สรปุ หลกั การเรยี น
ANATOMY ตามแบบ
ฉบบั ของฉัน
กายวิภาคศาตร์ (anatomy) เป็นศาสตร์หรือแขนงของการศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์
เป็นวชิ าท่ีศึกษาเกี่ยวกบั โครงสร้างของร่างกายของสตั วแ์ ละมนุษย์ รวมท้งั ตาแหน่งและท่ีต้งั
ศพั ทท์ ใี่ ชใ้ นการอธบิ ายตาแหน่ง
สว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย (Directional
Terms) ทสี่ าคญั
Superior หมายถึง ขา้ งบน
Inferior หมายถึง ขา้ งล่าง
Anterior หมายถึง ส่วนหนา้
Posterior หมายถึง ส่วนหลงั
Dorsal หมายถึง ส่วนหลงั
หรือ ด้านหลัง
Ventral หมายถึง ส่วนหนา้ ดา้ นหนา้
หรือ ดา้ นท้อง
Cranial หมายถึงใกลศ้ ีรษะมากกวา่
Cephalic หมายถึงใกลศ้ ีรษะมากกวา่
Caudal หมายถึงใกลเ้ ทา้ มากกวา่
Medial หมายถึง ดา้ นใน
หรอื ดา้ นใกล้แนวกลางลาตัว
Lateral หมายถึง ดา้ นขา้ ง
Proximal หมายถึง ใกลล้ าตวั
หรือส่วนตน้
Distal หมายถึง ไกลลาตวั
หรือส่วนปลาย
Superficial หมายถึง ใกลผ้ วิ
หรือต้นื
Deep หมายถึง ลึก
ท่มี า https://www.google.com/search?q
ชอ่ งวา่ งภายในร่างกาย (Body Cavity)
ชอ่ งว่างด้านหน้ า(ventral
cavity) ประกอบด้วย 2 ช่องคือ
ชอ่ งอก ( thoracic cavity)
และช่องท้องและเชงิ กราน
( abdominalpelvic cavity)
ท่มี าhttps://sites.google.com/site/janc ชอ่ งว่างดา้ นหลงั ( dorsal
haikritsanasap
cavity) แบ่งออกเป็ น 2 ช่องยอ่ ย คือ
ช่องทอ้ งและเชงิ กราน cranial cavity ซ่ึงเป็นช่องวา่ ง
ภายในกะโหลกศีรษะ ภายในช่องน้ี
(abdominalpelvic cavity) บรรจุดว้ ยสมอง และ spinal
cavity เป็นช่องภายในกระดูกสนั
ช่องทอ้ งและเชิงกราน แยกออกจากช่อง หลงั ภายในช่องน้ีบรรจุดว้ ยไขสนั หลงั
อกโดยกะบงั ลม โดยประกอบไปดว้ ย
ช่องทอ้ ง (abdominal cavity) ชอ่ งอก(thoracic cavity)
และช่องเชิงกราน (pelvic
cavity) ภายในช่องทอ้ ง ชอ่ งอก ประกอบไปดว้ ย
ประกอบดว้ ยอวยั วะของระบบทางเดิน หวั ใจ ปอด หลอดลม
อาหาร กล่องเสยี ง หลอด
อาหาร ตอ่ มไธมสั และ
เสน้ เลอื ดใหญ่จานวน
มาก ผนังของชอ่ งอก
คอื กลา้ มเนือ้ และกระดกู
Cell/Tissue structure and function
structure of cell
cell sturucture and function
ทกุ เซลลจ์ ะมโี ครงสร้างพ้นื ฐาน 3อยา่ ง ไซโทพลาสซมึ (Cytoplasm)
•ไซโตซอล(cytosol) มลี กั ษณะเป็ นของเหลว
เหมอื นกนั คอื คลา้ ยวนุ้ ประกอบดว้ ยสารอนิ ทรยี ์
1.เยอื่ หุม้ เซลล ์ (Cell Membrane/Plasma และสารอนนิ ทรียร์ วมถึงสารแขวนลอยตา่ งๆ
membrane) เป็ นแหลง่ ของปฏกิ ริ ยิ าเคมี
•ออรแ์ กเนลล(์ organelle) เป็ นองคป์ ระกอบ
2.ไซโตพลาสซมึ (Cytoplasm) ของเซลลท์ ี่มโี ครงสรา้ ง (Structure) และหนา้ ที่
3.นิวเคลยี ส (Nucleus)
(Function) ทแี่ นน่ อน แขวนลอยอยใู่ นไซโตซอล
เย่ือหมุ้ เซลล์ (Cell Membrane/plasma รา่ งแหเอนโดพลาสซึม(Endoplasmic
Reticulum, ER)
membrane)
•เป็ นเสมอื นร้ัวบา้ น กนั เซลลอ์ อกจากกนั และ Rough Endoplasmic Reticulum, RER
มไี รโบโซม (Ribosome) เกาะที่ผวิ ดา้ นนอกทา
ห่อหมุ้ สว่ นประกอบในเซลล์ ใหม้ ผี วิ ขรขุ ระ
มสี ว่ นทเ่ี ชอ่ื มตอ่ กบั เย่ือหมุ้ นวิ เคลยี ส
หนา้ ท่ี ลาเลยี งโปรตนี ทส่ี รา้ งจากไรโบโซม เพ่อื
•คัดเลอื กสารทีจ่ ะผา่ นเขา้ -ออกจากเซลล์ จงึ มี สง่ ออกไปใชน้ อกเซลล์
Smooth Endoplasmic Reticulum, SER
คณุ สมบตั เิ ป็ นเยื่อเลอื กผา่ น (Semipermeable ไมม่ ไี รโบโซมเกาะ มผี วิ เรียบ
สรา้ งไขมนั ฮอรโ์ มน steroid และกาจดั สารพษิ
membrane) ในเซลลต์ บั
•รกั ษาสมดลุ ของสภาพแวดลอ้ มภายในเซลล์
นิวเคลยี ส (nucleus) ไมโทคอนเดรยี (mitocondria)
ควบคมุ การแสดงลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม การ มรี ปู รา่ งหลายแบบ ขนึ้ กบั ชนดิ ของเซลล์
มเี ยือ่ หมุ้ 2ชนั้ ชน้ั นอกเรยี บ ชนั้ ในจะพบั ทบไป
แบ่งตวั ของเซลลแ์ ละควบคมุ การสรา้ งโปรตนี มาแลว้ ย่นื เขา้ ไปดา้ นใน
หนา้ ท่สี าคญั คือเป็ นแหลง่ ผลติ พลงั งานสงู
ประกอบดว้ ย ใหแ้ กเ่ ซลลใ์ นรปู ของ adenosine triphosphate
–เย่อื หมุ้ นวิ เคลยี ส (Nuclear Membrane/Nuclear (ATP)
envelope)Membrane 2 ชน้ั ซึ่งเชอื่ มตดิ กนั เป็ น
ชว่ งๆ ทาใหเ้ กดิ เป็ นหลมุ (Nuclear Pore) ทาใหม้ ี
การแลกเปลย่ี นสารระหว่างนวิ เคลยี สกบั ไซโตพลา
สซมึ เชน่ mRNA rRNA
–นวิ คลโี อลสั (Nucleolus)เป็ นเสน้ ใยซ่งึ เป็ นโมเลกลุ
ของ DNA ทข่ี ดตวั เป็ นกอ้ นทาหนา้ ทีส่ งั เคราะห์
RNA โดย DNA
–เสน้ ใยโครมาตนิ (Chromatin)คือ เสน้ ใย DNA ท่ี
จบั อยกู่ บั โปรตนี ซง่ึ ในระยะท่เี ซลลแ์ บง่ ตวั DNA
กบั โปรตนี จะรวมตวั กนั
ไรโบโซม (ribosome) ไมโทคอนเดรยี (mitocondria)
เป็ นออรแ์ กเนลลท์ ม่ี ขี นาดเล็กท่ีสดุ
เป็ นโครงสรา้ งเดย่ี ว ๆ (Free Ribosome) อยู่ มรี ปู ร่างหลายแบบ ขน้ึ กบั ชนดิ ของเซลล์
เป็ นอสิ ระกระจายทวั่ เซลล์ ยังไมท่ าหนา้ ทีส่ รา้ ง มเี ย่อื หมุ้ 2ชนั้ ชน้ั นอกเรยี บ ชน้ั ในจะพบั ทบไป
โปรตนี มาแลว้ ยน่ื เขา้ ไปดา้ นใน
กลมุ่ ไรโบโซม เกาะตดิ กบั สาร mRNA (Free หนา้ ทส่ี าคญั คอื เป็ นแหลง่ ผลติ พลงั งานสงู
Polyribosome) ทาหนา้ ท่สี รา้ งโปรตนี เพอ่ื ใชเ้ ป็ น ใหแ้ กเ่ ซลลใ์ นรปู ของ
เอนไซมใ์ นเซลล์ adenosine triphosphate (ATP)
จบั กนั เป็ นสายโพลไี รโบโซม (Poly Ribosome) โดยเปลย่ี นพลงั งานในอาหารใหเ้ ป็ นพลงั งาน
เกาะตดิ กบั ผนงั ดา้ นนอกของ RER ทาหนา้ ที่ ในรปู ATP
สงั เคราะหโ์ ปรตนี เพอ่ื สง่ ออกภายนอกเซลล์ ทเี่ ซลลส์ ามารถนาไปใชไ้ ด้
ไลโซโซม (Lysosome) การลาเลียงสารแบบไมใ่ ชพ้ ลงั งาน (passive
เป็ นถงุ ขนาดเลก็ มเี ยอื่ ชน้ั เดยี ว transport)
ภายในจะบรรจเุ อนไซมซ์ ง่ึ ยอ่ ยสลายดว้ นา้ การแพร่ (diffusion)
(Hydrolytic Enzyme) การแพรธ่ รรมดา (Simple diffusion)>>การกระจาย
ย่อยออรแ์ กเนลลข์ องเซลลท์ ี่หมดอายุ ของอนภุ าคจากสารบริเวณทม่ี คี วามเขม้ ขน้ ของ
ทาลายเชอ้ื โรคหรือสงิ่ แปลกปลอมท่ีเขา้ สู่ สารสงู ไปสบู่ ริเวณที่มคี วามเขม้ ขน้ ของสารตา่ กวา่
รา่ งกาย การแพรแ่ บบมตี วั พา ( Faciliteated diffusion )>>การ
เซนทรโิ อล(Centriole) แพร่ของสารผา่ นโปรตนี ตวั พา(Carrier) การแพร่
ประกอบดว้ ยหลอดเล็ก ๆ เรียกว่า แบบนม้ี อี ตั ราการแพร่เร็วกว่าการแพร่แบบ
microtubule เรยี งตวั กนั เป็ นกลมุ่ ๆ ธรรมดามาก
ทาหนา้ ทส่ี รา้ งเสน้ ใยสปิ นเดลิ (Spindle Fiber)
เพื่อยดึ ตดิ กบั โครโมโซม
การลาเลยี งโดยใชพ้ ลงั งาน (Active
Transportation)
สามารถนาสารจากบรเิ วณท่ีมคี วาม
เขม้ ขน้ ของสารตา่ ไปสบู่ ริเวณที่มคี วาม
เขม้ ขน้ ของสารสงู กว่าได้ โดยใชพ้ ลงั งาน
จาก ATP
การดดู กลบั สารที่ท่อของหนว่ ยไต
ออสโมซิส(osmosis) การแพร่ของนา้ ผา่ นเย่อื เลอื กผา่ นโดยนา้ จะแพร่จากบริเวณทมี่ คี วามหนาแนน่ ของ
นา้ มากไปยงั นา้ นอ้ ยกว่า
-เมอ่ื เซลลอ์ ย่ใู นสารละลายไฮโปทนู คิ (Hypotonic Solution) มคี วามเขม้ ขน้ ตา่ กวา่ ภายในเซลล์ นา้ จาก
สารละลายจะแพร่เขา้ สเู่ ซลลท์ าใหเ้ ซลลเ์ ตง่ บวมและแตกได้
-เมอื่ เซลลอ์ ยใู่ นสารละลายไฮเปอรท์ นู คิ (Hypertonic Solution)มคี วามเขม้ ขน้ สงู กว่าภายในเซลล์ นา้ จะ
แพร่ออกจากเซลลท์ าใหเ้ ซลลเ์ ห่ียว
-เซลลท์ ี่อยใู่ นสารละลายไอโซทนู คิ (Isotonic Solution) คอื สารละลายท่มี คี วามเขม้ ขน้ เท่ากบั ภายในเซลล์
เน้ือเย่ือ (Tissue)
Tissueเป็ นกลมุ่ ของเซลลท์ ีม่ ีโครงสรา้ ง
และทาหนา้ ท่เี หมอื นกนั รวมตวั กนั
ประเภทของเนอ้ื เย่ือ
เนอื้ เยอ่ื บผุ วิ Epithelial tissues
เนอ้ื เย่ือเกย่ี วพนั Connective tissues
เนอื้ เยือ่ กลา้ มเนอื้ Muscle tissues
เนอื้ เย่ือประสาท Nervous tissues
เน้ือเย่ือเกี่ยวพนั (Connective tissue) Epithelial tissues(เน้ือเยื่อบผุ ิว )
เนอื้ เย่อื เกย่ี วพัน เป็ นเนอ้ื เย่อื ที่พบแทรก ทาหนา้ ท่ปี อ้ งกนั (protection)
อย่ทู วั่ ไปในรา่ งกาย ทาหนา้ ท่ยี ึดเหนยี่ ว ทาหนา้ ท่เี ก่ยี วกบั การดดู ซมึ
หรือพยงุ อวยั วะใหค้ งรปู อยไู่ ด้ ลกั ษณะ (absorbtion
ของเนอื้ เย่อื ชนดิ นี้ คือ ตวั เซลลแ์ ละเสน้ สรา้ งสารคดั หล่งั (secretion
ใยกระจายอยใู่ นสารระหว่างเซลลท์ ี่
เรียกวา่ เมทรกิ ซ(์ matrix) เนอ้ื เยื่อเกย่ี วพันแบง่ เป็ น 4กลมุ่ ไดแ้ ก่
เนอ้ื เยอ่ื เกย่ี วพันสมบรู ณ์ (connective
แบง่ ตามจานวนชน้ั ของเซลล์ tissue proper)
–Simple epithelium เซลลเ์ รียงกนั เป็ น กระดกู ออ่ น (cartilage)
ชน้ั เดยี ว กระดกู แขง็ (bone)
–Pseudo stratified epithelium เลอื ด (blood)
ประกอบดว้ ยเซลลเ์ รียงกนั เป็ นชน้ั เดยี ว
บนเยอ่ื รองรบั ฐานแตม่ เี พยี งบางเซลล์ เน้ือเยื่อบผุ ิว (Epithelial tissues)
เท่านนั้ ท่ีสงู ถึงผวิ หนา้ ดา้ นบน แบ่งตามลกั ษณะรปู ร่างได้ 3 แบบ
–Stratified epithelium เซลลเ์ รยี งซอ้ น –Squamous epithelium รปู รา่ งแบน บาง
กนั หลายชน้ั –Cuboidal epithelium รปู ร่างเหมอื นลกู บาศก์
–Columnar epithelium รปู รา่ งสงู มคี วามสงู
มากกว่าความกวา้ ง
กระดกู (Bone)ประกอบดว้ ยเซลลก์ ระดกู ท่ี
เรยี กว่า ออสทโี อไซต(์ osteocyte) อยใู่ นชอ่ งลาคู
นา โดยเซลลก์ ระดกู จดั เรียงตวั เป็ นวงรอบชอ่ ง
ฮาเวอรเ์ ชยี น(harversian canal) ประกอบดว้ ย
แคลเซียมและฟอสเฟตเฟต
เน้ือเย่ือเกีย่ วพนั สมบรู ณ์ (connective กระดกู อ่อน (cartilage)พบอยตู่ ามสว่ นของ
tissue proper) ลกั ษณะเมทรกิ ซเ์ ป็ นเสน้ ใย โครงกระดกู โดยเฉพาะบริเวณทกี่ ระดกู มกี าร
กระจายอย่แู ตกตา่ งกนั ทาใหแ้ บ่งเนอื้ เยือ่ เสยี ดสกี นั ประกอบดว้ ยเมทริกซซ์ งึ่ มลี กั ษณะ
เกย่ี วพนั ชนดิ นเ้ี ป็ น 2ประเภท คือ คลา้ ยวนุ้ เซลลก์ ระดกู ออ่ นเรียกวา่ คอนโดรไซต์
-เนอ้ื เยือ่ เกยี่ วพันชนดิ แนน่ ทบึ (dense (chondrocyte) กระดกู ออ่ นสามารถพบไดท้ ใี่ บหู
connective tissue) ฝาปิ ดกลอ่ งเสยี ง (epiglottis) กลอ่ งเสยี ง
