46
ตารางที่ 6 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ต่อการพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง
สขุ ภาพและการป้องกันโรคโดยใช้แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ข้อที่ ข้อความ X S.D. แปลผล อันดับที่
1 นักเรยี นชอบเนอ้ื หาที่เรียนเป็นเร่ืองท่ีน่าสนใจ 4.63 0.50 มากทีส่ ุด 5
2 นักเรยี นพอใจในเนอื้ หาทเ่ี รียนไมย่ ากเกนิ ไป 4.88 0.34 มากทสี่ ดุ 1
3 นักเรียนชอบการศึกษาหาความรู้จากใบความรู้ 4.69 0.48 มากทส่ี ุด 4
แหลง่ ขอ้ มลู และแหลง่ เรยี นรู้ท่ีครจู ัดให้
4 นักเรียนพอใจในความรูท้ ี่ได้รบั แล้วสามารถนำไปใช้ 4.81 0.40 มากทีส่ ุด 2
ในชีวติ ประจำวนั ได้
5 นกั เรียนชอบการจัดกิจกรรมทเ่ี หมาะสมกบั เวลา 4.63 0.50 มากทส่ี ุด 5
6 นักเรียนชอบการใช้กระบวนการต่าง ๆ เช่น 4.31 0.48 มาก 7
กระบวนการกลมุ่ กระบวนการคดิ
7 นักเรียนพอใจในการมีบทบาท มีส่วนร่วมในการ 4.38 0.50 มาก 6
ปฏิบตั งิ านในกลุ่ม
8 กิจกรรมการเรียนรู้ทำให้เข้าใจขั้นตอนการทำงาน 4.00 0.82 มาก 9
และปฏิบตั ิเองได้
9 นักเรียนชอบการฝึกปฏิบัติค้นคว้า รวบรวมข้อมูล 4.69 0.48 มากทส่ี ดุ 4
เพือ่ สร้างองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง
10 นักเรียนมีความสนุกสนานกับการร่วมกิจกรรมใน 4.75 0.45 มากทส่ี ดุ 3
ชั่วโมงเรียน
11 นั ก เรี ย น ช อ บ กิ จ ก ร ร ม ส่ ง เส ริ ม ใ ห้ ใ ช้ ค ว า ม คิ ด 4.69 0.48 มากที่สดุ 4
สร้างสรรค์
12 นักเรียนพอใจในการสรุปเนื้อหาหรือจัดระเบียบ 4.69 0.48 มากทสี่ ดุ 4
ความรูท้ ีเ่ รยี นด้วยตนเองหรอื กลุ่ม
13 นักเรียนพอใจการจัดกิจกรรมทมี่ ีการเคล่ือนไหวทาง 4.38 0.50 มาก 6
กายอารมณ์ สงั คม
14 นักเรียนชอบการเช่ือมโยงความรู้ใหม่กับความรูเ้ ดิม 4.69 0.48 มากท่สี ุด 4
15 นกั เรยี นมีส่วนร่วมในการใช้ส่ือ/อุปกรณ์ 4.69 0.48 มากทส่ี ดุ 4
47
16 นั ก เ รี ย น พ อ ใจ ใน ส่ื อ สื่ อ ท่ี น ำ ม า ใช้ เห ม า ะ ส ม กั บ 4.25 0.45 มาก 8
เนอื้ หา
17 นักเรียนชอบส่ือมีความหลากหลาย ทำให้มีความรู้ 4.81 0.40 มากทีส่ ดุ 2
ความเขา้ ใจในบทเรียนได้ดียงิ่ ขน้ึ
18 นกั เรียนชอบท่ไี ด้มีโอกาสทราบคะแนนของผลงานที่ 4.63 0.50 มากทส่ี ุด 5
ทำ
19 นักเรียนชอบมีวธิ กี ารวัดประเมนิ ผลท่หี ลากหลาย 4.31 0.48 มาก 7
20 นกั เรยี นพอใจเมอื่ มีการทดสอบยอ่ ยท้ายแผน 4.31 0.48 มาก 7
รวม 4.56 0.53 มากท่ีสดุ
จากตารางที่ 6 แสดงว่า ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดา
แม่พระ อำเภอเมือง จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี ภาคเรยี นที่ 1-2 ปกี ารศกึ ษา 2564 ต่อการพัฒนาการเรียนรู้
เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรคโดยใช้แผนจัดการเรยี นรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสารt
การเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา โดยภาพรวม มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดับ มากที่สุด ( X = 4.56)
เม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจสูงที่สุด คือ เมื่อทำกิจกรรม แล้ว
นักเรียนพอใจในเน้ือหาท่ีเรียนไม่ยากเกินไป ( X = 4.88) รองลงมา คือ นักเรียนพอใจในความรู้ท่ี
ได้รับแล้วสามารถนำไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้ นกั เรยี นชอบส่ือมีความหลากหลาย ทำให้มีความรู้ความ
เข้าใจในบทเรียนได้ดียิ่งข้ึน ( X = 4.81) นักเรียนมีความสนุกสนานกับการร่วมกิจกรรมในชั่วโมงเรียน
( X = 4.75) นักเรียนชอบการศึกษาหาความรู้จากใบความรู้ แหล่งข้อมูลและแหล่งเรียนรู้ท่ีครูจัดให้
นักเรียนชอบการฝึกปฏิบัติค้นคว้า รวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองนักเรียนชอบการฝึก
ปฏิบัติค้นคว้า รวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง นักเรียนชอบกิจกรรมส่งเสริมให้ใช้
ความคิดสร้างสรรค์ นักเรียนพอใจในการสรุปเน้ือหาหรือจัดระเบียบความรู้ท่ีเรยี นด้วยตนเองหรือกลุ่ม
นักเรียนชอบการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม และนักเรียนมีส่วนร่วมในการใช้ส่อื /อุปกรณ์ ( X =
4.69) ซ่ึงมีความพึงพอใจในระดับ มากท่ีสุด และข้อที่มีความพึงพอใจต่ำสุด คือ กิจกรรมการเรียนรู้
ทำให้เข้าใจข้ันตอนการทำงานและปฏบิ ตั ิเองได้ ( X = 4.00) ซึ่งมีความพงึ พอใจ อยู่ในระดบั มาก
48
บทท่ี 5
สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
การพัฒนาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้
รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี
การศึกษา 2564 ผ้วู ิจัยได้สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ตามลำดับ ดังนี้
1. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
2. สมมตฐิ านการวิจัย
3. วิธดี ำเนินการวิจยั
4. สรุปผลการวิจัย
5. อภปิ รายผล
6. ขอ้ เสนอแนะ
วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย
การวจิ ัยครั้งนผ้ี ู้วจิ ยั มวี ตั ถุประสงค์ ที่จะดำเนนิ การวิจยั ดังน้ี
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสุขศึกษาเร่ืองสุขภาพ และการป้องกันโรค ของช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2. เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาสุขศึกษา เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โรงเรียนธิดาแม่
พระ อำเภอเมอื ง จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี
สมมตฐิ านของการวิจัย
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาโมเดลเร่ืองสุขภาพ
