The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักการเรียน anatomy 22(1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by hudna20944, 2021-10-25 03:13:19

หลักการเรียน anatomy 22(1)

หลักการเรียน anatomy 22(1)

ช่องเปดิ ของกระเพาะอาหาร ภายนอกกระเพาะอาหารมีของโคง้ 2 ขา้ ง
• Cardiac Opening ตอ่ กับ 1.Lesser curvature อย่ดู า้ นขวามีเย่อื บชุ ่องทอ้ งหมุ้
เรียกว่า Lesser omentum
Esophagus 2.Greater curvature อยทู่ างด้านซ้าย มีแผ่นเย่ือบุ
• Pyloric Opening ตอ่ กบั ชอ่ งท้องแผล่ งไปคลุม้ลาไสเ้ ล็กและ้ลาไสใ้ หญ่ เรียกว่า
Greater omentum
Duodenum

ผนังประกอบดว้ ยเนอื้ เยือ่ ๔ ช้นั Submucosa : เนื้อเยือ่ ยดึ ต่อที่บรรจหุ ลอดเลอื ด
1. Serosa : ชัน้ นอกสุดเนอ้ื เย่ือยดึ ตอ่ ทมี่ ี เส้นประสาท และหลอด้นา้ เหลอื ง
เนอื้ เย่อื บุคลมุ ทับ Mucosa : หนา้ ท่สี ุด ปกคลมุ ด้วย Surface
2. Muscularis : กลา้ มเนอื้ เรียบ 3 ช้ัน epithelium เปน็ Simple columnar
-ชัน้ นอกสุดเรยี งตวั ตามยาว epithelium
(longitudinal)
-ช้ันกลางเรียงตัวตามขวาง (Circular)
-ชนั้ ในเรียงตัวเป็นแนวเฉยี ง (Oblique)

หนา้ ที่กระเพาะอาหาร

1. เป็นทีพ่ กั และกกั เกบ็ อาหารกอ่ นส่งเข้าลา ลาไส้เลก็ (SMALL INTESTINE)

ไส้

2. สร้างและหลง่ั นา้ ยอ่ ย ซ่ึงประกอบดว้ ย

กรดเกลอื สารเมือกและ

้นา้ ย่อย

•Pepsin
•Renin
•Lipase

3้.ทาหนา้ ท่ีคลุกเคลา้ อาหารให้ผสมกบั

้น้ายอ่ ย โดยการหดรดั ตวั ของ

กล้ามเนือ้ ที่ผนงั กระเพาะ เป็นผลให้อาหาร
อยใู่ นรปู กง่ึ แข็งกงึ่ เหลว

ลาไสเ้ ลก็ (SMALL INTESTINE)

แบ่งเป็น 3 สว่ น คอื ผนงั ของลาไส้เลก็ (SMALL INTESTINE)

1.Duodenum เย่อื บุ้ลาไสเ้ ล็กประกอบดว้ ยเนือ้ เย่อื 4 ชน้ั
•เป็นส่วนทีส่ ั้นท่ีสดุ มรี ปู รา่ งคลา้ ยตวั C -Serosa
-Muscularis
หรอื U -Submucosa มตี ่อมเมอื ก เรยี กว่า Duodenal
(Brunner’s glands) สร้างสารเมือกทม่ี ฤี ทธ์เิ ปน็
2.Jejunum ด่าง
• เปน็ ้ลาไสเ้ ลก็ สว่ นกลาง -Mucosa
• อยบู่ ริเวณช่องท้องตอนบน

3.Ileum
• เป็น้ลาไสเ้ ลก็ สว่ นปลาย บริเวณนี้จะมีลิ้น

เรยี กว่า Ileocecal vale
•อยใู่ นชอ่ งทอ้ งส่วนลา่ ง

หน้าทล่ี าไสเ้ ล็ก •การเคล่อื นไหว (Intestinal motility)

หล่งั้นา้ ย่อยออกมาย่อยอาหาร • Segmental contraction เคลอ่ื นไหวหดตัวเพ่ือ
(Digestive function) คลกุ เคลา้ อาหารกบั ้นา้ ยอ่ ย
ช่วยให้ดูดซึมให้ดขี น้ึ
•Peptidase • Pendular movement การหดตวั แบบวงแหวน
• Lactase เพื่อเคลอ่ื นตัวไปขา้ งหน้า และถอยหลังกลับ
• Sucrase • Peritalsis movement การเคลื่อนแบบลกู คล่นื
• Maltase ช่วยผลักไล่อาหาร
• Intestinal lipase
ลาไสใ้ หญ่(LARGE INTESTINE)

แบง่ เป็น 4 สว่ น คือ

1.Cecum
2. Colon ต่อจาก Cecum แบ่งออกเป็น 4 สว่ น
-Ascending colon
-Transverse colon
-Descending colon
-Sigmoid colon ส่วนโค้งทีม่ ลี ักษณะเปน็ รูปตัว S

เย่ือบผุ นงั ลา้ ไส้ใหญ่ 3. Rectum (ไส้ตรง)
4. Anal canal
Serosa: เยอ่ื บชุ ่องท้องทหี่ ุม้ - Internal anal sphincter กลา้ มเนือ้ เรียบ
-Muscularis: มี 2 ชนั้ กลา้ มเนือ้ ช้ันนอกจะมี ควบคมุ โดยประสาทอตั โนมัติ
การหนาตวั ข้นึ เปน็ แถบตามยาว 3 แถบ เรยี กว่า - External anal sphincter กล้ามเนอ้ื ลาย
Taeniae coli ควบคุมโดยสมอง
-submucosa
-Mucosa ช่วยดูดนา้ และสารละลายบางอย่าง ตบั แบ่งออกเปน็ 4 lobes คือ
กลับคืนเพื่อใหเ้ กิดความสมดลุ ระหว่างนา้ right, left, caudate และ quadrate
lobes
ตบั (LIVER)
หนา้ ท่ีของตับ
เซลล์ตบั มี 2 ชนดิ 1.เปน็ แหล่งเก็บเลอื ด
1. Parenchymal hepatic cells หรือ liver 2้.ทาลายสิ่งแปลกปลอมในกระแสเลือด
cell 3.สรา้ ง้น้าดไี ปช่วยยอ่ ยอาหารไขมนั ใน้ลาไส้
• ขับน้าดี Bile canaliculi เล็กสว่ น Duodenum
Bile ducts 4.สรา้ งสารป้องกันการแข็งตัวของเลอื ด
Hepatic duct (Lt/Rt) 5.เปน็ แหลง่ สะสมวิตามนิ และแรธ่ าตตุ ่างๆ
Common hepatic duct 6.ควบคุม Metabolism ของคาร์โบไฮเดรต
Cystic duct (จากถงุ้นา้ ดี) ไขมนั และโปรตนี
Common bile duct เปิดเข้าส้่ลู าไส้เลก็ 7.สร้างเม็ดเลือด
2. Kupffer cell 8.สลายฮีโมโกลบนิ
• จบั กินและขจดั ส่ิงแปลกปลอมออกจากกระแส 9.ทาลายสงิ่ ที่เปน็ พษิ ตอ่ รา่ งกาย และ้กาจดั
โลหิต แอมโมเนียในเลอื ด โดยเปลีย่ นเปน็ ยเู รยี
สง่ ไปที่ไตเพอื่ กาจดั ออกนอกรา่ งกาย

ตบั อ่อน (PANCREAS)

