1
การพฒั นาทักษะการอา่ นและเขยี นสะกดคำ เรื่อง มาตราตวั สะกด
โดยใชแ้ ผนทคี่ วามคิด (Mind Map) ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี
ธนัญญา ทันศรียานนท์
อรญั ญา ทิพยบ์ รรพต
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ปกี ารศึกษา 2564
โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี
2
การพฒั นาทักษะการอา่ นและเขยี นสะกดคำ เรื่อง มาตราตวั สะกด
โดยใชแ้ ผนทคี่ วามคิด (Mind Map) ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี
ธนัญญา ทันศรียานนท์
อรญั ญา ทิพยบ์ รรพต
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย
ปกี ารศึกษา 2564
โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี
3
กิตติกรรมประกาศ
รายงานการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ เรื่อง มาตราตัวสะกด ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้แผนที่ความคิด( Mind map ) เล่มนี้ สำเร็จลงได้ด้วยความกรุณาผู้อำนวยการ
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ให้การสนับสนุน และอำนวยความสะดวก ใน
การศกึ ษาคน้ ควา้ ใหส้ ำเรจ็ ด้วยดี ผู้ศกึ ษาขอขอบพระคุณเป็นอย่างสงู ไว้ ณ โอกาสนี้
ขอขอบคุณคณะครู นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี และผู้ทม่ี สี ว่ นเกยี่ วข้องทุกท่าน ทใ่ี หค้ วามร่วมมือในการทำงานในคร้งั น้ี
ประโยชน์และคุณค่าของงานวิจัยเล่มน้ี ผู้วิจัยขอมอบแด่ผู้มีพระคุณทุกท่านท่ีช่วยให้ผู้วิจัยได้มี
โอกาสศึกษาและทำงานจนสำเร็จ
ผจู้ ดั ทำ
20 มนี าคม 2565
4
ชอื่ เรื่อง การพฒั นาทักษะการอา่ นและเขยี นสะกดคำ เรื่อง มาตราตัวสะกดโดยใช้แผนทีค่ วามคดิ
(Mind Map) ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นธดิ าแม่พระ อำเภอเมอื ง
จังหวัดสุราษฎรธ์ านี
ชอ่ื ผู้วิจัย นางธนัญญา ทันศรยี านนท์ และ นางอรัญญา ทิพย์บรรพต
ปีทวี่ จิ ัย 2564
บทคดั ย่อ
การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนธิดาแม่
พระ อำเภอเมือง จังหวัดสรุ าษฎร์ธานีครงั้ นี้ มีวัตถุประสงคเ์ พื่อ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรอ่ื ง การ
อ่านและเขียนสะกดคำ มาตราตัวสะกด โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Map) ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง การอ่านและเขียนสะดกคำมาตราตัวสะกด
ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ที่เรียนโดยใช้แผนท่ีความคิด (Mind Map) ใหส้ ูงขึน้ กล่มุ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ น
การศึกษาครั้งน้เี ปน็ กลุ่มตัวอย่างทีใ่ ช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรียนที่ 1-
2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ไม่สามารถอ่านสะกดคำได้
ถูกต้องตามเกณฑ์ของระดับชั้น จำนวน 15 คน โดยวิธกี ารสุม่ แบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการรายงานครงั้ นี้
ได้แก่ แผนการจัดการเรียน โดยใช้แผนท่ีความคิด ( Mind Map ) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนก (B) ต้ังแต่ 0.46 ถึง
0.85 และมีค่าความเชื่อมั่น ( rcc ) ท้ังฉบับเท่ากับ 0.80 แบบแผนการทดลองใช้แบบกลุ่มเดียว ( One
Group Pre – test Prost – test Design ) สถติ ทิ ีใ่ ช้ คอื คา่ เฉล่ยี ค่ารอ้ ยละ
ผลการศึกษาคน้ ควา้ พบว่า
1. การจดั การเรยี นรูบ้ ูรณาการการพัฒนาทกั ษะการอา่ นสะกดคำ โดยใชแ้ ผนที่ความคิด
( Mind Map ) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี
ประสทิ ธิภาพเท่ากบั 85.24/86.44 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตงั้ ไว้ คือ 80/80
2. ผลทเี่ กิดกับนักเรยี นหลังการพฒั นาทกั ษะการอ่านและเขยี นสะกดคำ โดยใชแ้ ผนท่ี
ความคิด ( Mind Map ) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์
ธานี พบว่านักเรียน มีทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำดีข้ึนซึ่งส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ดา้ นทกั ษะการอ่านและเขียนสะกดคำสูงข้ึน มคี า่ เฉลี่ยรอ้ ยละ 86.44
สารบัญ 5
เรอื่ ง หน้า
บทท่ี 1 บทนำ
2
ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา 2
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 3
ขอบเขตของการวจิ ัย 3
ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะได้รบั 4
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
5
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง 5
เอกสารทเ่ี ก่ียวข้อง 5
- หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551
- หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทยตามหลักสตู ร 10
แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 12
- การอ่านและการเขยี นสะกดคำ 19
- แบบฝึกทกั ษะ 28
- เอกสารทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับแผนที่ความคดิ (Mind Map) 30
- มาตราตัวสะกด 30
งานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง 32
- งานวจิ ยั ในประเทศ
- งานวิจยั ต่างประเทศ 34
34
บทที่ 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ัย 38
ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง 39
เครือ่ งมือที่ใช้ในการวจิ ยั 40
ข้นั ตอนการดำเนนิ การวิจัย
การวิเคราะห์ข้อมูล
สถติ ิที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
สารบญั (ต่อ) 6
เรื่อง หน้า
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 43
สญั ลกั ษณ์ท่ีใช้ในการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 43
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
46
บทท่ี 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 46
วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย 46
ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 47
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 47
การดำเนินการวิจยั 48
สรปุ ผล 50
อภปิ รายผล
ขอ้ เสนอแนะ 51
52
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
1
บทที่ 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา
ภาษาไทยเป็นเอกลกั ษณ์ของชาติ เป็นสมบตั ิทางวัฒนธรรม อันก่อใหเ้ กดิ ความเป็นเอกภาพและ
เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อส่ือสารเพ่ือสร้างความ
เข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดำเนินชีวิตร่วมกันใน
สังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก
แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้
ทันต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ใน
การพัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นส่ือแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้าน
วัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพเป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติ
ไทยตลอดไป
ด้วยความสำคัญดังกล่าว หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้
กำหนดให้ภาษาไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสาร การ
เรยี นรูอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพและเพ่อื นำไปใช้ในชวี ิตจริง
ดังนั้น เดก็ ไทยทุกคนควรเรยี นรู้และใช้ภาษาไทยไดอ้ ย่างถูกตอ้ งทุกโอกาส ซง่ึ การเรยี นการสอน
ภาษาไทยเปน็ ทกั ษะที่ตอ้ งฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ในการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร การอ่านและการฟัง
เป็นทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขียนเป็นทักษะของการ
แสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็น ความรูแ้ ละประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยจึงต้องเรยี นเพ่ือการ
ส่อื สาร ใหส้ ามารถรบั รูข้ อ้ มูลขา่ วสารได้อย่างพนิ ิจพิเคราะห์ สามารถนำความรู้ ความคิดมาเลอื กใช้เรียบ
เรยี งคำมาใชต้ ามหลักภาษาไดถ้ ูกตอ้ งตรงตามความหมาย กาลเทศะและใชภ้ าษาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
การสอนภาษาไทยให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพน้ัน จำเป็นต้องฝึกทักษะต่าง ๆ ให้
สัมพันธ์กันท้ังการรับเข้ามา คือ การอ่านและการฟังกับทักษะการถ่ายทอดออกไป คือ การพูดและการ
เขียน ในด้านการเขียน ถือเป็นทักษะท่ียุ่งยากซับซ้อนและเป็นทักษะถ่ายทอดท่ีสำคัญต่อการสื่อสาร
อยา่ งย่ิง
จากข้อมูลสภาพปัญหา ความสำคัญ และหลักการดังกล่าว ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ตัวครูผู้สอน ควรจะมีการศึกษาหาวิธีปรับปรงุ พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ให้มี
ประสิทธิภาพ ให้ท้ังความรทู้ ักษะการคิด ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ ไปพร้อม ๆ กัน มีเทคนิคการสอนท่ี
หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความแม่นยำ จดจำง่าย และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จัดระบบเชื่อมโยง
ความคดิ ต่าง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั
ดังน้ัน ครูผู้สอนได้คิดหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้ศึกษาหานวัตกรรมทั้งเก่าและใหม่
นำมาแก้ปัญหา จึงพบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะจะทำให้
สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ผู้รายงานจึงได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบบฝึก
ทักษะเพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำของนักเรียนและพัฒนาการเรียนการสอน
ภาษาไทยให้มปี ระสิทธิภาพมากยิง่ ข้ึน
2
การอ่านภาษาไทยเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญของผู้เรียน ผู้เรียนจะมีสัมฤทธิผลทางการเรียนได้ก็ต่อเมื่อ
ไดพ้ ัฒนาทกั ษะทั้ง 4 ควบค่ไู ปด้วยกัน จากการสงั เกตเหตุผลทีน่ ักเรยี นไม่ประสบความสำเรจ็ ในการเรียน
ภาษาไทย เน่ืองจากเกิดปัญหาผู้เรียนละเลย ไม่ตระหนักถึงความสำคญั ในการอ่านครูผสู้ อนจงึ หากลวิธี
ทำให้นักเรยี นหันกลับมาสนใจทักษะการอ่านเพิ่มมากขึน้ ครูผ้สู อนจึงเห็นควรนำเร่ืองการอา่ นมาทำวิจัย
เพ่ือให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาแห่งชาติเพราะการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นให้ผู้เรียน:"เก่ง ดี มี
ความสุข" คือคุณลักษณะสำคัญของผู้เรียนตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ดังนั้นครูผู้สอน
จึงต้องจัดการศึกษาตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองอย่างเต็ม
ศักยภาพตามพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติว่าด้วย มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติ
การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542" มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ี
สมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียน วิชาภาษาไทย ของ
นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 จำนวน 15 คน นักเรียนอ่านสะกดคำไม่คล่องจึงทำให้ผลสมั ฤทธ์ิทางการ
เรียนตำ่ ลง เพือ่ พัฒนาทักษะการอา่ นและการเขียนมาตราตวั สะกดและยงั เป็นการฝึกทกั ษะการคิดให้กับ
นกั เรยี น ผู้วิจัยจึงไดพ้ ัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Map) เรื่อง มาตราตัวสะกด
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ขึ้น เพ่ือเป็นการวางพื้นฐานทักษะที่ดีแก่นักเรียนในการพัฒนาทักษะการอ่าน
การเขียนและการคิดให้มีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนในการพัฒนาการเรียนรู้
ภาษาไทยในเรือ่ งอืน่ ๆตอ่ ไป
วัตถุประสงคข์ องการวิจัย
1. เพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เร่ือง การอ่านและเขียนสะกดคำ มาตราตัวสะกด โดยใช้แผนที่
ความคิด (Mind Map) ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80
2. เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง การอ่านและเขียนสะดกคำมาตราตัวสะกด ของ
นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ท่ีเรยี นโดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Map)
สมมตุ ิฐานการวิจยั
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึก
ทักษะ แผนท่ีความคิด (Mind Map) จะมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนด้านทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ
สูงขน้ึ
ขอบเขตการวิจยั
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564 โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมอื ง จังหวดั สุราษฎร์ธานี
กลุม่ ตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ไม่สามารถอ่านสะกดคำได้
ถกู ต้องตามเกณฑข์ องระดับชนั้ จำนวน 15 คน โดยวธิ ีการสุ่มแบบเจาะจง
3
เน้ือหาทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
เน้ือหาท่ีนำมาใช้ประกอบในการทำวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้เป็นเน้ือหา ในหน่วยการเรียนรู้ท่ี 5-8
ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศกึ ษา 2564
สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล
การเปรียบเทียบผลต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสะกดคำก่อนเรียนและหลังเรียน
คำนวณจากสูตร Match paired t – test
สูตร t = d − d tn-1
Sd / n
เมอื่ t คือ อตั ราสว่ นวิกฤต
d คอื ความแตกต่างของคา่ ของตวั แปรตามแตล่ ะคู่
n คือ จำนวนคู่
d คอื ค่าเฉลี่ยของ d
d คือ คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน d
หาผลต่างของคะนนในการสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน
สูตร d = d
n
เมอ่ื d คือ ผลรวมของผลต่างของคะแนนในการสอบก่อนเรยี นและหลัง
เรียน
n คือ จำนวนคขู่ องคะแนน
หาคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐานของผลตา่ งของคะแนนในการสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น
สูตร Sd = n d 2 − ( d )2
n(n −1)
เม่ือ Sd คอื คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานของ d
d 2 คือ ผลรวมของผลต่างของคะแนนแตล่ ะตัวยกกำลังสอง
(d)2 คือ ผลรวมของผลต่างของคะแนนท้งั หมดยกกำลงั สอง
n คอื จำนวนคคู่ ะแนน
4
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ
1. ทักษะการอ่าน หมายถึง การอ่านคำพ้ืนฐานในมาตราตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ได้แก่
มาตราแม่ กก กด กน และกบ
2. การอ่านสะกดคำ หมายถึง การอ่านแจกลูกสะกดคำหรืออ่านคำพื้นฐานในมาตราตัวสะกด
ต่าง ๆในมาตราแม่ กก กน กด และกบ โดยเนน้ การอา่ นแจกลูกสะกดคำ
3. การเขียนสะกดคำ หมายถงึ การเขียนสะกดคำหรอื เขยี นคำพ้ืนฐานในมาตราตวั สะกด แม่ กก
กน กด และกบ โดยเนน้ การเขยี นแบบสะกดคำ
4. แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนชนิดหน่ึงที่ผู้รายงานสร้างข้ึน ใช้ฝึกทักษะกับ
ผู้เรียนเพ่ือฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ รวมท้ังเกิดความชำนาญในเรื่องน้ัน ๆ ในท่ีนี้
ผรู้ ายงานจะเนน้ แบบฝึกทกั ษะท่เี ป็นแผนท่คี วามคิด เก่ยี วกับการอา่ นและเขยี นสะกดคำ มาตรา
ตัวสะกด
5. แผนท่ีความคิด หมายถึง แผนท่ีความคิดที่ใช้ในการสอน เร่ือง มาตราตัวสะกด ผู้วิจัยได้ใช้
รูปแบบแผนท่ีความคิด ของ ขวัญฤดี ผลอนันต์ และธัญญา ผลอนันต์ ซ่ึงปรับมาจากแผนที่
ความคดิ ของโทนี บซู าน (Tony BuZan)
6. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการทักษะการอ่านและการ
เขียนสะกดคำ โดยใช้แผนท่ีความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย การอ่านและเขียนสะกด
คำ เรือ่ ง มาตราตวั สะกด ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4 ท่ผี วู้ ิจยั สรา้ งขน้ึ
7. แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบที่ผู้วิจัยร้างข้ึน เพื่อวัดความสามารถด้านทักษะการอ่าน
และเขียนสะกดคำ เรื่องมาตราตัวสะกด ใช้ทดสอบนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียน
และหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ ซึง่ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนดิ 3 ตัวเลือก
8. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียน
ธดิ าแม่พระ อำเภอเมอื ง จ.สุราษฎร์ธานี จำนวน 15 คน
9. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนของนักเรียน ท่ีได้รับ
การจดั การเรียนรู้ โดยใช้แผนทค่ี วามคิด การอ่านและเขยี นสะกดคำ เรื่อง มาตราตัวสะกด
ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ บั
1. นกั เรียนอ่านและเขยี นสะกดคำในมาตรา ตัวสะกด โดยใชแ้ ผนท่ีความคิด ได้ถูกตอ้ ง
2. นักเรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนดา้ นทักษะการอา่ นและเขยี นสะกดคำสูงข้ึน
5
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง
การดำเนินการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ เร่ือง มาตราตัวสะกดโดยใช้
แผนท่ีความคิด (Mind Map) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จงั หวดั สุราษฎร์ธานีผู้วิจยั ไดศ้ ึกษาเอกสาร วรรณกรรม และงานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้อง ดังตอ่ ไปนี้
1. เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1.1 หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
1.2 การอา่ นและเขียนสะกดคำ
1.3 เอกสารทเ่ี กย่ี วกับแบบฝึกทักษะ
1.4 เอกสารทเี่ ก่ียวข้องกับแผนทคี่ วามคิด
1.5 มาตราตัวสะกด
2. งานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง
2.1 งานวิจยั ในประเทศ
2.2 งานวิจยั ตา่ งประเทศ
1. เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1.1 หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน
พุทธศักราช 2551
1.1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดสาระและมาตรฐานการ
เรยี นรู้ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทยจำนวน 5 สาระและ 5 มาตรฐาน ดังน้ี
สาระที่ 1 การอา่ น
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรแู้ ละความคิดเพอื่ นำไปใช้ตัดสนิ ใจ แก้ปัญหาใน
การดำเนินชวี ติ และมีนิสยั รักการอา่ น
สาระที่ 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขยี น เขยี นสือ่ สาร เขียนเรยี งความ ยอ่ ความ และเขียนเร่ืองราว
ในรปู แบบต่าง ๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ ควา้
อยา่ งมีประสิทธิภาพ
สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟงั และดอู ย่างมวี ิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด
ความรสู้ ึกในโอกาสต่าง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ และสร้างสรรค์
6
สาระที่ 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษาและพลงั
ของภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัตขิ องชาติ
สาระท่ี 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณว์ รรณคดี และวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็น
คุณคา่ และนำมาประยกุ ต์ใช้ในชีวติ จรงิ
คณุ ภาพผูเ้ รียนกลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย
จบชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3
อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ เรื่องส้ัน ๆ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ได้ถูกต้อง
คล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคำและข้อความท่ีอ่าน ต้ังคำถามเชิงเหตุผล ลำดับเหตุการณ์
คาดคะเนเหตุการณ์ สรุปความรู้ข้อคิดจากเร่ืองท่ีอ่าน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำอธิบายจากเรื่องท่ีอ่านได้
เขา้ ใจความหมายของขอ้ มลู จากแผนภาพ แผนท่ีและแผนภูมิ อา่ นหนังสืออย่างสม่ำเสมอ และมีมารยาท
ในการอา่ น
มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียนบรรยาย บันทึกประจำวัน
เขียนจดหมายลาครู เขียนเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ เขียนเรื่องตามจินตนาการ และมีมารยาทใน
การเขยี น
เล่ารายละเอียดและบอกสาระสำคั ญ ตั้งคำถาม ตอบคำถาม รวมท้ังพูดแสดง
ความคิดความรู้สึกเกี่ยวกับเร่ืองท่ีฟังและดู พูดสื่อสาร เล่าประสบการณ์ และพูดแนะนำ หรือพูด
เชิญชวนให้ผอู้ นื่ ปฏิบัติตาม และมมี ารยาทในการฟงั ดู และพูด
สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำและพยางค์ หน้าที่ของคำใน
ประโยค มีทักษะการใช้พจนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำ แต่งประโยคง่าย ๆ แต่ง
คำคล้องจอง แต่งคำขวัญ และเลอื กใชภ้ าษาไทยมาตรฐานและภาษาถ่ินไดเ้ หมาะสมกับกาลเทศะ
เข้าใจและสรุปข้อคิดท่ีได้จากการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม เพ่ือนำไปใช้ในชีวิต-
ประจำวันแสดงความคิดเห็นจากวรรณคดี วรรณกรรมที่อ่าน รู้จักเพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก
ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่น ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถ่ิน ท่องจำบทอาขยานและบทร้อยกรอง
ที่มคี ุณคา่ ตามความสนใจได้
จบชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6
อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง อธิบาย
ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหารจากเรื่องที่อ่าน
เข้าใจคำแนะนำ คำอธิบายในคู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง จับใจความสำคัญของเร่ือง
ท่ีอา่ นและนำความรู้ความคิดจากเร่อื งท่ีอา่ นไปตัดสินใจแกป้ ัญหาในการดำเนินชีวติ มมี ารยาทและมนี สิ ัย
รกั การอา่ น และเหน็ คณุ คา่ สิง่ ทอ่ี ่าน
7
มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและคร่ึงบรรทัด เขียนสะกดคำ
แต่งประโยคและเขียนข้อความ ตลอดจนเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพ
โครงเรื่องและแผนภาพความคิดเพ่ือพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว กรอก
แบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น เขียนเรื่องตามจินตนาการ
อยา่ งสร้างสรรค์ และมมี ารยาทในการเขียน
พูดแสดงความรู้ ความคิดเก่ียวกับเรื่องท่ีฟังและดู เล่าเร่ืองย่อหรือสรุปจากเร่ืองที่ฟังและดู ต้ัง
คำถาม ตอบคำถามจากเร่ืองท่ีฟังและดู รวมท้ังประเมินความน่าเชื่อถือจากการฟังและดูโฆษณาอย่างมี
เหตุผล พดู ตามลำดับข้นั ตอนเร่อื งต่าง ๆ อยา่ งชัดเจน พดู รายงานหรอื ประเดน็ ค้นคว้าจาก การฟัง การดู
การสนทนา และพดู โน้มนา้ วได้อย่างมเี หตผุ ล รวมทง้ั มมี ารยาทในการฟงั ดู และพดู
สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจชนิดและ
หน้าทีข่ องคำในประโยค ชนิดของประโยค คำภาษาถน่ิ และคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใชค้ ำราชา
ศัพท์และคำสุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนส่ี กลอนสุภาพ และ
กาพยย์ านี 11
เข้าใจและเห็นคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอ่าน เล่านิทานพื้นบ้าน ร้องเพลงพ้ืนบ้าน
ของท้องถนิ่ นำขอ้ คดิ เหน็ จากเรื่องทีอ่ า่ นไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจรงิ และท่องจำบทอาขยานตามทกี่ ำหนดได้
จบชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมาย
โดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งท่ีอ่าน แสดงความคิดเห็นและ
ขอ้ โตแ้ ย้งเกย่ี วกับเรื่องท่ีอา่ น และเขียนกรอบแนวคิด ผงั ความคดิ ยอ่ ความ เขียนรายงานจากสิง่ ทอี่ ่านได้
วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีข้ันตอนและความเป็นไปได้ของเร่ืองที่อ่าน รวมทั้ง
ประเมนิ ความถูกต้องของข้อมลู ท่ใี ช้สนบั สนุนจากเร่ืองที่อ่าน
เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษา
เขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ
และประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์
และแสดงความรคู้ วามคดิ หรอื โตแ้ ย้งอยา่ งมเี หตุผล เขยี นรายงานการศกึ ษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน
พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิดไป
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มี
ศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล
นา่ เช่ือถือ มมี ารยาทในการฟงั ดู และพูด
เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาถิ่น คำภาษาต่างประเทศ คำทับศัพท์
และศัพทบ์ ัญญัติในภาษาไทย วิเคราะหค์ วามแตกตา่ งในภาษาพดู ภาษาเขยี น โครงสรา้ งของประโยครวม
ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาท่ีเป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอน
สุภาพ กาพย์ และโคลงสีส่ ภุ าพ
8
สรปุ เนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมทอี่ ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญวิถชี ีวิตไทย และคุณคา่ ท่ี
ได้รบั จากวรรณคดี วรรณกรรมและบทอาขยานพรอ้ มท้ังสรุปความรู้ ขอ้ คดิ เพื่อนำไปประยุกตใ์ ช้ ในชีวิต
จริง
1.1.2 ความสำคัญของภาษาไทย
กรมวิชาการ (2544 ก : 3 – 6 ) กล่าวถึง ความสำคัญของภาษาไทยไว้ว่า
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ เป็น
เคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสาร ทำให้ส่ือท่ีแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และ
สุนทรียภาพโดยบันทึกเป็นวรรณคดีอันลำ้ ค่า ควรแก่การเรียนรู้ เพื่ออนรุ ักษ์ให้สืบสานคงอยู่คู่ชาติไทย
ตลอดไป ภาษาไทยจึงมีความสำคัญ จำเป็นท่ีคนไทยทุกคนจะต้องศึกษาจนเกิดทักษะเพ่ือให้ติดต่อ
ระหวา่ งชนในชาติ ในทีน่ ีย้ งั ไดป้ ระมวลความสำคัญของภาษาไทยไว้ ดังน้ี
1.1.2.1 ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เมื่อคนเรามีความคิด มี
ความร้สู ึก มีอารมณ์ มคี วามต้องการ จึงมีความตอ้ งการท่จี ะถ่ายทอดความคดิ ความรสู้ ึก เราก็จะใช้
ภาษาในการสื่อความหมายไปสู่คนอ่ืนได้โดยการพูด การเขียน รวมทั้งใช้ภาษาทำความเข้าใจเร่ืองราว
ดา้ นความคิด ความรู้สึก ความตอ้ งการ กับผู้อน่ื ได้ดว้ ยการฟงั การอ่าน และการดู
1.1.2.2 ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ความรู้และประสบการณ์อันมีคุณค่า
ของบรรพบุรุษไดบ้ ันทึกและบอกเล่าต่อ ๆ กันมา คนรุ่นหลังสามารถแสวงหาความรู้เหลา่ นัน้ ได้โดยการ
ฟัง การอ่านและการดู จากบุคคล จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ภาษาจะช่วยพัฒนาสติปัญญา
กระบวนการคิด การวเิ คราะห์ การวจิ ารณ์ จนเกิดเปน็ ความรใู้ หม่ ภาษายังเปน็ เคร่ืองมอื ในการรับ
และถ่ายทอดวัฒนธรรม ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรมท่พี งึ ประสงคจ์ ากคนรุ่นกอ่ น และจากสังคม
เพ่ือปลูกฝังและหล่อหลอมให้เป็นผ้มู คี ณุ ลกั ษณะท่เี หมาะสมตามท่สี ังคมคาดหวงั
1.1.2.3 เป็นเคร่อื งมือเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน การอยู่รว่ มกันเปน็ สังคม
ที่มีสันติสุขนั้น สมาชิกมีความเข้าใจอันดีต่อกัน การใช้ภาษาสื่อความหมายให้ชัดเจนย่อมจะก่อให้เกิด
ความเข้าใจท่ีดีต่อกัน เกิดความร่วมมือของคนในสังคมไม่สร้างปัญหา และความแตกแยกในสังคม
และอยูร่ ว่ มกนั อย่างสันตสิ ุข
1.1.2.4 ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติ สังคมจะเป็นปึกแผ่น
มนั่ คงเจรญิ คนในสังคมจะตอ้ งมีความผูกพันต่อกนั เปน็ พวกพ้องเดียวกัน เพราะคนไทยมีภาษาไทยเป็น
ภาษากลางยึดเหน่ียวผูกพันให้เป็นเชื้อชาติเดียวกัน เกิดความเป็นเอกภาพของชาติ เป็นพลังทำให้เกิด
ความปรองดอง และรว่ มมอื กันท่ีจะพัฒนาชาติไทยให้เจรญิ ก้าวหน้ามั่นคงตอ่ ไป
1.1.2.5 ภาษาไทยเป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่
ต้องการได้รับความจรรโลงใจในชีวิตอยู่เสมอ เช่น วัยเด็กก็ต้องการเสียงเห่กล่อม เม่ือโตขึ้นฟัง
เสียงเพลง ฟงั นทิ าน นยิ าย บทกวี บันเทงิ คดี คำอวยพร สุภาษิต ฯลฯ ซึ่งผู้ประพันธ์ได้สรรถ้อยคำ
อันประณีต ไพเราะ และมีข้อคิดลกึ ซ้งึ เป็นภาษาเรยี งร้อยใหเ้ กิดความจรรโลงใจแกผ่ ู้อ่าน และผู้ฟัง
9
การสอนภาษาไทยในปัจจุบนั เปล่ยี นแนวคดิ ไปจากเดิม ไมเ่ นน้ การอา่ นออก
เสียงได้เพยี งอย่างเดยี ว แตจ่ ะเนน้ การสอนภาษาเพ่อื การสื่อสารกบั ผอู้ ื่นอย่างมปี ระสิทธิภาพ และใช้
ภาษาในการแกป้ ัญหาในการดำรงชีวิตและปัญหาของสงั คม เนน้ การสอนภาษาในฐานะเคร่ืองมือของ
การเรยี นร้เู พ่ือใหผ้ ู้เรยี นสามารถแสวงหาความร้ดู ว้ ยตนเอง สามารถนำความรู้มาใช้ในการพฒั นาตนเอง
นอกจากนน้ั ยงั ต้องสอนภาษา เพื่อพัฒนาความคิด ผูเ้ รยี นทมี่ คี วามคดิ จะต้องมปี ระสบการณ์ และ
ประมวลคำมากพอที่จะสรา้ งความคิดใหล้ ึกซ้ึง
1.1.3 กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรภู้ าษาไทย
กรมวิชาการ (2544 ก : 53 – 66) กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้ภาษาไทย
ผ้สู อนจะต้องศกึ ษาวิเคราะห์จุดหมายของหลักสูตร และมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย รวมท้ังเอกสาร
ประกอบหลักสตู รท่เี ก่ยี วขอ้ ง เพอื่ วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในส่วนของบทบาท
ของผู้สอนจะต้องปรับเปล่ียนพฤติกรรมจากผู้บอกความรู้แก่นักเรียน เป็นผู้สนับสนุนเสริมสร้าง
ประสบการณก์ ารเรียนรูท้ ม่ี ีความหมายแก่ผู้เรียน โดยดำเนนิ การ ดงั นี้
1.1.3.1 เลือกรูปแบบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ผสู้ อนตอ้ งเลอื กรปู แบบ
การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย และเหมาะสมกบั ผเู้ รียน เชน่ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบทดลอง
แบบโครงงาน แบบศนู ยก์ ารเรียน แบบสืบสวนสอบสวน แบบอภิปราย แบบสำรวจ
แบบร่วมมอื เป็นตน้
1.1.3.2 คิดค้นเทคนิคกลวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถคิดค้น
รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบอ่ืน ๆ และนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น
ความรคู้ วามสามารถด้านเนอ้ื หา ความสนใจและวัยของผเู้ รยี น ความสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนรู้
แต่ละชว่ งชน้ั เวลา สถานท่ี วสั ดุอุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมของโรงเรียนและชุมชน
1.1.3.3 จัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้มีหลายรูปแบบ
ผู้สอนสามารถเลอื กนำมาใช้หรือปรับใช้โดยคำนงึ ถึงสภาพและลักษณะของผูเ้ รียน เน้นใหผ้ ู้เรียน
ฝกึ ปฏิบัติตามกระบวนการเรียนรอู้ ยา่ งมีความสขุ ดงั น้ี
1) การจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงาน เปน็ การจัดประสบการณ์ตรงให้ผเู้ รยี นได้
ปฏิบัติเหมือนกับการทำงานในชีวิตจริง ให้รู้วิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ รู้จักวิธีการ
วางแผน คิดวิเคราะห์ ประเมินผลการปฏิบัติงานได้ด้วยตนเอง และฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตาม
ลักษณะของโครงงานเป็นเรื่องของการศึกษาค้นคว้า ทดลอง ตรวจสอบสมมติฐาน โดยอาศยั การศึกษา
วเิ คราะห์ใช้ทักษะกระบวนการ
2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ เป็นวิธีการหรือ
พฤติกรรมที่จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ได้ผลงาน ความรู้สึก และ
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ร่วมงาน ลักษณะของการสอนแบบน้ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้
ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างทั่วถึง ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ เปิดโอกาสให้
10
ผูเ้ รยี นได้ปรึกษาหรือแลกเปล่ียนความคิดเห็นซึ่งกนั และกัน ช่วยให้เกิดการเรยี นรู้พฤติกรรมของตนเอง
และผอู้ ่ืน ผ้เู รียนคน้ หาคำตอบได้ด้วยตนเอง สามารถนำความรู้ ความเขา้ ใจจากการปฏิบัติงานไปใชใ้ น
ชวี ติ ประจำวนั และอยู่ในสงั คมไดอ้ ย่างสันติสุข
3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาความคิด มีวิธีการ
หลากหลายวิธีการหนึ่ง คือ การใช้คำถาม การตั้งคำถาม โดยใช้หมวกความคิด 6 ใบ เป็นการใช้
คำถามอย่างสร้างสรรค์ กจิ กรรมท่ีพัฒนาทักษะความคิดในการเรียนรภู้ าษาไทย ผู้สอนจะต้องใช้คำพูด
และวิธีการต่าง ๆ กระตุ้นให้นักเรียนคิดลงมือปฏิบัติ ประเมิน ปรับปรุง แก้ไข พัฒนางานของตน มี
การแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน เช่น กิจกรรมการอภิปราย การวิเคราะห์ การวิจารณ์ การค้นคว้า
การทำโครงงาน ฯลฯ นอกจากนี้ผู้สอนยังต้องสอดแทรกคุณธรรมในกระบวนการคดิ ควบคู่ไปด้วย เช่น
ความรับผิดชอบ ความอดทน ความเพียรพยายาม นอกจากน้ีควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนใช้ความคิด
อย่างมวี จิ ารณญาณในการแก้ปญั หา การตัดสนิ ใจ การวางแผนดำเนนิ ชวี ิตในอนาคต เพอ่ื ให้อยู่
ในสงั คมทีเ่ ปล่ียนแปลงได้อย่างมคี วามสุข
1.2 การอ่านและเขียนสะกดคำ
การอ่านและเขยี นสะกดคำ หมายถึง การอา่ นโดยนำเสียงพยญั ชนะต้น สระ
วรรณยกุ ต์ และตัวสะกดมาประสมเปน็ คำอา่ น การอ่านสะกดคำจะต้องให้นักเรียนสังเกตรูปคำพร้อมๆ
กบั การอ่านและการสอนอา่ นคำจะนำคำที่มีความหมายมาสอน เมือ่ สะกดคำจนจำคำได้แล้ว ต่อไปก็
จะต้องไม่ใชว้ ธิ ีการสะกดคำ เพราะการสะกดคำจะเป็นเครื่องมือการอ่านคำใหม่ จึงให้อา่ นเป็นคำโดยไม่
สะกดคำ มิฉะนั้นนักเรียนจะ อ่านจบั ใจความไม่ไดแ้ ละอา่ นไดช้ ้า
การสะกดคำมีวธิ กี ารสะกดคำหลายวธิ ี ถา้ สะกดคำเพ่ืออ่านจะสะกดคำตามเสยี ง ถ้า
สะกดคำเพ่ือเขยี นจะสะกดคำตามรปู และการสะกดคำจะสะกดคำเฉพาะคำที่เปน็ คำไทย ตัวสะกด
ตรงตามรปู คำ คือ แม่กง ใช้ ง สะกด แม่กน ใช้ น สะกด มีวธิ กี ารสะกดคำ ดังนี้
1. วธิ ีการสะกดคำตามรปู คำ
กา สะกดว่า กอ - อา - กา
ขา สะกดวา่ ขอ - อา - ขา
คาง สะกดว่า คอ - อา - งอ - คาง
ค้าง สะกดว่า คอ - อา - งอ - คาง - ไม้โท - คา้ ง
2. วธิ กี ารสะกดคำโดยสะกดแม่ ก กา ก่อน แลว้ จงึ สะกดมาตราตัวสะกด
คาง สะกดวา่ คอ - อา - คา - คา - งอ - คาง
ค้าง สะกดว่า คอ - อา - คา - คา - งอ - คาง - คาง - โท - ค้าง
3. วธิ สี ะกดคำทม่ี ีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตวั สะกด มักจะเป็นคำทมี่ าจากภาษาต่างประเทศ
เชน่ บาลี สันสกฤต เขมร องั กฤษ เป็นตน้ วิธกี ารสอนอา่ นและเขยี น มีดังนี้
3.1 เห็นรปู คำและอา่ นออกเสียงให้ถกู ต้อง
11
3.2 จำรปู คำและรู้ความหมายของคำ
3.3 รู้หลักการสะกดคำ เช่น
แมก่ ง ใช้ ง สะกด
แมก่ น ใช้ น ร ล ฬ ญ ณ สะกด
แม่กบ ใช้ บ ภ พ ป ฟ สะกด
คำทสี่ ะกดไมต่ รงตามมาตราตัวสะกดจะไม่สะกดคำ แต่ใชห้ ลักการสงั เกตรูปคำ จำคำใหไ้ ด้
โดยอ่านและเขียนคำนนั้ อยเู่ สมอ รคู้ วามหมายของคำและรู้หลกั การสะกดคำ เช่น เหตุ ให้รูว้ ่า ตุ
ออกเสยี ง ด เป็นเสยี งทา้ ย
4. วธิ ีการสะกดคำอักษรควบ มวี ธิ ีการสะกดคำ 2 วธิ ีคือ สะกดคำเพ่ืออา่ นจะมุ่งทีเ่ สยี งของคำ
ดว้ ยการอ่านอกั ษรควบก่อน เช่น กร ออกเสยี ง กรอ ปล ออกเสียง ปลอ แลว้ นำเสียง กรอ ปลอ
สะกดคำ กรอ-ออ-งอ-กรอง ออกเสยี งพยัญชนะต้นเป็นเสียงกล้ำก่อน วธิ ีนน้ี ักเรียนจะออกเสียงกล้ำ
ชัดเจน อีกวิธหี นงึ่ เป็นการสะกดคำแบบเรียงพยัญชนะต้น วิธนี ้ีจะใช้ในการสะกดคำเพ่ือเขยี น เชน่
กอ-รอ-อา-บอ-กราบ ถ้าสะกดคำแบบเรยี งพยัญชนะต้น นักเรียนจะออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตวั แรก
และท้งิ เสียงพยัญชนะตัวทสี่ อง ทำให้ออกเสียงควบไม่ชดั
5. วธิ กี ารสะกดคำอกั ษรนำ มดี งั นี้
5.1 ห นำ ย ร ล ว ใหอ้ อกเสียงพยัญชนะนำก่อน หน ออกเสยี ง หนอ หย
ออกเสยี ง หยอ เปน็ ตน้ แล้วจึงสะกดคำ เชน่ หยา สะกดคำ หยอ-อา-หยา หนู สะกดวา่ หนอ-
อ-ู หนู ให้เหน็ ว่าอกั ษรตัวแรกมีอิทธิพลตอ่ อกั ษรตัวท่สี อง บางคนจะใหอ้ ่านแบบเทยี บเสียง เช่น ลา-
หลา มา-หมา เพอ่ื สังเกตเสียงอา่ น สว่ นการสะกดคำเพ่ือมุ่งเขียนสะกดคำถูกต้องจะสะกดแบบเรียง
พยญั ชนะกไ็ ด้ มุ่งการจำรปู คำ เช่น หอ-ยอ-อา-หยา หอ-นอ-อ-ู หนู ก็ได้
5.2 อ นำ ย ให้ออกเสียง อย เปน็ เสียง ย แลว้ สะกดคำ อยา่ สะกดวา่ ยอ-อา-
ยา-ยา-เอก-หยา่ (ออกเสียง อย่า เพราะอิทธิพลของเสียง อ ทเี่ ป็นอักษรนำ) หรือ ออ-ยอ-อา-ยา-
ไม้เอก-หย่า อีกวธิ หี นง่ึ ไม่สะกดคำใหจ้ ำรูปคำ ทง้ั 4 คำ คอื อย่า อยู่ อย่าง อยาก
5.3 การสะกดคำท่ีอกั ษรสงู นำอกั ษรตำ่ เดยี่ ว หรืออักษรกลางนำอกั ษรต่ำเดี่ยว เชน่
สง สน สม ผล กล ถง ตล เป็นต้น ใหอ้ อกเสียงนำก่อน เชน่ สน ออกเสยี ง สะ-หนอ สม ออก
เสียง สะหมอ ผล ออกเสยี ง ผะหลอ ตล ออกเสยี ง ตะลอ แล้วจงึ สะกดคำเพ่อื ออกเสียงให้
ถูกต้อง เช่น เสมอ สะกดว่า สะหมอ-เออ-สะ-เหมอ สนอง สะกดว่า สะหนอ-ออ-งอ-สะหนอง (วธิ ี
นคี้ รมู ักจะไม่คุน้ ) หรือจะสะกดคำแบบเรยี งตวั พยัญชนะกไ็ ด้ แต่มุ่งเขียนคำใหถ้ ูก เชน่ สนอง สะกดวา่
สอ-นอ-ออ-งอ-สะหนอง เสมอ สะกดว่า สอ-มอ-เออ-สะเหมอ นกั เรียนจะไม่ไดห้ ลักการออกเสียง
แต่ถ้าอ่านบ่อยและอ่านมาก จะทำให้อ่านไดถ้ ูกต้อง การสอนอา่ นอักษรนำควรใหน้ ักเรยี นทราบวา่ คำใด
เป็นอักษรนำเสียงจะตามตวั หนา้
6. วธิ ีการสะกดคำที่สระเปล่ยี นรปู และลดรูป มีสระบางสระเม่ือมีตัวสะกดจะเปลยี่ นรปู คำ เช่น
12
สระโอะ มีตัวสะกด จะลดรูป
ลด สะกดว่า ลอ-โอะ-ดอ-ลด
สระอะ มีตวั สะกด จะเปลีย่ นรูปเป็นไม้หันอากาศ
วัน สะกดวา่ วอ-อะ-นอ-วนั
สระเอะ มตี ัวสะกด จะเปลี่ยนรูปโดยใช้ไม้ไตค่ ู้
เป็ด สะกดวา่ ปอ-เอะ-ดอ-เป็ด
สระเออ มีตวั สะกด จะเปลีย่ นรูป
เดิน สะกดวา่ ดอ-เออ-นอ-เดิน
สระแอะ มีตัวสะกด จะเปลีย่ นรปู
แข็ง สะกดว่า ขอ-แอะ-งอ-แข็ง
การสอนคำที่สระเปล่ียนรูปให้นักเรียนสังเกตรูปคำและเข้าใจว่า ใช้สระใดเป็นสระประสมคำ
และรูค้ วามหมายของคำ รูปคำมีวิธีเขียนอย่างไร การอ่านและเขียนอย่เู สมอจะทำให้นกั เรยี นจำคำได้ดี
7. วิธีสะกดคำที่มีตัวการันต์ท่ีเป็นคำมาจากภาษาอ่ืน คำท่ีมาจากภาษาอ่ืน เช่น ภาษาบาลี
ภาษา สันสกฤต จะมีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด การสะกดคำท่ีมีตัวการันต์จะให้อ่านเป็นคำ
สงั เกต
รปู คำ แล้วรู้กฎเกณฑต์ ามหลักภาษา คำทีม่ ีตัวการันต์ พยัญชนะการันต์จะไมอ่ อกเสียง
1.3 เอกสารท่เี กย่ี วขอ้ งกบั แบบฝกึ ทกั ษะ
แบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะเป็นส่ือประเภทหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญ
ของนกั เรยี น ก่อให้เกิดนิสัยรักการอา่ น รกั การคน้ คว้า เพมิ่ พูนทกั ษะการอ่าน คิดวิเคราะห์อย่างมรี ะบบ
1.3.1 ความหมายและความสำคญั ของแบบฝึกทักษะ
น้อมศรี เคท (2536) อ้างถึงใน สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543 : 57 - 59)
กล่าวว่า เม่ือครูได้สอนเน้ือหา แนวคิดหรือหลักการเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงกับนักเรียน และนักเรียนมีความรู้
ความเข้าใจในเรื่องนั้นแล้ว ข้ันต่อไปครูต้องจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกฝน เพ่ือให้มีความชำนาญ
คลอ่ งแคล่ว ถูกตอ้ ง แม่นยำและรวดเรว็ หรือท่ีเรียกวา่ ฝึกฝนเพอ่ื ให้เกิดทักษะ
วรสุดา บุญยไวโรจน์ (2536) อ้างถึงใน สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543 : 57 -
59) แบบฝึกหัด เป็นส่ือการสอนที่จัดทำข้ึนเพ่ือให้ผู้เรียนได้ศึกษา ทำความเข้าใจและฝึกฝนจนเกิด
แนวคิดท่ีถูกต้องและเกิดทักษะในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง นอกจากน้ัน แบบฝึกหัดยังเป็นเครื่องช่วยบ่งชี้ให้ครู
ทราบว่า ผู้เรียนหรือผู้ใช้แบบฝึกหัดมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและสามารถนำความรู้น้ันไปใช้ได้
มากน้อยเพียงใด ผู้เรียนมีจุดเด่นจุดด้อยที่ควรส่งเสริมหรือต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนอย่างไร
แบบฝึกหัด จึงเป็นเครื่องมือสำคัญท่ีครูทุกคนใช้ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของ
นักเรยี นในวชิ าตา่ งๆ
13
มะลิ อาจวิชัย (2540 : 17) ได้ให้ทัศนะประโยชน์และความสำคัญของแบบฝึก
ทักษะท่ีดีมีประสิทธิภาพ ช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี แบบฝึก ท่ีดี
เปรยี บเสมือนผู้ช่วยท่สี ำคญั ของครู ทำให้ครูลดภาระการสอนลง ผเู้ รยี นสามารถพัฒนาตนเองได้
อย่างเต็มท่ี และเพิ่มพูนความม่ันใจในการเรียนได้เป็นอย่างดี
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545 : 44) แบบฝึกหรือแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกเสริม
ทักษะเป็นสอื่ การเรียนประเภทหนึ่งที่เป็นส่วนเพ่ิมเติมหรือเสริมสำหรับให้นักเรยี นฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิด
ความรู้ ความเข้าใจและทักษะเพ่ิมข้ึน ส่วนใหญ่หนังสือเรียนจะมีแบบฝึกหัดอยู่ท้ายบทเรียน บางวิชา
แบบฝกึ จะมีลกั ษณะเป็นแบบฝึกปฏิบตั ิ
พินิจ จันทร์ซ้าย (2546 : 27) แบบฝึกทักษะ หมายถึง งานกิจกรรมหรือ
ประสบการณ์ที่ครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพ่ือทบทวนความรู้ที่เรียนไปแล้วให้สามารถนำ
ความรทู้ ไี่ ดไ้ ปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ได้
สรุปว่า แบบฝึกมีความสำคัญ เพราะเป็นการสอนที่สนุกวิธีหนึ่ง คือ การให้นักเรียน
ได้ทำแบบฝึกมากๆ สิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ในเน้ือหาวิชาได้ดีขึ้น เพราะ
นักเรยี นมโี อกาสนำความรู้ท่ีเรียนมาแลว้ มาฝกึ ใหเ้ กดิ ความรกู้ วา้ งขวางย่ิงข้นึ
ลกั ษณะของแบบฝึกที่ดี
บงั อร แก่นจันทร์ (2544 : 86) ลกั ษณะของแบบฝกึ ทดี่ คี วรประกอบดว้ ยส่ิงต่อไปนี้
1) เปน็ ส่งิ ท่นี ักเรียนเรียนมาแล้ว
2) เหมาะสมกับระดับวยั หรอื ความสามารถของนักเรียน
3) มีคำชีแ้ จงสั้นๆ ทชี่ ่วยใหน้ กั เรยี นเข้าใจวิธที ำได้ง่าย
4) ใช้เวลาทเี่ หมาะสม คอื ไมน่ านเกนิ ไป
5) เป็นสง่ิ ที่นา่ สนใจและทา้ ทายให้นกั เรยี นแสดงความสามารถ
6) เปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนเลือกทั้งแบบตอบอย่างจำกัด และตอบอยา่ งเสรี
7) มคี ำส่ังหรือตวั อยา่ งแบบฝกึ ทไี่ ม่ยาวเกินไป และไมย่ ากแก่การเข้าใจ
8) ควรมีหลายรปู แบบ มคี วามหมายแก่นักเรียนท่ที ำแบบฝกึ
9) ใช้หลกั จติ วิทยา
10) ใชส้ ำนวนภาษาที่เขา้ ใจง่าย
11) ฝกึ ใหค้ ดิ ไดเ้ ร็วและสนุกสนาน
12) ปลุกความสนใจหรือเร้าใจ
13) เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ
14) สามารถศกึ ษาดว้ ยตนเองได้
1.3.2 จิตวิทยาการเรียนรกู้ บั การสร้างแบบฝึกทักษะ
การศึกษาในเร่อื งจติ วิทยาการเรียนรู้ เปน็ ส่งิ ท่ผี สู้ รา้ งแบบฝกึ มิควรละเลย เพราะ
14
การเรียนรจู้ ะเกิดขึน้ ได้ ต้องข้นึ กบั ปรากฏการณ์ของจิตและพฤติกรรมทีจ่ ะตอบสนองนานาประการ โดย
อาศยั กระบวนการทเ่ี หมาะสมและเปน็ วิธีที่ดที สี่ ุดจากการศึกษาทฤษฏีการเรียนรทู้ น่ี กั จิตวิทยาได้
ทำการค้นพบและทดลองไวแ้ ลว้ สำหรับการสร้างแบบฝึกในส่วนทมี่ ีความสมั พันธก์ นั มีดงั น้ี
1) ทฤษฏีการลองผดิ ลองถูกของ ธอร์นไดค์ ซึง่ ไดส้ รปุ เปน็ กฎเกณฑก์ ารเรยี นรู้ คอื
กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดข้ึนเม่ือบุคคลพร้อมท่ีจะกระทำ และกฎผลท่ีได้รับ หมายถึง
การเรียนรู้จะเกิดข้ึน เพราะบุคคลกระทำซ้ำย่ิงทำมากความชำนาญจะเกิดข้ึนได้ง่าย ไพบูลย์ เทวรักษ์
(2540 : 23)ได้กล่าวถึงกฎการฝึกหัดไว้ว่าการฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่างๆ น้ัน ผู้ฝึกจะต้องควบคุม
และจัดสภาพการณ์ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนดลักษณะพฤติกรรมที่
แสดงออก ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำส่ังต่างๆในแบบฝึกให้ผู้ฝึกได้แสดง
พฤติกรรมสอดคล้องกบั จุดประสงคท์ ผ่ี ้สู รา้ งต้องการ
2) ทฤษฎีพฤตกิ รรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเช่อื ว่า สามารถควบคุมบุคคลให้ทำ
ตามความประสงคห์ รือแนวทางท่กี ำหนดได้ โดยไมต่ อ้ งคำนงึ ถึงความรูส้ กึ ทางดา้ นจติ ใจของบคุ คล
ผู้นั้นว่า จะรู้สึกนึกคิดอย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปได้ว่า บุคคลสามารถเรียนรู้ได้ด้วยการกระทำ
โดยมกี ารเสริมแรงเป็นตัวการ เมอ่ื บุคคลตอบสนองการเรา้ ของสง่ิ เรา้ ควบคูก่ ันในชว่ งเวลาท่ีเหมาะสม สิ่ง
เร้านนั้ จะรกั ษาระดบั หรอื เพ่ิมการตอบสนองให้เข้มขึ้น การสรา้ งแบบฝึกตามทฤษฎีการเรียนรู้ของ
สกินเนอร์ บุคคลจะเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยการกระทำ
3) วิธีการสอนของกาเย่ มีความเห็นว่าการเรียนรู้มีลำดับข้ันตอนและผู้เรียนจะต้อง
เรยี นรู้เน้อื หาจากงา่ ยไปหายาก
4) แนวคิดของบลูม กล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกัน
ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้เนื้อหาในหนว่ ยย่อยตา่ งๆได้โดยใช้เวลาเรยี นทแ่ี ตกตา่ งกนั
ดังน้ัน การสร้างแบบฝึกจึงต้องมีการกำหนดเงื่อนไขท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่าน