และการป้องกนั โรค จะมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสงู ขน้ึ
วธิ ีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชาการท่ีใชใ้ นการวิจยั ได้แก่ นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 โรงเรยี นธิดาแม่พระ อำเภอ
เมือง จังหวดั สุราษฎร์ธานี ภาคเรยี นที่ 1-2 ปกี ารศึกษา 2564
กลมุ่ ตัวอย่าง
กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศกึ ษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อำเภอเมอื ง
จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 16 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive sampling) (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545 : 44)
49
แบบแผนการวจิ ยั
การวิจัยในคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น แบบกลุ่มเดี่ยววัดผลก่อน
และหลังการทดลอง (The single group pre test post test design)
เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัย
การวิจยั ในคร้ังน้ี ผวู้ ิจัยไดใ้ ชเ้ ครอื่ งมอื ตามลำดบั ดังนี้
1. แผนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เร่ือง สุขภาพและการ
ป้องกันโรค กลมุ่ สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมอื ง จังหวดั สุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนที่ 1-2 ปกี ารศึกษา 2564ซ่ึ งมีความสอดคล้องระหวา่ ง 0.60
ถงึ 1.00
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งพบว่ามีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง
0.60 ถึง 1.00 มีค่าความยาก (p) ระหว่าง 0.43 - 0.69 มีค่าอำนาจจำแนก (B) ระหว่าง 0.45 –
0.88 และมคี ่าความเชอื่ ม่นั ( rcc ) เทา่ กบั 0.87
3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อ การพัฒนาการเรียนรู้ เร่ือง สุขภาพ
และการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ซ่ึงพบว่ามีความสอดคล้องระหว่าง
(IOC) 0.60 ถึง 1.00 มีค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.43 ถึง 0.76 และมีค่าความเชื่อม่ัน ()
เทา่ กบั 0.89
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
การวจิ ยั ครง้ั นีผ้ ูว้ ิจยั ดำเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ดงั น้ี
1. กอ่ นการทดลอง ผูว้ จิ ัยชแ้ี จงหลกั การและเหตผุ ล ใหน้ กั เรียนกลุ่มตวั อยา่ งรบั ทราบ
2. ทำการทดสอบกอ่ นเรียน (Pre test) โดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ก่อน
การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้เทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล
3. ทดลองใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กับกลุ่มตัวอย่างซ่ึงเป็นนักเรียน ชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564
4. หลังส้ินสุดการทดลอง ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังเรียน (Post test) โดยใช้
แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นชุดเดยี วกบั แบบทดสอบกอ่ นเรยี น และสอบถามความพึงพอใจของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ภาคเรียนท่ี 1-
50
2 ปีการศึกษา 2564 ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สุขศึกษาและพลศกึ ษา
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิจยั ครัง้ นี้ ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนินการวิเคราะหข์ ้อมลู ดงั น้ี
1. วิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล
เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยวิเคราะห์ตามสูตรการหาค่า E1 / E2 (บุญชม ศรีสะอาด, 2546
: 155)
2. วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปา
โมเดล เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค (E.I : The effectiveness index) โดยวิเคราะห์จาก
คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน เมื่อเทียบกับคะแนนเต็มตามวิธีของ กูดแมนและชไนเดอร์
(Goodman & Schnider) (เผชิญ กิจระการ, 2548 : 31)
3. วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค
โดยใช้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน
โดยใช้ค่าที (t- test แบบ Dependent samples) (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545 : 112)
4. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 ต่อการพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง
สขุ ภาพและการปอ้ งกันโรค โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศกึ ษาและ
พลศึกษา โดยใช้ค่าเฉลย่ี ( X ) และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
สถติ ิที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
การวเิ คราะหข์ ้อมลู ครงั้ นผี้ ู้วิจยั ได้ใช้สถิติในการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังนี้
1. สถิติท่ีใชใ้ นการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
1.1 วิเคราะห์ความถูกต้องและเหมาะสมของแผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบ
ซิปปาโมเดล วิเคราะห์ความสอดคล้องของรายละเอียดในแผนการจัดการเรียนรู้ ความถูกต้องและ
เหมาะสมของเนื้อหาสาระ ระยะเวลา วิเคราะห์ความเท่ียงตรงของแบบสอบถาม ระหว่างข้อคำถาม
กับนยิ ามศัพท์เฉพาะ โดยการหาคา่ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC : Index of consistency) และวิเคราะห์
ความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยหา
ดัช นี ความส อดค ล้องระห ว่างข้อสอ บ กั บ จุด ป ระสงค์ (IOC : Index of item objective
congruence)
51
1.2 วิเคราะห์ค่าความยาก (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรายข้อ
คำนวณจากอตั ราสว่ นระหวา่ งจำนวนนกั เรยี นสอบได้กบั จำนวนนกั เรียนท้งั หมด
1.3 วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (B) ของแบบทดสอบเป็นรายข้อตามวิธีของ
เบรนแนน (Brennan) และวิเคราะหค์ ่าอำนาจจำแนกของข้อคำถามเปน็ รายขอ้ โดยหาค่าสัมประสิทธิ์
สหสมั พนั ธอ์ ยา่ งงา่ ย ระหวา่ งคะแนนรายข้อกบั คะแนนรวม (Item total correlation)
1.4 วิเคราะห์ค่าความเช่ือมั่นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้ังฉบับ โดยใช้สูตร
ของโลเวทท์ (Lovett) และวิเคราะห์ค่าความเช่ือมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามความพึงพอใจ
ทัง้ ฉบับ โดยการหาคา่ สมั ประสิทธแิ อลฟา (Alpha coefficient) ตามวธิ ีของครอนบาค (Cronbach)
2. สถิตพิ ้ืนฐาน
2.1 วิเคราะห์ร้อยละ (Percentage)
2.2 วิเคราะห์คา่ เฉลีย่ (Mean)
2.3 วเิ คราะห์สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
3. สถติ ิท่ใี ช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน
3.1 วิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพของแผนจัดการเรียนรเู้ ทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล
เรือ่ ง สขุ ภาพและการปอ้ งกนั โรค ตามสตู รการหาคา่ E1 / E2
3.2 วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผล ของแผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปา
โมเดล เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค (E.I : The effectiveness index) โดยวิเคราะห์จาก
คะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน เม่ือเทียบกับคะแนนเต็มตามวิธีของ กูดแมนและชไนเดอร์
(Goodman & Schnider)
3.3 เปรยี บเทยี บความแตกต่างระหวา่ งคะแนนเฉล่ยี ก่อนเรยี นกบั หลังเรยี นโดยใช้
แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เรื่อง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้ค่าที
(t – test แบบ Dependent Samples)
สรปุ ผลการวจิ ยั
จากการดำเนนิ การวจิ ยั ขา้ งต้น สามารถสรุปผลการวิจัย ไดด้ งั นี้
52
1. ประสิทธิภาพของแผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เรื่อง สุขภาพ
และการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 มีค่าเท่ากับ
37.19/81.88 นั่นคือ แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เรื่อง สุขภาพและการ
ป้องกันโรค ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน โดยรวมร้อยละ 37.19 และผลสัมฤทธิ์หลังเรียน
โดยรวมรอ้ ยละ 81.88
2. ดชั นีประสิทธิผลของแผนจดั การเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เร่ือง สุขภาพ
และการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6
โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 มีค่าเท่ากับ
0.7114 น่ันคือ นักเรียนมีความก้าวหน้าเพ่ิมข้ัน คิดเป็นร้อยละ 71.14 เม่ือเรียนโดยใช้แผนจัดการ
เรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุข
ศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนชุมชนบ้านหัวขัว สำนักงานเขต
พน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาขอนแกน่ เขต 2
3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง สุขภาพและการป้องกนั โรค โดยใช้แผนจดั การเรียนรู้
เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้ น
ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศึกษา 2564 หลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01
4. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์
ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2564 มีเจตคติทีต่อการพัฒนาการเรียนรู้ เร่ือง สุขภาพและการ
ป้องกันโรค โดยใช้แผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา
และพลศกึ ษาโดยภาพรวม มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สดุ
อภปิ รายผล
จากผลการวิจยั สามารถอภปิ รายผล ไดด้ งั น้ี
1. ประสิทธิภาพของแผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เร่ือง
สุขภาพและการปอ้ งกันโรค กลุ่มสาระการเรยี นร้สู ุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปี
ท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวดั สุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 มีค่า
เท่ากับ 37.19/81.88 นัน่ คือ แผนจดั การเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล เร่ือง สุขภาพและ
การป้องกันโรค ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียน โดยรวมร้อยละ 37.19 และผลสัมฤทธิ์หลัง
เรียน โดยรวมร้อยละ 81.88 สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย ทั้งนี้เนื่องจาก นักเรียนได้แสดงออก
ซึ่งศักยภาพของตนเองออกมาในดา้ นต่างๆได้ฝึกการใชค้ วามคิดของตนเอง ผู้เรยี นมีสว่ นร่วมด้านร่างกาย
มีโอกาสเคล่ือนไหวร่างกาย คือก่อนการเรียนการสอนนักเรียนได้ทำกิจกรรม เช่น เคลื่อนไหวร่างกาย
53
ประกอบดนตรี หรือเล่นเกมผู้เรียนมีส่วนร่วมด้านสติปัญญา ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่าง
จินตนาการ ผู้เรียนมีความรู้สึกด้านอารมณ์ คือมีความพอใจในผลงานของตนเอง ภูมิใจในผลงานของ
