับความจรรโลงใจในชีวิตอยู่เสมอ เช่น วัยเด็กก็ต้องการเสียงเห่กล่อม เม่ือโตขึ้นฟัง
เสยี งเพลง ฟังนิทาน นยิ าย บทกวี บันเทิงคดี คำอวยพร สุภาษิต ฯลฯ ซ่ึงผู้ประพันธ์ได้สรรถ้อยคำ
อันประณตี ไพเราะ และมขี ้อคดิ ลึกซ้งึ เป็นภาษาเรยี งรอ้ ยให้เกิดความจรรโลงใจแก่ผู้อ่าน และผ้ฟู งั
การสอนภาษาไทยในปัจจุบันเปล่ียนแนวคิดไปจากเดิม ไม่เน้นการอ่าน
ออกเสยี งได้เพียงอย่างเดยี ว แตจ่ ะเน้นการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีประสทิ ธิภาพ และ
ใชภ้ าษาในการแก้ปัญหาในการดำรงชวี ติ และปัญหาของสงั คม เน้นการสอนภาษาในฐานะเครื่องมอื ของ
การเรียนรเู้ พื่อให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง สามารถนำความรู้มาใช้ในการพัฒนาตนเอง
นอกจากน้ันยังต้องสอนภาษา เพ่ือพัฒนาความคิด ผู้เรียนท่ีมีความคิดจะต้องมีประสบการณ์ และ
ประมวลคำมากพอทจี่ ะสรา้ งความคดิ ให้ลึกซง้ึ
1.2.3 กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูภ้ าษาไทย
กรมวิชาการ (2544) กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้สอนจะต้อง
ศึกษาวิเคราะห์จุดหมายของหลักสูตร และมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย รวมท้ังเอกสารประกอบ
หลักสูตรทีเ่ กีย่ วขอ้ ง เพื่อวางแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ในสว่ นของบทบาท
ของผู้สอนจะต้องปรับเปล่ียนพฤติกรรมจากผู้บอกความรู้แก่นักเรียน เป็นผู้สนับสนุนเสริมสร้าง
ประสบการณก์ ารเรียนรทู้ ม่ี คี วามหมายแก่ผ้เู รียน โดยดำเนินการ ดังนี้
1.2.3.1 เลือกรปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ผูส้ อนต้องเลือกรปู แบบ
การจัดกจิ กรรมการเรยี นร้ทู ่ีหลากหลาย และเหมาะสมกับผ้เู รียน เชน่ กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบทดลอง
แบบโครงงาน แบบศูนยก์ ารเรยี น แบบสบื สวนสอบสวน แบบอภิปราย แบบสำรวจ
แบบรว่ มมอื เป็นต้น
1.2.3.2 คิดค้นเทคนิคกลวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถคิดค้น
รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ และนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น
ความรคู้ วามสามารถดา้ นเนื้อหา ความสนใจและวัยของผูเ้ รยี น ความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นรู้
แตล่ ะชว่ งชัน้ เวลา สถานท่ี วัสดุอุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมของโรงเรียนและชุมชน
1.2.3.3 จัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้มีหลายรูปแบบ
ผสู้ อนสามารถเลือกนำมาใช้หรอื ปรับใช้โดยคำนึงถงึ สภาพและลักษณะของผ้เู รยี น เน้นใหผ้ ู้เรียน
ฝกึ ปฏิบตั ติ ามกระบวนการเรยี นร้อู ยา่ งมีความสขุ ดงั นี้
14
1) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการจัดประสบการณ์ตรง
ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติเหมือนกับการทำงานในชีวิตจริง ให้รู้วิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ
รจู้ กั วธิ กี ารวางแผน คดิ วเิ คราะห์ ประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านได้ด้วยตนเอง และฝกึ การเป็นผ้นู ำและ
ผู้ตาม ลักษณะของโครงงานเป็นเร่ืองของการศึกษาค้นคว้า ทดลอง ตรวจสอบสมมติฐาน โดยอาศัย
การศกึ ษา วเิ คราะหใ์ ชท้ ักษะกระบวนการ
2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ เป็นวิธีการหรือ
พฤติกรรมท่ีจะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ได้ผลงาน ความรู้สึก และ
ความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างผู้ร่วมงาน ลักษณะของการสอนแบบนี้เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้
ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างท่ัวถึง ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ เปิดโอกาสให้
ผู้เรียนไดป้ รึกษาหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกนั ช่วยให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมของตนเอง
และผู้อื่น ผู้เรียนค้นหาคำตอบไดด้ ้วยตนเอง สามารถนำความรู้ ความเข้าใจจากการปฏิบตั งิ านไปใชใ้ น
ชวี ิตประจำวนั และอยใู่ นสังคมได้อยา่ งสันติสุข
3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความคิด มีวิธีการ
หลากหลายวิธีการหนึ่ง คือ การใช้คำถาม การต้ังคำถาม โดยใช้หมวกความคิด 6 ใบ เป็นการใช้
คำถามอย่างสร้างสรรค์ กิจกรรมที่พัฒนาทักษะความคดิ ในการเรียนร้ภู าษาไทย ผู้สอนจะต้องใช้คำพูด
และวิธีการต่าง ๆ กระตุ้นให้นักเรียนคิดลงมือปฏิบัติ ประเมิน ปรับปรุง แก้ไข พัฒนางานของตน มี
การแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน เช่น กิจกรรมการอภิปราย การวิเคราะห์ การวิจารณ์ การค้นคว้า
การทำโครงงาน ฯลฯ นอกจากนีผ้ ู้สอนยงั ต้องสอดแทรกคุณธรรมในกระบวนการคิดควบค่ไู ปด้วย เช่น
ความรับผิดชอบ ความอดทน ความเพียรพยายาม นอกจากน้ีควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนใช้ความคิด
อยา่ งมวี ิจารณญาณในการแกป้ ัญหา การตดั สนิ ใจ การวางแผนดำเนนิ ชวี ติ ในอนาคต เพอ่ื ให้อยู่
ในสังคมที่เปลยี่ นแปลงได้อย่างมีความสขุ
1.3 การอา่ นและการเขยี น
การอ่านมคี วามสำคัญมากในการเรียนรู้ ท้ังที่เป็นการเรยี นรทู้ างวิชาการและ
การรับรขู้ ่าวสาร ข้อมูลตา่ งๆซง่ึ เป็นจดุ มงุ่ หมายที่สำคญั ประการหน่งึ ของการจัดการศึกษาและ
การพฒั นาคุณภาพของประชากร
1.3.1 ความหมายของการอ่าน
ราชบณั ฑติ ยสถาน (2546) การอ่านหมายถึง การแปลความหมายของตัวอักษร
ทีอ่ ่านออกมาเป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเข้าใจเรื่องราวท่ีอ่านตรงกบั เรื่องราวท่ีผู้เขียน
เขยี น ผอู้ า่ นสามารถนำความรู้ ความคดิ หรอื สาระเรอ่ื งราวที่อา่ นไปใช้ให้เกิดประโยชนไ์ ด้
กรมวิชาการ (2544)ให้ความหมายของการอ่านคอื ความคิดท่ีสามารถเข้าใจใน
เรอ่ื งท่ีอ่านได้ดี ย่อมนำไปสู่ความคิดทด่ี ี เพราะผู้อ่านจะไดท้ ราบแนวคิดต่างๆจากเร่ืองทีอ่ ่าน เกิดความรู้
จากเร่ืองที่อา่ น แล้วนำมาจดั แยกแยะตคี วามหมายก่อนทจี่ ะเกดิ เป็นความคดิ ของตนเอง
15
จากการให้ความหมายของนักการศึกษาและผู้เช่ียวชาญการอ่านดังกล่าวสรุป
ได้ว่า การอ่านคือ กระบวนการแปลความหมายของสัญลักษณ์ โดยผ่านกระบวนการทางความคิดไป สู่
ความเข้าใจในส่ิงท่ีอ่าน ซึ่งต้องอาศัยทักษะการวิเคราะห์คำ ถอดความ ตีความ ขยายความและ
ประสบการณ์เดิมของผู้อา่ น
1.3. 2 ประโยชน์และความสำคัญของการอา่ น
กรมวชิ าการ (2544) ได้กล่าวว่า การอ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ ต้ังแต่เกิด
จนโตและจนกระท่ังถึงวัยชรา การอ่านทำให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารท่ัวโลก ซ่ึงปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูล
ขา่ วสาร ทำให้ผู้อ่านมีความสุข มีความหวงั และมีความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นความตอ้ งการของมนุษย์
ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเองคือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต
ทำให้เป็นคนทนั สมยั ทันต่อเหตุการณ์และสนองความอยากร้อู ยากเหน็ นอกจากนัน้ การพัฒนาประเทศ
ให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนท่ีมีความรู้ความสามารถ ความรู้ต่างๆก็ไดม้ าจากการอ่าน
นั่นเอง
จนิ ตนา ใบกาซูยี (2543) ได้สรปุ ไว้วา่ การอา่ นมคี วามสำคญั และมีประโยชน์
ต่อการเรียนรู้ เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อให้เกิดความรู้ ความคิด และการถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่
ส่ิงประดษิ ฐใ์ หม่ เกดิ การพัฒนาอย่างต่อเน่ือง
ประโยชนท์ ี่ไดจ้ ากการอา่ น กรมวชิ าการ (2544) กล่าวไว้ดงั นี้
1.มคี วามรูเ้ พมิ่ เติม ชว่ ยให้ความรูก้ ว้าง ไม่แคบอยเู่ ฉพาะเรื่องรอบตวั
2.ประสบการณ์ในการอา่ นจะช่วยเสรมิ ความคิดใหพ้ ฒั นาขึน้
3.เปน็ ผู้ท่สี งั คมยอมรับ เพราะผทู้ ่อี ่านมากจะรูจ้ ักปรับตวั ใหเ้ ข้ากับสงั คมได้ดี
4.ชว่ ยให้เปน็ ผสู้ ำเร็จในการประกอบอาชีพ
5.ชว่ ยใหไ้ ด้รบั ความบันเทงิ ในชีวิตมากขึ้น
6.เปน็ การใช้เวลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์
7.ช่วยให้เป็นคนท่ีน่าสนใจ เพราะผู้ที่อ่านหนังสือมากจะมีความคิด
ลึกซ้งึ กว้างขวาง สามารถแสดงความรูแ้ ละความคดิ ที่ดีไดเ้ สมอ
จากประโยชน์และความสำคัญของการอ่านดังกล่าว สรุปได้ว่า การอ่านจะช่วยให้
ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีขึ้น และยังส่งผลต่อทักษะการฟัง พูด เขียน และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วย
พัฒนาความรู้ ความคิด การแก้ปญั หาและพัฒนาบคุ ลิกภาพการปรบั ตวั ในสงั คมได้
1.3.2 การเขียน
กรมวิชาการ (2544) ได้ให้แนวคิดว่า การอ่านและการเขียน เป็นทักษะ
พื้นฐานที่มีความสัมพันธ์กัน เป็นทักษะพื้นฐานท่ีสำคัญของการเรียนรู้ภาษาทุกภาษา ท้ังในการเรียน