ตับอ่อนแบง่ เปน็ 3 สว่ นคอื
-ส่วนหัว (Head) วางอยู่สว่ นโคง้ ของ duodenum
-ส่วนคอ (Neck)
-สว่ นตวั (Body)
-ส่วนหาง (Tail) จะจรดกบั มา้ ม

วางตัวอยู่ดา้ นหลังของชอ่ งทอ้ งตรงกระดูก แบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น ตามการ้ทาหนา้ ที่
สันหลงั ระดับเอว -ส่วนหัวติดกับโคง้
Duodenum 1. Exocrine Part สร้าง้นา้ ย่อย (Pancreatic
-ส่วนหางตดิ กับมา้ ม
-ตรงกลางมที ่อเรยี กวา่ Pancreatic duct joice)
้-ทาหน้าที่สร้างน้ายอ่ ยเปดิ เข้า Pancreatic
duct • Trypsin
• Amylase
ถงุ นา้ ดี (GALL BLADDER) • Lypase
• Polypeptidase
• Dipeptidase

2. Endocrine Part สรา้ งฮอร์โมนเรียกว่า Islets

of Langerhans สรา้ งอนิ ซลู นิ

แบ่งออกเปน็ 3 ส่วน หนา้ ทีข่ องนา้ ดี
1.Fundus เป็นส่วนปลายที่มีลักษณะกวา้ ง

2. Body เป็นบริเวณส่วนใหญข่ องถุง้นา้ ดี ดดู ซมึ การยอ่ ยไขมนั
-ขบั สีและของเสียออกนอกรา่ งกาย
3. Neck อยู่ใกลก้ ับ cystic duct -ดูดซมึ วติ ามนึ A และ K
•หนา้ ท่ีเกบ็ ้นา้ ดที สี่ รา้ งมาจากตบั และ้ทาให้ -เป็น Co-enzyme ของ Pancreatic lipase

น้าดีมคี วามเข้มข้นขน้ึ

ท่มี าของภาพ -Bile ชว่ ยควบคุม Cholesteral และยับยั้งการ
้ทางานของ Thromboplastin
https://www.google.com/search?q
https://www.trueplookpanya.com/
learning/detail/30588-043066

ท่มี าของวดิ โี อ

https://www.youtube.com/watch?v=LNyifnp313g

ORGANS OF THE URINARY SYSTE
ระบบขบั ถา่ ยปัสสาวะ

ไต เป็นอวยั วะท่ีทาหนา้ ท่ี kidneys
กรองเลอื ดและกาจดั ของ ureters
เสยี จากกระบวนการเผา urinary bladder
ผลาญของรา่ งกาย อาจ urethra
เป็นพิษ หากสะสมใน
รา่ งกาย และขบั นา้ สว่ นเกนิ
ในรูปนา้ ปัสสาวะ

ท่อไต เป็นท่อท่นี านา้
ปัสสาวะซงึ้ สรา้ งจากไตไป

เก็บท่กี ระเพาะปัสสาวะ

กระเพาะปัสสาวะ เป็น

อวยั วะปัสสาวะกลวง ผนงั

เป็นกลา้ มเนือ้ ท่ยี ืดขยาย

และหดตวั ได้ ทาหนา้ ท่เี ก็บ

นา้ ปัสสาวะจากไตและถ่าย

ออกเม่อื เต็มโดยการ ท่อปัสสาวะ เป็นท่อกลวงที่เป็น
ปัสสาวะ ทางออกของนา้ ปัสสาวะจาก

กระเพาะปัสสาวะสภู่ ายนอก

รา่ งกาย

KIDNEY ANATOMY

renal pyramids
renal cortex

renal capsule
renal medulla

renal pelvis

ureter

KIDNEY ANATOMY

nephron NEPHRON FUNCTIONING

blood

renal artery

renal vein filtration

tubular reabsorption and secretion

efferent arteriole urine “refreshed” blood
glomerulus

Bowman’s capsule Glomerulus DCT

artery proximal convoluted tubule
distal convoluted tubule renal cortex
vein collecting duct PCT

loop of Henle Collecting duct Loop of Henle

peritubular capillaries renal medulla

GLOMERULAR FILTRATION การถา่ ยปัสสาวะ (Micturition)

afferent arteriole น้ำปัสสำวะลงผ่ำน ureters สู่กระเพำะ
ปัสสำวะ จนมปี ริมำณ 250 ccเกิดกำร
glomerulus
Bowman’s capsule ขยำยตวั และไปกระต้นุ stimulate sensory
efferent arteriole nerve-ending ทำให้อยำกถ่ำยปัสสำวะ

กระเพำะปัสสำวะก็จะบบี ตวั เอำปัสสำวะ
ออกมำ

น้ำใสสีเหลืองมีกลนิ่ เฉพำะ ควำมใสขนึ้ กับปริมำณ MALE REPRODUCTIVE SYSTEM
ของน้ำ ในหน่ึงวนั มปี ริมำณ 1200-1500 cc
ส่ วนประกอบ
-น้ำ 95%
-Solids
-organic matter= urea, Creatinine, uric acid
-Inorganic matter= Na, K, Mg, NH3
น้ำปัสสำวะทผ่ี ดิ ปกตจิ ะมี Alb, Glucose,
Acetone, ก้อนนิ่ว หนอง เลือด

MAJOR ORGANS ACCESSORY
ORGANS
อวยั วะสาคญั •Seminal vesicles ถงุ นา้ เชอื้
•Prostate gland ตอ่ มลกู หมาก
อวยั วะเพศภายนอก •Cowper s Gland ต่อม cowper
•penis องคชาต
•scrotum ถงุ อณั ฑะ EXTERNAL SEXUAL ORGANS
โครงสร้างภายในเป็ นทอ่ ตอ่ เน่ือง
•Testes อณั ฑะ Penis
•Epididymis
•vas deferens องคชาต: อวยั วะสืบพนั ธุ์ของผชู้ าย
•ejaculatory duct ทอ่ นา้ อสจุ ิ • องคชาตมีเน้ือเยื่อแขง็ ตวั ท่ีลอ้ มรอบ ท่อปัสสาวะ
•urethra in penis ท่อปัสสาวะในองคชาต เติมเลือดเพ่ือสร้าง an การสร้าง
2 corpus cavernosum (บน)
1 corpus spongiosum
(ส่วนล่างลอ้ มรอบทอ่ ปัสสาวะ)

อถไวุณุงภท้ หาี่ถภยือนูมลอิใูกนกอกรณMSั่าางCรฑกผะRาลยลิตOเูกพสอื่อเTปณัริUรักฑ์มษะาคคือวามเหมาะสม

Internal structures EPIDIDYMIS
form continuous tube
โครงสร้างรูปวงรีท่ีอยู่ ที่ดา้ นบนของอณั ฑะ
TESTIS อณั ฑะ มนั เก็บ สเปิ ร์ม สเปิ ร์มกลายเป็นเคลื่อนไหว ท่ีนี่
โครงสร้างรูปวงรีสองอนั ที่สร้าง สเปิ ร์ม
เซลลอ์ สุจิแตล่ ะเซลลป์ ระกอบดว้ ยเด่ียว VAS DEFERENS
(n)
หมายเลขโครโมโซม ท่อกลวงจากอณั ฑะ ไปที่ทอ่ ปัสสาวะมนั นาสเปิ ร์มจาก
อณั ฑะไปท่ีองคชาต
SPERMATOGENESIS
EJACULATORY DUCT

ท่อจากถงุ น้าเช้ือเชื่อมกบั vas ชะลอการสร้างอุทานส้นั
ทอ่ ท่ีผา่ นตอ่ มลกู หมาก ต่อมและต่อทอ่ ปัสสาวะ

