โครงการ สะพานไม้ไอศกรีม สมาชิกในกลุ่ม นายชัยภัทร โกรธรัมย์ รหัสนักศึกษา 65301211020 นางสาวอริสา เกออร์กเซน รหัสนักศึกษา 65301211027 โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง แผนกวิชาช่างโยธา วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ ปีการศึกษา2566
ก ชื่อโครงการ สะพานไม้ไอศกรีม วัตถุประสงค์ของโครงการ 1. เพื่อให้นักศึกษามีความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มทักษะในการออกแบบ 2. เพื่อให้นักศึกษามีทักษะและความเข้าใจในระบบการถ่ายแรงของโครงสร้าง 3. เพื่อให้นักศึกษาเกิดความสามัคคีและร่วมมือปฏิบัติงานกันเป็นทีม ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์มีความคิดริเริ่มในการออกแบบ 2. ทำให้นักศึกษามีทักษะและความเข้าใจในระบบการถ่ายแรงของโครงสร้าง 3. ทำให้สมาชิกในกลุ่มเกิดความสามัคคีและทำงานร่วมได้เป็นอย่างดี
ข กิตติกรรมประกาศ โครงการวิชาชีพฉบับบนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเนื่องจากได้รับความช่วยเหลืออย่างยิ่งของผู้มีส่วน ร่วมคือ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ อาจารย์กิตติเดช ขันติยวิชัย ซึ่งได้กรุณาให้คำแนะนำที่เป็น ประโยชน์ ตลอดจนชี้แนวทางการปฏิบัติงานด้านวิชาการตลอดมา ขอบพระคุณ อาจารย์กิตติเดช ขันติยวิชัย ที่ได้เอื้ออำนวยสถานที่และอุปกรณ์ และให้ปรึกษา แนะนำ ในการประกอบชิ้นงานตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสมบูรณ์ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา ผู้ซึ่งให้ความรัก ความเมตตา ความห่วงใย และเป็นกำลังใจให้ ผู้จัดทำโครงการจนสำเร็จ ขอบคุณพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคน รวมทั้งเพื่อน ๆ ในกลุ่มและเพื่อน ๆ กลุ่ม สชธ. 21-22 ที่ได้ให้คำแนะนำและเป็นกำลังใจตลอดมา คุณค่าหรือคุณประโยชน์อันเกิดจากโครงการเล่มนี้ ผู้จัดทำขอน้อมบูชาแด่พระคุณบิดา มารดา ครู อาจารย์ที่อบรมสั่งสอน แนะนำ ให้การสนับสนุนและให้กำลังใจอย่างดียิ่งเสมอมา คณะผู้จัดทำ นายชัยภัทร โกรธรัมย์ นางสาวอริสา เกออร์กเซน
ค หัวข้อโครงการ โครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม หน่วยกิต 4 หน่วยกิต นักศึกษา นายชัยภัทร โกรธรัมย์ รหัสนักศึกษา 65301211020 นางสาวอริสา เกออร์กเซน รหัสนักศึกษา 65301211027 อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กิตติเดช ขันติยวิชัย อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ อาจารย์กิตติเดช ขันติยวิชัย หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง แผนกวิชา ช่างโยธา ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ โครงการเรื่องโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม มีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ในการศึกษาทางโครงสร้าง การ ให้นักศึกษาได้ออกความคิดเห็น มีความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มทักษะในการออกแบบ เพื่อให้เกิดความ สะดวกสบายในการเรียนการสอน และให้นักศึกษามีความสามัคคีและทำงานร่วมกันปฏิบัติงานกันเป็น ทีม โครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีม เป็นการออกแบบและ สามารถนำไปทดสอบและตั้งโชว์ตามทฤษฎี ที่ได้ศึกษามา เลือกใช้วัสดุที่แข็งแรงเพื่อให้สามารถทดสอบได้เป็นอย่างดีทนทานต่อการทดสอบ
ง สารบัญ เรื่อง หน้า ใบนำเสนอโครงการ ก กิตติกรรมประกาศ ข บทคัดย่อ ค สารบัญ ง สารบัญรูปภาพ ฉ สารบัญตาราง ญ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของโครงการ 1 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1 1.4 ขอบเขตของโครงการ 2 1.5 ข้อจำกัดของโครงการ 2 1.6 นิยามศัพท์ 2 บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 โครงสะพานไม้ไอศกรีม 3 2.2 ไม้ไอศกรีม 5 2.3 ไม้เสียบลูกชิ้น 9 2.4 กาวร้อน 11 2.5 เทปกาว 12 2.6 เหล็กลวด 14 2.7 สว่าน 18 2.8 คีม 25 2.9 ใบเลื่อย 34 2.10 กิ๊บหนีบกระดาษ 35 2.11 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง 38 2.12 ปลั๊กไฟ 41 2.13 ตลับเมตร 44
จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 2.14 ระดับน้ำ 45 2.15 ไม้บรรทัด 50 2.16 ดินสอ 51 2.17 ขี้เลื่อย 54 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน 3.1 ขั้นตอนการดำเนินงาน 55 3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน 56 3.3 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 60 3.4 แผนการดำเนินงาน 81 3.5 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ 82 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 4.1 ผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ 84 บทที่ 5 สรุปผล วิจารณ์ และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผล 97 5.2 วิจารณ์ 97 5.3 ข้อเสนอแนะ 97 ภาคผนวก 98 ประวัตินักศึกษา 108 เอกสารอ้างอิง 110
ฉ สารบัญรูปภาพ เรื่อง หน้า รูปภาพที่ 2.1 แสดงสะพานไม้ไอศกรีม 3 รูปภาพที่ 2.2 สะพานไม้ไอศครีม 4 รูปภาพที่ 2.3 ไม้ไอศครีม 5 รูปภาพที่ 2.4 ไม้เสียบลูกชิ้น 9 รูปภาพที่ 2.5 กาวร้อน 11 รูปภาพที่ 2.6 เทปกาว 12 รูปภาพที่ 2.7 เหล็กลวด 14 รูปภาพที่ 2.8 สว่าน 18 รูปภาพที่ 2.9 คีม 25 รูปภาพที่ 2.10 คีมปากขยาย 26 รูปภาพที่ 2.11 คีมคอม้า 26 รูปภาพที่ 2.12 คีมปากจิ้งจก 27 รูปภาพที่ 2.13 คีมตัด 27 รูปภาพที่ 2.14 คีมปากแหลม 28 รูปภาพที่ 2.15 คีมปากแบน 28 รูปภาพที่ 2.16 คีมปากกลม 29 รูปภาพที่ 2.17 คีมถ่างแหวน 29 รูปภาพที่ 2.18 คีมถอดสกรู 30 รูปภาพที่ 2.19 คีมย้ำตาไก่ 30 รูปภาพที่ 2.20 คีมเจาะรู 31 รูปภาพที่ 2.21 คีมย้ำหางปลา 31 รูปภาพที่ 2.22 คีมปอกสายไฟ 32 รูปภาพที่ 2.23 คีมปากนกแก้ว 32 รูปภาพที่ 2.24 คีมล็อค 33 รูปภาพที่ 2.25 คีมย้ำเวท 33 รูปภาพที่ 2.26 ใบเลื่อย 34 รูปภาพที่ 2.27 กิ๊บหนีบกระดาษ 35 รูปภาพที่ 2.28 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง 38
ช สารบัญรูปภาพ (ต่อ) เรื่อง หน้า รูปภาพที่ 2.29 ปลั๊กไฟ 41 รูปภาพที่ 2.30 ตลับเมตร 44 รูปภาพที่ 2.31 ระดับน้ำ 45 รูปภาพที่ 2.32 ระดับน้ำ 46 รูปภาพที่ 2.33 ระดับน้ำ 46 รูปภาพที่ 2.34 ระดับน้ำ 47 รูปภาพที่ 2.35 ระดับน้ำ 47 รูปภาพที่ 2.36 ระดับน้ำ 48 รูปภาพที่ 2.37 ระดับน้ำ 48 รูปภาพที่ 2.38 ระดับน้ำ 49 รูปภาพที่ 2.39 ระดับน้ำ 49 รูปภาพที่ 2.40 ไม้บรรทัด 50 รูปภาพที่ 2.41 ดินสอ 51 รูปภาพที่ 2.42 ขี้เลื่อย 54 รูปภาพที่ 3.1 แสดงการออกแบบสะพานไม้ไอศครีม 55 รูปภาพที่ 3.2 แสดงการออกแบบสะพานไม้ไอศครีม 60 รูปภาพที่ 3.3 เตรียมวัสดุอุปกรณ์ 60 รูปภาพที่ 3.4 นำไม้ไอศครีมมาประกอบกัน 61 รูปภาพที่ 3.5 ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาว 61 รูปภาพที่ 3.6 ทำให้ครบทุกส่วนแล้วนำมาต่อกัน 62 รูปภาพที่ 3.7 ถ้าพอดีแล้วให้นำทุกส่วนมาประกอบกัน 62 รูปภาพที่ 3.8 ประกอบทั้งสองข้างเข้ากัน 63 รูปภาพที่ 3.9 สองฝั่งประกอบกันใช้สว่านเจาะ 63 รูปภาพที่ 3.10 ใช้สว่านเจาะโครงสร้าง 64 รูปภาพที่ 3.11 ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบ 64 รูปภาพที่ 3.12 ใช้ขี้เลื่อยอุด 65 รูปภาพที่ 3.13 เลื่อยไม้ส่วนเกินออก 65 รูปภาพที่ 3.14 ประกอบสะพานเข้ากัน 66
ซ สารบัญรูปภาพ(ต่อ) เรื่อง หน้า รูปภาพที่ 3.15 แสดงการออกแบบสะพานไม้ไอศครีม 67 รูปภาพที่ 3.16 แสดงการออกแบบสะพานไม้ไอศครีม 67 รูปภาพที่ 3.17 เตรียมวัสดุอุปกรณ์ 68 รูปภาพที่ 3.18 นำไม้ไอศครีมมาประกอบกัน 68 รูปภาพที่ 3.19 ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาว 69 รูปภาพที่ 3.20 ทำให้ครบทุกส่วนแล้วนำมาต่อกัน 69 รูปภาพที่ 3.21 ถ้าพอดีแล้วให้นำทุกส่วนมาประกอบกัน 70 รูปภาพที่ 3.22 ประกอบทั้งสองข้างเข้ากัน 70 รูปภาพที่ 3.23 สองฝั่งประกอบกันใช้สว่านเจาะ 71 รูปภาพที่ 3.24 ใช้สว่านเจาะโครงสร้าง 71 รูปภาพที่ 3.25 ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบ 72 รูปภาพที่ 3.26 ใช้ขี้เลื่อยอุด 72 รูปภาพที่ 3.27 เลื่อยไม้ส่วนเกินออก 73 รูปภาพที่ 3.28 ประกอบสะพานเข้ากัน 73 รูปภาพที่ 3.29 แสดงการออกแบบสะพานไม้ไอศครีม 74 รูปภาพที่ 3.30 เตรียมวัสดุอุปกรณ์ 74 รูปภาพที่ 3.31 นำไม้ไอศครีมมาประกอบกัน 75 รูปภาพที่ 3.32 ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาว 75 รูปภาพที่ 3.33 ทำให้ครบทุกส่วนแล้วนำมาต่อกัน 76 รูปภาพที่ 3.34 ถ้าพอดีแล้วให้นำทุกส่วนมาประกอบกัน 76 รูปภาพที่ 3.35 ประกอบทั้งสองข้างเข้ากัน 77 รูปภาพที่ 3.36 สองฝั่งประกอบกันใช้สว่านเจาะ 77 รูปภาพที่ 3.37 ใช้สว่านเจาะโครงสร้าง 78 รูปภาพที่ 3.38 ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบ 78 รูปภาพที่ 3.39 ใช้ขี้เลื่อยอุด 79 รูปภาพที่ 3.40 ประกอบสะพานเข้ากัน 80 รูปภาพที่ 4.1 ภาพด้านหน้าของโครงสะพาน 84