-เนอื้ เยอ่ื เกย่ี วพันชนดิ โปร่งบาง (loose (trachea) กระดกู ออ่ นกนั้ ระหว่างกระดกู สนั หลงั
connective tissue) แตล่ ะขอ้ (intervertebral disc) เป็ นตน้
เลอื ด (blood)
นา้ เลอื ด (plasma)
เซลลเ์ มด็ เลอื ด
เกล็ดเลอื ด (Platelets)
ทาหนา้ ทีช่ ว่ ยใหเ้ ลอื ด
แขง็ ตวั เพื่อปิ ดบาดแผล
เซลลเ์ ม็ดเลือดแดง (Red Blood Cells, เซลลเ์ ม็ดเลือดขาว (white blood cell
RBCs หรอื Erythrocytes) มปี ริมาณมากกว่า or leucocyte) ทาหนา้ ทีต่ อ่ สกู้ บั เชอื้ โรค
เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวและเกร็ดเลอื ด โดยทาลายเชอื้ โรคทเ่ี ขา้ สรู่ า่ งกายมี 2
เลอื ดของคนมสี แี ดง เนอื่ งจากประกอบดว้ ย ประเภท คือ พวกทีม่ เี มด็ แกรนลู
ฮโี มโกลบนิ ซึ่งเป็ นวตั ถสุ แี ดงและมธี าตเุ หลก็ (granule) พิเศษในไซโทพลาสซมึ
เป็ นองคป์ ระกอบ หากออกซิเจนมาก เลอื ดก็ (granulocyte
จะมสี แี ดงสด หากมอี อกซเิ จนนอ้ ย เลอื ดกจ็ ะ
มสี คี ลา้
เน้ือเย่ือประสาท (Nervous tissue)ทา เน้ือเยื่อกลา้ มเน้ือ (Muscular tissue)แบ่งเป็ น 3ชนิด
หนา้ ทร่ี ับสง่ กระแสประสาท แบง่ เป็ น 1. กลา้ มเนอ้ื เรยี บ (smooth muscle) พบท่ีอวยั วะภายใน
–เดนไดรต(์ dendrite) ทีเ่ ป็ นแขนง รปู ร่างของเซลลม์ ลี กั ษณะยาว หัวทา้ ยแหลม แตล่ ะเซลลม์ ี
ประสาทขนาดสนั้ ทาหนา้ ทีร่ ับกระแส 1 นวิ เคลยี สอย่ตู รงกลางเซลล์ กลา้ มเนอ้ื เรียบหดตวั ได้
ประสาท (impulse) เขา้ สตู่ วั เซลล์ ชา้ แตห่ ดตวั ไดน้ านมาก และการทางานอย่นู อกอานาจ
–แอกซอน(axon) เป็ นแขนงประสาท จติ ใจควบคมุ การทางานโดยประสาทอตั โนมตั ิ
ลกั ษณะยาวไมม่ แี ขนงแตกออกใกลก้ บั 2. กลา้ มเนอ้ื ยดึ ลาย (skeleton muscle) เป็ นกลา้ มเนอ้ื
ตวั เซลลแ์ อกซอน ทาหนา้ ทีน่ ากระแส ขนาดใหญอ่ ย่ตู ดิ กบั ล์ การทางานของกลา้ มเนอ้ื นอี้ ยู่
ประสาทออกจากตวั เซลล์ ภายใตอ้ านาจจติ ใจ ควบคมุ โดยระบบประสาท
3. กลา้ มเนอื้ หัวใจ (cardiac muscle) พบทผี่ นงั หัวใจ เซลล์
มรี ปู รา่ งยาวทรงกระบอก มนี วิ เคลยี สอันเดยี วอย่ตู รง
กลางทางานอย่นู อกอานาจจติ ใจ ควบคมุ การทางานโดย
ประสาทอัตโนมตั ิ
ระบบปกคลมุ รา่ งกาย (Integumentary system)
ผวิ หนงั (skin) อวัยวะทีม่ ตี น้ กาเนดิ มาจากผวิ หนงั (เลบ็
ผม/ขน และรขู มุ ขน ตอ่ มไขมนั ตอ่ มเหงอ่ื )
Epidermisประกอบดว้ ยเซลล์ 4ชนดิ คอื
-Melanocyte ทาหนา้ ท่สี รา้ งเมลานนิ ซ่ึง
เป็ นสารท่ที าใหเ้ กดิ เมด็ สี
-Langerhans cell เกย่ี วขอ้ งกบั ระบบ
ภมู คิ มุ้ กนั ของร่างกาย
-Merkel cellเป็ นเซลลเ์ กยี่ วกบั การรบั
ความรสู้ กึ
Epidermis ประกอบดว้ ย 5 ชน้ั Epidermis (หนงั กาพรา้ )
Stratum basale เป็ นเยื่อบผุ วิ ชนดิ stratified squamous keratinized epithelium
Stratum spinosum ชน้ั นไี้ มม่ หี ลอดเลอื ด จงึ ไดร้ บั อาหารจากชนั้ ทอี่ ย่ลู กึ กว่า
Stratum granulosum Thick skin คือ ผวิ หนงั ทีม่ ชี นั้ epidermisหนา พบบริเวณ
Stratum lucidum ฝ่ ามอื ฝ่ าเทา้ ซ่งึ จะไมม่ ขี น รขู มุ ขน แตจ่ ะมตี อ่ มเหงอ่ื
Stratum corneum Thin skin คือ ผวิ หนงั ทม่ี ชี น้ั epidermis บาง พบไดท้ วั่
ร่างกาย ซ่งึ ผวิ หนงั ชนดิ นจ้ี ะมรี ขู มุ ขน ตอ่ มไขมนั ตอ่ ม
เหงอื่
Hypodermis หรอื Subcutaneous fatty tissues
อยใู่ ตช้ นั้ หนงั แท้ ประกอบไปดว้ ย ทาหนา้ ที่สะสมไขมนั
อย่ใู ตผ้ วิ หนงั และเกบ็ สะสมพลงั งานความรอ้ นภายใน
ร่างกาย
ต่อมไขมนั (Sebaceous glands) ผม/ขน (HAIRS)
มหี นา้ ทเ่ี คลอื บผวิ หนงั และเสน้ ผมทาให้ Hair shaft ปกปิ ดไมใ่ หส้ งิ่ สกปรกเขา้ สผู่ วิ หนงั
มคี วามชมุ่ ชน้ื Hair root รากขนเป็ นท่ยี ดึ เกาะของขน
ต่อมเหง่ือ (Sweat glands) Hair follicle รขู มุ ขน ชว่ ยปกป้ องสว่ นชนั้ ในของขน
-ECCRINE SWEAT GLAND มหี นา้ ท่ี hair matrix ทาหนา้ ท่ีเป็ นตวั สรา้ งเสน้ ขน (hair shaft)
หลงั่ เหงอ่ื เพอื่ ระบายความรอ้ นออก Hair follicle receptor ทาหนา้ ที่รบั สมั ผสั ทาใหเ้ กดิ ขนลกุ
จากรา่ งกาย ซึง่ เป็ นวิธที ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ Arrectorpilimuscle เป็ นกลา้ มเนอื้ เรยี บ เมอื่ หดตวั จะทา
ทีส่ ดุ ของร่างกาย ในการรักษาสมดลุ ใหเ้ กดิ ขนลกุ
ของความรอ้ น
-APOCRINE GLANDS เป็ นตอ่ มเหงอ่ื ระบบประสาทและอวยั วะรบั ความรสู้ ึกของ
ชนดิ หนง่ึ ทพ่ี บเฉพาะรกั แร(้ axillae)และ ผิวหนงั (Nerves and Receptors of the skin)
อวัยวะสบื พนั ธ์ุ (genitalia) มหี นา้ ที่รับความรสู้ กึ เจบ็ ปวด รอ้ น เย็น
-Sweat pore รขู บั ถ่ายของเสยี (เหงอื่ ) Meissner’scorpuscle รับสมั ผสั เบาๆ
Paciniancorpuscle รับสมั ผสั ทเี่ ป็ นแรงกด การ
เลบ็ (Nails) สนั่ สะเทือน (Vibration)
Nail plate คือ แผน่ เลบ็ ประกอบดว้ ย Artery ขนสง่ เลอื ดที่มอี อกซิเจนสงู
เซลลท์ ี่ตายแลว้ เล็บจะยาวและงอกใหม่ Vein ขนสง่ เลอื ดที่มอี อกซิเจนตา่
ตลอดเวลา ทม่ี าของภาพ
Nail matrix ทาหนา้ ท่ีเป็ นตวั สรา้ งแผน่
เลบ็ https://www.google.com/search?q
https://www.google.com/search?q
ทมี่ าของวดิ โี อ
https://www.youtube.com/watch?v=xbG3GXRII
GA
https://www.youtube.com/watch?v=yniM3J5rhF4
ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM
external genitalia or vulva or pudendum
vagina
เป็ น muscular tube
-มี hymen
-cervical canal
-internal os
-external os
-Cervix
rugaeมีชน้ั mucous membrane
สรา้ งสารท่ีเป็ นกรด
UTERUS
แบ่งเป็ นกีส่ ่วน 4 ส่วน
-สว่ นท่ี 1 fundus
-สว่ นท่ี 2 body of uterus; จะขยายข้นึ ชว่ ย
ปกป้องทารกในครรภ์
-สว่ นท่ี 3 isthmus: แคบอยรู่ ะหว่างตวั มดลกู และ
ปากมดลกู ส่วนนี้จะถูกยดื ขยายเป็นมดลกู ส่วนล่าง
(lower uterine segment) ขณะคลอด
-สว่ นท่ี 4 cervix: สว่ นล่างสดุ ทีอ่ ยู่ติดกบั ชอ่ งคลอด
1. ligament ทาหนา้ ท่ีคอยยึดตวั มดลกู โครงสรา้ งของผนงั มดลกู แบ่งกีช่ น้ั 3 ชน้ั
-broad ligamentเป็ นสว่ นของเยอื่ บชุ อ่ ง 1. ชนั้ นอก: perimetriumหรอื serosa
2. ชน้ั กลาง:myometrium
ทอ้ ง 3. ชนั้ ใน: endometrium
-round ligamentเป็ นกอ้ นเนอื้ เย่ือ แบ่งออกเป็ น
3.1 functional layer เปลย่ี นแปลงตลอดรอบของ
เกย่ี วพัน รอบประจาเดอื น และหลดุ เป็ นประจาเดอื น
3.2basal layer แบ่งเซลลใ์ หเ้ นอื้ เยือ่ เจรญิ ขน้ึ ไป
2. อวยั วะอ่ืนท่ีมาช่วยยึดมดลกู เอาไว้ แทนที่ชน้ั
-กลา้ มเนอื้ levator ani OVARY
3. ligamentที่ทาหนา้ ที่ยึดมดลกู ที่
สาคญั มี 3 ligament
-transverse cervical ligament
-pubocervica lligament
-sacrocervica lligament
fallopian tubeแบ่งเป็ น 4สว่ น * Ovary มี 2ขา้ ง มีรงั ไขม่ ี2 ชน้ั คือ cortex และ
1) Infundibulum ลกั ษณะรปู กรวย ลกั ษณะ medulla
คลา้ ยนว้ิ มอื -ชนั้ cortex
2) Ampulla sperm จะผสมกบั ovum บริเวณน้ี -ชนั้ medulla
3) Isthmus ขนาดจะเลก็ ผนงั หนา ทาหนา้ ที่สรา้ งฮอรโ์ มนเพศหญิงและผลติ ไข่
4) Intramural segment หรือ uterine segment (ovum)
อย่ใู นผนงั มดลกู
MAMMARYGLANDS
ทาหนา้ ที่ขบั นา้ นมเลย้ี งทารก ระยะไม่ตงั้ ครรภ์ พบภาวะ resting or inactive -
-ขนาดโตเมอ่ื เขา้ สวู่ ัยรนุ่ เพราะ -ระยะปลาย menstrual cycle มเี ลอื ดมาเลย้ี งมาก
connective tissue และ fat เพ่มิ มาก เตา้ นมโตขนึ้
-ขนาดขน้ึ อยกู่ บั ปริมาณไขมนั แตจ่ านว -ระยะตงั้ ครรภ์ มี alveoli เพ่ิมขนึ้ glandular tissue
นา้ นมไมต่ า่ งกนั มากขนึ้ และขยายใหญข่ นึ้
-ตรงกลางของเตา้ นมจะมnี ippleรอบๆ -ระยะปลายการตงั้ ครรภพ์ บ colostrum
จะมี areola มสี คี ลา้ เพราะมpี igment ประกอบดว้ ยโปรตนี lactose และมี antibodies ชว่ ย
ตา้ นทานโรค
PERINEUM -ระยะใหน้ มบตุ ร สรา้ งนา้ นม ประกอบดว้ ย ไขมนั
นา้ ตาล โปรตนี
-alveoli ตา่ งๆ เรม่ิ ขยายใหญ่ขน้ึ และมนี า้ นมอยู่
ภายใน
-เมอ่ื หยดุ ใหน้ ม ตอ่ มจะมขี นาดเล็กลง
-เมอื่ เขา้ สวู่ ยั menopause ตอ่ มนา้ นมจะเลก็ เหลอื
เพียง duct เล็กนอ้ ย
ส่วนประกอบของกลา้ มเน้ืออง้ ุ เชิง กระดกู เชิงกราน PELVICBONE
กราน
1. Levator aniประกอบดว้ ยกลา้ มเน้ือ สาคญั ที่สดุ
ยอ่ ย 3อย่าง -เคล่อื นไหวมากท่ีสดุ
1.1 Pubovisceral muscle (หรอื -มีการหย่อนตวั และฉีกขาดไดบ้ ่อยที่สดุ ---
เรยี กว่า Pubococcygeus) แบ่งย่อยได้ มดลกู ปล้นิ ปัสสาวะเล็ด
เป็ น 3มดั -ตาแหน่งเรมิ่ ตน้ จากดา้ นหลงั กระดกู Pubis ที่
-Pubovaginalis muscle – บรเิ วณดา้ นขา้ ง ของ symphysispubisทง้ั 2
Puboperinealis muscle –Puboanalis ขา้ ง
muscle -ทาหนา้ ที่ในการควบคมุ การเปิ ดปิ ดของท่อ
1.2 Puboretalis muscle ปัสสาวะ และทวารหนกั รว่ มกบั กลา้ มเน้ือหรู ดู
1.3 Ilecoccygeus muscle
2. Coccygeus (Ischiococcygeus)
PUBOVISCERALMUSCLE(หรอื เรยี กว่า ประกอบดว้ ยกระดกู 4 ชนิ้
PUBOCOCCYGEUS) sacrum, coccyx และ innominate bone 2ช้ิน
องุ้ เชงิ กราน คือ false pelvis และ true pelvis
True pelvis คลา้ ยกบั รปู ถว้ ยนา้ ท่ดี า้ นหลงั สงู
กว่าดา้ นหนา้ มขี อบเขตดา้ นบนคือ lamina
terminalisและขอบเขตดา้ นลา่ งคือทางเปิ ดของ
องุ้ เชงิ
1. Perineal bodyเป็ นกลา้ มเนอื้ อย่ตู รง 4. Pelvic diaphragm อยลู่ กึ ไปจาก perineum
กลาง เป็ นสว่ นท่ีจะตอ้ งถกู ตดั ในขณะทาการ ทั้งดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั
ตดั ฝี เย็บเพื่อช่วยคลอด และฉีกขาด 5. Posterior triangle/anal triangleประกอบ
2. Superficial space of the anterior ไปดว้ ย ischioanal fossa เชอื่ มตอ่ ท้งั ซา้ ยและขวา
triangleบริเวณดา้ นหนา้ กลา้ มเนอื้ ทางดา้ นหลงั ตอ่ ทวารหนกั
3. Deep space of the anterior triangle มี 6. Pudendalnerveเป็ นเสน้ ประสาทสาคญั
อวยั วะทสี่ าคัญ ออกมาจากเสน้ ประสาทไขสนั หลงั สว่ น sacrum
การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิส -การแบง่ เซลลข์ อง primitive germ cell ซ่งึ เป็ น
