40 เลื่อยตัดกิ่ง เลื่อยตัดกิ่งก็นับเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับต้นไม้ใหญ่ในกรณีที่กรรไกรตัดกิ่งไม้ไม่สามารถตอบ โจทย์ได้ โดยใบเลื่อยจะมีฟันที่แหลมคมเพื่อช่วยทุ่นแรงขณะเลื่อย การดูแลรักษากรรไกรตัดกิ่ง แน่นอนว่าเมื่อมีกรรไกรตัดกิ่งในครอบครองไว้ใช้งานที่เหมาะสมกับสวนของเราแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ การดูแลรักษากรรไกรตัดกิ่งให้ใช้งานได้นาน ๆ 1. ล้างทำความสะอาด : ทุกครั้งที่เรานำกรรไกรตัดกิ่งไปใช้งาน มักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะ ติดยางไม้ของกิ่งที่ตัดมาด้วย หรือกรณีที่นำไปใช้ตัดกิ่งไม้ที่เป็นโรค ใบมีดของเราก็ย่อม ต้องติดเชื้อโรคนั้นมาด้วย ถ้าหากเราไม่ล้างทำความสะอาดใบมีดให้เรียบร้อยหลังการใช้ งาน ยางไม้อาจทำให้ใบมีดเสื่อมสภาพไว หรือเชื้อโรคจากกิ่งไม้อาจจะนำไปติดกับต้นไม้ อื่น ๆ เมื่อนำไปใช้ในครั้งต่อไป เมื่อใช้งานเสร็จแล้ว เราควรเช็ดใบมีดให้แห้งสะอาด จากนั้นเช็ดฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ 2. ทาน้ำมัน : ถึงแม้กรรไกรตัดกิ่งที่มีคุณภาพจะมีการลงสารเคลือบกันสนิมมาให้แล้ว แต่ การทาน้ำมันบนใบมีดหลังใช้งานเสร็จทุกครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะเป็นการยืดอายุ การใช้งานให้ยาวนานยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ยังเป็นการหล่อลื่นวัสดุข้อต่อต่าง ๆ ให้ใช้งาน ได้อย่างไม่ติดขัดไปนาน ๆ 3. จัดเก็บให้เรียบร้อย : เมื่อทำตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว สุดท้ายก็ต้องหาสถานที่จัดเก็บให้ เป็นที่เป็นทาง อาจจะเป็นห้องสำหรับแขวนเก็บโดยเฉพาะ หรือบรรจุใส่กล่องก็ได้ แต่ ก่อนหน้านั้น อย่าลืมว่าเราควรล็อกใบมีดเก็บให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัยในการหยิบ ใช้งานครั้งต่อไปด้วย
41 2.12 ปลั๊กไฟ เชื่อว่าเกือบทุกบ้าน และทุกออฟฟิศจะต้องมีปลั๊กไฟที่เรียกว่าปลั๊กพ่วงหรือปลั๊กสามตา เป็นอุปกรณ์ ไฟฟ้าไว้สำหรับใช้งานเชื่อมต่อไฟฟ้ากระจายไปยังจุดต่าง ๆ บล็อกนี้ OfficeMate จะมาชวนคุณไปดู ว่าปลั๊กไฟพ่วงที่ได้มาตรฐานนั้นเป็นแบบไหน และหากจะซื้อปลั๊กพ่วงมาใช้นั้นควรพิจารณาจาก อะไรบ้าง เพื่อให้ได้ปลั๊กที่มีมาตรฐาน เหมาะสมกับการใช้งาน และปลอดภัยมากที่สุด ชวนเช็กมาตรฐานปลั๊กไฟดูจากอะไรบ้าง 1. มาตรฐาน มอก. อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดจะต้องผ่านมาตรฐานรองรับ มอก. หรือ “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ก่อน จึงจะสามารถจำหน่ายได้อย่างถูกต้อง ซึ่งปลั๊กไฟหรือปลั๊ก 3 ตา ก็เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ต้องมีมาตรฐาน มอก. รองรับเช่นกัน ซึ่งมอก. สำหรับปลั๊กพ่วงคือ มอก. 2432-2555 ครอบคลุมตั้งแต่ตัวรางปลั๊ก สายไฟ เต้ารับ เต้าเสียบ สวิตช์ เปิด-ปิด ไปจนถึงแรงดันไฟฟ้า เวลาจะซื้อปลั๊กทุกครั้งจะต้องดูฉลากว่ามีสัญลักษณ์ มอก.2432-2555 เสมอจึงจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยได้มาตรฐาน รูปภาพที่2.29 ปลั๊กไฟ