ฌ สารบัญรูปภาพ(ต่อ) เรื่อง หน้า รูปภาพที่ 4.2 ภาพด้านข้างของสะพาน 84 รูปภาพที่ 4.3 ภาพด้านบนของสะพาน 85 รูปภาพที่ 4.4 ภาพรวมของสะพาน 85 รูปภาพที่ 4.5 ภาพรวมการชั่งน้ำหนักโครงสะพาน 86 รูปภาพที่ 4.6 ภาพการวางโครงสร้างสะพานบนแท่นรับน้ำหนัก 87 รูปภาพที่ 4.7 ภาพการวางก้อนปูน 87 รูปภาพที่ 4.8 ภาพการวิบัติของสะพาน 88 รูปภาพที่ 4.9 ภาพด้านหน้าของสะพาน 89 รูปภาพที่ 4.10 ภาพด้านข้างของสะพาน 89 รูปภาพที่ 4.11 ภาพด้านบนของสะพาน 90 รูปภาพที่ 4.12 ภาพรวมของสะพาน 90 รูปภาพที่ 4.13 ภาพรวมการชั่งน้ำหนักโครงสะพาน 91 รูปภาพที่ 4.14 ภาพการวางโครงสร้างสะพานบนแท่นรับน้ำหนัก 92 รูปภาพที่ 4.15 ภาพการวางก้อนปูน 92 รูปภาพที่ 4.16 ภาพการวิบัติของสะพาน 93 รูปภาพที่ 4.17 ภาพด้านหน้าของสะพาน 94 รูปภาพที่ 4.18 ภาพรวมการชั่งน้ำหนักโครงสะพาน 94 รูปภาพที่ 4.19 ภาพการวางโครงสร้างสะพานบนแท่นรับน้ำหนัก 95 รูปภาพที่ 4.20 ภาพการวางก้อนปูน 95 รูปภาพที่ 4.21 ภาพการใส่โหลดรับน้ำหนักได้70 กิโลกรัม 96
ญ สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ 3.1 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่ 1 56 ตารางที่ 3.2 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่ 2 57 ตารางที่ 3.3 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่ 3 58 ตารางที่ 3.4 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่ 1-3 59 ตารางที่ 3.5 แผนการดำเนินงานตลอดโครงงาน 81 ตารางที่ 3.6 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ครั้งที่ 1 82 ตารางที่ 3.7 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ครั้งที่ 2 82 ตารางที่ 3.8 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ครั้งที่ 3 83 ตารางที่ 3.9 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ครั้งที่ 1-3 83
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของโครงการ การเรียนการสอนทางด้านงานก่อสร้างมีการสอนเกี่ยวกับการออกแบบโครงสร้างทั้ง ภาคทฤษฎีและปฏิบัติแต่นักศึกษายังไม่สามารถบูรณาการความรู้ต่างๆเข้าด้วยกันและนักศึกษา ไม่ค่อยมีโอกาสในการนำความรู้มาปฏิบัติเพื่อให้เป็นในรูปทำทางแผนกวิชาช่างโยธาจึงได้จัดทำ โครงการแข่งขันสะพานไม้ไอศครีมขึ้น เพื่อให้นักศึกษาได้นำความรู้เกี่ยวกับการออกแบบ โครงสร้างมาประยุกต์ใช้ช่วยให้เกิดการพัฒนาทางความคิดแก่นักศึกษา เกิดการเรียนรู้จากการ ทำงานจริง อีกยังเป็นการเสริมสร้างนิสัย การวางแผนและการทำงานร่วมกันอีกด้วย 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงการ 1.2.1 เพื่อให้นักศึกษามีความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มทักษะในการออกแบบ 1.2.2 เพื่อให้นักศึกษามีทักษะและความเข้าใจในระบบการถ่ายแรงของโครงสร้าง 1.2.3 เพื่อให้นักศึกษาเกิดความสามัคคีและร่วมมือปฏิบัติงานกันเป็นทีม 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.3.1 ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์มีความคิดริเริ่มในการออกแบบ 1.3.2 ทำให้ทำให้นักศึกษามีทักษะและความเข้าใจในระบบการถ่ายแรงของโครงสร้าง 1.1.3 ทำให้สมาชิกในกลุ่มเกิดความสามัคคี และทำงานร่วมได้เป็นอย่างดี 1.4 ขอบเขตของโครงการ 1.4.1 ศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติด้วยตนเอง โดยใช้หลักการทางทฤษฎีตามโครงงาน 1.4.2 วัสดุต่าง ๆ ที่นำมาประกอบโครงสร้างไม้ไอศกรีม 1.4.3 เสนอโครงงานและรายละเอียดของโครงงานการปฏิบัติงานและการแปลผลของ อาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อให้บรรลุตามที่กำหนดไว้
2 1.5 ข้อจำกัดของโครงการ เนื่องจากวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำโครงการบางอย่างมีราคาสูง คณะผู้จัดทำจึงต้องหา วัสดุ อุปกรณ์ที่มีคุณภาพดีคงทนต่อการใช้งาน แต่ราคาไม่สูงมาก เนื่องด้วยผู้จัดทำโครงการมีงบประมาณ ในการจัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างจำกัด แต่คณะผู้จัดทำก็สามารถจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ มาใช้ในการประกอบโครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีม 1.6 นิยามศัพท์ 1.ไม้ไอศกรีม คือไม้ที่ทำมาจากไม้ฉำฉา (จามจุรี,กามปู) 2.กาว คือกาวส่วนใหญ่มีวัสดุผสมหลักคือไพมีเลอร์ (Polymer) 3.ไม้ลูกชิ้น คือไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่มีปลายแหลม 4.สว่าน คือเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ไว้ใช้เจาะสิ่งของต่างๆ เช่นเจาะผนัง ฝ้า ไม้ 5.ลวด คือเครื่องมือที่ใช้รัดวัสดุ เช่น เหล็ก ไม้ หรือรัดวัสดุต่างๆที่สามารถรัดได้
3 บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ข้อกำหนดเครื่องมือการเรียนรู้โครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีมเป็นโครงสร้างที่ทำจากไม้ไอศกรีมเป็นวัสดุ หลัก ที่มีความยาวระหว่างจุดรองรับ (Support)ยอมให้มีส่วนของโครงสร้างยื่นออกจากจุดรองรับ (Support)ทั้งสองข้าง มีความกว้างของโครงสร้างช่วงด้านใน (เท่ากับความยาวของแท่งโลหะ) และมี ความสูงของโครงสร้างตามแบบกำหนดตลอดความยาวของโครงสร้าง ซึ่งในส่วนของระดับ Lower Chord จะต้องอยู่ในแนวระดับเดียวกับจุดรองรับ (Support) ทั้งสองข้าง โดยที่จุดรองรับ (Support) ที่ด้านปลายของโครงสร้างทั้งสองข้าง เป็นจุดรองรับ (Support) ของโครงสร้าง และที่จุดกึ่งกลางของ โครงสร้าง ต้องมีรอยบากที่กึ่งกลางสำหรับแขวนน้ำหนักทดสอบ และมีลักษณะของเครื่องทดสอบที่ใช้ ในการทดสอบการรับน้ำหนักของโครงสร้าง 2.1 สะพานไม้ไอศครีม สะพานไม้ไอศกรีม การสร้างโครงสร้างด้วยไม้ไอศกรีม เป็นรูปแบบหนึ่งของโครงสร้างจำลองนักศึกษาจะต้องนําความรู้ ทางด้านงานก่อสร้างเขามาออกแบบ และดําเนินการประกอบโครงสร้าง โดยกําหนดเป้าหมายให้ โครงสร้างที่สร้างจะต้องสามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด โดยมีระยะโกงตัวของโครงสร้างไม่เกินที่กําหนดไว้ ทําให้เห็นถึงสภาวะการวิบัติจริง ซึ่งเปนประโยชนอยางยิ่ง ต่อผู้เขาร่วมการแข่งขันเป็นการสร้าง จิตสํานึกด้านความปลอดภัยในดานการออกแบบและก่อสร้างโครงสร้าง โดยผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้อง เริ่มต้นจากการศึกษากฎกติกาในการแข่งขันดําเนินการวางแผนงาน รูปภาพที่2.1 แสดงสะพานไม้ไอศครีม
4 วิเคราะห์โครงสร้าง ออกแบบโครงสร้าง วางแผนการก่อสร้าง และก่อสร้างโครงสร้าง ให้มี ประสิทธิภาพสูงสุด และมีความประหยัดวัสดุและเวลาในการก่อสร้าง รูปภาพที่2.2 สะพานไม้ไอศครีม
5 2.2 ไม้ไอศกรีม ไม้ไอศกรีม ไม้ไอศกรีม ทำมาจากไม้ฉำฉา (จามจุรี , ก้ามปู) ต้นจามจุรี หรือมักเรียก ต้นฉำฉา/สำสา หรือ ต้นก้ามปู (Rain tree) เป็นไม้เศรษฐกิจโตเร็วที่ให้เยื่อ และเนื้อไม้ชนิดหนึ่ง นอกจากนั้น เป็นไม้ที่มีกิ่งก้านยาว ปลายกิ่งแตกกิ่งจำนวนมาก ใบมีขนาดเล็กแต่ ดก จนมีลักษณะเป็นทรงพุ่มให้ร่มเงาได้มาก ต้นจามจุรีมีชื่อวิทยาศาสตร์ Samanca Saman (Jacq) Merr. เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีอายุได้นานเป็นร้อยปี มีลำต้นสูงได้มากกว่า 25 เมตร และมีขนาดทรงพุ่มกว้างได้มากกว่า 25 เมตร มักพบทั่วไปตามข้างถนน หัวไร่ ปลายนา และตามสถานที่ราชการต่างๆ นิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงาจาก เรือนยอดที่แผ่กว้าง การให้เนื้อไม้สำหรับทำเครื่องเรือนเนื่องจากมีลวดลายสวย และการปลูกเพื่อ เลี้ยงครั่งเป็นหลัก ประวัติต้นจามจุรี ต้นจามจุรีมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาปลูกครั้งแรกในประเทศไทยจากประเทศพม่า เมื่อประมาณปี 2443 (ค.ศ. 1900) โดยมิสเตอร์เอ็ชเสลด (Mr. H. Slade) ที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมป่าไม้คนแรกของไทย โดยนำไปทดลองปลูกตามข้างถนนของที่ทำการกรมป่าไม้ จังหวัด เชียงใหม่ และบางส่วนได้นำไปปลูกที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งสมัยนั้นยังเรียกชื่อต้นจามจุรีว่า “ต้นกิมบี้” ปัจจุบันต้นจามจุรีมักเรียกเป็นชื่ออื่น เช่น ภาคเหนือ และภาคอีสานมมักเรียก ต้นฉำฉา/สำสา หรือ ต้นก้ามปู และชื่ออื่น เช่น สารสา ก้ามกุ้ง ลัง รูปภาพที่2.3 ไม้ไอศกรีม
