The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเรื่องสุขภาพและการป้องกันโรคของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aurai_2525, 2022-03-22 03:50:17

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเรื่องสุขภาพและการป้องกันโรคของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเรื่องสุขภาพและการป้องกันโรคของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล

1

_

การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิชาสขุ ศึกษาเรื่องสุขภาพและการปอ้ งกนั โรค
ของนักเรียนระดับประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 โดยใช้รปู แบบการสอนแบบซิปปาโมเดล

ทรงพร เฉลมิ พพิ ัฒน์
ทะนงศักด์ิ เมืองน้อย
มนญั ชัย เพง่ พินจิ
รชั ชพล รักกะเปา

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
ปกี ารศึกษา 2564

โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมอื ง จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี

2

การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาสขุ ศกึ ษาเรอ่ื งสุขภาพและการป้องกนั โรค
ของนักเรยี นระดับประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 โดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล

ทรงพร เฉลมิ พพิ ฒั น์
ทะนงศักดิ์ เมอื งน้อย
มนญั ชยั เพ่งพินจิ

รัชชพล รักกะเปา

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สขุ ศึกษาและพลศึกษา
ปกี ารศกึ ษา 2564

โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมอื ง จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี

3

กิตตกิ รรมประกาศ

การทำวิจัยในช้ันเรียนฉบับนี้ผู้จัดทำต้องขอขอบพระคุณคณะผู้บริหาร คณะครูในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ ตลอดจนคณะครูระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ที่ได้ช่วยเป็นกำลังใจ และให้คำแนะนำในการจัดทำ
ตลอดจนการคน้ หาข้อมูลในกระบวนการและข้ันตอนต่าง ๆ ได้รบั ความร่วมมือและความชว่ ยเหลือเปน็ อย่าง
ดีจากคุณครูผู้สอนในระดับชั้น ทุกท่าน ขอขอบคุณท่านเจ้าของเอกสาร บทความ ทฤษฎีและงานวิจัยต่างๆ
ตลอดจนนักเรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4-6 ทีใ่ ห้การสนับสนนุ ในการจัดทำวจิ ยั

ผู้จัดทำ
22 มนี าคม 2565

4

ช่ือเร่อื ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเรื่องสุขภาพและการป้องกันโรคของ
นกั เรียนระดบั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 โดยใช้รปู แบบการสอนแบบซปิ ปาโมเดล
ชือ่ ผูว้ จิ ยั
นายทรงพร เฉลิมพิพัฒน์ , นายทนงศักดิ์ เมืองน้อย นายมนญั ชัย เพ่งพินจิ
ปีทวี่ จิ ัย และนายรัชชพล รกั กะเปา

2564

บทคดั ยอ่

การจัดกิจกรรมการเรียนสุขศึกษา มุ่งเน้นพัฒนาความรู้ความเข้าใจและความตระหนักใน
การรักษาสุขภาพร่างกาย การเรียนรูแ้ บบซิปปา (CIPPA MODEL) เปน็ กิจกรรมสำคัญที่สามารถนำไปพัฒนา
ผู้เรียนเต็มตามศักยภาพ มีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายผู้เรียนสามารถนำ
วิธกี ารเรียนรไู้ ปใชใ้ นชีวิตจริงได้ การศกึ ษาค้นควา้ ครัง้ น้จี งึ มีความมุง่ หมายเพ่อื พัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
โดยใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 เพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ที่มีต่อการเรียนรู้ เรื่องสุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา
คน้ ควา้ คร้ังนีไ้ ด้แก่ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ภาคเรยี นท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรยี นธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีนักเรียน 16 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง ใช้เวลาในการทดลอง
15 ชวั่ โมง เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาค้นควา้ ครั้งนไี้ ด้แก่ แผนการจดั การเรียนรโู้ ดยใชก้ จิ กรรมการเรียนรแู้ บบ
ซปิ ปา(CIPPA MODEL) เรอ่ื ง สุขภาพและการป้องกันโรค จำนวน 9 แผน แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการ
เรียน สุขศึกษา เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อมี
ค่าอำนาจจำแนก (B) ต้ังแต่ 0.21–0.77 มีค่าความเช่ือม่ันเท่ากับ 0.90 และแบบวัดเจตคติต่อการเรียนวิชา

สุขศึกษา จำนวน 20 ข้อ ที่มีค่าอำนาจจำแนก ( xy r ) ต้ังแต่ 0.66 – 0.92 มีค่าความเชื่อมั่น (α ) เท่ากับ
0.98 สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาค้นคว้า
พบว่า แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบซปิ ปา เรอื่ ง สุขภาพและการป้องกันโรค ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6
มีประสิทธิภาพ 88.33/80.86 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์ที่ต้ังไว้ มีค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ เท่ากับ 0.8225 แสดงว่ามีความก้าวหน้าในการเรียน คิดเป็นร้อยละ 82.25 และนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 มีเจตคติต่อการเรยี นเรื่องสุขภาพและการป้องกันโรค วชิ าสุขศึกษาอย่ใู นระดับมากโดย
สรุป แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เร่ืองสุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 มีประสิทธิภาพเหมาะสมทำให้นักเรียนมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน จึงควรสนับสนุนส่งเสริม ให้ครูนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาใน
เน้ือหาสาระอนื่ ๆ ต่อไป

5

สารบญั

บทท่ี หน้า
1 บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคญั ...…..…………………….............................................................. 1
วัตถปุ ระสงค์ ………………………………………....................................................................... 2
สมมติฐานการวจิ ัย .……………………................................................................................. 2
ขอบเขตของการศึกษาค้นควา้ ..…………............................................................................ 2
ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รับ…………………………………………………………………………………… 4
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ....………………………………..................................................................... 4

2 เอกสารและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน…………………...................................................... 5
หลกั สูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพละศึกษา………………................. 8
ทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล.........…………...................................... 12
เทคนคิ การสอนสอนแบบซิปปาโมเดล............................................................................... 14
แผนการสอน..........................................................................................……………….……. 19
งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้อง ..............................................................................……………….…..… 22

3 วิธีการดำเนนิ การศึกษาคน้ ควา้
การเก็บรวบรวมข้อมลู …………………………….................................................................... 33
การวิเคราะห์ข้อมลู …………………….................................................................................. 34

บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
การวิเคราะห์ข้อมลู ........................................................................................................ 35
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล………………………......................................................................... 35

บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
สรปุ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู …………………........................................................................ 51
อภิปรายผล .................................................................................................................... 52
ข้อเสนอแนะ ……………….…………………............................................................................. 56

บรรณานกุ รม
ภาคผนวก

1

บทท่ี 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา

ในปจั จบุ ันน้ีความรู้ดา้ นต่างๆก้าวหน้าไปอยา่ งรวดเร็วและกว้างขวาง เทคโนโลยใี หม่ๆได้เข้ามามี
บทบาทต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ทำให้สังคมขับเคล่ือนไปท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงทางข้อมูล
ข่าวสาร ความรู้ทีร่ วดเร็ว ทำให้ภาวการณ์แข่งขันของโลกสงู มากโดยความรู้ความสามารถของคนในชาติ
จะส่งผลศักยภาพของประเทศ ประเทศท่ีมีศักยภาพสูงจะได้เปรียบประเทศอ่ืนๆ ท่ีศักยภาพต่ำกว่าด้วย
เหตุน้ีสังคมไทยจึงได้มีการปฏิรูปสังคม เพ่ือที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถของคนไทยให้อยู่ท่ามกลาง
กระแสการเปล่ียนแปลงดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยพ้ืนฐานของการปฏิรูปการศึกษา เม่ือประเทศไทย
ประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 1 มาตรา 6 ได้กำหนดแนวทางการจัด
การศึกษาโดยยึดหลักผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญ
ท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
และต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ หลักสูตรต่างๆมุ่งพัฒนาคนให้มีความ
สมดุลทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม
(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2543 อา้ งถงึ ใน นิภาพร แสนเมือง, 2547)

จากหลักการดังกล่าว รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA) (ทิศนา แขมมณี, 2550) เป็น
รูปแบบการเรียนการสอนท่ีพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สามารถนำไป
ปฏิบัติโดยเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางการเรียนและได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ส่วนร่วมในกจิ กรรมทงั้ ทางดา้ นร่างกาย สติปัญญา สังคมและอารมณ์ และนอกจากนี้การพัฒนาทกั ษะใน
การอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อ่ืนก็เป็นส่ิงท่ีสำคัญ โดยเฉพาะการใช้กระบวนการกลุ่ม (ทิศนา แขมมณี,2522
อ้างถึงใน มารุต วรสาร, 2548) ท่ีจะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการติดต่อส่อื สารกับผอู้ ่ืน มีวิจารณญาณ
ในการคดิ การตัดสินใจแก้ปญั หาต่างๆ การวเิ คราะห์วิจารณ์ และการช่วยเหลือสมาชกิ ภายในกลุม่ ในการ
พฒั นาตนเองใหด้ ีข้ึนการจัดการเรยี นการสอนสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ระดบั ประถมศกึ ษาในปัจจบุ ัน ไดม้ ี
การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนท่ีหลากหลาย ซงึ่ มผี ลให้ทัง้ ครูและผู้เรียนต้องปรบั เปล่ียนพฤติกรรม
การเรียนการสอน กล่าวคือ ในการจัดการเรียนการสอนสุขศึกษาและพลศึกษา ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้
สมั ผัสหรือสำรวจสิ่งแวดล้อมให้มากท่ีสุด กระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบจากส่ือรูปธรรม จากกิจกรรมท่ี
เน้นการเรียนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถสรุปความรู้ได้จากการกระตุ้นคำถามจากครูผู้สอน
หรือคน้ ควา้ หาความรู้ด้วยตนเอง ซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) ก็เป็นรูปแบบการสอนที่สามารถพัฒนา
ผู้เรียนให้สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ท่ีเหมาะสมอีกรูปแบบหนึ่งท่ีผู้สอน
ควรนำมาใช้ (กาญจนาไชยพนั ธุ์. 2543 : 27)

ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนสุขศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประสบปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชา สุขศึกษาคือ
จากผลการทดสอบความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนในเรื่องสุขภาพและการป้องกันโรค ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ต่ำกว่าที่กำหนดร้อยละ 80 ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา เพ่ือ
แก้ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาสภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนท่ีแท้จริง พบว่าการจัด

2

กิจกรรมการเรียนการสอนโดยมากใช้การสอนแบบบรรยาย ส่ือการสอนน้อย นักเรียนขาดความ
กระตือรือร้นในการเรียน ขาดการส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม นักเรียนที่เรียนอ่อน มี
ปัญหาเกี่ยวกับเร่ืองการอ่าน และการเขียน ก็จะมีปัญหาในการเรียนรู้ การทำใบงาน ซ่ึงสอดคล้องกับ
งานวิจัยที่ศกึ ษาเก่ียวกับวิธกี ารเรยี น วิธีการสอน และรปู แบบการเรยี นการสอนในระดับประถมศึกษา ท่ี
ส่งผลต่อการเรียนรขู้ องนักเรียนที่พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2533-พ.ศ. 2541 (กรมวิชาการ 2542) พบว่า
รปู แบบการเรียนการสอนท่ีค้นพบในงานวิจัย เป็นรปู แบบการเรียนการสอนท่ีพัฒนาข้ึนในกิจกรรมการ
เรียนการสอนที่สามารถ ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนได้ คือ
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการกลุ่ม ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนท่ียึดหลักทฤษฎี
กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ท่ีมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรมู้ ีความร้คู วามเข้าใจในมโนมติ มีทักษะรู้จัก
แก้ปัญหาและนำความรูไ้ ปใช้ในชีวิตประจำวันได้รวมท้ังนักเรียนเหน็ ความสำคัญมี และเจตคติท่ดี ีต่อการ
เรยี น

จากข้อมูลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา และหาแนวทางแก้ปัญหาโดยการวาง
แผนการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 เพ่ือให้ผู้เรียนมีส่วนรว่ มและเปน็ ผู้สร้าง
องค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนเป็นผู้คอยคอยช้ีแนะพัฒนานักเรียนแต่ละคนให้มีความรู้เต็มตาม
ศักยภาพ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA
MODEL) และการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเปน็ รูปแบบในการจดั การเรยี นการสอนต่อไป

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเรื่องสุขภาพ และการป้องกันโรค ของช้ัน

ประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี
2. เพ่ือศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาสุขศึกษา เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค

ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL)โรงเรียนธดิ าแม่พระ
อำเภอเมอื ง จงั หวดั สุราษฎร์ธานี

สมมตุ ิฐานการวิจัย
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดลเรื่องสุขภาพ

และการป้องกันโรค จะมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นสูงขึน้

ขอบเขตการวิจัย
ประชากร
ประชาการทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 โรงเรยี นธดิ าแม่พระ อำเภอ

เมอื ง จังหวดั สุราษฎรธ์ านี ภาคเรยี นที่ 1-2 ปีการศกึ ษา 2564
กลมุ่ ตัวอยา่ ง

กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการศกึ ษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง
จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 16 คน ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง
(Purposive sampling) (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545 : 44)

3

เนือ้ หาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั
เน้ือหาที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นเนื้อหาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ในสาระท่ี 4 เร่ือง สุขภาพ

และการป้องกันโรค ซึ่งผู้วิจัยได้นำมาทำเป็นแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปา
โมเดล (CIPPA MODEL) จำนวน 9 แผน ประกอบด้วย การป้องกันโรคติดต่อ เช่นโรคไข้หวัดใหญ่ โรค
อีสุกอีใส โรคหัด โรคคางทูม อาหารหลัก 5 หมู่ เช่นความสำคัญของอาหารหลัก 5 หมู่ ประโยชน์ของ
อาหารหลัก 5 หมู่ การเลือกรับประทานอาหารทเี่ หมาะสม ธงโภชนาการ และหลักการจดั อาหารตามธง
โภชนาการ

สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมลู
1. วเิ คราะหร์ ้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตรดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 104)

P = f 100
N
เมื่อ P แทน ร้อยละ

f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงเป็นร้อย

ละ

N แทน จำนวนความถท่ี ง้ั หมด

2. วเิ คราะห์ค่าเฉลีย่ (Mean) โดยใชส้ ตู รดังน้ี (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 105)
X
X =
N
เมื่อ  แทน คา่ เฉล่ีย
X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดใน

กลุ่ม

N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม

วเิ คราะหส์ ่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) โดยใชส้ ูตรดังนี้

(บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 106)

S.D. =  2 − ( )2
( −1)

เมอ่ื S.D. แทน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแต่ละตวั
N แทน จำนวนคะแนนในกลุม่
แทน ผลรวม


4

ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะได้รบั
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเรื่องสุขภาพและการป้องกันโรคของนักเรียน ช้ัน

ประถมศึกษาปที ่ี 4-6 โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี สูงขึ้น
2. ได้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาสุขศึกษา เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค ชั้น

ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL)
3. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนวิชาสุขศึกษาในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการ

สอน

นิยามศัพท์เฉพาะ
1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสุขศึกษา หมายถึง ผลคะแนนของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบ

ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาสุขศึกษา เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค ชั้นประถมศกึ ษาปีที่
4-6 เป็นแบบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 3 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ขอ้ ที่ผวู้ ิจยั สร้างขนึ้

2. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หมายถึง การวิจัยประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้กระบวนการปฏิบัติอย่างมีระบบ
โดยผู้วิจัยและผู้เก่ียวข้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติและวิเคราะห์ผลการปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาจากการใช้
วงจร 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การลงมือปฏิบัติ การตรวจสอบ และการปรับปรุงแก้ไข การดำเนิน
ต่อเนื่องไปจะนำไปสู่การปรบั แผน เขา้ สู่วงจรใหม่ จนกว่าจะไดข้ ้อมลู สรปุ ทแ่ี กป้ ญั หาได้จริง

3. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง จังหวดั สุราษฎรธ์ านี จำนวน 16 คน

5

บทที่ 2
เอกสารและผลงานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง

การพัฒนาการเรียนรู้ เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปา
โมเดล กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ุขศกึ ษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4-6 โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอ
เมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและ
งานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ งและนำเสนอตามลำดับ ดงั น้ี

1. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ุข
ศกึ ษาและพลศึกษา

2. หลักการ แนวคิดและทฤษฎเี ก่ียวกับเทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล
3. หลกั การและแนวคดิ เกีย่ วกับแผนการจดั การเรียนรู้
4. เทคนคิ การสอนแบบซิปปาโมเดล
5. งานวิจัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง

1. หลกั สตู รการแกนกลางศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและ
พลศกึ ษา

ทำไมตอ้ งเรยี นสุขศึกษาและพลศึกษา

สุขภาพ หรือ สุขภาวะ หมายถึง ภาวะของมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังทางกาย ทางจิต ทาง
สงั คม และทางปัญญาหรือจิตวญิ ญาณ สุขภาพหรือสุขภาวะจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกี่ยวโยงกบั ทุก
มิติของชีวิต ซึ่งทุกคนควรจะได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพ เพ่ือจะได้มีความรู้ ความเข้าใจท่ีถูกต้อง มีเจตคติ
คุณธรรมและค่านิยมที่เหมาะสม รวมท้ังมีทักษะปฏิบัติด้านสุขภาพจนเป็นกิจนิสัย อันจะส่งผลให้
สังคมโดยรวมมคี ุณภาพ

เรยี นรอู้ ะไรในสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา

สุขศึกษาและพลศกึ ษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพท่มี ีเป้าหมาย เพ่ือการดำรงสุขภาพ การสรา้ ง
เสริมสุขภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวติ ของบคุ คล ครอบครัว และชุมชนให้ย่งั ยืน

สุขศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ เจตคติ คุณธรรม ค่านิยม และ
การปฏบิ ตั ิเกีย่ วกบั สุขภาพควบค่ไู ปดว้ ยกนั

พลศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคล่ือนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกมและ
กีฬา เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโดยรวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา รวมทั้ง
สมรรถภาพเพอ่ื สขุ ภาพและกีฬา

6

สาระท่ีเป็นกรอบเนื้อหาหรือขอบขา่ ยองค์ความรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรสู้ ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา
ประกอบด้วย

การเจรญิ เติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ผเู้ รียนจะได้เรียนรเู้ ร่ืองธรรมชาตขิ อง
การเจริญเติบโตและพฒั นาการของมนุษย์ ปจั จัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ความสัมพันธ์เชอ่ื มโยงใน
การทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย รวมถึงวธิ ปี ฏิบตั ิตนเพอื่ ใหเ้ จริญเติบโตและมีพัฒนาการท่สี มวัย

ชีวติ และครอบครัว ผู้เรยี นจะไดเ้ รยี นรเู้ รื่องคุณค่าของตนเองและครอบครัว การ
ปรับตวั ตอ่ การเปล่ยี นแปลงทางร่างกาย จติ ใจ อารมณค์ วามร้สู ึกทางเพศ การสร้างและรักษา
สัมพนั ธภาพกับผู้อ่นื สุขปฏบิ ัตทิ างเพศ และทักษะในการดำเนินชีวติ

การเคล่ือนไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล ผู้เรียนได้
เรียนรู้เรื่องการเคล่ือนไหวในรูปแบบต่าง ๆ การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬา ทั้งประเภทบุคคล
และประเภททมี อย่างหลากหลายทั้งไทยและสากล การปฏิบัตติ ามกฎ กติกา ระเบียบ ข้อตกลงในการ
เข้าร่วมกจิ กรรมทางกายและกฬี า และความมีนำ้ ใจนกั กีฬา

การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เก่ียวกับ
หลักและวิธีการเลือกบริโภคอาหาร ผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ การสร้างเสริมสมรรถภาพเพ่ือ
สุขภาพ และการป้องกนั โรคทง้ั โรคติดตอ่ และโรคไมต่ ดิ ต่อ

ความปลอดภัยในชีวิต ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เร่ืองการป้องกันตนเองจากพฤติกรรมเสี่ยง
ต่างๆ ท้ังความเสี่ยงต่อสุขภาพ อุบัติเหตุ ความรุนแรง อันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติด รวมถึง
แนวทางในการสรา้ งเสรมิ ความปลอดภยั ในชีวิต

วิสัยทศั น์
สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการศึกษาด้านสุขภาพที่มีเป้าหมาย เพื่อการดำรงการสร้างเสริม

สขุ ภาพและการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของบุคคล ครอบครัว และชุมชนใหย้ งั่ ยืน
สุขศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ เจตคติ คุณธรรม ค่านิยม

และการปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกบั สุขภาพควบคู่ไปด้วยกัน
พลศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาโดยรวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญา

และสังคม ด้วยการเข้าร่วมในกิจกรรมการออกกำลังกายและกีฬา และ กิจกรรมเหล่าน้ันได้รับการ
คดั สรรมาเป็นอย่างดแี ลว้

สขุ ศึกษาและพลศึกษาจึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในการพัฒนา พฤติกรรมสุขภาพ
จนมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี โดยให้มีทั้งความรู้ ความเข้าใจ ทักษะหรือกระบวนการ และคุณธรรม
จริยธรรม ค่านิยมตามแนวการจัดการศึกษาในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2544 และตาม
จุดหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ผลรวมสุดท้าย คือ ผู้เรียนเกิดการ
พัฒนาที่เป็นองคร์ วมของความเปน็ มนษุ ย์ท่ีสมบรู ณ์ (holistic)

7

ในการเรียนรู้สุขศึกษา ผู้เรียนจะได้รับการกระตุ้นและจูงใจให้กำหนด เป้าหมายที่เป็นจริง
และมีคุณค่าในการพัฒนารูปแบบของวิถีชีวิตท่ีมีสุขภาพดี พัฒนาทักษะการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม
รู้จักการสร้างความรับผิดชอบและสัมพันธภาพที่ดีกับคนอ่ืนทั้งท่ีโรงเรียน ท่ีบ้าน และในชุมชน ท้ัง
ชุมชนท่ีตนเองอยู่อาศัยและชุมชนอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป ได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน และ
ยอมรับในความแตกต่างน้ัน เกิดการพัฒนาความสามารถในการเผชิญกับปัญหาท้าทาย ความเครียด
ความกดดัน ความขัดแย้ง และการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ

ในการเรียนรู้พลศึกษา ผู้เรียนจะได้รับโอกาสให้เข้าร่วมในกิจกรรมทางกายและกีฬาทั้ง
ประเภทบุคคล และประเภททีมอย่างหลากหลายทั้งของไทยและสากล กิจกรรมทางกายและกีฬาต่าง
ๆ ช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดสัมฤทธิผลตามศักยภาพด้านความเจริญเติบโตและพัฒนาการทางกาย ได้
ปรับปรุงสุขภาพ และสมรรถภาพทางกาย เกิดการพัฒนาทักษะกลไกอย่างเต็มท่ี ได้เรียนรู้ถึง
ความสำคัญของการฝึกฝนตนเองตามกฎ กติกา ระเบียบและหลักการทางวิทยาศาสตร์ ได้แข่งขัน
และไดท้ ำงานรว่ มกันเป็นทีม ได้รับประสบการณ์จากการลงมือปฏิบตั ิด้วยตนเองโดยตรงตามความถนัด
และความสนใจ ได้ค้นหาความพึงพอใจจากการเข้าร่วมกิจกรรมทางกาย กีฬา กิจกรรมนันทนาการ
และกิจกรรมสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกายและรักการออกกำลังกาย

การจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสุขศึกษาและพลศึกษาในสถานศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เกิดการ
พัฒนาครบถ้วนจากสาระต่างๆ คือ การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ชีวติ และครอบครวั การ
เคลอ่ื นไหว การออกกำลงั กาย การเล่นเกม กีฬาไทยและกีฬาสากล การสร้างเสริมสขุ ภาพ สมรรถภาพ
การป้องกันโรค และความปลอดภัยในชีวิต รวมท้ังสามารถจัดให้สอดคล้อง เช่ือมโยง บูรณาการกับ
สาระการเรยี นรู้อ่ืนๆ อีก 7 กลุ่ม และยังนำไปจดั เป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อการเติมเต็มให้แก่ผูเ้ รียน
ได้อีกดว้ ย

ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้กลุ่มสุขศึกษาและพลศึกษา จึงควรจัดให้เหมาะสมกับระดับ
ความสามารถ ความต้องการ และความสนใจของผู้เรียน การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรม
พัฒนาผู้เรียนควรให้สอดคล้องกับลักษณะของวัฒนธรรมท้องถ่ิน วัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมสากล
โดยได้รับการสนบั สนุนชว่ ยเหลือจากบา้ น ชมุ ชน และท้องถิ่นไปพร้อมกนั

สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
1. มคี วามสามารถในการสื่อสาร
2. มคี วามสามารถในการคิด
3. มีความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. มีความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

8

คุณลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องผ้เู รยี น
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซื่อสตั ย์ สจุ รติ
3. มีจิตสาธารณะ
4. มุมานะในการทำงาน
5. สืบสานความเปน็ ไทย
6. มวี ินัย
7. ใฝเ่ รยี นรู้
8. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง

คุณภาพผู้เรียน
จบช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 3

1. มีความรู้ และเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อ
การเจริญเตบิ โตและพัฒนาการ วิธีการสร้างสัมพันธภาพในครอบครวั และกลุม่ เพื่อน

2. มีสุขนิสัยท่ีดีในเร่ืองการกิน การพักผ่อนนอนหลับ การรักษาความสะอาดอวัยวะทุกส่วน
ของร่างกาย การเลน่ และการออกกำลังกาย

3. ป้องกันตนเองจากพฤติกรรมท่ีอาจนำไปสู่การใช้สารเสพติด การล่วงละเมิดทางเพศและ
รู้จักปฏิเสธในเรอ่ื งท่ีไมเ่ หมาะสม

4. ควบคุมการเคล่ือนไหวของตนเองได้ตามพัฒนาการในแต่ละช่วงอายุ มี ทักษะการ
เคล่ือนไหวข้ันพื้นฐานและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางกาย กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพ่ือ
สขุ ภาพ และเกม ได้อยา่ งสนุกสนาน และปลอดภยั

5. มีทักษะในการเลือกบริโภคอาหาร ของเล่น ของใช้ ที่มีผลดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงและ
ป้องกันตนเองจากอุบัตเิ หตไุ ด้

6. ปฏบิ ตั ิตนไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสมเมื่อมปี ัญหาทางอารมณ์ และปัญหาสุขภาพ

7. ปฏิบัติตนตามกฎ ระเบียบข้อตกลง คำแนะนำ และข้ันตอนต่างๆ และให้ความร่วมมือ
กับผอู้ ่ืนดว้ ยความเตม็ ใจจนงานประสบความสำเรจ็

8. ปฏิบัตติ ามสทิ ธิของตนเองและเคารพสทิ ธิของผู้อนื่ ในการเลน่ เป็นกลุ่ม

9

จบชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6

1. เข้าใจความสัมพันธ์เชื่อมโยงในการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และรู้จักดูแล
อวยั วะทส่ี ำคัญของระบบนน้ั ๆ

2. เข้าใจธรรมชาติการเปล่ียนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม แรงขับทางเพศ
ของชายหญิง เมอื่ ย่างเข้าสวู่ ยั แรกรนุ่ และวยั รนุ่ สามารถปรบั ตัวและจัดการไดอ้ ย่างเหมาะสม

3. เข้าใจและเหน็ คุณค่าของการมชี ีวิตและครอบครัวท่ีอบอุ่น และเปน็ สุข

4. ภูมิใจและเหน็ คุณค่าในเพศของตน ปฏิบัติสุขอนามัยทางเพศได้ถูกต้องเหมาะสม

5. ป้องกันและหลีกเล่ียงปัจจัยเส่ียง พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและการเกิดโรค อุบัติเหตุ
ความรนุ แรง สารเสพตดิ และการล่วงละเมดิ ทางเพศ

6. มีทกั ษะการเคลอ่ื นไหวพ้ืนฐานและการควบคุมตนเองในการเคลื่อนไหวแบบผสมผสาน

7. รู้หลักการเคล่ือนไหวและสามารถเลือกเข้าร่วมกิจกรรมทางกาย เกม การละเล่น
พื้นเมือง กีฬาไทย กีฬาสากลได้อย่างปลอดภัยและสนุกสนาน มีน้ำใจนักกีฬา โดยปฏิบัติตามกฎ
กตกิ า สทิ ธิ และหน้าทีข่ องตนเอง จนงานสำเรจ็ ลุล่วง

8. วางแผนและปฏิบัติกิจกรรมทางกาย กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพ
ไดต้ ามความเหมาะสมและความตอ้ งการเปน็ ประจำ

9. จัดการกบั อารมณ์ ความเครยี ด และปัญหาสขุ ภาพไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

10. มที ักษะในการแสวงหาความรู้ ขอ้ มูลข่าวสารเพื่อใช้สร้างเสริมสุขภาพ

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้

สาระที่ 1 : การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการของมนษุ ย์
มาตรฐาน พ 1.1 : เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเตบิ โต และพัฒนาการของมนุษย์
สาระท่ี 2 : ชีวิตและครอบครวั
มาตรฐาน พ 2.1 : เขา้ ใจและเหน็ คณุ ค่าของชีวิต ครอบครัว เพศศึกษา และมีทักษะ

ในการดำเนนิ ชีวิต

10

สาระท่ี 3 : การเคล่อื นไหว การออกกำลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และกีฬาสากล
มาตรฐาน พ 3.1 : เข้าใจ มีทักษะในการเคลอ่ื นไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกม และกีฬา
มาตรฐาน พ 3.2 : รักการออกกำลงั กาย การเล่นเกมและการเลน่ กีฬา ปฏิบัติเป็นประจำ

อยา่ งสม่ำเสมอ มวี นิ ัย เคารพสิทธิ กฎ กติกา มีนำ้ ใจนักกฬี า
มจี ติ วิญญาณในการแขง่ ขัน และช่นื ชมในสุนทรยี ภาพของการกีฬา
สาระที่ 4 : การสร้างเสริมสขุ ภาพ สมรรถภาพและการปอ้ งกันโรค
มาตรฐาน พ 4.1 : เห็นคณุ คา่ และมีทักษะในการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ การดำรงสขุ ภาพ
การป้องกนั โรค และการสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพเพอ่ื สุขภาพ
สาระที่ 5 : ความปลอดภัยในชวี ติ
มาตรฐาน พ 5.1 : ป้องกันและหลกี เลยี่ งปจั จัยเสี่ยง พฤติกรรมเส่ียงต่อสขุ ภาพ
อุบัตเิ หตุ การใชย้ า สารเสพตดิ และความรนุ แรง