42 2. เต้ารับและเต้าเสียบต้องเป็นขากลม 3 ขา อุปกรณ์ปลั๊กไฟที่ได้มาตรฐานเต้าเสียบจะต้องเป็นขากลม 3 ขาเท่านั้น นอกจากนั้นต้องมีติดตั้งฉนวน กันไฟที่โคนขาเต้าเสียบอย่างแน่นหนาด้วย เมื่อเสียบกับเต้ารับแล้วจะต้องแน่นพอดีไม่หลวม ปลั๊กพ่วง หรือปลั๊กไฟรุ่นเก่าที่เป็นขาแบนนั้นถือว่าไม่ผ่านมาตรฐานควรหลีกเลี่ยง ส่วนเต้ารับก็ต้องมี 3 ช่อง สอดรับกับตัวเต้าเสียบ คือ L (Line) N (Neutral) และ G (Ground) เป็นขาสำหรับรับกระแสไฟฟ้า 2 ขา และขาสำหรับสายดินเพื่อป้องกันไฟลัดวงจร โดยแต่ละช่องจะมีม่านนิรภัยปิดเต้ารับเอาไว้ทุกช่อง 3. รางปลั๊กผลิตจากวัสดุที่ไม่ลามไฟ ตัวปลั๊กไฟหรือรางปลั๊กจะต้องทำมาจากวัสดุที่ไม่ลามไฟไม่เป็นฉนวนไฟฟ้าหรือนำความร้อน วัสดุที่ดี ควรจะทำมาจากพลาสติก ABS พลาสติก AVC หรือ PC ที่ผ่านมาตรฐาน UL94 จะช่วยป้องกันความ ร้อนไม่ให้เกิดไฟไหม้หรือไฟฟ้าลัดวงจรได้ 4. มีระบบตัดไฟ ปลั๊กพ่วงหรือปลั๊ก 3 ตาที่ได้มาตรฐานจะต้องมีระบบตัดไฟหรือเบรกเกอร์นิรภัย (Circuit Breaker) มาด้วยในตัวโดยเฉพาะปลั๊กพ่วงที่มีตั้งแต่ 3 เต้ารับขึ้นไปเป็นข้อบังคับเลยว่าต้องมีเบรกเกอร์นิรภัยติด มาด้วย เพื่อช่วยตัดวงจรไฟฟ้าในกรณีที่มีการใช้กระแสไฟฟ้าสูงมากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ ได้ ทั้งนี้ ระบบตัดไฟควรจะเป็นระบบ RCBO หรือ Thermal Circuit Breaker เท่านั้น ห้ามใช้ฟิวส์ใน การตัดไฟแบบปลั๊กไฟรุ่นเก่าอีกต่อไป 5. แรงดันไฟฟ้าและการรองรับกระแสไฟฟ้า ปลั๊กพ่วงหรือปลั๊ก 3 ตาที่ได้มาตรฐานจะต้องระบุแรงดันไฟและการรองรับกระแสไฟฟ้าบนฉลากอย่าง ละเอียดด้วย ซึ่งปลั๊กพ่วงมาตรฐานจะสามารถรองรับแรงดันไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 50V (โวลต์) แต่ไม่เกิน 440 V (โวลต์) ส่วนการรองรับกระแสไฟต้องไม่เกิน16A (แอมแปร์) ถ้าไม่อยู่ในขอบข่ายนี้ถือว่าไม่ผ่าน มาตรฐาน มอก. 6. สวิตซ์และสายไฟต้องได้มาตรฐาน ปลั๊กพ่วงที่มีสวิตซ์เปิด-ปิดบนรางปลั๊กไฟนอกเหนือจากสวิตซ์หลัก เอาไว้ทำหน้าควบคุมเต้ารับแต่ละ ช่อง ซึ่งมีลักษณะของการต่อแบบขนานที่ช่วยควบคุมการจ่ายไฟของของปลั๊กแต่ละรู ซึ่งฟังก์ชันนี้ ไม่ได้เป็นฟังก์ชันบังคับบางยี่ห้ออาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีก็จะต้องได้รับมาตรฐานรับรองมอก. 824-2551 หรือ IEC61058 ด้วย ส่วนตัวสายไฟของปลั๊กพ่วงนั้นจะต้องเป็นสายกลมที่แรงดันไฟฟ้าไม่ ต่ำกว่าเต้าเสียบและเต้ารับ หลีกเลี่ยงการใช้งานสายไฟแบน เพราะถือว่าไม่ผ่านมาตรฐาน มอก.