6 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 1. ราก และลำต้น รากจามจุรีมีระบบเป็นรากแก้ว และแตกรากแขนงออกด้านข้าง รากแขนงมักแทงออกตามแนวนอน ขนานกับผิวดินในระดับตื้นที่อาจยาวได้มากกว่า 10 เมตร เพื่อเป็นฐานพยุงลำต้นที่มีลักษณะทรงพุ่ม กว้างใหญ่ ลำต้นมี ลักษณะค่อนข้างกลม ไม่สมมาตร แตกกิ่งในระดับต่ำประมาณ 3-5 เมตร กิ่งประกอบด้วยกิ่ง หลัก และกิ่งแขนง เปลือกลำต้นของต้นอ่อนมีสีขาวเทา เมื่อต้นแก่จะมีสีดำเป็นแผ่นสะเก็ด กิ่งอ่อนมีสี ขาวเทา กิ่งแก่มีสีน้ำตาล 2. ใบ ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก โคนใบเล็ก ปลายใบมนกว้าง ประกอบด้วยก้านใบหลัก และ ก้านใบย่อย โดยก้านใบหลักจะแทงออกบริเวณปลายกิ่ง เรียงสลับข้างกัน ก้านใบหลัก 1 ก้าน มีก้าน ใบย่อยประมาณ 4-6 คู่ แต่ละคู่อยู่ตรงข้ามกันบนก้านใบ ก้านใบแต่ละคู่ มีจำนวนใบย่อยแตกต่างกัน ก้านคู่แรกจะมีจำนวนใบย่อยน้อยที่สุด 2-3 คู่ใบย่อย ส่วนก้านใบย่อยคู่ที่ 3-5 จะมีใบย่อยประมาณ 56 คู่ ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม สีเหลือง และสีน้ำตาลตามลำดับจนถึงระยะร่วงของใบ ใบจะแตกออกบริเวณกิ่งแขนงบริเวณปลายยอด ไม่พบใบที่กิ่งหลัก 3. ดอก ดอกจามจุรีเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ที่มีดอกตัวผู้ และดอกตัวเมียในต้นเดียวกัน ดอกออกเป็นช่อ แทง ออกบริเวณปลายกิ่งเหนือซอกใบ มีก้านช่อดอกยาว กลีบดอกสั้นเล็กสีเหลือง เมื่อดอกบานจะแตก ก้านเกสรออกมาให้เห็น เป็นสีสวยงาม ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ที่เป็นเส้นยาวจำนวนมาก เมื่อดอกบาน เกสรจะมีสีขาว และเมื่อแก่ปลายเกสรจะมีสีชมพูสวยงาม 4. ผลหรือฝัก ผลมีลักษณะเป็นฝัก รูปทรงแบนยาว คล้ายฝักถั่ว ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลจนถึงดำเมื่อฝักสุก ฝักแก่กว้างประมาณ 3-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ขอบฝักเป็นแนวตรงเสมอกัน และมีเส้นสีเหลืองตามขอบ ร่องฝักนูนบริเวณที่มีเมล็ด และถูกหุ้มด้วยเนื้อผลสีน้ำตาล และช่วง ระหว่างเมล็ดเป็นร่องที่ประกอบด้วยเนื้อสีน้ำตาลเช่นกัน เนื้อผลจามจุรีมีรสหอม และหวานมาก สามารถนำมารับประทานได้ ประโยชน์จากต้นจามจุรี 1. เนื้อไม้ ใช้นำมาแปรรูปเป็นไม้ก่อสร้างบ้าน ไม้ปูพื้น ไม้ฝ้า ไม้ผนัง คาน ขอบหน้าต่าง หน้าต่าง บาน ประตู และที่สำคัญนิยมใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้หลายชนิด เนื่องจากมีลายไม้ที่สวยงาม และเนื้อไม้
7 แข็งแรง เช่น ทำโต๊ะ เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า เป็นต้น รวมถึงงานแกะสลักประเภทต่างๆ เนื่องจากมีสีน้ำตาล เข้มจนถึงดำ เมื่อขัดจะขึ้นเงามันงามเนื้อไม้ จามจุรีวงนอกจะมีสีขาวเหลือง ด้านในที่เป็นแก่นมีสี น้ำตาลเข้มจนถึงดำ เป็นลายด่างสวยงาม เนื้อไม้มีค่าความแข็งประมาณ 135 กิโลกรัม มีค่าโมดูลัส แห่งการแตกร้าวประมาณ 616 กก./ตร.ซม. น้อยกว่าไม้กะบากที่มีค่า 650 กก./ตร.ซม. และเนื้อไม้ จามจุรีมีค่าความเหนียวเพียง 1.82 กก.-เมตร น้อยกว่าไม้กะบากที่มีค่า 3.57 กก.-เมตร 2. ต้นจามจุรีมีทรงพุ่มกว้าง ใบดก ให้ร่มเงาได้ดีมาก จึงนิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงาตามหัวไร่ปลายนา ข้าง ถนนสำหรับคนเดินทาง สถานที่ราชการสำหรับประชาชน รวมถึงปลูกเป็นไม้ประดับด้วยการตัดแต่ง ไม่ให้มีลำต้นสูง และแตกกิ่งยาวมากนัก นอกจากนั้น ยังใช้เป็นที่เกาะของเฟริน์ และกล้วยไม้ได้ด้วย 3. กิ่งอ่อนของต้นจามจุรีมีเยื่อเปลือกอ่อนที่เป็นอาหารของครั่ง จึงนิยมปลูกสำหรับปล่อยเลี้ยงครั่ง ซึ่ง เป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่มีราคาสูง เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศเป็นอย่างมาก ต้นจามจุรี ที่นิยมใช้เลี้ยงครั่งจะเป็นชนิดดอกสีชมพู เปลือกสีดำ มีใบเขียวเข้ม ชนิดนี้ครั่งจะจับได้ดี และครั่งมี คุณภาพดี เมื่อเก็บครั่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จะให้คุณภาพในชั้น A และ B เป็นส่วนใหญ่ ผลิตครั้งได้ 5-10 กิโลกรัม/ต้น ที่อายุต้นประมาณ 6 ปี หากต้นมีตั้งแต่ 10 ปี อาจได้มากกว่า 20-50 กิโลกรัม/ต้น ส่วนชนิดอื่นก็สามารถใช้เลี้ยงได้เช่นกัน แต่อาจมีผลผลิตที่ต่ำกว่าเล็กน้อย 4. เนื่องจากต้นจามจุรีเป็นพืชในตระกูลถั่ว ใบมีสารอาหารหลายชนิดจึงนิยมนำมาเป็นอาหารสัตว์ เช่น วัว ควาย สุกร แพะ แกะ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังใช้ร่วมกับฝักแก่สำหรับเป็นอาหารสัตว์ เนื่องจากฝักมีรสหวานเป็นที่ชอบของสัตว์บางชนิด เช่น โค กระบือ 5. ฝักแก่ สามารถนำมาหมักเป็นเหล้าหรือผลิตแอลกอฮอล์ได้ โดยฝักแก่ที่มีขนาดใหญ่ 100 กิโลกรัม สามารถผลิตแอลกอฮอล์ได้มากกว่า 11 ลิตร 6. ฝักแก่ นำเอาเมล็ด และเปลือกออก เหลือเฉพาะเนื้อฝักใช้รับประทานเป็นอาหาร ให้รสหอมหวาน มาก รวมถึงนำมาต้มหรือชงเป็นชาดื่มก็ได้ คุณค่าทางอาหารของฝัก และเมล็ดแก่ วัตถุแห้ง – ฝักไม่มีเมล็ด 81.51% – เมล็ด 86.50% เถ้า – ฝักไม่มีเมล็ด 4.01% – เมล็ด 4.30% เส้นใย – ฝักไม่มีเมล็ด 9.43% – เมล็ด 14.00%
8 โปรตีน – ฝักไม่มีเมล็ด 9.64% – เมล็ด 31.6% 7. มีการศึกษาพบสารพิธทิโคโลไบ ในกลุ่มของสารอัลคาลอยด์ ที่พบมากในเปลือก แก่น ใบเปลือกฝัก และเมล็ด เมื่อนำมาสกัดจะได้ฤทธิ์ทำลาย และกดปลายประสาท ใช้ทำยาสลบ 8. ใบที่ร่วงจากต้นจามจุรี หากกวาดกองรวมกันจะได้จำนวนมาก นำมาใช้ประโยชน์ทำเป็นปุ๋ยหมัก หรือนำไปโรยใต้ต้นไม้ โรยตามไร่ นา ช่วยเป็นปุ๋ยแก่พืชได้ 9. ลำต้น และกิ่ง ใช้ทำฟืนให้พลังงานสำหรับหุงหาอาหารในครัวเรือน สรรพคุณต้นจามจุรี 1. ราก นำมาต้มดื่ม รักษาอาการท้องร่วง นำมาฝนทาแผล รักษาแผลอักเสบ เป็นหนอง 2. ฝักหรือผลสุก นำมารับประทาน ช่วยบำรุงร่างกาย 3. ใบนำใบสดมาต้มน้ำดื่ม หรือตากแห้งใช้ชงเป็นชาดื่ม ช่วยรักษาโรคท้องร่วง 4. เปลือกต้น มีรสฝาด นำมาต้มน้ำดื่มรักษาโรคท้องเสีย ท้องร่วง แก้ริดสีดวงทวารหนัก ใช้ฝนหรือบด ทารักษาแผล แผลติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ใช้รักษาแก้โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน นำมาเคี้ยวช่วยลด อาการเหงือกบวม แก้ปวดฟัน 5. เมล็ด มีรสฝาด นำมาต้มน้ำดื่มรักษาโรคท้องเสีย ท้องร่วง ใช้ฝนหรือบดทารักษาแผล แผลติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ใช้รักษาแก้โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน
9 2.3 ไม้เสียบลูกชิ้น หลายคนคงเคยกินลูกชิ้นปิ้ง/ต้ม ไก่ย่างที่เสียบไม้ แต่หลายคนก็คงไม่รู้ว่าขั้นตอนการทำไม้เสียบ ลูกชิ้น/ไม้ปิ้งไก่เค้าทำกันยังไง ว่ากว่าจะได้ไม้เสียบลูกชิ้นแต่ละขนาดเค้าใช้ไม้อะไรมาทำแล้วต้องกัน แบบไหนใช้เวลานานมั้ย วันนี้จะพาไปดูขั้นตอนการทำในแต่ละขั้นตอนถึงแหล่งทำไม้ปิ้งไก่ ไม้เสียบ ลูกชิ้นกัน เริ่มกันด้วยต้นไผ่ เลือกไผ่ที่ขนาดพอดี ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป ตัดไผ่มาเป็นลำ ๆ จัดการเลื่อยไม้ให้ เป็นปล้อง ๆ ตามขนาดที่ต้องการ ที่นิยมคือตั้งแต่ 5-10 นิ้ว แล้วแต่างคนสั่งต้องการแบบไหนมาก แบบไหนน้อยก็จะมีออร์เดอร์เข้ามาในแต่ละรอบการผลิต หลังจากได้ไม้เป็นปล้อง ๆ แล้วก็ถึงขั้นตอนการผ่า ถ้าเป็นไม้เสียบลูกชิ้นก็ผ่าให้เป็นชิ้น ๆ ตามขนาด แล้วเสี้ยมปลายให้แหลม เอาไปตากแดด ประมาณ 2 วัน แล้วนำมาปั่นเอาเสี้ยนออกส่วนให้หมดไม้ปิ้ง ไก่ก็ผ่าส่วนที่เอาไว้เสียบไก่ แล้วนำไปตากแดดเช่นกัน ขั้นตอนต่อมาก็คือการนับ มัด ใส่กระสอบรอคน ซื้อมารับซื้อไป ซึ่งการซื้อขายก็จะมีคนมารับซื้อถึงที่เป็นเจ้าประจำกันไป แต่ก็มีบางครั้งที่จะมีขาจร แวะเวียนมาสั่งบ้างบางโอกาส ก็จะเห็นได้ว่ากว่าจะได้ไม้เสียบลูกชิ้น/ไม้ปิ้งไก่ ไม่ง่ายเลย ทุกขั้นตอนคืองานทำมือ ทีละขั้นทีละตอน จนมาเป็นไม้ปิ้งไก่ ไม้เสียบลูกชิ้นให้เราใช้กัน ข้อแนะนำเวลากินหมดแล้วถ้าเป็นไม้เสียบลูกชิ้นให้หัก แล้วมัดรวมกันหลายๆอันก่อนค่อยทิ้งถังขยะ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการจัดเก็บของคนที่มี หน้าที่ดูแลความสะอาดด้วย การทำไม้เสียบลูกชิ้น/ปิ้งไก่ครั้งนี้ ทำกันที่ต.บางประมุง อ.โกรกพระ จ.นครสวรค์ ถือเป็นอาชีพเก่าแก่ ที่ชาวบ้านแถวนี้ทำกันมานาน แต่ปัจจุบันก็เหลือคนทำไม่มากแล้ว ด้วยราคาค่าทำก็ไม่ได้มาก คนรุ่น ใหม่ ๆ ก็คงจะไม่มีใครทำกันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าใรอนาคตการทำไม้ปิ้งไก่ ไม้เสียบลูกชิ้นในพิ้รที่จะเป็นอย่าไร รูปภาพที่2.4ไม้เสียบลูกชิ้น
10 แต่อย่างน้อยตอนนี้คนในพื้นที่ ที่ยังทำไหวก็ยังยืนยันว่าจะทำอาชีพนี้กันต่อไป ก็ถือเป็นตัวอย่างหนึ่ง ของการสร้างงาน ส่งเสริมอาชีพในชุมชน ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็คงแตกต่างกันไป ยังมีอีกมากมายหลาย อาชีพให้เราได้เรียนรู้ศึกษากัน