ตัวชีว้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง
สาระท่ี 4 การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพและการปอ้ งกนั โรค

มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสขุ ภาพ การดำรงสขุ ภาพ การปอ้ งกนั โรค
และการสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพเพ่ือสุขภาพ

ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป. 4 1. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่าง  ความสมั พนั ธ์ระหว่างสงิ่ แวดล้อมกับสุขภาพ

สิ่งแวดล้อมกบั สุขภาพ  การจดั สิ่งแวดลอ้ มท่ีถกู สุขลักษณะและ

เอ้อื ต่อสขุ ภาพ

2. อธบิ ายสภาวะอารมณ์ ความรูส้ กึ  สภาวะอารมณ์และความรู้สกึ เชน่ โกรธ

ที่มผี ลต่อสขุ ภาพ หงดุ หงิด เครยี ด เกลียด เสียใจ เศร้าใจ วติ ก

กังวล กลัว ก้าวรา้ ว อจิ ฉา รษิ ยา เบ่ือหน่าย

ทอ้ แท้ ดีใจ ชอบใจ รกั ชนื่ ชม สนกุ สุขสบาย

 ผลท่มี ีต่อสุขภาพ

ทางบวก : สดชื่น ยิม้ แย้ม แจม่ ใส รา่ เรงิ

ฯลฯ

ทางลบ : ปวดศรี ษะ ปวดท้อง เบือ่ อาหาร

อ่อนเพลยี ฯลฯ

3. วิเคราะหข์ อ้ มลู บนฉลากอาหารและ  การวเิ คราะห์ข้อมูลบนฉลากอาหารและ

ผลติ ภณั ฑ์สุขภาพ เพ่ือการเลือกบรโิ ภค ผลิตภัณฑส์ ุขภาพ

11

ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

4. ทดสอบและปรบั ปรงุ สมรรถภาพ  การทดสอบสมรรถภาพทางกาย

ทางกายตามผลการตรวจสอบ  การปรับปรุงสมรรถภาพทางกายตามผลการ

สมรรถภาพทางกาย ทดสอบสมรรถภาพทางกาย

ป. 5 1. แสดงพฤติกรรมทเ่ี หน็ ความสำคญั  ความสำคญั ของการปฏิบัติตนตามสขุ บัญญตั ิ

ของการปฏิบตั ิตนตามสุขบญั ญัติ แห่งชาติ

แหง่ ชาติ

2. ค้นหาข้อมูลขา่ วสารเพื่อใชส้ ร้าง  แหลง่ และวิธีค้นหาข้อมลู ข่าวสารทางสขุ ภาพ

เสริมสุขภาพ  การใช้ขอ้ มูลขา่ วสารในการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ

3. วเิ คราะห์สอ่ื โฆษณาในการตดั สินใจ  การตัดสินใจเลือกซ้ืออาหารและผลิตภณั ฑ์

เลือกซื้ออาหาร และผลิตภัณฑ์ สขุ ภาพ (อาหาร เคร่อื งสำอาง ผลติ ภณั ฑ์ดูแล

สขุ ภาพอย่างมเี หตผุ ล สขุ ภาพในชอ่ งปาก ฯลฯ)

4. ปฏิบตั ติ นในการป้องกนั โรคท่ีพบ การปฏิบัตติ นในการปอ้ งกันโรคทีพ่ บบ่อยใน

บอ่ ยในชีวิตประจำวัน ชวี ติ ประจำวนั

- ไข้หวดั

- ไข้เลอื ดออก

- โรคผวิ หนงั

- ฟันผแุ ละโรคปริทันต์ ฯลฯ

5. ทดสอบและปรบั ปรงุ สมรรถภาพ  การทดสอบสมรรถภาพทางกาย

ทางกายตามผลการทดสอบ  การปรับปรุงสมรรถภาพทางกายตามผลการ

สมรรถภาพทางกาย ทดสอบสมรรถภาพทางกาย

ป. 6 1. แสดงพฤตกิ รรมในการป้องกันและ  ความสำคญั ของสง่ิ แวดลอ้ มทมี่ ผี ลต่อสุขภาพ

แกไ้ ขปัญหาสิง่ แวดล้อมท่ีมผี ลต่อ  ปญั หาของสิง่ แวดล้อมท่ีมีผลต่อสุขภาพ

สขุ ภาพ  การปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มที่มี

ผลต่อสุขภาพ

2. วิเคราะห์ผลกระทบทเ่ี กดิ จากการ  โรคตดิ ต่อสำคญั ที่ระบาดในปจั จุบนั

ระบาดของโรคและเสนอแนว  ผลกระทบท่ีเกิดจากการระบาดของโรค

ทางการป้องกันโรคติดต่อสำคัญที่  การปอ้ งกนั การระบาดของโรค

พบในประเทศไทย

3. แสดงพฤติกรรมท่ีบ่งบอกถึง  พฤติกรรมทแี่ สดงออกถึงความรบั ผดิ ชอบต่อ

ความรบั ผิดชอบต่อสุขภาพของ สุขภาพของสว่ นรวม

สว่ นรวม

12

ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

4. สรา้ งเสริมและปรับปรุงสมรรถภาพ  วธิ ที ดสอบสมรรถภาพทางกาย

ทางกายเพ่ือสขุ ภาพอยา่ งต่อเน่อื ง  การสร้างเสริมและปรับปรุงสมรรถภาพทาง

กายตามผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย

2. หลกั การ แนวคดิ และทฤษฎีเกีย่ วกบั เทคนคิ การสอนแบบ ซิปปาโมเดล
ทฤษฎีการเรียนรู้การสอนทุกวิชาจำเป็นต้องอาศัยหลักจิตวิทยาเข้าช่วยในการสอนแล้วแต่

ลักษณะของรายวิชา ครูผู้สอนควรศึกษาหลักจิตวิทยาในการเรียนการสอนให้เข้าใจและนำมาใช้ในการ
สอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งนักจิตวิทยาได้เสนอทฤษฎีเก่ียวกับการเรียนรู้ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อ
การเรียนการสอนไว้ ดังนี้

1. ทฤษฎีการเรียนรู้ที่ยึดหลักการเรียนโดยส่วนร่วม (Gestalt-Field Theories)
หมายความว่า การตอบสนองของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสติปัญญา ความเข้าใจและการมองเห็น ตามทฤษฎีน้ี
เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ เป็นการเปล่ียนท่ีกระบวนการรับรู้ของคนวิธีทาง
ไปสู่จดุ หมายได้ คือการเรยี นรู้ท่ีเกิดข้นึ แนวทางหรอื เครอื่ งหมายตลอดจนความสัมพันธ์ของเครอื่ งหมาย
คอื ส่ิงที่ผู้เรยี นจะจดจำ เพื่อท่ีจะบรรลุถึงจุดหมายได้การเรียนร้ปู ระกอบด้วยความระลึกได้ถึงวิธีทางไปสู่
จุดหมายได้ และรู้ถึงความสัมพันธ์กันหรือสร้างความเข้าใจข้ึนเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบเดิมก็สามารถ
แก้ปัญหาได้ รางวัลมิใช่ส่ิงสำคัญนักมันอาจช่วยให้ความคาดหมายของวิธีทางท่ีจะไปสู่จุดหมายท่ีดีข้ึน
แต่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุด ดังน้ันหลักการเรียนการสอนตามแนวคิดนี้ ความคิดนี้ถือว่าผู้เรียนย่อมไม่อยู่เฉย
ๆ รอให้มีส่ิงเร้าผ่านเข้ามาตอบสนองต่อส่ิงเร้า แต่ผู้เรียนต้องเป็นฝ่ายกระทำ หรือจัดประสบการณ์ใหม่
ๆ ขน้ึ เอาจากสิ่งเร้าที่พบเห็น การเรียนย่อมจะต้องตั้งต้นจากสว่ นรวม (Wholeness) ไปหาส่วนย่อยต่าง
ๆ ที่มีอยู่ในส่วนรวมได้ดีข้ึน วิธีการเรียนแบบนี้เน้ือหาท่ีเรียนต้องเป็นแบบปลายเปิด (Open-ended) มี
การปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขผู้เรยี นสามารถหาเหตผุ ลหรือคำตอบอาจไม่ตรงกับท่ตี ำราเขยี นไวไ้ ด้ เป็น
การส่งเสริมให้เด็กได้ค้นคว้ามีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ เด็กจะไม่อยู่นิ่งเฉยแต่จะมีส่วนร่วมในการเรียน
การสอน

2. ทฤษฎีการเรียนท่ียึดถือการเชื่อมต่อระหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนอง(Stimulus
Response Associationisms) หมายความว่า พฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลของการแสดงปฏิกิริยา
ตอบสนองต่อสิ่งเร้า การเรียนรู้เกิดจากเช่ือมโยงระหว่างส่ิงเร้าและตอบสนอง (S R)คนเราจะเช่ือจะ
เปลี่ยนพฤติกรรมได้ก็เพราะเขาได้สร้างความเช่ือมโยงระหว่างส่ิงเร้าและการตอบสนองตามทฤษฎีน้ีเช่ือ
ว่าการเรียนรู้เป็นการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงเร้า (Stimulus) หรือประสบการณ์
และการตอบสนองย้ำความสำคัญของการเสริมแรงและความต้องการได้รับรางวัลเมื่อทำปฏิกิริยา
ตอบสนองถูกต้อง พฤติกรรมที่ได้กระทำแล้วไม่ได้รับความพอใจและหลีกเล่ียงไม่กระทำและไม่ได้รับ

13

ความพอใจจะหลีกเลี่ยงไม่กระทำ หลักการเรียนรู้ท่ีนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนหนังสือก็คือ ในการ
เรียนการสอนควรจัดส่ิงเร้า หรือประสบการณ์ให้แก่เด็ก จัดให้มีกิจกรรมหลาย ๆ อย่างในช้ันเรียน
กิจกรรมนั้นต้องเหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนและต้องกำหนดให้ได้แน่นอนว่าปฏิกิริยาการ
ตอบสนองที่ออกมานั้นควรเป็นอะไร การจัดแบ่งงานควรจัดให้เป็นลำดับจากง่ายไปหายาก ควรให้มี
รางวลั แก่ปฏกิ ิริยาตอบสนองที่ถูกตอ้ งทุกครัง้ (Rein Forcement) เช่น ให้คำชมเชยการให้ทำแบบฝึกหัด
เพือ่ ฝึกทักษะในส่ิงทจ่ี ำเป็น ควรจัดให้กระทำในพฤตกิ รรมที่ถูกตอ้ งบ่อย ๆจะทำให้ผู้เรยี นได้ปลูกฝังในสิ่ง
ทถ่ี ูกตอ้ งมากขึน้

3. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยรับความหมาย เออร์ชูเบล ได้พัฒนาทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีมีอิทธิพล
ต่อการเรียนการสอนขึ้นมาคือ การเรียนรู้โดยการรับความหมาย(Meaningful receptionlearning
theory) เมื่อ ค.ศ. 1968 ตามความเห็นของเขา ผู้เรียนรขู้ ้อสนเทศเป็นภาษาถ้อยคำและเช่ือโอกาสการ
รับรู้ใหม่ท่ีมีความหมายพิเศษซง่ึ จัดเป็นการรับรู้ ส่วนท่ีจะเรียนได้ในระดับใดนั้นเออร์ซูเบล เหน็ ว่าขนึ้ อยู่
กบั ลกั ษณะ2 ประการ คือ

1) ความรเู้ บ้อื งตน้ ของผู้เรียนวา่ สัมพันธก์ บั สงิ่ ที่เรยี นรใู้ หมม่ ากน้อยเพียงไร
2) ธรรมชาตขิ องความสมั พันธท์ ถี่ กู กำหนดขึน้ ระหวา่ งข้อมลู ของสิง่ เก่าและสงิ่ ใหม่
4. ทฤษฎีการสอนของ บรูเนอร์ เจอรโ์ รม (Jerome Bruner) บรเู นอร์ เปน็ นกั จติ วิทยาอีก
คนท่ีสนับสนุนทฤษฎีความรู้ ความเข้าใจ แต่บรูเนอร์พุ่งความสนใจไปกับการพัฒนาการของ
ความสามารถรบั ความรู้ และเข้าใจของเด็ก บรูเนอร์จึงได้เสนอทฤษฎีการสอน(Theory of instruction)
ขนึ้ มา ในการทำความเขา้ ใจทฤษฎกี ารสอนของ บรูเนอร์ จำเปน็ ต้องเขา้ ใจสาระสำคัญ 3 ประการ คอื
4.1 ขั้นการเรียนรู้ (Modes of Learning) บรูเนอร์ มองเห็นว่าพัฒนาการความรู้
ความเข้าใจของคนเรามี 3 ขั้นตอน ซึ่งแต่ละข้ันตอนจะเรียนรู้ดังวิธีการท่ีแตกต่างกันและข้ันต่ำกว่าจะ
เป็นฐานท่ีสูงกว่า บรูเนอร์เสนอว่าการเรียนรู้ในขั้นต่อไปได้ดีนั้นควรจะเรียนข้ันที่ผ่านมาให้แน่นอนให้
เหน็ เสยี กอ่ นซงึ่ มี 3 ประการ
1) ขั้นการกระทำ (Enactive mode) วิธีการเรียนรู้จะผ่านการแสดงออกการ
เลียนแบบหรือการลงมือทำกับวัตถุ ในการสอนเด็กผู้สอนควรจะใชว้ ิธกี ารสาธิตเท่า ๆ กับการใช้อปุ กรณ์
ตา่ ง ๆ การสวมบทบาท การใช้ตัวแบบและพฤติกรรมตวั อย่าง
2) ข้ันจินตนาการ (Iconic mode) นอกจากเด็กต้องเรียนความคิดรวบยอดกฎ และ
หลักการซ่ึงเราสามารถแสดงให้เห็นได้ง่าย ๆ ดังน้ันผู้สอนจึงต้องใช้ภาพ แผนภูมิ หรือตารางซ่ึงเรา
เชื่อมโยงกบั ส่งิ ท่เี รียนมาให้กับผเู้ รยี น
3) ข้ันสัญลักษณ์ (Symbolic mode) ภาษาเป็นสัญลักษณ์ของหลักของกระบวนการ
เรียนรู้ของผู้ใหญ่เน่ืองมาจากสาเหตุของการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ซ่ึงมีหน้าที่สำหรับการใช้ความรู้ เก็บ
ความรู้ สอ่ื สารความรใู้ หผ้ อู้ ืน่

14

4.2 การจัดแยกประเภท (Classification) คือกระบวนการจัดระบบบูรณาการข้อมูล
ข่าวสารอีกชิ้นหน่งึ ท่ไี ด้เรียนรไู้ ปกอ่ นแลว้

4.3 หลกั การสอน บรูเนอร์ไดเ้ สนอหลกั การที่เก่ยี วกบั การสอนไว้ 4 ประเภท คือ
1) หลักการจูงใจ เน้นการเรียนรู้จะข้ึนอยู่กับความพร้อมและแนวโน้มท่ีนักเรียนมี

ท่าทีต่อการเรียน บรูเนอร์เห็นว่าธรรมชาติของเด็กมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ผู้สอนควรใช้
ธรรมชาตใิ ห้เปน็ ประโยชนใ์ นการสอน