ลำดับข้ันตอนของทุกหน่วยการเรียนได้ ถ้าได้เรียนตามอัตราการเรียนของตนจะทำให้นักเรียนประสบ
ความสำเร็จมากข้นึ
1.3.3 การสร้างแบบฝกึ ทักษะ
สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543 : 80 – 81) กลา่ วว่า การสร้างแบบฝึกเพื่อใช้ประกอบ
ในการจดั การเรียนการสอนในวชิ าต่างนั้นๆ จะเนน้ ส่อื การสอนในลกั ษณะเอกสาร แบบฝกึ หดั
เป็นส่วน สำคัญ ดังนั้น การสร้างแบบฝึกทักษะจึงควรมีความสมบูรณ์ทส่ี ุดทั้งในด้านเน้ือหา รูปแบบและ
กลวธิ ีในการนำไปใช้ ซ่งึ ควรเป็นเทคนิคของแต่ละคน ในทน่ี ้ีจะขอเสนอแนะ ดังน้ี
1) พึงระลึกเสมอว่า ต้องให้ผู้เรียนศึกษาเน้อื หาก่อนการใชแ้ บบฝึก
2) ในแต่ละแบบฝึก อาจมีเน้ือหาสรุปย่อ หรือเป็นหลักเกณฑ์ไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษา
ทบทวนก่อนกไ็ ด้
15
3) ควรสร้างแบบฝึกให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์ท่ีต้องการ ไม่ยากหรือง่าย
จนเกนิ ไป
4) คำนงึ ถึงหลักจิตวทิ ยาการเรียนรู้ของเด็ก ตอ้ งใหเ้ หมาะสมกบั วฒุ ภิ าวะและความ
แตกตา่ งของผ้เู รยี น
5) ควรศึกษาแนวทางการสร้างแบบฝึกให้เข้าใจก่อนปฏิบัติการสร้าง อาจนำหลักการ
ของผู้อ่ืนหรือทฤษฎีการเรยี นรู้ของนักการศึกษาหรอื นักจิตวทิ ยามาประยุกต์ให้เหมาะสมกับเน้ือหา และ
สภาพการณ์ได้
6) ควรมีคู่มือการใช้แบบฝึก เพ่ือให้ผู้สอนคนอ่ืนนำไปใช้ได้ หากไม่มีคู่มือต้องมีคำ
ชแ้ี จงข้นั ตอนการใชท้ ี่ชัดเจนแนบไปในแบบฝกึ หดั ดว้ ย
7) การสร้างแบบฝึก ควรพิจารณารูปแบบให้เหมาะสมกับธรรมชาติของเนื้อหาวิชา
รูปแบบจึงควรแตกตา่ งกันตามสภาพการณ์
8) การออกแบบชุดฝึก ควรมีหลากหลายไม่ซ้ำซาก ไม่ใช้รูปแบบเดียวเพราะจะทำให้
ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย ควรมีแบบฝึกหลาย ๆ แบบ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะอย่างกว้างขวาง
และส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรคอ์ กี ด้วย
9) การใช้ภาพประกอบเป็นสง่ิ สำคัญทจี่ ะช่วยให้แบบฝกึ นั้นนา่ สนใจและยงั เป็นการพัก
สายตาให้กับผู้เรยี นอีกด้วย
10) การสร้างแบบฝึก หากต้องการให้สมบูรณ์ครบถ้วน ควรสร้างในลักษณะของ
เอกสารประกอบการสอน (รายละเอยี ดจากคู่มอื การฝกึ อบรมปฏิบัตกิ าร “ การผลิตเอกสารประกอบ
การสอน”) แตจ่ ะเนน้ ความหลากหลายของแบบฝึกมากกวา่ และเน้ือหาที่สรุปไวจ้ ะมีเพยี งย่อๆ
11) แบบฝึกต้องมีความถูกต้องอย่าให้มีข้อผิดพลาดโดยเด็ดขาด เพราะเหมือนกับย่ืน
ยาพษิ ให้กับลูกศษิ ย์โดยรูเ้ ท่าไมถ่ งึ การณ์ เขาจะจำในสิ่งทผี่ ิด ๆ ตลอดไป
12) คำสงั่ ในแบบฝึกเป็นส่งิ ทสี่ ำคัญท่ีมคิ วรมองข้าม เพราะคำสัง่ คือ ประตบู านใหญ่
ท่ีจะไขความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนไปสู่ความสำเร็จ คำส่ังจึงต้องส้ันกะทัดรัดและเข้าใจง่าย ไม่ทำให้
ผ้เู รยี นสบั สน
13) การกำหนดเวลาในการใช้แบบฝกึ แต่ละชดุ ควรใหเ้ หมาะสมกับเน้ือหาและความ
สนใจของผ้เู รียน
14) กระดาษที่ใช้ ควรมีคุณภาพเหมาะสมมีความเหนียวและทนทานไม่เปราะบาง
หรอื ขาดง่ายจนเกนิ ไป
1.3.4 ขน้ั ตอนการสร้างแบบฝึกเสรมิ ทักษะ
จุรีรัตน์ สระหอม (2548 : 49) กลา่ วถึง ขน้ั ตอนการสร้างแบบฝึกเสรมิ ทักษะ ดังนี้
1) ศึกษาปัญหาและความต้องการ โดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้และ
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หากเป็นไปได้ควรศกึ ษาความต่อเนอ่ื งของปัญหาในทกุ ระดบั ช้ัน
16
2) วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะท่ีเป็นปัญหาออกเป็นเน้ือหาหรือทักษะย่อยๆเพื่อใช้ใน
การสรา้ งแบบทดสอบและแบบฝึกหัด
3) พิจารณาวัตถุประสงค์ รูปแบบ ขั้นตอนการใช้แบบฝึก เช่น จะนำแบบฝึกไปใช้
อย่างไร ในแต่ละชดุ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง
4) สร้างแบบทดสอบ ซ่ึงอาจมีแบบทดสอบเชิงสำรวจ แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัย
ข้อบกพร่อง แบบทดสอบความก้าวหน้าเฉพาะเร่ือง เฉพาะตอน แบบทดสอบท่ีสร้างจะต้องสอดคล้อง
กับเนอ้ื หาหรือทักษะท่วี เิ คราะหไ์ ว้
5) สร้างบัตรฝกึ หัด เพ่อื ใช้พัฒนาทกั ษะย่อยแตล่ ะทกั ษะในแตล่ ะบัตรจะมีคำถาม
ให้นกั เรยี นตอบ การกำหนดรูปแบบ ขนาดของบัตร พจิ ารณาตามความเหมาะสม
6) สร้างบัตรอ้างอิง เพ่ือใช้อธิบายคำตอบหรือแนวทางการตอบแต่ละเรื่อง การสร้าง
บตั รอ้างองิ อาจทำเพม่ิ เติมเมื่อได้นำบัตรฝึกหดั ไปทดลองใช้แล้ว
7) สร้างแบบบันทึกความก้าวหน้า เพื่อใช้บันทึกผลการทดสอบหรือผลการเรียนโดย
จัดทำเป็นตอนเปน็ เรอื่ ง เพอ่ื ใหเ้ หน็ ความกา้ วหน้าเปน็ ระยะ ๆ สอดคลอ้ งกบั แบบทดสอบความกา้ วหน้า
8) นำแบบฝึกไปทดลองใช้ เพื่อหาข้อบกพร่องคุณภาพของแบบฝึกและคุณภาพของ
แบบทดสอบ
9) ปรบั ปรุงแก้ไข
10) รวบรวมเปน็ ชดุ จดั ทำคำชแี้ จง คู่มอื การใชส้ ารบัญ เพอ่ื ใช้ประโยชนต์ ่อไป
หลักในการสร้างแบบฝึกทกั ษะ
นิลวรรณ อคั ติ (2548 : 55-56) ไดก้ ลา่ วถึงหลกั ในการใชแ้ บบฝกึ ไว้ ดงั น้ี
1. ก่อนการฝึกควรสอนให้ผู้เรียนเข้าใจเสียก่อน เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและ
ทราบเหตุผลท่ตี ้องฝกึ การฝกึ อย่างไมเ่ ขา้ ใจความหมายอาจไม่ทำใหเ้ กดิ ทักษะ
2. การฝึกควรให้ผ้เู รยี นไดร้ บั การฝึกตามขน้ั ตอนท่ีถูกตอ้ ง ภายใตก้ ารแนะนำท่ีดี
ถา้ ฝกึ ทักษะผดิ ๆ จะทำให้เสียเวลาเปน็ อยา่ งมากในการแก้ไข
3. ช่วงเวลาการฝึกสน้ั ๆ ดว้ ยแบบฝกึ ที่คัดเลือกแล้วเป็นอย่างดี จะมีประสทิ ธิภาพกว่า
การฝึกชว่ งยาวๆซงึ่ ผู้เรยี นจะเบอ่ื หนา่ ยไมส่ นใจ
4. กิจกรรมการฝึกควรมีหลากหลาย นอกจากแบบฝึกหัดต่างๆอาจใช้เกมปัญหาหรือ
กิจกรรมอื่นๆ บา้ ง
5. การฝึกอย่างมีความมุ่งหมายจะเกิดประโยชน์มาก ถ้าผู้เรียนเห็นคุณค่าและความ
จำเป็นของสิ่งที่เรียนหรือฝึก โดยอาจใช้การทดสอบหรือวิธีการอ่ืนๆ เพื่อชี้ให้เห็นผลที่เกิดขึ้นภายหลัง
การฝกึ
6. การฝึกควรสัมพันธ์กับความมีเหตุผล ขณะฝึกควรให้ผู้เรียนใช้ความคิดหาเหตุผล
ควบคไู่ ปด้วย
17
นิลวรรณ อัคติ (2548 : 55) กล่าวว่า การสร้างแบบฝึกที่ดี นอกจากจะคำนึงถึงหลัก
ใน การสร้างและหลกั ในการฝึกแล้ว จะตอ้ งอาศัยหลกั สำคัญตามทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย
1. สำรวจปัญหาและความต้องการเมื่อจัดกิจกรรมไปแล้วว่าบรรลุตามจุดประสงค์
หรือไม่ รวบรวมปัญหาและความต้องการในการแกไ้ ขปญั หาหรือความต้องการทจี่ ะพฒั นา
2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกทักษะให้ชัดเจน เพ่ือตอบคำถามว่า สร้าง
แบบฝกึ ทักษะเพ่ืออะไร ต้องการใหน้ กั เรยี นเปน็ อยา่ งไร
3. วิเคราะหค์ ำในแต่ละจดุ ประสงคว์ า่ ประกอบดว้ ยคำหรอื ความหมายว่าอยา่ งไร
คำใดมกั จะมปี ัญหาในการอา่ นและเขยี นรวบรวมคำเหลา่ นนั้ ไว้
4. ศกึ ษาจิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวทิ ยาการอ่านของนกั เรยี นในแต่ละช้ันวา่ เดก็
แต่ละวัยมีความสนใจเร่ืองอะไร จิตวิทยาการอ่านที่นำมาใช้ในการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่าน
ประกอบดว้ ย
4.1 ความใกล้ชิด คือ ถ้าใช้ส่ิงเร้าและการตอบสนองเกิดข้ึนในเวลาใกล้เคียง
กนั จะสร้างความพอใจใหแ้ ก่ผเู้ รียน
4.2 การฝึกหัด คือ การให้ผู้เรียนได้ทำซ้ำ ๆ กัน เพื่อช่วยสร้างความรู้ความ
เขา้ ใจ
ทแ่ี ม่นยำ
4.3 กฎแห่งผล คือ การที่ผเู้ รยี นไดร้ บั ทราบผลการทำงานของตนดว้ ยการเฉลย
คำตอบให้ จะช่วยให้ผ้เู รยี นทราบข้อบกพร่อง เพ่ือปรับปรงุ แก้ไขและเปน็ การสรา้ งความพอใจ
ให้แก่ผู้เรียน
4.4 การจูงใจ คือ การจัดแบบฝึกหัดเรียงลำดับจากแบบฝึกง่ายและส้ันไปสู่
เร่ือง
ที่ยากและยาวขน้ึ ควรมภี าพประกอบและมหี ลายรสหลายรปู แบบ
5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝกึ ทักษะว่าควรประกอบด้วยเรือ่ งอะไรบ้าง แต่ละเร่ือง
ควรมกี จิ กรรมอะไรบา้ งมีความยาวเพยี งไร จะนำเสนอโดยใช้รปู ภาพประกอบหรือไม่
6. ลงมือเขยี นแบบฝกึ แตล่ ะชดุ
7. นำแบบฝึกทักษะน้ันไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความถูกต้องตรงตามเนื้อหา เช่น
ครูสอนภาษาไทยที่มีประสบการณ์ ศึกษานิเทศก์ เป็นต้น หรือนำไปทดลองกับนักเรียน จำนวน 1- 5
คน เพอ่ื รวบรวมขอ้ มูลนำมาปรบั ปรุงแก้ไขขอ้ บกพร่อง
8. จัดพมิ พ์แบบฝกึ ทกั ษะ เพอ่ื ให้นกั เรียนนำไปใช้เสรมิ กจิ กรรมการเรยี นรู้
จากความเห็นของนักวชิ าการดังกล่าว เกีย่ วกบั ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกหัด
หรือแบบฝึก จึงสรุปได้ว่า แบบฝึกหรือแบบฝึกหัด คือ ส่ือการเรียนการสอนชนิดหนึ่งที่ใช้ฝึกทักษะให้
กับผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาในช่วงหน่ึง ๆ เพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ความเข้าใจรวมทั้งเกิดความ
18
ชำนาญในเรื่องน้ัน ๆ อย่างกว้างขวางมากขึ้น แบบฝึกจึงมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อยในการที่จะช่วย
เสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนข้ึน กว้างขวางข้ึน ทำให้การ
สอนของครูและการเรยี นของนกั เรียนประสบผลสำเรจ็ อย่างมีประสิทธิภาพ
1.3.5 ประโยชนข์ องแบบฝึกทกั ษะ
มะลิ อาจวิชัย (2540 : 17) ไดก้ ลา่ วถงึ ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะ ดงั นี้
1. ทำใหน้ กั เรียนเขา้ ใจบทเรยี นได้ดยี งิ่ ขึ้น
2. ทำให้ครทู ราบความเข้าใจของนักเรยี นที่มตี อ่ การเรยี น
3. ครูไดแ้ นวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนเพ่ือชว่ ยใหน้ กั เรยี นเรียนไดด้ ีที่สุดตาม
ความสามารถของตนเอง
4. ฝึกใหน้ กั เรียนมคี วามเชอ่ื มัน่ และสามารถประเมนิ ผลงานของตนเองได้
5. ฝกึ ใหน้ ักเรยี นทำงานด้วยตนเองและมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รบั มอบหมาย
6. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกทักษะของ
ตนเองโดยไม่ต้องคำนงึ ถึงเวลาหรอื ความกดดนั อนื่ ๆ
7. แบบฝึกช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน ทักษะการฝึกที่ช่วยให้เกิดผลดังกล่าว
ได้แก่ ฝึกทนั ทีหลังจากเรียนเน้ือหา ฝกึ ซำ้ ๆในเร่ืองที่เรียน
อดุลย์ ภปู ลม้ื (2539 : 24 – 25) อ้างถึงใน ชาลิสา พรหมหรรษ์ (2548 : 46)
กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องแบบฝึกหรือแบบฝึกทักษะไว้ ดังนี้
1. ช่วยให้ผ้เู รียนเข้าใจบทเรียนไดด้ ีขึน้
2. ชว่ ยให้จดจำเน้อื หาและคำศัพท์ต่างๆได้คงทน
3. ทำให้เกดิ ความสนุกสนานในขณะเรียน
4. ทำใหท้ ราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง
5. สามารถทำแบบฝกึ หัด ทบทวนเนอ้ื หาเดิมด้วยตนเองได้
6. ทำใหท้ ราบขอ้ บกพร่องของนกั เรยี น
7. ทำใหค้ รปู ระหยัดเวลา
8. ทำให้นักเรียนสามารถนำภาษาไทยไปใชส้ ่อื สารได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ
จากประโยชน์ของแบบฝึกท่ีกล่าวมา พอสรุปได้ว่า แบบฝึกช่วยให้การฝึกหรือเสริมทักษะ
ทางภาษา การใช้ภาษาของนักเรียน สามารถนำมาฝึกซ้ำ ทบทวนบทเรียนและผู้เรียนสามารถนำไป
ทบทวนด้วยตนเอง จดจำเนื้อหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย นักเรียนรู้คำศัพท์และ
ความหมายได้กว้างขวางยิ่งข้ึน นำแบบฝึกไปแก้ปัญหาการอ่านการเขียนเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มได้
แบบฝึกถือว่าเป็นอุปกรณ์การเรียนอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถทดสอบความรู้ วัดผลการเรียนรู้และประเมิน
ผลนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้ครูทราบข้อบกพร่องของผู้เรียนเฉพาะจุดได้
นกั เรยี นทราบความก้าวหนา้ ของตนเอง ครูประหยดั เวลาคา่ ใช้จา่ ยและลดภาระไดม้ ากขึ้น
19
1.4 เอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกับแผนท่คี วามคิด (Mind Map)
1.4.1 ความเป็นมาของแผนทค่ี วามคิด (Mind Map)
คำจำกัดความของแผนที่ความคิด (Mind Map) เป็นภาพสะท้อนของการ
คิดเป็นรัศมี เป็นการทำงานตามธรรมชาติตามความคิดของเรา เป็นเทคนิคเชิงกราฟิกท่ีทรงพลังเสมือน
กุญแจสารพัดประโยชน์ท่ีจะเปิดสมองให้ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ เราสามารถประยุกต์ใช้แผนที่
ความคิดได้ในทุกวถิ ีชีวิตของเราในอันที่จะช่วยใหเ้ ราเรียนรไู้ ด้ดขี ้ึนและคิดอย่างหัวใสได้สมกบั เป็นมนุษย์
สดุ ประเสรฐิ ลักษณะสำคญั ทบ่ี ง่ บอกความเปน็ แผนที่ความคิด มี 4 ประการ ได้แก่
1) หัวเร่ืองท่ีเป็นข้อใหญ่ใจความได้รับการกล่ันกรองจนตกผลึกเป็นภาพ “แก่นแกน”
ตรงกลาง
2) ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกระจายเป็นรัศมีออกมาเป็น “ก้าน”หรือ“ก่ิงแก้ว” แตก
แขนงจาก “แก่นแกน” ตรงกลาง
3) ก่ิงทแ่ี ตกแขนงออกมาแต่ละกิ่งรองรบั คำไข (คำกุญแจ ประเด็น) ภาพ โดยมีเส้นเชือ่ ม
เป็นรายละเอยี ดออกมารอบๆ
4) กิง่ กา้ นต่างๆ ต้องเช่อื มตอ่ ยดึ โยงกันดุจก่ิงไมห้ รอื รากไม้
แผนที่ความคิด เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครอ่ื งมือในการบันทึกข้อมูลและความคิดเห็น
เป็น ภาพ ซึ่งตรงกับคำว่า Graphic Organizers หรือ Knowledge Organization ในภาษาอังกฤษ
แต่เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นเดียวที่มีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเครื่องหมายการค้าโทนี บู
ซาน (2517) อา้ งถงึ ใน ขวญั ฤดี ผลอนันต์ และธญั ญา ผลอนันต์ (2549 : 17-18 )
โทนี บซู าน (Tony Buzan) ชาวอังกฤษ เป็นผู้ท่ีริเริ่มพยายามนำเอาความรูเ้ ร่ืองสมองมาปรับ
ใช้ กับการเรียนรู้ของเขา โดยพัฒนาการมาจากการจดบันทึกแบบเดิมท่ีจดบันทึกเป็นตัวอักษร เป็น
บรรทดั เปน็ แถวๆ ใช้ปากกาหรือดินสอสีมาเป็นการบนั ทึกด้วยคำ ภาพ สัญลักษณ์ แบบแผ่เป็นรศั มีออก
รอบๆ ศูนย์กลางเหมือนกับการแตกแขนงของกิ่งไม้โดยใช้สีสัน ต่อมาเขาก็พบว่า วิธีการท่ีเขาใช้นั้น
สามารถนำไปใช้กับกิจกรรมอ่ืนในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานได้อีกด้วย เช่น ใช้ในการวางแผน การ
ตัดสินใจ การช่วยจำ การแก้ปัญหา การนำเสนอ การเขียนหนังสือ ซึ่งโทนี่ บูซาน ได้เขียนหนังสือ Use
your Head (ใช้หัวคิด)และ Get Ahead ใช้หัวลุยร่วมกับแวนด้า นอร็ธ (Vanda North) และธัญญา
ผลอนันต์ ผู้แปลเป็นฉบับภาษาไทย ไดน้ ำแนวคิดและวธิ ีการน้มี าเผยแพรใ่ นประเทศไทย วธิ ีการของแผน
ท่ีความคิดน้ัน สามารถนำไปใช้ได้ทั้งส่วนตัวและการงานจริง และถ้านำแนวคิดเทคนิควิธีน้ีไปขยายผล
ในวงการศึกษา น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีหน้าที่จัดการเรียนรู้ เริ่มตั้งแต่การวางแผนจัดการ การจัด
กิจกรรมต่างๆในการเรียนรู้ สำหรับผู้เรียนจะสามารถพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ด้าน
ตา่ งๆได้อยา่ งเปน็ รูปธรรม ทำให้การเรียนรเู้ ป็นเรือ่ งสนกุ สนาน มีชีวิตชวี าย่ิงขึน้
20
1.4.2 ความหมายของแผนท่คี วามคิด (Mind Map)
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 19-21) ได้กล่าวถึงแผนผังความคิดไว้ ดังน้ี แผนผัง
ความคิด เป็นการนำทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับสมองไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด การเขียนแผนผัง