ตนเอง และผู้เรียนได้มีส่วนร่วมด้านสังคม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในกลุ่ม ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ
มยุรา สมบูรณ์ (2547 : 84-85) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มการงานและพื้นฐาน
อาชีพ เร่ืองการทำยาสระผมจากสมุนไพร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 88.76/89.46 ซึ่งสูง
กว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้85/85 การสร้างชุดการสอนทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ วิชาภาษาไทย สำหรับ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาลบ้านสามเหลี่ยม เทศบาลนครขอนแก่น ผลการศึกษา
ค้นคว้าพบว่า ชุดการสอนทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 มี
ประสิทธิภาพ 90.45/93.82 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 จิรากาญจน์ หงษ์ชูตา (2545 : 102-103)ได้
ศึกษาพัฒนากจิ กรรมการเรียนการสอนทเี่ น้นผู้เรียนเป็นสำคญั ในวชิ าคณิตศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3
เรือ่ ง เศษส่วน พบว่ามีค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคิดเป็นรอ้ ยละ 86.33 สงู กวา่ เกณฑ์ท่ี
กำหนดไว้ ร้อยละ 75 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์การเรียนรู้ดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 84.31 จำนวน
นักเรียนที่กำหนดร้อยละ 80 นงลักษณ์ เชียรหอม (2547 : 93-95) ได้วิจัยการพัฒนาการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เร่ือง กระจงน้อยจากป่าใหญ่ ชั้นประถมศึกษาปีที่
2 ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา มีประสิทธิภาพ85.47/86.67 ซึ่งสูงกว่า
เกณฑ์ การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่
5 ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้โมเดลซิปปา โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนการ
สอนการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้โมเดลซิปปา
และ 2) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์วิชาคณิตศาสตร์ ให้มีนักเรียนร้อยละ 80 มี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ 75 ข้ึนไป ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
ของนักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉล่ียร้อยละ 82.67 สูงกว่า
เกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ร้อยละ 75 ของคะแนนเตม็ และมีจำนวนนกั เรียนที่ผ่านเกณฑ์กำหนดไว้คิดเป็นร้อยละ
85 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้ร้อยละ80
2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เรื่อง
สุขภาพและการปอ้ งกันโรค กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี
ที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวดั สุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 มีค่า
เท่ากับ 0.6350 นั่นคือ นักเรยี นมีความกา้ วหน้าเพ่ิมขั้น คิดเป็นร้อยละ 63.50 เมื่อเรยี นโดยใช้แผน
จดั การเรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรยี นรู้
สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรยี นชุมชนบา้ นหัวขัว สำนักงานเขต
พื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาขอนแกน่ เขต 2 และสอดคล้องกับสมมติฐาน ท้ังนเ้ี ปน็ เพราะแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนได้รับเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมท้ังทางร่างกายสติปัญญา
อารมณ์ และสังคม ทำให้นักเรียนได้แสดงออกซ่ึงศักยภาพของตนเองในด้านการฟังการพูด การอ่าน
54
และการเขียน ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงสอดคล้องกับทฤษฎี
พัฒนาการทางสติปัญญาของ Brunner ท่ีเชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับสิ่งที่ตนเองสนใจ และกระบวนการ
เรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดข้ึนได้จากการท่ีคนเราสามารถสร้าง
ความคิดรวบยอดและเกิดการคิดแบบหยั่งรู้ (Intuition) ทฤษฎีการเรียนรู้ของMaslow กล่าวคือ มนุษย์
ทุกคนมีความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติเป็นลำดับขั้นตอน ขั้นความต้องการทางร่างกาย ขั้นความ
ต้องการการยอมรับและการยกย่องจากสังคม ข้ันความต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่าง
เต็มท่ี และต้องการท่ีจะรู้จักตนเองและพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทฤษฎีพัฒนาการ
ทางเชาวป์ ัญญาของ Piaget เชื่อวา่ คนทุกคนมีพัฒนาการไปตามลำดับขั้นตอนจากการมีปฏสิ ัมพนั ธ์และ
ประสบการณ์กับส่ิงแวดล้อมและสังคม และ Vygotsky ยังให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมแบสังคมและ
ภาษาด้วย ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative Learning) ของ Slavin David
Johnson และ Roger กล่าวว่าทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือน้ันเน้นความสำคัญของการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ 5 ประการ คือ การพึ่งพาอาศัยกัน การปรึกษาหารือกัน บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่
ตรวจสอบได้ การใช้ทักษะการสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่ม และมีการวิเคราะห์
กระบวนการกลุ่ม (ทิศนา แขมมณี.2545 : 14-25) ได้ศึกษาพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา
กลุ่มการงานพ้ืนฐานและอาชีพเรื่องการทำยาสระผมจากสมุนไพร ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 พบว่า ดัชนี