(MEIOTICDIVISION) เซลลต์ ง้ั ตน้ ของการสรา้ ง germ cell ในเพศหญงิ
คอื primary oocyte
ในเพศชายคือ primary spermatocyte เพื่อใหไ้ ด้
เซลลส์ าหรบั ใชใ้ นการสบื พนั ธ์ุ การแบ่งเซลล์
แบง่ เป็ น 2ระยะ meiosis I และ meiosis II
ระยะ prophase -เมอื่ สน้ิ สดุ ระยะ Meiosis I จะมี daughter cell แต่
ระยะ metaphase มโี ครโมโซมเหลอื เพียง 23แท่ง แตล่ ะแทง่ มี
ระยะ anaphase ปริมาณ DNA เป็ น 2เท่าของเซลลป์ กติ (มี 2
ระยะ telophase โครมาตดิ )
-เมอื่ สน้ิ สดุ ระยะ Meiosis II จะได้ 4 daughter cell
ขนาดเท่ากนั โดย 2 เซลลม์ โี ครโมโซมเป็ น 22+Y
และอกี 2 เซลลเ์ ป็ น 22+X ทง้ั 4 เซลลเ์ จรญิ ไป
เป็ น spermatid เพอื่ จะเปลยี่ นเป็ น mature gamete
คอื spermatozoa ทง้ั หมด
การกาเนิดไข -ในขณะตกไข่ secondary oocyte และ first
polar body
ในรงั ไข่ของทารกมี oogonium -เมื่อ secondary oocyte ไดร้ บั การผสมกบั
-Oogoniumมี 46 chromosome (2n) แบ่ง sperm การแบ่งเซลลแ์ บบmeiosis ครง้ั ท่ี 2
เซลลแ์ บบ mitosis หลายครง้ั กลายเป็ น primary เกิดข้ึนทนั ทีกลายเป็ น mature ovum และ
oocyte membrane หนา เรียก zona pellucida second polar body
ต่อมา primary oocyte ก็จะเจริญตอ่ ไป จนถึง -กรณีท่ีไม่ไดร้ บั การปฏิสนธิ secondary
ระยะการแบ่งเซลลแ์ บบ meiosis ครงั้ ท่ี 1ก็จะ oocyte ก็จะไม่มีการแบ่งเซลลแ์ ละสลายตวั
หยุดเจริญเติบโต รอจนกว่าตวั อ่อนจะคลอดออก ภายในท่อนาไข่ แลว้ อีก 14 วนั ต่อมา
มาแลว้ เจริญเติบโตจนเขา้ ส่วู ยั สาว primary oocyte กล่มุ ใหม่ในรงั ไข่ก็จะไดร้ บั
การกระตนุ้ โดย hormone จากต่อมใตส้ มอง
การปฏิสนธิ (FERTILIZATION) ใหส้ รา้ งเซลลไ์ ข่เซลลใ์ บใหม่ต่อไป
1. Capacitation (ลอกบางชน้ั ของสว่ นหวั ออก) เมื่อเขา้ ส่วู ยั เจริญพนั ธจุ์ ะไดร้ บั การกระตนุ้
1.1 penetration of the corona radiate โดย FSHจากต่อม
คือ การท่ี sperm เจาะผา่ นชนั้ corona radiataโดย primary oocyte ซึ่งอยู่ภายใน primodial
อาศยั enzyme ใน acrosomal และ sperm เขา้ ไป follicleก็จะเจริญตอ่ ไปจนกลายเป็ น growing
ผสมกบั oocyte และ graafian follicle
สปั ดาหท์ ่ี 1 -ก่อนมีการตกไข่ primary oocyte ที่อยู่ใน
graafian follicle ก็จะแบ่งเซลลแ์ บบ meiosis
ครงั้ ท่ี 1 โดยสมบรู ณ์ ทาใหไ้ ดเ้ ซลล์ 2 ชนิด
ซ่ึงมีจานวนของ
-secondary oocyte จะหยดุ การเจริญเติบโต
รอจนมีการตกไข่
1.2 penetration of zona pellucida
เมอื่ sperm ผา่ น corona radiataแลว้ กจ็ ะผา่ น
เกราะกาบังชนั้ ที่ 2ของ โดยจะกระตนุ้ ให้
secondary oocyte ปลอ่ ย enzyme ทาใหเ้ กดิ
การเปลย่ี นแปลงท่ี ของ secondary oocyte
และชนั้ zona pillucidaทาให้ sperm ตวั อืน่ ๆ ไม่
สามารถผา่ นเขา้ ไปไดอ้ ีก เรยี กกระบวนการนี้
zona reaction
1.3 Attaching of the sperm head to the 1.4 Completion of meiosis II of secondary
surface of the secondary oocyte oocyte ในขณะที่ sperm ผา่ นเขา้ สู่ secondary
คือ การที่ cell membrane ของ sperm และ oocyte จะกระตนุ้ ใหs้ econdary oocyteทย่ี ังคงแบง่
secondary oocyte สมั ผสั และรวมกนั ทาให้ เซลลค์ า้ งอย่ใู นระยะ metaphase II เร่ิมแบ่งตวั ตอ่
sperm ผา่ นเขา้ ไปใน cytoplasm ทั้งสว่ น head จนเสร็จสน้ิ meiosis II ไดเ้ ป็ น mature oocyte และ
และ tail โดยท่ี cell membraneของ sperm จะ secondary polar body ตอ่ มา nucleus ของ mature
ตดิ อยภู่ ายนอก secondary oocyte oocyte จะพัฒนากลายเป็ น female pronucleus
1.5 Degeneration of sperm tail เมอ่ื 1.6 Fusion of the male and female
sperm เขา้ ไปใน oocyte จะเคลอ่ื นท่ตี รงไปยัง pronucleus nuclear membrane ของ male และ
female pronucleusจากนนั้ สว่ น tail ของ sperm female pronucleusสลายไป จากนน้ั pronucleusท้ัง
จะหายไปทนั ที สว่ น nucleus ทีอ่ ยทู่ ี่ head จะ 2 จะมารวมกนั ไดเ้ ป็ น fertilized ovum ท่มี ี 46
ขยายใหญข่ น้ึ เป็ น male pronucleus โครโมโซม เรยี นกวา่ zygote
blastocyst formation (Blastogenesis) 2. cleavage (การแบ่งตวั เพ่ิมจานวน)
-ประมาณวนั ที่ 4 morulaเคลอื่ นทเ่ี ขา้ สโู่ พรง zygote แบ่งเซลลแ์ บบ mitosis ซา้ แลว้ ซา้ อีก ทาให้
zona pellucida เร่มิ สลายไปบางสว่ น ทาใหม้ ี ไดเ้ ซลลเ์ พ่มิ ขนึ้ แตม่ ขี นาดเซลลเ์ ลก็ ลง ใชเ้ วลา
ของเหลวจากโพรงมดลกู ซึมเขา้ ไปแทรก ประมาณ 3 วัน ไดเ้ ป็ นกลมุ่ เซลลท์ ป่ี ระกอบดว้ ย
ระหว่าง blastomereเป็ นชอ่ งว่างขนาดเลก็ ๆ 16 blastomeresอดั กนั อยเู่ ป็ นกอ้ นคลา้ ยผล
-ประมาณวันที่ 5 zona pellucida สลายไป นอ้ ยหนา่ เรียกวา่ morula stage
หมด ทาใหข้ องเหลวซมึ เขา้ ไปแทรกระหวา่ ง
blastomereมากขน้ึ เรยี กระยะนว้ี ่า blastocyst
stage
-เกดิ การแบ่งกลมุ่ ของ blastomereเป็ น 2 oocyte เมอื่ ovulate จากรงั ไข่
กลมุ่ คือ ชนั้ เซลลร์ อบนอกเรียก trophoblast -การปฏิสนธเิ กดิ ขน้ึ บริเวณ ampulla ประมาณ
จะเจริญเป็ นรก 12-24 ชม
-สว่ นเซลลท์ ่รี วมอย่ตู รงกลางดา้ นใน .-หลงั การปฏสิ นธผิ า่ นไปประมาณ 30 เสร็จสนิ้
เรยี กวา่ inner cell mass หรือเรยี ก ลงได้ 2 cell stageมี 2 blastomere
embryoblast -วนั ที่ 3 หลงั ปฎิสนธิ zygote มปี ระมาณ 8-12
จะเจริญเป็ นตวั ออ่ น blastomereเรยี ก morula
-วันท่ี 7 blastocyst ฝังตวั มชี น้ั ของเซลล์ -วนั ท่ี 4จานวน blastomereเพิม่ ขน้ึ
เรยี กวา่ hypoblast เกดิ ขน้ึ ทีผ่ วิ ของ -เมอ่ื morulaเคลอื่ นเขา้ สู่ uterine cavity zona
embryoblast pellucidaเรม่ิ สลายไป ทาให้ fluid ซมึ เขา้ ไปเป็ นชอ่ ง
ดา้ นทีต่ ดิ กบั blastocyst cavity ภายในเรียกวา่ blastocyst cavity ระยะนเี้ รยี กว่า
blastocyst
-วันท่ี 6 blastocyst เคลอื่ นไปแตะทผ่ี วิ
endometrium
ทั้ง 2ชนั้ นจี้ ะเจริญไปเป็ น chorion Zona pellucidaเรมิ่ สลายไป Blastocystจะไดร้ บั
-Blastocyst มกี ารเปลย่ี นแปลงรปู ร่าง สารอาหารจาก uterine gland
-Embryoblastมกี ารจดั รปู ใหม่ 2 ชนั้ คือ -ประมาณวันที่ 6-7 blastocyst จะเรมิ่ ฝังตวั ลงใน
epiblastรปู รา่ งสงู ชดิ ทางcytotrophoblastจะ endometrium
เจรญิ เป็ นเซลลเ์ กอื บท้งั หมดของตวั อ่อน -ตาแหนง่ ในการฝังตวั ของ body หรือ fundus of
(วนั ที่ 8) uterus
-Hypoblast รปู รา่ งหลายเหลย่ี มอยชู่ ดิ ทาง -trophoblastจะแบ่งตวั เป็ น 2 ชน้ั
blastocyst cavity มกี ารแบง่ ตวั ไปเป็ นสว่ น -ชนั้ ทต่ี ดิ อย่กู บั endometrium เรยี กวา่
หนง่ึ ของ extraembryonic membrane (วนั ที่8) syncytiotrophoblast
-ซ่ึง 2 เซลลน์ เ้ี รยี ก bilaminar germ disc -ชนั้ ท่ีอยลู่ กึ กวา่ และเห็นขอบเขตเซลลช์ ดั เจน
เรียกวา่ cytotrophoblast
การเจริญของระบบไหลเวียนโลหิต
วนั ที่ 13-15 เกดิ การเจรญิ ของหลอดเลอื ด การเจริญระยะน้ีจะเร็วมากพรอ้ มกบั มารดาขาด
และอีก 2 วนั หลอดเลอื ดของ embryo กเ็ ร่มิ ประจาเดือนครั้งแรก
เจริญ -ระยะน้ี embryo
-สปั ดาห์ที่ 5 เร่มิ มกี ารสรา้ งเซลลเ์ ม็ดเลอื ด -วนั ที่ 18 เซลลช์ นั้ บนของ Embryonic disc
ภายใน embryo เพ่ิมจานวน และมว้ นตวั แทรกลงไประหวา่ งชน้ั บน
-หัวใจเร่มิ เจริญจาก mesenchymal cell และลา่ ง เกิดเป็นชนั้ กลาง เรียก
-มี heart tube ในสปั ดาหท์ ี่ 3 -Endoderm เจริญมาจาก hypoblast
-มกี ารเชอ่ื มตดิ กนั เป็ น primitive heart tube -Mesoderm เจริญมาจาก epiblast-ส่วนหางยาว
และเชอื่ มตดิ กบั หลอดเลอื ดในตวั embryo ข้ึน ส่วนหวั หนาข้ึน ส่วนขา้ งเป็ นร่องแคบๆ
-ระบบไหลเวียนโลหิตจงึ ทางานไดเ้ ป็ นระบบ
แรก ประมาณปลายสปั ดาหท์ ่ี 3 สปั ดาห์ที่ 2 เรม่ิ ม่ี chorionic villi
-ตน้ สปั ดาหท์ ี่ 3เร่มิ มกี ารแตกแขนง เป็ นเนอ้ื
เย้ือ
-วนั ที่ 15-20 มกี ารสรา้ งหลอดเลอื ดฝอย ซึ่ง
ตดิ ตอ่ กบั หัวใจได้
-วนั ที่ 19-20 chorionic cavity และ embryo จะ
มี connecting แคบๆ ซึง่ จะยดึ กบั chorionic
plate ที่สว่ นปลายทางหาง และตอ่ ไปจะเจริญไป
เป็ นสายสะดอื
-สนิ้ สดุ วนั ท่ี 21 มกี ารไหลเวียนของเลอื ด ดดู
ซมึ สารอาหารจากเลอื ดของมารดา
วันที่ 20 การเจรญิ ของระบบประสาท -embryoยาวประมาณ 3-4 มม.
(nervous system)เจริญเป็ นระบบแรก -Embryo เรม่ิ มกี ารงอตวั ทางดา้ นหัวและหาง
-ทาใหต้ วั ออ่ นเปลย่ี นรปู จากแผน่ (disc- มสี ว่ นปลายหางเรียวยาวลกั ษณะโคง้ รปู ตวั C
like)ไปเป็ นรปู ร่างทรงกระบอก (tube-like) -Neural tube สว่ นทีอ่ ย่ตู รงขา้ มกบั somitesปิ ด
-neural plate มว้ นตวั ตามแนวยาว เกดิ เป็ น -Branchial archท่ี 1,2,3,4 เกดิ ขนึ้
รอ่ งยาวเรียก neural groove ซงึ่ มี neural fold -เรมิ่ มกี ารเจรญิ ของ pharyngeal arches,
เกดิ ขน้ึ ขากรรไกรบน (maxilla)และขากรรไกรลา่ ง
-แตล่ ะขา้ งของรอ่ ง neural fold เคลอื่ นมาชดิ (mandible)เร่มิ เจริญ
กนั ทาให้ neural plate กลายเป็ น neural tube -เห็นหัวใจนนู ออกมาเป็ นกอ้ น (heart
-วนั ท่ี 24-26 neural groove ปิ ด prominence)ชดั เจน ทบ่ี รเิ วณดา้ นหนา้ ของตวั
อ่อน และหัวใจเร่มิ สบู ฉีดเลอื ดไปเลยี้ งสว่ น
ตา่ งๆ ของตวั ออ่ นแลว้
เรม่ิ มกี ารเจริญของจมกู (nasal pits) เร่มิ มกี ารเจริญของเลนสต์ า คอื lens placodes
-เรม่ิ มกี ารเจริญของ cervical sinus (รอย -เรมิ่ มกี ารเจริญของหู คอื otic vesicles
บมุ๋ ของ ectoderm) -มกี ารเจรญิ ของ limb buds (เจริญไปเป็ น
-Limb buds เจรญิ มากขนึ้ โดย upper limb แขน) และ (เจรญิ ไปเป็ นขา) เกดิ ขน้ึ กอ่ น สว่ น
buds เจรญิ เร็วกว่า lower limb มลี กั ษณะ จะเกดิ ขนึ้ ทีหลงั ในตอนปลายสปั ดาห์ที่ 4
คลา้ ยใบพาย สว่ น lower limb buds มี -เรมิ่ มกี ารเจริญของทอ่ ทางเดนิ อาหาร จาก
ลกั ษณะคลา้ ยครีบ (flipper-liked) การท่ี บางสว่ นถกู ดงึ เขา้ ไปในตวั อ่อน
-เรม่ิ มกี ารเจริญของไต
embryo ยาวประมาณ 8 มม.