11 2.4 กาวร้อน กาวร้อนหรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า ไซยาโนอะคริเลต(cyanoacrylate) เป็นกาวประเภทแห้งเร็ว มีลักษณะเป็นน้ำใส มักจะมีคนถามกันมาว่า กาวร้อน ต่างกับกาวตราช้างอย่างไร ทั้ง 2 ตัวมีสารตั้งต้นเป็นตัวเดียวกัน แต่ ต่างกันที่วิธีการผลิต ทำให้ กาวร้อนจะมีลักษณะเป็นน้ำเหลวมากกว่ากาวตราช้าง กาวตราช้างจะมี ลักษณะเป็นเนื้อเจลหนืด และจะแห้งช้ากว่ากาวร้อน กาวตราช้างเมื่อโดนร่างกายจะไม่ร้อน ต่างกับ กาวร้อน คุณสมบัติของกาวร้อน มีการยึดติดสูง และมีสถานะเป็นน้ำ ทำให้สามารถซึมและยึดติดได้กับพื้นผิวที่หลากหลาย และยึดติด ได้แนบสนิท สามารถใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของงานซ่อมแซม ไปจนถึงงานประดิษฐ์ ต่างๆ กาวชนิดนี้เป็นอีกกาวหนึ่งที่เรียกว่ากาวอเนกประสงค์จริงๆ ไม่ว่าจะใช้ติด งานเซรามิก งานไม้ งานซ่อมแซมสิ่งของต่างๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้กับเนื้อยาง หรือพลาสติกบางชนิดและไม่ควรใช้กับ สิ่งของที่ต้องโดนน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้กาวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ข้อควรระวัง กลิ่นแรงและฉุน ระวังไม่ให้กาวสัมผัสผิวหนังโดยตรงจะเกิดความร้อนในช่วงที่กำลังแข็งตัว ควร ระมัดระวังไม่ให้โดนส่วนต่างๆ ของร่างกาย แม้จะสามารถล้างออกด้วยน้ำได้แต่ก็ต้องใช้เวลา พอสมควร ดังนั้นควรสวมถุงมือ และ หน้ากากขณะใช้งาน และ ระวังไม่ให้เด็กสัมผัสหรือเล่นกาวเป็นอันขาด รูปภาพที่2.5 กาวร้อน
12 2.5 เทปกาว รูปภาพที่ 2.6 เทปกาว “เทปหนังไก่” หรือ ที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “เทปกาวย่น” คือ เทปกาวที่ผลิตจากกระดาษเนื้อ บางๆ เคลือบผิวด้านหนึ่งด้วยกาวที่มีค่าการยึดเกาะต่ำสามารถลอกออกได้โดยไม่ทิ้งคราบกาวไม่ ทำลายพื้นผิว สามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนจนถึงอุณหภูมิสูงๆได้เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดย นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Richard Gurley Drew ในปี 1925 ซึ่งตอนนั้นเขาได้ทำงานให้กับบริษัทที่ผลิต กระดาษทรายที่ใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ แห่งหนึ่งเขาได้ออกสำรวจศูนย์รถเพื่อทดลองกระดาษ ทรายและพบว่าช่างต้องทำสีรถเป็นแบบ 2 สี (Two-Toned) และมีปัญหารอยต่อสีเหลื่อมทับกันจึงได้ เห็นถึงปัญหาและได้กลับไปที่แลปใช้เวลากว่า 2 ปี เพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์เทปหนังไก่/เทปกาวย่นที่ช่วย ให้เราใช้ชีวิตในปัจจุบันได้ง่ายขึ้น เราจึงสามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานจากการทาสีหรือพ่นสีได้ สะดวกสบายมากขึ้น – เทปหนังไก่/เทปกาวย่น ทาสีบ้าน ใช้เพื่อทาบตัดขอบ ประตู, หน้าต่าง, ขอบเสา, ขอบพื้น, ขอบเพดาน เป็นต้น – เทปกาวหนังไก่/เทปกาวย่น พ่นสี เฟอร์นิเจอร์ ทำลวดลายเพิ่มสีสันให้งานเฟอร์นิเจอร์ เช่น ขอบขาโต๊ะหรือทำลายขนาดใหญ่โดยใช้บล๊อกลายวาง ทาบเพื่อติด กันลายบล็อกเคลื่อน – เทปกาวหนังไก่/เทปกาวย่น พ่นสีรถยนต์ ตัดขอบเข้าโค้งงานพ่นสีในอุตสาหกรรมรถยนต์สามารถเข้าอบสีได้และทนความร้อนสูง – เทปหนังไก่/เทปกาวย่น ติดสันปกหนังสือ
13 มีหลากหลายสีสันใช้ติดสันปกเพื่อช่วยในการจดจำและแยกประเภท – เทปหนังไก่/เทปกาวย่น ตัดขอบงานเขียนแบบระบายสี งานเขียนแบบไม่มีเกินขอบระบายได้เนี๊ยบสีไม่มีเลอะ – เทปหนังไก่/เทปกาวย่น ตกแต่งงานศิลปะการ์ด DIY งานศิลปะต่างๆใช้ตกแต่งเพิ่ม Gimmick ให้กับชื้นงานได้ – เทปหนังไก่/เทปกาวย่น ติดกล่องแพ็คสินค้า หลีกเลี่ยงการใช้เทปพลาสติกหันมาใช้เทปกระดาษ Friendly กับโลกมากกว่า -เทปหนังไก่/เทปกาวย่น มาร์คจุดบอกตำแหน่ง การระบุตำแหน่งโดยการใช้เทปสีช่วยนำสายตาไปยังจุดที่ต้องการเพื่อใช้ประโยชน์ในการบ่งชี้ -เทปหนังไก่/เทปกาวย่น ป้ายชื่อระบุข้อความ ใช้แสดงความเป็นเจ้าของโดยการเขียนข้อความลงบนเทปและแปะลงบนวัตถุสิ่งของต่างๆ -เทปหนังไก่/เทปกาวย่น จิปาถะ การใช้งานอเนกประสงค์ได้ตามต้องการตามสถานการณ์ของผู้ใช้งาน เช่น ม้วนเทปกาวด้านเหนียวติด การเพื่อซับฝุ่น หรือ ใช้ในงานซ่อมด่วนเพื่อต่อด้ามไม้กวาดให้ติดกันชั่วคราวก่อนซ่อมจริงเป็นต้น Masking Tape ชื่อในภาษาอังกฤษของ “เทปหนังไก่” หรือ “เทปกาวย่น” สืบเนื่องมาจากการใช้งาน ของ “เทปหนังไก่” หรือ “เทปกาวย่น” ในยุคแรกๆที่ใช้งานโดยการปิดทับเพื่อไม่ให้สีที่ทาหรือพ่นโดน จุดที่ไม่ต้องการเรียกกว่าการ Mask off ตัดขอบในการทาสีทำให้ได้ขอบที่คมชัดจึงเรียกว่า Masking Tape ส่วนคำว่า “เทปหนังไก่” หรือ “เทปกาวย่น” ที่ใช้เรียกกันในภาษาไทยสัมพันธ์กับรูปลักษณ ภายนอกของเทป เนื่องจากตัวเทปนั้นมีลักษณะเป็นกระดาษที่ผิวไม่เรียบ มีความย่น คล้ายกับหนังไก่ จึงถูกเรียกว่า “เทปหนังไก่” หรือ “เทปกาวย่น” มาจนถึงปัจจุบัน Tips 1. ควรเลือกเกรด “เทปหนังไก่” หรือ “เทปกาวย่น” ให้เหมาะสมกับงาน เช่น งานพ่นสีอบสีควร เลือกใช้รุ่นที่ทน อุณหภูมิสูงได้ 80 องศาขึ้นไป 2. การเลือกหน้ากว้างของ “เทปหนังไก่” หรือ “เทปกาวย่น” แนะนำเป็นขนาดกว้างมาตรฐานไซส์ 1 /2 / 3 นิ้ว เพราะหาซื้อง่ายไม่ต้องสั่งตัด Cut Size ให้เสียเวลา 3. “เทปหนังไก่” หรือ “เทปกาวย่น” เหมาะสำหรับงานตกแต่ง ทำสีในอู่ซ่อมรถยนต์ โรงงาน เฟอร์นิเจอร์ งานศิลปะ และงานตกแต่งอาคารต่าง ๆ รวมไปถึงงานแพ็คสินค้าด้วย
14 2.6 เหล็กลวด รูปภาพที่2.7 เหล็กลวด เหล็กลวด (Wire rod) คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กรูปทรงยาวที่ผลิตมาจากการรีดร้อนเหล็กแท่ง (billet) ลักษณะหน้าตัดของเหล็กลวดมีได้ทั้งแบบกลม (round) สี่เหลี่ยม (square) หกเหลี่ยม (hexagonal) ฯลฯ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งาน โดยทั่วไป เหล็กลวดจะนำไปผลิตต่อด้วยการดึงเย็น (cold drawn) เพื่อผลิตเป็นลวดเหล็กกล้า (steel wire) ที่มีผิวเรียบขึ้น สำหรับนำไปใช้ในงานต่างๆ ใน อุตสาหกรรมต่อเนื่องต่อไป เช่น ผลิตตะปู ตะแกรง น็อต สกรู ลวดเชื่อม ลวดเสริมยางรถยนต์ เป็น ต้น เหล็กลวดสามารถแบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายทางได้เป็น 6 กลุ่มดังต่อไปนี้ 1.เหล็กลวดสำหรับผลิตลวดเหล็กใช้งานทั่วไป (General use) เหล็กลวดกลุ่มนี้เป็นเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ (JIS G3505; SWRM) ซึ่งจะนำไปผ่าน กระบวนการดึงเย็นเพื่อลดขนาดจากเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5.5-19 มม ให้เหลือ 0.1-18 มม. เพื่อ ผลิตเป็นลวดเหล็กคาร์บอนต่ำ (JIS G3532; SWM) แล้วนำไปชุบสังกะสีเพื่อป้องกันการเกิดสนิม (หรืออาจไม่ชุบก็ได้) จากนั้นจึงนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป เช่น นำไปทุบหัวและทำคม สำหรับผลิตตะปู (Nail) หรือ นำไปทำการเชื่อมเพื่อผลิตตะแกรงลวดเหล็กกล้าเสริมคอนกรีต (Wire mesh) ตะแกรงลวด (Sieve Screen) ลวดหนาม (Barbed wire) และรั้วที่ทำจากลวดเหล็ก (Wire fence)
15 2.เหล็กลวดสำหรับผลิตลวดเชื่อม (Welding wire) เหล็กลวดกลุ่มนี้ ได้แก่ JIS G 3503 เกรด SWRY 11 (คาร์บอนสูงสุด 0.09%) และ SWRY 21 (คาร์บอน 0.10-0.15%)ซึ่งเกรดที่ใช้ส่วนใหญ่คือ SWRY 11 โดยนำไปดึงเย็นเพื่อผลิตเป็นลวด เหล็กกล้าสำหรับใช้ผลิตลวดเชื่อม ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ Metal Inert Gas (MIG) และ Cover Electrode ลักษณะสำคัญของเหล็กลวดในกลุ่มนี้ต้องมีปริมาณสารมลทินต่ำ ความสม่ำเสมอของ ส่วนผสมทางเคมีที่สูงและต้องควบคุมปริมาณซัลเฟอร์ ให้ไม่เกิน 0.023% (JIS Handbook : Ferrous Material & Metallurgy II 2001, Japanese Standards Association) 3.เหล็กลวดสำหรับผลิตสลักภัณฑ์ (Fastener) เหล็กลวดกลุ่มนี้มีการใช้งานหลากหลายมาก โดยนำไปดึงเย็นแล้วขึ้นรูปเย็นเป็นชิ้นงานที่ อุณหภูมิห้อง โดยจะทำให้ส่วนหัวมีขนาดใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ หลังจากนั้นอาจนำไปทำการชุบสังกะสี เพื่อเพื่อป้องกันการเกิดสนิม (หรืออาจไม่ชุบก็ได้) เหล็กลวดที่นำมาผลิตต้องมีโครงสร้าง และส่วนผสม ที่สม่ำเสมอ ปริมาณสารมลทิน (inclusion) ต่ำ เพื่อให้มีความสามารถในการดึงขึ้นรูปเย็นที่ดี โดยมี อัตราการลดขนาดที่สูง ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ แป้นเกลียว (Nut) สกรู (Screw) สลัก (Bolt) หมุด เหล็ก (Rivet) หมุด (Pin) พรุกฝังปูน (Anchor) ตาปูหัวใหญ่ (Stud) ปลอก (Sleeve) ซึ่งมีการใช้งาน มากในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล และโครงสร้างงานเหล็ก ต่างๆเหล็กลวดที่ใช้ได้เแก่ เหล็กลวดคาร์บอนสำหรับงานทุบขึ้นรูปเย็น (JIS G 3507; SWRCH) โดยมี ปริมาณคาร์บอนไม่เกิน 0.50% กลุ่มเหล็กลวดสำหรับผลิตสลักภัณฑ์สามารถแบ่งกลุ่มตามส่วนผสมได้ เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ • SWRCH6R-17R Rimmed Steel ซึ่งกระบวนการผลิตจะทำการหล่อเป็นเหล็กแท่ง ใหญ่ (Ingot) และทำการรีดเพื่อลดขนาดเป็นเหล็กแท่งเล็กและทำการผลิตเป็นเหล็ก ลวดต่อไป ลักษณะผลิตภัณฑ์จะมีคุณสมบัติในการลดขนาดได้ง่าย • SWRCH6A-22A Aluminium killed Steel โดยกระบวนการกำจัดออกซิเจนใน เหล็กในขั้นตอนการผลิตเหล็กกล้าจะใช้อลูมิเนียมในการรวมตัวกับออกซิเจนซึ่งต่าง จาก Killed Steel ที่ใช้ Si ในการกำจัดออกซิเจนเนื่องจาก Si มีผลในการลด คุณสมบัติในการลดขนาด