ประสิทธิผลเท่ากับ 0.82 ซึ่งหมายความว่าผู้เรียนมีความรู้เพ่ิมข้ึนคิดเป็นร้อยละ 89.46 ท้ังนี้เนื่องจาก
การพัฒนาแผนการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มการงานและพ้ืนฐานอาชีพ เรื่อง การทำยาสระผมจาก
สมุนไพร ช้ันประถมศึกษาปีท่ี6 ทำให้นกั เรียนเรยี นรู้อย่างมีความสุข สนกุ สนาน และได้ลงมือปฏิบัติด้วย
ตนเอง และนงลักษณ์ เชียรหอม (2547 : 97) ได้วิจัยการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง กระจงน้อยจากป่าใหญ่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า
ดัชนีประสิทธิผลจากการจัดกิจกรรมการเรยี นร้เู ทา่ กบั 0.7929 คดิ เป็นรอ้ ยละ 79.29 สอดคล้องกับดอก
คูณ วงศ์วรรณวัฒนา (2544 : 114) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลางโดยใช้รูปแบบซิปปาในวิชาฟิสิกส์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนา
กิจกรรมการเรยี นการสอนวิชาฟิสิกส์ เรอื่ ง งานและพลงั งาน โดยการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้น
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยใช้รูปแบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการศึกษาค้นคว้า
พบว่า นักเรียนได้คิด ปฏิบัติ และทำความเข้าใจด้วยตนเอง นักเรียนได้ความรู้กว้างขวางจากการ
อภิปราย สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ผลการทอสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและ
หลังเรยี น โดยใชค้ ่าเฉล่ยี และร้อยละ พบวา่ นกั เรยี นมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนสูงกวา่ เกณฑ์ท่กี ำหนด
3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง สุขภาพและการป้องกันโรค โดยใช้แผนจัดการ
เรียนรู้เทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภาคเรียนที่ 1-2 ปี
การศกึ ษา 2564
55
หลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 สอดคลอ้ งกับสมมติฐานการวจิ ัยขอ้ ที่
3 ท้ังนี้เน่ืองจาก แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา มุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดทักษะในด้านการฟัง
การดู การพู ด การอ่าน และการเขียน ผู้ศึกษาค้นคว้าทดลองใช้กระบวนการสอนแบ บ
ซิปปากับผู้เรียน โดยสอนตามข้ันตอนการสอนแบบซิปปาดังนี้ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ข้ันท่ี 1 การทบทวนความรู้เดิม ช่วยให้นักเรียนและครูผู้สอนรู้ความรู้พ้ืนฐานของนักเรียน ข้ันท่ี 2
การแสวงหาความรู้ใหม่ ผู้เรียนต้องมีทักษะกระบวนการในการแสวงหาความรู้ การแก้ไขปัญหาด้วย
ตนเอง ขั้นที่ 3 การทำความเข้าใจความรู้ใหม่และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้ผู้เรียนได้
ความร้ใู หมซ่ ่ึงเปน็ ความรูท้ ีเ่ กิดจากการแสวงหาด้วยตนเอง ทำใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งมีความหมาย
ทำให้จดจำความรู้นั้นเป็นอย่างดี ข้ันที่ 4 ข้ันการแลกเปล่ียนความรู้ ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้ของ
ตนเองกับผู้อ่ืน ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ขั้นท่ี 5 ขั้นการจัดระเบียบความรู้และวิเคราะห์การ
เรียนรู้ เมื่อความรู้ของแต่ละคนได้รับการแลกเปล่ียน ทำให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาของ
ตนเอง และผู้อ่ืน จึงเกิดการจัดระเบียบการเรียนรู้ของตนเอง สามารถดึงความรู้ของตนเองออกมาใช้ได้
อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นที่ 6 การแสดงความรู้ ขั้นท่ี 7 การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เป็นข้ันที่นำความรู้
มาเชอื่ มโยงจากส่ิงท่ีได้เรียนมาไปส่กู ารนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมคี วามสุข นักเรยี นมีค่าความก้าวหน้า
ทางการเรียนรู้เพิ่มข้ึนหลังเรียนร้อยละ 82.25 ซ่ึงสอดคล้องกับ นงลักษณ์ เชียรหอม (2547 : 112) ได้
วิจัยการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง กระจงน้อย
จากป่าใหญ่ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2ผลการวิจัยพบว่าดัชนีประสิทธิผลจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เท่ากับ 0.7929 คิดเป็นร้อยละ 79.29และมยุรา สมบูรณ์ (2547 : 83) ได้ศึกษาพัฒนาแผนการเรียนรู้
แบบซิปปา กลุ่มการงานพ้ืนฐานและอาชีพ เร่ือง การทำยาสระผมจากสมุนไพร ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6
พบว่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ0.82 ซึ่งหมายความว่าผู้เรียนมีความรู้เพ่ิมขึ้นคิดเป็นร้อยละ 89.46 ท้ังนี้
เน่ืองจากการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มการงานและพ้ืนฐานอาชีพ เรื่อง การทำยา
สระผมจากสมนุ ไพรชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ทำใหน้ ักเรียนเรยี นรู้อย่างมีความสขุ สนุกสนาน และไดล้ งมือ
ปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง
4. ความพึงพอใจของนักเรียนตอ่ การเรียนรู้ เร่ือง สขุ ภาพและการปอ้ งกันโรค โดยใช้
แผนจัดการเรียนรเู้ ทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดลกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา จึงสง่ ผล
ให้ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนธิดาแม่พระ อำเภอเมือง จังหวัดสุ
ราษฎรธ์ านี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปกี ารศึกษา 2564 ตอ่ การพฒั นาการเรยี นรู้ โดยภาพรวม มคี วามพงึ พอใจ