-รปู ร่างเปลยี่ นจากสปั ดาหท์ ี่ 4เพยี งเล็กนอ้ ย
-บรเิ วณศีรษะเจรญิ มากกวา่ สว่ นอน่ื ๆ
เนอ่ื งจากกะโหลกศรี ษะและสมองเจริญ
รวดเร็วมาก
-ทาให้ embryo มลี กั ษณะคว่าหนา้ ลง เห็น
สว่ นศีรษะโนม้ ลงมาแตะกบั heart prominence
-Branchial archท่ี 2 เจรญิ ดี จนปกคลมุ arch
ท่ี 3,4
-Lens placodeเจรญิ ไปเป็ น lens vesicle
-embryo ความยาวประมาณ 14 มม. -embryo ยาวประมาณ 30 มม.
-เรม่ิ มกี ารเจริญของretina pigment เห็น
นยั ตต์ าชดั เจนขน้ึ -เร่ิมมใี บหนา้ เหมอื นมนษุ ย์
-เรม่ิ มกี ารเจรญิ ของใบหู
-Upper limb buds มกี ารเจรญิ ใหเ้ ห็นเป็ น -ทีศ่ รี ษะมกี ารเจริญของ scalp vascular plexus
ลกั ษณะของขอ้ ศอก เริ่มเห็นลกั ษณะของ
เร่มิ แยกเป็ นนว้ิ ใหเ้ ห็นแลว้ สว่ น lower limb -ลาตวั ยืดยาวออกและหางหดสน้ั หายไป
buds จะมลี กั ษณะเป็ น foot plates
-ลาตวั เริม่ ตงั้ ตรง -เห็นแขนขาชดั เจน
สปั ดาห์ที่ 9 ถึงคลอด อวยั วะตา่ งๆ ถกู สรา้ ง -พงั ผดื ระหวา่ งนว้ิ ค่อยๆ หายไป ทาใหเ้ ห็น
ครบตง้ั แตe่ mbryonic period แตจ่ ะยังมกี าร
เจรญิ ของอวัยวะตา่ งๆ อย่างตอ่ เนอ่ื ง เป็ นนว้ิ ชดั เจนขนึ้ ท้ังมอื และเทา้
-ระยะนเ้ี รียกตวั ออ่ นว่า fetus
-ความแตกตา่ งของระยะ fetal period กบั -ลาไสย้ ังอย่ภู ายนอกลาตวั
embryonic period
-external genitaliaเรมิ่ เจรญิ แตย่ งั ไมส่ ามารถ
แยกเพศ
ปลายสปั ดาหท์ ี่ 8
ทม่ี าของภาพ
https://www.google.com/search?qANATOMY
https://www.google.com/search?sxsrf=AOaemvL74JIvc6Mr
Ov3_
ท่มี าของวดิ โี อ
https://www.youtube.com/watch?v=LdUjdeUI6G0
https://www.youtube.com/watch?v=gYAZH5Y3knM
หลกั การทางานของต่อมไร้ท่อ
ลกั ษณะการทางานของต่อมไร้ท่อ ระบบต่อมไร้ท่อ
-ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อมี -ลกั ษณะการทางานทค่ี ่อนข้างช้า แต่มผี ลการทางานนาน
-การเจริญเตบิ โตของร่างกาย การผลติ นา้ นม ต้องอาศัยเวลาจงึ
การทางานเชื่อมโยงประสานกัน จะเกดิ ผลให้เห็น
-ระบบประสาท -อาศัยสารเคมี เรียกว่า ฮอร์โมน
-ส่ งข่าวสารไปยังเซลล์เป้าหมายผ่านทางเซลล์ -ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อมกี ารประสานงานกัน
และเส้นใยประสาท โดยหลั่งสารส่ือประสาท อย่างใกล้ชิด และตอบสนองซึ่งกนั และกัน
-นาข่าวสารคาสั่งจากศูนย์กลางของร่างกายไปยังหน่วย
(neurotransmitter)
-การทางานเหมือนกับการทางานของโทรศัพท์ ย่อยอื่น ๆ
จะส่ งข่าวไปตามสายเพื่อควบคุมประสานงาน -ระบบควบคุมท่ีมีกลไกการทางานร่วมกนั ของท้งั ระบบ
ระหว่างอวยั วะท่ีอยู่ห่างไกลกนั
-รวดเร็วฉับไว (rapid action) แต่ให้ผลไม่ ประสาทและระบบต่อมไร้ท่อเรียกว่า
นาน “นิวโรเอนโดคริโนโลย”ี (Neuroendocrinology)
-ส่งข่าวแบบจาเพาะเจาะจง (specific -อวยั วะบางชนิดเท่าน้ันท่จี ะตอบสนองต่อฮอร์โมน
message) เรียกว่า อวยั วะเป้าหมาย
ต่อมไร้ท่อต่างจากต่อมมที ่อ (exocrine glands)
เนื่องจากไม่มที ่อที่ตดิ ต่อกบั เย่ือบุผวิ แต่จะสัมผสั กบั
หลอดเลือดภายในต่อม โดยมีเซลล์หลายแบบ
-ต่อมหนึ่งอาจเป็ นท้งั ต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อ เช่น
ตบั อ่อน (pancreas) และต่อมเพศ
-ต่อมไร้ท่อจะมกี ารสร้างฮอร์โมนออกสู่กระแสเลือด
-ต่อมมีท่อจะมีการสร้างน้าย่อยหรือเซลล์เพศแล้ว
หล่ังออกไปตามท่อโดยเฉพาะ
1. ต่อมอยู่เด่ยี วแยกต่างหาก ได้แก่ Pituitary ความผดิ ปกติของต่อมไร้ท่อ
gland, Thyroid gland, Parathyroid glands,
Adrenal gland, Pineal gland, Thymus -กรรมพนั ธุ์ ทาให้ขาดสารเร่งปฏิกิริยาท่ีใชส้ งั เคราะห์
gland ฮอร์โมน หรือมีสารเร่งปฏิกิริยาทางานมากเกินไป
2. ชนิดพกอยู่ร่วมกับต่อมมีท่อ ได้แก่ Islets of
Langerhans ใน pancreas, Ovary และ -การหลงั่ ฮอร์โมนผดิ ปกติ
testis,Kidney, Placenta -การขาดฮอร์โมน เนื่องจากเซลลข์ องต่อมไร้ท่อถูก
3. ชนิดทเ่ี ป็ นเซลล์กระจายอยู่ตามอวยั วะต่าง ทาลายโดยเช้ือโรค สารเคมีหรือร่างกายเกิดการ
ๆ ประกอบด้วยเซลล์ท่สี ร้างฮอร์โมนทเ่ี ป็ น ต่อตา้ นทดสอบโดยการกระตนุ้ ต่อม (stimulation
สารประกอบพวก peptidesเซลล์จะกระจายอยู่ test) โดยใชย้ ากระตุน้ ต่อมหรือให้ trophic hormone
ในเนื้อผวิ ทีอ่ ยู่ในทางเดนิ อาหาร เนื้อผวิ ทีบ่ ุใน ดวู ่ากระตุน้ การหลง่ั ฮอร์โมนไดห้ รือไม่
ทางเดินหายใจ Carotid bodies ทคี่ อ และกลุ่ม -ฮอร์โมนมากผิดปกติ เนื่องจากเซลลข์ ยายจานวน
เซลล์ในสมอง ส่วน hypothalamus มากเกินไป เกิดเน้ืองอก (hyperplasia, adenoma or
carcinoma) ทาใหห้ ลง่ั ฮอร์โมนมากเกินไป ทดสอบ
ลักษณะการทางานของต่อมไร้ท่อ โดยยบั ย้งั การทางานของตอ่ ม (suppression test) ถา้
-ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อมกี าร ไมส่ ามารถยบั ย้งั ไดแ้ สดงว่าตอ่ มหลง่ั ฮอร์โมนมาก
ทางานเช่ือมโยงประสานกนั เพ่ือดาเนินไปได้ ผดิ ปกติ
อย่างราบรื่นและสมดุล -Hormone resistance เซลลเ์ ป้าหมายไมต่ อบสนอง
-ระบบประสาท ต่อฤทธ์ิของฮอร์โมน แสดงอาการขาดฮอร์โมน
-ส่ งข่าวสารไปยังเซลล์เป้าหมายผ่านทางเซลล์
และเส้นใยประสาท โดยหลง่ั สารสื่อประสาท
(neurotransmitter)
โครงสร้างของ Hypothalamus and Pituitary gland
ฮอรโ์ มนจากไฮโพทาลามสั โครงสร้างของสมองทีอ่ ยู่ใต้ทาลามัส(thalamus)
แต่เหนือก้านสมอง (brain stem)
Anti-diuretic hormone (ADH) -เชื่อมโยงการทางานของระบบประสาทและ
Corticotropin-releasing hormone ระบบต่อมไร้ท่อ
-โครงสร้างหลกั ท่ีอยู่ด้านล่างของไดเอนเซ
(CRH) ฟาลอน (diencephalon)
Gonadotropin-releasing hormone -ควบคุมกระบวนการเมทาบอลิซมึ บางอย่าง
และหน้าทีอ่ ่ืนๆ ของระบบประสาทอสิ ระ
(GnRH) (Autonomic Nervous System)
Growth hormone-releasing hormone -สังเคราะห์และหล่งั ฮอร์โมนประสาท เรียกว่า
Hypothalamic
(GHRH) or growth hormone-inhibiting -Releasing Hormones ซึ่งทาหน้าทใ่ี นการ
กระต้นุ หรือยบั ย้ังการหลงั่ ฮอร์โมนจากต่อมใต้
hormone (GHIH) สมอง (pituitary gland)
Oxytocin
Prolactin-releasing hormone (PRH) or ไฮโพทาลามัส(Hypothalamus)
prolactin-inhibiting hormone (PIH)
Thyrotropin releasing hormone (TRH)
ต่อมใต้สมอง(Pituitary gland หรือ Hypophysis)
รูปร่างค่อนข้างกลมคล้ายถ่ัว (bean-shaped) กายวิภาคของต่อมใต้สมอง
-อยู่ในแอ่งเซลลาเทอร์ซิกา (sella turcica) ของ
กระดูกสฟี นอยด์(sphenoid) โดยอยู่ใต้ส่วนไฮโป adenhypophysisแบ่งออกเป็ น pars anterior และ
ทาลามัส pars intermedia ในช่วงวยั เด็กแรกเกดิ 2 ส่วนนี้
-เป็ นต่อมไร้ท่อขนาดเล็กเพราะสร้างฮอร์โมนเพื่อ แยกกันโดย hypophyseal cleft / cleft นี้มักหายไป
เมื่อโตสู่วยั เด็กเหลือเพยี งช่องน้าเล็กๆ
ควบคุมการทางานของต่อมไร้ท่ออื่นๆ
-neurohypophysis หรือต่อมใต้สมองส่วนหลงั มี
เส้นประสามมาเลยี้ งมากมาย
-adenohypophysis อยู่ทางด้านหน้า เรียกว่า ต่อม
ใต้สมองส่วนหน้า (anterior pituitary)
-ส่วนทีแ่ ทรกระหว่างสองส่วนคือ pars
intermedia ในคนจะฝ่ อไม่มบี ทบาทในการผลิต
ฮอร์โมน
ADENOHYPOPHYSIS:PARS DISTALISมี 2 ชนิด
•ADENOHYPOPHYSIS: PARS INTERMEDIA อยู่ตรงกลางของต่อมใต้สมอง แทรกอยู่ระหว่าง
pars distalisของ adenohypophysis กับ pars posterior ของ neurohypophysis เป็ นถุงน้า•เซลล์
บางตวั มาจาก hypophysial cleft ในตอนท่เี ป็ น embryo หรือเรียกว่า Rathke’s pouch
•Basophils ในส่วนนีส้ ร้าง ACTH, MSH และ endorphin
ต่อมใต้สมองส่ วนหน้ า NEUROHYPOPHYSIS: PARS
POSTERIOR
(Adenohypophysis หรือ Anterior pituitary •มลี ักษณะโครงสร้างที่เฉพาะต่างหาก
ไม่ได้เป็ นต่อมเหมือน adenohypophysis
gland) มลี ักษณะโครงสร้างเหมือน Neuroglia
-ส่วนท่อี ยู่ห่างไกลออกไป เรียกว่า พาร์ส ดสิ ตา ชนิด astrocytes
ลิส(pars distalis) •เป็ นเซลล์เล็ก ๆ รูปดาวหลายแฉก เห็น
-ส่วนทม่ี ี ลกั ษณะเป็ นท่อเรียกว่าพาร์ส ทูเบอรา cytoplasm ไม่ชัด มี nucleus กลมเลก็ สี
ลสิ (pars tuberalis) เข้มตรงกลาง
-ส่วนทีอ่ ยู่ตรงกลาง เรียกว่า พาร์ส อินเทอร์
มีเดีย (pars intermedia) ไม่มบี ทบาทในมนุษย์ สร้างและหลงั่ ฮอร์โมนสาคญั 6 ชนิด มีผล
โดยตรงต่ออวยั วะเป้าหมาย 2 ชนิด คือ
GH และโพรแลกทิน ส่วนอีก 4 ชนิด เป็ น
ฮอร์โมนทมี่ ีผลควบคุมการทางานของต่อม
ไร้ท่ออื่นอกี ต่อหนง่ึ เรียกว่า โทรฟิ คหรือ
โทรปิ กฮอร์โมน (trophic หรือ tropic
hormone)
ฮอร์ โมนจากต่อมใต้สมองส่ วนหน้ า การควบคุมการหลั่งฮอร์ โมนจากต่อมใต้สมองส่ วน
หน้า
•Adrenocorticotropic hormone -ถูกควบคุมโดย 2 วธิ ี
-ระบบประสาท โดยผ่านทางไฮโพทาลามัสไฮโพทา
(ACTH) ลามัสจะสร้างสารทเ่ี รียกว่า Hypothalamic ทา
•Follicle-stimulating hormone (FSH) หน้าท่ีเป็ นตวั กระตุ้นเรียกว่า Releasing hormone
•Growth hormone (GH) (RH) หรือเป็ นตวั ยบั ย้ังเรียกว่า inhibiting
•Luteinizing hormone (LH) hormone (IH)
•Prolactin -การควบคุมโดยการยบั ย้งั ย้อนกลบั (negative
•Thyroid-stimulating hormone (TSH) feedback control) หล่งั ฮอร์โมนไปกระต้นุ ต่อม
เป้าหมายให้เจริญเตบิ โตเพ่ือสร้างฮอร์โมน ไปทไี่ ฮ
ต่อมใต้สมองส่ วนหลงั โพทาลามัสเพื่อลดการผลิตฮอร์โมน
-ประกอบด้วย มเี ดียน เอมีเนนส์(median
eminence) ส่วนท่มี ีเส้นประสาทอยู่มาก ฮอรโ์ มนที่สรา้ งต่อมใต้สมองสว่ นหลงั
เรียกว่า พาร์สเนอโวซา (pars nervosa)
-สองส่วนเช่ือมด้วยส่วนทส่ี าม คือก้านอนิ •Anti-diuretic hormone (ADH):This
ฟันดบิ ิวลัม (infundibulum) hormone prompts the kidneys to
-เป็ นที่เก็บและหลง่ั เพปไทด์ฮอร์โมนสองชนิด increase water absorption in the blood.