16 • SWRCH10K-50K Killed steel ใช้ Si ในการกำจัดออกซิเจนเนื่องจาก Si มีผลใน การลดคุณสมบัติในการลดขนาด จึงมีความเหมาะสมสำหรับกระบวนการมี เปอร์เซ็นต์การลดขนาด (Reduction) ไม่มาก 4.เหล็กลวดสำหรับนำไปผลิตลวดเหล็กคาร์บอนสูงสำหรับงานก่อสร้าง เหล็กลวดกลุ่มนี้ได้แก่ เหล็กลวดคาร์บอนสูง ซึ่งจะนำไปดึงเย็นเพื่อผลิตเป็นลวดเหล็ก 3 กลุ่ม คือ • ลวดเหล็กกล้าคาร์บอนสำหรับคอนกรีตอัดแรงชนิดเส้นเดี่ยว (Steel wire for prestressed concrete) จะทำหน้าที่ในการเสริมแรงในคอนกรีต เช่น ใช้ในการทำ หมอนคอนกรีตรถไฟ เป็นต้น • ลวดเหล็กกล้าคาร์บอนสูงสำหรับคอนกรีตอัดแรงชนิดตีเกลียว (PC Strand) จะ นำไปตีเกลียวเพื่อใช้ในงานคอนกรีตอัดแรงขนาดใหญ่ • เชือกลวดเหล็กกล้า (Wire rope) ซึ่งจะนำลวดเหล็กไปตีเกลียวจนกลายเป็นเชือก ลวด สำหรับนำไปใช้ทำ cable และงานลวดด้านต่างๆ 5.เหล็กลวดสำหรับนำไปผลิตสปริง เหล็กลวดกลุ่มนี้ ได้แก่ เหล็กลวดคาร์บอนสูง และเหล็กลวดเปียโนซึ่งจะนำไปดึงเย็นเพื่อผลิต เป็นลวดเหล็ก 2 กลุ่ม คือ - Hard drawn steel wires (JIS G 3521; SW-B, C) และ Oil tempered wire for mechanical springs (JIS G 3560; SWO-A, B) โดยผลิตจากเหล็กลวด คาร์บอนสูง - Piano wire (JIS G 3522; SWP_A, B, V) และ Oil tempered wire for valve springs (JIS G 3561; SWO-V) โดยผลิตจากเหล็กลวดเปียโน สิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงสำหรับ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ คือ ส่วนผสมทางเคมีที่มีถูกต้อง และมีปริมาณสารมลทินต่ำ นอกจากนี้ต้องไม่มีรอย ตำหนิ หรือข้อบกพร่องที่ผิว เนื่องจากจะมีผลต่อคุณสมบัติเชิงกลในการใช้งานอย่างมาก สปริงที่ผลิต ได้มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ สปริงที่ให้แรงเมื่อเกิดแรงอัด (Compression spring) สปริงที่ให้แรงเมื่อ เกิดแรงดึง (Tensile spring) และสปริงที่ให้แรงเมื่อเกิดแรงบิด (Torsion spring) โดยสปริงเหล่านี้จะ ถูกนำไปใช้ในงานต่างๆ เช่น สปริงในส่วนประกอบของรถยนต์ เครื่องจักรต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า เตียง นอน ฯลฯ เป็นต้น
17 6.เหล็กลวดสำหรับนำไปผลิตลวดเหล็กเสริมยางรถยนต์ เหล็กลวดกลุ่มนี้ ได้แก่ เหล็กลวดเปียโน ที่ถูกนำไปดึงเย็นหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้ลวดเหล็กที่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางในช่วง 0.15-0.38 มม. ซึ่งจะนำไปผลิตต่อเป็น Bead Wire สำหรับช่วยยึด โครงสร้างของยาง และ Tyre Cord สำหรับเสริมหน้ายางเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรง ซึ่งใช้ใน งานผลิตล้อรถต่างๆ รวมถึงล้อเครื่องบินด้วย และในชั้นคุณภาพที่รองลงมาสามารถใช้ในงานในการ เสริมความแข็งแรงในวัสดุยางอื่นฯ เช่น ท่อยางไฮโดรลิกแรงดันสูง สายพานยางขนาดใหญ่ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ต้องผ่านการดึงขึ้นรูปสูง และต้องการความแข็งแรงสูงมาก ดังนั้นจึงต้องการเหล็ก ลวดคาร์บอนสูง และต้องมีความสะอาดสูงมาก โดยทั้งธาตุผสมตกค้าง และสารมลทินในปริมาณที่ต่ำ มาก และคุณภาพผิวของเหล็กลวดต้องดีมากเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการดึงเย็น
18 2.7 สว่าน สว่านเป็นเครื่องมือช่าง ชิ้นสำคัญในการทำวัสดุให้มีรูกลมเพื่อใช้ในการยึดกับวัสดุหนึ่งเข้ากับ อีกวัสดุ โดยใช้วัสดุสิ้นเปลืองคือ ดอกสว่าน เป็นตัวกระทบวัตถุทั้งนี้สว่านเองยังมีหลายประเภท รวมทั้งซึ่งการ ออกแบบนั้นก็จะขึ้นอยู่กับการใช้งาน บางรุ่นสร้างมาเพื่อขันก็ยังมี บางรุ่นทั้งขันทั้งตอกก็มี สว่านมี ลักษณะมากมายหลายแบบและมีความแตกต่างทั้งในเรื่องของ ความเร็ว ขนาด กำลัง แต่ละแบบจะมี ตัวตนและ คาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันไป ในขณะนี้สว่านเป็นเครื่องมือช่างที่สำคัญที่สุดเครื่องมือหนึ่ง โดยเฉพาะสว่านไร้สายที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ซึ่งสวนทางกับสว่านไฟฟ้าที่กำลังได้รับ นิยมลดลงไปเรื่อย ๆนั่นเอง โดยทั่วไป สว่านจะใช้ในงานไม้ งานเหล็ก งานก่อสร้าง งานประกอบชิ้นส่วน รวมไปถึงงานที่พิเศษเช่น งานอวกาศ และงานด้านการแพทย์ อีกด้วย ประวัติศาสตร์ของ สว่าน ประวัติศาสตร์ของสว่านเกิดขึ้นเมื่อ 35,000 ปีก่อน คริสตกาลโฮโมเซเปียนส์ มีการค้นพบประโยชน์ใน การเจาะจากเครื่องมือที่สร้างด้วยหินรูปทรงปลายแหลมที่สามารถหมุนได้ โดยใช้มือหมุนไปกลับเพื่อ เจาะรูทะลุ วัสดุอื่นๆ นี่คือบรรพบุรุษของสว่านอย่างแท้จริง โดยต่อมาได้ประยุคในการใช้งานจาก วัฒนธรรมยุคโบราณเรื่อยมา โดยได้ทำการเปลี่ยนวัสดุต่างๆในการใช้งานเช่น กระดูกงาช้าง เขากวาง ทำให้มีการใช้เทคนิคนี้กันทั่วโลกในยุคโบราณ รูปภาพที่2.8 สว่าน
19 โดยหลังจากนั้น สว่านแบบ machine drills เครื่องแรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้น จาก Bow drill เนื่องจากว่าเครื่องมือชนิดนี้ได้ใช้กลไกลทำให้ดอกสว่านเคลื่อนที่แบบหมุนโดยสายของเครื่องมือซึ่ง เป็นกลไกลที่ทำให้การเจาะวัสดุมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยสว่านแบบ Bow drill ได้รับการพัฒนา ให้ เป็นเครื่องมือในการจุดไฟในเวลาต่อมา ในที่สุดเมื่อมาถึงยุค โรมัน สว่านก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยสิ่งประดิษฐ์นี้มีชื่อว่า Pump drill ตัวเครื่อง มือนี้เอง เป็นสว่านที่หมุนในแนวตั้งโดยความแม่นยำของสว่านนั้นได้ถูกพฒนาขึ้นจากตัวมูเล่ที่มี ศูน ถ่วงกดลงมานั่นเอง Pump drillPump drill ในราวศตวรรษที่ 13 ได้มีการพฒนารูปแบบของดอกสว่านให้มีลักษณะ ปลายแบบ กลวงเพื่อการเจาะวัสดุเฉพาะส่วนนอกของมันทำให้เหลือส่วนที่เป็นวัสดุด้านในออกมา ด้วยนี่คือต้นกำเนิดของดอกสว่าน HOLE-SAW นั่นเอง ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบวิธีประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้สว่านติดกับ มอเตอร์ได้กำเนิดขึ้น เมื่อมีการคิดค้น สว่านไฟฟ้า ออกมาจาก Arthur James Arnot หลังจากนั้น สว่านไฟฟ้าก็ได้รับการพัฒนารูปทรงเรื่อยมาจนมีการปรับรูปทรงให้คล้ายกับปืนพก โดยในช่วง ศตวรรษนี่เอง สว่านได้พัฒนารูปแบบให้สร้างขึ้นสำหรับงานเฉพาะเจาะจงในหลากหลายมิติ สว่าน แบ่งรูปแบบได้ดังนี้ โดยในรูปแบบของสว่านอาจจะมีการต้องการพลังงานที่แตกต่างกันเช่น สว่านไฟฟ้า สว่านลม หรือ สว่านเครื่องยนต์ที่ใช้ในงานเจาะดิน ระบบสว่านกระแทกส่วนมากจะใช้ในงานเจาะวัสดุแข็ง เช่น ปูน อิฐ รวมไปถึงสว่านที่มีลักษณะใหญ่เช่นบ่อขุดเจาะน้ำมัน โดยสว่านที่มือถือได้บางจำพวกยังสามารถ นำมาขันสกรูเพื่อวัสดุได้อีกด้วย - สว่านมือ - สว่านไฟฟ้า - สว่านไร้สาย - สว่านกระแทก - สว่านโรตารี่ - สว่านแท่น โดยสว่านที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อซึ่งแตกต่างกันไปอาทิ เช่น - สว่าน bosch - สว่าน makita