URETHRA

ทอ่ น้าอสุจิเช่ือมตอ่ กบั ทอ่ ปัสสาวะภายในตอ่ มลกู หมาก
ต่อมท่อปัสสาวะเปิ ดออกสู่ภายนอก ผา่ นทางองคชาต

ACCESSORY ORGANS
Seminal vesicles

ถุงน้าเช้ือ (ค)ู่ ต่อมคู่ หลงั ถึงกระเพาะ
ปัสสาวะ
ยาวประมาณ 5 ซม. หลงั่ ของเหลวหนืดสี
เหลืองที่ อดุ มไปดว้ ย
ฟรุกโตส โพรสตาแกลนดิน และอ่ืนๆ
สารอาหารท่ีประกอบดว้ ย ~ 60%
ของ น้าอสุจิ

PROSTATE GLAND

ตอ่ มเลก็ ๆ ท่ีเพิ่ม an ของเหลวอลั คาไลน์
(พ้ืนฐาน)
ตอ่ อสุจิถึง ช่วยแกค้ วามเป็นกรดของ ระบบ
สืบพนั ธุเ์ พศหญิง

COWPER’S GLAND SEMEN (SEMINAL FLUID)

เพ่ิมของเหลวให้กบั ตวั อสุจิ ของเหลวน้ี ช่วยแก้ ส่วนผสมของสเปิ ร์มและสารคดั หลง่ั ของตอ่ ม การ
ความเป็นกรดของ ของระบบสืบพนั ธุ์เพศหญิง ปลดปล่อยโดยทว่ั ไปคือ
3 5 มล. ~ 10% เป็นสเปิ ร์มและ ของเหลวจากท่อ
อสุจิ 30% ของเหลวต่อมลูกหมาก
ของเหลว 60% จากถงุ น้าเช้ือติดตามจาก ตอ่ ม

bulbourethral

ทมี่ าของภาพ

https://www.google.com/search?q
https://meded.psu.ac.th/binla/class02/B9_311_2
81/Anatomy_of_the_Urinary_System/index.ht
ml

ท่มี าของวดิ โี อ

https://www.youtube.com/watch?v=Erov
6zZn09o

https://www.youtube.com/watc
h?v=lwzbtduENhM

Anatomy of Respiratory system ทางเดนิ หายใจสว่ นบน
ระบบหายใจ
ทางเดินหายใจส่วนล่าง
โครงสร้างภายใน
–Conducting zone
–Gross anatomy –Respiratory zone: bronchiole,
–Histology alveoli

โครงสร้างภายนอก ส่วนนอก

–กระดกู ซโี่ ครง •Nasal bone
–กล้ามเนือ้ กระบังลม •Maxilla Bone
–เยอื่ หมุ้ ปอด •กระดกู อ่อน (cartilage)
โครงสร้างภายนอกของ Nasal cavity
ส่วนใน
โครงสร้างภายในของ Nasal cavity
•Turbinate ชว่ ยเพมิ่ พนื้ ทผี่ ิวและ •Etmoid, vomer, maxilla,
ควบคุมการไหลเวียนของอากาศ palatine

โพรงไซนสั (Sinus)
•ทาใหอ้ ากาศอ่นุ และชนื้
•ช่วยในการเปลง่ เสยี ง
•รกั ษาสมดลุ ของศรี ษะ
•ปรบั ความดนั ของอากาศในโพรงจมกู

โครงสร้างของคอหอย (Pharynx) •Nasopharynx อยเู่ หนือเพดานออ่ น มี
โครงสร้างของปอด (Lung) Eustachian tube •Oropharynx อยู่
เหนือฝาปิ ดกลอ่ งเสยี ง
•Laryngopharynx เหนือกระดกู ออ่ น
Cricoid

•ช่วยในการออกเสียง การกลนื และเป็ นทางผ่านของ
อากาศในการหายใจ ป้องกันการสาลัก

โครงสร้างของกลอ่ งเสียง (Larynx)

•ฝาปิดกลอ่ งเสยี ง (Epiglottis)
•กระดกู ออ่ น thyroid
•กระดกู ออ่ น cricoid

•Trachea Histology ของปอด
•Bronchus
•Bronchiole 1.Pneumocyte 1.Type I
•Alveolar duct
•Alveolar sac แลกเปล่ียนก๊าซ, มจี านวนน้อยกว่าแตพ่ นื้ ทผ่ี ิว
•Alveoli
มากกวา่ 2.Type II เป็ น precursor ของ
type I, มจี านวนมากกว่า type I

2.Endothelial cell สร้าง ACE
3.Alveolar macrophage ทาลาย
ส่ิงแปลกปลอม 4.Surfactant อยบู่ น
เย่อื บุของ alveolar สร้างโดย
Pneumocyte type II ป้องการการ
แฟบของถงุ ลมขณะหายใจออก

โครงสร้างภายนอกของระบบทางเดนิ หายใจ – เม่ือก๊าซผา่ นเขา้ ไปในโพรงจมูกและไซนสั
ไซนสั
1.กระดกู ซโี่ ครง (rib) และกล้ามเนือ้ ยดึ อากาศที่หายใจเขา้ ไปจะเกิดความปั่นป่ วน
ซีโ่ ครง ก๊าซในอากาศคือ
• อุน่ ถึงอุณหภมู ิร่างกาย
1.ปกป้องปอดและหวั ใจ • ทาใหช้ ้ืน
2.มี 12 คู่ • ทาความสะอาดฝ่ นุ ละออง
•การแลกเปลี่ยนแก๊ส
2.กระบังลม (diaphragm)
การหายใจ
1.ใชใ้ นการหายใจ • จดั หาออกซิเจนให้ร่างกาย
• กาจดั คาร์บอนไดออกไซด์
3.เยอื่ หมุ้ ปอด •สร้างเสียง
•ปกป้องพ้ืนผิวระบบทางเดินหายใจ
–ป้องกันการเสียดสขี องปอดขณะหายใจ •ไซตส์ าหรับรับกลิ่น

ระบบทางเดินหายใจ Functional Anatomy of the
•หนา้ ที่พ้ืนฐานของระบบทางเดินหายใจ Respiratory System
•การหายใจ (Pulmonary Ventilation)
– การเคล่ือนไหวของอากาศเขา้ และออกจากปอด •อวยั วะระบบทางเดินหายใจ
• การหายใจเขา้ (แรงบนั ดาลใจ) จะดึงก๊าซเขา้ สู่ •จมูก โพรงจมูก และไซนสั พาราไซนสั
ปอด •คอหอย กลอ่ งเสียง และหลอดลม
•การหายใจออก (หมดอาย)ุ บงั คบั ให้ก๊าซออกจาก •Bronchi และก่ิงที่เลก็ กวา่
ปอด •ปอดและถงุ ลม
•การปรับสภาพดว้ ยแก๊ส

Respiration

•การหายใจ
– ตอ้ งเกิดข้ึนส่ีกระบวนการท่ีแตกต่างกนั
•การระบายอากาศในปอด
– เคลื่อนยา้ ยอากาศเขา้ และออกจากปอด
•การหายใจจากภายนอก

– การแลกเปล่ียนก๊าซระหวา่ งปอดกบั เลือด
•Transport
– การขนส่งออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
ระหวา่ งปอดและเน้ือเยื่อ
•การหายใจภายใน
– การแลกเปลี่ยนก๊าซระหวา่ งหลอดเลือดและ
เน้ือเยือ่ ในระบบ