คือ ออกซิโทซิน (oxytocin) และวาโซเพรสซิน
•Oxytocin:Oxytocin is involved in a
ภาวะความผดิ ปกตขิ องต่อมใต้สมองส่วนหน้า variety of processes, such as
-โรคขาดฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง contracting the uterus during childbirth
(hypopituitarism) ผ้ปู ่ วยจะแสดงอาการขาด and stimulating breast milk production.
ฮอร์โมนท้งั หมดเรียกว่าPanhypopituitarism
สาเหตจุ ากต่อมพทิ ูอทิ าร่ีโดนทาลาย ขาดการ
กระต้นุ โดย Releasing Hormone การรักษา
โดยให้ฮอร์โมนท่มี าจากต่อมเป้าหมายน้ัน ๆ
เป็ นการทดแทน
-โรคท่ีเกิดจากต่อมใต้สมองส่ วนหน้ าหลงั่
ฮอร์โมนมากเกนิ ไป (Hyperpituitarism) เกดิ
จากเนื้องอกเพมิ่ จานวนและขนาดของเซลล์
รักษาโดยการฉายแสงหรือทาการผ่าตดั ต่อม
ออกท้งั หมดแล้วให้ฮอร์โมนทดแทน
โครงสร้างของต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland)
คลุมอยู่บนกระดูกอ่อน เป็ นต่อมไร้ท่อที่ใหญ่ท่ีสุดในร่างกาย เก็บ
-กลีบสุดท้ายมีรูปร่างเป็ นกรวยแหลมคือ pyramidal ฮอร์โมนมากที่สุด และได้รับเลือดมาเลยี้ งใน
-แต่ละกลบี ย่อย ปริมาณสูงมาก
-ภายในถุงน้าที่เรียกว่า follicle นี้มีสาร colloid ท่ี -ต่อมไทรอยด์ฝังอยู่บริเวณหลอดลมคอ มีสอง
กลบี เช่ือมต่อกนั ตรงกลางด้วย
สร้างและหล่งั จากเซลล์เหล่านีบ้ รรจอุ ยู่สารเหล่านี้ -ฮอร์โมนทผ่ี ลติ ได้แก่
คือ thyroid hormone รอบ ๆ follicle –tetraiodothyronine หรือ
Thyroxine(T4) และ
Triiodothyronine (T3)
–แคลซิ โทนิ น
เป็ นต่อมสีน้าตาลแดงท่ีมีเลือดมาเลีย้ งมาก อยู่
ท่สี ่วนล่างของคอทางด้านหน้าตรงกับกระดูก
สันหลังส่วนคอ ถูกหุ้มด้วยเย่ือพงั ผืดท่หี ุ้ม
กล่องเสียงและหลอดลม ท่เี รียกว่า
Pretracheal layer of deep cervical fascia
ประกอบด้วยกลบี ขวา (right lobe) และกลบี
ซ้าย (left lobe) •ทางด้านผวิ ในทาบไปกบั
กล่องเสียง (larynx) และหลอดลม (trachea)
หน้าทแ่ี ละบทบาท ภาวะความผดิ ปกติ
-ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์มีความสาคญั มากต่อเม -คอพอก (goiter) ต่อมไทรอยด์โตขนึ้ กว่าปกติ
-ได้รับสาร goitrogens มากเกนิ ไป ยับย้งั การ
ทาบอลิซึมของร่างกายโดยทั่วไป
-มีผลต่อการหล่ังทาลายฮอร์โมนเกือบทุกชนิด และ ส่งผ่าน iodide
การตอบสนองของร่างกายฮอร์โมนต่าง ๆ -การได้รับธาตุไอโอดีนในอาหารน้อยผดิ ปกติ
ขาดเอนไซม์สาหรับสังเคราะห์ฮอร์โมนแต่
กาเนิด
-ผลต่อระบบประสาท
-ถ้าขาดฮอร์โมนจะคดิ อะไรได้เช่ืองช้า แต่ถ้ามากไป
จะคดิ ได้ว่องไวกระวนกระวายและหงุดหงดิ
ตวั กระตุ้นการเจริญเตบิ โตของเนื้อเย่ือ (tissue -ไทรอยด์ฮอร์โมนมากเกนิ ไป
growth factors) สร้างโปรตนี (Hyperthyroidism) หรือต่อมไทรอยด์เป็ นพษิ
-ผลต่อเมตาบอลซิ ึม ได้แก่ (thyrotoxicosis) จนทนอาการร้อนไม่ไหวและ
(1) การผลิตความร้อนและการใช้ออกซิเจน มีเหง่ือออกมากเพ่ือลดความร้อยในร่างกาย
(2) เมตาบอลซิ ึมของคาร์โบไฮเดรต เร่งขบวนการ -ขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)
สลายไกลโคเจนเป็ นกลูโคส (glycogenolysis) ไทรอยด์ฮอร์โมนไม่เพยี งพอกับความต้องการ
(3) เมตาบอลิซึมของไขมนั ลดการสร้างไขมนั และ ของร่างกาย
cholesterol -เกดิ โรคของต่อมไทรอยด์เอง ต่อมไม่ทางาน
(4) เมตาบอลซิ ึมของโปรตนี ขาดฮอร์โมนทาให้มี จะไปยบั ย้งั การสร้างฮอร์โมน ทนอากาศเย็นไม่
อาการบวมน้าใต้ผวิ และอ้วนฉุเรียกว่า Myxedema ค่อยได้
(5) เมตาบอลซิ ึมของวติ ามิน เป็ นสารมสี ีในลูกตา
ซ่ึงมผี ลต่อการปรับสายตาในความมืด โครงสร้าง และหน้าทข่ี องตบั อ่อน (Pancreas)
อวยั วะท่ปี ระกอบด้วยต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่ออยู่ Islets of Langerhans ประกอบด้วยเซลล์ 3
รวมกนั ชนิดคือ
-ต้งั อยู่ทด่ี ้านบนซ้ายของช่องท้อง วางตวั จากส่วน •Alpha or A cell ตดิ สีแดง ส่วนมากอยู่บริเวณ
โค้งของลาไส้เล็กส่วนดูโอดนี ัม(duodenum)ถึงม้าม ของกลุ่มเซลล์ทาหน้าทส่ี ร้างและหลั่งฮอร์โมน
(spleen) และด้านหลงั ของกระเพาะ (stomach) Glucagon •Beta or B cell ตดิ สีเหลืองน้าตาล
-ต่อมมที ่อ คือ การสร้างน้าย่อยไปที่ลาไส้เลก็ และ กระจายอยู่ทั่วไป ทาหน้าทสี่ ร้างและหล่งั
ต่อมไร้ท่อสร้างฮอร์โมนและหลงั่ ฮอร์โมนอนิ ซูลิน ฮอร์โมน Insulin เพ่ือลดระดบั น้าตาลในเลือด
และกลูคากอน ถ้าขาดจะเป็ นโรคเบาหวาน (Diabetes
Mellitus)
•Delta or D cell ตดิ สีน้าเงนิ ทาหน้าทส่ี ร้าง
ฮอร์โมน Somatostatin
-เกดิ การสร้างกลูโคส (gluconeogenesis)
-ไขมันที่อยู่ในรูปกรดไขมันรวมตวั กนั จะได้
เนื้อเย่ือไขมนั เรียกว่าเกดิ lipogenesisและกรด
-โปรตนี กเ็ กดิ จากการรวมตวั ของกรดอะมิโน
เรียกว่าเกดิ การสร้างโปรตนี (proteogenesis)
เมตาบอลซิ ึมและพลงั งาน กลูโคสเป็ นแหล่งพลงั งานอันดบั แรกควบคุมเม
-พลงั งานที่ร่างกายใช้อยู่เป็ นพลังงานเคมี ตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต 2พวก ได้แก่
-ขบวนการท่ีเกิดขึน้ เรียกว่า เมตาบอลซิ ึมอาศัย -พวกท่ีทาให้ระดับน้าตาลในเลือดลดตา่ ลง
เอนไซม์ ภาวะทเ่ี หมาะสมเพ่ือให้เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี (Hypoglycemic group) ได้แก่ อนิ ซูลนิ
-มีท้งั ขบวนผลิตสังเคราะห์สารอาหาร (anabolism) -พวกที่ทาให้ระดบั น้าตาลในเลือดสูงขนึ้
คือการรวบรวมโมเลกลุ เลก็ ๆ ให้กลายเป็ นสารใหม่ท่ี (hyperglycemic group) ได้แก่ กลูคากอน
มโี มเลกุลใหญ่ สลายตวั ของสารท่มี โี มเลกุลใหญ่ให้ Growth hormone, คอร์ทซิ อล, เอพเิ นฟริน,
เป็ นสารโมเลกุลเลก็ ๆ (catabolism) ไทรอกซิน
โครงสร้างของต่อมหมวกไต (Adrenal gland) ตับออ่ นมีหนา้ ทผี่ ลติ ฮอรโ์ มนทปี่ ระกอบดว้ ย
-Gastrin:This hormone
ต่อมหมวกไตเป็ นต่อมคู่อยู่เหนือไตท้ังสองข้าง ขนาด
ไม่ใหญ่ มเี ส้นเลือดมาเลีย้ งมากมาย แบ่งได้เป็ น 2ส่วน aids digestion by
คือ ต่อมหมวกไตส่วนนอก และส่วนใน
ต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex) เป็ นส่วน stimulating certain cells in
เปลือกของต่อมหมวกไต แบ่งได้เป็ น 3ข้นั
ตามลักษณะการเรียงตวั ของเซลล์และหลอดเลือด the stomach to produce
acid.
-Glucagon
-Insulin
ก้อนเนื้อสีเหลืองแบนทางด้านหน้าหลัง 2ก้อน ต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex)
-ต่อมหมวกไตขวา รูปร่างคล้ายปิ รามดิ คือเป็ นรูป -ช้ันนอกสุด Zona glomerulosa
จตั ุรมุขหรือรูปกรวยสามเหลี่ยม -ตดิ กับเปลือกหุ้มต่อม เป็ นช้ันบาง ๆ
-ต่อมหมวกไตซ้ายรูปร่างเหมือนพระจนั ทร์เสี้ยว -สร้างและหลัง่ ฮอร์โมนพวก
มักใหญ่ และอยู่สูงกว่าต่อมทางด้านขวา -ทาหน้าท่ีควบคุมสมดุลของน้า และเกลือแร่ใน
ร่างกาย
ต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex) -ช้ันกลาง zona fasciculata
-ช้ันในทตี่ ดิ กบั ต่อมหมวกไตส่วนในzona -หลัง่ ฮอร์โมนกลูโคคอร์ทิคอยด์
reticularis -ควบคุมเมแทบอลิซึมของโปรตนี
-หลัง่ ฮอร์โมนเพศชาย (androgens) คาร์โบไฮเดรต และไขมนั
-มีผลต่อกระบวนการสืบพนั ธ์ุน้อยกว่าฮอร์โมนทไ่ี ด้
จากอณั ฑะ ในเพศหญงิ อัตราการหล่ังแอนโดรเจน คอร์ทซิ อล (Cortisol)
จะตา่ กว่าเพศชาย -เป็ น glucocorticoid ตวั ท่สี าคญั ท่ีสุดทาให้คน
-ต่อมหมวกไตส่วนใน (adrenal medulla) เป็ นสุข ไม่เบื่ออาหาร โดยมีผลกระต้นุ ระบบ
-ให้ฮอร์โมนแคทโี คลามนี (catecholamine) ประสาทส่วนกลางและจะหลงั่ มากเวลาหิว
ฮอร์โมนเพศชาย (Androgens)
-ต่อมหมวกไตส่ วนนอก -สร้างจากต่อมหมวกไตส่วนนอกช้ันในสุด มี
-ช่วยให้ร่างกายเตรียมพร้อมในการสังเคราะห์ ผลต่อร่างกายน้อยมากเมื่อเทียบกบั สเตยี รอยด์
สารอาหารเม่ือขาดอาหารและน้า เพื่อปรับปริมาณ จากอัณฑะ
ของเกลือแร่และของเหลวในร่างกายให้คงที่
-การสร้างฮอร์โมนทุกตวั จากต่อมหมวกไตส่วนนอก ช่วยให้ร่างกายต่อสู่กับความกดดันและ
ต้องเริ่มจาก cholesterol เมื่อเซลล์ถูกกระต้นุ โดย ความเครียดของการดาเนินชีวติ หรือเหตกุ ารณ์
ACTH ฮอร์โมนท่สี ังเคราะห์ได้จะจบั กับโปรตนี ฉุกเฉินได้
ขนส่งจาเพาะประเภท globulin ในพลาสมา ไหลไป -การตอบสนองแบบเผชิญหน้าหรือหนี (Fight
ตามกระแสเลือด เป็ นเสมือนฮอร์โมนสารองสาหรับ or flight response) โดยอาศัยแคทีโคลามีนจาก
ปล่อยฮอร์โมนอิสระเพ่ือการออกฤทธ์ิต่ออวยั วะ ต่อมหมวกไตส่ วนในท่ีนากรดไขมันและ
เป้าหมาย กลูโคสออกมาให้ร่างกายใช้เป็ นพลงั งานและ
เตรียมร่างกาย
-แคทโี คลามีนผลิตได้จากต่อมหมวกไตส่วนใน เป็ น -ไม่พบความผดิ ปกตใิ นผู้ใหญ่ถ้ามกี าร
ส่ วนหนึ่งของต่อมไร้ ท่อและระบบประสาทซิมพาเท หลั่งฮอร์โมนมาก
ตกิ -ในเดก็ ชายทาให้เข้าสู่วยั หนุ่มได้เร็วกว่า
-อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาท หลั่ง ปกติ
ฮอร์โมนแคทโี คลามีน 2 ชนิดคือ เอพเิ นฟริน 85% และ -ในเพศหญงิ ต่อมหมวกไตจะเป็ นแหล่ง
นอร์เอพเิ นฟริน 15% ผลิต androgen ผลติ ฮอร์โมนมาก มี
-สร้างจากกรดอะมิโนไทโรซีน (tyrosine) ซ่ึงอาจมีผล กล้ามเนื้อใหญ่ตามแขนขา ไม่มี
ลดความรู้สึกเจบ็ ประจาเดือน มหี นวดเครา ศีรษะเถกิ ล้าน
-แคทีโคลามีนไหลเวยี นในกระแสเลือดในรูปของ เสียงห้าว ผวิ มนั มีสิว มขี นเกดิ ขึน้ ตามตวั
ฮอร์โมนอิสระ และใบหน้า มพี ฤตกิ รรมคล้ายผู้ชาย
-ถ้าต่อมหมวกไตส่วนในไม่หลงั่ ฮอร์โมนไม่มีผลต่อ
ชีวติ เพราะถ้ากระต้นุ ระบบประสาทซิมพาเทตกิ จะ ฮอรโ์ มนท่ีสรา้ งจากต่อมหมวกไต
หลง่ั แคทีโคลามนี ได้ -Hydrocortisone
ต่อมหมวกไตส่วนใน (Adrenal medulla) -Corticosterone
-ต่อมนีห้ ล่ังฮอร์โมนแคทโี คลามีน (catecholamine) โครงสร้างของต่อมพาราไทรอยด์ (THE
อตั ราท่สี ูงเม่ือถูกกระต้นุ ขณะทีร่ ่างกายอยู่ในภาวะคบั PARATHYROID GLANDS)
ขนั
-ร่างกายจะตอบสนองต่อฮอร์โมนด้วยปฏกิ ริ ิยาต่อสู้
หรือหนี
-ทางานร่วมกบั ระบบประสาทซิมพาเทตกิ
-ฮอร์โมนออกฤทธ์ิเร็วมากและจบลงอย่างรวดเร็ว
พาราไทรอยด์ฮอร์โมน (Parathyroid hormone, บทบาทของ Calcium Balance
PTH)
-เป็ นพอลเิ พปไทด์ฮอร์โมนสร้างจาก chief cells ของ ต่อมแบนรูปกลมรี สีน้าตาลอมเหลืองเลก็ มาก
ต่อมพาราไทรอยด์ อยู่ทางด้านหลงั ของต่อมไทรอยด์ ใต้เยื่อหุ้ม
-มีจานวน 2คู่ อยู่ด้านหลงั ใต้ผวิ ของต่อมไทรอยด์ ของต่อมไทรอยด์ มีจานวน 4ต่อม แบ่งเป็ น
เป็ นต่อมไร้ท่อทมี่ ีขาดเลก็ มากแต่มีความจาเป็ นต่อ ข้างละ 2ต่อม superior และ inferior
ชีวติ parathyroid glands
-ควบคุมระดบั แคลเซียมในร่างกายทาให้แคลเซียมใน -ทอดตวั อยู่ตามขอบหลงั จากข้วั บนของต่อม
เลือดเพมิ่ ขนึ้ แต่ฟอสเฟตตา่ ลงมีผลโดยตรงทก่ี ระดูก ไทรอยด์ไปยังข้วั ล่าง
และไต -Superior parathyroid glandsอยู่ในระดับ
กึ่งกลางของขอบหลังของกลบี ข้างของต่อม
-ถ้ามรี ะดับแคลเซียมสูง (hypercalcaemia) ไทรอยด์
-มอี าการเหน่ือยง่าย กล้ามเนื้ออ่อนเพลียไม่มแี รง -Inferior parathyroid glandsอยู่แถวขอบ
เช่ืองช้า สมองมึนงง ปวดศีรษะ หลงั ทางด้านล่างของปี กข้างท้งั สองของต่อม
ไทรอยด์
-ระดบั แคลเซียมในเลือด ประกอบดว้ ย
1) แคลเซียมไอออนอสิ ระ (free calcium) มี
ความสาคญั มากต่อขบวนการทางานของระบบต่าง
(neurotransmirrer) จากปลายประสาท การควบคุม
จงั หวะ การเต้นของหัวใจ
2) แคลเซียมทีร่ วมกับไอออนอ่ืน
ระดบั แคลเซียมในเลือด ประกอบดว้ ย แคลเซียมเมตาบอลิซึม
1) การดูดซึมทีล่ าไส้ แคลเซียมส่วนใหญ่จะถูก
3) แคลเซียมทร่ี วมกับโปรตนี albumin ดูดซึมท่ีลาไส้เล็กส่วน jejunumและ ileum
และทีล่ าไส้ใหญ่เป็ นส่วนน้อย
ระดับแคลเซียมอิสระ (free calcium) ในเลือดจะถูก
ควบคุมให้มรี ะดับคงท่ี
ถ้าระดับแคลเซียมในเลือดตา่ (hypocalcaemia)
ประสาทตื่นตวั ตงึ เครียด มีอาการชักกระตกุ ของ
กล้ามเนื้อ (tetany) ถึงแก่ชีวติ
แคลเซียมเมตาบอลซิ ึม
2) การขบั ถ่ายแคลเซียม ถูกขับออกในอุจจาระ และ
เพยี งส่วนน้อยเท่าน้ัน
3) กระดูก กระดูกเป็ นเนื้อเย่ือชนิดหน่ึงมกี ารสลาย
(bone resorption) และสร้างใหม่(bone formation
หรือ accretion) ตลอดเวลาและเกิดขนึ้ ได้พร้อม ๆ
กนั ปรับปรุงรูปร่างกระดูกให้เหมาะสมกบั หน้าที่
-แคลเซียมอยู่ในน้ากระดูก (bone fluid) มี -ความผดิ ปกตขิ องแคลเซียมเมตาบอลิซึม
ความสาคญั ในการช่วยควบคุมระดบั แคลเซียมใน ระดบั แคลเซียมในเลือดสูงเกนิ ปกติ
เลือดให้คงที่ (Hypercalcemia)
-การควบคุมสมดุลแคลเซียมและรักษาระดบั เกิดจากความผดิ ปกตขิ องระบบควบคุม
แคลเซียมในเลือดให้คงที่ แคลเซียม
ฮอร์โมนหลกั ทีส่ าคญั 3 ชนิดคือ พาราไทรอยด์ -Hyperparathyroidism
ฮอร์โมน แคลซิโนนิน ไดไฮดรอกซิคอลิ แคลซิเฟ มรี ะดบั แคลเซียมสูงในเลือด ระดบั ฟอสเฟต
อรอลส์ ตา่ พบแคลเซียมในปัสสาวะ เกดิ การสลายตวั
ของกระดูก ทาให้กระดูกกร่อนเสียรูป และ
กระดูกพรุน (osteoporosis)
ระดบั แคลเซียมในเลือดตา่ กว่าปกติ โรคขาดวติ ามนิ ดี
(hypocalcemia) -คนทีข่ าดวติ ามนิ ดีเหมือนกบั ขาดแคลเซียม
-เกดิ จากการทางานของพาราไทรอยด์และวติ ามนิ ดี
1. โรคกระดูกอ่อน (Rickets) ในเด็กระดบั
น้อยกว่าปกติ แคลเซียมในพลาสมาจะตา่ กล้ามเนื้อล้า การ
-การขาดฮอร์โมน PTH มักเกิดจากการตดั ต่อม
เจริญเตบิ โตของกระดูก
ไทรอยด์ออก แล้วตดั เอาต่อมพาราไทรอยด์ออกไป 2. โรคกระดูกน่วม (Osteomalacia) เป็ นโรค
ขาดวติ ามินดีในผู้ใหญ่ ระดับแคลเซียมใน
ด้วย พลาสมาตา่
-ระดบั แคลเซียมตา่ ลง และระดับฟอสเฟตสูงขนึ้
อาการอ่อนเพลีย สับสน สมองเสื่อม เปล่ียนแปลง
พฤตกิ รรม
ระดบั แคลเซียมในเลือดตา่ กว่าปกติ วติ ามนิ ดเี ป็ นพษิ (vitamin D intoxication)
(hypocalcemia) มรี ะดบั แคลเซียมและฟอสเฟตในพลาสมาสูงเกิน มี
-เกิดความผดิ ปกตทิ างประสาทและ อาการกระสับกระส่าย น้าหนักลด และอาจเกิดอาการ
กล้ามเนื้อ ไวต่อการตอบสนองมากกว่าปกติ ผดิ ปกตขิ องไต แคลเซียมจะไปจบั ท่เี นื้อเย่ือต่างๆ
(Hyperexcitability)
-ตรวจสอบได้ตามวธิ ีง่ายๆคือ การออกฤทธ์ิร่วมของฮอร์โมนต่างๆ เพื่อควบคุมสมดุล
-Chvostek’s sign: ปากกระตุกเมื่อกดหรือ ของแคลเซียม
ตบเบาๆ ทบ่ี ริเวณแก้มหน้าหู -ปริมาณแคลเซียมทีร่างกายได้รับจากระบบทางเดนิ
- Trousseau’s: มือจะงอเกร็งเมื่อหยุดการ อาหารขนึ้ อยู่กับวติ ามินดี
ไหลเวยี นของเลือดในบริเวณต้นแขนเพยี ง -อยู่ภายใต้การควบคุมของพาราไทรอยด์ฮอร์โมนและ
ไม่กนี่ าทจี ะเกดิ อาการมือกระตุกงอ แคลซิโทนิน
กล้ามเนื้อ -กระบวนการสลายกระดูก (bone resorption) และ
กระบวนการพอกพนู ของแคลเซียมบนกระดูก
ต่อมไพเนียล (Pineal Gland) -แคลเซียมในเลือดเพมิ่ ขนึ้ ส่งผลยบั ยังการหลงั่
-กระตุ้นการหล่งั แคลซิโทนินเพ่ือยับย้งั การสลาย
ต่อมไพเนียล (Pineal Gland) แคลเซียมจากกระดูก
-ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน(melatonin)
-ทาหน้าที่เป็ นตวั ส่งข่าว (neuroendocrine
transducer) มผี ลยบั ย้งั การทางานของ
อวยั วะทีส่ ร้างเซลล์สืบพนั ธ์ (gonads) ไม่ให้
ทางานเร็วเกินไป
-ในคนดูเมลาโทนินจะไม่มผี ลต่อ
melanocyte
-ช่วยสัตว์ให้ปรับการทางานของระบบต่างๆ
ของร่างกาย
•อวยั วะเลก็ ๆสีน้าตาลแดงรูปลูกแพร์ วางอยู่เหนือสมองส่วนกลาง (midbrain) อยู่ใต้spleniunของ corpus
callosum
•ยบั ย้ังการทางาน (inhibitory) ของต่อมไร้ท่ออื่น ๆ
•เมื่อเส้นประสาทตาถูกกระตุ้นจะมกี ารยบั ย้งั การทางานของต่อมนี้ ต่อมนี้ทางานมากในเวลากลางคืน เป็ น
ผลให้มีการพกั ผ่อนของต่อมไร้ท่ออ่ืน ๆ ทถ่ี ูกควบคุมอยู่
โครงสร้างของต่อมไพเนียล -ทาหน้าท่ีเหมือนตวั กลางทรี่ ับความรู้ความยาวของวนั
แล้วส่ งสั ญญาณในรูปของฮอร์ โมนไปสู่ ระบบต่างๆ
มขี นาดเปลยี่ นแปลงไปตามอายุ -เมลาโทนินจะออกฤทธ์ิยับย้ังการเจริญเตบิ โตของ
อยู่ใน anterior และ superior ระบบสืบพนั ธ์ุในเด็กจนกว่าจะเข้าสู่วยั หนุ่มสาว
mediastinum ของช่องอก และย่ืนลงไป (puberty) โดยยับย้ังการสังเคราะห์ มผี ลทาให้อณั ฑะโต
ด้านล่างจนถงึ กระดูกอ่อนของซี่โครงซ่ีท่ี ขึน้ น้าหนักเพม่ิ เข้าสู่ความเป็ นหนุ่มเร็ว
4 และส่วนบนที่มลี ักษณะเรียบเล็กย่ืนเข้า -ถ้าเกดิ เนื้องอกของต่อมไพเนียล (pinealoma) ทาให้
ไปในคอ บางคร้ังใกล้ถึงระดับข้วั ล่างของ ขาดฮอร์โมน จะทาให้เดก็ เข้าสู่วยั หนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ
ต่อมไทรอยด์หรือสูงกว่า ด้านหน้าถูกปิ ด
ทับด้วยกระดูกหน้าอก (sternum) และ ต่อมไทมสั (Thymus gland)
กระดูกอ่อนของซ่ีโครงส่ีซ่ีบน และ
ด้านบนเป็ นกล้ามเนื้อคอ -ต่อมไทมัส (Thymus gland)
-ฮอร์โมนไทโมซินทาหน้าท่ีสร้าง T-lymphocytes เพ่ือ
•Cortexช้ันนอกประกอบด้วย small สร้างภมู ิคุ้มกันกบั โรคเกย่ี วกบั เซลล์ (cellular
lymphocyte อยู่กันหนาแน่นเห็น immunity) โดยให้ lymphokines ทาหน้าท่ีเกีย่ วกบั
nucleus มากมายเป็ นจดุ สีเข้มอยู่ชิดกนั ปฏกิ ริ ิยาภมู แิ พ้จากการไม่ยอมรับเนื้อเยื่อท่ี
เรียกเซลล์พวกนีว้ ่า Thymocytes แปลกปลอมทีน่ าเข้ามาปลูกเข้ากับร่างกาย
•Medullaเป็ นเนื้อในของดิบย่อยมสี ีจาง -ป้องกนั การตดิ เชื่อจากไวรัส รา และแบคทเี รียบางจา
กว่าส่วน cortex เพราะเซลล์ส่วนใหญ่ พวก เช่น Tubercle bacillus ทีท่ าให้เกดิ วณั โรค
เป็ นพวก reticular cell มี lymphocytes -คนท่ีหายเน่ืองจากมีการตดิ เชื้อนาน ๆ ต่อมไทมัสจะ
ฝ่ อเล็กลงกว่าปกติ
สร้างฮอร์โมนไทโมซิน (thymosin) มีผล
ต่อการเจริญเตบิ โตของ T-lymphocyte ทมี่ าของภาพ
สร้างภูมคิ ุ้มกนั ของร่างกาย https://www.google.com/search?