อย่ใู นระดับ มากท่สี ุด สอดคล้องกบั สมมติฐานการวิจัย ทงั้ น้เี นื่องจาก การจดั กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบ
ซิปปา เรือ่ ง เพศศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 เปดิ โอกาสให้
ผู้เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมทั้งทางร่างกาย อารมณ์สังคม และสติปัญญา ผู้เรียนมีความสุขในการเรียน
เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม หมายถึง กิจกรรมที่ผู้สอนจัดให้ผ้เู รียนทำเพื่อไปสูก่ าร
เรียนรู้ตามจุดประสงค์ท่ีตั้งไว้ และเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมท้ังทางด้านร่างกาย สติปัญญา
56
อารมณ์ และสังคม จนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้
กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบซปิ ปาเรื่อง ลิมติ และความตอ่ เน่ืองของฟังกช์ ัน วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา
ปีท่ี 6 โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
และ 2) เพ่ือศึกษาความคงทนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ลิมิตและความต่อเน่ืองของฟังก์ชนั ช้ัน
มัธยมศึกษาปที ่ี 6 โดยใช้กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบซปิ ปา ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า นักเรียนมผี ลต่างของ
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ภายหลังที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่องลิมิต
และความต่อเน่อื งของฟงั กช์ นั ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 สูงกวา่ ก่อนเรียนร้อยละ 46.45
ขอ้ เสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะเพอื่ การนำผลการวจิ ัยไปใช้
1.1 แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ในทกุ ๆขน้ั ครูผสู้ อนควรสรา้ งกิจกรรม
ท่ีท้าทายความคิดของผู้เรียน ท่ีจะสามารถกระตุ้นสมองของผู้เรียนให้เกิดความจดจ่อในการคิดโดยเรอ่ื ง
ทจี่ ะให้ผเู้ รียนคดิ ต้องไมง่ า่ ยและไม่ยากเกนิ ไปสำหรับผู้เรยี น เพราะถ้างา่ ยเกินไปผเู้ รียนก็ไมจ่ ำเป็นตอ้ งใช้
ความคิด แต่ถ้ายากเกินไปผู้เรียนก็จะเกิดความท้อถอยที่จะคิด ดังน้ันครูจึงต้องหาประเด็นการคิดท่ี
เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหน่ึง
และต้องศึกษาข้ันตอนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปาโดยละเอียด เพ่ือที่จะปฏิบัติตามได้
ถกู ตอ้ ง ซึ่งจะส่งผลใหก้ ารเรยี นการสอนโดยกระบวนการซิปปา เกดิ ประโยชน์อย่างแทจ้ ริง
1.2 ในการวิเคราะห์หาเจตคติของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ
ซปิ ปาครูผู้สอนควรอธบิ ายวิธีการให้คะแนนข้อคำถามเชงิ นมิ านและนเิ สธใหช้ ดั เจน
2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครง้ั ต่อไป
2.1 ควรมีการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการในเนื้อหาอื่น และ
ระดับชน้ั ต่าง ๆ
2.2 ควรมีการศึกษาพื้นฐานความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กในห้องเรียน เพ่ือนำ
ข้อมลู ทไี่ ดม้ าสรา้ งแผนการเรยี นรู้ ตามระดับความสามารถของเด็ก
2.3 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เจตคติ และความคงทนใน
การเรียนรู้ระหว่างนักเรียนท่ีเรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปากับนักเรียนที่เรียน โดย
การสอนวิธีปกติ
57
บรรณานกุ รม
กรมวิชาการ. การสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว,
2539.
จนั ที สิทธิศาสตร์. การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้ซิปปา (CIPPA MODEL)
เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม.มหาสารคาม :
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2549.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. เอกสารการสอนชุดวิชาส่ือการสอนระดับมัธยมศึกษา. นนทบุรี : โรง
พมิ พ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2537.
ทิศนา แขมมณี. การจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา.
กรุงเทพฯ : สถาบนั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ, 2546.
ทิศนา แขมมณี และคณะ. การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา CIPPA Model.
กรงุ เทพฯ : สถาบันพฒั นาคุณภาพวิชาการ, 2548.
ศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2544. รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2545.
บุญชม ศรีสะอาด. วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจยั . พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น,
2538.
บญุ ชม ศรสี ะอาด. การวิจยั เบื้องตน้ . กรงุ เทพฯ : สวุ ีรยิ าสาส์น, 2545.
สำลี รกั สุทธี และคณะ. เทคนคิ วิธกี ารพัฒนาหลักสตู รแบบบรู ณาการ. กรุงเทพฯ : พัฒนา
ศกึ ษา, 2544.
สุชาติ โสมประยูร. “สขุ ศกึ ษาในโรงเรียนกับการพฒั นาสาธารณสุขมูลฐาน,” ใน เอกสาร
ประกอบการ ประชุมสัมมนาวิชาการสุขศึกษาแห่งชาติ การสุขศึกษาเพ่ือพัฒนาสุขภาพ. กรุงเทพฯ :
ศรีอนันต์, 2528.
สงดั อุทรานนั ท์. พ้นื ฐานและหลกั การพัฒนาหลกั สตู ร. กรุงเทพฯ : มิตรสยาม, 2534.
58
ภาคผนวก
59
แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนตอ่ แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร้แู บบซปิ ปา
เรอื่ ง สุขภาพและการป้องกันโรค กลุม่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา
ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4-5
…………………………………………………………………………………………………………………………….