Organs of the Respiratory System Respiratory System

The Nose •ประกอบดว้ ย
•ชว่ ยใหห้ ายใจสะดวกข้ึน •กลา้ มเน้ือทางเดินหายใจ
•เพ่ิมความช้ืนและทาใหอ้ ากาศอนุ่ ข้ึน – กะบงั ลมและกลา้ มเน้ืออื่นๆ ท่ีส่งเสริมการ
•กรองอากาศท่ีหายใจเขา้ ระบายอากาศ
•หอ้ งสะทอ้ นเสียงพดู • บริเวณทางเดินหายใจ
•ตวั รับกลิ่นในบา้ น – บริเวณที่มีการหายใจภายนอก
•ผิวบาง – มีต่อมไขมนั จานวนมาก – หลอดลมทางเดินหายใจ ท่อถุง ถุงถงุ และถงุ ลม
•เขตดาเนินการ
• มีท่อร้อยสายแขง็ สาหรับอากาศไปยงั จดุ
แลกเปลี่ยนก๊าซ
•รวมถึงจมูก โพรงจมูก คอหอย หลอดลม
•ทางเดินหายใจไดร้ ับคาสง่ั 23 ของการแตกแขนง
ในปอด

(สามารถรับชมวดิ โี อเพ่มิ เตมิ เกีย่ วกับปอด
และการแลกเปลยี่ นแก๊สได้ทวี่ ดิ โี อด้านล่างนี)้

The Nasal Cavity •Epithelium คือ pseudostratified

•นเรศภายนอก – รูจมกู ciliated columnar
•หารดว้ ย – ผนงั ก้นั จมกู •เซลลก์ ุณโฑภายในเย่อื บผุ ิว
•หอ้ งโถง - ช่องเปิ ดดา้ นหนา้ • ลามินาโพรพรีเรีย (lamina propria)
•ตอ่ เน่ืองกบั ชอ่ งจมกู •Cilia เคล่ือนเมือกท่ีปนเป้ื อนไปทางดา้ นหลงั
• เยอื่ เมือก 2 ชนิด
•เยื่อเมือกรับกลิ่น - ใกลห้ ลงั คาโพรงจมูก ตวั รับ
กลิ่น (กล่ิน)
•เยื่อบทุ างเดินหายใจ - เสน้ โพรงจมกู

Nasal Cavity •ทางเดินรูปกรวย
•เช่ือมชอ่ งจมกู และปาก
The Paranasal Sinuses •ร่วมกนั โดยระบบยอ่ ยอาหารและทางเดินหายใจ
•แบง่ ออกเป็นสามส่วนตามสถานที่
Figure •ช่องจมกู – ส่วนท่ีเหนือกวา่
•Oropharynx – ตอ่ เนื่องกบั ชอ่ งปาก
The Oropharynx •Laryngopharynx – ระหวา่ งกระดกู ไฮ
•ทางเขา้ เหมือนซุม้ ประตู – Fauces ออยดก์ บั หลอดอาหาร
•ขยายจากเพดานอ่อนไปยงั ฝาปิ ดกล่องเสียง •ประเภทของเยื่อบเุ มือกเปลี่ยนแปลงไปตามความ
•Epithelium - เยอื่ บผุ วิ stratified ยาวของมนั
squamous epithelium
•ตอ่ มทอนซิล 2 ชนิดในชอ่ งคอหอย The Nasopharynx
•ตอ่ มทอนซิลเพดานปาก – ในผนงั ดา้ นขา้ งของ
Fauces •เหนือกว่าจุดที่อาหารเขา้
•Lingual Tonsils – ครอบคลุมพ้ืนผิว •มีเพียงทางเดินอากาศ
ดา้ นหลงั ของล้ิน •ปิ ดระหวา่ งกลืน
•Epithelium ประกอบดว้ ย
ciliated pseudostratified
epithelium ที่เคลื่อนเมือก

Nasal Conchae

• โครงกระดูก 3 คู่ตามผนงั ดา้ นขา้ งของโพรงจมกู
• Conchae จมกู ช้นั ยอดและช้นั กลาง - ส่วน
หน่ึงของกระดกู เอทมอยด์
•รองจมูก - แยกกระดูก
•ฟังก์ชน่ั - อนุภาคเบี่ยงเบนไปยงั พ้ืนผิวที่เคลอื บ
เมือก

The Laryngopharynx

• ทางเดินท้งั อาหารและอากาศ
•Epithelium - เยอื่ บุผวิ stratified
squamous epithelium
•ตอ่ เน่ืองกบั หลอดอาหารและกล่องเสียง

The Larynx Nine Cartilages of the Larynx
•กระดกู ออ่ นต่อมไทรอยด์ – รูปทรงโล่
•ป้องกนั ไมใ่ หอ้ าหารและเคร่ืองด่ืมเขา้ สู่หลอดลม สร้างความโดดเดน่ ของกล่องเสียง
• ช่องทางเดินอากาศ •สร้างเสียง (Adam's apple)
•เช่ือมคอหอยกบั หลอดลม •กระดูกออ่ นขนาดเลก็ สามคู่
• เยื่อบผุ ิวของกลอ่ งเสียง •สความสั แบบแบ่งช้นั •กระดูกออ่ นอาริทีนอยด์
– ส่วนที่เหนือกว่า •กระดกู อ่อน Corniculate
•Pseudostratified เสา ciliated •กระดกู ออ่ นรูปคิวนิฟอร์ม
– ส่วนที่ดอ้ ยกว่า • Epiglottis - เคลด็ ลบั ในการกลืนกิน
•เสน้ เอน็ ของกล่องเสียง •Vocal folds (สาย
เสียงที่แทจ้ ริง) The Larynx
- ทาหนา้ ท่ีในการผลิตเสียง
- •Vestibular folds (สายเสียงเทจ็ ) •ลงมาในประจนั หนา้ •วงแหวนกระดูกออ่ นรูป
- - ไม่มีบทบาทในการผลิตเสียง ตวั C
- •การผลิตเสียง ชว่ ยใหท้ างเดินหายใจเปิ ด
- •ความยาวของเสียงพบั เปลย่ี นตามระดบั เสียง •Carina – เครื่องหมายที่หลอดลมแบ่ง
- •ความดงั ข้ึนอยกู่ บั แรงลมที่พดั ผา่ นชอ่ งเสียง ออกเป็นสองหลอดลมหลกั •เยอื่ บผุ ิว - คอลมั น์
ciliated หลอกเทียม
The Trachea
The Trachea