20 - สว่าน dewalt - สว่าน milwaukee ประวัติของ สว่านไฟฟ้า ในยุคปัจจุบัน สว่านไฟฟ้า เป็นของใช้ในบ้านและการก่อสร้างทั่วไป วันและเวลาของ สว่านไฟฟ้าได้ ผ่านไปแล้วแม้ว่าบางครั้งจะตอบสนองวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ส่วนใหญ่ถูกแทนที่ ด้วยสว่านไฟฟ้ารุ่นไร้สาย วัตถุประสงค์ดั้งเดิมของสว่านไฟฟ้า คือการเจาะหิน โลหะ หรือไม้ ในช่วง หลายปีที่ผ่านมาการใช้งานนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญแต่การใช้งานมันนั้นมีการขยายตัว มากขึ้น สว่านไฟฟ้า มีหลายประเภท เช่น สว่านไฟฟ้าประเภท Bore Drill ซึ่งใช้เฉพาะเจาะรูง่ายๆ สว่านไฟฟ้าประเภทนี้ดำเนินการพัฒนาในประเทศอียิปต์ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล และสว่าน ไฟฟ้าประเภท Auger ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นและใช้ในยุคโรมันและยุคกลาง อย่างไรก็ตาม ฉันจะมุ่งเน้นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสว่านไฟฟ้าที่เราคุ้นเคย สว่านไฟฟ้า การเชื่อมต่อมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับ สว่านไฟฟ้า เราให้เครดิตกับชาวออสเตรเลียคู่หนึ่ง คือ Arthur Arnot และ William Brain สำหรับการเชื่อมต่อ และรวมสว่านไฟฟ้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 1889 ทำให้สว่านไฟฟ้ามีอายุ มากกว่า 125 ปี เพียงแค่ห้าปีต่อมามีบุคคลหนึ่งที่มีแนวคิดจะใช้สว่านไฟฟ้าและออกแบบให้พอเหมาะ กับมือของผู้ใช้และทำให้สะดวกต่อการพกพา Germans Wilhelm และ Carl Fein ประเทศเยอรมนี ได้รับเครดิตสำหรับแนวคิดวิวัฒนาการดังกล่าว นอกจากนี้สวิตช์สั่งงาน (Trigger switch) และสว่าน ไฟฟ้า ด้ามปืนพกถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1917 โดย Black& Decker ซึ่งอาจทำให้คุณประหลาดใจ มอเตอร์สว่านไฟฟ้า Black & Decker วิวัฒนาการของสว่านไฟฟ้า นี้นำมาซึ่งการออกแบบจำนวนมากสำหรับสิ่งที่แนบมาที่สามารถใช้กับ สว่านไฟฟ้า สิ่งนี้ปรับปรุงความเอนกประสงค์และฟังก์ชันการทำงาน ปัจจุบันนี้ไม่เพียงแค่เจาะรูอีก ต่อไปสว่านไฟฟ้าสามารถใช้เป็นเครื่องขัดกระดาษทราย (Orbital sander) และเลื่อยไฟฟ้า (Power saw) และสว่านไฟฟ้าแทนที่จะใช้งานโดยช่างไม้ แต่ปัจจุบันช่างประปาและช่างไฟฟ้าก็สามารถใช้งาน สว่านไฟฟ้าได้เช่นกัน Black & Decker พัฒนาเทคโนโลยีของสว่านไฟฟ้าอีกครั้งโดยการสร้างสว่านไฟฟ้าไร้สายใน ค.ศ. 1961 เป้าหมายหลักสำหรับการใช้ คือ การใช้เกี่ยวกับด้านพาณิชย์และอุตสาหกรรม (มีผู้อ้างว่า Makita ผู้ผลิตเครื่องมือชาวญี่ปุ่นสร้างสว่านไฟฟ้าไร้สายเครื่องแรกใน ค.ศ. 1978 ซึ่งอาจเป็นความ จริงเท่าที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเครื่องแรกที่เปิดเผยต่อประชาชนทั่วไป) แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่สร้างความ ประทับใจให้กับเราในปัจจุบัน แต่สำหรับบุคคลกลุ่มอื่นๆเช่นผู้รับเหมาผู้ซึ่งทำงานกับ สว่านไฟฟ้าที่
21 หลากหลายเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลายเทคโนโลยีนี้จึงเป็นสิ่งยิ่งใหญ่มากในสถานที่ก่อสร้างมี ปลั๊กไฟไม่มากนักดังนั้นเพื่อให้ช่างไม้มืออาชีพมีเครื่องมือช่างพร้อมใช้งานทุกเมื่อที่ต้องการช่วย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย อีกปัจจัยหนึ่งที่เปลี่ยนวิธีการที่ผู้คนใช้สว่านไฟฟ้าคือความก้าวหน้าของ แบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าแบบพกพา กำลังไฟฟ้าสว่านไฟฟ้าที่มีอยู่เริ่มจาก 4.8 โวลต์ใน ค.ศ. 1960 เป็น 9.6 โวลต์ใน ค.ศ. 1980 และปัจจุบันเรามีกำลังไฟฟ้า 36 โวลต์และสูงกว่า บริษัทรายใหญ่ที่ผลิต สว่านไฟฟ้าแม้ว่าจะมีผู้คนและ บริษัท จำนวนไม่น้อยที่ได้รับการคัดเลือก (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Black&Decker) ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการพัฒนาสว่านไฟฟ้า แต่ก็มี บริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่งที่พัฒนาสว่านไฟฟ้าและวางไว้ในมือของทุกคน Raymond DeWalt ก่อตั้ง บริษัท DeWalt Power Tool ที่มีชื่อเสียงในเมืองบอลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ใน ค.ศ. 1923 ซึ่งจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ สว่านไฟฟ้า ที่ทนทานและน่าเชื่อถือมากที่สุดในตลาด ในปีเดียวกันนั้นบริษัท Milwaukee Electric Tool ถูกสร้างขึ้นโดย A.F. Siebert ซึ่งเป็นผู้ผลิตสว่านไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดอีกรายหนึ่ง และใน ค.ศ. 1924 เราเห็นบริษัท Michel Electric Hand Saw เข้าสู่ตลาดด้วยชื่อแบรนด์Skil สว่านไฟฟ้าไม่มีประวัติเครื่องมือไฟฟ้าขนาดเล็กที่จะสมบูรณ์หากไม่รวมแบรนด์Sears Craftsman ซึ่งเริ่มต้นใน ค.ศ. 1927 ในขณะที่ร้านค้าปลีกแบรนด์นี้ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าที่เคยมีมา แต่แบรนด์นี้ยังคง เป็นส่วนสำคัญของวิวัฒนาการของสว่านไฟฟ้า นี่คือจุดสำคัญบางประการในการพัฒนาสว่านไฟฟ้าในประวัติศาสตร์ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มี อิทธิพลต่อการออกแบบและการสร้างสว่านไฟฟ้าที่เรารู้จักในปัจจุบัน แต่การนำเข้าสู่ตลาดและความ นิยมเกิดขึ้นจากบริษัทหลายแห่งที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสว่านไฟฟ้า ความก้าวหน้าเหล่านั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีการใช้ ไฟฟ้าและพลังงานแบตเตอรี่กับอุปกรณ์ สว่านไร้สาย คือสว่านใช้แบตเตอรี่ สว่านไร้สาย คือ สว่านที่ไม่ต้องอาศัยปลั๊กไฟ(ใช้แบตเตอรี่ในการให้พลังงาน) ส่วนใหญ่สว่านไร้สายจะ มีหัวจับแบบไม่ใช้กุญแจในการขันหรือเรียกอีกอย่างว่าจำปา แม้ว่าช่วงแรกๆจะใช้ก็ตามแต่ปัจจุบัน หา ได้ค่อนข้างยาก คุณสมบัติ สว่านไร้สาย สว่านไร้สาย ยุคปัจจุบันมีให้เลือกแรงดันไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ มักจะเริ่มต้นที่ 12 โวลต์ 18 โวลต์ โดยปัจจุบันนิยมใช้ แบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน เป็นหลัก สว่านไร้สายรุ่นที่ใหญ่กว่า อาจมีฟังก์ชั่น ที่ทำ ให้สว่านกระแทกได้นอกเหนือจากการหมุน เดินหน้าและเดินถอยหลัง สว่านรุ่นที่สูงขึ้นไปอาจมีระบบ
22 ควบคุมความเร็วการหมุนของรอบสว่านจากสวิทช์ และมีระบบคลัทช์ช่วยในการขันสกรู รวมทั้ง มอเตอร์แบบไร้แปรงถ่าน วัตถุประสงค์ของ สว่านไร้สาย หน้าที่หลักของสว่านไร้สาย คือการหมุน “ ดอกสว่าน” ที่เป็นอุปกรณ์เสริม โดยดอกสว่านจะมีหลาย รูปแบบเพื่อรองรับ การเจาะและตัดวัสดุที่ต่างกันไป อีกทั้งดอกสว่านก็ยังมีอีกหลายขนาด สิ่งที่ สามารถใช้ได้นอกเหนือดอกสว่านคือ ดอกขันสกรู หรือดอกไขควง สว่านไร้สาย ได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้พกพาได้สะดวก และมีขนาดเล็กพอที่จะเข้าไปในสถานที่ยากลำบาก รวมทั้งสถานที่ที่ไม่มีไฟฟ้า ประวัติ สว่านไร้สาย สว่านไร้สายพัฒนามาจากสว่านไฟฟ้าโดย บริษัท Black and Decker ในปี 1960 โดยเริ่มใช้ แบตเตอรี่ NI-Cad เป็นพลังงานหลักในการขับมอเตอร์ หลังจากนั้นได้พัฒนามาเป็นแบตเตอรี่ แบบ ลิ เธียม ไอออน และมอเตอร์แบบไร้แปรงถ่านเป็นลำดับ สว่าน (Drill) เครื่องมือช่างไฟฟ้าสำหรับเจาะรูบนวัสดุหลากหลายประเภท ถือเป็นเครื่องมือสารพัด ประโยชน์ที่ไม่จำกัดเฉพาะช่างมืออาชีพ และควรมีติดบ้านไว้ใช้งานเพื่อความสะดวกสบายในการต่อ เติมซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน ซึ่งในปัจจุบันการเลือกซื้อสว่านที่มีหลากหลายประเภทอาจสร้างความ สับสนให้ผู้ใช้งานได้HomeGuru จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักว่าสว่าน คืออะไร มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับงานเจาะชนิดไหน มีวิธีเลือกซื้อสว่านและวิธีการใช้สว่านให้ปลอดภัยอย่างไร ดอกสว่าน คือ อะไร รวมทั้งประเภทดอกสว่านชนิดต่างๆ ที่สำคัญกว่าที่คิด ซึ่งทั้งหมดถูกรวบรวมมา ไว้ในบทความนี้แล้วครับ ประเภทของสว่าน หากแบ่งตามการใช้งานจริงๆ นั้นมีหลากหลายมาก ตั้งแต่แบบมือถือไปจนถึงแบบตั้งโต๊ะขนาดใหญ่ แต่วันนี้HomeGuru จะขอพูดถึงสว่านแบบมือถือที่หลายคนคุ้นตากันครับ สว่านไขควงไฟฟ้า มีกำลังไม่สูงมากนัก มีทั้งแบบไร้สาย ใช้แบตเตอรี่ และใช้ถ่าน หน้าที่หลักคือการไข สกรู จึงมีระบบควบคุมแรงบิดและรอบหมุน สามารถกลับทางหมุนได้ เพื่อให้เหมาะกับทั้งการไขสกรู และการคลายสกรู สว่านไฟฟ้า มีกำลังประมาณ 300 – 550 วัตต์ เหมาะกับงานเจาะไม้ เหล็ก และพลาสติก หรือวัสดุที่ ไม่หนามากนัก ข้อดีคือมีสายไฟ จึงสามารถใช้งานอย่างต่อเนื่องได้