-ในคนถือว่าต่อมไทมสั เป็ น primary q
หรือ central lymphatic organ https://ngthai.com/science/3156
-ต่อมนีจ้ ะมีขนาดใหญ่ ในทารกแรกเกิด 1/endocrine-system/
และโตมากทสี่ ุดในช่วงวยั หนุ่มสาว ทม่ี าของวิดโี อ
หลงั จากน้ันจะเริ่มเส่ือมสภาพมขี าดเล็ก https://www.youtube.com/watc
ลง h?v=h7jH4ljtZ08
https://www.youtube.com/watc
h?v=IAKPsElyyzk&t=346s
Muscular system
กลา้ มเนอื้ มี 3 ชนิด กลา้ มเนือ้ ลาย ทางานภายใตอ้ านาจจติ ใจ
มรี ูปเป็นทรงกระบอก มีนวิ เคลยี สหลายอนั มี
ส่วนประกอบทส่ี าคญั ของกล้ามเนือ้ คณุ สมบตั ิหดตวั จงึ ทาใหเ้ กิดแรงไปเคล่อื นไหวสว่ น
-โปรตีน ต่างๆของรา่ งกาย
-คารโ์ บไฮเดรต
-ไขมัน กล้ามเนือ้ เรยี บ (Smooth muscles) อยภู่ ายใน
-สารทที่ าใหก้ ล้ามเนือ้ หดตัว มี ATP หลอดเลอื ด หลอดอาหาร ทางานภายนอกอานาจ
จติ ใจ เซลลล์ กั ษณะจะยาวเรียว และบางเป็นรูป
&ADP กระสวย จะมเี สน้ ใยประสาทอตั โนมตั ิมาควบคมุ ดว้ ย
กลา้ มเนือ้ หวั ใจ (Cardiac muscles) คลา้ ย
กลา้ มเนอื้ ลาย คือเสน้ ใยจะมลี ายตามขวางเหมอื นกนั
แต่สจี างกว่า เสน้ ใยกลา้ มเนอื้ หวั ใจจะคอ่ นขา้ งสน้ั
ส่วนประกอบของกลา้ มเน้ือตามลกั ษณะทางกายวิภาค
กลา้ มเน้ือประกอบดว้ ยส่วนต่างๆ ตามลกั ษณะทาง
กายภาพ ดงั น้ี
1. เซลลก์ ลา้ มเน้ือ 2. เสน้ ใยกลา้ มเน้ือ
3. มดั กลา้ มเน้ือ (belly) 4. หลอดเลือดแดง
5. หลอดเลือดดา 6. เส้นประสาท
7. พงั ผดื (fascia) 8. เอน็ (tendon)
9. แผน่ พงั ผืดติดเอน็ (aponeurosis)
Origin & insertion
ท่ยี ดึ เกาะกลา้ มเนอื้ มี 2 ชนดิ Muscle of Head
- origin เป็นจดุ เกาะแรก ตายตวั หรอื เป็นจดุ เกาะ
ของกลา้ มเนอื้ ท่มี กี ารเคลอ่ื นไหวนอ้ ยมาก เม่อื กลา้ มเนอื้ Muscle of facial expression
หดตวั Muscle of mastication
Floor of mouth
-insertion เป็นจดุ เกาะปลาย ตาแหน่งท่เี กาะของ
กลา้ มเนอื้ และเป็นจดุ ท่มี กี ารเคลอ่ื นไหวมากเม่อื กลา้ มเนอื้ ของศีรษะ
กลา้ มเนอื้ หดตวั
แบง่ เป็นกลมุ่ กลา้ มเนอื้ ในแตล่ ะสว่ นของร่างกาย Frontal belly of occipitofrontalis muscle
orbicularis oculi muscle
Orbicularis oris muscle
- กลา้ มเนอื้ ศีรษะ 24 Temporoparietalis
กลา้ มเนอื้ คอ muscle
กลา้ มเนอื้ ลาตวั
กลา้ มเนอื้ แขน
กลา้ มเนอื้ ของศีรษะ 11 Masseter muscle 19 Buccinator muscle
Muscles of facial
expression
-Frontal muscle หนา้ ท่ี ยกั ควิ้ หนา้ ผากย่น -Temporalis
หนา้ ท่ี ยกขากรรไกรลา่ งขนึ้ ทาใหห้ บุ ปากและถอยไป
-orbicularis oris หนา้ ท่ี หบุ ปาก เมม้ รมิ ขา้ งหลงั
ฝีปาก
-Buccinator
2.กลา้ มเนอื้ เก่ยี วกบั การเคยี้ วอาหาร(Muscle
of mastication) หนา้ ท่ี ชว่ ยในการดดู การเคยี้ วอาหาร การกลนื ผวิ
-Masseter ปาก
หนา้ ท่ี ยกขากรรไกรลา่ งขนึ้ หบุ ปาก
Muscle of Head and
Neck
กลา้ มเนอื้ คอ กลา้ มเนอื้ ของลาตวั (Muscle of trunk)
-Platysma แบง่ ออกเป็นกลมุ่ ๆ
หนา้ ท่ี ดงึ รมิ ฝีปากลา่ งและมมุ ปากลง กลา้ มเนอื้ ของหลงั (The Muscle of back)
ถา้ 1 มดั ทางานจะเอยี งศรี ษะไปขา้ งท่หี ด กลา้ มเนอื้ ของทรวงอกดา้ นหนา้ (The muscle of Chest)
ตวั กลา้ มเนอื้ ท่ชี ่วยในการหายใจ(The muscle of
Respiration)
-Sternocleidomastoid กลา้ มเนอื้ ของทอ้ ง(The muscle of Abdomen)
หนา้ ท่ี ถา้ 2 มดั ทางานจะกม้ ศรี ษะลง กลา้ มเนอื้ ท่ปี ระกอบเป็นผนงั ดา้ นหลงั ของทอ้ ง
ถา้ 1 มดั ทางานจะเอียงศีรษะไปขา้ งท่หี ด
ตวั
Superficial muscle
-Platysma
-Sternocleidomastoid
Medial muscle
-กลา้ มเนือ้ เหนอื กระดกู hyoid
-กลา้ มเนือ้ ใตก้ ระดกู hyoid
Deep muscle
-กลา้ มเนือ้ prevertebral
-กลา้ มเนือ้ lateral
Sternocleidomastoid and
Trapezius
-Suprahyoid muscle
-Infrahyoid muscle
กลา้ มเนอื้ ของหลงั (Muscle of back) กลา้ มเนอื้ ของหลงั (Muscle of back)
Trapezius muscle Elector spinae
Latissimus dorsi muscle
กลา้ มเนอื้ ของหลงั (Muscle of back) กลา้ มเนอื้ ของหลงั (Muscle of back) โดยชน้ั
โดยชนั้ ตนื้ มีกลา้ มเนอื้ มดั ใหญ่ 2 มดั และ ตนื้ มีกลา้ มเนอื้ มดั ใหญ่ 2 มดั และชน้ั ลกึ ท่ี
ชน้ั ลกึ ท่สี าคญั อีก 1 มดั สาคญั อีก 1 มดั
- Elector spinae หนา้ ท่ี ดงึ กระดกู สนั หลงั ให้
-Trapezius ตง้ั ตรง
หนา้ ท่ี รง้ั สะบกั มาขา้ งหลงั ยกไหลข่ นึ้ บน Pectoralis major
รงั้ ศรี ษะไปขา้ งหลงั
Serratus anterior
-Latissimus dorsi หนา้ ท่ี ดงึ แขนลงมา
ขา้ งลา่ ง ไปขา้ งหลงั และเขา้ ขา้ งใน
17 Pectoralis minor muscle กลา้ มเนอื้ ของทรวงอกดา้ นหนา้
(The muscle of Chest)
33 External intercostal muscle มมี ดั สาคญั ๆ 3 มดั
35 Internal intercostal muscle 1.Pectoralis Major หนา้ ท่ี หบุ งอ และหมนุ ตน้ แขน
เขา้ ขา้ งในมาขา้ งหนา้
30 Serratus anterior
2. Pectoralis minor หนา้ ท่ี ดงึ ไหลล่ ง หมนุ สะบกั ลง
ขา้ งลา่ ง
3. Serratus anterior หนา้ ท่ี ยดึ สะบกั ใหอ้ ยกู่ บั ท่ี ดงึ
สะบกั ไปขา้ งหนา้ และขา้ งๆ
กลา้ มเนอื้ ท่ชี ่วยในการหายใจ
(The muscle of
แบง่ เป็ น 3 ชนิด Respiration) Muscle of Abdomen
1. Diaphragmหนา้ ท่ี ทาใหช้ อ่ งออกขยายโตขนึ้ และ External oblique
ชว่ ยดนั ปอดใหล้ มออกมา Internal oblique
Transversus abdominis
2. External intercostal หนา้ ท่ี ยกซ่โี ครงขนึ้ ทาใหช้ ่อง Rectus abdominis
ออกขยายใหญ่ขนึ้
3 Internal Intercostal หนา้ ท่ี ทาใหช้ อ่ งอกลดลง
กลา้ มเนอื้ ของทอ้ ง(The muscle of Abdomen)
เป็นกลา้ มเนอื้ ท่ปี ระกอบเป็นผนงั ขา้ งหนา้ และขา้ งๆของ
ทอ้ ง ประกอบดว้ ยกลา้ มเนอื้ 4 มดั คือ
-Rectus abdominis
-External oblique 5 Internal abdominal oblique muscle
-Internal oblique 7 External abdominal oblique muscle
-Transverse abdominis
กลา้ มเนอื้ ของทอ้ ง(The muscle 2 Rectus abdominis muscle
of Abdomenสว่ นหนา้ 5 Rectus abdominis muscle
25 Psoas minor muscle
แบง่ เป็น 4 ชนิด
1.Rectus abdominis (มดั ตรง) หนา้ ท่ี เม่อื หดตวั จะกด
อวยั วะตา่ งๆในชอ่ งทอ้ ง เพ่มิ pressure ในชอ่ งทอ้ ง ช่วยใน
การคลอดบตุ ร ถา่ ยปัสสาวะ อาเจียน กลา้ มเนอื้ ทอ้ งท่ปี ระกอบเป็นผนงั ดา้ นหลงั
2.External oblique(มดั นอก) หนา้ ท่ี ช่วยกดอวยั วะในช่อง ของทอ้ ง ประกอบดว้ ยกลา้ มเนอื้ 3 กลมุ่
ทอ้ ง ชว่ ยในการหายใจออก ช่วยปอ้ งกนั อวยั วะภายในใหไ้ ม่
เคล่อื นท่ี ชว่ ยงอและหมนุ กระดกู สนั หลงั คอื
-Psoas muscle
-Iliacus muscle
3. Internal obligue หนา้ ท่ี ชว่ ยกดอวยั วะในช่องทอ้ ง ช่วยใน -Quadratus lumborum
การหายใจออก ชว่ ยปอ้ งกนั อวยั วะภายในใหไ้ มเ่ คล่อื นท่ี
ช่วยงอและหมนุ กระดกู สนั หลงั 8 Iliacus muscle
4. Transverse abdominis หนา้ ท่ี ช่วยกดอวยั วะในชอ่ งทอ้ ง 18 Psoas major muscle
ช่วยในการหายใจออก ช่วยปอ้ งกนั อวยั วะภายในใหไ้ ม่ 10 Quadratus lumborum muscle
เคลอ่ื นท่ี ช่วยงอและหมนุ กระดกู สนั หลงั
กลา้ มเนอื้ ของทอ้ ง(The muscle of Abdomen) Muscle of Abdomen
สว่ นท่ีประกอบเป็นผนงั ดา้ นหลงั ของทอ้ ง
1. Psoas major หนา้ ท่ี งอตน้ ขา หบุ และหมนุ เขา้ ขา้ งใน
2. Psoas minor หนา้ ท่ี งอตน้ ขา หบุ และหมนุ เขา้ ขา้ งใน Intermediate muscle of
Back
3. Iiiacus muscle หนา้ ท่ี งอตน้ ขา หบุ และหมนุ เขา้ ขา้ งใน
4. Quadratus lumborum หนา้ ท่ี ชว่ ยในการหายใจเขา้
(inspiration)โดยพยงุ ใหม้ มุ อกของ Diaphragmม่นั คงและ
งอกระดกู สนั หลงั ไปขา้ งๆ เหยยี ดกระดกู สนั หลงั
Muscle of back Rhomboid
-Superficial muscle เรียนแลว้ ในหวั ขอ้ -Major
-Minor
-posterior axioappendicular muscle
-Intermediate muscle Serratus posterior
-Rhomboid -Superior
-Serratus posterior -Inferior
-Deep muscle
-Erector spinae
-Semispinalis
-Multifidus
Deltoid muscle Supraspinatus Deep muscle of
Teres minor Back
Teres major Erector spinae
Infraspinatus -Iliocostalis
12 Latissimus dorsi muscle -Longissimus
-Spinalis
กลา้ มเนอื้ ของแขน (The muscle of Upper extremities)
Subscapularis
กล้ามเนือ้ ไหล่ (Muscle of shoulder)
1. Deltoid หนา้ ท่ี กางตน้ แขนขนึ้ มาเป็นมมุ ฉาก 3.Infraspinatous หนา้ ท่ี พยงุ ขอ้
ไหล่ หบุ แขนและหมนุ ตน้ แขนไปขา้ งๆ
2.Supraspinatus หนา้ ท่ี พยงุ ขอ้ ไหล่ หบุ แขนและหมนุ ตน้
แขนไปขา้ งๆ
กลา้ มเนอื้ ของแขน (The muscle of Upper extremities)
6. Subscapularis หนา้ ท่ี หมนุ ตน้ แขนเขา้ ขา้ ง Tricep Brachii Coracobrachialis
ในและพยงุ หวั ไหล่ Brachialis
5. Teres major หนา้ ท่ี หบุ แขนและหมนุ ตน้ Bicep Brachii
แขนเขา้ ขา้ งใน
4. Teres minor หนา้ ท่ี พยงุ ขอ้ ไหล่ หบุ แขน
และหมนุ ตน้ แขนไปขา้ งๆ
17 Long head of triceps brachii muscle 8 short head of biceps brachii muscle
18 Lateral head of triceps brachii muscle 9 Long head of biceps brachii muscle
19 Medial head of triceps brachii muscle
กล้ามตน้ แขน (Muscle of the Arm) กลา้ มตน้ แขน (Muscle of the Arm)
1. Bicep Brachii คลา้ ยกระสวยปลายบนมี 2 1. Brachialis คลมุ สว่ นหนา้ ของขอ้ ศอก หนา้ ท่ี
หวั หนา้ ท่ี งอขอ้ ศอกและหงายมือ งอปลายแขน
2.Tricep Brachii มดั ใหญ่อย่หู ลงั ตน้ แขน 2. Coracobrachialis
ปลายบนมี 3 หวั
หนา้ ท่ี เหยียดปลายแขนหวั ยาวทาหนา้ ท่ี หนา้ ท่ี งอและหบุ แขน ชว่ ยใหห้ วั ของกระดกู
เหยยี ดและหบุ แขน Humerus อย่ใู น glenoid Cavity
กลา้ มปลายแขนดา้ นหนา้ (Volar group)
Flexor Carpi Ulnaris Pronator teres
4 Flexor Carpi radialis 40 Flexor Digitorum Profundus
กลา้ มปลายแขนดา้ นหลงั (Dorsal group) กล้ามปลายแขนดา้ นหน้า (Volar group)
1.Pronator teres หนา้ ท่ี คว่ามือและงอ
Brachioradialis แขนท่อนลา่ ง
Extensor Carpi Ulnaris Extensor Carpi radialis brevis 2.Flexor Carpi radialis
Extensor digitorum muscle หนา้ ท่ี งอและคว่าแขนทอ่ นลา่ ง
กลา้ มเนอื้ ของมือ (The muscle of Hand) กล้ามปลายแขนดา้ นหน้า (Volar group)
3. Flexor Carpi Ulnaris
หนา้ ท่ี คว่าแขนทอ่ นลา่ ง งอและหบุ มอื
4.Flexor Digitorum Profundus
หนา้ ท่ี งอมอื และงอปลายนวิ้
กลา้ มเนอื้ ขา(Lower Extremities)แบง่ เป็น 4 กลา้ มเนอื้ บรเิ วณสะโพก มี 3 ชนดิ
กลมุ่ - Gluteus Maximus
กล้ามเนอื้ ขา(Lower Extremities) - Gluteus medius
ประกอบดว้ ย 4 กลุ่ม - Gluteus minimums