Bronchi in the Conducting Zone •Bronchial tree - ก่ิงกา้ นของทางเดิน
หายใจ
Tissue Composition of •หลอดลมหลกั (หลอดลมหลกั )
Conducting Zone •หลอดลมที่ใหญท่ ี่สุด
•การเปลี่ยนแปลงตามทางเดิน •หลอดลมหลกั ขวา – กวา้ งและส้นั กวา่ ดา้ นซ้าย
•รองรับการเปลี่ยนแปลงของเน้ือเยอื่ เกี่ยวพนั •รอง (lobar) หลอดลม •สามทางขวา
•วงแหวนรูปตวั ซี - หลอดลม, หลอดลมปฐมภมู ิ •สองทางซ้าย •หลอดลมในระดบั ตติยภมู ิ (แบ่ง
•แทนที่ดว้ ยแผน่ กระดูกอ่อน, หลอดลมรอง & ส่วน)
ตติยภูมิ - แตกแขนงออกเป็นแตล่ ะส่วนปอด
•การเปล่ียนแปลงของเยอ่ื บผุ ิว •Bronchioles
•ประการแรก คอลมั น์ ciliated เทียมเทียม
– trachea -หลอดลมขนาดเลก็ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางนอ้ ยกวา่
•แทนที่ดว้ ยเสาธรรมดา - bronchi 1 มม.
•จากน้นั เย่ือบผุ ิวทรงลูกบาศก์อยา่ งง่าย - • หลอดลมฝอยปลาย - เส้นผา่ นศูนยก์ ลางนอ้ ย
หลอดลมและหลอดลมข้วั กวา่ 0.5 มม.
• กลา้ มเน้ือเรียบมีความสาคญั ที่หลอดลม
- ควบคมุ โดย ANS (การหดตวั ของ Lobes and Surfaces of the lungs
หลอดลมและการขยายหลอดลม)
•ปอดขวามีสามแฉก •ปอดซ้ายมี 2 แฉก
•เวา้ บนพ้ืนผิวตรงกลาง = รอยบากของหวั ใจ
•Bronchi เขา้ สู่ปอดที่ hilus
(สามารถรับชมกลไกการหายใจเข้า – ออกใน
รูปแบบภาพเคลอื่ นไหวได้จากวดิ โี อด้านล่างนี)้

The Pleurae

•ถุงสองช้นั ลอ้ มรอบปอดแตล่ ะขา้ ง
•เยอ่ื หุม้ ปอดช้นั นอก
•เย่ือหุม้ ปอดอกั เสบ
•ชอ่ งเยือ่ หุ้มปอด
- ช่องว่างท่ีอาจเกิดข้ึนระหว่างเยอ่ื หุม้ ปอด
- และเยอื่ หุม้ ปอด

- •Pleurae ชว่ ยแบง่ ช่องทรวงอก

- •ส่ือกลาง
- •ชอ่ งเยือ่ หุ้มปอดดา้ นขา้ ง 2 ช่อง

Structures of the Respiratory Zone •ประกอบดว้ ยโครงสร้างแลกเปลี่ยนอากาศ
•หลอดลมทางเดินหายใจ – ก่ิงจากข้วั หลอดลม
•นาไปสู่ทอ่ ถุงลม •นาไปสู่ถุงน้าดี

Structures of the Respiratory
Zone

Features Of Alveoli

•ชนิดเซลลถ์ ุงลม • ตาแหน่งเซลล์ Type I ทมี่ าของภาพ
ของการแลกเปลี่ยนก๊าซและ • เซลล์ Type II
- หลง่ั สารลดแรงตึงผิว •มาโครฟาจ https://www.google.com/searc
•ลอ้ มรอบดว้ ยแผน่ ลามิเนและเสน้ ใยยางยืด h?q
•เชื่อมต่อกนั ดว้ ยรูพรุนของถงุ ลม https://ngthai.com/science/176
17/respirstorysystem/
•พ้ืนผิวภายใน ท่มี าของวิดโี อ
- ไซตส์ าหรับการเคลื่อนไหวของแมคโครฟาจถงุ ฟรี
https://sites.google.com/site/bi
ologyunit6/home/6-1-rabb-
hayci

Anatomy of the Cardiovascular System

เนื้อหา -โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของและหวั ใจ
-โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของหลอดเลือด

•หลอดเลอื ดแดง(artery)
•หลอดเลอื ดดา (vein)
•หลอดเลอื ดฝอย (capillary)

-โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของระบบนา้ เหลอื ง

•หลอดนา้ เหลอื ง
•อวัยวะน้าเหลือง
•การวดั ความดนั โลหิต
•การเจาะเลอื ด
•การวดั คล่นื ไฟฟ้าหวั ใจ

ภาพรวมของระบบไหลเวยี นโลหิต

หวั ใจ •อวยั วะกลา้ มเน้ือส่ีหอ้ ง
•เปรียบไดก้ บั ขนาดของหมดั ปิ ด
•ต้งั อยใู่ นประดู่ •หลงั กระดกู อก
•ระหว่าง 2nd และ 6thribs
•ระหว่าง T5-T8 •เอเพก็ ซ์ – ฐานของหวั ใจ
•ต้งั อยทู่ ี่ช่องว่างระหว่างซี่โครงท่ี 5

ตาแหน่งของหัวใจและล้ินหวั ใจ

ตาแหน่งของหวั ใจ

กาแพงหวั ใจ •Epicardium – ช้นั นอก ปกคลุมหัวใจ
•Epicardium = เซรุ่มเยอื่ หุม้ หวั ใจ •เยอื่ หุ้มหวั ใจ – ถุงหลวมกระชบั รอบหวั ใจ
• กลา้ มเน้ือหวั ใจ – ช้นั หนาหดตวั ประกอบดว้ ย •เยื่อหุ้มหวั ใจท่ีมีเส้นใย – เหนียว หลวม ไม่
เซลลก์ ลา้ มเน้ือหวั ใจ ยดื หยนุ่
• ดิสกอ์ ินเตอร์คาเลตมีจุดเชื่อมต่อหลายชอ่ ง •เยอ่ื หุม้ หวั ใจซีร่ัม
• ใหเ้ ซลลก์ ลา้ มเน้ือหวั ใจทางานเป็นหน่วยเดียว •ช้นั ขา้ งขมอ่ ม: เสน้ ดา้ นในของเยื่อหุ้มเยือ่ หุม้
หวั ใจ
syncytium •Visceral layer: ยึดเกาะนอกหวั ใจ
•ชอ่ งวา่ งเย่ือหุ้มหวั ใจ: ระหว่างช้นั ขา้ งขม่อมและ
• Endocardium – ผนงั ภายในของผนงั อวยั วะภายใน
หวั ใจ •เติมของเหลวเยอ่ื หุม้ หวั ใจ 10-15 มล.
•เน้ือเย่อื บุผนงั หลอดเลือด •ลดแรงเสียดทาน
•ครอบคลุมการคาดคะเนของเน้ือเยอื่ กลา้ มเน้ือ
หวั ใจท่ีเรียกว่า trabeculae Coverings of the Heart

Walls of the Heart กลา้ มเนอ้ื หัวใจ

Atrioventricular Valves วาลว์ Atrioventricular
ลิ้นหวั ใจ •ลิ้นหวั ใจไตรคสั ปิ ด
•อนุญาตให้ไหลเวียนของเลือดในทิศทางเดียว •BtwnR เอเทรียมและโพรง
ระหว่างการไหลเวียน • ลิ้นหวั ใจ 3 แผน่
•วาลว์ Atrioventricular (วาลว์ AV) •เช่ือมต่อกบั กลา้ มเน้ือหวั ใจหอ้ งลา่ งผา่ น
•ยงั มี cuspidvalves chordae tendinae
•ระหว่าง atria และ ventricles •ไบคสั ปิ ดวาลว์ •BtwnL เอเทรียมและโพรง
•Semilunar (วาลว์ SL) •เรียกอีกอยา่ งวา่ ไมตรัลวาลว์ •แผน่ บผุ นงั หวั ใจสอง
•ระหว่าง R ventricle และ แผน่
pulmonary arteries
และ L ventricle และ aorta เลือดไปเล้ียงหวั ใจ •ขวาและซ้าย
•เอออร์ตาสาขาแรก • หลอดเลือดหวั ใจตีบขวา
Semilunar Valves หลอดเลือดแดงส่วนชายขอบขวา และหลอดเลือด
หวั ใจตีบหลงั
เซมิลนู าร์วาลว์ • หลอดเลือดหวั ใจดา้ นซ้าย หลอดเลือดแดงเซอร์
•วาลว์ เซมิลูนาร์ในปอด คมั เฟลก็ ซ์และ หลอดเลือดหวั ใจตีบหนา้
•BtwnR ventricle และ • เลือดส่วนใหญไ่ ปเล้ียงช่อง L
pulmonary trunk •ใน 50% ของประชากร หลอดเลือดหวั ใจตีบ R
•เอออร์ตาเซมิลูนาร์วาลว์ มีความโดดเด่น
•BtwnL ventricle และ aorta