23 สว่านกระแทกไฟฟ้า มีกำลังประมาณ 550 – 720 วัตต์ ใช้การทำงาน 2 ระบบ คือระบบธรรมดา และ ระบบกระแทกที่ทำหน้าที่เหมือนค้อน ช่วยในการเจาะปูนแบบก่อฉาบ สว่านโรตารี่ มีกำลังตั้งแต่ 650 วัตต์ ขึ้นไป แบ่งออกเป็นแบบ 2 ระบบ คือระบบเจาะและระบบ กระแทก กับแบบ 3 ระบบ ที่มีทั้งระบบเจาะ , ระบบกระแทก และระบบสกัด เพื่อช่วยสกัดหน้าปูน เพิ่มขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นสว่านเจาะปูนโดยเฉพาะ สว่านไร้สาย หรือสว่านแบตเตอรี่ เนื่องจากไม่ใช้ไฟฟ้าจึงสะดวกเมื่อต้องใช้งานนอกสถานที่ หรือบนที่ สูง เหมาะกับงานเจาะไม้, เหล็ก หรือขันน๊อต แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง เพราะต้อง คอยชาร์จหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่นั่นเอง ประเภทของดอกสว่าน อุปกรณ์ที่หลายคนอาจมองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่า ชนิดดอกสว่านเจาะ มีผลต่อวัสดุที่ต้องการเจาะ และ อายุการใช้งานของอุปกรณ์มากกว่าที่คิด - ดอกสว่านไฮสปีด – ดอกสว่านเจาะเหล็ก , สแตนเลส ผลิตจาก Carbon Steel ผสมธาตุที่ให้ ความแข็ง เช่น โครเมียม มีคุณสมบัติแข็ง เหนียว ทนต่อการแตกร้าว สามารถเจาะด้วย ความเร็วสูง สามารถเจาะไม้, กระเบื้อง , เหล็ก , โลหะ , ทองแดง , อลูมิเนียม และ พลาสติก - ดอกสว่านคาร์ไบด์ – ดอกสว่านเจาะเหล็กแข็ง ผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งมาก จึงสามารถ เจาะวัสดุที่มีความแข็งได้แม่นยำและหลากหลาย สามารถใช้เจาะปูน – คอนกรีตได้ วิธีการใช้สว่านให้ปลอดภัย แต่งกายให้รัดกุม สวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น แว่นตา , ถุงมือ , ผ้าปิจมูก พับแขนเสื้อให้เรียบร้อย งดใส่ เครื่องประดับบริเวณมือ • ตรวจสอบอุปกรณ์ก่อนใช้งาน ทั้งตัวอุปกรณ์และสายไฟ • เลือกประเภทอุปกรณ์ให้ตรงกับประเภทงาน • ขันดอกสว่านให้แน่น ไม่แกว่งหรือเคลื่อนที่ขณะใช้งาน • หากต้องการเจาะวัสดุที่ต้องการให้ทะลุ ควรนำวัสดุมารองรับเสมอ • หากต้องการเจาะวัสดุที่ขยับได้ ควรล็อควัสดุให้แน่นหนาก่อน • ก่อนเจาะทุกครั้งควรใช้เหล็กตอกนำศูนย์ตรงจุดที่ต้องการเจาะ
24 • จับอุปกรณ์ให้กระชับและตรงจุด ขณะเจาะควรออกแรงกดให้สัมพันธ์กับการหมุนของ อุปกรณ์ วิธีเลือกซื้อสว่าน - เลือกซื้อจากกำลังไฟฟ้า จำนวนวัตต์สูงๆ นอกจากจะมีกำลังในการเจาะมากแล้ว ยังสามารถ ใช้งานต่อเนื่องได้มากกว่า แต่ยิ่งจำนวนวัตต์มากก็จะยิ่งมีน้ำหนักมากกว่า และกินไฟมากกว่า ด้วย - เลือกจากความต้องการใช้งาน หากไม่ต้องการใช้งานหนัก สว่านไฟฟ้าก็เพียงพอสำหรับซื้อติด บ้านไว้ครับ แต่หากใช้งานหนัก สว่านกระแทกหรือโรตารี่ก็ตอบโจทย์ - เลือกจากพื้นที่ในการใช้งาน หากต้องใช้งานในพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าเป็นประจำ หรืออยากพกไว้ติด รถยามฉุกเฉิน สว่านไร้สายถือเป็นตัวเลือกที่ดี
25 2.8 คีม คีม (Pliers) คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับ บีบ บิด ยึด คีบ จับ ตัด ดัด งอโค้ง วัสดุตามความ ต้องการ เช่น โลหะแผ่นบาง สายไฟ ท่อขนาดเล็ก เส้นลวด ซึ่งคีมแต่ละประเภทได้รับการ ออกแบบมาให้ใช้งานเฉพาะทาง และมีรูปร่างกับโครงสร้างที่ต่างกันไป แต่จะมี 2 ขา คล้าย กรรไกร ที่เหมือนกัน คีมมีกี่แบบ คีมถูกออกแบบมาให้ใช้ในงานที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่คีมอเนกปรงสงค์ที่ใช่ได้หลากหลาย รูปแบบ ไปจนถึงงานที่เฉพาะทางมากๆเช่น งานถอดหัวเทียนรถยนตร์ เราจึงขอแนะคีมที่เป็น ที่นิยมมาทั้งหมด 16 แบบ รูปภาพที่2.9 คีม
26 คีมปากขยาย (Slip Joint Pliers) รูปภาพที่ 2.10 คีม คีมปากขยาย มีปากที่สามารถปรับความกว้างให้กว้างขึ้นหรือแคบลงได้ และลักษณะด้านในปาก จะมี ความโค้งเว้าไว้ทั้งสองข้างและมีร่องฟัน เพื่อใช้ในการจับ เหมาะสำหรับจับงานร้อน หรือ งานที่มี ขนาดใหญ่ที่คีมธรรมดาไม่สามารถจับได้ คีมคอม้า (Water Pump Pliers) รูปภาพที่2.11 คีม คีมคอม้าเป็นเครื่องมือสําหรับการหมุนวัสดุที่มีทรงกลม หรือทรงกระบอก เหมาะสําหรับใช้งานหมุน ท่อ หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับท่อต่างๆ เช่น ท่อเหล็ก ท่อส่งน้ําพีวีซี ข้อต่อและอุปกรณ์ ต่างๆ โดยที่ บริเวณปากคีมสามารถเลื่อนขยายออกได้มากพอสําหรับจับท่อและข้อต่อได้หลายขนาด
27 คีมปากจิ้งจก (Combination Pliers) รูปภาพที่2.12 คีม คีมปากจิ้งจก เป็นคีมอเนกประสงค์แบบ ALL IN ONE เพราะด้วยลักษณะคีม จะมีปากที่จับได้ ตัดได้ และบีบได้ในตัวเดียว คีมตัด (Cutting Pliers) รูปภาพที่2.13 คีม คีมตัด มีลักษณะคล้ายกับกรรไกร ปากคีมจะมีความคม สามารถใช้ตัดวัสดุรูปทรงต่าง ๆ ได้ เช่น ตัด ลวดหนา ๆ ตัดตะปู หรือปลอกสายไฟแบบบาง เป็นต้น นิยมใช้ในงานช่างไม้ งานช่างไฟฟ้า
28 คีมปากแหลม (Needle Nose Pliers) รูปภาพที่2.14 คีม คีมปากแหลมใช้ในงานดัด และตัดวัสดุต่าง ๆ โดยปากคีมมีลักษณะเรียว ยาว และแหลม เพื่อความ แม่นยำในการใช้งานในที่แคบ หรือชิ้นงานที่มีขนาดเล็ก อีกทั้งยังมีร่องฟันที่ปากคีม เพื่อใช้จับชิ้นงาน ไม่ให้ลื่น นิยมใช้ในงานไฟฟ้า งานสร้างเครื่องประดับ งานประดิษฐ์ และงานอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น คีมปากแบน (Flat Nose Pliers) รูปภาพที่2.15 คีม คีมปากแบนสามารถ จับและ บิดลวดหรือโลหะ ได้อย่างมั่นคง เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งคีมปากแบน นั้นก็จะมี ทั้งลักษณะยาวและสั้น อีกด้วย
29 คีมปากกลม (Round Nose Pliers) รูปภาพที่2.16 คีม คีมปากกลม มีปลายปากที่แหลมและกลม เหมาะสำหรับงานดัด งานที่เป็นรูห่วง และงานที่มีความ ละเอียดอ่อน เช่น งานไฟฟ้า งานอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพราะ ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับ อุปกรณ์ หรือสายไฟที่อยู่ข้างๆ ชิ้นงานได้ ส่วนปากด้านในจะเจียระไนให้มีลักษณะแบนทั้งสองข้าง ด้ามหุ้มด้วยปลอกพลาสติกหุ้ม คีมถ่างแหวน (Snap Ring Pliers) รูปภาพที่2.17 คีม คีมถ่างแหวนตรงปลายคีมจะมีปลายแหลมคล้ายกับปากกาลูกลื่น ใช้สำหรับติดตั้ง หรือถอดแหวนล็อค โดยทั่วไปจะมี 3 แบบคือ แบบที่จับด้ามจับแล้วปากจะเปิด แบบจับด้ามจับแล้วปากจะปิด และแบบ ทำได้ทั้งสองอย่างในตัวเดียว
30 คีมถอดสกรู (Screw Pliers) รูปภาพที่2.18 คีม คีมถอดสกรู เป็นคีมที่ใช้จับบริเวณหัวสกรูเพื่อถอดออก ใช้ได้ดีกับสกรูที่หัวพัง เหลี่ยมหาย สกรูที่ขึ้น สนิม ไม่สามารถไขออกโดยใช้ไขคว คีมย้ำตาไก่ (Eyelet Pliers) รูปภาพที่2.19 คีม คีมย้ำตาไก่ เป็นคีมที่ใช้เพื่อเจาะตาไก่บนชิ้นงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีรูบนชิ้นงานก่อนนำไปใช้
31 คีมเจาะรู (Punching Pliers) รูปภาพที่2.20 คีม คีมเจาะรูใช้สำหรับเจาะรูบนผืนผ้าใบ หรือหนัง ซึ่งคีมชนิดนี้ จะมีทั้งแบบที่เจาะรูได้ขนาดเดียว และ แบบที่สามารถปรับให้เจาะรูได้หลายขนาด คีมย้ำหางปลา (Crimping Pliers) รูปภาพที่2.21 คีม คีมย้ำหางปลา เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการย้ำระหว่างหางปลากับสายไฟ ให้เกิดความแน่นหนา และมี ความแม่นยำ และเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงาน
32 คีมปอกสายไฟ (Wire Strippers) รูปภาพที่2.22 คีม คีมปอกสายไฟ เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับลอกและปอกฉนวนหุ้มสายไฟออกได้สะดวก ซึ่งมีทั้งคีมปอก สายไฟชนิดใช้แรงปอกและคีมปอกสายไฟแบบอัตโนมัติ คีมปากนกแก้ว (Carpenters Pliers) รูปภาพที่2.23 คีม คีมปากนกแก้วเป็นคีมสำหรับงานตัดโดยเฉพาะ ปากคีมมีลักษณะคล้ายกับปากนกแก้ว โดนส่วนปลาย จะมีความคม ที่ด้ามจับมีฉนวนหุ้มเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ใช้สำหรับตัดเหล็ก เส้นลวด ซึ่งคีม ชนิดนี้ไม่สามารถจับชิ้นงานได้
33 คีมล็อค (Locking Pliers) รูปภาพที่2.24 คีม คีมล็อคเป็นคีมใช้หนีบจับวัตถุต่างๆ และสามารถปรับความกว้างของปากได้โดยการหมุนแกนสกรูที ปลายด้ามจับ เพื่อเพิ่มแรงยึดจับ ทั้งยังป้องกันชิ้นงานเลื่อนหลุดหรือคลายออกจากกันได้ดี โดยไม่ทำ ให้เกิดการแตกหักของชิ้นงาน คีมย้ำรีเวท (Rivet Pliers) รูปภาพที่2.25 คีม คีมย้ำรีเวท เป็นอุปกรณ์ย้ำรีเวทโดยใช้มือบีบ ใช้งานง่ายเพียงเสียบลูกรีเวทเข้าไปในรูตรงปลายคีม แล้วนำไปยิงประกอบชิ้นงาน เพื่อยึดวัสดุสองชิ้นเข้าด้วยกันให้แน่น
34 2.9 ใบเลื่อย รูปภาพที่2.26 ใบเลื่อย ใบเลื่อย คือ เครื่องมือที่ใช้ในการตัดเหล็ก ตัดไม้ ใบเลื่อยมีลักษณะเป็นแถบยาว ปลายใบเลื่อยทั้ง ๒ ข้างติดกับปลายและโคนคันเลื่อย ทำด้วยเหล็กทั่วไป เลื่อยที่ผลิตจากเหล็ก HSS Steel ถือว่าเป็น เหล็กชนิดที่แข็งกว่าเหล็กธรรมดา และ Bi-metal steel เป็นเหล็กผสม 2 ชนิดคือ เหล็กสปริงและ HSS steel เพื่อให้เลื่อยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น Bi-metal saw เป็นเหล็กที่ผสมจาก spring steel และ HSS steel เพื่อให้เลื่อยมีความยืดหยุ่นมาก ขึ้น ความยืดหยุ่นของใบเลื่อยจะสูงมากแตกหักยาก เหมาะกับการใช้งานในที่แคบๆ หรือโค้ง เมื่อ แตกหักจะแตกเป็น 2 ชิ้นเท่านั้น ไม่แตกกระจายแบบใบเลื่อยจาก HSS จึงทำให้ปลอดภัยสำหรับ ผู้ใช้งาน แต่มีราคาสูงกว่าใบเลื่อย HSS ทั่วไปอาจจะ 2-3 เท่าหรือประมาณ 35-70 บาทสำหรับเลื่อย มือ ยี่ห้อที่เป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทยคือ Bahco Sanflex หรือใบเลื่อยปลาเบ็ดสีส้มจากประเทศ สวีเดน มีทั้งแบบ 18, 24, 32 ฟัน HSS Saw หรือ High-Speed Steel Saw เป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตเครื่องมือต่างๆมากมาย เช่น งาน กลึง และใบเลื่อย ข้อดีของ HSS Saw คือ อายุการใช้งานนาน ฟันแข็งแรง ใช้งานได้แพร่หลาย ราคา ถูกประมาณ 20 – 40 บาท ยี่ห้อที่เป็นอันดับ 1 ของใบเลื่อยไฮสปีดคือ ใบเลื่อย Eclipse อยู่ในตลาด มานานกว่า 50 ปี หาซื้อง่าย ราคาไม่แพงคุณภาพดี eclipse มีผลิตสินค้ามากมายไม่ใช่เพียงแต่ใบ เลื่อยเท่านั้น สามารถดูได้ตามร้าน hardware ทั่วไป