ความคิดนั้น เกิดจากการใช้ทักษะท้ังหมดของสมอง เป็นการทำงานร่วมกันของสมองท้ัง 2 ซีก คือ
สมองซีกซ้ายและซีกขวา สมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่ในการวิเคราะห์สัญลักษณ์ ระบบ ภาษาคำ ลำดับ
ความเป็นเหตุผล ตรรกวิทยา ส่วนสมองซีกขวาจะทำหน้าท่ีสังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ ความงาม
จินตนาการ ศลิ ปะ จงั หวะโดยมีแถบเส้นประสาทคอร์ปัสคอโลซม่ั เปน็ เสมอื นสะพานเช่อื ม
การจัดระเบียบความคิดเพ่ือแสดงให้ผู้อ่ืนรับรู้ มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับทุกคน
เพราะ คนเราต้องมีการส่อื สารกบั ผอู้ นื่ โดยการพดู และการเขียน ถ้าความคิดไม่เปน็ ระเบียบ การสอ่ื สารก็
จะไม่เกิดประสิทธิผล วิธีการสำคัญท่ีจะทำให้การคิดเป็นระเบียบคือ การฝึกสรา้ งผงั ความคิด ซ่งึ สามารถ
ทำไดท้ กุ ช่วงระยะเวลาการพัฒนาของมนุษย์ โดยไมม่ ขี อ้ จำกดั ใดๆ
ความหมายของแผนท่ีความคิด หรอื ผังความคดิ มชี ือ่ เรยี กตา่ งๆ กันไป ไดแ้ ก่ Webbing ,
Net Working, Concept Mapping, Content Analysis Web, Mind Mapping และอ่ืนๆอีก ซง่ึ มผี ู้
กล่าวถึงแผนท่คี วามคิดไว้ ดังนี้
ธเนศ ขำเกิด (2543 : 165) ให้ความหมายว่า เป็นผังวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ อันเป็น
แผนที่ความคิดที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสามารถคิดเอง ตัดสินใจเองและสรุปความรู้ได้เอง เห็น
ความ สัมพนั ธ์ของเน้อื หาทัง้ หมด
สมศักด์ิ สินธุรเวชญ์ (2542 : 8) กล่าวว่า การสอนโดยใช้แผนท่ีความคิดจะเป็นการ
วเิ คราะห์ (สมองด้านซ้าย) และสังเคราะห์ (สมองด้านขวา) เป็นยุทธศาสตร์การจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้
ผูเ้ รยี นไดพ้ ัฒนาเตม็ ศักยภาพและมีความสมดลุ ทัง้ ร่างกาย ปัญญาและสังคม
สุวิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ (2544 : 89) กล่าวว่า แผนผังความคิด หมายถึง การจัด
กลุ่มความคิดรวบยอด เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ของความคิดระหว่างความคิดหลกั และความคิดรองลงไป
โดยนำเสนอเปน็ ภาพหรือผงั ซง่ึ สามารถนำเสนอออกไปได้หลายลักษณะ
สำลี รักสุทธี (2544 : 45) ให้ความหมายว่า แผนท่ีความคิดคือ การนำทฤษฎีท่ีเก่ียวกับ
สมองไปใช้ให้เกิดประโยชนอ์ ย่างสูงสดุ ไม่ว่าจะเปน็ สมองซีกซ้ายหรือซกี ขวา ในแผนที่ความคิดน้นั จะทำ
ใหเ้ ด็กได้คิดวเิ คราะห์ คำ ภาษา ระบบ ลำดับ คำนวณ ความเป็นเหตุผล ตรรกวิทยา ความคดิ สร้างสรรค์
สัญลักษณ์ จินตนาการ ความงาม ศิลปะ โดยมีแถบเส้นประสาทคอร์ปัสคอโลซั่ม เป็นเสมือนสะพาน
เชื่อมโยง
จากความหมายดังกล่าว จะเห็นว่า แผนท่ีความคิด เป็นวิธีการสร้างแผนผังที่แสดงความ
สัมพันธ์ระหว่างความคิดหลักกับความคิดย่อย ช่วยพัฒนาการจัดระบบความคิด รวบรวมรายละเอียด
ของข้อมูลไว้ด้วยกัน ทำให้ประหยัดเวลาในการเรียนรู้ การจัดกลุ่มเน้ือหา การปรับปรุง การสร้างสม
ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับการไตร่ตรองการเรียนรู้ อีกท้ังยังสามารถนำมาใช้กับ
21
ผู้เรียนได้ทุกระดับช่วงช้ันและช่วยควบคุมระดมสมองในเร่ืองใหม่ๆการวางแผน การสรุป การทบทวน
การจดบันทกึ นับว่าแผนทีค่ วามคิดเปน็ สง่ิ ท่มี ีประโยชน์ต่อการเรยี นรเู้ ป็นอยา่ งดี
1.4.3 การนำเทคนคิ แผนท่ีความคดิ มาใชใ้ นการเรียนการสอน
ปัจจุบันมีผู้พัฒนาเทคนิคต่างๆข้ึนเป็นจำนวนมากท่ีสามารถส่งเสริมและพัฒนาการคิดได้ดี ซึ่ง
ครูสามารถนำมาฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติโดยตรงหรือบูรณาการไปกับการสอนเน้ือหาสาระต่างๆ เทคนิคท่ี
ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ได้แก่ เทคนิคการทำผังกราฟกิ (Graphic Organizer)เทคนิค
การใช้คำถาม (Questioning) เทคนิคการบริหารสมอง (Brain Gym ) เทคนิคการอภิปราย โดยใช้
หมวกความคดิ 6 ใบ (Six Thinking Hats) เป็นต้น
เทคนิคการทำผังกราฟิก (Graphic Organizer) เป็นแผนผังความคิด ซึ่งประกอบไปด้วย
ความคิดหรือข้อมูลสำคัญๆ ที่เช่ือมโยงกันอยู่ในรูปแบบต่างๆ ซ่ึงทำให้เห็นโครงสร้างของความรู้หรือ
เน้ือหาสาระนั้นๆ การใช้ผังกราฟิกเป็นเทคนิคที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้เนื้อหาสาระต่างๆ
จำนวนมาก เพือ่ ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นงา่ ยข้ึนเร็วขึ้นและจดจำได้นานโดยเฉพาะอยา่ ง
ยง่ิ หากเนื้อหาสาระหรอื ข้อมูลที่ผู้เรียนนำมาประมวลน้นั อยู่ในลักษณะกระจัดกระจาย ผงั กราฟิกจะเป็น
เคร่อื งมือช่วยให้ผู้เรียนจัดขอ้ มูลเหล่าน้ันให้เป็นระบบระเบียบ อยู่ในรูปแบบท่ีอธิบายเข้าใจและจดจำได้
งา่ ย นอกจากใชใ้ นการประมวลความรู้หรอื จัดความรู้ดังกล่าวแล้ว ในหลายกรณีที่ผู้เรียนมคี วามคิดริเริ่ม
หรอื สร้างความคิดข้ึน ผังกราฟิกยังเป็นเครื่องมือทางความคิดได้เป็นอย่างดี เน่ืองจากการสร้างความคิด
ซ่ึงมีลักษณะเป็นนามธรรมอยู่ในสมอง จำเป็นจะต้องมีการแสดงออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม ผังกราฟิก
เป็นรูปแบบของการแสดงออกของความคดิ ท่สี ามารถมองเห็นและอธิบายได้อย่างเป็นระบบ ชดั เจน และ
ประหยดั เวลาดว้ ย
ผังกราฟิกท่ีนิยมใช้กันโดยท่ัวไปมีมากมาย เช่น ผังความคิด (Mind Map) ผังมโนทัศน์
(Concept Map) ผังก้างปลา (Fishbone Map) ผังลำดับขั้นตอน (Sequential Map) ผังวัฏจักร (A
Circle or Cyclical Map) ผังวงกลมซ้อน (Venn Diagram) เป็นต้น ผังกราฟิกเหล่านี้ จะมีจำนวนมาก
ข้ึนเร่ือยๆ เน่ืองจากมีการค้นพบกราฟิกแบบใหม่ๆ จากการปฏิบัติงานอยู่เสมอ กระทรวงศึกษาธิการ
(2549 : 42)
ขวัญฤดี ผลอนันต์ และ ธัญญา ผลอนันต์ (2549 : 63-66) กลา่ วว่า การนำแผนที่ความคิดมา
ใช้ในการเรียนการสอน นอกเหนือจากสอนให้เด็กรู้จักทฤษฏี ฝึกฝนให้เขียนแผนท่คี วามคิดเป็นแล้ว ครู
อาจใช้แผนท่ีความคดิ ช่วยให้การเรียนการสอนง่ายและสนกุ สนานขึน้ อีกมากมายหลายวธิ ี
1) ใช้เตรียมการสอน วิธีใช้แผนที่ความคิดที่ทรงพลังแบบหนึ่งก็คือ ใช้เตรียมการสอน
(หรอื คำบรรยาย) การเตรียมแบบแผนท่คี วามคดิ จะเร็วกว่าเตรยี มแบบจดเปน็ บรรทัด จดเป็นแถวๆ เรียง
กัน ทง้ั ยงั ช่วยใหน้ ักเรียนและครเู หน็ ภาพรวมของเรื่องราวที่กำลงั เรียนอยูต่ ลอดเวลาอีกด้วย เนอ้ื หาวิชา
22
ที่จดแบบแผนท่ีความคิดนี้ ยังเก็บไว้ต่อเดิมหรือแต่งแต้มในปีการศึกษาต่อๆไปได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
และด้วยคุณสมบัติของแผนท่ีความคิดท่ีช่วยในการจดจำ ทำให้เห็นภาพรวมของเรื่องก่อนที่จะลงลึกใน
แต่ละประเด็น ความรู้ของครเู องก็จะเปลี่ยนแปลงไปในแตล่ ะปี แม้จะใช้แผนท่ีความคิดใบเดิมก็ตาม คำ
บรรยายก็จะไม่เหมือนเดิมทุกถ้อยคำ เมื่อเทยี บกับการจดแบบเดิมที่มักจะทำให้คำบรรยายซ้ำเหมือนกัน
ทุกๆปี การสอนจึงน่าสนใจท้ังกับนักเรียนและตัวครูเอง ครูที่ใช้แผนที่ความคิดเตรียมการบรรยาย จะ
สามารถสอนแบบเปน็ ธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังสอนอย่างมีระบบควบคู่กนั ไปดว้ ย
2) วางแผนรายปี แผนท่ีความคิดจะชว่ ยใหค้ รูเหน็ แผนการสอนท้ังปี แบง่ เป็นภาคเรียน
แบง่ เป็นบทเรียนทจี่ ะสอนในแต่ละคาบ (เชน่ ครูผสู้ อนวชิ าภูมิศาสตรจ์ ะเห็นภาพรวมว่าในปหี น่ึงน้ัน
จะสอนในชั้นเรียนก่คี าบ นำนักเรยี นออกนอกสถานศกึ ษาก่ีคาบ ใหน้ ักเรียนนำเสนอรายงานก่ีครงั้ )
3) วางแผนรายภาคเรียนขยายออกจากแผนที่ความคิด แผนรายปีอาจเป็นฉบับท่ีเล็ก
ลง ใช้บ่งบอกแผนการสอนทีล่ ะเอยี ดลงไปวา่ ในภาคเรียนนั้นๆจะสอนหวั เร่อื งอะไร
4) วางแผนรายวัน ลงรายละเอียด ทบทวนบทเรียนเดิม หัวเรื่อง เนื้อหา ตัวอย่าง
คำถามแบบฝกึ หดั การบา้ น ท่ีจะสอนนักเรียนตง้ั แต่ต้นจนจบ
5) ครูอาจใช้กระดานดำ กระดาษแผ่นใหญ่ วาดแผนท่ีความคิดไปในระหว่างการสอน
เป็นการช่วยให้นักเรียนเห็นโครงสรา้ งของเน้ือหา จดจำง่ายและเขา้ ใจความสัมพันธ์ของเร่อื งราวท้ังหมด
ทำสำเนาโครงร่างของแผนที่ความคิดวิชาท่ีสอน แล้วให้นักเรียนแต่งเติมตามระหว่างที่ครูสอน หรือจะ
ถ่ายเอกสารแบบขาวดำ แลว้ ให้นักเรยี นกลบั ไประบายสีตอ่ เตมิ ภาพด้วยตัวเองเปน็ การบ้าน
6) ทดสอบ หากว่าจุดประสงค์ของการสอบคอื การวัดความรู้ ความเขา้ ใจของนกั เรียน
ในวิชาหนึ่ง ไม่ใช่การวัดความสามารถในการเขียนหรือจำแล้ว การทดสอบด้วยแผนท่ีความคิดถือเป็น
วิธีการที่ใช้ได้ดี เพราะครูจะรู้ว่านักเรียนเก็บเกี่ยวความรู้ได้มากน้อยเพียงใด นักเรียนเข้าใจผิดเร่ืองใด
ซึ่งดูได้จากการเช่ือมโยงในแผนที่ความคิด และสามารถช่วยปรับปรุง แก้ไขนักเรียนได้ตรงประเด็นของ
แต่ละคน คำถามแบบปรนัยจะไม่สามารถบง่ บอกไดช้ ดั เจนเท่าแผนท่ีความคดิ
ตวั อยา่ งหลักเกณฑ์ในการใหค้ ะแนนคำตอบวิชาตา่ ง ๆ ทีเ่ ป็นแผนทค่ี วามคดิ
กิ่งแกว้ (ดูความกว้างของประเด็นที่นักเรยี นจบั ไวไ้ ด้) 5 คะแนน
คะแนน
ก่ิงก้อย (ดูรายละเอยี ดในแต่ละประเดน็ ว่าลงได้ลึกแคไ่ หน) 5 คะแนน
คะแนน
ภาพรวมการใช้แผนที่ความคิด 5 คะแนน
คะแนน
มีความคดิ ของนกั เรยี นเองหรอื ไม่ 4 คะแนน
คะแนน
สี 2
ภาพ/สญั ลกั ษณ์ 2
ลกู ศร การโยงขอ้ มลู ความคิด 2
รวม 25
23
7) โครงการ/โครงงาน ครูและนักเรียนอาจใช้แผนที่ความคิดในการเขียนโครงการ/
โครงงานต่างๆ ในกิจกรรมท้ังในและนอกหลักสูตร ใช้ประกอบนิทรรศการ การวางแผนกีฬาภายใน ทำ
แผนท่ีความคดิ ขนาดยกั ษ์ อธิบายประวัตคิ วามเปน็ มาของโรงเรยี น เปน็ ต้น
ขอ้ ดขี องการใช้ แผนท่ีความคดิ ช่วยสอน
1. ช่วยให้นักเรียนสนใจบทเรียน ส่งผลให้รับรู้และให้ความร่วมมือในการเรียนการสอนมากข้ึน
ตามไปด้วย
2. ทัง้ ครแู ละนักเรยี นรูส้ ึกว่า การเรยี นร้เู ป็นเรอ่ื งธรรมชาติ สร้างสรรคแ์ ละสนกุ สนาน
3. ครูเองจะรู้สกึ ว่าการเรียนการสอนแต่ละปีไม่ซ้ำซาก การเตรียมการสอนยืดหยุ่น ปรับเปล่ียน
ได้งา่ ยและสะดวกกว่าเดิม
4. แผนที่ความคิดจดบันทึกแต่ประเด็นสำคัญๆ นักเรียนจึงเรียนรู้ได้ดีข้ึนผลก็คือ ทำข้อสอบได้
ดีกวา่ เดมิ แมจ้ ะเป็นข้อสอบแบบเก่าก็ตาม
5. แผนที่ความคิดแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลหรือความคิดอย่างชัดเจน นักเรียนจึงเข้าใจ
เนอื้ หา สาระไดล้ ึกซง้ึ กว่าเดมิ
6. กระดาษจดงานจะลดลงไปอย่างมาก ปกตหิ น่ึงบทตอ่ แผนท่ีความคิดหนง่ึ ใบ
7. แผนที่ความคิดใช้กบั นักเรียนที่มีปัญหาในการเรียนรู้ได้เปน็ อย่างดี โดยเฉพาะย่างย่ิง เด็กท่ีมี
ปัญหาเรื่อง การสะกดคำ การแต่งประโยค พูดไม่คล่อง สามารถนำเสนอความคิดความรู้ได้อย่างไม่
ลำบากนัก
1.4.4 แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกบั แผนทีค่ วามคดิ (Mind Map)
ธัญญา ผลอนันต์ ( 2544 : 23-25) กล่าวว่า แนวคิดของแผนที่ความคิด เป็นเทคนิคท่ี
พัฒนา ข้ึนโดยโทนี บูซาน (Tony Buzan 1997) ท่ีเป็นผู้คิดค้นการฝึกสมองใหไ้ ดเ้ ต็มศักยภาพ โดยการ
โยงของเซลล์ประสาทในสมองกว่าสิบล้านเซลล์ แต่ละเซลล์จะมีการเช่ือมโยงกันด้วยส่วนที่เรียกว่า
Dendrite ท่ียื่นออกไปรอบทิศทางเพ่ือรับข้อมูลจากเซลล์อ่ืนๆ และ Axon ท่ีใช้ส่งข้อมูลไปยังเซลล์
ประสาทอ่ืนๆ ทงั้ ใน Dendrite และ Axon มีการโยงภายในสมองอย่างไม่มีท่ีส้ินสุด การทำงานในสมอง
นี้ โทนี บูซาน เรียกว่า การคิดรอบทิศทางเปน็ โครงสร้างและกระบวนการท่ีอยู่ในสมอง เขาเชื่อว่ามนุษย์
มีสมองส่วนบน 2 ส่วนมิใช่ส่วนเดียว ซ่ึงสมองสองส่วนน้ีทำงานต่างกัน โดยสมองซีกซ้ายจะทำงาน
เกี่ยวกับตรรกวิทยา ภาษา ความเป็นเหตุผล ตัวเลข การวัด และการวเิ คราะห์ อาจเรยี กว่า กจิ กรรมทาง
วิชาการ ส่วนสมองซีกขวาทำงานเก่ียวกับจังหวะ จินตนาการ สี มิติ ภาพรวมต่างๆ มนุษย์สามารถ
พฒั นาสมอง
24
ทีละด้านได้ การค้นพบสมองซีกซ้ายและซีกขวาน้ี ช่วยให้เราสามารถปรับระบบความจำ การจดบันทึก
การสื่อสาร มาเป็นรูปแบบของแผนทีค่ วามคดิ คือ ต้องการให้สมองโยงใยข้อมลู อยา่ งมีประสิทธภิ าพมาก
ท่ีสุดควรจัดรูปแบบการบรรจุข้อมูลให้ง่าย โดยการจัดลักษณะการบันทึกใหม่แทนการเขียนเป็นบรรทัด
แล้วเขียนเป็นประโยคหรอื ลำดับจากรายการมาเป็นการเขยี นเร่ิมจากศนู ย์กลางด้วยความคิดหลัก
แลว้ แตกสาขาออกไปเปน็ ความคดิ ยอ่ ย โดยผสมกนั ไประหว่าง รปู ภาพ คำ สัญลกั ษณ์
คุณลักษณะสำคัญของแผนท่ีความคิด (Mind Map) บูซาน ได้สรปุ คุณลักษณะเฉพาะ
ของแผนท่ีความคิดไว้ 4 ลกั ษณะ ดงั นี้
1) ประเดน็ ที่สนใจถูกสรา้ งขน้ึ ภายในภาพตรงกลาง
2) หวั ข้อหลักของประเดน็ อยรู่ อบภาพตรงกลางเปรียบเสมือนกงิ่ ก้านของตน้ ไม้
3) กิ่งก้านประกอบด้วยภาพ หรือคำสำคัญท่ีเขียนบนเส้นที่โยงใยกัน ส่วนคำอื่นๆที่มี
ความสำคญั รองลงมาจะถูกเขียนในกิง่ ก้านท่ีแตกออกในลำดับต่อๆไป
4) ก่ิงกา้ นจะถูกเชอื่ มโยงกนั ในลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกนั ตามตำแหนง่ และความสำคญั
จะเห็นได้ว่า ลักษณะของแผนทคี่ วามคิดตามแนวคดิ ของโทน่ี บูซาน นน้ั เป็นการแสดง
ใหเ้ ห็นถงึ การเช่ือมโยงของเส้นสมองในการเชื่อมโยงข้อมูลอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ประเด็นสำคญั ท่ีสดุ จะอยู่
ตรงกลาง หัวขอ้ หลกั ของประเด็นจะอยู่รอบๆภาพกลางรอบทิศทางเปรียบเสมอื นกิง่ ก้าน
ซงึ่ กงิ่ กา้ นประกอบดว้ ย ภาพ หรือ คำสำคญั ท่ีเขียนบนเส้นโยงใยกันและจะถกู เช่อื มโยงกนั ในลักษณะ
แตกตา่ งกนั ตามตำแหนง่ และความสำคัญ
1.4.5 หลกั การทำแผนท่ีความคิด
หลักการทำแผนภาพหรอื แผนที่ความคิด โทนี่ บูซาน (2544 : 45-46) ได้สรปุ หลักการทำ
แผนท่ีความคิดไว้ ดังนี้
1) เริ่มด้วยภาพสีตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ ภาพๆเดียวมีค่ากว่าคำพันคำ ซ้ำยังช่วยให้
เกดิ ความคิดสร้างสรรค์และเพ่ิมความจำมากข้ึนด้วย
2) ใช้ภาพให้มากทีส่ ุด แผนทค่ี วามคดิ ของคณุ ตรงไหนท่ีใชภ้ าพได้ ให้ใช้กอ่ น คำสำคัญ
(Key Word) หรอื รหสั เปน็ การช่วยการทำงานของสมองดึงดดู สายตาและช่วยจำ
3) ควรเขียนความสำคัญเปน็ ตวั บรรจงตัวใหญ่ๆ ถ้าเปน็ ภาษาองั กฤษใหใ้ ช้ตวั พมิ พ์ใหญ่
เพ่ือท่ีว่าเวลาย้อนกลับมาอ่านใหม่จะให้ภาพท่ีชัดเจน สะดุดตา อ่านง่ายและก่อผลกระทบต่อความคิด
มากกวา่ การใช้เวลาเพม่ิ อีกเล็กน้อยในการเขียนตัวให้ใหญ่ อ่านงา่ ย ชัดเจนจะชว่ ยให้เราประหยดั เวลาได้
เมอ่ื ยอ้ นกลับมาอา่ นใหม่อีกครั้ง
4) เขียนคำสำคัญเหนือเส้น แต่ละเส้นต้องเชื่อมต่อเส้นอื่นๆเพ่ือให้แผนท่ีความคิดมี
โครงสรา้ ง พ้ืนฐานรองรับ
25
5) คำสำคัญควรมีลักษณะเป็น “หน่วย” โดยคำสำคัญ 1 คำ ต่อเส้น 1 เส้น คำละเส้น
เพราะว่าจะช่วยให้แต่ละคำเช่ือมโยงกับคำอื่นๆได้อย่างเป็นอิสระ เปิดทางให้แผนที่ความคิดคล่องตัว
และยดื หยุ่นมากขึน้
6) ระบายสีให้ทั่วแผนที่ความคิด เพราะสีช่วยยกระดับความจำเพลินตา กระตุ้นสมองซีก
ซา้ ย
7) เพ่ือให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ควรปล่อยให้หัวคิดมีอิสระมากท่ีสุด อย่ามัวคิดว่า
จะเขยี นลงตรงไหนดี หรอื วา่ จะใสห่ รือไมใ่ ส่อะไรลงไปเพราะล้วนแต่จะทำให้งานล่าชา้ อย่างน่าเสียดาย
1.4.6 ขนั้ ตอนในการเขียนแผนทคี่ วามคดิ
ธัญญา ผลอนันต์ (2542) อ้างถึงใน ประเพ็ญศรี ไกรอนุพงศ์ (2549 : 32-35) ได้
กำหนดหลักการสร้างเทคนิคแผนท่ีความคิดไว้ ดงั นี้