Blood Supply to the Heart

เลือดไปเล้ียงหวั ใจ
• Anastomosis: การเชื่อมตอ่ ระหวา่ งหลอด
เลือดที่ชว่ ย
ใหม้ ีการไหลเวียนของหลกั ประกนั

• มีนอ้ ยระหว่างก่ิงใหญ่ของหลอดเลือดหวั ใจ
•หากมีส่ิงกีดขวางในหลอดเลือดแดงขาดเลอื ด
ขนาดใหญ่จะทาใหเ้ น้ือเย่ือมีขนาดใหญ่ข้ึน
•กลา้ มเน้ือหวั ใจตาย (MI) (หวั ใจวาย)
• Anastomoses มีอยรู่ ะหวา่ งก่ิงที่
เลก็ กวา่ ของหลอดเลือดหวั ใจ R และ L

•หลงั จากเดินทางผา่ นเสน้ เลือดฝอยของหวั ใจ
เลือดจะไหลเขา้ สู่เอเทรียม R
ผา่ นทางหลอดเลือดหวั ใจ

ระบบการนาไฟฟ้าของหวั ใจ Conduction System of the
•บนั เดิล Atrioventricular Heart
•แถมชดุ His .ดว้ ย
•มดั ของเสน้ ใยกลา้ มเน้ือหวั ใจเฉพาะที่มีตน้ กาเนิด ระบบการนาไฟฟ้าของหวั ใจ
จากโหนด AV •โครงสร้างท้งั ส่ีประกอบดว้ ยกลา้ มเน้ือหวั ใจ
•แตกแขนงออกเป็นกิ่ง R และ L ในที่สุดก็ ดดั แปลง
กลายเป็นเส้นใย Purkinje •โหนด Sinoatrial (โหนด SA)
•ขยายเขา้ ไปในผนงั ของโพรงและกลา้ มเน้ือ •เครื่องกระตนุ้ หวั ใจ
• 100 เซลลใ์ นเอเทรียม R ใกลก้ บั ช่องเปิ ดของ
papillary
superior vena cava
•โหนด Atrioventricular (โหนด AV)
• มวลกลา้ มเน้ือหวั ใจเลก็ •ขอบล่างซ้ายของเอเทรียม

R

ประเภทของหลอดเลือด •หลอดเลือดแดง ง

– นาเลือดที่มีออกซิเจนออกจากหวั ใจ
• “ตวั แทนจาหน่าย” •หลอดเลือดแดง:
หลอดเลือดแดงเลก็

•Precapillarysphincters:
ควบคมุ การไหลเวียนของเลือดไปยงั เสน้ เลือดฝอย

Structure of Blood Vessels • Tunica intima – ช้นั ในสุด
•ประกอบดว้ ย endothelium
Tunica adventitia - ช้นั นอกสุด •วาลว์ เซมิลูนาร์มีอยใู่ นเสน้ เลือด
•เน้ือเย่อื เกี่ยวพนั เส้นใย •ถือเรือเปิ ด; • เสน้ เลือดฝอยหนาหน่ึงเซลล์
ป้องกนั การฉีกขาดของผนงั หลอดเลือดขณะ
เคล่ือนไหวร่างกาย
•เสน้ เลือดใหญก่ วา่ เส้นเลือด •ทูนิกา้ มีเดีย – ช้นั
กลาง
• CT . กลา้ มเน้ือเรียบและยืดหยนุ่
•ช่วยใหเ้ รือหดตวั และขยายตวั •หลอดเลือดแดง
ใหญข่ ้ึน

หลอดเลือด

•Artery

•ขนส่ง O2 สเู่ นอื้ เย่อื
•ผนงั หนา มกี ลา้ มเนอื้ เรียบ
•มี Elastic tissue
•แรงดนั สงู

Types of Blood Vessels ประเภทของหลอดเลือด

•Vein – นาเลือดที่ไม่มีออกซิเจนเขา้ สู่หวั ใจ

• ความสามารถในการยืดตวั ไดด้ ี (ความจุ)
• ทาหนา้ ท่ีเป็นแหลง่ กกั เกบ็ : เลือดในวาลว์
จะถูกผลกั ไปขา้ งหนา้ จากแรงดนั ปั๊ม
•Venules: เส้นเลือดเลก็

Types of Blood Vessels หลอดเลือด

•เสน้ เลือดฝอย •Venule
– ระบบหลอดเลือดเปล่ียนเป็นระบบหลอด •Vein
เลือดดา
• “เรือแลกเปล่ียนหลกั ” •ขนส่งวสั ดุเขา้ และ •ผนงั บาง
ออกจากเซลล์ •ความดนั ต่า
•ความเร็วของการไหลเวียนของเลือดลดลงเพื่อ •มีปริมาณเลอื ดสงู สดุ
เพิ่มเวลาในการสมั ผสั •มี ANS มาควบคมุ
•จุลภาค: การไหลเวียนของเลือดระหวา่ งหลอด
เลือดแดง Pulmonary circulation
เส้นเลือดฝอย และหลอดเลือดดา

เสน้ ทางไหลเวียนโลหิต •การไหลเวียนของ
ระบบ
– เลือดไหลจากช่อง L ไปยงั ร่างกาย &
กลบั ไปท่ีหอ้ งโถง R
•Pulmonary Circulation – เลือด
ไหลจากช่อง R
ไปยงั ปอดและกลบั ไปยงั L atrium

Systemic Arteries •Arch of aorta
•Subclavian (L and R)
•Abdominal aorta •Brachiocephalic
•Common iliac •common carotid (L and R)
•External iliac •Axillary (L and R)
•Femoral •Brachial (L and R)
•Popliteal •Radial
•Posterior tibial •Ulnar
•Anterior tibial
•Dorsal pedis

Pulse points

Systemic Veins •Basilic
•Median basilic
•Superior vena cava •Median cubital
•Inferior vena cava •Common iliac
•External jugular •External iliac
•Internal jugular •Femoral
•Brachiocephalic (L and R) •Popliteal
•Subclavian (L and R) •Great saphenous
•Cephalic •Small saphenous
•axillary

เจาะเลือด
•Vein

•Superficial vein

•Intermediate cephalic vein

•Deep vein

ระบบนา้ เหลือง

•ประกอบดว้ ย

•Lymphatic vessel
•Lymphoid tissue

•หนา้ ท่ี

•รักษาสมดุลของน้าในเน้ือเยอื่
•ดดู ซึมไขมนั จากลาไสเ้ ลก็
•ดดู ซึมโปรตีนกลบั สู่หลอดเลือด
•ป้องกันส่ิงแปลกปลอม

Lymphatic system

ทมี่ าของภาพ
https://www.google.com/sear
ch?q
https://sites.google.com/site/s
ystembody302/respiratory_sy
stem
ทมี่ าของวดิ โี อ
https://sites.google.com/site/b
iologyunit6/home/rabb-
hmunweiyn-leuxd-rabb-na-
heluxng-laea-rabb-