คำชแี้ จง ให้นกั เรียนตอบแบบวัดความพึงพอใจหลังจากที่ได้เรียนรู้ตามแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
แบบซปิ ปา
เรื่อง สขุ ภาพและการปอ้ งกันโรค กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษา
ปที ี่ 3/1
โดยทำเคร่ืองหมาย ลงในช่องระดบั ความพึงพอใจท่ีตรงกับความพงึ พอใจของนักเรียนมาก
ท่ีสดุ
และการให้น้ำหนักของคะแนนตามความหมาย มดี งั น้ี
5 หมายถงึ มีความพึงพอใจมากทสี่ ดุ
4 หมายถงึ มีความพงึ พอใจมาก
3 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจปานกลาง
2 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจนอ้ ย
1 หมายถึง มีความพงึ พอใจน้อยท่ีสดุ
60
แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนต่อแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบซปิ ปา
เรือ่ ง สุขภาพและการป้องกันโรค กลุ่มสาระการเรยี นรู้สุขศึกษาและพลศกึ ษา
ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4-6
รายการ ระดับความพึงพอใจ
5432 1
1. นักเรียนชอบเนอ้ื หาทเี่ รียนเปน็ เรื่องท่ีน่าสนใจ
2. นกั เรียนพอใจในเนื้อหาทีเ่ รียนไมย่ ากเกินไป
3. นกั เรียนชอบการศึกษาหาความรูจ้ ากใบความรู้ แหล่งข้อมูลและแหลง่ เรียนรู้
ท่ีครจู ดั ให้
4. นักเรียนพอใจในความรู้ท่ีไดร้ บั แล้วสามารถนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้
5. นักเรียนชอบการจดั กิจกรรมท่เี หมาะสมกับเวลา
6. นกั เรียนชอบการใชก้ ระบวนการตา่ ง ๆ เช่นกระบวนการกล่มุ กระบวนการคิด
7. นักเรยี นพอใจในการมบี ทบาท มสี ่วนร่วมในการปฏิบัติงานในกลมุ่
8. กิจกรรมการเรยี นรู้ทำให้เข้าใจขน้ั ตอนการทำงานและปฏบิ ัติเองได้
9. นกั เรยี นชอบการฝึกปฏบิ ตั ิคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู เพอื่ สร้างองค์ความรดู้ ้วยตนเอง
10. นกั เรียนมคี วามสนุกสนานกบั การรว่ มกจิ กรรมในชว่ั โมงเรยี น
11. นกั เรยี นชอบกิจกรรมสง่ เสรมิ ใหใ้ ชค้ วามคิดสร้างสรรค์
12. นกั เรียนพอใจในการสรปุ เนอื้ หาหรอื จัดระเบียบความรู้ที่เรยี นดว้ ยตนเอง
หรอื กลมุ่
13. นักเรียนพอใจการจัดกจิ กรรมทม่ี ีการเคลื่อนไหวทางกายอารมณ์ สังคม
14. นักเรียนชอบการเช่ือมโยงความรใู้ หม่กับความรเู้ ดิม
15. นกั เรยี นมสี ว่ นร่วมในการใช้สือ่ /อุปกรณ์
16. นักเรียนพอใจในสื่อสอื่ ที่นำมาใชเ้ หมาะสมกบั เนื้อหา
17. นักเรียนชอบส่อื มคี วามหลากหลาย ทำให้มีความรคู้ วามเข้าใจในบทเรยี นไดด้ ี
ยงิ่ ขนึ้
18. นักเรยี นชอบท่ีได้มโี อกาสทราบคะแนนของผลงานท่ีทำ
19. นักเรียนชอบมวี ิธกี ารวัดประเมนิ ผลที่หลากหลาย
20. นักเรียนพอใจเม่ือมีการทดสอบยอ่ ยท้ายแผน
61
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เรือ่ ง สขุ ภาพและการปอ้ งกนั โรค
กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4-6
ช่อื ______________________ นามสกุล_______________________ เลขท_ี่ ______ ชัน้ _____
คำชีแ้ จง
1. แบบทดสอบนเ้ี ปน็ ข้อสอบแบบเลือกตอบ มี 3 ตวั เลอื ก มีขอ้ สอบทง้ั หมด 20 ข้อ
2. นกั เรียนมีเวลาทำข้อสอบ 50 นาที
3. ให้นักเรยี นเขยี นเคร่ืองหมาย ทบั ตวั อกั ษรหน้าคำตอบทถี่ ูกต้อง
1. นักเรยี นจะปอ้ งกนั โรคหดั ไดอ้ ยา่ งไร
ก. เม่อื หายดีแลว้ ไปฉดี วคั ซนี เพื่อไม่ให้เปน็ อีก
ข. รบั ประทานวิตามินเป็นประจำ
ค. พดู คุยกับผปู้ ่วยเทา่ ทจ่ี ำเปน็
ง. อาบน้ำทุกวนั เพอื่ ใหต้ ัวเย็น
2. ถ้าเพอ่ื นสนทิ เป็นคางทูมนกั เรียนควรปฏิบัตติ นตามข้อใด
ก. ไม่พดู กบั เพื่อนจนกว่าจะหาย
ข. ไม่ดมื่ นำ้ แกว้ เดยี วกับเพื่อน
ค. พาเพื่อนไปหาหมอทโี่ รงพยาบาล
ง. คอยเช็ดตัวให้เพ่ือนทุก 3ชั่วโมง