ระดับพ้ืนฐานและในระดับสูง การเรียนในระดับพื้นฐานจะเน้นในด้านการอ่านการเขียนได้ถูกต้อง มี
ความแม่นยำในหลักเกณฑ์ทางภาษา ซึ่งเป็นเร่ืองสำคัญและเป็นความจำเป็นของนักเรียนทุกคน
16
ครูผู้สอนระดับพื้นฐานจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของหลักและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย ได้แก่ หลักการ
สะกดคำ คำควบกลำ้ ไตรยางศ์ การผนั เสียงวรรณยุกต์ อักษรนำ เปน็ ต้น
ครูผู้สอนในระดับพ้ืนฐานจะต้องสามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนได้อย่างมี
ลำดับข้ันตอนจากเร่ืองง่ายไปสู่เรื่องยาก ทำให้นักเรียนเรียนรู้ตามลำดับอย่างต่อเนื่องและไม่รูส้ ึกว่าการ
เรียน ภาษาไทยเป็นเร่ืองยาก การสอนหลักเกณฑ์ทางภาษาไทยให้แก่นักเรียนในระดับการศึกษาขั้น
พื้นฐาน ครูต้องใช้เทคนิคการสอนท่ีหลากหลาย สอดแทรกหลักภาษาเข้าไปในกระบวนการสอนอ่าน
สอนเขียนอย่างผสมกลมกลืนและสอนให้สนุกโดยการให้นักเรียนสังเกตการใช้ภาษาและสรุปเป็น
กฎเกณฑด์ ้วยตนเอง จะไมท่ ำใหเ้ บื่อหน่ายวิชาภาษาไทย หากนักเรยี นรกั และเห็นคณุ ค่าของภาษาไทยก็
จะเป็นคนรักการอ่าน ซ่ึงนับวา่ เป็นคณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์สำคญั ย่ิง อันจะเป็นประโยชน์ตอ่ การเรียนรู้
เนื้อหาสาระวชิ าอ่ืนๆของนักเรียนตอ่ ไป
สรุปได้วา่ การสอนทักษะการเขยี นควรเริ่มจากการทดสอบพ้ืนฐานการเขียนของผู้เรียน
แจ้ง จุดประสงค์การสอนเขียนและฝึกให้ผู้เรียนตั้งจุดประสงค์ในการเขียน ให้แนวการเรียนรู้และฝึก
ปฏิบัติในเร่ืองหลักการเขียน เช่นการฝึกคิด ฝึกวางโครงเร่ือง การถ่ายทอดความคิด ทั้งน้ี จะต้องเป็น
กิจกรรมที่ฝึกเขียนจากระดับท่ีง่ายไปสู่ระดับท่ียาก จัดเน้ือหาให้เหมาะสมกับวัยและสอนตามลำดับ
พัฒนาการ โดยการสอนท่ีใช้ทักษะสัมพันธ์ นอกจากนี้ต้องมีการประเมินผลการเขียนเป็นระยะๆให้
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินพร้อมท้ังการติชมผลงานและแจ้งให้ผู้เรียนทราบหรือจัดแสดงผลงาน
ตามโอกาส
1.4 แบบฝกึ ทักษะ
1.4.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทกั ษะ
สวุ ทิ ย์ มลู คำ และสนุ นั ทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้สรุปความสำคัญ
ของแบบฝึกทักษะว่าแบบฝึกทักษะมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการท่ีจะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะ
ใหก้ ับผู้เรียนไดเ้ กดิ การเรียนรูแ้ ละเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนข้นึ กวา้ งขวางขึ้นทำให้การสอน
ของครแู ละการเรียนของนักเรียนประสบผลสำเร็จอย่างมปี ระสิทธิภาพ
ไพทูลย์ มูลดี (2546) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะ คือชุดฝึกการเรียนรู้ท่ีครู
สร้างขึ้นให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาท่ีเรียนรู้มาแล้วเพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะ
ความชำนาญและฝกึ กระบวนการคิดให้มากข้นึ ท้ังยังมปี ระโยชน์ในการลดภาระการสอน
ใหก้ ับครู อีกทั้งพัฒนาความสามารถของผเู้ รยี น และทำใหผ้ เู้ รยี นสามารถมองเหน็ ความก้าวหน้า
จากผลการเรียนรู้ของตนเองได้
คมขำ แสนกลา้ (2547) ไดส้ รุปความสำคญั ของแบบฝกึ วา่ แบบฝกึ ทกั ษะ
เป็นส่วนสำคัญในการเรียนการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพื่อใช้ในการฝึกฝนทักษะความรู้ต่างๆ
หลังจากเรยี นไปแล้ว เด็กก็อาจจะลืมเลือนความรู้ท่ีเรียนไปได้ ซึ่งอาจส่งผลให้นักเรยี นไม่มปี ระสิทธิภาพ
เท่าทีค่ วร
17
ฐานิยา อมรพลัง (2548) ได้สรุปถึงความหมายของแบบฝึกทักษะ คือ งานกิจกรรม
หรอื ประสบการณท์ ่ีครูจดั ให้นกั เรยี นได้ฝึกหัดกระทำ เพื่อทบทวนฝึกฝนเนือ้ หาความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนไป
แล้วให้เกิดความจำ จนสามารถปฏิบัติได้ด้วยความชำนาญ และให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ใน
ชวี ติ ประจำวนั ได้
วรรณภา ไชยวรรณ (2549) ได้สรุปความหมายและความสำคัญของแบบฝึกได้ว่า
แบบฝึก คือ แบบฝึกหัด หรือชุดฝึกที่ครูจัดให้นักเรียน เพ่ือให้มีทักษะเพิ่มขึ้นหลังจากท่ีได้เรียนรู้เร่ือง
น้ันๆ มาบ้างแล้ว โดยแบบฝึกต้องมีทิศทางตรงตามจุดประสงค์ ประกอบกิจกรรมท่ีน่าสนใจและ
สนกุ สนาน
อกนิษฐ์ กรไกร (2549) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึก-ทักษะ
หมายถึง สื่อที่สร้างข้ึนเพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดท่ีมีกิจกรรมให้
นกั เรียนทำโดยมกี ารทบทวนสิ่งที่เรียนผ่านมาแลว้ จากบทเรียน ให้เกิดความเขา้ ใจและเป็นการฝึกทักษะ
และแก้ไขในจุดบกพร่องเพ่ือให้นกั เรียนได้มีความสามารถและศักยภาพยิ่งขน้ึ เข้าใจบทเรียนดีขึ้น
พินิจ จันทร์ซ้าย (2546) กล่าวถึงแบบฝึกทักษะว่า หมายถึง งาน กิจกรรม หรือ
ประสบการณ์ที่ครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพ่ือทบทวนความรู้ท่ีเรียนมาแล้วนำมาปรับ
ประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวัน
ผู้รายงานได้ศึกษาความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะแล้วพอสรุปได้ว่า
แบบฝึกทักษะ หมายถึง ชุดฝึกทักษะท่ีครูสร้างข้ึนให้นักเรยี นได้ทบทวนเน้ือหาที่เรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้าง
ความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากข้ึน ทำให้ครูทราบความ
เข้าใจของนักเรียนท่ีมีต่อบทเรียน ฝึกให้เด็กมีความเชอ่ื มั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ ท้ังยังมี
ประโยชนช์ ่วยลดภาระการสอนของครู และยงั ช่วยพฒั นาตามความแตกตา่ ง
1.4.2 ลักษณะของแบบฝกึ ที่ดี
แบบฝกึ เป็นเครื่องมอื ที่สำคัญท่จี ะชว่ ยเสริมสร้างทกั ษะให้แกผ่ เู้ รียน
การสร้างแบบฝึกใหม้ ปี ระสิทธภิ าพจงึ จำเป็นจะต้องศกึ ษาองคป์ ระกอบและลักษณะของแบบฝึก
เพือ่ ใชใ้ ห้เหมาะสมกับระดบั ความสามารถของนักเรียน
สวุ ทิ ย์ มลู คำ และสุนนั ทา สุนทรประเสรฐิ (2550) ได้สรปุ ลกั ษณะ
ของแบบฝึกทดี่ ีควรคำนงึ ถึงหลกั จิตวทิ ยาการเรียนร้ผู เู้ รยี นไดศ้ ึกษาดว้ ยตนเอง ความครอบคลุม
ความสอดคลอ้ งกับเน้อื หา รูปแบบน่าสนใจ และคำส่งั ชัดเจน และได้สรุปลักษณะของแบบฝกึ ไว้ดงั น้ี
1. ใชห้ ลักจิตวิทยา
2. สำนวนภาษาไทย
3. ให้ความหมายตอ่ ชีวิต
4. คิดได้เรว็ และสนุก
5. ปลุกความนา่ สนใจ
18
6. เหมาะสมกับวยั และความสามารถ
7. อาจศึกษาไดด้ ว้ ยตนเอง
และได้แนะนำให้ผู้สรา้ งแบบฝกึ ใหย้ ึดลกั ษณะของแบบฝกึ ไวด้ งั น้ี
1. แบบฝึกหดั ทีด่ ีควรมคี วามชัดเจนท้ังคำสงั่ และวธิ ีทำคำสัง่ หรอื ตัวอย่าง
วิธีทำที่ใช้ไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ท้ังน้ีเพื่อให้
นกั เรียนสามารถศกึ ษาดว้ ยตนเองได้ถา้ ตอ้ งการ
2. แบบฝึกหัดทดี่ คี วรมคี วามหมายต่อผู้เรยี นและตรงตามจดุ มงุ่ หมาย
ของการฝึกลงทุนนอ้ ยใช้ได้นานๆ และทนั สมยั อยู่เสมอ
3. ภาษาและภาพท่ีใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพ้ืนฐานความรู้
ของผเู้ รยี น
4. แบบฝึกหัดทดี่ คี วรแยกฝกึ เป็นเรอื่ งๆ แต่ละเรือ่ งไม่ควรยาวเกินไป
แตค่ วรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพ่อื เร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพ่ือ
ฝกึ ทกั ษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ
5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีท้งั แบบกำหนดให้โดยเสรี การเลอื กใช้คำ ขอ้ ความหรือ
รปู ภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็นสง่ิ ทน่ี ักเรียนค้นุ เคยและตรงกับความในใจของนกั เรยี นเพื่อวา่ แบบฝึกหดั ท่ี
สร้างขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความเพลดิ เพลินและพอใจแกผ่ ูใ้ ช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรยี นรู้
ได้เร็วในการกระทำที่ก่อใหเ้ กิดความพงึ พอใจ
6. แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้า
รวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อยๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรียนสนใจเร่ืองน้ันๆ มากย่ิงขึ้นและจะรู้จัก
ความรใู้ นชีวติ ประจำวนั อยา่ งถกู ต้อง มีหลกั เกณฑแ์ ละมองเห็นว่าสง่ิ ทเี่ ขาได้ฝกึ ฝนน้นั
มคี วามหมายตอ่ เขาตลอดไป
7. แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคน
จะมีความแตกต่างกันหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและ
ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะน้ันการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ต้ังแต่ง่าย
ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าท้ังเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ตาม
ความสามารถ ทั้งนี้เพอื่ ใหเ้ ดก็ ทุกคนประสบความสำเร็จ ในการทำแบบฝึกหดั
8. แบบฝึกหัดที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไป
จนถึงหน้าสุดทา้ ย
9. แบบฝกึ หดั ที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กบั หนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและ
ควรใช้ไดด้ ีทงั้ ในและนอกบทเรียน
10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบท่ีสามารถประเมิน และจำแนกความเจริญ
งอกงามของเดก็ ไดด้ ว้ ย
19
ฐานิยา อมรพลัง (2548) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่เรียงลำดับ
จากงา่ ยไปหายาก มีรปู ภาพประกอบ มรี ปู แบบน่าสนใจ หลากหลายรปู แบบ โดยอาศัย
หลักจติ วิทยาในการจดั กจิ กรรมหรอื จัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย และ ระดับชั้น
ของนักเรยี น มีคำสั่ง คำชแี้ จงสน้ั ชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย มีตัวอยา่ งประกอบ มีการจัดกจิ กรรม การฝึกท่ี
เรา้ ความสนใจ และแบบฝกึ นั้นควรทนั สมัยอยเู่ สมอ
วรรณภา ไชยวรรณ (2549) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดี คือ ควรมีความ
หลากหลายรปู แบบ เพื่อไมใ่ ห้เกดิ ความเบ่ือหนา่ ย และตอ้ งมลี ักษณะท่ีเร้า ยั่วยุ จูงใจ ได้ให้
คิดพิจารณา ได้ศึกษาค้นคว้าจนเกิดความรู้ ความเข้าใจทักษะ แบบฝึกควรมีภาพดึงดูดความสนใจ
เหมาะสมกับวยั ของผเู้ รียนตรงกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ มเี น้ือหาพอเหมาะ
ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัดและแบบฝึก
ทักษะทด่ี ีไว้วา่ ดังน้ี
1. จุดประสงค์
1.1 จดุ ประสงคช์ ัดเจน
1.2 สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และ
กระบวนการเรยี นรู้ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้
2. เนื้อหา
2.1 ถูกต้องตามหลกั วิชา
2.2 ใช้ภาษาเหมาะสม
2.3 มีคำอธิบายและคำสัง่ ทีช่ ดั เจน ง่ายต่อการปฏบิ ตั ิตาม
2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิด
รวบยอดและหลักการสำคัญของกลุม่ สาระการเรยี นรู้
2.5 เป็นไปตามลำดับข้ันตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้
และความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล
2.6 มีคำถามและกิจกรรมท่ีท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้
ของ ธรรมชาติวชิ า
2.7 มีกลยุทธ์การนำเสนอและการตั้งคำถามที่ชัดเจน น่าสนใจปฏิบัติ
ได้สามารถใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั เพือ่ ปรบั ปรุงการเรยี นได้อยา่ งต่อเน่ือง
ผู้รายงานพอสรุปลักษณะของแบบฝึกท่ีดีได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้
นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดีเปรียบเสมือนผู้ช่วยท่ีสำคัญ
ของครู ทำใหค้ รลู ดภาระการสอนลงได้ ทำให้ผู้เรยี นพัฒนาความสามารถของตนเพือ่ ความม่ันใจ
ในการเรียนได้เป็นอยา่ งดี ดังนนั้ ครยู ังจำเปน็ ตอ้ งศึกษาเทคนคิ วิธกี าร ขนั้ ตอนในการฝกึ ทักษะตา่ งๆ
20
มปี ระสิทธิภาพที่สุด อันส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะตา่ งๆ ได้อย่างเต็มท่ีและแบบฝึกที่ดีนั้นจะต้อง
คำนึงถงึ องคป์ ระกอบหลายๆดา้ น ตรงตามเน้ือหา เหมาะสมกบั วยั เวลา ความสามารถ
ความสนใจ และสภาพปญั หาของผู้เรียน
1.4.3 ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะ
ไพทลู ย์ มลู ดี (2546) ได้อธบิ ายประโยชน์ของแบบฝึกไว้ดงั นี้ คือ แบบฝกึ
มคี วามสำคญั และจำเป็นตอ่ การเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะชว่ ยให้ผ้เู รยี นเขา้ ใจในบทเรยี น
ไดด้ ีขึ้นสามารถจดจำเน้ือหาในบทเรียนและคำศัพทต์ า่ งๆ ไดค้ งทน ทำให้เกิดความสนุกสนาน
ในขณะเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเอง สามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเน้ือหาเดิมด้วยตนเองได้
นำมาวัดผลการเรียนหลังจากท่ีเรียนแล้ว ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและนำไป
ปรับปรุงแกไ้ ขไดท้ ันทว่ งที ซ่ึงจะมผี ลทำใหค้ รปู ระหยัดเวลา คา่ ใช้จา่ ยและลดภาระได้มาก และยงั
ให้นักเรยี นนำภาษาไปใช้สอ่ื สารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพดว้ ย
วรรณภา ไชยวรรณ (2549) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบ
ฝึกช่วยในการฝึกหรือเสริมทักษะทางภาษา การใช้ภาษาของนักเรียนสามารถนำมาฝึกซ้ำทบทวน
บทเรียน และผู้เรียนสามารถนำไปทบทวนด้วยตนเอง จดจำเนื้อหาได้คงทน มีเจตคติท่ีดีต่อการเรียน
ภาษาไทย แบบฝึกถือเป็นอุปกรณ์การสอนอย่างหนึ่งซ่ึงสามารถทดสอบความรู้ วัดผลการเรียนหรือ
ประเมินผลการเรียนก่อนและหลังเรยี นได้เป็นอย่างดี ทำให้ครูทราบปัญหาข้อบกพร่องของผู้เรยี นเฉพาะ
จดุ ได้ นกั เรยี นทราบความก้าวหน้าของตนเอง ครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระได้มาก
ถวลั ย์ มาศจรัส และคณะ (2550) ไดอ้ ธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและแบบฝึก
ทักษะเป็นสอ่ื การเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นในเร่ืองของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจดั การเรียนรู้ในหน่วย
การเรยี นรแู้ ละสามารถเรยี นรู้ได้ โดยสรปุ ได้ดงั นี้
1. เป็นสอื่ การเรยี นรู้ เพอื่ พฒั นาการเรยี นรูใ้ หแ้ กผ่ ู้เรยี น
2. ผู้เรยี นมสี อ่ื สำหรบั ฝกึ ทักษะดา้ นการอา่ น การคิด การคิดวิเคราะห์
และการเขยี น
3. เปน็ สื่อการเรยี นรูส้ ำหรบั การแกป้ ญั หาในการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น
4. พัฒนาความรู้ ทกั ษะ และเจตคตดิ า้ นตา่ งๆ ของผเู้ รยี น
จากประโยชน์ของแบบฝึกท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่า แบบฝึกท่ีดีและมีประสิทธิภาพช่วยทำให้
นกั เรยี นประสบผลสำเรจ็ ในการฝึกทักษะไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
สุวิทย์ มลู คำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้สรุปประโยชน์
ของแบบฝกึ ทกั ษะได้ดงั น้ี
1. ทำใหเ้ ขา้ ใจบทเรยี นดีข้นึ เพราะเป็นเครือ่ งอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้
2. ทำใหค้ รทู ราบความเข้าใจของนกั เรียนท่มี ตี ่อบทเรียน
3. ฝกึ ให้เด็กมีความเช่อื มั่นและสามารถประเมนิ ผลของตนเองได้
21
4. ฝึกใหเ้ ดก็ ทำงานตามลำพัง โดยมีความรับผดิ ชอบในงานทไ่ี ด้รับมอบหมาย
5. ช่วยลดภาระครู
6. ชว่ ยใหเ้ ด็กฝกึ ฝนไดอ้ ย่างเตม็ ที่
7. ช่วยพฒั นาตามความแตกต่างระหว่างบคุ คล
8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซ่ึงลักษณะการฝึกเพ่ือช่วยให้เกิดผลดังกล่าวน้ัน
ได้แก่
8.1 ฝกึ ทันทีหลงั จากทเี่ ด็กได้เรยี นรู้ในเรอื่ งน้ันๆ
8.2 ฝึกซำ้ หลายๆครง้ั
8.3 เนน้ เฉพาะในเรอ่ื งที่ผดิ
9. เป็นเคร่ืองมอื วดั ผลการเรียนหลงั จากจบบทเรียนในแต่ละคร้งั
10. ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนดว้ ยตนเอง
11. ช่วยใหค้ รมู องเห็นจดุ เด่นหรอื ปัญหาต่างๆของเด็กได้ชดั เจน
12. ประหยัดค่าใชจ้ ่ายแรงงานและเวลาของครู
ผรู้ ายงาน ไดศ้ กึ ษาค้นควา้ เก่ยี วกับประโยชน์ของแบบฝึกทักษะแลว้ พอสรุปไดว้ า่ แบบฝึก
มคี วามสำคัญ และจำเป็นตอ่ การเรยี นทักษะทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้ผู้เรยี นเข้าใจบทเรยี นได้ดีขึ้น
สามารถจดจำเน้ือหาในบทเรียนและคำศัพท์ต่างๆ ได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนาน ในขณะเรียน
ทราบความก้าวหน้าของตนเอง และครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่างๆ ของเด็กได้ชัดเจน สามารถนำ
แบบฝกึ ทักษะมาทบทวนเนอ้ื หาเดิมดว้ ยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพรอ่ ง
ของนกั เรยี นและนำไปปรบั ปรุงไดท้ ันทว่ งที ซึ่งจะมีผลทำใหค้ รปู ระหยดั เวลา ประหยัดค่าใช้จา่ ย
1.4. 4 หลักการสรา้ งแบบฝกึ
วรรณภา ไชยวรรณ (2549) ไดส้ รปุ หลกั การสรา้ งแบบฝึกทักษะดังนี้
1. ความใกล้ชิด คือ ถ้าใชส้ ่ิงเร้าและการตอบสนองเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน
จะสรา้ งความพอใจให้กับผเู้ รียน
2. การฝกึ คอื การให้นักเรียนไดท้ ำซ้ำ ๆ เพ่ือชว่ ยสรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจ
ทีแ่ ม่นยำ
3. กฎแห่งผล คือ การที่ผู้เรียนได้ทราบผลการทำงานของตนด้วยการเฉลย
คำตอบจะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนทราบขอ้ บกพร่องเพ่ือปรับปรงุ แก้ไขและเปน็ การสร้างความพอใจแก่ผู้เรยี น
4. การจงู ใจ คอื การสร้างแบบฝึกเรียงลำดบั จากแบบฝกึ ง่ายและสั้นไปสู่แบบ
ฝกึ เรอ่ื งทย่ี ากและยาวข้นึ ควรมภี าพประกอบและมหี ลายรส หลายรปู แบบ
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้สรุปหลักในการสร้างแบบฝึก
ว่าต้องมกี ารกำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผ้เู รียนทกุ คนสามารถผา่ นลำดับขั้นตอนของ
22
ทุกหน่วยการเรียนได้ ถ้านักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตนก็จะทำให้นักเรียนประสบ
ความสำเรจ็ มากขน้ึ
1.4.5 ส่วนประกอบของแบบฝึก
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้กำหนดส่วนประกอบของ
แบบฝึกทกั ษะไดด้ งั นี้