35 2.10 กิ๊บหนีบกระดาษ รูปภาพที่2.27 กิ๊บหนีบกระดาษ 1. จัดระเบียบสายไฟ สารพัดสายไฟจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่พันกันยุ่งเหยิงจนดูไม่เป็นระเบียบ หากปล่อยไว้ ต่อไปอาจถึงขั้นก่อให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งปัญหานี้แก้ไขได้ง่าย ๆ เลยโดยการนำคลิปหนีบกระดาษ มาหนีบไว้ที่ด้านข้างขอบโต๊ะที่ใช้ทำงาน แล้วนำสายไฟจากอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สายยูเอสบี สายชาร์จ หรือสายแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก สอดเข้าไปในก้านคลิปหนีบกระดาษ 1 เส้นต่อ 1 ช่องพร้อมกับล็อกหัวปลั๊ก เอาไว้ คราวนี้เหล่าสายไฟก็จะไม่พันกันอีกต่อไป 2. เก็บสายหูฟัง แม้จะรู้สึกว่าเก็บสายหูฟังดีแล้ว ไม่พันกันแน่นอน แต่พอหยิบออกมาจากกระเป๋าทีไร ต้อง เสียเวลาแกะสายหูฟังออกจากกันทุกที แต่ปัญหานี้แก้ไขได้ง่าย ๆ เลยด้วย 2 วิธีดังนี้ - ก่อนเก็บหูฟังเข้ากระเป๋าแนะนำให้ม้วนหูฟังเป็นวงกลมหลวม ๆ จากนั้นก็นำคลิปหนีบ กระดาษขนาดกลางมาหนีบไว้ ให้สายทั้งหมดเข้าไปอยู่ด้านใน - จับหัวหูฟังทั้ง 2 ข้างมาเข้าคู่กัน แล้วนำคลิปหนีบกระดาษมาหนีบก้านหูฟังเอาไว้ จากนั้น พับก้านคลิปมาด้านข้าง แล้วม้วนสายหูฟังเข้ากับก้านคลิปที่เราพับไว้ เมื่อถึงปลายสายก็นำแจ็กหูฟัง สอดเข้าไปกลางรูก้านคลิปหนีบกระดาษ
36 3. ซ่อมขาคีย์บอร์ด หลายคนอาจจะอารมณ์เสียเมื่อต้องเจอกับปัญหาขาตั้งคีย์บอร์ดพังเพราะพิมพ์ไม่ถนัด ซึ่ง สามารถซ่อมได้ง่าย ๆ โดยถอดก้านคลิปหนีบกระดาษออกจากตัวคลิปหนีบสีดำ จากนั้นนำก้านคลิป ไปเสียบในช่องใส่ขาตั้งคีย์บอร์ด เราก็จะได้คีย์บอร์ดที่พิมพ์สบาย ๆ อันเดิมกลับคืนมาแล้ว 4. ที่เสียบปากกาและหนีบภาพ หากเครื่องเขียนบนโต๊ะทำงานมันรกนัก แต่ไม่อยากจะเก็บลงในลิ้นชักเพราะหยิบใช้ยาก ให้ หาคลิปหนีบกระดาษขนาดใหญ่มาวางเรียงกัน โดยหันด้านหัวคลิปเข้าหากันแล้วจัดเป็นรูปวงกลม นำ ยางมาครอบคลิปหนีบกระดาษทั้งหมดเอาไว้ในวงเดียวกัน เพียงเท่านี้เราก็จะได้ที่ใส่เครื่องเขียนเก๋ ๆ ไว้เสียบปากกา ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ หรือของอื่น ๆ บนโต๊ะทำงานแล้ว 5. แท่นวางโทรศัพท์ แม้จะเสียเงินไปกับการซื้อสมาร์ทโฟนแพง ๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เสริมให้สิ้นเปลือง ตามไปด้วยซะหน่อย แค่ใช้คลิปหนีบกระดาษและเลือก DIY แท่นวางโทรศัพท์จาก 2 วิธีดังนี้ - นำคลิปหนีบกระดาษตัวใหญ่มาหนีบก้านคลิปหนีบกระดาษตัวเล็กเอาไว้ เพียงเท่านี้เราก็มี แท่นตั้งสมาร์ทโฟนในแนวตั้งเอาไว้ใช้งานอย่างสะดวกสบายแล้ว - นำคลิปหนีบกระดาษขนาดเท่ากันมาหนีบการ์ดหรือนามบัตรไว้ที่ด้านหัว-ท้าย นำสมาร์ท โฟนมาวางในแนวนอน เราก็จะได้ดูหนังเต็มจออย่างจุใจไม่ต้องคอยถือโทรศัพท์ให้เมื่อยมืออีกต่อไป 6. ที่เก็บเงินและกุญแจพกพา ถ้าไม่ชอบพกกระเป๋าสตางค์ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะคลิปหนีบกระดาษช่วยคุณได้ โดยนำคลิป หนีบกระดาษมาหนีบธนบัตรและบัตรต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้งานเอาไว้ จากนั้นถอดก้านคลิปออกมา จากตัวคลิป แล้วคล้องกุญแจลงไป สุดท้ายนำก้านคลิปเสียบเข้าไปที่ตัวคลิปเหมือนเดิม ก็จะมีที่เก็บ เงินและกุญแจเท่ ๆ ไว้ใช้ แถมยังใช้คล้องกับกระเป๋ากางเกงกันหายได้ด้วย 7. ที่แขวนภาพถ่าย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาเอาภาพใส่กรอบโชว์กันแล้ว ดูธรรมดาแถมยังเปลืองที่ตั้งอีกต่างหาก แต่ คลิปหนีบกระดาษช่วยทำให้ภาพของคุณเก๋ไก๋มากขึ้นได้ แค่นำคลิปหนีบกระดาษหนีบไว้ที่ส่วนหัวท้ายของภาพ จากนั้นนำก้านคลิปของแต่ละภาพมาสอดให้ขัดกันต่อกันไปเรื่อย ๆ เราก็จะได้ที่แขวน ภาพถ่ายเอาไว้ดูเล่นแล้ว
37 8. เก็บที่โกนหนวด อย่าเผลอวางมีดโกนไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่ปิดใบมีดโดยเด็ดขาด เพราะมันอาจเกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะตอนใช้มือควานหยิบออกมาจากกระเป๋าเดินทาง คลิปหนีบกระดาษสามารถป้องกันการ บาดมือได้ โดยนำคลิปหนีบกระดาษที่มีขนาดหัวหนีบใหญ่กว่ามีดโกนเล็กน้อย มาหนีบครอบใบมีด เอาไว้ก่อนใส่ลงในกระเป๋า 9. หนีบหลอดยาสีฟัน แน่ใจแล้วหรือว่ายาสีฟันในหลอดหมดแล้วจริง ๆ ให้นำคลิปหนีบกระดาษมาหนีบไว้ที่ปลาย หลอดยาสีฟันเพื่อบีบไล่ยาสีฟันในหลอดออกมาจนบีบสุดท้าย นอกจากจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ได้วิธีหนึ่งแล้ว ยังสามารถนำไปเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้อีกด้วย
38 2.11 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง กรรไกรตัดกิ่งที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดมีมากมายหลายรูปแบบ มือใหม่หัดทำสวนอาจจะยังไม่แน่ใจ ว่าควรจะเลือกซื้อกรรไกรตัดกิ่งแบบไหนดี วันนี้เราจึงมีข้อแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องคำนึงถึงหาก ต้องการจะซื้อกรรไกรตัดกิ่งติดบ้านเอาไว้ ดังนี้ 1. สำรวจต้นไม้ภายในสวน ต้นไม้ของเรามีลักษณะอย่างไร มีต้นไม้ใหญ่เยอะ ชอบปลูกไม้ พุ่ม หรือเน้นปลูกไม้ดอกไม้ประดับอย่างต้นกุหลาบ เมื่อรู้แล้วก็ควรเลือกกรรไกรที่ เหมาะสมกับต้นไม้ของเราเป็นสำคัญ เช่น กรรไกรตัดกิ่งทรงตรง ทรงปากโค้ง หรือเลื่อย ตัดกิ่งสำหรับต้นไม้ใหญ่ เป็นต้น หรือใครที่มีสวนทุกลักษณะที่กล่าวมานี้ ก็ไม่ต้องมัวปวด หัวว่าจะเลือกอย่างไรดี เราสามารถซื้อกรรไกรตัดกิ่งเอาไว้หลายประเภทเพื่อให้สามารถ หยิบใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. วัสดุที่มีคุณภาพ กรรไกรตัดกิ่งเป็นเครื่องมือทำสวนที่ซื้อเพียงครั้งเดียวแต่สามารถอยู่กับ เราได้นาน เพราะฉะนั้นจะซื้อทั้งทีก็ต้องเลือกยี่ห้อที่ใช้วัสดุคุณภาพดี แข็งแรง ใช้งานได้ นาน เช่น ใบมีดควรทำจากเหล็กกล้า มีสารเคลือบป้องกันสนิมทนต่อทุกสถานการณ์ มี ฟังก์ชันสำหรับล็อกกิ่งไม้ขณะตัดแต่ง นอกจากในส่วนของใบมีดแล้ว บริเวณด้ามจับควร ทำจากวัสดุที่แข็งแรง ยางที่หุ้มต้องกันลื่นได้ดี ทนความร้อน การมีสปริงระหว่างด้ามจับ ยังช่วยทุ่นแรงได้อีกด้วย รูปภาพที่2.28 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง
39 3. ความปลอดภัย สิ่งที่สำคัญไม่ต่างจากประสิทธิภาพในการตัดกิ่ง นั่นคือความปลอดภัย กรรไกรตัดกิ่งที่ดีควรออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน จับแล้วไม่ควรจะลื่น เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายขณะใช้งานได้ นอกจากนั้นใบมีดควรมีตัวล็อกให้เรียบร้อย ซึ่ง จะทำให้สะดวกและปลอดภัยขณะเก็บรักษา เมื่อคำนึงถึงคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ต่อมาก็ต้องศึกษากรรไกรตัดกิ่งแต่ละประเภท โดยเราสามารถแยก ได้จากใบมีดของกรรไกรซึ่งจะเหมาะกับลักษณะของต้นไม้ที่แตกต่างกันไป หลัก ๆ แล้วสามารถ จำแนกได้ดังนี้ กรรไกรตัดกิ่งปากตรง ลักษณะของใบมีดจะมีปลายแหลม ทรงตรง กรรไกรตัดกิ่งทรงนี้เหมาะกับใช้ตัดกิ่งของไม้ดอก หรือไม้ พุ่มที่มีกิ่งขึ้นหนาแน่น เพราะลักษณะของใบมีดที่เล็กและเรียวสามารถใช้สอดแทรกไปตามกิ่งเล็ก ๆ ได้ดีโดยไม่ทำความเสียหายให้กิ่งรอบข้าง กรรไกรลักษณะนี้เหมาะกับ ช่อองุ่น ช่อดอกทุเรียน ช่อลำไย เป็นต้น กรรไกรตัดกิ่งปากโค้ง กรรไกรตัดกิ่งชนิดนี้นับว่านิยมใช้กันมาก เพราะด้วยตัวใบมีดโค้งและหนา ทำให้ใช้ตัดแต่งกิ่งไม้ได้ หลายประเภท ตั้งแต่ไม้เนื้ออ่อนไปจนถึงไม้เนื้อแข็งขนาดเล็ก มักใช้ตัดแต่งกิ่งทรงพุ่ม หรือกิ่งชำ เช่น ต้นกุหลาบ ต้นมะเขือเทศ เป็นต้น กรรไกรตัดแต่งพุ่มไม้ กรรไกรแบบนี้จะมีลักษณะใหญ่กว่าแบบแรก ลักษณะใบมีดยาวตรง เหมาะกับการตัดพุ่มไม้หรือสนาม หญ้าที่เน้นใช้ความรวดเร็ว ต้องการตัดแต่งกิ่งหรือพุ่มคราวละมาก ๆ เพื่อความเป็นระเบียบสวยงาม ในสวน กรรไกรตัดกิ่งไม้ใหญ่ กรรไกรสำหรับตัดกิ่งไม้ใหญ่นี้ ลักษณะใบมีดจะเหมือนกับกรรไกรตัดกิ่งปากนกแก้ว คือมีความหนา และโค้ง ซึ่งจะให้ความแม่นยำในการตัดแต่งกิ่งต่าง ๆ แต่ด้ามจับจะยาวเพื่อให้เหมาะกับการตัดกิ่งไม้ที่ อยู่สูงขึ้นไปได้