43 เลือกปลั๊กไฟคำนึงถึงลักษณะการใช้งาน การจะเลือกซื้อปลั๊กไฟพ่วงหรือปลั๊กสามตานั้นนอกจากจะพิจารณาจากมาตรฐานมอก.และ 6 ข้อ ข้างต้นแล้วเราจำเป็นจะต้องพิจารณาจากความเหมาะสมในการใช้งานด้วย อย่างแรกเลยคือดูจาก วัตต์ที่ใช้งาน เพราะปลั๊กพ่วงแต่ละอันก็รองรับกำลังวัตต์ได้ต่างกัน เช่น 2,000w 2,300w 2,500w เป็นต้น เราต้องดูว่าจะเลือกใช้งานแบบไหนเพื่อให้กระจายกำลังไฟได้เหมาะสมกับการใช้งาน นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาถึงการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์สมาร์ทโฟม แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ไอทีอื่น ๆ ควรจะเลือกปลั๊กพ่วงแบบที่มีหัวเสียบ USB ก็จะทำให้สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างสะดวกขึ้น ไม่ เพียงเท่านั้นอาจจะต้องดูเรื่องความยาวของสายไฟด้วย ควรเลือกปลั๊กที่มีสายยาวเหมาะสมไม่สั้นหรือ ยาวจนเกินไป เพราะหากสายไฟไม่พอดีอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายระหว่างใช้งานขึ้นมาได้
44 2.13 ตลับเมตร รูปภาพที่ 2.30 ตลับเมตร เครื่องมือช่างที่ใช้สำหรับวัดขนาดชิ้นงานหรือวัดระยะทางได้สะดวกและแม่นยำ โดยทั่วไปแล้วตลับ เมตรจะมีลักษณะเป็นตลับสี่เหลี่ยมหรือตลับวงกลมที่บรรจุเทปสายวัดไว้ด้านใน และที่ปลายสายวัด จะมีตะขอเล็กๆ ยื่นออกมาใช้สำหรับเกี่ยววัตถุ ช่วยให้สะดวกต่อการหาระยะและอ่านค่าได้อย่าง รวดเร็ว ส่วนบนตลับมีปุ่มล็อกมีหน้าที่ในการหยุดสายวัดให้ค้างอยู่ในระยะที่ต้องการได้ เพื่อให้การ กำหนดตำแหน่งในระยะเดิมได้หลายครั้งโดยไม่จำเป็นต้องดึงสายวัดออกมาใหม่ ทำให้ประหยัดเวลา ในการทำงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งสเกลบนสายวัดมีคุณสมบัติที่สามารถใช้บ่งบอกขนาดความกว้าง ความ ยาว ความสูง หรือความหนาให้เป็นหน่วยวัดได้ทั้ง 2 ระบบ ได้แก่ ระบบเมตริก คือ มิลลิเมตร เซนติเมตร เมตร และระบบอิมพีเรียล คือ นิ้ว ฟุต นอกจากนี้ตลับเมตรยังมีอีกหลายรูปแบบให้ เลือกใช้งาน เช่น ตลับเมตรขนาดเล็ก/ขนาดใหญ่ หรือตลับเมตรสายวัดไฟเบอร์กลาส สายวัดสแตน เลส เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบบมีคุณสมบัติในการใช้งานได้ดีแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกรูปแบบตลับ เมตรให้เหมาะกับการใช้งาน