1. ค่มู ือการใช้แบบฝึก เปน็ เอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝกึ วา่ ใช้
เพ่ืออะไรและมีวิธีใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม
ประกอบดว้ ย
- ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึก
ท้ังหมดกชี่ ุด อะไรบา้ ง และมีส่วนประกอบอ่ืนๆ หรอื ไม่ เชน่ แบบทดสอบ หรอื แบบบนั ทึกผล
การประเมนิ
- ส่ิงท่ีครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือ
นกั เรยี นเตรยี มตัวใหพ้ ร้อมล่วงหน้าก่อนเรยี น
- จดุ ประสงค์ในการใชแ้ บบฝกึ
- ข้ันตอนในการใช้ บอกข้อตามลำดบั การใช้ และอาจเขียน
ในรูปแบบของแนวการสอนหรอื แผนการสอนจะชัดเจนย่ิงข้ึน
- เฉลยแบบฝกึ ในแต่ละชุด
2. แบบฝึก เปน็ ส่ือท่สี รา้ งขึ้นเพ่ือให้ผูเ้ รยี นฝกึ ทกั ษะ เพือ่ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้
ทถ่ี าวรควรมีองคป์ ระกอบ ดงั น้ี
- ชือ่ ชดุ ฝึกในแตล่ ะชุดย่อย
- จดุ ประสงค์
- คำสง่ั
- ตวั อยา่ ง
- ชุดฝึก
- ภาพประกอบ
- ขอ้ ทดสอบก่อนและหลงั เรยี น
- แบบประเมินบันทึกผลการใช้
1.4.6 รปู แบบการสร้างแบบฝกึ
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้เสนอแนะรูปแบบการสร้าง
แบบฝึก โดยอธิบายว่าการสรา้ งแบบฝกึ รปู แบบกเ็ ป็นส่ิงสำคญั ในการที่จะจูงใจใหผ้ ู้เรยี นได้ทดลองปฏิบัติ
แบบฝึกจึงควรมีรปู แบบท่ีหลากหลาย มใิ ช่ใชแ้ บบเดียวจะเกิดความจำเจนา่ เบ่ือหน่าย ไม่ทา้ ทายให้อยาก
23
รอู้ ยากลองจึงขอเสนอรูปแบบทเี่ ปน็ หลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สรา้ งจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลย่ี นรูปแบบ
อื่นๆ ก็แล้วแตเ่ ทคนคิ ของแต่ละคน ซึ่งจะเรียงลำดับจากงา่ ยไปหายาก ดังน้ี
1. แบบถกู ผดิ เปน็ แบบฝึกท่เี ป็นประโยคบอกเลา่ ใหผ้ ู้เรียนอา่ นแล้วใส่
เครอ่ื งหมายถูกหรือผิดตามดุลยพินจิ ของผเู้ รยี น
2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝกึ ที่ประกอบด้วยตัวคำถามหรอื ตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืน
ไว้ในสดมภ์ซ้ายมือ โดยมที ่วี ่างไวห้ นา้ ข้อเพื่อใหผ้ เู้ รยี นเลอื กหาคำตอบท่กี ำหนดไวใ้ นสดมภข์ วามอื มาจบั คู่
กบั คำถามใหส้ อดคล้องกัน โดยใชห้ มายเลขหรอื รหัสคำตอบไปวางไว้ท่วี า่ งหน้าข้อความหรือจะใช้การโยง
เสน้ ก็ได้
3. แบบเติมคำหรือเติมข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้ แต่จะเว้น
ช่องว่างไว้ให้ผเู้ รียนเติมคำหรอื ข้อความทข่ี าดหายไป ซึ่งคำหรือขอ้ ความทน่ี ำมาเตมิ อาจใหเ้ ตมิ
อย่างอิสระหรือกำหนดตวั เลอื กให้เตมิ ก็ได้
4. แบบหมายตัวเลือก เป็นแบบฝกึ เชงิ แบบทดสอบ โดยจะมี 2 สว่ น คือส่วนท่ี
เป็นคำถาม ซ่ึงจะต้องเป็นประโยคคำถามท่ีสมบูรณ์ ชัดเจนไม่คลุมเครือ ส่วนท่ี 2 เป็นตัวเลือก คือ
คำตอบซ่ึงอาจจะมี 3-5 ตัวเลือกก็ได้ ตัวเลือกท้ังหมดจะมีตัวเลือกท่ีถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวส่วนท่ี
เหลอื เปน็ ตวั ลวง
5. แบบอัตนัย คือความเรียงเป็นแบบฝึกที่ตวั คำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยาp
ตอบอย่างเสรีตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกัดคำตอบ แต่กำจัดคำตอบ แต่จำกัดในเร่อื งเวลา อาจ
ใชค้ ำถามในรูปทว่ั ๆ ไป หรอื เปน็ คำส่งั ใหเ้ ขียนเรื่องราวต่างๆ ก็ได้
1.4.7 ข้นั ตอนการสรา้ งแบบฝึก
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้เสนอแนะการสร้างแบบฝึก
ว่า ข้ันตอนการสร้างแบบฝึก จะคล้ายคลึงกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทอ่ืนๆ ซ่ึงมี
รายละเอยี ดดงั น้ี
1. วิเคราะห์ปญั หาและสาเหตุจากการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน เชน่
- ปญั หาที่เกดิ ข้นึ ในขณะทำการสอน
- ปัญหาการผ่านจุดประสงคข์ องนกั เรยี น
- ผลจากการสังเกตพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์
- ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
2. ศึกษารายละเอยี ดในหลักสูตร เพ่อื วิเคราะหเ์ น้ือหา จุดประสงค์และ
กิจกรรม
3. พจิ ารณาแนวทางแก้ปญั หาท่เี กดิ ข้ึนจากข้อ 1 โดยการสรา้ งแบบฝกึ
และเลอื กเนือ้ หาในส่วนท่ีจะสรา้ งแบบฝึกนน้ั วา่ จะทำเร่ืองใดบ้าง กำหนดเปน็ โครงเร่อื งไว้
4. ศกึ ษารูปแบบของการสรา้ งแบบฝึกจากเอกสารตวั อยา่ ง
24
5. ออกแบบชดุ ฝึกแต่ละชุดให้มีรปู แบบทหี่ ลากหลายน่าสนใจ
6. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนให้
สอดคล้องกับเนือ้ หาและจุดประสงค์การเรียนรู้
7. สง่ ให้ผูเ้ ช่ียวชาญตรวจสอบ
8. นำไปทดลองใช้ แล้วบนั ทกึ ผลเพือ่ นำมาปรับปรงุ แกไ้ ขส่วนที่บกพร่อง
9. ปรบั ปรงุ จนมปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตง้ั ไว้
10. นำไปใชจ้ รงิ และเผยแพรต่ อ่ ไป
ถวลั ย์ มาศจรสั และคณะ (2550) ได้อธบิ ายขั้นตอนการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ ดงั นี้
1. ศึกษาเน้ือหาสาระสำหรับการจดั ทำแบบฝึกหัด แบบฝกึ ทักษะ
2. วเิ คราะห์เน้ือหาสาระโดยละเอียดเพอ่ื กำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ
3. ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหดั แบบฝึกทกั ษะตามจดุ ประสงค์
4. สร้างแบบฝกึ หดั และแบบฝกึ ทักษะและสว่ นประกอบอ่ืนๆ เช่น
4.1 แบบทดสอบกอ่ นฝึก
4.2 บัตรคำสง่ั
4.3 ข้นั ตอนกจิ กรรมทีผ่ ู้เรยี นตอ้ งปฏิบตั ิ
4.4 แบบทดสอบหลังฝึก
5. นำแบบฝกึ หดั แบบฝกึ ทักษะไปใช้ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
6. ปรบั ปรุงพฒั นาให้สมบูรณ์
1.4.8 แนวคดิ หลกั การที่เก่ียวข้องกบั แบบฝกึ ทักษะ
อกนิษฐ์ กรไกร (2549) ได้ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ ยึดหลักให้นักเรียนได้
เรียนรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ในความคาดหวัง ต้องการให้เด็กท่ีใช้แบบฝึกทักษะมี
พฤติกรรม ดังนี้
1 . Active Responding ให้ นั ก เรี ย น มี ส่ ว น ร่ ว ม ใน ก า ร เรี ย น อ ย่ า ง
กระฉับกระเฉง ไม่ว่าจะเป็นคิดในใจหรือแสดงออกมาด้วยการพูดหรือเขียน นักเรียนอาจเขียนรูปภาพ
เตมิ คำแต่งประโยคหรอื หาคำตอบในใจ
2. Minimal Error ในการเรียนแต่ละคร้ังเราหวังว่า นักเรียนจะตอบคำถามได้
ถกู ต้องเสมอ แต่ในกรณีทน่ี ักเรียนตอบคำถามผดิ นักเรยี นควรมโี อกาสฝกึ ฝนและเรยี นรู้ในสิ่งท่เี ขาทำผิด
เพือ่ ไปสูค่ ำตอบที่ถกู ต้องต่อไป
3. Knowledge of Results เม่ือนักเรียนสามารถตอบถูกต้องเขาควรได้รับ
เสริมแรง ถ้านักเรียนตอบผิดเขาควรได้รับการช้ีแจง และให้โอกาสท่ีจะแก้ไขให้ถูกต้องเช่นเดียวกับ
ประสบการณท์ ี่เปน็ ความสำเรจ็ สำหรับมนุษย์แลว้ เพียงได้รวู้ า่ ทำอะไรสำเรจ็ กถ็ ือเปน็ การเสริมแรง
ในตวั เอง
25
4. Small Step การเรียนจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ไปทีละน้อย
ด้วยตนเอง โดยให้ความรู้ตามลำดับขั้นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนใคร่ครวญตามซึ่งจะเป็นผลดีต่อการ
เรยี นรู้ของเดก็ อยา่ งมาก แม้ที่เรยี นออ่ นก็จะสามารถเรยี นได้
สุวทิ ย์ มลู คำ และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550) ไดอ้ ธบิ ายแนวคิด
และหลักการสร้างแบบฝึกว่า การศึกษาในเร่ืองจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นส่ิงที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควรละเลย
เพ ร า ะ ก าร เรี ย น รู้ จ ะ เกิ ด ขึ้ น ได้ ต้ อ งข้ึ น อ ยู่ กั บ ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ ข อ งจิ ต แ ล ะ พ ฤ ติ ก ร ร ม ท่ี ต อ บ ส น อ ง
นานาประการ โดยอาศยั กระบวนการทเี่ หมาะสมและเป็นวธิ ีทด่ี ีทส่ี ุด การศกึ ษาทฤษฎกี ารเรยี นรู้
จากข้อมูลท่ีนักจิตวิทยาได้ทำการค้นพบ และทดลองไว้แล้ว สำหรับการสร้างแบบฝึกในส่วนท่ีมี
ความสมั พนั ธ์กันดงั น้ี
1. ทฤษฎีการลองถูกลองผิดของธอร์นไดค์ ซ่ึงได้สรุปเป็นกฎเกณฑ์
การเรียนรู้ 3 ประการ คือ
1.1 กฎความพร้อม หมายถงึ การเรียนรู้จะเกดิ ขนึ้ เมือ่ บคุ คลพร้อม
ท่จี ะกระทำ
1.2 กฎผลท่ีได้รับ หมายถึง การเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นเพราะบุคคลกระทำ
ซำ้ งา่ ย
1.3 กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่างๆ น้ัน
ผู้ฝึกจะต้องควบคุมและจัดสภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนด
ลักษณะพฤตกิ รรมท่ีแสดงออก
ดังนัน้ ผูส้ รา้ งแบบฝึกจงึ จะต้องกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสัง่ ตา่ งๆ ใบแบบฝึก
ใหผ้ ู้ฝึกได้แสดงพฤตกิ รรมสอดคลอ้ งกับจุดประสงค์ทีผ่ ู้สร้างตอ้ งการ
2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเชื่อว่า สามารถควบคุม
บคุ คลให้ทำตามความประสงค์หรือแนวทางทก่ี ำหนดโดยไมต่ ้องคำนึงถงึ ความร้สู ึกทางด้านจติ ใจ
ของบุคคลผนู้ ้ันวา่ จะร้สู ึกนึกคดิ อยา่ งไร เขาจงึ ได้ทดลองและสรุปว่าบุคคลสามารถเรยี นรู้ด้วยการกระทำ
โดยมกี ารเสริมแรงเปน็ ตัวการ เปน็ บคุ คลตอบสนองการเร้าของสงิ่ เร้าควบคู่กนั ในชว่ งเวลา