Nervous system ระบบประสาท

STRUCTURE OF THE NERVOUS SYSTEM

ระบบประสาทแบง่ ออก 2 สว่ น

1. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system)
ประกอบดว้ ยสมองและไขสนั หลงั

2. ระบบประสาทส่วนปลาย
(Peripheral nervous system)
ประกอบดว้ ย เสน้ ประสาทสมอง (Cranial nerves) 12 คู่
และเสน้ ประสาทไขสนั หลงั (Spinal nerves) 31 คู่

เซลลป์ ระสาท a Neuron

เป็ นเซลลเ์ รา้ ไดด้ ว้ ยกระแสไฟฟ้ าท่ีทา
หนา้ ท่ีประมวลและส่งขอ้ มลู ผ่าน
สญั ญาณไฟฟ้ าและเคมี โดยสง่ ผ่านจดุ
ประสานประสาท (synapse)

Structure of a Neuron

Axon (แกนประสาทนาออก)
Dendrites (ใยประสาทนาเขา้ )

The neuron Axon ของ PNS จะถกู หมุ้ ดว้ ย myelin
Type of neuron sheath ที่สรา้ งจาก Schwann cell และจดุ ที่
เป็ นรอยต่อระหว่าง myelin sheath จะ
เรยี กว่า Node of Ranvier เป็ นบรเิ วณที่สง่
กระแสประสาทได้ เพราะไมม่ ี myelin
sheath ซึง่ เป็ นฉนวนไฟฟ้ า ดงั นนั้ การสง่
กระแสประสาทจึงเป็ นแบบกา้ วกระโดด
(Saltatory conduction)

Unipolar neurons (เซลลป์ ระสาทขว้ั เดียว) Multipolar neurons

เซลลป์ ระสาทที่มี process เดียว (เซลลป์ ระสาทหลายขว้ั )
อาจจะมีแต่ axonไมม่ ี dendrite เช่น
olfactory receptor neurons, rods และ cone เซลลป์ ระสาทที่พบไดบ้ ่อยที่สุด
cells “แอกซอนหน่ึงอนั และ เดนไดรตต์ ้งั แตส่ อง
ของ retina บางครงั้ process ที่ยื่นออกมา ตวั ข้ึนไป
จะแยกเป็ น 2 แขนง เรยี กว่าเป็ น
pseudounipolar neurons ไดแ้ ก่ spinal สง่ สญั ญาณประสาทสมั ผสั ไปยงั ไขสนั
ganglion cell หลงั มกี ระบวนการเดียว นาออกจากโสม
แอกซอนหน่งึ ตวั เดนไดรตห์ นง่ึ อนั
regions within nervous system structures -เซลลร์ บั กล่นิ ของโพรงจมกู เรตินาบาง
อนั ประสาทสมั ผสั ของหชู น้ั ใน
gray matter
บริเวณท่ีมีเซลลแ์ ละเดนไดรตจ์ านวนมาก central nervous tissue

white matter
บริเวณที่มีแอกซอนมากมาย
เพราะแอกซอนถูกหุม้ ดว้ ยสารที่อดุ ม
ดว้ ยไขมนั ที่เรียกว่าไมอีลิน

Nucleus or ganglion motor (efferent) or sensory
ปมประสาท (afferent)

คอลเลก็ ชนั ของร่างกายเซลลป์ ระสาทที่แปลเป็น เส้นประสาทท่ีส่งสญั ญาณจากสมองเรียกวา่
ภาษา มอเตอร์หรือเสน้ ประสาทที่ส่งออกไป
ทอ้ งถ่ินในระบบประสาทส่วนกลางเรียกวา่ เสน้ ประสาทท่ีส่งขอ้ มูลจากร่างกายไปยงั ระบบ
นิวเคลียส ประสาทส่วนกลาง เรียกวา่ ประสาทรับ
ใน PNS กลมุ่ ของเซลลป์ ระสาทเรียกวา่ ปม ความรู้สึก หรือ เสน้ ประสาทอวยั วะ
ประสาท

Tract oR nerve
กลมุ่ ของซอนหรือเสน้ ใยที่พบใน CNS
เรียกวา่ tract PNS จะถกู เรียกวา่
เส้นประสาท

The PNS เสน้ ประสาทโซมาติกเป็นสื่อกลางในการ

PNS แบง่ ออกเป็นสามระบบยอ่ ย คือ โซมาติก เคล่ือนไหวโดยสมคั รใจ ระบบประสาท
ออโตโนมิก และระบบประสาทลาไส้ อตั โนมตั ิยงั แบ่งออกเป็นระบบประสาทข้ี
ท้งั ระบบประสาทอตั โนมตั ิและลาไสท้ างานโดยไม่ สงสารและระบบประสาทกระซิก ระบบ
สมคั รใจ ประสาทซิมพาเทติกถูกกระตนุ้ ในกรณี
เส้นประสาทท่ีออกจากกะโหลกศีรษะเรียกว่า
เส้นประสาทสมองในขณะท่ีเสน้ ประสาทที่ออกจาก ฉุกเฉินเพ่ือระดมพลงั งาน ในขณะท่ีระบบ
ไขสนั หลงั หลงั เรียกว่าเสน้ ประสาทไขสนั หลงั หลงั
ประสาทพาราซิมพาเทติกจะทางานเมื่อ
เย่ือหมุ้ สมอง meninges ส่ิงมีชีวิตอยใู่ นสภาวะผอ่ นคลาย ระบบ
ประสาทลาไสท้ าหนา้ ท่ีควบคมุ ระบบ

ทางเดินอาหาร

Dura matter เป็นช้นั ที่หนาและเหนียว
ที่สุด เรื่องของ Arachnoid Pia เรื่องเป็น
เพราะเป็นบางติดสนิทกบั สมองและสมองสนั
หลงั และเยาะเยย้ ที่เยาะเยย้ เยาะเยย้ เพียล แบริอิ

(pial barrier) ท่ีต้งั ใจและต้งั ใจทาใหเ้ ขา้
ออกระหว่างกระแสเลือดในโซเชียลเดือดกบั
โซเชียลท่ีโซเชียลเน็ตเวิร์ก

โพรงสมอง Vevtricles 2 โพรงสมองท่ี 3 (third ventricle) เป็ นช่อง
เดียวท่ีอย่กู ึง่ กลางระหว่างทาลามสั
เป็ นชอ่ งภายในสมองซ่ึงเป็ นที่อย่ขู อง (thalamus)
น้าเล้ยี งสมองและไขสนั หลงั 3.โพรงสมองท่ี 4 (fourth ventricle) เป็ นชอ่ ง
(cerebrospinal fluid:CSF) ประกอบดว้ ย เดียวท่ีอยใู่ ตซ้ รี เี บลลมั (cerebellum)ภายในมี
1.โพรงสมองดา้ นขา้ ง (lateral นา้ หลอ่ สมองไขสนั หลงั หรอื น้าไขสนั หลงั
ventricle) อย่ใู นซรี บี รมั (cerebrum) มี (Cerebrospinal fluid : CSF)
2 ขา้ ง คือ ขา้ งขวาและขา้ งซา้ ย
ลกั ษณะน้าไขสนั หลงั Cerebrospinal Fluid ( CSF )
นา้ ไขสนั หลงั Cerebrospinal Fluid(CSF)