2) หลักโครงการสร้าง เน้นการเรียนรู้สามารถเพ่ิมพูนได้โดยการเลือกวิธีสอนท่ี
เหมาะสมกับระดับการพัฒนาการสติปัญญา และระดบั ความเข้าใจของเด็ก หลักการนี้ชี้ให้เห็นว่าครูควร
จะต้องย้ำให้เหน็ ความสมั พนั ธ์ทมี่ ีความหมายระหว่างเดก็ ท่จี ะต้องเรยี นรู้

3) หลักการเรียงลำดับ เน้นว่า ลำดับของเนื้อหามอี ิทธิพลอย่างมากต่อการเรยี นรูว้ ่า
จะเกิดได้งา่ ยหรือยากแค่ไหน

4) หลักการเสริมแรง เน้นว่าการตอบสนองท่ีก่อให้เกิดความพึงพอใจแก่ผู้เรียนมี
อทิ ธพิ ลต่อการแสดงพฤติกรรมภายหลงั ผู้เรยี น

4.5 ทฤษฎีของ Edward Lee Thorndike ได้ช่ือว่าเป็น“Connectionism” และ
Thorndike เน้นว่าส่ิงสำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้คือ“Reinforcement”และThorndikeได้สร้างกฎ
แห่งการเรียนรู้กฎแรกคือ “Law of Effect”ซ่ึงอธิบายวา่ การกระทำใด ๆก็ตามเปน็ สิ่งท่ีพึงพอใจ คนจะ
ทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีกส่วนการกระทำใดถ้ามีผลไม่เป็นที่พึงพอใจคนจะเลิกทำพฤติกรรมน้ัน (พรรณี
ชูทยั . 2538 : 146)

3. เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล
การจดั การเรียนการสอนแบบซปิ ปา (CIPPA MODEL)
1. ความเป็นมาของการจัดการเรียนการสอนแบบ CIPPA MODEL ทิศนา แขมมณี

(2546 : 2-11) กล่าววา่ การทจี่ ะจดั การเรียนการสอนโดยเนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ให้ไดผ้ ลดสี งู สุดน้นั ตอ้ งมี
ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า “สำคัญ” นั้นคืออะไร หรือเป็นอย่างไรการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียน
เป็นสำคัญไม่ไดห้ มายถงึ การจัดใหผ้ ู้เรียนไปนั่งเรียนรวมกันกลางห้อง เพ่ือให้เปน็ ศูนย์กลางของห้องเรียน
“ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือผู้เรียนเป็นสำคัญ ”หมายถึง การให้ผู้เรียนเป็นจุดสนใจ (Center
Attention) หรือเป็นผู้ทมี่ บี ทบาทสำคัญในการเรียนรู้การให้มีส่วนรว่ มในกิจกรรม การเรียนรู้หากผู้เรยี น
มีส่วนร่วม (Participation) ในกิจกรรมการเรียนรู้ที่เกิดข้ึนมาก ผู้เรียนก็จะมีบทบาทในการเรียนรู้มาก
และควรจะเกดิ การเรียนรู้ที่ดตี ามมา
การมีส่วนร่วม (Active Participation) หมายถึง การมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นตื่นตัวตื่นใจ การมีใจ
จอจ่อ ผูกพันกับสิง่ ท่ีทำ มิใชท่ ำไปให้เสร็จภารกิจเท่านั้น ดังนั้น การท่ีจะจัดกิจกรรมกาเรียนร้ใู ห้ผู้เรยี นมี
สว่ นรว่ มน้ัน กิจกรรมนั้นจะต้องมีลกั ษณะที่ช่วยใหผ้ ู้เรยี นมีส่วนรว่ มอย่าง (Active) คือช่วยให้ผเู้ รียนรู้สึก

15

ตื่นตัว ตื่นใจ มีความจดจ่อ ผูกพันกับสิ่งที่ทำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีดีจะช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม มี
ดังนี้

1. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย (Physical
Participation) คือเป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เพ่ือช่วยให้ประสาทการ
รบั รขู้ องผู้เรียนตื่นตัว พร้อมท่ีจะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่จะเกิดขน้ึ การรับรู้เป็นปัจจัยสำคัญใน
การเรยี นรู้ หากผู้เรยี นไมม่ ีความพรอ้ มในการรับรู้ แม้จะมีการให้ความรทู้ ี่ดี ๆ ผูเ้ รยี นก็ไม่สามารถรับได้

2. กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ีด่ ีควรชว่ ยให้ผเู้ รยี นไดม้ สี ่วนรว่ มทางสติปัญญา (Intellectual
Participation) คือเป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเคล่ือนไหวทางสติปัญญา เป็นกิจกรรมท่ีท้าทาย
ความคดิ ของผเู้ รียน สามารถกระตุน้ สมองของผู้เรยี นให้เกิดการเคล่ือนไหว ชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ ความจดจ่อ
ในการคิด โดยเร่ืองที่จะให้ผู้เรียนคิดต้องไม่ง่ายและไม่ยากเกินไปสำหรับผู้เรียน เพราะถ้าง่ายเกินไป
ผู้เรียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด แต่ถ้ายากเกินไปผู้เรียนก็จะเกิดความท้อถอยที่จะคิดดังนั้นครูจึงต้อง
หาประเด็นการคิด ที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือ
ลงมอื ทำสงิ่ ใดสิ่งหนง่ึ

3. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรช่วยให้ผู้เรียนได้ มีส่วนร่วมทางสังคม (Social
Participation) คือ เป็นกิจกรรมท่ีช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสงั คมกับบุคคลหรือส่ิงแวดลอ้ มรอบตัว
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทางสังคม ซึ่งจะส่งผลถึงการเรียนรู้ด้านอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นกิจกรรมการ
เรียนรู้ที่ดีจึงควรเป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากส่ิงแวดล้อมรอบตัวด้วย4. กิจกรรมการ
เรียนรู้ที่ดีควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional Participation)คือเป็นกิจกรรมท่ี
สง่ ผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนเปน็ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประสบการณ์และความเป็นจริงของผู้เรียน
เปน็ สิ่งทเี่ กีย่ วกับตวั ผเู้ รยี นโดยตรงหรอื ใกล้ตัวผู้เรยี น

สรุป กิจกรรมการเรียนรใู้ ดหากสามารถชว่ ยให้ผู้เรียนไดเ้ คลอื่ นไหวรา่ งกายอย่างเหมาะสมกับ
วัย วุฒิภาวะและความสนใจของผู้เรียนเป็นกิจกรรมท่ีท้าทายความคิดสติปัญญาของผู้เรียน สามารถ
กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่แล้ว และช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและ
ส่ิงแวดล้อมรอบตัวได้อย่างกว้างขวาง กิจกรรมน้ันจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี และหาก
กิจกรรมนั้นเป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียนโดยตรงก็ยิ่งจะช่วยให้ก ารเรียนน้ันมี
ความหมายต่อผ้เู รียนย่งิ ข้นึ

ลกั ษณะของกิจกรรมการเรียนร้ทู ่มี คี ุณภาพ สำหรบั การจัดการเรียนการสอน
1. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านร่างกายและอารมณ์จิตใจ กิจกรรมการเรียนรู้

ควรมีหลากหลาย ให้โอกาสผู้เรียนได้เคล่ือนไหวร่างกาย (Physical Movement) เป็นระยะๆตามความ
เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ และความสนใจของผู้เรยี นการเคล่ือนไหวอาจเป็นการเคล่ือนไหวอวัยวะหรือ
กลา้ มเนอ้ื ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่

16

1.1 การเคลื่อนไหวอวัยวะ กล้ามเน้ือมัดย่อย (Fine Motor Movement) เช่น
กจิ กรรมการเรียน การฟัง การพดู การวาดภาพ การพบั กระดาษ การเชิดหนุ่ การรอ้ งเพลง

1.2 การเคลื่อนไหวอวัยวะ กล้ามเน้ือมัดใหญ่ (Gross Motor Movement) เช่น
กจิ กรรมการย้ายกลุ่ม การกระโดด การวงิ่ การเลน่ เกมต่าง ๆ

2. เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา อารมณ์ จิตใจ กิจกรรมการเรียนรู้ควรมี
ลักษณะที่กระตุ้นและท้าทายความคิดของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อ ผูกพันกับสิ่งท่ีคิดซึ่งจะ
ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้ทางสติปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ2.1 การเรียนรู้
เนอื้ หาความรู้ (Contents or Knowledge) ได้แก่ การเรยี นร้ขู ้อมลู ขอ้ เทจ็ จริงและความรู้ตา่ ง ๆ

2.2 การเรียนรู้ทักษะกระบวนการหรือทักษะทางปัญญ า (Process Skills or
Cognitive Process) ได้แก่ การเรียนร้ทู กั ษะตา่ ง ๆ ทเี่ ป็นเคร่ืองมือท่ีจำเป็นในการเรียนรู้ เชน่ ทักษะการ
แสวงหาความรู้ ทักษะการคดิ ทกั ษะการแกป้ ญั หา ทกั ษะการทานรว่ มกับผอู้ ื่น

2. ความหมายของการจดั การเรยี นการสอนแบบ CIPPA MODELการจัดการเรียนการสอน
แบบ CIPPA MODEL เป็นรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหรือเป็น
ศูนยก์ ลางการเรียนร้รู ูปแบบหน่งึ ท่ีได้รบั ความสนใจและมีนักศึกษาหลายทา่ นได้ให้คำจำกัดความของการ
จัดการเรียนการสอนทีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (CIPPA MODEL) (ทิศนา แขมมณี. 2546 : 10-11) มี
รายละเอยี ดของรูปแบบดงั นี้

C หมายถงึ Construct คือ การให้ผู้เรียนสร้างความรดู้ ้วยตนเอง โดยกระบวนการแสวงหา
ข้อมูล ทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ แปลความ ตีความ สร้างความหมาย สังเคราะห์ข้อมูลและสรุปเป็น
ข้อความรู้

I หมายถึง Interaction คือ การให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรยี นรู้จากกันแลกเปล่ียน
เรียนรู้ข้อมลู ความคิด และประสบการณซ์ ึง่ กนั และกนั

P หมายถึง Participation คือ การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย อารมณ์ ปัญญา
และสังคมในการเรยี นรใู้ หม้ ากท่สี ุด

P หมายถึง Process and Product คือ การให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้กระบวนการ และมีผลงาน
จากการเรียนรู้

A หมายถงึ Application คอื การใหผ้ ูเ้ รยี นนำความรทู้ ีไ่ ด้ประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั
การจัดการเรยี นการสอนแบบ CIPPA MODEL คือ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญแบบประสาน 5 แนวคิดหลัก คอื
1. แนวคิดการสรรคส์ ร้างความรู้ (Constructivism)
2. แนวคิดเร่ืองกระบวนการกลุ่มและการเรียนแบบร่วมมือ (Group Process and
Cooperative Learning)
3. แนวคดิ เกีย่ วกบั ความพรอ้ มในการเรยี นรู้ (Learning Readiness)

17

4. แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรกู้ ระบวนการ (Process Learning)
5. แนวคิดเก่ียวกับการถา่ ยโอนการเรียนรู้ (Transfer of Learning
การใชแ้ นวคิดหลักทั้ง 5 ดงั กล่าวขา้ งต้นใชบ้ นพนื้ ฐานของทฤษฎสี ำคญั 2 ทฤษฎี คอื

1. ทฤษฎพี ฒั นาการมนษุ ย์ (Human Development)
2. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning)
3. หลกั การออกแบบการจดั การเรียนการสอนแบบ CIPPA MODEL
จากแนวความคิดดังกล่าวข้างต้นนำไปสู่หลักการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ
CIPPA MODEL ดงั นี้ (ทิศนา แขมมณ.ี 2546 : 10-11)
1. เป็นกจิ กรรมทีช่ ่วยให้ผู้เรียนไดม้ ีส่วนร่วมท้ังทางด้านร่างกาย สตปิ ัญญา สังคม และอารมณ์
ท้ังน้ีเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างทั่วถึงและมากท่ีสุดเท่าที่จะทำได้
การที่ผู้เรียนมีบทบาทเป็นผู้กระทำจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมและกระตือรือร้นท่ีจะเรียนอย่างมี
ชวี ติ ชวี า กจิ กรรมท่ีจดั จงึ เปน็ กจิ กรรมทม่ี ีลักษณะดงั นี้
1.1 ช่วยให้ผูเ้ รียนได้เคลื่อนไหวในลักษณะใดลกั ษณะหนึง่ เป็นระยะ ๆเหมาะสมกบั วัยและ
ความสนใจของผเู้ รียน
1.2 มีประเด็นท้าทายให้ผู้เรียนได้คิด เป็นประเด็นท่ีไม่ง่ายหรือยากเกินไปเหมาะสมกับวัย
และความสามารถของผูเ้ รยี น เพอื่ กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนคิดหรอื ลงมือทำเรอื่ งใดเรอ่ื งหนึ่ง
1.3 ช่วยใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรูจ้ ากบุคคลหรอื สงิ่ แวดล้อมรอบตัว
1.4 ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน เกี่ยวข้องกับชีวิต ประสบการณ์ และความเป็น
จรงิ ของผเู้ รียน
2. ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ท่ีสำคัญ โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่มได้พูดคุย
ปรึกษาหารือ และแลกเปล่ียนความคิดเห็น ประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน ข้อมูลต่าง ๆเหล่านี้จะช่วยให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น และจะปรับตัวให้สามารถอยู่ในสังคม
รว่ มกับผอู้ ืน่ ได้
3. ยึดการค้นพบด้วยตนเองเป็นวิธีการสำคัญ โดยครูผู้สอนพยายามจัดการเรียนการสอนที่
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ท้ังน้ี เพราะการค้นพบความจริงใด ๆ ด้วยตนเองนั้น
ผเู้ รยี นมักจะจดจำได้ดแี ละมีความหมายโดยตรงต่อผู้เรียน รวมทัง้ เกิดความคงทนในการเรยี นรู้
4. เน้นกระบวนการ (Process) ควบคู่ไปกับผลงาน (Product) โดยการส่งเสริมให้ผู้เรียนคิด
วิเคราะห์ถึงกระบวนการต่าง ๆ ท่ีทำให้เกิดผลงาน มิใช่จะพิจารณาถึงแต่ผลงานอย่างเดียวทั้งน้ีเพราะ
ประสิทธิภาพของผลงานขึ้นอยู่กบั ประสิทธิผลของกระบวนการ
5. เน้นการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสคิดหาแนวทางที่
จะนำความรู้ความเข้าใจไปใช้ในชีวิตประจำวัน พยายามส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติจริงและพยายาม
ติดตามผลการปฏบิ ัติของผูเ้ รียน

18

จากแนวคิดและหลักการดังที่ได้นำมาเสนอทั้งหมดข้างต้น สามารถสรุปเป็นคำนิยามซ่ึง
สอดคลอ้ งกับคำนิยามในหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานของกรมวิชาการไดว้ ่า การจัดการเรยี นการสอนท่ี
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีมุ่งจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต
เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติจริงทุก
ข้ันตอน จนเกดิ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง

แบบการจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบ CIPPA MODEL

CIPPA MODEL

การมีบทบาทส่วนร่วม
(PARTICIPATION)

การสร้างความรู้ (CONSTRUCT)
กระบวนการเรยี นรู้ (PROCESS)
การแสวงหาความรู้
การศึกษาทำความเข้าใจ
การคดิ วเิ คราะห์
การตีความ
การแปลความ
การสรา้ งความหมายแกต่ นเอง
การสงั เคราะห์ข้อมูล
การสรปุ ขอ้ ความรไู้ ปใช้ (APPLICATION)

การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ การมีปฏิสมั พนั ธ์
ชว่ ยกนั เรยี นรู้ ชว่ ยกนั เรยี นรู้

(INTERACTION) (INTERACTION)

(PARTICIPATION)
การมบี ทบาทส่วนร่วม
ภาพประกอบ 2 รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบ CIPPA MODEL

19

4. แผนการจัดการเรยี นรู้
การจัดทำแผนการเรียนรู้หรือแผนการสอน เป็นภารกิจสำคัญของครูผู้สอน ทำให้ผู้สอนทราบ

ล่วงหน้าวา่ จะสอนอะไร เพอื่ จดั ประสงคใ์ ด สอนอย่างไร ใช้สอ่ื อะไร และวัดผลประเมินผลโดยวิธีใด เป็น
การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอน ทำให้ผู้สอนเกิดความม่ันใจในการสอน สอนได้ครอบคลุมเนื้อหา และ
สอนอย่างมีแนวทางและเป้าหมาย ดังน้ัน ผู้สอนจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย
ความ สำคัญ ลักษณะ ข้ันตอนการจัดทำ และหลักการวางแผนการสอนตลอดจนลักษณะของแผนการ
สอนที่ดี เพ่อื สง่ ผลใหก้ ารเรยี นการสอนดำเนนิ ไปสจู่ ุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ

ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้
มนี ักการศกึ ษาและหนว่ ยงานใหค้ วามหมายของแผนการสอนไวด้ ังน้ี
บูรณชัย ศิริมหาสาคร (2547 : 32-35) ได้กล่าวถึงแผนการสอนซ่ึงตรงกับภาษาอังกฤษว่า

Lesson Plan หมายถงึ การวางแผนการสอนหรือการเตรียมการสอนล่วงหน้ากอ่ นท่ีจะทำการสอน แล้ว
จดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพ่ือให้ใครก็ตามท่ีจะทำการสอนในวิชาน้ัน ๆสามารถใช้เป็นแนวทาง
ในการสอนได้

กรมวิชาการ (2543 : 22) กลา่ วถึงแผนการสอนหรือบนั ทกึ การสอน หมายถึง การนำวิชาหรือ
กลุ่มประสบการณ์ท่ีจะตอ้ งเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อนำมาทำการสอนตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นแผนการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมีองค์ประกอบหลักคือ จุดประสงค์ การเรียนการสอน เน้ือหาสาระ
กิจกรรมการเรียนการสอน การใช้ส่ือการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล

วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 1) กล่าวว่า แผนการสอน หมายถึง แผนการหรือโครงการที่
จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดรายวิชาหน่ึง เป็นการเตรียมการ
สอนอย่างมีระบบ และเป็นเครื่องมือท่ีช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การ
เรียนรู้ และจดุ หมายของหลักสตู รไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

ชยั ชาญ วงศ์สามัญ (2543 : 39) ให้ความหมายว่า แผนการสอน คือ แบบบันทึกทบ่ี รรจุข้อมูล
ตา่ ง ๆ ที่ผู้สอนจดั เตรียมไวส้ ำหรบั สอนเรื่องใดเรื่องหน่ึง

สำลี รักสุทธี และคณะ (2544 : 42) ให้ความหมายของแผนการสอน คือแผนการหรือ
โครงการท่ีจัดทำเป็นลายลกั ษณ์อักษร เพ่ือใช้ในการปฏิบตั ิการสอนในรายวิชาใดวชิ าหนึ่ง เป็นการระดม
สรรพวธิ ที ่ีจะทำให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรูอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ

รุจิร์ ภู่สาระ (2545 : 159) กล่าวว่าแผนการสอน เป็นเคร่ืองมือแนวทางในการจั ด
ประสบการณ์เรียนรู้ให้ผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ในสาระการเรียนรู้ของแต่ละกลุ่มผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษา
ความหมายของแผนการจัดการเรียนรูข้ องนักการศกึ ษาสรปุ ไดว้ า่

แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมการสอนอย่างมีระบบเป็นลายลักษณ์อักษร
ล่วงหน้าและ

20

เป็นเครื่องมืออันสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนไปสู่จุดหมายปลายทางท่ีหลักสูตรกำหนดได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
ความสำคญั ของแผนการสอน

วฒั นาพร ระงบั ทุกข์ (2542 : 2) ได้กล่าวว่าการจัดทำแผนการสอนก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ ดงั นี้
1. ก่อให้เกิดการวางแผนและการเตรียมการล่วงหน้า เป็นการนำเทคนิค วิธีการสอนการ

เรียนรู้ สื่อเทคโนโลยี และจิตวิทยาการเรียนการสอนมาผสมผสานประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ
สภาพแวดล้อมดา้ นตา่ ง ๆ

2. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู่เก่ียวกับหลักสูตร เทคนิคการเรียนการสอน การ
เลือกใช้สอื่ การวัดและการประเมนิ ผล ตลอดจนประเดน็ ตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งจำเปน็

3. เป็นคู่มือการสอนสำหรับตัวครูผู้สอนและครูที่สอนแทนนำไปใช้ปฏิบัติการสอนอย่าง
มน่ั ใจ

4. เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผลท่ีจะเป็น
ประโยชน์ตอ่ การจัดการเรียนการสอนตอ่ ไป

5. เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน ซ่ึงสามารถนำไปเสนอเป็นผลงานทาง
วิชาการได้
รปู แบบของแผนการจัดการเรยี นรู้

แผนการจัดการเรียนรู้มีหลายรูปแบบข้ึนอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษา
หรือผู้สอนที่จะเลือกใช้รูปแบบท่ีคิดว่ามีความเหมาะสม และสะดวกต่อการนำไปใช้ได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
ลกั ษณะของแผนการสอนทีด่ ี

สงบ ลักษณะ (2540 : 20) ไดใ้ ห้ขอ้ คิดเกี่ยวกบั หลักการสำคญั ของแผนการสอนไว้ ดังน้ี
1. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรชู้ ดั เจน
2. กจิ กรรมการเรยี นสามารถนำไปสจู่ ดุ ประสงค์ได้
3. ผู้เรียนมโี อกาสเป็นผู้ปฏิบัตกิ ิจกรรม
4. ครผู ้สู อนอำนวยความสะดวกตามกระบวน การเรียนรู้ทเี่ หมาะสม
5. ใชเ้ น้อื หาใกล้ตวั
6. จัดกระบวนการวดั ผลประเมินผลตอ่ เนอ่ื ง ใช้ผลเพ่อื การพฒั นา

21

ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรยี นรู้
การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การนำแผนการจัดการเรียนรู้ไป

ทดลองใช้ (Try out) คือ นำไปทดลองใช้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้วนำผลมาปรับปรุงแก้ไข และนำไป
ทดลองจริง (Trial Run) เพ่ือให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด (ชัยยงค์ พรหมวงศ์และคณะ.2521
: 134-143)

1. การกำหนดเกณฑป์ ระสิทธิภาพ
เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่จะช่วยให้

ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ หากแผนการจดั การเรยี นรมู้ ีประสิทธิภาพถึงระดับแล้ว แผนการจัดการเรยี นร้นู ้ันมี
คุณคา่ ท่ีจะนำไปเสนอนกั เรยี น

เกณฑ์ประสิทธิภาพมีหลายเกณฑ์ เช่น 75/75 80/80 85/85 90/90 จากการทดลอง
พบว่า เกณฑ์ท่ีเหมาะสมสำหรับวิชาที่ใช้ความรู้ความจำคือ 85 วิชาทักษะทางภาษา คือ 80(ชัยยงค์
พรหมวงศ.์ 2521 : 196)

2. การหาประสทิ ธภิ าพ ขนั้ ตอนการนำแผนการจดั การเรียนรไู้ ปเพอื่ หาประสทิ ธภิ าพ มีดังน้ี
2.1 ทดลองกลุ่มที่ไม่เข้ากลุ่มตัวอย่าง ทั้งกับเด็กอ่อน ปานกลาง และเก่ง นำผลท่ีได้

คำนวณการประสิทธิภาพ เสร็จแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น ปรกติคะแนนที่ได้จากการทดลองนี้ จะมีค่าต่ำกว่า
เกณฑม์ าก

2.2 ทดลองสนาม คือ ทดลองกับผู้เรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง นักเรียน 40-100 คน นำผล
ทดลองที่ได้คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้สมบูรณ์อีกคร้ัง ผลลัพธ์ที่ได้ควรใกล้เคียงกับเกณฑ์
ที่ตั้งไว้ หากต่ำว่าไม่เกินร้อยละ 2.50 ก็ยอมรับ แต่ถ้าหากต่างกันต้องปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ให้
ไดป้ ระสิทธภิ าพตามเกณฑท์ ่ตี งั้ ไวต้ อ่ ไป

5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. งานวจิ ยั ในประเทศ
จิรากาญจน์ หงษ์ชูตา (2545 : 110-116) ได้วิจัยการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนท่ี

เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ในวิชาคณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เศษส่วน โดยใช้โมเดลซิปปา ผลการวิ
จับพบว่า การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้โมเดลซิปปาพบว่า ผู้เรียน
สามารถสรุปข้อความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง นำประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมาสัมพันธ์กับวิชา
คณิตศาสตร์รวมถึงการเรียนรู้ การวางแผน การแก้ปัญหา กระบวนการทำงานตลอดจนการสร้างสรรค์
ผลงาน และการนำความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ และการช่วยเหลือซ่ึงกันและกันในการเรียนรู้ภายใต้
บรรยากาศที่สง่ เสริมให้นักเรียนมีความสามารถในการใช้กระบวนการคดิ ของตนเองแกป้ ัญหา นักเรียนมี
ส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างท่ัวถึง และเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง นักเรียน
สามารถทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข เกิดทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นมีการร่วมมือวางแผนในการ

22

ทำงาน มีการแบ่งงานกันทำให้นักเรียนทุกคนมีบทบาทหน้าที่ในการทำงานร่วมกัน มีความรับผิดชอบ
รู้จักการวิเคราะห์และอภิปรายแลกเปล่ียนประสบการณ์ มีความภาคภูมิใจในผลงานและสร้างสรรค์
ผลงานท่แี ปลกใหม่ ทำให้นกั เรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงขนึ้

นงลักษณ์ เชียรหอม (2547 : 89-92) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง กระจงน้อยจากป่าใหญ่ ชั้นประถมศึกษาปีที่2
ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา มีประสิทธิภาพ85.47/86.67 ซ่ึงสูงกว่า
เกณฑ์ท่ีตงั้ ไว้ การจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ ปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนและเป็นกิจกรรม
การเรียนรู้ทสี่ ่งเสรมิ พัฒนาการทั้งสด่ี ้าน คือ ดา้ นร่างการ สตปิ ัญญา อารมณ์ และสงั คม ทำใหน้ ักเรียนได้
แสดงออกซ่ึงศักยภาพของตนเองในด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มีค่าดัชนีประสิทธิผล
ของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท้ัง 6 แบบ ส่วนดัชนีประสิทธิผลจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เท่ากับ 0.7929 คดิ เป็นรอ้ ยละ 79.29 และนักเรยี นมคี วามพึงพอใจต่อแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้อยู่
ในระดับมาก

บุญสิทธิ์ วานุนาม (2547 : 96-99) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา
โมเดล (CIPPA MODEL) เรื่อง ลิมิตและความต่อเนื่องของฟังก์ชั่น วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
6 จากการศึกษาค้นคว้าพบว่าแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้คือ
75/75 น้ันเป็นเพราะว่าแผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) ท่ีผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างข้ึน
อย่างมีระบบ โดยมีกิจกรรมที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพ่ือให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการ
เรียนการสอนอย่าทั่วถึง ยึดกลุ่มเป็นแหล่งเรยี นรู้ที่สำคัญ โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ปฏิสมั พันธ์กันในกลุ่ม
ยึดการค้นพบด้วยตนเองเป็นวิธีการสำคัญโดยครูผู้สอนพยายามจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียน
ค้นหาคำตอบด้วยตนเองหรือเป็นกลุ่ม ทั้งนี้เพราะการค้นพบความจริงใดๆ ด้วยตนเอง ผู้เรียนมักจะ
จดจำได้ดี เน้นกระบวนการควบคู่กับผลงาน โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ถึงกระบวนการต่างๆ ที่
ทำให้เกดิ ผลงาน เน้นการนำความรู้ไปใช้หรือประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ ประจำวัน ผลการศกึ ษาค้นคว้าครั้งนี้เป็น
สิ่งท่ียืนยันได้ว่าการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ จะทำให้ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ

เรวดี มนตรีพิลา (2547 : 133-140) ได้ศึกษาการพัฒนาครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ผลการวิจัยพบว่า การใช้
รูปแบบการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ตามแนวคิดของอาจารย์ทิศนา แขมมณี ซึ่งมีแนวคิดหลัก
ที่เป็นพ้ืนฐานของการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 5 ด้าน ก่อให้ครูเกิดการพัฒนาตนเองและ
เปล่ียนแปลงพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทีด่ ีขึน้ ซึ่งจะทำให้การจดั กิจกรรมการเรยี นการ
สอนมีประสิทธิภาพและส่งผลต่อผลสำฤทธ์ิและประสิทธิภาพของนักเรียนที่ดีข้ึน โดยประสิทธิภาพใน
การจัดการเรียนการสอนเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ท่ีสนใจใช้เป็นข้อสนเทศและ
แนวทางในการพัฒนาการปฏิบตั ิงานของครูในการปฏิบตั ิกจิ กรรมการเรียนการสอน โดยควรมีการศกึ ษา

23

พฒั นาการมสี ่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้มีสว่ นเกยี่ วข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วยเสีย
ให้มกี ารรบั ร้รู ่วมกนั ในการจดั กิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคญั

การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่องโครงโลกนิติ วิชาภาษาไทย ท
306 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปาเร่ือง
โครงโลกนิติ วชิ าภาษาไทย ท 306 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.24/84.52 ซง่ึ สงู กว่า
เกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา เร่ืองโครงโลกนิติ
วชิ าภาษาไทย ท 306 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เท่ากับ 0.7703 หมายความว่านักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี3
มีความรู้เพ่ิมข้ึนหลังเรียนด้วยการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบซิปปาเรื่องโครงโลกนิติ
วิชาภาษาไทย ท 306 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ท 306 คิดเป็นร้อยละ 77.03นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3
มคี วามพึงพอใจต่อแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนแบบซิปปา เรื่องโครงโลกนิติ วิชาภาษาไทย ท 306 ชั้น
มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 อยใู่ นระดบั มาก

สุดแสวง สีกาศรี (2547 : 130-135) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ โดยใชร้ ูปแบบซิปปาทพ่ี ัฒนาข้ึนมาประกอบด้วยกระบวนการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน เป็นกิจกรร
ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างท่ัวถึงและมากที่สุดท้ังทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและ
สติปัญญา ได้ลงมือปฏิบัติจริงนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพ่ือ ครู และสิ่งแวดล้อม ทั้งในรูปของการ
กระทำ ความรู้สึกและความคิดได้อภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน ช่วยเหลือกันทำงานและอาศัย
ทักษะกระบวนการต่าง ๆ เช่น กระบวนการคิดกระบวนการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ตลอดจนสร้างองค์
ความรู้ได้ด้วยตัวของนักเรียนเอง และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ซ่ึงเป็น
การจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของนักเรียน ทำให้นักเรียนกระตือรือร้น
สนุกกับการเรียนท้ังยังได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆนักเรียนที่เรียน โดยใช้โมเดลซิปปา ในวิชา
คณิตศาสตร์ (ค 204) เร่ืองอตั ราสว่ นและร้อยละทพ่ี ัฒนาขึ้น 79.86 สงู กว่าเกณฑ์ที่กำหนดคือร้อยละ 70
และมีจำนวนนักเรียนท่ีผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 87.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนดคือร้อยละ 75 ผล
การศึกษาค้นคว้าที่ได้ทำให้การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งผลต่อผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ 5 ด้าน ตามความมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญซึ่งช่วยให้
ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นทดี่ ขี ้นึ นำไปสู่การพัฒนาการศึกษาใหม้ ีคุณภาพตอ่ ไป