ท่เี หมาะสม ส่งิ เรา้ นน้ั จะรกั ษาระดบั หรือเพมิ่ การตอบสนองใหเ้ ขม้ ข้ึน
3. วิธีการสอนของกาเย่ ซ่ึงมีความเห็นว่าการเรียนรู้มีลำดับขั้น และผู้เรียน
จะต้องเรียนรู้เน้ือหาท่ีง่ายไปหายาก การสร้างแบบฝึก จึงควรคำนึงถึงการฝึกตามลำดับจากง่ายไปหา
ยาก
4. แนวคิดของบลูม ซ่ึงกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความ
แตกต่างกันผู้เรยี นสามารถเรียนรูเ้ นื้อหาในหน่วยยอ่ ยตา่ งๆ ได้โดยใชเ้ วลาเรยี นทีแ่ ตกตา่ งกนั
26
1.5 การผันเสียงวรรณยุกต์
คมู่ ือแนวดำเนินการแกป้ ญั หานักเรียนอ่านหนังสือไมอ่ อก เขียนหนังสือไม่ได้ และ
บญั ชคี ำพ้นื ฐานท่ีใช้ในการเรียนการสอนภาษาไทยช้ันอนุบาลและช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 1 – 3 ( วรี ะ
พรหมอารกั ษ์ 2550 ) ได้กล่าวไวว้ า่
การผนั วรรณยกุ ต์ หมายถึง การอา่ นคำโดยแจกแจงเสยี งวรรณยกุ ตข์ องคำไป
ตามลำดบั เสยี งโดยมเี คร่ืองหมายวรรณยกุ ตเ์ ป็นตัวกำหนด เคร่อื งหมายวรรณยุกต์มี 4 รูป ไดแ้ ก่ ่
้ ๊ ๋ มีเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง คอื เสยี งสามญั เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี เสยี ง
จัตวา เครือ่ งหมายวรรณยกุ ตท์ ีม่ ากำกับคำต่าง ๆ จะทำใหเ้ สียงและความหมายของคำแตกต่างกัน
คำในภาษาไทยมีทง้ั คำทเี่ ครื่องหมายวรรณยกุ ต์ท่ีเรยี กวา่ “วรรณยุกต์มีรูป” และคำทีไ่ ม่ปรากฏ
เครอ่ื งหมายวรรณยกุ ต์กำกบั แตม่ เี สยี งวรรณยุกต์ เรียกวา่ “วรรณยกุ ต์ไม่มีรปู ”
การผันวรรณยกุ ตส์ ามารถเรมิ่ สอนไดต้ ั้งแตช่ น้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ไป
ประมาณถงึ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 และจะสอนยำ้ อีกครัง้ เม่ือนักเรยี นเรยี นเรอื่ ง คำเปน็ คำตาย คำท่ี
ประสมสระเสยี งสนั้ ( รัสสระ ) และคำที่ประสมสระเสียงยาว ( ทฆี สระ ) ในชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น
การสอนผันเสียงวรรณยกุ ต์ มีวิธีการสอนดังต่อไปน้ี
1. เริม่ ต้นให้นกั เรียนตระหนกั ถึงความสำคัญของเครื่องหมายวรรณยกุ ต์ ที่ทำให้คำไทย
มีระดบั เสียงแตกตา่ งกัน และทำใหค้ วามหมายของคำแตกตา่ งกันโดยให้สงั เกตและเปรยี บเทียบ
ดงั ตอ่ ไปนี้
กา กา่ กา้
ขา ข่า ขา้
เสือ เส่อื เสื้อ
ปา ป่า ป้า
ให้นกั เรยี นอา่ นและเปรยี บเทียบรูปร่างของคำ เสยี งของคำและความหมายของคำ
ดังกล่าวขา้ งต้น เชน่ เสอื หมายถงึ สตั ว์ชนิดหนึ่ง เสื่อ หมายถงึ เคร่ืองสานชนิดหนึง่ ใชส้ ำหรบั ปูนง่ั
และนอน เสือ้ หมายถึง เคร่ืองสวมกายท่อนบน
2. เม่ือนกั เรียนผนั เสยี งวรรณยกุ ต์ ควรใหร้ ้เู ร่อื งรูปวรรณยุกต์และเสียงวรรณยุกต์ โดย
เรยี นร้คู วบคไู่ ปกบั การฝึกฝนเสียงวรรณยกุ ต์
3. การฝกึ ผันเสียงวรรณยุกต์ ควรดำเนนิ การสอนไปทีละน้อยควบคู่กบั การสอนคำใหม่
ในบทเรยี น โดยเรมิ่ จากอักษรกลางก่อน แลว้ เพิม่ ผันอักษรสงู และผนั อักษรตำ่ ตามลำดบั โดยเรม่ิ จาก
คำท่ีไมม่ ีตัวสะกดก่อน
27
อกั ษรกลาง สามญั เอก โท ตรี จัตวา
กา ก่า ก้า กา๊ กา๋
ปา ปา่ ป้า ป้า ป๋า
อกั ษรสูง จัตวา เอก โท
ขา ข่า ข้า
เสอื เสอ่ื เส้ือ
ให ให่ ให้
สามญั โท ตรี
อกั ษรตำ่ คา ค่า ค้า
คำ คำ่ ค้ำ
มา มา่ มา้
4. เม่อื นกั เรียนผนั วรรณยกุ ต์อักษรกลาง อักษรสูงได้คลอ่ งพอสมควรแลว้ จงึ ผันอักษร
กลาง อกั ษรสูง คละกนั และตอ่ ท้ายด้วยการผันคละอักษรตำ่ เช่น
อักษรกลาง อักษรสูง อกั ษรต่ำ
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา จัตวา เอก โท สามญั โท ตรี
กา ก่า กา้ ก๊า ก๋า ขา ข่า ขา้ คา คา่ ค้า
จำ จำ่ จำ้ จำ๊ จ๋ำ ฉำ ฉำ่ ฉำ้ คำ คำ่ คำ้
ไต ไต่ ไต้ ไต๊ ไต๋ ใส ใส่ ใส้ มา ม่า ม้า
จากความหมายการผนั วรรณยุกตท์ ่ีได้กลา่ วมาข้างต้น พอสรปุ ได้ว่า การผันวรรณยกุ ต์
หมายถึงการอ่านคำโดยแจกแจงเสียงวรรณยุกต์ของคำไปตามลำดับเสียงโดยมีเครื่องหมายวรรณยุกต์
เป็นตัวกำหนด เสียง คือ เอก โท ตรี จัตวา คำแต่ละคำจะมีเสียงแตกต่างกันตามวรรณยุกต์กำกับ
การผันเสียงวรรณยุกต์เร่ิมต้นจากอักษรกลาง- สูง- ตำ่ ตามลำดับ ฝึกผันวรรณยุกต์จนนักเรียนสามารถ
อ่านผันวรรณยุกตไ์ ด้ถกู ตอ้ ง
2. งานวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง
2.1 งานวจิ ัยในประเทศ
งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั แบบฝึกหัดประสมสระวรรณยุกต์อักษรตำ่ ออมทรัพย์ ใจชื่น (2550)
ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะสระในภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2/3 โรงเรียน
ชุมชนบ้านวังเพ่ิม ปีการศึกษา 2550 สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาขอนแก่น เขต 5 จำนวน 26 คน
28
ผลการวิจัยสรุปว่าการใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่องสระในภาษาไทย มีประสิทธิภาพ เท่ากับ
84.61/ 79.12 น้ันคือ จำนวนนักเรยี นได้คะแนนเฉล่ียจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิหลังจากเรียนด้วย
แบบฝึกเสริมทักษะเร่ืองสระในภาษาไทยผ่านเกณฑ์นักเรียนร้อยละ 80 คิดเป็นร้อยละ84.61 และ
คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจากการทดสอบผลสัมฤทธ์ิคิดเป็นร้อยละ 79.12 แสดงว่าแบบฝึกเสริม
ทักษะเร่ืองทักษะ เรื่องสระภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ที่ผู้วิจัยศึกษาค้นคว้านั้นมี
ประสิทธิภาพตามเกณฑท์ ี่ตง้ั ไว้ คือ นกั เรยี นรอ้ ยละ 80 ผ่านเกณฑ์คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ 75 ขึน้ ไป การท่ี
แบบฝึกเสริมทักษะเร่ืองสระในภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพตาม
วตั ถุประสงค์ท่ตี ัง้ ไว้
ยุพิน พลคร (2540) ได้สร้างแบบฝึกหัดเสริมทักษะที่มีประสิทธิภาพการออกเสียง ช ฉ
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่พูดภาษาถิ่นส่วนในโรงเรียนบ้านเหล่าหมากคำ อำเภอ
ยางสีสุราช จงั หวัดมหาสารคาม พบว่านักเรยี นที่พูดภาษาถิน่ ส่วย หลังจากได้รับการฝึกโดยใช้แบบฝึก
เสริมทักษะมีผลสัมฤทธ์ิในการออกเสียง ช ฉ สูงกว่าได้รับการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
(2541 : 65-80)
วรรณา แซ่ตั้ง (2541) ได้สร้างแบบฝึกหัดการเขียนสะกดคำ สำหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนวัดทรัพย์สโมสร เขตหนองจอก กรุงเทพ พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกหัดการเขียนสะกดคำมีผลการเรียนสูงกว่าการทดลองอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ริ ะดับ 0.01
ทิพยส์ ุดา จงกล (2541) ได้พัฒนาแบบฝึกการอ่านและการเขียนสะกดคำยากวิชาภาษาไทย
ช้นั ประถมศกึ ษาปีท4ี่ โดยผู้วิจัยได้สร้างแบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคำยากวิชาภาษาไทย
พบว่า แบบฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเทากับ 96.61/86.50 และนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนโดยได้คะแนนเฉล่ียทั้งชั้นร้อยละ 80 ข้ึนไปจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67
นวลจันทร์ มัครินทร์ (2549) ได้พัฒนาทักษะการเขยี นสำหรับนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี
2 โดยใช้กิจกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ
75.30 และมีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ข้ึนไป จำนวน 19 คน จากจำนวน 22 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 86.36
จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยท่ีเก่ียวข้องท่ีกล่าวมาข้างต้น ทำให้ทราบว่าความสามารถใน
การอ่านและการเขียนของนักเรียน เกดิ จากวิธีสอนของครแู ละสื่อการเรียนการสอนที่ช่วยให้นักเรียนเกิด
การเรียนรู้ได้ดียิ่งข้ึน ผู้รายงานได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มี
สระและวรรณยกุ ต์ ใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึกทกั ษะการอา่ นและการเขยี นใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพยิง่ ข้ึน
29
กรอบแนวคิดในการรายงานครั้งน้ี
- การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้แบบฝึกทักษะ - ผู้เรียนมีทักษะการอ่านและการ
- แผนการจดั การเรียนรู้ท่บี ูรณาการ เขียนคำทม่ี สี ระและวรรณยุกต์
ทกั ษะการอ่านและการเขยี นคำท่มี ี - ผู้เรยี นมคี วามรู้และเกดิ การเรียนรู้
สระและวรรณยกุ ต์ เกิดทกั ษะ
- แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะและการ
เขยี นคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ - ผู้เรยี นมผี ลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
- ทดลองใชแ้ ละปรบั ปรงุ ใหด้ ีขึ้น ด้านทกั ษะการอ่านและการเขียน
- จัดการเรียนรู้ ทีส่ นุก มคี วามสุข คำ ที่มีสระและวรรณยุกต์สูงขนึ้
ประทับใจผูเ้ รยี น
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการรายงานการพัฒนาทักษะการอ่านและการขียนคำท่ีมีสระและ
วรรณยกุ ต์โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ
ทมี่ า ผังมโนทัศน์การพฒั นาทักษะการอ่านคำทม่ี ีสระและวรรณยกุ ต์ของผูร้ ายงาน
30
บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนนิ การ
การศึกษาในครั้งน้ี เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์
โดยใช้แบบฝึกทักษะ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ซ่ึงผู้ศึกษาได้
ดำเนินการตามขัน้ ตอน ดงั ตอ่ ไปนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการศึกษา
3. แบบแผนการทดลอง และขน้ั ตอนการทดลอง
4. การสรา้ งและการหาคุณภาพเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการศกึ ษา
5. การวิเคราะห์ข้อมลู
6. สถติ ทิ ่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร
ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2/1 2/6 และ 2/10
จำนวน 122 คน ภ าคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พ ระ อำเภ อเมือง
จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี
กลมุ่ ตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2/1 2/6 และ 2/10
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 14
คน ได้มาจากคุณสมบตั ิของกล่มุ ตัวอยา่ ง โดยทดสอบก่อนการใชแ้ บบฝกึ ทักษะ (ศึกษาจากประชากร )
2. เครื่องมือทีใ่ ช้ในการวิจัย
2.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขยี นคำท่ีมวี รรณยุกต์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 ทีผ่ รู้ ายงาน
สร้างขึ้นเพื่อใชฝ้ กึ ปฏบิ ตั ิดา้ นการอา่ นและการเขียน จำนวน 15 ชุด
2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางด้านการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3
ตัวเลอื ก จำนวน 30 ขอ้
31
3. แบบแผนการทดลองและขัน้ ตอนการทดลอง
3.1 แบบแผนการวจิ ัย
การวิจัยครั้งนี้ ไดใ้ ช้แบบแผนการวจิ ยั แบบ One Group Pre-test Post-test Design
เสริมพงศ์ วงศ์กมลาไสย (2548) โดยมีลักษณะการวิจัย ดังตารางท่ี 1
ตารางท่ี 1 แบบแผนการวจิ ยั แบบ One Group Pre-test Post-test Design
กลมุ่ Pre-test Treatment Post-test
ทดลอง T1 X T2
T1 หมายถึง การทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test )
X หมายถึง การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูด้ ้วยแผนการจัดการเรยี นรู้
การอา่ นและการเขยี นคำทม่ี ีสระและวรรณยุกต์ โดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะ
T2 หมายถึง การทดสอบหลงั เรียน (Post-test)
3.2 ขน้ั ตอนการดำเนนิ การ
การดำเนินการวิจัยในคร้ังน้ี ผู้รายงานได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง
รายงานการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะสาระ
ภาษาไทย ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 14 คน ใช้เวลาในการดำเนินการ 15 ช่ัวโมง ไม่รวมเวลา
ทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน โดยมีลำดบั ขั้นตอนการดำเนนิ การ ดงั น้ี
3.2.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test ) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
เรื่อง การอ่านและเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 30 ข้อ กับนักเรียน
กลุ่มตัวอย่าง
3.2.2 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างการจัด
กจิ กรรมการเรียนการสอนไดบ้ นั ทกึ คะแนนการทำกจิ กรรมกลมุ่ และการทำแบบฝกึ ทักษะไวท้ ุกครั้ง
3.2.3 เม่ือดำเนินการสอนครบทุกแผนแล้วทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
หลงั เรยี น (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มตวั อย่าง โดยใชแ้ บบทดสอบชดุ เดมิ กับก่อนเรียน
32
4. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
ผู้รายงาน ได้ดำเนินการสรา้ งเครอ่ื งมือในการศกึ ษาตามลำดับ ดังน้ี
1. การสร้างแบบฝกึ เสรมิ ทักษะการอ่านและเขียนคำทมี่ ีสระและวรรณยุกต์ ชนั้ ประถมศึกษาปี
ที่ 2 ผ้รู ายงานได้ดำเนนิ การสร้างเครอ่ื งมือในการวิจยั ดังนี้
1.1 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว อำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาขอนแก่น
เขต 2
1.2 ศึกษาหลกั สูตร ค้นควา้ ขอ้ มูล คู่มือการจัดการเรียนรู้ หลกั สตู รโรงเรยี นชุมชนบา้ น
หัวขัว พุทธศักราช 2553 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับการ
จดั ทำหน่วยการเรียนรู้
1.3 ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ กลุ่ม
สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 จากเอกสารตา่ ง ๆ
1.4 ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ สาระ
การเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 จำนวน 15 ชดุ
1.5 สร้างแบบประเมินแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำที่มีสระและ
วรรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยถามครอบคลุมองค์ประกอบของ
แบบฝกึ ทกั ษะ 5 ดา้ นคอื
1) จุดประสงค์
2) เน้อื หา
3) รปู แบบ
4) การใช้ภาษา
5) การวดั และประเมนิ ผล
1.6 นำแบบฝึกทักษะไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่2 ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวัดสุราษฎรธ์ านี จำนวน 15 คน เพ่ือดูเวลาท่ใี ช้ ความเหมาะสมของแบบฝึกทกั ษะ เร้าความสนใจ
ของนักเรียน สอดคลอ้ งกับเนอ้ื หา
1.7 นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขยี นคำท่มี ีสระและวรรณยกุ ต์ ที่ปรับปรงุ แก้ไข
แล้ว นำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา
2564 โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี จำนวน 14 คน
2. การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เรื่อง การอ่านและการเขียนคำท่มี ีสระและ
วรรณยุกต์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ผ้รู ายงานได้ดำเนินการสร้างตามลำดับ ดงั น้ี
33
2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นแบบองิ เกณฑข์ องบญุ ชม ศรสี ะอาด (2545)
2.2 ศึกษาหลกั สูตร คู่มอื การวดั ผลและประเมนิ ผลตามหลักสูตรโรงเรยี นชุมชนบา้ นหัว
ขวั พทุ ธศักราช 2553 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
2.3 กำหนดเนือ้ หาและกำหนดจดุ ประสงค์การเรียนรใู้ ห้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ
2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3
ตัวเลือก จำนวน 30 ขอ้
2.5 นำแบบทดสอบท่ีสร้างขน้ึ เสนอผเู้ ชีย่ วชาญชดุ เดิมกบั ข้อ (1.6) เพ่ือพิจารณา
ความเท่ยี งตรงของเน้ือหา ความเหมาะสมของภาษาท่ีใช้ และประเมินความสอดคลอ้ งระหว่าง
แบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรยี นรู้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
ใหค้ ะแนน +1 เมอื่ แน่ใจว่า ข้อสอบนน้ั วดั ตรงตามจดุ ประสงค์
ใหค้ ะแนน 0 เม่ือไม่แน่ใจว่า ขอ้ สอบน้ันวัดตรงตามจดุ ประสงค์
ใหค้ ะแนน -1 เม่อื แน่ใจว่า ข้อสอบนั้นวัดไมต่ รงตามจดุ ประสงค์
2.6 นำคะแนนผลการพจิ ารณาของผู้เชยี่ วชาญ มาหาคา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ ง
คำถามกบั จุดประสงค์โดยใชส้ ูตรของโรวเิ นลลแี ละแฮมแบลตัน (Rowinelli and Hambleton 1977,
อ้างใน บุญชม ศรีสะอาด 2545)
IOC = R
N
IOC = ค่าดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คำถามกบั
จุดประสงค์
R = ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญ
N = จำนวนผเู้ ชีย่ วชาญ
หลกั เกณฑ์การคัดเลือกข้อคำถามมดี ังน้ี
1. ข้อคำถามท่ีมคี า่ IOC ตั้งแต่ 0.5-1.00 คดั เลอื กไว้ใช้ได้
2. ขอ้ คำถามท่ีมคี า่ IOC ตำ่ กว่า 0.5 ควรพิจารณาปรบั ปรุงหรอื ตดั ท้ิง
2.7 นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try-Out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวดั สุราษฎรธ์ านี จำนวน 15 คน
34
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
การศึกษาครั้งน้ี ผศู้ กึ ษาทำการวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยวเิ คราะห์ข้อมลู ดังนี้
1. วิเคราะหห์ าค่าเฉล่ียและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยท่ีไดจ้ ากการทำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียน
2. วิเคราะหห์ าประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ ทักษะ
3. วิเคราะหห์ าคะแนนเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยท่ีได้จากการประเมนิ การทำแบบฝกึ
ทักษะระหวา่ งเรยี น
6. สถติ ิทใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
6.1 การวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน สถิตทิ ใ่ี ช้ ได้แก่
6.1.1 รอ้ ยละ (Percentage ) ใช้สูตร P ของบุญชม ศรสี ะอาด ( 2545 )
สตู ร P = f 100
N
เม่อื P แทน ร้อยละ
f แทน ความถที่ ่ีต้องการแปลงให้เปน็ รอ้ ยละ
N แทน จำนวนความถ่ที งั้ หมด
6.1.2 ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ของคะแนนโดยใชส้ ูตรของบุญชม ศรีสะอาด