45 2.14 ระดับน้ำ ระดับน้ำ (Spirit Level) ระดับน้ำ (Spirit Level) คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการวัดระดับความเอียงในแนวราบ (horizontal) และแนวดิ่ง (vertical) โดยทั่วไประดับน้ำที่เราคุ้นเคยจะเป็นแบบที่มีของเหลวบรรจุใน หลอดแก้ว ซึ่งเราจะสังเกตฟองอากาศภายในของเหลวที่บรรจุอยู่ในหลอดแก้วให้อยู่จุดกึ่งกลาง เพื่อให้สิ่งที่ต้องการตรวจสอบอยู่ในระดับองศาที่ตรงตามต้องการ โดยเครื่องวัดระดับนํ้ามีประโยชน์ใน การใช้งานในหลากหลายด้านและมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ระดับน้ำที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือ ระดับน้ำที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรมต่างๆ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าระดับน้ำที่ใช้กัอยู่ทุกวันนั้นมีความตรงและถูกต้องหรือไม่ และจะรู้ได้ อย่างไรว่าระดับน้ำยังมีความตรงและถูกต้องอยู่ แล้วถ้าระดับน้ำนั้นมันไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงเราจะทำ อย่างไรดี ที่จะปรับแต่งให้ตรงและถูกต้องได้ ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน ว่าระดับน้ำบางอย่างก็ไม่สามารถปรับแต่งให้ตรงและ ถูกต้องได้ อย่างเช่น ระดับน้ำที่ใช้ในงานก่อสร้าง เพราะระดับน้ำในงานก่อสร้างนั้นมีความหยาบไม่ ละเอียดมาก เพียงแค่ตรวจสอบความเรียบของฐานก็เพียงพอ แต่ที่จะแนะนำให้ตรวจสอบ คือระดับ น้ำที่มีความเที่ยงตรงสูง ( Precision spirit level ) หรือที่ใช้กันในงานอุตสาหกรรม ระดับน้ำความเที่ยงตรงสูง (Precision Spirit Level) ในปัจจุบันนี้ ระดับน้ำที่มีความเที่ยงตรงสูง (Precision Spirit Level) นั้นมีมากมาย หลากหลายแบบให้เลือกใช้งาน ดังภาพ รูปภาพที่ 2.31 ระดับน้ำ
46 รูปภาพที่2.32 ระดับน้ำ การตรวจสอบระดับน้ำ (Checking for precision spirit level) ตรวจสอบความเรียบผิวของฐานวัดงานว่ามีรอย ขูดขีด หรือผิวของฐานที่ไม่มีความพร้อมในการใช้งาน ตรวจสอบฟองอากาศ จะต้องเป็นฟองอากาศที่ฟองเดียวหรือหลอดแก้วไม่แตก ตรวจสอบความตรงหรือถูกต้องของระดับน้ำ จะต้องเตรียมฐานสำหรับวางระดับน้ำ ที่มีผิวเรียบพอสมควรและต้องปรับตั้งให้ได้ระนาบกับพื้นโลก เมื่อปรับตั้งได้ระนาบแล้ว นำระดับน้ำวางบนฐานที่เตรียมไว้แล้วอ่านหาค่า แล้วหมุนกลับด้าน 180 องศา แล้วอ่านค่าเปรียบเทียบกับค่าที่อ่านครั้งแรกว่ามีความต่างกันหรือไม่ ถ้าไม่ต่างกันแสดงว่าระดับ น้ำยังมีความถูกต้องอยู่ แต่ถ้าค่าที่อ่านมีความแตกต่างกันแสดงว่าระดับน้ำไม่ตรงหรือไม่ถูกต้องแล้ว จะต้องมีการปรับตั้งระดับน้ำใหม่ รูปภาพที่2.33 ระดับน้ำ วิธีการปรับตั้งระดับน้ำ (Adjustment for precision spirit level) ระดับน้ำที่เป็นแบบฟองอากาศและมีสเกลสำหรับบอกระดับการเอียง เป็นระดับน้ำที่มีความ เที่ยงตรงกว่าระดับน้ำทั่วไปที่ใช้สำหรับงานก่อสร้าง เพราะฉะนั้นการใช้งานจะต้องมีการตรวจเช็ค