สรา้ งมาจากคอรอยด์ เพล็กซสั เป็ นของเหลวใสๆ ไหลจากโพรงสมอง
(choroid plexus) และถกู กรองออกจาก ดา้ นขา้ ง (lateral ventricle) แต่ละขา้ งผา่ น
เสน้ เลอื ดในคอรอยด์ เพลก็ ซสั (choroid ชอ่ งของมอนโร (foramen of monro) เขา้ สู่
plexus) เขา้ ไปอย่ใู นโพรงสมอง โพรงสมองท่ี 3 (third ventricle) จากนนั้ จะ
(ventricle) ผา่ นช่องในซรี บี รมั (cerebral aqueduct) เขา้ สู่
โพรงสมองท่ี 4 (fourth ventricle)แลว้ นา้ ไขสนั
นา้ ไขสนั หลงั ที่ไหลเวียนในช่องว่างน้ีจะ หลงั จะผา่ นออกสชู่ อ่ งว่างระหว่างเย่ือหมุ้
นาสารอาหารไปใหเ้ น้ือสมองและไขสนั สมอง (subarachnoid space) ทางชอ่ งของ
หลงั แลว้ นาของเสียเขา้ ส่รู ะบบ ผนงั ในโพรงสมอง 3 ทาง (foramina in the
หมนุ เวียนของหลอดเลือดดาทาง อะแร roof หรอื foramen of Luschka 2 ขา้ งและ
ชนอยด์ วิลไล (arachnoid villi) ต่อไป Magendie's foramen) ไปอยรู่ อบๆสมองและ
น้าไขสนั หลงั ยงั ชว่ ยกนั กระเทือนใหก้ บั ไขสนั หลงั ในบรเิ วณเอวระดบั ที่ 3-4 (L3-L4)
สมองและไขสนั หลงั ดว้ ย หรอื 4-5 (L4-L5) ซง่ึ จะเป็ นบรเิ วณที่แพทย์
นิยมใชเ้ จาะนา้ ไขสนั หลงั

หนา้ ที่น้าไขสนั หลงั Cerebrospinal Fluid( CSF )

Nervous system
Peripheral nervous system

-Cerebral Hemispheres Frontal Lobe
-Gross anatomy of the brain (Cerebral ความคิด ความจา
Hemispheres) การเคลอื่ นไหว การพดู
Parietal Lobe
For a person who writes with their left hand, การรสู้ กึ ตวั การเขยี น
the muscles involved in writing are controlled Temporal Lobe
by____. การไดก้ ลนิ่ การไดย้ นิ
การเขา้ ใจคาพดู ภาษา
Central nervous system Occipital lobe
การมองเห็น หรอื ชว่ ยใน
Brain stem การแปลความหมายภาพ
ควบคมุ การทางานของระบบประสาทอัตโนมตั ิ
แบ่งออกเป็ น 3 สว่ น Pons ทาหนา้ ท่คี วบคมุ การ
Midbrain ทาหนา้ ทีเ่ ป็ นทางผา่ นของเสน้ ใย เคลอ่ื นไหว เป็ นทอี่ ย่ขู องเซลล์
ประสาทท่ีจะไปสสู่ มองสว่ นหนา้ ควบคมุ ประสาทประสานงาน
เกยี่ วกบั การมองเห็น และการไดย้ นิ Medulla Oblongata ทาหนา้ ท่ี
ควบคมุ เกย่ี วกบั การหายใจ การ
เตน้ ของหัวใจ ความดนั เลอื ดการ
ทางานของทางเดนิ อาหาร

Hypothalamus Thalamus
หนา้ ท่ขี อง Hypothalamus
ประสานงานระหว่างระบบประสาท somatic ความรสู้ กึ ปวด รอ้ น หนาว สมั ผสั
ระบบประสาท Autonomic และ ระบบตอ่ มไร้ ชนดิ หยาบ และ ความรสู้ กึ กด แปล
ท่อ เพอ่ื รกั ษาสมดลุ ของรา่ งกาย เชน่ การ ผลไดท้ ี่ระดบั Thalamus
ควบคมุ อณุ หภมู ิ สมดลุ นา้ และสารเคมี ระดบั ความรสู้ กึ เจ็บ อ่นุ เย็น สมั ผสั ชนดิ
ฮอรโ์ มน การหายใจ การเตน้ ของหัวใจ ละเอียด และ การแยกจดุ สมั ผสั
ควบคมุ การหลบั ตนื่ การแสดงออกของ รวมทง้ั proprioception นนั้ แปลผลได้
อารมณ์ ท่ี cerebral cortex

Cerebellum
ควบคมุ การทรงตวั ประสานการทางาน
กบั กลา้ มเน้ือรว่ มกบั motor area of
cerebral cortex
ทาใหม้ ีการเคล่อื นไหวต่อเน่ือง
Central nervous system (spinal cord)

เมื่อตดั ตามขวาง จะเห็นเน้ือประสาท
สีเทา(gray matter)เป็ นรปู ตวั H และมี
เสน้ ประสาททอดอยู่ ส่วนเน้ือ
ประสาทสีขาว (white matter)เป็ น
ทางผา่ นของเซลลป์ ระสาท

Peripheral nervous system มี 31 ค่ ู งอกออกจากไขสนั หลงั แต่ละขอ้
Spinal nerve เสน้ ประสาทไขสนั หลงั จะมีการรวมตวั
ของเสน้ ประสาทจากส่วนต่างๆ ทาให้
เกดิ เป็ นตาข่าย(Plexus) เพื่อท่ีจะไปเล้ยี ง
อวยั วะส่วนลา่ ง เช่น แขน ขา

I Olfactory nerve
II Optic nerve
III Oculomotor nerve
IV Trochlear nerve
V Trigeminal nerve
VI Abducent nerve
VII Facial nerve
VIII Vestibulocochlear nerve
IX Glossopharyngeal nerve
X Vagus nerve
XI Accessory nerve
XII Hypoglossal nerve

Autonomic nervous system

Autonomic Nervous System หรอื ระบบ
ประสาทอตั โนมตั ิ เป็ นระบบประสาท
ส่วนท่ีทาหนา้ ที่ควบคมุ Homeostasis
ของรา่ งกาย ประกอบดว้ ย Sympathetic
และ Parasympathetic

Target organs of ANS ไดแ้ ก่

1.Smooth m. (กลา้ มเน้ือเรยี บของอวยั วะ
ภายใน) เชน่ stomach, intestine,bladder,
uterus, pupil, blood vessels

2.Cardiac m. (กลา้ มเน้ือหวั ใจ) การจาแนกระบบประสาทอตั โนมตั ิ
3.Exocrine glands (ต่อมมีท่อ) เชน่ sweat อาศยั หลกั สาคญั 3 ประการคือ
gland, salivary gland, Lacrimal gland
4.Endocrine glands (ต่อมไรท้ ่อ) เชน่ 1. หนา้ ท่ี
adrenal gland เน้ือเย่ือท่ีถกู ควบคมุ โดย - Sympathetic: ทางานมากตอนใช้
ระบบประสาทอตั โนมตั ิ พลงั งานมาก
- Parasympathetic: ทางานมากตอนใช้
พลงั งานนอ้ ย
2. จดุ เริม่ ตน้
-Sympathetic: ไขสนั หลงั ระดบั
T1 - L3-4
-Parasympathetic: เสน้ ประสาทสมองคู่
3, 7, 9, 10และไขสนั หลงั ระดบั S2– S4

ท่มี าของภาพ

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0
%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E
0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97#/me
dia/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C
:Nervous_system_diagram-en

https://www.google.com/search?q
https://sites.google.com/site/pang22sunee/rabb-prasa

ท่มี าของวดิ โี อ

https://sites.google.com/site/pang
22sunee/rabb-prasa


Click to View FlipBook Version