( 2545 )
สูตร X = X
N
เม่อื X แทน ค่าเฉลีย่
X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในกลมุ่
N แทน จำนวนนกั เรียน
6.1.3 สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation) โดยใช้สตู ร S.D. ของ
บุญชม ศรสี ะอาด ( 2545 )
( )สูตร
S.D. = N X 2− X 2
N(N −1)
เมอื่ S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
x2 แทน คะแนนแตล่ ะตวั
N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
แทน ผลรวม
35
บทท่ี 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
รายงานการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ โดยใช้แบบ
ฝึกของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในคร้ังน้ี
ผู้รายงานได้เสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลตามลำดับข้นั ดังนี้
1. สญั ลกั ษณ์ที่ใชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
2. ลำดับขั้นในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
3. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. สัญลกั ษณ์ที่ใชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
ผู้รายงานได้กำหนดสัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังน้ี
N แทน จำนวนกล่มุ เป้าหมาย
X แทน คะแนนเฉล่ีย
X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
2. ลำดบั ข้ันในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล ผ้รู ายงานไดด้ ำเนินการตามลำดบั ขน้ั ตอน ดงั นี้
ตอนท่ี 1 วิเคราะหห์ าประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีสระ
และวรรณยกุ ต์ กลุม่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
ตอนท่ี 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและการเขียนคำที่มี
สระและวรรณยุกต์ ก่อนเรยี นและหลงั เรยี น โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ
3. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
ตอนที่ 1 การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน คำท่ีมีสระและ
วรรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 80/80 ปรากฏผลดัง
ตารางท่ี 2
ตารางท่ี 2 คะแนนเฉลี่ย และร้อยละ เพ่ือหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและ
เขยี นคำท่มี สี ระและวรรณยุกต์ ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 2
36
แบบฝึกทักษะ คะแนนเต็ม X ร้อยละ
แบบฝึกทักษะที่ 1 10 80.71
แบบฝึกทักษะท่ี 2 10 8.07 80.75
แบบฝกึ ทักษะท่ี 3 10 8.07 78.57
แบบฝกึ ทกั ษะท่ี 4 10 7.85 80.71
แบบฝึกทกั ษะท่ี 5 10 8.07 83.57
แบบฝึกทักษะที่ 6 10 8.35 79.28
แบบฝึกทกั ษะที่ 7 10 7.92 80.71
แบบฝึกทกั ษะท่ี 8 10 8.07 81.42
แบบฝึกทกั ษะที่ 9 10 8.14 80.71
แบบฝึกทกั ษะท่ี 10 10 8.07 82.14
แบบฝึกทกั ษะที่ 11 10 8.21 80.00
แบบฝกึ ทกั ษะท่ี 12 10 8.00 79.28
แบบฝึกทกั ษะที่ 13 10 7.92 81.42
แบบฝึกทกั ษะท่ี 14 10 8.14 81.42
แบบฝกึ ทกั ษะที่ 15 10 8.14 83.57
150 8.35 81.00
รวม 8.10
จากตารางที่ 2 แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 15 แบบฝึก มีคะแนนเฉลี่ย 8.10 คิดเป็นร้อยละ 81.00 ดังน้ัน แบบ
ฝกึ ทักษะทส่ี รา้ งขึ้นมีประสิทธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ทตี่ ้งั ไว้
ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาความแตกต่างระหว่างคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ปรากฎดงั ในตารางท่ี 3 ดงั น้ี
ตารางท่ี 3 ตารางแสดงคะแนนเฉลย่ี และค่าร้อยละของคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน
คะแนน จำนวน คะแนนเต็ม คะแนนรวม คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ
นักเรยี น
กอ่ นเรียน 30 270 19.28 64.28
หลงั เรยี น 14 30 355 25.35 84.52
14
37
จากตารางที่ 3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและ
วรรณยุกต์จากการทดสอบก่อนเรียน เท่ากับ 19.28 คิดเป็นร้อยละ 64.28 ทดสอบหลังเรียน เท่ากับ
25.35 คิดเป็นร้อยละ 84.52 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการอ่านและการเขียนคำที่มี
สระและวรรณยกุ ต์สงู ขน้ึ
38
บทท่ี 5
สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
การศึกษาในคร้ังน้ี ผู้รายงานได้พัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ โดย
ใช้แบบฝกึ ทักษะสาระภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ซ่ึงสรปุ ไดด้ ังนี้
1. วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา
2. ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง
3. เครื่องมือที่ใชใ้ นการศกึ ษา
4. การดำเนนิ การศึกษา
5. สรปุ ผลการศึกษา
6. อภปิ รายผล
7. ขอ้ เสนอแนะ
1. วัตถุประสงคข์ องการศกึ ษา
1.1 เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 2
1.2 เพือ่ พัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ของนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 2/2
2. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
ประชากร
ประชากรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคน้ คว้า คอื นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2/1 2/6 และ 2/10
จำนวน 122 คน ภ าคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พ ระ อำเภ อเมือง
จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
กลมุ่ ตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2/1 2/6 และ 2/10
โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 14
คน ได้มาจากคณุ สมบตั ขิ องกลุม่ ตัวอย่าง โดยทดสอบกอ่ นการใชแ้ บบฝกึ ทักษะ (ศึกษาจากประชากร )
3. เครื่องมือที่ใชใ้ นการศกึ ษา
เคร่อื งมือท่ใี ช้ในการศกึ ษาครั้งนี้ ประกอบด้วย
3.1 แบบฝกึ ทกั ษะสาระภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 2 จำนวน 15 แบบฝกึ
3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านและเขียนคำทม่ี ีสระและวรรณยุกต์
39
ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 3 ตวั เลอื ก จำนวน 30 ขอ้
3.3 แผนการจัดการเรยี นรู้ จำนวน 15 แผน ๆ ละ 1 ช่วั โมง ใชเ้ วลา 15 ช่วั โมง
4. การดำเนินการศกึ ษา การดำเนินการในครั้งนี้ กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษาไดม้ าจากการเลือกสุ่ม
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้รายงานได้เปน็ ผดู้ ำเนนิ การเองโดยมขี นั้ ตอนในการดำเนนิ การ
ดังน้ี
4.1 นำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์
ไปทดสอบก่อนเรยี น (Pretest) กนั นักเรียน จำนวน 14 คน
4.2 จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะภาษาไทย ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2
จำนวน 15 แบบฝกึ
4.3 ทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนดา้ นการอ่านและเขยี นคำท่ีมีสระและวรรณยกุ ต์
(Posttest) ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธชิ์ ดุ เดียวกับแบบทดสอบก่อนเรยี น
5. สรปุ ผลการศึกษา
การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำท่ีมีสระและ
วรรณยุกต์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
มีประสิทธิภาพ 81.00/84.52 ซ่ึงกว่าเกณฑ์ 80/80 ทต่ี ง้ั ไว้
6. อภิปรายผล
จากการรายงาน ผลการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียน
คำที่มีสระและวรรณยุกต์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบประเด็นสำคัญท่ีควรนำมาอภปิ รายผล ดังนี้
6.1 แบบฝึกทักษะการอา่ นและการเขยี นคำทมี่ ีสระและวรรณยุกต์ กลุม่ สาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 15 แบบฝึก มีประสิทธิภาพ
81.00/84.52 หมายถึง นักเรียนได้คะแนนเฉล่ียจากการทำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มี
สระและวรรณยุกต์ ท้ัง 15 แบบฝึก คิดเป็นร้อยละ 64.22 และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ คิดเป็นร้อยละ 84.52
แสดงว่าการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ ที่ผู้รายงานสร้างข้ึนมีประสิทธภิ าพสูงกว่า
เกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ท่ีต้ังไว้ อาจเนื่องมาจากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ
ที่ผู้รายงานได้ศึกษาวิธีการและขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ได้ผ่านการตรวจ แนะนำ แก้ไข
ขอ้ บกพรอ่ งและประเมินความถูกต้องเหมาะสมจากผ้เู ชี่ยวชาญ ผ่านการทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้
สมบูรณ์ก่อนนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึงการทำแบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหาได้ดีขึ้น
40
จดจำความรู้ได้นานและคงทน รวมทั้งพัฒนาความรู้ทักษะและเจตคติด้านต่าง ๆ ของนักเรียนให้ดีย่ิงขึ้น