1.กลา้ มเนื้อบรเิ วณสะโพก (muscles of the Gluteus medius muscle 2 Gluteus maximus muscle
gluteal region) 15 Gluteus minimus muscle
2 กล้ามเน้ือต้นขา (muscles of the thigh)
3 กลา้ มเนอ้ื ปลายขา (muscles of the leg)
4 กล้ามเนอ้ื เทา้ (muscles of the foot)
Gluteal region Anterior
Thigh
กลา้ มเนอื้ บริเวณสะโพก - Gluteus minimums หนา้ ท่ี หมนุ ตน้ ขาเขา้ ขา้ งใน
กลา้ มเนอื้ บรเิ วณสะโพก ทาหนา้ ท่เี คล่อื นไหว - Gluteus medius หนา้ ท่ี กางตน้ ขา
ขาทอ่ นบน - Rectus femoris มี 2 หวั
-Gluteus Maximus หนา้ ท่ี เหยียดและกาง
ตน้ ขา - Vastus medialis หนา้ ท่ี เหยยี ดปลายขาและงอ
ตน้ ขา
กลา้ มเนอื้ ของตน้ ขา(The muscle of Thigh)
ทาหนา้ ท่ี เคลอ่ื นไหวขาทอ่ นบน -Vastus lateralis
-กลา้ มเนอื้ ตน้ ขาดา้ นหนา้ ประกอบไปดว้ ย
กลา้ มเนอื้ มดั ใหญ่ๆ ท่เี รยี กว่า Quadricep - Vastus intermedialis หนา้ ท่ี เหยียดปลายขา
femoris ทาหนา้ ท่เี หยยี ดปลายขา และงอตน้ ขา
มี 4 มดั คือ
-Rectus femoris กลา้ มเนอื้ ของตน้ ขาดา้ นหลงั
-Vastus laeralis (The muscle of Thigh)
-Vastus medialis
-Vastus Intermedius Lateral head of gastrocnemius muscle
Peroneus brevis muscle Medial head of gastrocnemius muscle
Soleus muscle
Rectus femoris muscle Peroneus longus muscle gastrocnemius muscle
Vastus lateralis muscle Extensor digitorum longus muscle
Vastus medialis muscle
Tibialis anterior muscle
ทาหนา้ ท่ี เคล่อื นไหวขาทอ่ นบน Gluteus maximus muscle
-กลา้ มเนอื้ ตน้ ขาดา้ นหลงั ประกอบไปดว้ ยกลา้ มเนอื้
มดั ใหญ่ๆ ท่เี รียกวา่ Hamstring muscle ทาหนา้ ท่ี Semimembranosus muscle biceps femoris muscle
งอปลายขา
มี 3 มดั คือ Biceps femoris, Long head of biceps femoris muscle
Semitendinous
Semimembranous
-Biceps femoris หนา้ ท่ี งอปลายขา เหยียดตน้ ขา กลา้ มเน้ือของปลายขาดา้ นหนา้
-Semitendinous ,Simimembranous
หนา้ ท่ี งอปลายขา หมนุ ปลายขาเขา้ ขา้ งใน -Tibialis anterior หนา้ ท่ี งอหลงั เทา้ เหยียด
นวิ้ เทา้ หมนุ ฝ่าเทา้ เขา้ ขา้ งใน
-Gastrocnemius มี 2 หวั
หนา้ ท่ี เหยียดขอ้ เทา้ งอปลายขา -Extensor digitorum longus
Soleus หนา้ ท่ี เหยียดขอ้ เทา้ หนา้ ท่ี งอเทา้ เหยียดนวิ้ เทา้ หนั เทา้ ออกขา้ งนอก
ท่มี าของภาพ กลา้ มเน้ือของปลายขาดา้ นหนา้
https://www.google.com/search?q
https://sites.google.com/site/kaywip -Peroneus longus หนา้ ท่ี เหยยี ดเทา้ กางและ
hakhsastr/bth-thi-4-rabb-klam- หมนุ เทา้ ออกขา้ งนอก
neux
ท่มี าของวดิ ีโอ -Peroneus brevis หนา้ ท่ี เหยียดเทา้ หมนุ เทา้
https://www.youtube.com/watch?v ออกขา้ งนอก
=wRVu1GH1skY
https://www.youtube.com/watch?v -กล้ามเนือ้ ของเทา้ (The Muscles of foot)
=cemmyTLfLT4 เป็ นกล้ามเนือ้ มดั เลก็ ๆสัน้ ๆ เหมอื นกนั ทม่ี อื
อยหู่ ลงั เทา้ และฝ่ าเทา้
หน้าทสี่ าคญั คือ ช่วยยดึ เทา้ ใหเ้ ป็ นอุ้งเทา้
(Arch)
SKELETAL SYSTEM ชนิดของกระดกู
โครงสร้างของกระดกู
กระดกู แบบยาว
พบที่กระดูกขาและ
แขน
กระดูกสน่ั
พบทีก่ ระดูก
ขอ้ มือและขอ้ เทา้
กระดกู แบน
พบทกี่ ระดกู ศรีษะและหนา้ อก
กระดูกไมแ่ นน่ อน
พบทก่ี ระดูกสนั หลงั
และกระดูกเชงิ กราน
หนา้ ทีข่ องกระดูก
-Compact bone คือกระดกู เนอื้ แข็ง หนา้ ท่ขี องกระดกู
-Spongy bone คอื กระดกู โปร่ง มลี กั ษณะ 1.ปอ้ งกนั อวยั วะภายใน
โปร่ง ทาใหก้ ระดกู เบา 2.คา้ จนุ ร่างกาย
3.ทาใหเ้ กดิ การเคล่อื นไหว
กระดกู แกน (Axial Skeleton) 4.ผลติ เม็ดเลอื ดแดง-เม็ดเลอื ดขาว
5.เก็บสะสมแรธ่ าตตุ า่ งๆ
มี 2 สว่ น
วางอยใู่ นแกนกลางลาตวั
-กระดกู ศรีษะ
-กระดกู สนั หลงั
-กระดกู ซ่โี ครง
-กระดกู อก
กะโหลกศีรษะ (Skull) จานวน 22 ชิ้น
skull มจี านวน 22 ชนิ้ ไม่นบั กระดกู หู กระดูกหู จานวน 6 ชิ้น
กระดกู ศรีษะ เช่ือมต่อดว้ ยรอยซู
เจอร์ (Suture) กระดกู หอู ย่ใู นหชู น้ั กลาง มีกระดกู ขา้ งละ 3
ชนิ้
เคลอ่ื นไหวไมไ่ ดเ้ ม่อื โตขนึ้ แตม่ ีความแข็งแรงมาก -Malleus กระดกู คอ้ น ยดึ เกาะเย่อื แกว้ หู
ทาใหไ้ ดย้ ินเสยี ง
กระดูกสันหลัง (Vertebral Column)33 -Incus กระดกู ท่เี ช่ือมตอ่ กบั stapesยดึ
ชิ้น (ในวัยเด็ก) หรือ 26 ชิน้ (ในวยั เกาะกบั เย่อื ของชอ่ งรูปไข่
ผ้ใู หญ่) กระดกู ซีโ่ ครง (Ribs) จานวน 24 ชิน้
กระดูกอก (Sternum) จานวน 1ชิ้น
กระดกู ไหปลารา้ ช่วยคา้ จนุ หวั ไหล กระดกู สนั อก มเี พียง 1 ชนิ้ Xiphoid process
เป็นกระดกู ท่ีปั้มหวั ใจ เป็นกระดกู แบบต่อกบั
กระดกู ซ่โี ครง่
กระดกู 11 12 เป็นกระดกู ท่ีจะลอยอยเู่ ฉยๆ ไม่
เกาะกบั กระดกู อะไรเลย จงึ หกั ง่าย และลอยตวั
อยู่
ป้องกนั อวยั วะภายใน
กระดูกรยางค์ (Appendicular Skeleton) กระดูกโอบอก (Pectoral girdle)
กระดกู ไหปลารา้
กระดกู สะบกั อยดู่ า้ นหลงั
มี 126 ชนิ้ สว่ นท่เี ป็นสสี ม้ คือกระดกู รยางค์ เป็นกระดกู กลมุ่ ท่เี ช่ือมโครงกระดกู แกนหรอื
แบง่ เป็น 2 สว่ น กระดกู ซ่โี ครง มี 2 ขา้ ง ซา้ ย และขวา
-สว่ นบน
-สว่ นลา่ ง นิว้ หวั แมม่ อื มี ปลายนิว้ มือ
กระดกู 2 ชนิ้
กระดูกแขนและกระดกู มือ
กระดกู ชนิ้ ใหญ่ radius อยู่ ฝ่ ามอื
ทางดา้ นหวั แมม่ อื กระดกู ปลาย metacarpals
กระดกู หวั ไหลจ่ ะยดึ ตดิ กบั แขน มี 2 ชนิ้
กระดกู ไหปลารา้
Humerue แขนทอ่ นบนยดึ ติด ต่อกบั กระดกู ท่อนลา่ ง
กบั กระดกู หวั ไหล่
กระดกู ขอ้ มอื อย่บู ริเวณสน้ มอื หรือสนั มือ
กระดกู ชนิ้ เลก็ ulna อยทู่ างนวิ้ กอ้ ย กระดกู โอบเชิงกราน (Pelvic girdle)
กระดกู ขา และกระดูกเทา้ มี 2 ขา้ ง เรยี งตอ่ กนั ในรา่ งกายมนษุ ย์
ขอ้ ตอ่ สะโพก Acelabulum เป็นแอง่ 2 ขา้ ง ทาให้
กระดกู เช่อื มกบั กระดกู ท่อนขา
เป็นท่อี ยขู่ องหวั กระดกู ท่อนขา
Tibiaกระดกู ชนิ้ Patella กระดกู ลกู สะบกั หวั เขา่
ใหม่ สามารถหมนุ และงอขอ้ เข่าได้
Fibula กระดกู ชนิ้ เลก็ Ischium ทาหนา้ ท่รี บั
นา้ หนกั ของรา่ งกาย
Pubic arch สามารถคลาจากภายนอกได้
กระดกู ฝ่าเทา้ ขอ้ ต่อ(joints)
กระดกู ฝ่าเทา้
กระดกู สน้ เทา้ กระดกู ขอ้ เทา้ ยดึ ติดกระดกู สน้ เทา้ กระดกู นิว้ เทา้
ขอ้ ท่หี มนุ ได้ เคลอ่ื นไหวได้
มีนา้ ไขขอ้ อยขู่ า้ งใน ขอ้ เข่า เป็นขอ้ ตอ่ ท่ี ท่มี าของภาพ
เคลอ่ื นไหวไดม้ ากท่สี ดุ ไม่ไดเ้ ช่ือมโดยตรง
แต่จะมีแคปซูน เป็นตวั กลางอยภู่ ายในขอ้ ต่อ https://www.chomsurang.ac.t
มนี า้ ไขขอ้ จงึ สามารถเคลอ่ื นไหวขอ้ เข่าได้ h/chomlearning/media/SC72.p
หลายทิศทาง df
https://www.google.com/sear
ch?q
ท่มี าของวิดโี อ
https://www.youtube.com/wa
tch?v=VBKa_lpCB4Y
https://www.youtube.com/wa
tch?v=JsdtukhzMbE
ระบบยอ่ ยอาหาร ALIMENTARY SYSTEM DIGESTIVE
SYSTEM
ทอ่ ทางเดินอาหาร
(Alimentary Canal or Digestive tract)
• อวัยวะทีช่ ่วยในการย่อย
(Accessory digestive organs
ปาก • ลน้ิ (Tongue)
• ฟนั (Teeth)
•ขบเคี้ยวและคลุกเคลา้ อาหารกบั • ต่อมนา้ ลาย (Salivary glands)
้นา้ ลาย • ตับอ่อน (Pancreas)
• ตบั (liver)
กระเพาะอาหาร • ถุงนา้ ดี (Gallbladder)
•ยอ่ ยอาหารและเปล่ยี นแปลง หน้าท่ขี องระบบย่อยอาหาร
สว่ นประกอบทซี่ บั ซ้อนให้เปน็ ของที่งา่ ย 1.ผลกั ดันอาหารใหเ้ คลอื่ นท่ี
2.สรา้ งเอนไซม์และ้นา้ หลอ่ ลนื่
้ลาไส้เล็ก 3.ย่อยอาหารและดูดซมึ สารอาหาร
4.ดดู ซึม้น้าและอิเลค็ โทรไลท์
•ดดู ซึมไปเลี้ยงสว่ นตา่ งๆของร่างกาย 5.กาจดั ของเสยี หรอื สารพษิ
้ลาไส้ใหญ่
•ดูดซมึ ้น้าและเกลือแร่
ทวารหนกั
•ขบั ถา่ ยเศษอาหารหรือกากอาหารออก
จากรา่ งกาย
ทอ่ ทางเดินอาหาร (DIGESTIVE TRACT) ลิ้นมีปุม่ รับรส เรยี กวา่ Taste Bud อยู่ 4
มีเย่อื บุ 4 ช้ันเรยี งจากชน้ั ในออกไปส่ชู ัน้ นอก รสหวาน อย่บู ริเวณปลายลน้ิ
รสเคม็ อยบู่ ริเวณปลายลิน้ และข้างลนิ้
Mucosa ทอี่ ยขู่ องตอ่ มตา่ งๆทข่ี บั ้นา้ ย่อย รสเปร้ยี ว อยู่บรเิ วณข้างลิ้น
Submucosa้ทาดว้ ย Areolar tissue รสขม อย่บู รเิ วณโคนลิ้น
เป็นท่ีอยูข่ องเสน้ เลือด เสน้ ประสาทและหลอด
น้าเหลอื ง ฟนั (Teeth)
Muscularis กลา้ มเนอื้ เรียงทับกนั สองช้นั
ชั้นในเซลล์เรียงเป็นวงกลมโดยรอบ (Circular
fold)
ชัน้ นอกเซลล์เรยี งทอดตามแนวยาว
(Longitudinal)
Serosa หรอื Adventitia Fibrous coat
และใต้กระบงั ลมคอื Peritoneum
ตอ่ มน้าลาย (Salivary gland)มี 3 คู่
ต่อม้น้าลายใต้หู (Parotid gland) ใหญท่ ี่สุด มี สว่ นประกอบของฟนั
ท่อเรยี กวา่ Stensen’s duct
• ต่อม้นา้ ลายใตข้ ากรรไกร (Submaxillary or •รากฟนั (Root)
submandibular gland) มีท่อเรยี กวา่ • ตวั ฟนั (Crown)
Wharton’s duct • คอฟัน (Neck)
• ตอ่ ม้น้าลายใต้ลิน้ (Sublingual gland)
• สว่ นประกอบภายในฟนั
ฟนั นา้ นม (Milk teeth)
ฟันแท้ (Permanent teeth) • เคลอื บฟนั (Enamel)
ฟันตดั (Incisor) ฟนั สาหรบั กัด • เนอื้ ฟนั (Dentine)
ฟันฉกี (Canines) ฟันสาหรบั ฉกี • โพรงฟัน (Pulp Cavity)
ฟนั เค้ียว (Premolar) ฟนั สาหรับขบเคย้ี ว • Cement
ฟันกราม (Molar) ฟนั สาหรับเค้ยี วหรือบด
หนา้ ท่ีของหลอดคอ หลอดคอ
-ชว่ ยในการเกดิ เสยี ง แบ่งออกเปน็ 3 สว่ น
-เปน็ ทางผ่านของอาหารจากปากไปสหู่ ลอด • Nasopharynx
อาหาร เมอ่ื กลืนอาหาร หลังช่องจมูกถึงเพดานออ่ น
กลา้ มเน้ือคอหอยจะดงึ กลอ่ งเสยี งข้นึ และ • Oropharynx
ขยายออกเพอื่ รับอาหาร เพดานอ่อนถึงกระดกู โคนลน้ิ (Hyoid bone)
หลงั จากนน้ั กลา้ มเนอ้ื คอหอยจะหยอ่ นตัว้ทา • Laryngopharynx
ให้อาหารเคล่ือนลงสู่หลอด กระดูกโคนลน้ิ ถงึ ขอบล่างของกระดกู Cricoid
อาหาร
หลอดอาหาร (ESOPHAGUS)
เปน็ ท่อประกอบดว้ ยกล้ามเนอื้
วางตวั อย่หู ลงั หลอดลม(Trachea)
ตอ่ มาจากสว่ นปลายของ laryngopharynx
ลอดผา่ นกระบงั ลมเข้าสู่กระเพาะอาหาร
หน้าท่หี ลอดอาหาร
รบั อาหารจากหลอดคอ เพอ่ื ลงไปสกู่ ระเพาะอาหาร
•โดยการบบี รัดตวั ของผนงั กลา้ มเนอ้ื หลอดอาหาร
เรยี กว่า Peristalsis movement
เปน็ อวัยวะต้ังอย่ใู นชอ่ งทอ้ งใตก้ ลา้ มเนอื้ กระ กระเพาะอาหารแบง่ เปน็ 4 ส่วน คือ
บังลม 1. Cardia เป็นสว่ นทอี่ ยรู่ อบรูเปดิ ของหลอดอาหาร
มรี ปู ร่างคล้ายตัวเจ 2. Fundus เปน็ ส่วนกระพงุ้ กลมท่อี ยทู่ างซา้ ยเหนือ
ดา้ นลา่ งเปิดตดิ ตอ่ กบั ้ลาไสเ้ ล็กสว่ นต้น ส่วนต่อ cardia
(Duodenum) 3. Body เป็นสว่ นทีใ่ หญ่ท่สี ดุ อยู่ตรงสว่ นกลางของ
ภายในกระเพาะอาหารมี Gastric fluid กระเพาะอาหาร
และ Mucin 4. Pylorus เปน็ ส่วนทแี่ คบทสี่ ุดอยู่บริเวณปลายล่าง
หลอ่ ล่ืนตลอดเวลา กระเพาะอาหารตดิ ตอ่ กบั ลาไส้เลก็ สว่ น
duodenum