1) หากระดาษเปล่าไม่มีเส้น เพื่อจะได้มีอิสระ 360 องศา ในการแสดงออกซึ่งทักษะทาง
สมองอย่างครบถว้ น หากใช้กระดาษมเี ส้นจะเปน็ การตกี รอบการล่นื ไหลของความคิด
2) วางกระดาษตามแนวนอน เพ่ือให้มีช่องว่างทางด้านข้างมากข้ึน เวลาใช้จะไม่ตกกรอบ
เรว็ เกนิ ไป
3) เริ่มท่ีจุดกึ่งกลางหน้า เพราะในโลกแหง่ ความคดิ ของเรา จุดเรม่ิ ต้นอยูท่ ่ีศนู ยก์ ลาง
4) วาดภาพศูนย์กลางท่ีเป็นใจความใหญ่ของเรื่องที่จะเขียนหรือคิดตามความเหน็ ของตัวเอง
เพราะภาพๆหน่ึง มีค่ามากกว่าพันคำ ภาพเปิดทางไปสู่การเช่ือมโยงการรวมศูนย์ความคิด ทำให้สนุก
และฟื้นความจำได้ง่าย ใช้สีอย่างน้อย 3 สีในภาพ เพราะสีช่วยกระตุ้นการจินตนาการของสมองซีกขวา
จับจุดและยึดความสนใจ ภาพศูนย์กลางควรสูงและกว้างประมาณ 2 นิ้ว เพราะภาพขนาดนี้จะทำให้มี
ทีเ่ หลือมากพอในแผนทคี่ วามคิด ภาพควรจะมีรูปรา่ งไม่เหมอื นใครและไม่ควรมีกรอบภาพ
5) หัวข้อสำคัญของเร่ืองที่แตกออกมาจากภาพศูนย์กลาง เพราะต้องการให้เห็นความสำคัญ
ของภาพ และควรเขียนดว้ ยตัวอักษรตัวหนาเพ่ือใหส้ มองรับรู้ได้ง่าย ดงู ่ายและฟืน้ ความจำง่าย คำทีเ่ ขยี น
ลงบนพื้นที่ให้มีความยาวเท่ากับตัวหนังสือ เพราะถ้าเส้นยาวไปความคิดจะไม่ต่อเน่ือง ถ้าเส้นพอดีก็จะ
ลงตัว เส้นสาขาหลักหนาเรียวไม่ทื่อแข็ง เส้นเรียวโค้งทำให้เกิดความกลมกลืนและหลากหลาย ทำให้จำ
ไดง้ ่าย เขียนสบายมือ ไม่นา่ เบื่อ ความหนาของเสน้ ก็ชว่ ยเน้นความสำคัญและเส้นต้องตอ่ ตรงออกมาจาก
ภาพศูนย์กลางติดกบั ส่วนใดส่วนหนึง่ ของภาพศนู ย์กลางด้วย
6) เติมก่ิงก้านสาขาหัวข้อสำคัญด้วยจินตนาการ “หัวข้อบท” อ่ืนๆให้หัวข้อสำคัญ โดดเด่น
ออกมา เพ่ือช่วยโน้มนา้ วโยงไปสู่ความคดิ อื่นที่ต่อเนอื่ งกนั
7) จากน้ันแตกแขนงออกมายังระดับความคิดที่สอง คำหรือภาพจะแตกออกมาจากสาขา
ใหญท่ ีค่ วามคดิ ไหลลื่นออกมา คำและภาพเหล่าน้จี ะกระตุ้นให้โยงไปสู่ความคดิ อ่ืนที่ต่อเนื่องกัน
26
8) แตกแขนงของข้อมูลออกไปยังระดับที่สามและส่ี ความคิดที่ไหลออกมาจากสมอง ใช้รูป
ให้มากทส่ี ดุ เทา่ ท่จี ะมากได้
9) เพ่ิมความลึกเข้าไปแผนท่ีความคิดโดยการตีกรอบใส่กล่องเพ่ิมสี รอบๆคำหรือภาพ เพ่ือ
ใหเ้ รอื่ งท่ีสำคัญโดดเดน่ ออกมา
10) อาจล้อมกิ่งก้านสาขาเป็นรูปร่างแปลกๆเพ่ือให้เกิดความจำ การใช้แถบสีตาม
ก่ิงก้านสาขา เพิ่มลูกศรและรหัสระหว่างข้อมูลเพื่อแสดงความสัมพันธ์ จะทำให้แผนท่ีความคิดชวน
ติดตามและเตือนว่าต้องทำอะไรต่อไป
11) ทำแผนทคี่ วามคดิ ให้ดูสวย มศี ลิ ปม์ ากข้นึ มีสสี ันสดใสมากด้วยจนิ ตนาการ เพิ่มความลึก
หรอื มติ ิ ทำใหน้ า่ สนใจสำหรบั ตนเองและคนอื่น
12) สามารถเล่นกับแผนท่ีความคิดได้อย่างสนุกสนาน แทรกอารมณ์ขัน ทำให้หรูหราได้
อยา่ งไม่มขี อบเขตจำกดั เพอื่ สมองของเราจะไดส้ นุกสนานอยา่ งสดุ ๆ เรียนรูเ้ รว็ ขึน้ และฟน้ื ความหลงั ได้
อย่างมีประสทิ ธภิ าพ การเรียนรขู้ องตวั เราก็จะสนกุ สนานไปด้วย
จอห์นสนั และเพียร์สัน (Johnson and Pearson, 1984) อา้ งถึงใน ประเพญ็ ศรี ไกรอนุพงศ์
(2549 : 33) ได้เสนอแนะการนำแผนท่คี วามคิดไปใช้ ดงั นี้
1) เลือกคำศัพท์ หรือหวั เรื่องที่เกย่ี วข้องกบั ส่งิ ท่เี รียนมา 1 คำหรอื 1 เร่อื ง
2) เขียนคำศัพท์หรือหวั เร่อื งน้ันลงบนกระดาน
3) กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดหาคำอื่นๆท่ีเก่ียวข้องกับหัวเรื่องให้ได้มากท่ีสุด แล้วจัดกลุ่มคำน้ัน
เป็นหัวขอ้ ย่อยๆ
4) ผู้เรียนเสนอคำทค่ี ิดไว้ อภิปราย แล้วรวบรวมจัดคำเข้าเป็นกลุ่มหวั ข้อประกอบกันจนเป็น
แผนที่ของคำน้ันเปน็ หัวข้อย่อยๆ
5) พยายามให้ผูเ้ รยี นมสี ่วนรว่ มในการทำแผนทคี่ วามคิด
6) การอภิปรายเป็นส่ิงสำคัญท่ีสุดในบทเรียน เพราะมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้
เรียนร้คู ำและมองเห็นความสัมพันธร์ ะหว่างคำ
ไคล์ และ คณะ (Klein et al, 1991) อ้างถึงใน สุพิศ กล่ินบุปผา (2545 :40) ได้เสนอ
วิธีการสรา้ งแผนท่ีความคดิ ไว้ ดงั น้ี
1) เลอื กคำท่เี ปน็ คำศัพท์สำคญั ของเค้าเรอื่ งหรือหัวข้อ เขยี นคำทเี่ ป็นหัวเรอ่ื ง เชน่ Boating
ลงตรงกลางแผนทค่ี วามคดิ
2) ครูใหน้ ักเรียนคิดคำท่ีเกย่ี วข้องกบั หวั เรอื่ ง เมอ่ื นักเรยี นบอกคำ ครูเขียนคำลงบนกระดาน
รอบๆ คำสำคัญหรือหวั เรอ่ื ง เชน่ เก่ียวกบั เรือ นกั เรยี นนึกถึงคำ Fish, sail , beach, water เป็นต้น
3) กระตนุ้ ให้นกั เรยี นอภปิ รายวา่ ทำไมจึงคดิ ว่า Boating เปน็ คำศัพท์สำคัญ ซ่งึ นักเรียนอาจ
จะอภปิ รายวา่ เมื่อพูดถึงการตกปลา การพายเรือ เปน็ หวั ขอ้ สำคญั ของเรอื่ ง
27
4) นักเรียนอภิปรายวิธีท่ีคำสัมพันธ์กับคำอื่นๆ เช่น เราใช้เรือเพ่ือออกไปตกปลาหรือแนะ
วิธกี ารทำแผนท่ีความคดิ ไวเ้ ป็นขน้ั ตอน ดังนี้
(1) เลอื กคำทเ่ี ป็นหัวเร่ืองหรอื หวั ข้อเรอ่ื ง
(2) เขยี นคำท่เี ปน็ หวั เร่ืองไวบ้ นกระดานดำหรือกระดาษชาร์ต
(3) ระดมสมอง (Brainstorming) เก่ียวกับคำสมั พันธ์กับหวั ขอ้ (Topic) แล้วเขียนคำ
เหลา่ น้ันลงไป
(4) จบั กลุม่ คำเปน็ พวกๆและเขยี นหัวขอ้ ยอ่ ยๆ
(5) เติมคำท่ีจำเปน็ เพม่ิ เตมิ ลงในแผนที่ความคดิ
1.4.7 ประโยชน์ของแผนที่ความคดิ
จากการศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับแผนท่ีความคิด พบว่า มีนักการศึกษาและ
ผเู้ ชยี่ วชาญหลายท่านท่ไี ด้กลา่ วถึงประโยชน์ของแผนท่คี วามคดิ ดังนี้
1) ด้านการเรียน การศึกษาและการเตรียมตวั สอบ แทนท่ีจะตอ้ งดูตำรา สมุดจดงานหลายๆ
หน้าในแต่ละวชิ าทีเ่ รยี นก็ใช้แผนท่ีความคิดแผน่ เดียว แลว้ สามารถนำมารวมกันเป็นแผนท่ีความคิดหลัก
ซ่ึงจะทำใหก้ ารเตรียมตัวสอบงา่ ยขึ้น
2) การคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ ระดมความคิด จดั รูป ใช้เหตผุ ลในการคดิ จากเริ่มต้นคิดไปถงึ หยุด
คิด แผนที่ความคดิ ชว่ ยทัง้ การไหลคณุ ภาพ ปริมาณ ความชัดเจนและการจดั รูปความคิด
3) การส่ือสาร การพูดในที่สาธารณะ พูดต่อหน้าชุมชน เขยี นหัวข้อสำคัญที่จะพูดในรูปแบบ
ที่ยืดหยุ่นด้วยแผนที่ความคดิ จะทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ตกหล่นประเด็นสำคัญในเวลาท่ีพูด และยังจำงา่ ยไม่
หลงประเด็นดว้ ย
4) ปัญหาการวิเคราะห์ตัดสินใจ แผนที่ความคิดจะทำให้เห็นมุมมองต่างๆของข้อเท็จจริง
ความรู้สกึ และผลพวงอย่างรอบด้าน จะช่วยในการวิเคราะห์และประเมนิ หาทางเลือกที่ดีทีส่ ดุ ได้
5) การสร้างสมาธิ การผลดั วันประกันพรุ่ง การไหลล่ืน ความสนุกสนาน รวดเร็ว สีสัน ภาพ
และความต่ืนตาในการเขียนแผนท่ีความคิดจะช่วยตรึงความสนใจ จึงช่วยสร้างสมาธิจะไม่มีการผลัดวัน
ประกนั พรงุ่ อกี ตอ่ ไปและยงั เพม่ิ แรงจูงใจด้วย
6) ความจำและการฟ้ืนความจำ แผนท่ีความคิดที่เต็มไปด้วยสีสัน คำท่ีเป็นคำกุญแจภาพ
และการป้อนข้อมูลให้โยงกันตามธรรมชาติเข้าสู่สมอง ทำให้สามารถจำและเรียกความจำมาได้อย่างดี
ท่ีสดุ
7) การวางแผน การจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง ส่ิงท่ีจะต้องทำทั้งหลายจะปรากฏอยู่ใน
หน้ากระดาษแผ่นเดียวที่ขาดตกบกพร่องหรือซ้ำซ้อนก็จะสามารถเห็นชัดเจน แผนที่ความคิดจึงช่วยจัด
ลำดับความสำคัญก่อนหลัง และยังช่วยบริหารเวลามอบหมายงานในเรื่องต่างๆท่ีจะทำการทบทวนและ
28
ติดตามงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประเพ็ญศรี ไกรอนุพงศ์ (2549 : 22-23) นอกจากน้ี ชัยฤทธ์ิ ศิลา
เดช (2544 : 351) ได้กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องแผนท่ีความคดิ ดังนี้
1) ชว่ ยทำใหเ้ กดิ ความรวดเรว็ ในการเขียนขอ้ มลู ท่ซี บั ซ้อนหรอื เป็นประโยคใหเ้ รว็ ข้ึน
2) ช่วยให้สมองท้ังสองข้างได้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ (สมองซีกซ้ายเป็นเร่ืองเกี่ยว
กับการเรียงลำดับ การวิเคราะห์ ส่วนซีกขวาเป็นเรื่องเก่ียวกับการมองเห็นภาพรวม จินตนาการ สีสัน
มิติ)
3) ช่วยในการระลึกถึงข้อมูลต่างๆ เพราะข้อมูลได้มีการบันทึกความจำไว้อย่างมี
โครงสร้างเป็นระบบ
4) ช่วยใหก้ ารจดั เก็บข้อมูลขา่ วสารเปน็ รูปแบบโครงสรา้ งและมีความสมั พนั ธก์ ัน
5) ช่วยในการพฒั นาสมองซีกขวาเกีย่ วกบั การใช้ความคิดริเรม่ิ สรา้ งสรรค์มากข้นึ
ประโยชน์ของแผนที่ความคิดจากท่ีได้กล่าวมานั้นมีมากมายทั้งในชีวิตประจำวันและชีวิตการ
ทำงาน เช่น การวางแผน การบันทึกความจำ การสรุปบทเรียน ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่า
ผู้ใหญ่หรือเด็กสามารถทำได้เช่นกัน อยู่ท่ีการฝึกฝนจนเกิดความเคยชิน แทนท่ีจะเป็นหัวข้อใหญ่ หัวข้อ
ยอ่ ยอยา่ งในอดีตทเี่ ปน็ ลกั ษณะความเรยี ง กเ็ ปลย่ี นมาทำเป็นแผนทีค่ วามคิด จะทำให้เหน็ ภาพ
การสรุปความคิดเรื่องนั้นๆในหน้ากระดาษเพียงแผ่นเดียว ช่วยประหยัดเวลาในการเรียนรู้เก่ียวกับการ
จดั กลมุ่ เน้อื หาหรือความคิดรวบยอด การพัฒนาแนวคดิ ทเ่ี หมาะสม ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผู้เรียน
แผนที่ความคิดจึงมีคุณค่าอย่างย่ิงในการไตร่ตรองและการเรียนรู้ จึงใช้ได้กับผู้เรียนทุกระดับ อายุและ
ทุกวิชา และยังใช้แผนท่ีความคิดควบคุมการระดมสมองในเร่ืองใหม่ๆ เช่น การวางแผน การจดบันทึก
การสรปุ การทบทวน เปน็ ต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น พอสรุปได้ว่า ข้อเสนอแนะในการสร้างแผนที่ความคิด คือ การสร้าง
ภาพศูนย์กลาง การทำภาพท่ีน่าสนใจ การหาคำสำคัญ (Key Word) ควรเป็นคำส้ันๆ การหาความคิด
รองหรือการแตกกิ่งเรื่องเดียวกันควรใช้สีเดียวกันและควรใช้สีอย่างน้อย 3 สี การกำหนดคำถามให้
ผู้เรียนเกิดความคิด การระดมความคิดจะทำให้การเขียนแผนท่ีความคิดประสบความสำเร็จ ดังน้ัน
การศึกษาคร้ังนี้ ผู้ศึกษาจึงได้นำข้อเสนอแนะมาปรับใช้ในการพัฒนาการเขียนเชิงสร้างสรรค์คือ การ
สร้างภาพศูนย์กลาง ที่น่าสนใจ การใช้คำถามเพ่ือกระตุ้นให้นักเรียนคิด และการใช้สีสันเพ่ือจุดประกาย
ความคิดสร้างสรรค์ ใช้เส้นเพื่อเช่ือมโยงความคิดและจัดลำดับความคิดในการเขียน โดยนำข้ันตอนการ
สรา้ งแผนที่ความคิดทกี่ ลา่ วถงึ ไปใชใ้ นขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์
1.5 มาตราตัวสะกด
ความสำคัญ
โครงสร้างของคำในภาษาไทย ประกอบด้วยพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด หรือบางคำ
อาจมีตัวการันต์ ส่วนประกอบเหล่านี้จะทำให้คำมีเสียง และความหมายเปลี่ยนไป คำในภาษาไทย มีทั้ง
29
ประเภทท่ีเป็นคำไทยแท้ มีตัวสะกดตรงตามมาตรา และคำที่มาจากภาษาอ่ืน ได้แก่ ภาษาบาลี
สันสกฤต และภาษาทางยุโรปตะวันตก จะมีตัวสะกดไม่ตรงมาตราเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะเช่นนี้ นับว่า
เป็นปัญหาอีกประการหนึ่งสำหรับผู้เรียนภาษาไทย นอกจากน้ี คำไทยยังมีลักษณะที่เรียกว่า “คำพ้อง”
คือ อ่านออกเสียงเหมือนกันแต่เขียนไม่เหมือนกันและความหมายก็แตกต่างกัน เช่น คำว่า กาญจน์
กาน การ กาลกาฬ การณ์ เป็นต้น หากผู้เขียนใช้ตัวสะกดไม่ถูกต้องจะทำให้ส่ือความหมายผิดพลาดไม่
ตรงตามความต้องการ ตัวสะกดในภาษาไทยมีบทบาทในการกำหนดเสียงและความหมายของคำให้
แตกต่างกัน
เช่น สา + ง = สาง
สา + น = สาน
นอกจากนตี้ วั สะกดในมาตราเดยี วกนั ออกเสยี งสะกดเหมือนกันแต่มีความหมายแตกต่างกนั
เชน่ การ (งาน) กาล (เวลา)
อาจ หาญ สะ อาด
การสอนเรอื่ ง มาตราตวั สะกด ครคู วรจัดกจิ กรรมให้นักเรยี นไดต้ ระหนกั ถึงความจำเปน็
ในการเขยี นและอ่านคำให้ตรงตามมาตราตัวสะกด เพอ่ื ส่ือความหมายได้ถกู ต้องตรงตามความหมาย
ความหมาย
ตัวสะกด คอื พยัญชนะท่ปี ระกอบท้ายสระและมีเสียงประสมเข้ากับสระ ทำใหเ้ สียงของคำ
แตกตา่ งกันตามตัวพยญั ชนะที่นำมาประกอบ จำแนกตัวสะกดในภาษาไทยได้เปน็ 2 ประเภท
1. ตวั สะกดตรงมาตรา เชน่ กาน กาม กาย กาก กาด กาบ
2. ตวั สะกดไมต่ รงมาตรา เช่น กาล ขวัญ ศาล เหตุ ผล
ขอ้ สงั เกต
1. ตัวสะกดตรงมาตรา ได้แก่ แม่กง แม่กม แม่เกย แม่เกอว ที่มตี ัวสะกดเพียงตัวเดียว
และตวั น สะกดในมาตราแม่ กน
ตวั บ สะกดในมาตรา แม่กบ
ตวั ก สะกดในมาตรา แมก่ ก มตี วั พยัญชนะอืน่ เป็นตวั สะกดรว่ ม
ตัว ด สะกดในมาตรา แมก่ ด
2. พยัญชนะท่ีไมใ่ ชเ้ ปน็ ตัวสะกด ได้แก่ ฃ ฅ ฉ ฌ ผ ฝ ห อ ฮ
หมายเหตุ ฃ ฅ เปน็ พยญั ชนะท่ไี มใ่ ช้ในปจั จบุ ัน
30
6. งานวิจัยทเี่ กี่ยวข้อง
6.1 งานวจิ ัยในประเทศ
นงเยาว์ เลยี่ มขุนทด (2547 : 71 - 73) ได้ศึกษาแผนการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านและ
เขียนสะกดคำ โดยใช้แผนผงั ความคิด ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 1 มีความมุ่งหมาย เพื่อพฒั นาแผนการเรียนรู้
ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิระหวา่ งคะแนนทดสอบก่อนเรียนและ
หลังเรยี น และเพ่อื ศกึ ษาดัชนีประสิทธผิ ลของแผนการเรยี นรู้ กลมุ่ ตัวอย่าง คือ นักเรยี นช้ันประถมศึกษา
ปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนบ้านจั่นโคกรักษ์ (รัฐประชาสรรค์)สำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำนวน 18 คน เคร่ืองมือท่ีใช้คือ แผนการเรียนรู้ภาษาไทย จำนวน 14
แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีจำนวน 30 ข้อ สถิติท่ีใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีประสิทธิผลและทดสอบสมมติฐานด้วย t-test (Dependent Samples) ผล
การศึกษา พบว่า แผนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.42/82.22 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .01 และมดี ัชนปี ระสิทธผิ ลของแผนการ
เรยี นรู้ เท่ากบั 0.62 แสดงวา่ ผู้เรียนมคี วามรูเ้ พิ่มข้ึนร้อยละ 62
สมพร ขวาไทย (2547 : 98 - 101) ไดศ้ ึกษาแผนการเรียนรู้ เรอื่ ง ทักษะการเขียนจดหมายโดย
ใช้แผนผังความคิดวิชาภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาแผนการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ศึกษาดัชนีประสิทธิผลและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ห้อง 1 ภาค
เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนสหราษฎร์นุเคราะห์ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน
29 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน แบบฝึกหัดการเขียน
จดหมาย จำนวน 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน
30 ข้อ สถิติท่ีใช้คือ ค่าร้อยละค่าเฉล่ียส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีประสิทธิผล และทดสอบสมมุติฐาน
ด้วย t-test (Dependent Samples) ผลการศึกษา พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มี
ประสิทธิภาพเท่ากับ 90.16/89.20 ดัชนีประสิทธผิ ลเทา่ กับ 0.8469 นักเรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
หลังเรียนเพม่ิ ข้นึ กว่าก่อนเรียนอย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติที่ระดับ .05
จุฑารัตน์ เรือนใหม่ (2548 : 89) ได้ศึกษาทักษะการเขียนเรียงความ ด้วยแผนท่ีความคิดช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6 มีจุดมุ่งหมาย เพ่ือพัฒนาทักษะการเขียนเรียงความ เพ่ือพัฒนาแผนการจัดการ
เรียนรทู้ ีม่ ีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2547 โรงเรียนบ้านหนองไทร สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำนวน 15