ผู้รายงานได้สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและวรรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ตามแนวทางการสร้างแบบฝึกทักษะท่ีจัดไว้อย่างเป็นระบบ โดยเร่ิม
ศึกษาตั้งแต่ปัญหาและความต้องการ วิเคราะห์เน้ือหาและทักษะท่ีเป็นปัญหาออกเป็นเน้ือหาย่อยแล้ว
ดำเนินการสร้างตามหลักการสร้างแบบฝึกทักษะที่ดี ของสุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ
(2550) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะท่ีดีควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยา การเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง
ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน และ ฐานิยา อมรพลัง
(2548) ได้เสนอลักษณะท่ดี ีของแบบฝกึ คือ แบบฝึกทเี่ รียงลำดับจากงา่ ยไปหายาก มีรปู ภาพประกอบ มี
รูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัดแบบฝึกให้สนุก
ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย มีการจัดกิจกรรมการฝึกท่ีเร้าความสนใจ และแบบฝึกน้ันควรทันสมัยอยู่เสมอ
แบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขียนคำที่วรรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปที ่ี
2 ที่ผ้รู ายงานสรา้ งข้ึน เป็นแบบฝึกทักษะทใ่ี ช้ร่วมกับแผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ไดน้ ำเอากิจกรรมต่าง ๆ มา
จัดให้สอดคล้องกันในแต่ละแผน ซึ่งประกอบด้วยเกม ภาพ เพ่ือถ่ายทอดเน้ือหาสาระในลักษณะที่จะ
สง่ เสริมสนับสนนุ ซงึ่ กันและกนั โดยถอื วา่ สอ่ื แต่ละอย่างให้คุณค่าแตกต่างกัน จากเหตผุ ลดังกล่าวแบบฝึก
ทักษะการอา่ นและการเขยี นคำท่ีมวี รรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 จึง
เป็นแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีวรรณยุกต์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ
พนมวัน วรดลย์ (2542 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีวรรณยุกต์ของ
นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2 พบวา่ แบบฝึกทกั ษะการเขยี นคำท่ีมวี รรณยุกต์มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
มาตรฐาน 87.74/82.11 และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึนมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั .01 และตรงกับ
งานวิจัยของนิลวรรณ อัคติ (2548 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาไทย เรอ่ื งการผันวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชน
ภูแล่นช้างคเชนทร์พิทยาคาร สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาก าฬสินธุ์เขต 3 เครื่องมือที่ใช้คือ
แบบทดสอบ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะและแบบสอบถามความพึงพอใจ พบว่า แบบฝึก
ทกั ษะมีประสิทธิภาพ 87.85/80.91 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อการ
จดั การเรยี นรู้ด้วยแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก เช่นเดียวกับ สมใจ นาคศรีสังข์ (2549 : บทคัดย่อ) ได้
ศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนตลาดเกาะแรต สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษานครปฐม เขต 2 ในปี
การศึกษา 2549 จำนวน 21 คน พบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงขนึ้ กว่าเปา้ หมายท่กี ำหนดไว้ แบบ
ฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 83.98/84.46 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะ
โดยภาพรวมอย่ใู นระดับมากท่ีสุด
6.2 คะแนนแบบทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่
ระดับ .05 ซ่ึงเป็นตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน
41
และการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ทำให้
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ด้านการอา่ นและการเขียนคำทมี่ สี ระและวรรณยุกต์สูงขึน้ อาจเนอ่ื งมาจาก
6.2.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีวรรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ท่ีสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ 80/80 เป็นสาเหตหุ นง่ึ ทีท่ ำให้
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงข้ึนได้เรียนรู้ทีละน้อยต ามข้ันตอนท่ีครูเตรียมการสอน
มาแล้ว ทำให้นักเรยี นมกี ำลังใจทจี่ ะเรียนรเู้ น้ือหาใหมต่ ่อไป
6.2.2 การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำท่ีมีสระและวรรณยุกต์ ในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ ได้ยึดหลักการสอนตามความต้องการของผู้เรียน ให้ผู้เรียนมสี ่วนร่วมในกิจกรรมการ
เรียนตั้งแต่เริ่มฟัง อ่าน พูด และเขียน ตลอดถึงข้ันตรวจผลงานด้วยตนเอง นักเรียนเรียนรู้ด้วยความ
เข้าใจ ใช้สื่อที่เป็นรูปธรรมมากกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมและประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง ทำงานร่วมกับ
เพ่ือนเปน็ กลมุ่ เพ่ือใช้ให้นกั เรยี นเขา้ ใจการเรียนรแู้ บบประสบการณ์ เนื้อหาเหมาะสมกบั ความสามารถใน
การรับรู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา ทำให้นักเรียนเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนาน มีความ
กระตือรือร้นท่ีจะเรียน เพราะการเรียนการสอนที่น่าสนใจ ช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอน
สงู ข้ึน
7. ขอ้ เสนอแนะ
7.1 ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้
7.1.1 การเลือกเน้ือหาที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญควรคำนึงถึงความ
เหมาะสมของ เพศ วัย และระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียนด้วย หากเน้ือหาใดท่ีนักเรียน
สนใจ นกั เรยี นจะเกิดความกระตือรอื รน้ การเรยี นรเู้ พิ่มมากข้ึน
7.1.2 ครูผู้สอนภาษาไทยควรนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำที่มีสระและ
วรรณยุกต์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นไปใช้ประกอบการ
สอน เน่ืองจากแบบฝกึ ทกั ษะนี้ มปี ระสทิ ธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่กี ำหนดไว้
7.1.3 ในระหว่างการดำเนินการจัดกิจกรรม ครูควรสังเกตพฤติกรรมนักเรียนที่มี
ความสามารถในการเรยี นต่ำ อาจจะไม่เข้าใจหรือเกิดการเรียนรู้ช้า หรือต้องการความช่วยเหลือ ครคู วร
ใช้เทคนคิ เสริมแรงกระตุน้ ใหน้ กั เรียนสนใจ หรอื อธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจชดั เจนอกี ครั้ง
7.2 ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ครง้ั ต่อไป
7.2.1 ควรมีการนำแบบฝึกทักษะที่ผู้รายงานสร้างข้ึนชุดนี้ ไปทดลองใช้กับนักเรียน
โรงเรยี นอนื่ เพ่ือจะไดข้ ้อสรุปผลการวจิ ยั ทีก่ วา้ งขวางมากข้นึ
42
7.2.2 ควรมีการสร้างแบบฝึกทักษะในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เน้ือหาที่เข้าใจ
ยาก หรือเนื้อหาท่ีเป็นปัญหาต่อการเรียนการสอนในกลุ่มทักษะภาษาไทยในแต่ละระดับชั้น เพื่อนำไป
ทดลองหาประสิทธิภาพ
7.2.3 ควรมกี ารสร้างแบบฝกึ ภาษาไทย ในหน่วยการเรียนรู้อื่นหรอื ในระดับชนั้ อ่ืน ๆ
43
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ. 2544. คู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ :
องคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพสั ดภุ ัณฑ์.
กระทรวงศึกษาธกิ าร. กรมวชิ าการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551.
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. 2545. การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ :
โสภณการพิมพ,์
นิลวรรณ อัคติ. 2548. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เร่ือง การผันวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2. วิทยานิพนธ์ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,
เรวดี อาษานาม. พฤติกรรมการสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. ภาควิชาหลักสูตรและ
การสอน. มหาสารคาม : สถาบนั ราชภัฏมหาสารคาม, 2537.
วงเดือน มที รัพย.์ การพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
ภาษาไทยช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 เร่ือง คร้ังหน่ึงยังจำได้. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2547.
สมควร น้อยเสนา. การพัฒนาการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีปัญหา
การเรยี นรู้โดยใช้แผนผงั ความคดิ และแบบฝึกทักษะ. การศกึ ษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2549.
สมใจ นาคศรีสังข์. การสร้างแบบฝึกการอา่ นและเขียนสะกดคำจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4. การศึกษาค้นคว้าอสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัย
มหาสารคาม, 2549.
44
ภาคผนวก