อรพรรณ ไชยสิงห์ (2547 : 136-139) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้
กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนภาษาไทย เร่ืองสำนวน สุภาษิต คำพังเพย ซ่ึง
ประถมศึกษาปีท่ี 6 ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิป
ปากลุ่มสาระการเรยี นภาษาไทย เรอ่ื งสำนวน สุภาษิต คำพังเพย ซ่ึงประถมศึกษาปีท่ี 6 มีประสิทธิภาพ
93.24/84.74 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ มีคำดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เท่ากับ
0.7746 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.46 และนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึง
พอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปาอยู่ในระดับมาก โดยสรุปแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้

24

กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเรื่องสำนวน สุภาษิต คำพังเพยช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 6 มีประสิทธิภาพเหมาะสม ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน จึงควร
สนับสนุนส่งเสริมให้ครูทจี่ ะนำไปใชจ้ ดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ในวิชาภาษาไทยในเนอ้ื หาสาระอน่ื ๆ

จนั ที สทิ ธศิ าสตร์ (2549 : 99-102) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดย
ใช้ซิปปา เร่อื งสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดยี ว ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ผลการวจิ ัยพบวา่ แผนการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ โดยใช้ซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดยี ว ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 มี
ประสทิ ธภิ าพ 78.42/76.09 ดชั นปี ระสิทธิผลของแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชซ้ ิปปา (CIPPA
MODEL) พบว่านักเรยี นมีคะแนนเพ่ิมขน้ึ 0.6421 หรือ คดิ เป็นร้อยละ64.21 นกั เรียนท่ีไดร้ ับการสอน
โดยใชแ้ ผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใชซ้ ปิ ปา (CIPPA MODEL) หลังจากเรยี นไปแล้ว 2 สปั ดาห์
สามารถคงทนในการเรยี นรหู้ ลงั เรียนได้ท้งั หมดการศึกษาค้นควา้ คร้ังน้ี พบว่าแผนการจดั กิจกรรมการ
เรยี นรู้ ท่ผี ู้ศกึ ษาคน้ ควา้ ไดพ้ ฒั นาข้ึนมปี ระสิทธภิ าพสงู กวา่ เกณฑ์ทต่ี ้งั ไว้ และการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ทำใหน้ กั เรยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาความร้ดู ว้ ยตนเอง จากการเรยี นเป็นกลุ่ม รายบุคคล และการทำ
กจิ กรรมร่วมกนั ทำใหผ้ ลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนสูงขึน้

ดอกคูณ วงศ์วรรณวฒั นา (2544 : 114) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน
ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยใช้รูปแบบซิปปาในวิชาฟิสิกส์ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมี
วตั ถปุ ระสงค์เพ่ือพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนวิชาฟิสกิ ส์ เร่อื ง งานและพลังงานโดยการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนท่ีเน้นผ้เู รยี นเป็นศูนย์กลาง โดยใช้รูปแบบซิปปา สำหรบั นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4
ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า นักเรียนได้คิด ปฏิบัติ และทำความเข้าใจด้วยตนเอง นักเรียนได้ความรู้
กว้างขวางจากการอภิปราย สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ผลการทอสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนก่อนเรยี นและหลังเรยี น โดยใช้ค่าเฉลย่ี และร้อยละ พบว่านักเรียนมีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นสูงกว่า
เกณฑท์ ี่กำหนด

มยุรา สมบูรณ์ (2547 : 83) ได้ศึกษาพัฒนาแผนการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มการงาน
พ้ืนฐานและอาชีพ เรื่อง การทำยาสระผมจากสมุนไพร ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 พบว่าดัชนีประสิทธิผล
เท่ากับ 0.82 ซ่ึงหมายความว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มข้ึนคิดเป็นร้อยละ 89.46 ทั้งน้ีเนื่องจากการพัฒนา
แผนการจัดการเรยี นรู้แบบซปิ ปา กลุ่มการงานและพ้ืนฐานอาชีพ เร่ือง การทำยาสระผมจากสมุนไพรช้ัน
ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ทำให้นกั เรยี นเรียนรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ สนุกสนาน และได้ลงมอื ปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง

ปอเรียม แสงชาลี (2549 : 138-142) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ตามรูปแบบซิปปา และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบของ สสวท. กลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ เร่อื งเส้นขนาน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ผลการวิจัยพบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้ตามรูปแบบซิปปาและแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบของสสวท. เท่ากับ
0.7107 และ 0.6580 คิดเป็นร้อยละ 71.07 และ 65.80 ตามลำดับ นักเรียนท่ีเรียนโดยการจัดกิจกรรม

25

การเรียนรู้ตามรูปแบบซปิ ปา และการจดั กจิ กรรมการเรียนรูต้ ามรปู แบบของสสวท. มีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนไม่แตกต่างกัน นักเรยี นท่ีเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา มีความสามารถใน
การให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบของ
สสวท. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน โดยใช้การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบของ สสวท. อยู่ใน
ระดับมาก นักเรียนท่ีเรียนโดยการจัดกิจกรรมเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา สามารถคงทนความรู้หลังเรียน
ได้ทั้งหมด ส่วนนักเรียนที่เรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบของ สสวท. นักเรียนสามารถ
คงทนความรู้ได้คิดเป็นร้อยละ 87.77 ของคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน โดยสรุป แผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ตามรูปแบบซปิ ปา และรูปแบบของ สสวท. มปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล เหมาะสม ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นของนกั เรียนทเี่ รยี นทั้ง 2 วิธีไม่แตกต่างกนั แตก่ ารจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซปิ ปา
นักเรียนมีความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ สูงกว่า และนักเรียนสามารถคงทนความรู้ได้
ทั้งหมด จึงเหมาะที่จะทำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา ไปใช้ในการเรียนการสอน
ประยุกตใ์ ช้ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสดุ แกผ่ เู้ รียนตอ่ ไป

2. งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ
คอนเฟอร์ (Confer. 2001 : 2573-A) ได้ทำการศึกษาเพ่ืออธิบายความเข้าใจของนักเรียน

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจำนวน 42 คน และครูจำนวน 6 คน เกี่ยวกับการสอนและการเรียนที่เน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูผู้ร่วมวิจัยได้พยายามทำให้ชั้นเรียนของตนเป็นช้ันเรียนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ครูยังไม่เข้าใจแนวคิดและทางปฏิบัติท่ีชัดเจนเก่ียวกับส่ิงท่ีครูต้ังใจจะให้ช้ันเรียน
เป็นช้ันเรียนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผลจากการใช้ข้อมูลเบื้องต้นเหล่าน้ีได้ระบุตัวบ่งช้ีระดับความเข้าใจ
เกี่ยวกับแนวคิดและทางปฏิบัติ 5 ระดับ เมื่อใช้ตัวบ่งชี้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงความเข้าใจเกี่ยวกับ
แนวคิดและทางปฏิบัติของครู พบว่า ประการแรกเม่ือครูไม่พัฒนาพ้ืนฐานของแนวคิดท่ีเหมาะสมเพื่อ
แนะแนวทางปฏิบัติใหม่ ครมู ักจะสรา้ งแนวคิดท่ีผดิ ๆ ซึ่งนำไปสู่การแสดงออกท่ไี มเ่ หมาะสมเกี่ยวกับกล
ยุทธ์การสอนได้ ประการท่ีสองเมื่อครูเป็นผู้เรียนเกี่ยวกับวิธีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเพ่ือการสอนและ
การเรียนรู้ ครจู ึงเป็นท้ังผู้สอน ผู้เรียน และผู้ปฏิบัติด้วย ความเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดและทางปฏิบัติของ
ครูจึงมีความเหมาะสมมากขึ้น และผลประการท่ีสามพบว่าครูบางคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด
เกดิ ขนึ้ กอ่ นการปฏิบัติการสอนท่ีหมาะสม ส่วนครูคนอืน่ ๆแสดงให้เห็นกลยทุ ธ์ท่ีเหมาะสมซ่ึงบง่ บอกวา่ มี
ความเขา้ ใจในแนวคดิ แลว้

แฮนสัน (Hanson. 1994 : 3308-A) ได้ศึกษาผลการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์โดยใช้
คอมพิวเตอร์แบบกลุ่มร่วมมือในชนั้ เรียนเด็กพิการเรยี นรว่ มกับเดก็ ปกติ กลุม่ ตัวอย่างท่ีใช้คือนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาเกรดสาม จำนวน 118 คน ซ่ึงในจำนวนนี้มีเด็กพิการจำนวน 25 คน นกั เรียนเหล่าน้ีถูกจัด
เข้ากลุ่มการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือและแบบเรยี นร่วมท้ังชั้นเพ่ือเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้เทคโนโลยี

26

คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสนับสนนุ การเรียนการสอน ครจู ำนวน 6 คน ถูกเลือกมาแบบส่มุ และมอบหมายให้สอน
วชิ าคณติ ศาสตร์แบบกลุ่มร่วมมอื และแบบทั้งชัน้ อย่างใดอย่างดหนึ่งตามหลักสูตรของโรงเรียน ครู 3 คน
สอนในชั้นเรียนตามปกติ ชุดการสอนคอมพิวเตอร์ 3 ชุดถูกนำมาใช้ให้เด็กนักเรียนได้เรียนทักษะทาง
คณิตศาสตร์ได้แก่การคิด การคำนวณ การจัดการ และการแก้โจทย์ปัญหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
คณิตศาสตร์โดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนแบบกลุ่มร่วมมือมี
ผลสัมฤทธิ์สูงกว่าการเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่ทั้งช้ันอย่างไรก็ตามความแตกต่างกันทางสังคมระหว่างเด็ก
ปกติและเด็กพิการมีค่าความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญ จากการสัมภาษณ์เด็กการศึกษาพิเศษ
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาชอบการอยู่ร่วมกับช้ันเรียนปกติ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการการ
ยอมรบั และการชว่ ยเหลือ

แมธิวส์ (Mathues. 2003 : 1208-A) ได้ทำการวิจัยเพ่ือศึกษาประสิทธิผลของกลยุทธ์การ
อภิปราย ซ่ึงชูปและไรต์ (Shoop and Wright) จัดขึ้นเพื่อการสอนและการดำเนินการอภิปรายท่ีเน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ วิธีการศึกษาสุ่มนักเรียนระดับเกรด 5 จากโรงเรียนโรงหนึ่ง แล้วจัดให้เข้าอยู่ในช้ัน
เรียนหนึ่งในสองชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ นักเรียนจำนวน 22 คน ในช้ันเรียนหน่ึงเรียนและประยุกต์ใช้กล
ยุทธ์การอภิปรายที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่วนชั้นเรียนท่ีสองซึ่งมีนักเรยี นจำนวน 19 คน เรียนมโนทัศน์
วทิ ยาศาสตร์เดียวกันจากครูที่ใช้วธิ ีการสอนแบบเดิมตามท่ี แคซเดน (Cazden)ได้อธิบายไว้ว่า เคร่ืองมือ
ท่ีใช้เป็นแบบทดสอบก่อนและหลังการทดลอง เพื่อทดสอบสมมุติฐานที่ว่าการมีส่วนรว่ มในการอภิปราย
ท่เี น้นผ้เู รียนเป็นสำคัญจะทำให้เกิดผลความแตกต่างในความสามารถของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5
จะเข้าใจมโนทัศน์วิทยาศาสตร์ ผลการทดสอบกลุ่มตัวอย่างอิสระพบว่า ในขณะท่ีไม่มีความแตกต่าง
อย่างมีนัยสำคัญระหว่างคะแนนความสามารถเฉล่ียของท้ัง2 กลุ่มของผู้ถูกทอลอง ซ่ึงวัดด้วย
แบบทดสอบความสามารถทางจิตใจฉบับมาตรฐานน้ัน คะแนนทดสอบเฉลี่ยก่อนการทดลองของกลุ่มท่ี
สอนแบบเดิมสูงกว่าคะแนนแบบทดสอบเฉลี่ยก่อนการทดลองของกลุ่มท่ีสอนด้วยการอภิปรายที่เน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการดำเนินการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม พบว่า
คะแนนทดสอบเฉลยี่ หลังการทดลองของกลุ่มท่เี น้นผเู้ รียนเป็นสำคัญสงู กว่าคะแนนทดสอบเฉลย่ี หลังการ
ทดลอง สรปุ ไดว้ ่า ระเบยี บวธิ ีการอภปิ รายที่
เน้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั ชว่ ยให้ผู้เรียนมีความเขา้ ใจมโนมติทางวทิ ยาศาสตร์

เกรแฮม (Graham. 1998 : 136-A) ได้วิจยั ศกึ ษาผลของการใช้วธิ ีสอนท่ีเน้นรูปแบบโดยใช้
การกระตุ้นและการแก้ไขโดยตรง โดยมีผู้ร่วมวิจัยในชั้นเรียนประกอบด้วย ครูผู้สอนจำนวน4 คน และ
นักเรียนทั้งหมด 8 ห้องเรียน จำนวน 179 คน ในเกรด 5 (อายุ 10-11 ปี) เพ่ือศึกษาผลการใช้วิธีสอนท่ี
เน้นรูปแบบ (Form-Focused Instruction) และการให้ข้อมูลย้อนกลับในการแก้ไขความถูกต้องของ
นักเรียนในการเรียนเรื่องเพศของคำนามในไวยากรณ์ฝร่ังเศส โดยให้ครูผู้สอน 3 คน แทรกกิจกรรม
ทดลองไว้ในเนื้อหาการเรียนการสอนตามปกติของตน คนละ 2 ห้องเรียนประมาณ 9 ชั่วโมง ใน
ระยะเวลา 5 สัปดาห์ ส่วนครูคนท่ี 4 สอนเนื้อหาเดียวกันโดยไม่ใช้กิจกรรมการสอนที่เน้นรูปแบบแก่

27

กลุ่มเปรียบเทียบ จำนวน 2 ห้องเรียน และนอกจากครู 3 คนแรกใช้กิจกรรมการสอนท่ีเน้นรูปแบบแล้ว
ยังให้ข้อมูลย้อนกลับในการแก้ไขให้โดยตรง แบบกระตุ้นหรือแนะให้คิดไม่ให้ย้อนกลับ การวิเคราะห์ผล
การทดสอบก่อนเรียนหลังเรียนเสร็จทันที และการทดสอบหลังเรียนท่ีท้ิงระยะเวลา พบว่า นักเรียนท่ี
เรียนโดยวิธีสอนที่เน้นรูปแบบมีความสามารถในการใช้เพศในไวยากรณ์ภาษาฝร่ังเศสได้อย่างถูกต้อง
อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กิจกรรมการเขียนและการพูดยังแสดงให้เห็นว่าวิธีสอนที่เน้นรูปแบบมี
ประสิทธิผลมากยิ่งข้ึนเม่ือใช้ร่วมกับการให้ข้อมูลย้อนกลับแบบกระตุ้นมากกว่าแบบแก้ ไขให้โดยตรง
หรือไม่ให้ข้อมูลย้อนกลับซ่ึงจะเป็นวิธีหนึ่งท่ีช่วยให้ผู้เรียนภาษาท่ีสองสามารถเรียนรกู้ ฎเกณฑ์ไวยากรณ์
ท่เี กย่ี วกบั เพศของคำและสามารถจดั ระเบยี บความร้ขู องรปู แบบภาษาที่ปรากฏได้

จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้องสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญโดยผ้เู รียนได้สรา้ งองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง เรยี นรู้โดยการปฏิบัติ ผู้เรียนมีปฏิสมั พนั ธ์กับสิ่งแวดลอ้ ม
รอบตัว มีการวางแผนร่วมกัน มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน ได้ผ่านกระบวนการคิดการ
กล่ันกรอง เกิดความเข้าใจและจำในส่ิงที่ตนเรียนรู้ได้ดี สามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์
อื่นได้โดยอาศัยการฝึกฝน นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่หลากหลายทำให้ผู้เรียนเกิด
ความม่ันใจและเกิดความชำนาญในการที่จะนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้เรียนมีพัฒนาการ
ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ

28

บทที่ 3

วธิ กี ารดำเนินการศกึ ษาค้นคว้า

ในการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเรื่องสุขภาพและการป้องกัน
โรคของนักเรยี นระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL)
ผูว้ จิ ัยไดด้ ำเนินการตามลำดับขน้ั ตอน ดงั นี้

1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
2. แบบแผนการวิจยั
3. เครอื่ งมือท่ใี ช้ในการวิจยั
4. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครื่องมอื
5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
6. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
7. สถติ ิทีใ่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล

ประชากรกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร
ประชาการท่ีใช้ในการวจิ ัย ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอ

เมือง จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปกี ารศึกษา 2564
กลุ่มตวั อย่าง

กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษา ไดแ้ ก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 16 คน ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง
(Purposive sampling) (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 44)

แบบแผนการวจิ ัย
การวิจยั ในครง้ั น้ี ผูว้ จิ ยั ใช้รปู แบบการวิจยั เชงิ ทดลองเบื้องตน้ แบบกลมุ่ เด่ียววัดผลกอ่ นและ

หลังการทดลอง (The single group pre test post test design) (องอาจ นัยพัฒน,์ 2551 :
53-59) ดงั ตารางท่ี 2
ตารางที่ 2 แบบแผนการวิจัย

สอบก่อน ตัวแปรต้น สอบหลัง
T1 X T2

29

เมอ่ื X แทน การจดั กระทำตามการทดลอง (Treatment)
T1 แทน การวัดผลก่อนการทดลอง (Pre test)
T2 แทน การวดั ผลหลงั การทดลอง (Post test)

เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย
การวจิ ยั ในครั้งนี้ ผวู้ ิจัยได้ใช้เครอ่ื งมือตามลำดบั ดังน้ี
1. แผนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เร่ือง สุขภาพและการ

ป้องกนั โรค กลุ่มสาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี ภาคเรยี นท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 9 แผน ประกอบดว้ ย

1.1 เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่
1.2 เรื่องโรคอสี กุ อีใส
1.3 เรื่องโรคหดั
1.4 เรื่องโรคคางทมู
1.5 เรอ่ื งความสำคัญของอาหารหลัก 5 หมู่
1.6 เร่อื งประโยชนข์ องอาหารหลัก 5 หมู่
1.7 เรอ่ื งการเลือกรบั ประทานอาหารทเ่ี หมาะสม
1.8 เรอ่ื งธงโภชนาการ
1.9 เรื่องหลกั การจดั อาหารตามธงโภชนาการ
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สุขภาพแลการป้องกันโรค กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ
4 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ขอ้
3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ต่อการพัฒนาการเรียนรู้ เร่ือง
สุขภาพและการปอ้ งกันโรค โดยใช้เทคนคิ การสอนแบบซปิ ปาโมเดล กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและ
พลศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) มี
5 ระดบั ดังนี้

5 หมายถึง มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดับมากที่สดุ
4 หมายถึง มีความพึงพอใจอยูใ่ นระดบั มาก
3 หมายถึง มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง
2 หมายถึง มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั น้อย
1 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับน้อยท่ีสุด

30

การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครอื่ งมือ
เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ยั ครงั้ น้ี ผวู้ ิจัยมีวิธีการสรา้ งตามขนั้ ตอน ดงั น้ี
1. การสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปา

โมเดล เรือ่ งสุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ช้ันประถมศกึ ษาปี
ท่ี 4-6 มขี ั้นตอนการสร้าง ดงั นี้

1.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับวิธีการ หลักการและเทคนิคการ
เขยี นแผนการจดั การเรียนรู้

1.2 ศึกษาเทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล ตามแนวคิดของทศิ นา แขมมณี (2542)
1.3 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรยี นรู้กลุม่ สาระการเรียนรู้สุขศกึ ษา
และพลศึกษา และเนื้อหาเกี่ยวกับ เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 ตาม
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
1.4 กำหนดโครงสร้างและเนื้อหาที่จะนำไปสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการ
สอนแบบซิปปาโมเดล โดยมีเน้อื หาดังนี้

1.4.1 เร่อื งโรคไขห้ วัดใหญ่
1.4.2 เรอ่ื งโรคอีสกุ อใี ส
1.4.3 เร่อื งโรคหดั
1.4.4 เร่อื งโรคคางทูม
1.4.5 เรื่องความสำคัญของอาหารหลกั 5 หมู่
1.4.6 เรื่องประโยชน์ของอาหารหลกั 5 หมู่
1.4.7 เรอ่ื งการเลือกรับประทานอาหารทเ่ี หมาะสม
1.4.8 เร่ืองธงโภชนาการ
1.4.9 เร่อื งหลกั การจดั อาหารตามธงโภชนาการ
1.5 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เรื่องสุขภาพและ
การป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โดยมี
องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ทีส่ ำคญั ดังนี้
1.5.1 ชอื่ แผนการจดั การเรยี นรู้
1.5.2 สาระสำคัญ
1.5.3 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1.5.4 สาระการเรียนรู้
1.5.5 กระบวนการจัดการเรียนรู้
1.5.6 สื่อและแหลง่ เรียนรู้
1.5.7 การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

31

1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้เทคนคิ การสอนแบบซิปปาโมเดล พรอ้ มทั้งแบบประเมนิ
ทผ่ี ้วู จิ ัยสร้างข้นึ ไปให้ผ้เู ชย่ี วชาญ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาความสอดคล้องและเหมาะสม

1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบ ซิปปาโมเดล เร่ือง สุขภาพและ
การปอ้ งกันโรค กลุ่มสาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 มาปรับปรุงแก้ไข
ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำไปทดลองใช้ (Try out) กับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6
โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศกึ ษา 2564 ดงั นี้

2. การสร้างและหาคณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
การสร้างและหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง สุขภาพและ

การป้องกันโรค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 3/1 โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น
เขต 2 ผู้วิจัยสร้างข้ึน เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก ซึ่งมีการสร้างแบบทดสอบ
ดงั นี้

2.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง โดยศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบและ
วิธกี ารตรวจสอบหาคณุ ภาพของแบบทดสอบของ บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 53-66)

2.2 ศึกษาหลักสูตร คู่มือครู หนังสือเรียนวิชาสุขศึกษา สาระท่ี 4 และคู่มือการวัดผล
ประเมนิ ผล ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551

2.3 วิเคราะห์เนื้อหา และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อนำมาสร้างแบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอ่ื ง สขุ ภาพและการปอ้ งกนั โรค ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4-6

2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4
ตวั เลอื ก โดยให้ครอบคลุมเนื้อหา และผลการเรียนรู้ท่คี าดหวัง จำนวน 30 ขอ้

2.5 ไปให้ผู้เช่ียวชาญ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับ
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพ่ือนำผลมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC : Index of item
objective congruence) โดยผู้วิจัยจะคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ต้ังแต่ 0.50 ขึ้น
ไป ไปทดลองใช้ในขน้ั ตอนตอ่ ไป

2.6 นำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นท่ีผา่ นการพิจารณาความสอดคลอ้ งจาก
ผู้เช่ียวชาญแล้ว ไปทดลองใช้ (Try out) กับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 30 คน

2.7 นำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนน โดยข้อที่ตอบถูกให้ 1
คะแนน และข้อใดตอบผิดให้ 0 คะแนน แล้วมาวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบเป็นรายข้อ โดยหา
ค่าความยาก (p) และค่าอำนาจจำแนก (B) ตามวิธีของเบรนแนน (Brennan) (บุญชม ศรีสะอาด,
2545 : 90-92)

32

2.8 คัดเลือกข้อสอบเฉพาะข้อที่มีค่าความยาก (p) อยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 และ
ข้อท่ีมีค่าอำนาจจำแนก ต้ังแต่ 0.20 – 1.00 จำนวน 20 ข้อ รวมเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนทั้งฉบับ แล้วนำไปหาความเชอ่ื ม่ันของแบบทดสอบทั้งฉบับตามวิธีของ โลเวทท์ (Lovett)
(บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 96) ค่าความเช่ือม่นั ที่ใช้ได้คือ มีคา่ ตงั้ แต่ 0.75 ขนึ้ ไป

2.10 จัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้กับ
กลุ่มตัวอยา่ ง ต่อไป

3. การสร้างและหาคณุ ภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจ
การสร้างและหาคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษา

ปีที่ 3/1 โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ต่อ
การพัฒนาแผนการเรียนรู้ เรอื่ ง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศกึ ษา ผวู้ ิจัยดำเนนิ การสรา้ งตามขัน้ ตอน ดงั น้ี

3.1 วิเคราะห์ประเด็นเก่ียวกับความพึงพอใจของนักเรียนต่อ การพัฒนาการเรียนรู้
เรอ่ื ง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศกึ ษาและ
พลศกึ ษา จากนยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ

3.2 ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถาม
ความพงึ พอใจของณรงค์ เฮา้ ทา (2552)

3.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale)
ตามวิธขี อง ลเิ คิรท์ (Likert) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 70 – 72) จำนวน 25 ข้อ

3.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างข้ึน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน
พิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อความกับนิยามศัพท์เฉพาะ เพ่ือหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index
of consistency : IOC)

3.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลองใช้ (Try out) กับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น
เขต 2 จำนวน 15 คน

3.6 นำแบบสอบถามความพึงพอใจทที่ ดลองใช้ มาหาค่าอำนาจจำแนกเปน็ รายขอ้
โดยหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์อย่างง่าย (r) ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item total
correlation) และคดั เลือกขอ้ คำถามที่มคี ่าอำนาจจำแนก ระหวา่ ง 0.20 ถึง 1.00 จำนวน 20 ขอ้

3.8 นำแบบสอบถามความพึงพอใจจำนวน 20 ข้อ รวมเป็นแบบสอบถามท้ังฉบับ
แล้วหาค่าความเช่ือมั่นของแบบสอบถามโดยการหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า (Alpha Coefficient)
ตามวธิ กี ารของ ครอนบาค (Cronbach) (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 97 – 101)

3.9 จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อใช้กับกลุ่มตัวอย่าง
ตอ่ ไป

33

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
การวิจยั ครง้ั นี้ผูว้ ิจยั ดำเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมูล ดงั น้ี
1. ก่อนการทดลอง ผวู้ ิจัยชี้แจงหลกั การและเหตผุ ล ใหน้ กั เรียนกลุ่มตัวอยา่ งรบั ทราบ
2. ทำการทดสอบก่อนเรยี น (Pre test) โดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น กอ่ น

การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล
3. ทดลองใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียน ช้ัน

ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564

4. หลังส้ินสุดการทดลอง ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังเรียน (Post test) โดยใช้
แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนชุดเดยี วกบั แบบทดสอบกอ่ นเรียน และสอบถามความพึงพอใจของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2
ปีการศึกษา 2564 ต่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้
สุขศึกษาและพลศกึ ษา รายละเอยี ดดังตารางที่ 2 ดงั น้ี

ตารางที่ 2 แสดงระยะเวลาในการทดลอง เวลา จำนวน (ชัว่ โมง)
10.00 –11.00 น. 1
รายการ / กจิ กรรม 10.00 –12.00 น. 2
ช้ีแจงวตั ถปุ ระสงค์ให้นักเรียนรบั ทราบและทำแบบทดสอบวดั ผล 10.00 –11.00 น. 1
สัมฤทธ์ิก่อนเรยี น (Pre - test) 10.00 –11.00 น. 1
จัดกจิ กรรมการเรียนการสอน โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบซปิ 10.00 –11.00 น. 1
ปาโมเดล เร่อื ง โรคไขห้ วัดใหญ่ 10.00 –12.00 น. 2
จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบซปิ 10.00 –12.00 น. 2
ปาโมเดล เรื่อง โรคอีสุกอใี ส 10.00 –12.00 น. 2
จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ ซปิ
ปาโมเดล เรอื่ ง โรคหัด
จดั กจิ กรรมการเรียนการสอน โดยใช้เทคนคิ การสอนแบบ ซปิ
ปาโมเดล เรื่อง โรคคางทูม
จัดกจิ กรรมการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ ซปิ
ปาโมเดล เร่อื ง ความสำคัญของอาหารหลกั 5 หมู่
จดั กิจกรรมการเรียนการสอน โดยใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบ ซปิ
ปาโมเดล เรือ่ ง ประโยชนข์ องอาหารหลัก 5 หมู่
จดั กจิ กรรมการเรียนการสอน โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ ซปิ

34

ปาโมเดล เร่อื ง การเลอื กรับประทานอาหารทีเ่ หมาะสม 10.00 –12.00 น. 2
จัดกิจกรรมการเรยี นการสอน โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ ซปิ 10.00 –12.00 น. 2
ปาโมเดล เรอ่ื ง ธงโภชนาการ 10.00 –11.00 น. 1
จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน โดยใช้เทคนคิ การสอนแบบ ซปิ
ปาโมเดล เร่ือง การจัดอาหารตามธงโภชนาการ
ทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น หลังเรียน
(Post - test)

การวิเคราะห์ข้อมูล
การวจิ ยั ครัง้ น้ี ผ้วู ิจัยไดด้ ำเนินการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังน้ี
1. วิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ

ซิปปาโมเดล เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค ตามเกณฑ์ 80/80 โดยวิเคราะห์ตามสูตรการหาค่า
E1 / E2 (บุญชม ศรีสะอาด, 2546 : 155)

2. วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิป
ปาโมเดล เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค (E.I : The effectiveness index) โดยวิเคราะห์จาก
คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน เมื่อเทียบกับคะแนนเต็มตามวิธีของ กูดแมนและชไนเดอร์
(Goodman & Schnider) (เผชญิ กิจระการ, 2548 : 31)

3. วิเคราะหเ์ ปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค โดย
ใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3/1 โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว
สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ระหวา่ งก่อนเรยี นกับหลังเรียน โดยใช้ค่าที
(t- test แบบ Dependent samples) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 112)

4. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3/1 โรงเรียนชุมชนบ้าน
หัวขัว สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ต่อการพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง
สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศกึ ษาและ
พลศึกษา โดยใช้ค่าเฉล่ีย ( X ) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และนำค่าเฉลี่ยมาเทียบเกณฑ์
ดงั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 103, 106)

4.51 – 5.00 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับ มากท่ีสุด
3.51 – 4.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก
2.51 – 3.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยู่ในระดับ ปานกลาง
1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดบั น้อย
1.00 – 1.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยู่ในระดับ น้อยทส่ี ุด

35

สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล

การวิเคราะหข์ ้อมลู คร้ังนี้ผู้วจิ ยั ไดใ้ ช้สถิตใิ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล ดังนี้

1. สถติ ิที่ใชใ้ นการตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมอื

1.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล

ตรวจสอบ ความ ถูกต้องแ ละเห ม าะสม ของเท คนิ ค การสอน แบ บ ซิ ป ป าโม เด ล

โดยประยุกต์จากแนวคิดของ โรวิเนลล่ี (Rovinelli) และแฮมเบิลตัน (R.K. Hambleton) (บุญชม ศรี

สะอาด, 2545 : 63) ด้วยหาค่าดัชนีความสอดคล้องเหมาะสม (IOC : Index of Consistency)

ดังนี้

IOC = R

N

เม่อื IOC แทน ความถกู ต้องและเหมาะสมของแผนการจดั
การเรียนรเู้ ทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล

R แทน ผลรวมของความคดิ เหน็ ของผู้เชย่ี วชาญทั้งหมด

N แทน จำนวนผเู้ ชย่ี วชาญท้งั หมด
1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น

1.2.1 วเิ คราะห์ความเทีย่ งตรงเชงิ เนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน โดยหาดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกบั จดุ ประสงค์ (IOC : Index
of item objective congruence) (สมนึก ภทั ทยิ ธนี, 2541 : 221)

IOC = R

N

เมอ่ื IOC แทน ความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกบั จุดประสงค์

R แทน ผลรวมของความคิดเหน็ ของผู้เชีย่ วชาญท้ังหมด

N แทน จำนวนผเู้ ชยี่ วชาญท้งั หมด

36

1.2.2 วิเคราะห์ค่าความยาก (p) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธกิ์ ารเรยี น
รายขอ้ คำนวณจากสตู รดงั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 84)

p = R
N

เมอ่ื p แทน ค่าความยากของแบบทดสอบ
N แทน จำนวนคนตอบถูกทง้ั หมด
แทน จำนวนนักเรยี นทง้ั หมด

1.2.3 วเิ คราะหค์ ่าอำนาจจำแนก (B) ของแบบทดสอบเป็นรายข้อตามวธิ ีของ
เบรนแนน (Brennan) โดยใช้สูตรดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 90)

B = U – L
N1 N2

เมือ่ B แทน คา่ อำนาจจำแนก

U แทน จำนวนผรู้ อบรูห้ รอื สอบผ่านเกณฑต์ อบถูก

L แทน จำนวนผู้ไมร่ อบร้หู รือผ้สู อบไม่ผ่านเกณฑต์ อบถกู
N1 แทน จำนวนผรู้ อบรู้หรอื สอบผา่ นเกณฑ์
N2 แทน จำนวนผไู้ มร่ อบรหู้ รอื ผสู้ อบไมผ่ า่ น
1.2.4 วเิ คราะหค์ ่าความเชื่อมั่นแบบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนทงั้ ฉบับ โดยใช้

สตู รของโลเวทท์ (Lovett) (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 96)
rcc = 1− (KK−1X)i −(Xi −XCi2)2

เมื่อ rcc แทน ความเชอื่ มน่ั ของแบบทดสอบ
K แทน จำนวนข้อสอบ
แทน คะแนนของแตล่ ะคน
Xi แทน คะแนนเกณฑห์ รอื จุดตัดของแบบทดสอบ
C

37

1.3 แบบสอบถามความพงึ พอใจ

1.3.1 วเิ คราะหค์ วามเท่ยี งตรงของขอ้ คำถาม โดยหาค่าดชั นีความสอดคล้อง

ระหว่างขอ้ คำถามกับนยิ ามศัพท์เฉพาะ (IOC : Index of Consistency) (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 :

63)

IOC = R

N

เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างขอ้ คำถามกบั
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ

R แทน ผลรวมของความคิดเหน็ ของผู้เชีย่ วชาญทัง้ หมด

N แทน จำนวนผูเ้ ชีย่ วชาญทั้งหมด
1.3.2 วเิ คราะหค์ ่าอำนาจจำแนกของแบบสอบถามเปน็ รายข้อโดยหา
ค่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสัมพันธอ์ ย่างง่าย ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item total
correlation) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 109 - 110)

สตู ร rxy = N XY −(X)(Y)

NX2 −(X)2 N Y2 −(Y)2 

เม่อื rxy แทน สมั ประสิทธิส์ หสัมพนั ธ์ระหว่างคะแนนรายข้อ
กบั คะแนนรวม
N แทน จำนวนนกั เรยี น
X แทน ผลรวมของคะแนนรายข้อ
Y แทน ผลรวมของคะแนนรวมทุกข้อ
XY แทน ผลรวมของผลคูณระหว่างคะแนนรายข้อ
กับคะแนนรวมทุกข้อของทุกคน
X 2 แทน ผลรวมของคะแนนรายขอ้ แต่ละตวั ยกกำลังสอง
Y2 แทน ผลรวมของคะแนนรวมทุกข้อยกกำลังสอง

1.3.3 วิเคราะห์ค่าความเช่ือม่ัน (Reliability) ของแบบสอบถามความพงึ พอใจ
ทั้งฉบับ โดยการหาค่าสัมประสทิ ธิแอลฟา (Alpha coefficient) ตามวธิ ีของครอนบาค (Cronbach)
คำนวณจากสตู ร ดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 99)

38

= k −k 11− S2i 

S2i

เมื่อ  แทน ค่าสัมประสิทธค์ิ วามเช่อื มัน่
แทน จำนวนขอ้ ของเครื่องมือวดั
k แทน ผลรวมของความแปรปรวนของแต่ละข้อ
S2i แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม
S2i

2. สถิตพิ ื้นฐาน
2.1 วเิ คราะหร์ ้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 :

104)

P = f 100
N

เมอ่ื P แทน รอ้ ยละ
f แทน ความถท่ี ตี่ ้องการแปลงเปน็ ร้อยละ
N แทน จำนวนความถ่ีทงั้ หมด

2.2 วิเคราะหค์ า่ เฉลย่ี (Mean) โดยใช้สตู รดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 105)

X = X

N

เมอื่  แทน ค่าเฉลีย่

X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในกลุม่

N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม

2.3 วเิ คราะหส์ ่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) โดยใช้สตู รดงั นี้
(บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545 : 106)

39

S.D. =  2 − ( )2
( −1)

เมอื่ S.D. แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแตล่ ะตวั
N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
 แทน ผลรวม

3. สถิตทิ ี่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน
3.1 วเิ คราะห์คา่ ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรยี นรเู้ ทคนิคการสอนแบบ ซปิ ปา

โมเดล เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค ตามสูตรการหาคา่ E1 / E2 (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2546 :
155)

X

E1 =  x 100


เมอ่ื E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ

X แทน ผลรวมของคะแนนนักเรียนระหว่างเรยี นทุกคน

A แทน คะแนนเต็มของชิน้ งานหรือกิจกรรมทุกกิจกรรม

N รวมกัน

แทน จำนวนนกั เรยี นทง้ั หมด

X

E2 = N 100
B

เมื่อ E2 แทน ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์
 X แทน ผลรวมของคะแนนที่ไดห้ ลงั เรียนทกุ คน
B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรยี น

N แทน จำนวนนักเรียนท้งั หมด

3.2 วเิ คราะหค์ า่ ดัชนปี ระสิทธิผลของแผนการจัดการเรยี นร้เู ทคนิคการสอนแบบ ซปิ
ปาโมเดล (E.I : The Effectiveness Index) โดยวิเคราะห์จากคะแนนก่อนเรยี นและหลังเรียนเม่อื

40

เทยี บกับคะแนนเต็มตามวิธีของ กดู แมนและชไนเดอร์ (Goodman & Schnider) (เผชญิ กิจระการ
, 2548 : 31)

ดชั นปี ระสิทธิผล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลีังเรี ยน− ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรี ยน
(คะแนนเตม็ จำนวนนักเรียี )น−ผลรวมของคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน

3.3 เปรยี บเทยี บความแตกต่างระหวา่ งคา่ เฉลยี่ ก่อนเรยี นกับหลงั เรยี นโดยใช้เทคนิค
การสอนแบบซิปปาโมเดล โดยใชค้ ่าที (t – test แบบ Dependent Samples) ตามสูตรดงั นี้ (บญุ
ชม
ศรสี ะอาด, 2545 : 112)

t= D
ND2 −(D)2

N −1

เม่อื t แทน คา่ สถติ ิท่ใี ชเ้ ปรยี บเทียบกบั คา่ วิกฤตเพ่ือทราบ
ความมีนยั สำคัญ
D
N แทน ค่าผลตา่ งระหว่างคู่คะแนน
 แทน จำนวนกลุ่มตวั อย่าง

แทน ผลรวม

3.4 วเิ คราะห์ความพงึ พอใจของนักเรยี นตอ่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอน
แบบซิปปาโมเดล เรือ่ ง สขุ ภาพและการป้องกนั โรค โดยใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
(S.D.) ตามสูตร ดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 105 - 106)

X= X
N

เม่ือ X แทน ค่าเฉลย่ี
x แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดในกลมุ่
N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม

41

S.D. =  2 − ( )2
( −1)

เมอ่ื S.D แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแตล่ ะตวั
N
แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
 แทน ผลรวม

นำค่าเฉลยี่ มาเทยี บกับเกณฑ์การแปลความหมายของค่าเฉลย่ี ดงั น้ี
4.51 – 5.00 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับ มากทส่ี ุด
3.51 – 4.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก
2.51 – 3.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับ ปานกลาง
1.51 – 2.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจอย่ใู นระดับ น้อย
1.00 – 1.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั น้อยทีส่ ดุ

42

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้เทคนิคการ
สอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564 ผูว้ ิจยั นำเสนอตามลำดับ ดังน้ี

1. สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
2. ลำดบั ขัน้ ตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
3. ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู

สัญลักษณท์ ่ใี ช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู
เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมายของข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดความหมาย

ของสญั ลักษณใ์ นการนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดงั นี้
N แทน จำนวนกลมุ่ เปา้ หมาย
n แทน จำนวนกล่มุ ตัวอยา่ ง
E1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
E2 แทน ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์
E.I. แทน คา่ ดชั นีประสทิ ธิผลของนวัตกรรม
S.D. แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
 แทน ค่าเฉลย่ี

D แทน ผลตา่ งระหว่างคะแนนกอ่ นเรียนกบั หลังเรยี น
D2 แทน ผลตา่ งระหว่างคะแนนกอ่ นเรียนกบั หลังเรียนยกกำลังสอง

t แทน ค่าสถติ ทิ ี่ใชเ้ ปรยี บเทียบกับคา่ วกิ ฤตเพ่อื ทราบความมนี ัยสำคัญ
df แทน ข้นั แหง่ ความเป็นอิสระ
** แทน มีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01

ลำดับขน้ั ตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู
ผูว้ ิจัยนำเสนอข้อมลู ตามลำดบั ดงั น้ี
1. ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ

ซิปปาโมเดล เร่ืองสุขภาพและการป้องกันโรค กลุม่ สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียน

43

ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564

2. ผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ
ซิปปาโมเดล เร่ืองสขุ ภาพและการป้องกันโรค กลุม่ สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564

3. ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอื่ ง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้
แผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรยี นธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมอื ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี
1-2 ปีการศึกษา 2564

4. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่
พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 ต่อการพัฒนาการเรียนรู้
เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้แผนจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้
สขุ ศึกษาและพลศึกษา

ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
ตอนท่ี 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนจดั การเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิป

ปาโมเดล เร่ืองสุขภาพและการปอ้ งกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564 แสดงดงั ตารางที่ 3

ตารางที่ 3 ประสิทธิภาพของแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เร่ืองสุขภาพ
และการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนท่ี 1-
2 ปีการศกึ ษา 2564

การทดลอง E1 E2
กลุ่มตวั อยา่ ง 37.19 81.88

จากตารางที่ 3 แสดงว่า ประสิทธิภาพของแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิป
ปาโมเดล เรื่องสุขภาพและการปอ้ งกันโรค กลมุ่ สาระการเรียนร้สู ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี

44

การศึกษา 2564 มีค่าเท่ากับ 37.19/81.88 น่ันคือ แผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิป
ปาโมเดล เรื่องสุขภาพและการป้องกันโรค ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน โดยรวม
ร้อยละ 37.19 และผลสัมฤทธหิ์ ลังเรียน โดยรวมร้อยละ 81.88

ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิป
ปาโมเดล เร่อื งสุขภาพและการปอ้ งกนั โรค กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา ของนักเรยี นช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564 แสดงดังตารางท่ี 4

ตารางท่ี 4 ประสิทธิผลของแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เรื่องสุขภาพ
และการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรยี นท่ี 1-
2 ปกี ารศกึ ษา 2564

จำนวนนักเรยี น คะแนนเตม็ ผลรวม ผลรวม E.I.
16 20 คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั เรียน

119 262 0.7114

จากตารางที่ 4 แสดงว่า ดัชนีประสทิ ธิผลของแผนจัดการเรยี นร้โู ดยใช้เทคนิคการสอนแบบ
ซิปปาโมเดล เร่อื งสขุ ภาพและการปอ้ งกันโรค กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี
การศึกษา 2564 มคี ่าเท่ากับ 0.7114 น่ันคือ นักเรียนมีความก้าวหน้าเพ่ิมข้ัน คิดเป็นร้อยละ 71.14
เม่ือเรียนโดยใช้แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เรื่องสุขภาพและการป้องกันโรค
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่
พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนที่ 1-2 ปกี ารศกึ ษา 2564

ตอนที่ 3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค
โดยใช้แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียน
ท่ี 1-2 ปกี ารศกึ ษา 2564 แสดงดังตารางท่ี 5

45

ตารางที่ 5 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรคโดยใช้
แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ
พลศึกษา ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุ
ราษฎรธ์ านี ภาคเรยี นที่ 1-2 ปกี ารศกึ ษา 2564

การทดสอบ n คะแนนเตม็ X S.D. D D2 t

กอ่ นเรียน 16 20 7.44 2.874 1327 19.7925
หลังเรียน 16 20 143

16.38 1.708

** มีนยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดบั .01

จากตารางท่ี 5 แสดงว่า ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรคโดยใช้
แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของ
นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวดั สุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-
2 ปีการศึกษา 2564 หลังเรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรียน อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01 โดยผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นหลังเรียน ( X = 16.38) สงู กวา่ กอ่ นเรยี น ( X = 7.44) เทา่ กบั 8.94

ตอนท่ี 4 ผลการวเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรยี นธดิ า
แม่พระ อำเภอเมอื ง จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ต่อการพัฒนาการเรยี นรู้
เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรคโดยใช้แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระ
การเรยี นรู้สุขศกึ ษาและพลศึกษา แสดงดังตารางท่ี 6


Click to View FlipBook Version