3. การปฏิบตั ิตนในข้อใดชว่ ยปอ้ งกันโรคอสี ุกอใี ส
ก. ดม่ื นมสดทกุ วัน
ข. ลา้ งมือทกุ ครั้งหลงั จากสมั ผสั ผู้ปว่ ย
ค. ฉดี วัคซนี ปอ้ งกันโรค
ง. หาวิตตามนิ ซีมากนิ เพอ่ื เสรมิ สรา้ ง
4. โรคหดั มีลกั ษณะอาการอยา่ งไร
ก. มีผ่ืนขน้ึ ตามร่างกาย
ข. มีตมุ่ แดงข้างในมนี ำ้ ใสๆ ขึ้นท่ใี บหน้า
ค. แกม้ บวม
ง. ตวั รอ้ น ไขส้ ูง
62
5. ข้อใดกล่าวไดถ้ กู ต้อง
ก. โรคติดต่อเกดิ ข้นึ ไดเ้ ฉพาะกบั คน
ข. โรคติดต่อสามารถติดต่อจากคนส่คู นเทา่ นั้น
ค. โรคติดตอ่ สามารถตดิ ต่อจากสัตวไ์ ปสคู่ นได้
ง. โรคติดต่อสามารถตดิ ไดเ้ ฉพาะคนในครอบครวั เทา่ นน้ั
6. การไมเ่ ป็นโรคติดต่อสง่ ผลอยา่ งไร
ก. สุขภาพรา่ งกายแข็งแรง
ข. ผลการเรียนดขี ้ึนกว่าเดมิ
ค. เปน็ ทีร่ กั ของเพอ่ื นๆ
ง. สามารถเลน่ สนกุ ไดต้ ลอดเวลา
7. การกระทำในข้อใดทำใหต้ ิดเช้ือโรคไขห้ วดั ใหญไ่ ดม้ ากท่ีสดุ
ก. ซือ้ อาหารร้านเดียวกับผู้ป่วย
ข. นอนห้องเดยี วกับผู้ป่วย
ค. ข้นึ รถคันเดยี วกบั ผ้ปู ่วย
ง. พูดคยุ กับผู้ปว่ ยทางโทรศัพท์
8. ขอ้ ใดชว่ ยปอ้ งกันการแพรร่ ะบาดของโรคคางทูม
ก. ตรวจรา่ งกายอยา่ งนอ้ ยปลี ะ 1 คร้งั
ข. แปรงฟันใหส้ ะอาดทกุ วัน
ค. ปิดปากและจมกู ขณะไอหรอื จาม
ง. อบน้ำเกลอื ทกุ วัน
9. การปอ้ งกนั โรคไข้หวดั ใหญท่ ่ีถกู ต้องควรปฏบิ ัตอิ ย่างไร
ก. หม่ ผา้ หนาๆ เม่อื อากาศหนาวเย็น
ข. ออกกำลงั กายอย่างหนกั ทกุ วนั
ค. รับประทานอาหารมากๆ
ง. อาบน้ำสระผมบอ่ ยๆ
10. ข้อใดกล่าวเกยี่ วกับโรคอสี กุ อีใสได้ถกู ตอ้ ง
ก. เมอ่ื เคยเปน็ แลว้ จะตอ้ งเป็นทุกปี
ข. ตดิ ตอ่ จากแมส่ ูท่ ารกในครรภไ์ ด้
ค. เป็นโรคทีไ่ ม่มที างรกั ษาหาย
ง. จะเป็นเฉพาะในวยั เด็กเทา่ น้ัน
11. ข้อใดเป็นหลักการรบั ประทานอาหารที่เหมาะสมที่สุด
ก. รับประทานอาหารท่ีรา่ งกายขาดเท่าน้ัน
ข. รับประทานอาหารเฉพาะท่ชี อบ
ค. รับประทานอาหารหลากหลายไมซ่ ้ำกนั ในแตล่ ะวนั
ง. รับประทานชดเชยเยอะๆในอาหารทไี่ ม่ค่อยได้กนิ
63
12. การรบั ประทานอาหารครบ 5 หมู่ ส่งผลต่อรา่ งกายอย่างไร
ก. รา่ งกายเจริญเติบโตสมวัย
ข. รา่ งกายใหญ่กวา่ เด็กวยั เดียวกัน
ค. ออ่ นเพลยี เหนือ่ ยง่าย
ง. เจ็บป่วยบ่อย นอนไมค่ ่อยหลบั
13. ถา้ นักเรยี นเปน็ โรคท้องผูกควรรบั ประทานอาหารในข้อใด
ก. ขนมปังทาเนยสด
ข. สลดั ผกั และผลไมร้ วม
ค. ถวั่ ลิสงตม้
ง. มนั บดโรยเกลือ
14. การรับประทานอาหารในสัดส่วนท่ีไม่เหมาะสมจะทำให้รา่ งกายเปน็ อยา่ งไร
ก. ระบบต่างๆ ในรา่ งกายทำงานได้ดี
ข. หนา้ ตาสวยงาม
ค. นำ้ หนกั ตวั มากกวา่ ปกติ
ง. นอนไม่หลับ
15. ขอ้ ใดสรปุ การรับประทานอาหารตามหลกั ธงโภชนาการได้ถูกต้อง
ก. ควรรับประทานขา้ ว แป้ง เป็นอาหารหลัก
ข. ควรรบั ประทานผกั ผลไม้ น้อยกวา่ เนื้อสัตว์
ค. ควรรับประทานน้ำตาล เกลอื ในทุกมือ้ ของอาหาร
ง. ควรรับประทานอาหารให้มากมอ้ื ทส่ี ดุ
16. บุคคลใดท่ีตอ้ งจดั เมนูอาหารให้มีพลงั งานมากที่สดุ
ก. เด็กอายุ 6-13 ปี
ข. ผสู้ งู อายุ
ค. นักกฬี า
ง. วยั รนุ่
17. เมอ่ื อากาศหนาวนักเรยี นควรรับประทานอาหารในหมูใ่ ดเพิม่ ขนึ้
ก. หมทู่ ี่ 3
ข. หม่ทู ี่ 5
ค. หมูท่ ่ี 4
ง. หมูท่ี 2
18. ขอ้ ใดมอี าหารครบทง้ั 5 หมู่
ก. ขนมจีนน้ำยา ผกั สด
64
ข. ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กไก่ มะละกอ
ค. เกาเหลาลกู ชนิ้ ชมพู่
ง. ข้าวมนั ไก่ น้ำซปุ ฟักเขียว
19. อาหารชนิดใดท่ีควรรับประทานในปรมิ าณนอ้ ยตามสัดสว่ นของธงโภชนาการ
ก. ข้าว ขนมปัง
ข. พืชผัก ผลไม้
ค. นำ้ ตาล เกลอื
ง. ผลไม้ เน้ือสตั ว์
20. อาหารในข้อใดเหมาะสำหรบั ผ้ทู ่ีตอ้ งใชแ้ รงงานมาก
ก. นำ้ มันพืช เนย
ข. ข้าว เนอื้ สัตว์
ค. ผักและผลไม้
ง. ถว่ั น้ำตาล
65