คน เครอ่ื งมือที่ใช้คือ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมนิ ทักษะ
การเขียนเรียงความ แบบทดสอบย่อย และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติท่ีใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย
และร้อยละ ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉล่ีย 0.891 แสดงว่า นักเรียนมี
ทักษะการเรียนรู้ รอ้ ยละ 89.10 แผนการจดั การเรยี นรู้ มปี ระสทิ ธิภาพเทา่ กบั 89.10 / 89.00
31
ชาลิสา พรหมหรรษ์ (2548 : 87 ) ได้ศึกษาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย แบบ
กระบวนการกลุ่มร่วมมือ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ และแผนทีค่ วามคดิ เรื่อง ชนิดของคำ ช้ันมัธยมศึกษาปี
ท่ี 1 มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80/80 เพื่อ
ศกึ ษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตวั อย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี
ท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 โรงเรยี นหนองพลวงใหญ่ จำนวน 17 คน เคร่อื งมือท่ใี ช้ คอื แผนการจดั กจิ กรรมการ
เรียนรู้ จำนวน 7 แผน แบบฝกึ ทักษะเรื่องชนิดของคำ จำนวน 7 ชุด แบบทดสอบย่อย เรื่อง ชนิดของ
คำ จำนวน 7 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ
ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนปี ระสิทธิผล ผลการศึกษา พบวา่ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.51/82.94 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 0.4000
หมายความวา่ นักเรียนมีความรู้เพ่ิมขึ้น คิดเป็น รอ้ ยละ 40.00
จิรญาณ์ กลุ รตั น์ (2549 : 51)ได้ศึกษาแผนการจัดการเรียนรภู้ าษาไทย เรอื่ ง การแจกลูกสะกด
คำโดยใช้แผนผังความคิด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาไทยที่มี
ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ
นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 1 จำนวน 22 คน ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2548 โรงเรียนบ้านสัมพนั ธ์
อำเภอชุมแพ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 5 เครื่องมือท่ีใช้คือ แผนการเรียนรู้ภาษาไทย
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและค่าดัชนีประสิทธิผล ผลการศึกษา พบว่า แผนการจัดการ
เรียนรมู้ ีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.82-91.67 ดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.8096 หมายความว่า นักเรยี นมี
ความรเู้ พมิ่ ขน้ึ คิดเปน็ ร้อยละ 80.96
6.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ
อาห์เมด (Ahmed. 2000 : 3032 - B) ได้ทำการศึกษาการพัฒนาแบบแผนการสะกดคำตาม
หน่วยเสียงและตามอักขรวิธใี นช้ันประถมศึกษาของสหรัฐ โดยได้ออกแบบทดสอบการรู้จักการสะกดคำ
เบื้องต้น และนำไปทดสอบเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ถึง 5 โรงเรียน จำนวน 390 คน
แบบทดสอบนี้ประกอบด้วยคำท่ีไม่มีความหมายพยางค์เดียวและสองพยางค์จำนวน 35 คำ และมุ่งเป้า
ไปท่ีแบบแผนการสะกดคำ 3 แบบแผน ถอดรหัสหน่วยเสียงอย่างเดียว ความรู้เร่ืองกฎทางอักขรวิธี
อยา่ งเดียวและการรวมการถอดรหสั หน่วยเสียงกับความรเู้ ร่ืองกฎทางอักขรวิธเี ข้าอยู่ในคำเดยี วกนั
ผลการศึกษาพบว่า มีแนวโน้มทางการพัฒนาท่ชี ัดเจนในแบบแผนการสะกดคำท้ังสามแบบแผน
ทง้ั 4 ระดบั ชนั้ เรียน การปฏิบตั ิการสะกดคำในกลุ่มตัวอยา่ งอิสระสองกลุ่ม และผลปรากฏว่า แนวโน้ม
ของพฤติกรรมเหมือนกันและมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระหว่างนักเรียน ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 กับ 4 ช้ันปีที่ 2 กับ 5 ระหว่างชั้นปีที่ 3 กับ 4 และระหว่างชั้นปีที่ 3 กับ 5 ภายใน
แต่ละช้ันมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการปฏิบัติระหว่างแบบแผนการส ะกดคำอย่าเดียวกับแบบ
แผนการสะกดคำตามอักขรวิธีอย่างเดียวและระหว่างแบบแผนการสะกดคำ แบบถอดรหัสหน่วยเสียง
32
อย่างเดียวกับแบบแผนการสะกดคำแบบถอดรหัสอย่างเดียวบวกแบบแผนการสะกดคำตามอักขรวิธี
อย่างเดียว จากแบบแผนการสะกดคำทั้ง 3 แบบแผนท่ีประเมินแล้วน้ัน คำท่ีต้องการความรู้เร่ือง กฎ
ของอักขรวิธียากท่ีสุด เนื่องจากมีการสะกดคำท่ีมีการเปล่ียนแปลงทางหน่วยคำและทางหน่วยเสียง
เปน็ อยดู่ ้วย ทำให้นักเรยี นทง้ั 4 ระดบั ชัน้ มีความผิดพลาดในการสะกดคำมากท่ีสุด
บาว (Bar. 2002 : 1541)ได้นำเสนอข้อมูลด้วยเทคนิคผังความคิดในการนำมาใช้ เพ่ือ
ค้นคว้าหาข้อมูลเพ่ือประโยชน์ในการเลือกเว็บมากกว่าที่จะใช้การนำเสนอข้อมูลแบบธรรมดา โดยใช้
Internet Explorer หน้าท่ีที่นำไปใช้ในการนำเสนอข้อมูลรวมถึง ผังต้นไม้แบบย่อสรุป และการค้นคว้า
หาเป้าหมาย การเปรียบเทียบการทดลองท่ีได้รับการออกแบบ และนำไปใช้วัดพฤติกรรมของผู้ใช้ เพ่ือ
ค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การนำเสนอข้อมูลโดยใช้ผังความคิดมีประโยชน์มาก
กว่าการใช้ Internet Explorer ในระหว่างก่อนการทดสอบและพบว่า เทคนิคผังความคิดน้ันเป็น
เครือ่ งมือทมี่ ีประโยชน์สำหรบั การเรียนรขู้ อ้ มูลและความรู้ใหมๆ่
หวัง (Wang. 2004 : 3675 - A) ได้ศึกษาผลของความรู้ก่อนสอนและผลสำรวจ
ยุทธวิธีการใช้ผังความคิดในการจำแนกผลสัมฤทธิ์ ตามความแตกต่างของจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
ยุทธวิธีผังความคิด ได้แก่ การจับคู่ การจำแนกบุพบทและการให้นักเรียนรวบรวมผังความคิด
ประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบรวม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับต่ำกว่าปริญญาตรี 290 คน
แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 182 คนได้แก่ กลุ่มที่ใชจ้ ับคู่โดยใช้ผงั ความคิด 50 คน กลุ่มที่ใช้ผังความคิดในการ
จำแนกบุพบท 44 คน และกลมุ่ ที่ใช้ผังความคิดในการรวบรวมแนวคิดจำนวน 46 คน และจดั เป็นกลุ่ม
ควบคมุ จำนวน 42 คน จากการวิเคราะห์ข้อมลู พบวา่
1) ยุทธวิธีการใช้ผงั ความคิดท้ัง 3 แบบ ให้ผลในการจำแนกผลสัมฤทธิ์ไม่เท่าเทียมกัน
ตามจุดมุ่งหมายการศึกษาท่ีแตกต่างกัน พบว่า ความแตกต่างกันระหว่างการใช้ผังความคิดในการจับคู่
และพบความแตกตา่ งกนั ระหวา่ งการให้นกั เรยี นใช้ผังความคิดในการรวบรวมแนวคิดในการจำแนก
บพุ บทและกลุ่มควบคุมทีใ่ ชแ้ บบทดสอบอิงเกณฑ์ทุกชนดิ
2) ยุทธวิธีการใช้ผังความคิด ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงข้ึนตามจุดมุ่งหมายการศึกษาที่
แตกต่างกนั
3) ความรกู้ ่อนสอนและการใช้ผงั ความคดิ ไมม่ ีปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ งกัน
จากการศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยที่เกย่ี วขอ้ ง ทำให้ทราบว่า การพัฒนาเทคนิคการจัด
การเรียนรู้เรื่อง มาตราตัวสะกด โดยใช้แผนที่ความคิด จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ไม่สับสน จำ
ง่าย เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน มีความสุขกับการเรียน นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริงทุกคน เกิดความ
ภูมิใจ ทำให้อ่านและเขียนมาตราตัวสะกดได้ดียิ่งขึ้นและทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
สง่ ผลใหส้ ามารถพัฒนาการศกึ ษาได้
33
กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
การรายงานการวิจัยในช้ันเรียน เร่ือง การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ มาตรา
ตัวสะกด ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แผนท่ีความคิด( Mind map) มีกรอบแนวคิดใน
การวจิ ัย ดังนี้
- แผนการจัดการเรียนร้ทู ่บี ูรณาการ - พัฒนาทกั ษะการอ่านและเขียน
ทกั ษะการอา่ นและเขียนสะกดคำ สะกดคำ
- แบบฝกึ ทกั ษะ( แผนท่ีความคดิ - ผูเ้ รียนมคี วามรู้และเกิดการเรยี นรู้
Mind Map )เพ่อื พัฒนาทักษะการ เกดิ ทักษะการอ่านและเขียน
อ่าน และเขยี นสะกดคำ สะกดคำ
- ทดลองใช้และปรบั ปรุงให้ดีขึน้ - ผู้เรยี นมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
- การจดั การเรียนรู้ ท่สี นุก มีความสุข ด้านทกั ษะการอ่านและเขียน
สะกดคำสูงขึ้น
ประทบั ใจผู้เรยี น
แผนภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการพัฒนาทกั ษะการอ่านและเขยี นสะกดคำ มาตราตวั สะกด
ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 โดยใชแ้ ผนทีค่ วามคดิ ( Mind map )
ท่ีมา ผงั มโนทัศนก์ ารพฒั นาทกั ษะการอา่ นและเขียนสะกดคำมาตราตวั สะกดของผู้วิจยั
34
บทท่ี 3
วิธีดำเนินการ
การดำเนนิ การวิจัยในครั้งนี้ การพฒั นาทักษะการอา่ นและเขยี นสะกดคำ เร่อื ง มาตราตัวสะกดโดย
ใช้แผนท่ีความคดิ (Mind Map) ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง
จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การตามรายละเอยี ด ดงั น้ี
1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
2. เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
3. การสร้างและหาคุณภาพเครอื่ งมอื
4. แบบแผนการวิจยั และขน้ั ตอนการวิจยั
5. การวิเคราะหข์ อ้ มลู
6. สถิติท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง
1.1 ประชากร
ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564 โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมือง จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี
1.2 กลมุ่ ตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ไม่สามารถอ่านสะกดคำได้
ถกู ตอ้ งตามเกณฑข์ องระดบั ชัน้ จำนวน 15 คน โดยวธิ กี ารสุ่มแบบเจาะจง
2. เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั
เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการทดลอง มี 3 ชนดิ ประกอบดว้ ย
1. แบบฝกึ ทักษะเพอื่ พฒั นาทกั ษะการอา่ นและเขยี นสะกดคำ จำนวน 15 แบบฝกึ
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ ชั้น
ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลอื ก จำนวน 30 ขอ้
3. แผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3
เรื่อง การอ่านและเขียนสะกดคำ จำนวน 15 แผน
35
3. การสรา้ งและหาคุณภาพของเครอ่ื งมอื
1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้แผนท่ีความคิด
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การตามขั้นตอน ดังนี้
1.1 ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
เกยี่ วกับหลักการจุดมุง่ หมาย โครงสรา้ ง ความสำคญั ธรรมชาติ ลักษณะเฉพาะ วิสัยทศั น์ สมรรถนะ
สำคญั คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้ การจดั เวลาเรียน คุณภาพของผู้เรียน สาระ
และมาตรฐานการเรียนรู้ สาระ และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
(กรมวชิ าการ. 2551 ข : 1 – 34)
1.2 ศึกษาวิเคราะห์เอกสารประกอบการเรียน เร่ือง การอ่านและเขียนสะกดคำ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1- 3 เพื่อกำหนดเน้ือหาการสอน
มาตรฐานการปฏิบัติ และเป็นแนวทางการประเมินผลตรวจสอบคุณภาพของผู้เรียน ให้บรรลุตาม
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ และใช้เกณฑก์ ารประเมินคุณภาพของการจัดการศึกษา (กรมวชิ าการ. 2544 ก
: 12)
1.3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้
และสาระการเรียนรู้ (สพฐ. 2551 ก : 7 – 10) กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชัน้ ประถมศึกษาปีที่
4
1.4 ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ด้วยเรื่องทักษะการอา่ นและเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกด (วิมลรตั น์ สุนทรโรจน์. 2545 : 297
; อ้างองิ มาจาก สงบ ลักษณะ. 2533 : 1 ; อาภรณ์ ใจเทย่ี ง. 2546 : 216)
1.5 กำหนดรูปแบบเพื่อเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยมีองค์ประกอบ
ของแผน ดงั นี้
1.5.1 สาระสำคัญ
1.5.2 จุดประสงค์การเรียนรู้
1.5.3 สาระการเรยี นรู้
1.5.4 กระบวนการจัดการเรียนรู้
1.5.5 สอ่ื / แหลง่ เรยี นรู้
1.5.6 การวัดและประเมนิ ผล
1.6 ดำเนินการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษไทย เร่ือง ทักษะการอา่ น
และเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกด ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 15 แผน
1.7 สร้างแบบประเมินแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรูส้ ำหรับผูเ้ ชีย่ วชาญ เป็นแบบ
มาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั คือ เหมาะสมมากท่ีสดุ เหมาะสมมาก เหมาะสมปาน
กลาง เหมาะสมนอ้ ย และเหมาะสมน้อยที่สดุ โดยได้ศกึ ษาแนวคดิ และหลกั การ
36
เกี่ยวกับการสรา้ งแบบประเมินแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากหนังสอื ทฤษฎกี ารวิจยั เบื้องต้น (บุญ
ชม ศรีสะอาด. 2545 : 63 – 71) และแบบประเมินแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (กรมวิชาการ,
2544 ก : 74 – 76)
1.8 กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับ
ผู้เช่ียวชาญ ดังน้ี
ถ้าตอบ เหมาะสมมากทสี่ ดุ ให้ 5 คะแนน
เหมาะสมมาก ให้ 4 คะแนน
เหมาะสมปานกลาง ให้ 3 คะแนน
เหมาะสมนอ้ ย ให้ 2 คะแนน
เหมาะสมน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน
2. การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะ
ผู้วิจัยดำเนินการพัฒนาแบบฝึกทักษะโดยใช้แผนท่ีความคิด กลุ่มสาระภาษาไทย สำหรับ
นักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ดังนี้
2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของกรมวิชาการ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
2.2 ศกึ ษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย จากแนวการจดั การ
เรียนรู้สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ของกรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
2.3 ศกึ ษาสาระการเรียนรรู้ ายปี มาตรฐาน และตวั ชวี้ ัด จากแนวการจดั สาระการเรยี นรู้
ภาษาไทยของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร
2.4 ศึกษาวิธีการ หลักการ ทฤษฎี และเทคนิควธิ กี ารสร้าง แบบฝึกทักษะภาษาไทย จาก
เอกสารตา่ งๆ และงานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง
2.5 สรา้ งแบบฝกึ ทักษะการอา่ นและเขยี นสะกดคำ เร่ือง มาตราตวั สะกด สำหรับนักเรยี น
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 จำนวน 15 ชุด
2.6 นำแบบฝึกทักษะทส่ี รา้ งข้นึ เสนอผเู้ ช่ยี วชาญชดุ เดมิ ( 1.9.1 – 1.9.3 ) เพ่ือขอคำแนะนำ
ในสว่ นทีย่ ังบกพรอ่ ง แล้วนำมาปรบั ปรุงแก้ไข
2.7 นำแบบฝกึ ทักษะการพัฒนาทักษะการอ่านและเขยี นสะกดคำ ทีไ่ ด้รบั การพิจารณาไป
ทดลองใช้ ( Try – Out ) ในการจัดการเรียนการสอน กับกลุ่มประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย คือ
นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 15 คน เพ่ือหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะหลังจากทดลองใช้แล้ว
หาข้อบกพรอ่ งเพอื่ นำมาปรบั ปรุงแก้ไข
37
2.8 นำแบบฝึกทักษะการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ ท่ีได้รับการปรับปรุงแก้ไข
อีกคร้ัง มาทดลองสอนจริง โดยใช้คู่กับแผนการจัดการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการสอนตามปกติ กับ
นักเรียน สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 1 ช่ัวโมง และก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จะทำการ
ทดสอบกอ่ นเรียนด้วยแบบทดสอบแบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ขอ้ โดยทดลอง
กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี จำนวน 15 คน
2.9 หลังจากทดลองใช้แบบฝึกทักษะการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำ คู่กับ
แผนการจัดการเรียนรู้เสร็จสิ้นแล้ว นำแบบทดสอบชุดเดิมกับก่อนเรียนมาทำการทดสอบหลังเรียนอีก
คร้ัง แล้วนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ตามเกณฑ์มาตรฐาน
80/80 หมายถงึ คะแนนของกระบวนการเรียนตอ่ คะแนนสอบหลังเรียน
80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลีย่ ร้อยละของประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
80 ตวั หลงั หมายถงึ คะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละของการทดสอบหลงั เรียน
3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนการพฒั นาทกั ษะการอ่านและเขียนสะกดคำ
ผู้วิจัยดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการพัฒนาทักษะการอ่านและ
เขียนสะกดคำ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ โดย
มวี ธิ กี ารสร้างตามขน้ั ตอน ดงั น้ี
3.1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หนังสือเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 4 เพอ่ื เป็นแนวทางในการสรา้ งแบบทดสอบ
3.2 ศึกษาวิธีการสร้างข้อสอบ จากหนังสือการสร้างและพัฒนาแบบทดสอบ วัด
ผลสัมฤทธ์ิ เทคนิคการเขียนข้อสอบ และศึกษาการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบบอิงเกณฑ์
(สมนกึ ภัทธยิ ธนี, 2546 : 183 – 212)
3.3 ดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการพัฒนาทักษะการ
อ่านและเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยเป็นข้อสอบแบบอิง
เกณฑ์ ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลอื ก จำนวน 30 ข้อ
3.4 สร้างแบบประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้สำหรับ
ผู้เช่ียวชาญ จากนั้นนำแบบทดสอบพร้อมกับแบบประเมินเสนอผู้เชี่ยวชาญตามข้อ 1.9.1 – 1.9.3 เพ่ือ
ทำการประเมิน โดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดังนี้
ใหค้ ะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อทดสอบน้ันวดั ตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจวา่ ขอ้ ทดสอบนั้นวดั ตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ให้คะแนน -1 เมอ่ื แน่ใจวา่ ขอ้ ทดสอบนนั้ ไม่สามารถวัดตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
38
3.5 นำแบบประเมินที่ผู้เช่ียวชาญประเมินมาวิเคราะห์หาดัชนีความสอดคล้องระหว่าง
ข้อสอบกับผลการเรียนรู้ โดยใช้สูตร IOC (Item Objective Congruence ) ตามวิธีของโรวิเนลลี
(Rovinelli) และแฮมเบิลตัน (Hambleton) (สมนึก ภัทธิยธนี, 2546 : 166–167) แล้วคัดเลือก
ขอ้ สอบที่อยู่ในเกณฑค์ วามเท่ียงตรงทางเนอื้ หาทใี่ ช้ได้ โดยใช้ค่า IOC ตั้งแต่ .05 ถึง 1.00 ผลปรากฏ
ว่า ข้อสอบอยู่ในเกณฑ์ความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาท่ีใช้ได้ท้ังหมด 30 ข้อ ซ่ึงมีค่า IOC ตั้งแต่ .06 ถึง
1.00
3.6 นำข้อสอบท้ัง 30 ข้อ ที่ได้ผา่ นการวิเคราะห์หาความเทีย่ งตรงแล้วไปทดลองใช้ (Try
– out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ซ่ึงเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี 4 ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี จำนวน 15 คน
3.7 นำกระดาษคำตอบที่ได้มาตรวจให้คะแนน โดยให้ข้อถูกได้ 1 คะแนน ข้อท่ีตอบผิด
หรือไม่ตอบ หรือตอบเกิน 1 ข้อ ได้ 0 คะแนน หลังจากตรวจกระดาษคำตอบและรวบรวมคะแนนแล้ว
นำแบบทดสอบมาวิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก (B) เป็นรายข้อ โดยใช้วิธีของเบรนแนน (Brennan)
(บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 90 – 92) แล้วคัดเลือกข้อสอบไว้จำนวน 30 ข้อ โดยใช้เกณฑ์ค่าอำนาจ
จำแนก (B) ระหว่าง 0.20 ถึง 1.00 ซึ่งพบวา่ ไดค้ า่ อำนาจจำแนก
อยรู่ ะหวา่ ง 0.46 ถงึ 0.85
3.8 นำข้อสอบท้ัง 30 ข้อ มาหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบท้ังฉบับ ( rcc ) ตามวิธี
ของโลเวทท์ (Lovett) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 6) ซ่ึงพบว่า ได้ค่าความเชื่อมั่น ( rcc ) เท่ากับ
0.80 แล้วจัดพิมพเ์ ปน็ ฉบบั จริงเพื่อนำไปใช้ในการทดลองจรงิ กบั นักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป
4.แบบแผนการวิจัยและข้ันตอนการดำเนนิ การวิจยั
1. แบบแผนการทดลอง
การศึกษาค้นคว้าคร้ังนี้ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental
Research) โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre – test Post – test Design (ล้วน
สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538 : 249) โดยมีลกั ษณะการทดลองดงั ตาราง ดังนี้
39
ตารางท่ี 1 แบบแผนการทดลองแบบแบบ One Group Pre – test Post – test Design
กลมุ่ Pre-test Treatment Post-test
ทดลอง T1 X T2
T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test)
X หมายถงึ การจดั การเรยี นรู้
T2 หมายถึง การทดสอบหลงั เรยี น (Post-test)
2. ขัน้ ตอนการดำเนินการวิจยั
การดำเนินการทดลองคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองสอนด้วยตนเองกับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุ
ราษฎรธ์ านีจำนวน 15 คน ใชเ้ วลาในการทดลอง 15 ช่ัวโมง ทั้งนี้ไมร่ วมเวลาทดสอบก่อนเรียนและ
หลงั เรียน โดยมีขัน้ ตอนการดำเนินการทดลอง ดังน้ี
2.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ด้วยแบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564 โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จงั หวัดสุราษฎร์ธานี ทผ่ี ู้วิจยั สร้างขนึ้ จำนวน 30 ข้อ
2.2 ดำเนินการสอนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตรา
ตัวสะกด โดยใช้แผนที่ความคิด จำนวน 15 แผน พร้อมท้ังเก็บคะแนนจากการทำงานกลุ่มและจาก
การทำแบบฝกึ ทักษะระหวา่ งเรียนทุกคร้งั
2.3 เม่อื ดำเนินการสอนครบทุกแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แล้ว ทำการทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรียน (Post – test) ดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง
มาตราตัวสะกด ฉบับเดิมท่ีใช้ทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564 โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี
5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ในการวิจัยครงั้ น้ี ผูว้ จิ ัยได้ทำการวิเคราะห์ขอ้ มลู และเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดังน้ี
1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เรือ่ ง มาตราตวั สะกด โดยใชแ้ ผนทีค่ วามคดิ ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80
2. วิเคราะห์ เปรียบเทียบ คา่ เฉลย่ี รอ้ ยละ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นเรียนและหลังเรยี นของกล่มุ ตวั อย่าง
40
6. สถิติที่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
1. สถิตทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะห์หาคณุ ภาพเครือ่ งมอื
1.1. การหาคา่ ความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
โดยใช้สตู รค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง ( IOC ) สมนึก ภัททยิ ธนี ( 2546 : 220 )
IOC = R แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ สอบกบั จุดประสงค์
แทน ผลรวมระหว่างคะแนนความคดิ เหน็ ของผ้เู ช่ียวชาญทั้งหมด
N แทน จำนวนผูเ้ ชี่ยวชาญท้ังหมด
เมอ่ื IOC
R
N
1.2 การหาค่าอำนาจจำแนก ( Discrimenation Index B ) ของแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้สูตร B ( Discrimenation Index B ) บญุ ชม ศรสี ะอาด ( 2545 : 90 )
B=U − L
n1 n2
เมื่อ B แทน คา่ อำนาจจำแนก
U แทน จำนวนผสู้ อบผ่านเกณฑ์ทต่ี อบถูก
L แทน จำนวนผู้สอบไม่ผา่ นเกณฑ์ท่ีตอบถกู
n1 แทน จำนวนผสู้ อบผ่านเกณฑ์
n2 แทน จำนวนผู้ไม่ผา่ นเกณฑ์
1.3 การหาคา่ ความยาก (Difficulty) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น โดยใช้สตู ร
P (Difficulty) สมนึก ภัททิยธนี ( 2546 : 183 – 212 )
P= R
N
เมื่อ P แทน ระดบั ความยาก
R แทน จำนวนผู้ตอบถูกทง้ั หมด
N แทน จำนวนนักเรยี นทงั้ หมด
1.4 การหาค่าความเช่ือมั่น ( Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน โดยใช้
สูตร ( Reliability) ของโลเวทท์ ( Lovett ) บุญชม ศรสี ะอาด ( 2545 : 96 )
สตู ร r cc = 1 − (k k xi − x2 2
−1) i
(xi −
c)
เม่อื rcc แทน ความเชื่อมัน่ ของแบบทดสอบ
41
K แทน จำนวนขอ้ สอบ
X i แทน คะแนนของนกั เรียนแตล่ ะคน
C แทน คะแนนเกณฑ์หรอื จดุ ตดั ของแบบทดสอบ
1.5 การคำนวณหาค่า t-test ( Dependent Saple ) พิจารณาความแตกต่างของคะแนน
วัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนกอ่ นเรียนและหลังเรยี น ของกลุ่มตัวอย่าง โกวทิ ย์ ประวาลพฤกษ,์
กมล ภ่ปู ระเสรฐิ และสงบ ลกั ษณะ ม.ป.ป. อา้ งใน พวงผกา โสคำแก้ว ( 2540 : 74 )
สตู ร t = D
N D2 − ( D) 2
N −1
df = N – 1
เมื่อ t แทน ค่าสถติ ทิ ใ่ี ช้ในการพิจารณา
ผลตา่ งของคะแนนครงั้ หลังกบั ครงั้ แรก
D แทน ผลบวกของผลต่างของคะแนนครง้ั หลงั กบั ครงั้ แรก
ผลตา่ งของคะแนนครัง้ หลงั กับครั้งแรกแตล่ ะตวั ยกกำลังสอง
D แทน ผลบวกของผลตา่ งของคะแนนครงั้ หลงั กบั คร้งั แรกทีแ่ ต่ละ
D2 แทน ตวั ยกกำลังสอง
D2 แทน
N แทน จำนวนนกั เรยี นท่ีใชท้ ดลอง
Df แทน ช้ันแห่งความเป็นอิสระ
2. สถติ ิพ้นื ฐาน ไดแ้ ก่
2.1 ร้อยละ (Percentage ) ใชส้ ตู ร P บญุ ชม ศรสี ะอาด ( 2545 : 104 )
สูตร P = f 100
N
เมอื่ P แทน ร้อยละ
f แทน ความถที่ ่ตี อ้ งการแปลงให้เปน็ ร้อยละ
N แทน จำนวนความถที่ งั้ หมด
2.2 คา่ เฉลยี่ (Arithmetic Mean) ของคะแนน โดยใชส้ ูตร บญุ ชม ศรสี ะอาด
( 2545 : 105 )
สูตร X = X
N
เม่ือ X แทน คา่ เฉล่ีย
X แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมดในกลุ่ม
N แทน จำนวนคะแนนในกล่มุ
42
3. การหาประสิทธิภาพของวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด โดยใช้สูตร E1 / E2
เผชิญ กจิ ระการ ( 2545 : 46-51 )
สตู ร 1 E1 = X / N 100
A
เมอื่ E1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
X แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรืองาน
A แทน คะแนนรวมของแบบฝกึ ทุกชิ้นรวมกัน
N แทน จำนวนผ้เู รยี น
สูตร 2 E2 = F/ N 100
B
เม่อื E2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลัพธ์
F แทน คะแนนเรยี นของผลลพั ธห์ ลังเรยี น
B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลงั เรยี น
N แทน จำนวนผู้เรียน
43
บทท่ี 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
การวิเคราะหข์ อ้ มลู ผู้วิจยั ได้เสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดังน้ี
1. สญั ลกั ษณ์ที่ใชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู
2. ลำดับข้ันในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
3. ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
สัญลักษณ์ทีใ่ ชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
เพ่ือให้การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นที่เข้าใจตรงกัน ผู้ รายงานได้กำหนด
ความหมายของสัญลักษณท์ ใ่ี ชน้ ำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดงั น้ี
N แทน จำนวนนักเรยี นกลมุ่ ตวั อย่าง
X แทน คะแนนเฉลยี่
E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการ
E2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์
t แทน ค่าสถติ ทิ ี่ใช้ในการพจิ ารณา
ลำดบั ขน้ั ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมูลตามลำดบั ข้นั ดงั นี้
ตอนที่ 1 วิเคราะห์หาประสทิ ธิภาพของ การจัดการเรียนรู้ เรื่อง มาตราตัวสะกด โดยใช้แผนที่
ความคิด (Mind Map) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์มาตรฐาน
80/80
ตอนท่ี 2 วิเคราะห์หาความแตกต่างระหว่างคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อน
เรยี นและหลงั เรยี น ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ตอนท่ี 1 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรอ่ื ง
มาตราตวั สะกด โดยใชแ้ ผนท่คี วามคิด ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ตามเกณฑ์ 80/80
ปรากฏผลดังตารางท่ี 2
44
ตารางท่ี 2 คะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน คะแนนการทดสอบก่อนเรียน
หลังเรยี น คะแนนประเมินการทำงานกลมุ่ และคะแนนทำแบบฝึกทกั ษะแผนท่คี วามคดิ ระหวา่ งเรยี น
คะแนนระหวา่ งเรียน คะแนน
ทดสอบ
คะแนนทดสอบ การทำงานกล่มุ การทำแบบฝึกทักษะ หลังเรียน
เลขท่ี ก่อนเรียน 15 ครงั้ แผนทคี่ วามคิด 15 รวม
ชุด
30 คะแนน 150 คะแนน 150 คะแนน 300 30 คะแนน
1 18 115 108 223 21
2 14 119 109 228 24
3 16 118 108 226 23
4 17 122 115 237 24
5 14 118 115 233 22
6 19 131 138 269 25
7 22 123 127 250 27
8 22 141 136 277 28
9 24 142 137 279 28
10 20 124 126 250 29
11 23 138 133 271 27
12 24 143 142 285 29
13 17 131 131 262 28
14 25 143 134 277 28
15 17 138 131 269 26
รวม 292 1946 1890 3836 389
X 19.46 129.73 126.00 255.73 25.93
รอ้ ยละ 64.88 86.48 84.00 85.24 86.44
จากตารางท่ี 2 พบว่า คะแนนระหวา่ งเรยี น จากการประเมินการทำงานกลุ่มและคะแนนจาก
การทำแบบฝึกทักษะแผนท่ีความคิด มคี ่าเฉลีย่ เทา่ กับ 255.73 จากคะแนนเต็ม 300 คิดเป็นรอ้ ยละ
85.24 นัน่ คือ แผนการจดั การเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เร่ือง มาตราตัวสะกด โดยใช้แผนท่ี
ความคิด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีรอ้ ยละประสิทธภิ าพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 85.24 และการ
ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 25.93 จากคะแนน 30 คะแนน คิดเป็น
รอ้ ยละ 86.44 นั่นคือ แผนการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง มาตราตัวสะกด โดย