47 ก่อนนำไปใช้งาน สิ่งสำคัญของระดับน้ำคือการตรวจเช็คศูนย์ของระดับน้ำ (ได้กล่าวไปแล้ว) และการ ปรับตั้งศูนย์ในการปรับตั้งศูนย์ของระดับน้ำทางผู้ผลิตจะมีจุดให้ปรับอยู่แล้ว ซึ่งจะแล้วแต่ผู้ผลิตว่าจะ ออกแบบไว้อย่างไร ส่วนใหญ่จะอยู่ด้านบนของตัวระดับ บางผู้ผลิตจะอยู่ด้านล่างหรือด้านข้างก็เป็นได้ ตัวอย่างการผิดพลาดของระดับน้ำในการใช้งาน กรณีที่ 1 รูปภาพที่2.34 ระดับน้ำ การวางระดับน้ำไว้บนพื้นผิวเดียวกันทั้ง A และ B โดย B หมุนกลับด้านกับ A เป็นมุม 180 องศา จะเห็นได้ว่าทั้ง A และ B มีผลที่มีความแตกต่างกัน แล้วจะรู้ได้อย่างว่าพื้นผิวมันเอียงด้านไหน สามารถคำนวณได้ดังนี้ การเอียงของพื้นผิว (A + B) / 2 = [4 + (-3)] / 2 = 0.5 การหาค่าผิดพลาดของระดับน้ำ (A - B) / 2 = [ 4 - (-3)] / 2 = 3.5 การปรับตั้งศูนย์ กรณีที่ 1 รูปภาพที่2.35 ระดับน้ำ การปรับตั้งศูนย์ในกรณีนี้ให้ปรับตำแหน่ง B ที่หมุน 180 องศา แล้ว โดยหมุนปรับจุดปรับให้
48 ฟองอากาศวื่งกลับด้านเท่ากับค่าผิดพลาดของระดับน้ำที่คำนวณได้ รูปภาพที่2.36 ระดับน้ำ แล้วหมุน 180 องศา เพื่อตรวจสอบดูว่าฟองอากาศในตำแหน่ง A ได้วิ่งกลับมาจรงกับ ตำแหน่ง B ที่ปรับไปหรือเปล่า ถ้าไม่ตรงกันให้ปรับใหม่อีกครั้งโดยหมุน 180 องศา มายังตำแหน่ง B แล้วปรับจุดปรับอีกครั้ง ให้สังเกตที่ตำแหน่ง A ว่าฟองอากาศวิ่งเกินตำแหน่ง B หรือไม่ ถ้าเกินให้ปรับ ฟองอากาศวิ่งกลับ ถ้าไม่ถึงให้ปรับเพิ่มขึ้น จนกว่าทั้งสองด้านจะเท่ากัน กรณีที่ 2 รูปภาพที่2.37 ระดับน้ำ
49 การเอียงของพื้นผิว (A + B) / 2 = [3 + (+1)] / 2 = 2 การหาค่าผิดพลาดของระดับน้ำ (A - B) / 2 = [ 3 - (+1)] / 2 = 1 การปรับตั้งศุนย์กรณีที่ 2 รูปภาพที่2.38 ระดับน้ำ การปรับตั้งศุนย์ในกรณีที่ 2 จะเห็นได้ว่าฟองอากาศวิ่งไปทางเดี่ยวกันและจากการคำนวณค่า ผิดพลาดของระดับน้ำแล้วนั้นมีค่าเท่ากับ 1 จากการอ่านค่าของฟองอากาศทั้ง A และ B สามาถปรับ ได้ทั้ง A และ B คือ ปรับให้ A,B วิ่งเข้าหากัน ด้านละ 1 รูปภาพที่2.39 ระดับน้ำ สำหรับทั้ง 2 กรณี ที่ได้ยกตัวอย่างมานั้นเป็นการหาค่าความผิดพลาดของการเอียงของพื้นผิว และค่าผิดพลาดของระดับน้ำ แต่ในการใช้งานคงไม่สะดวกอย่างแน่นอนสำหรับหลายๆคน จึงจำเป็น จะต้องมีการปรับตั้งศูนย์ของระดับน้ำก่อนใช้งาน ทั้งนี้ในการปรับตั้งศูนย์จำเป็นต้องมีพื้นผิวที่มีความ เรียบพอสมควร สำหรับวางระดับน้ำเพื่อปรับศูนย์ หรือจะให้ดีเลยควรวางบนหินแกรนิต (Granit Surface Plate) แต่ถ้ามีเครื่องสอบเทียบระดับน้ำ (Spirit Level Calibrator) อยู่แล้วสามารถใช้ได้ เลย
50 2.15 ไม้บรรทัด ไม้บรรทัด (ฝรั่งเศส: Règle; อังกฤษ: Ruler; เยอรมัน: Lineal) เป็นอุปกรณ์ทางเรขาคณิต อาจทำ จากพลาสติก ไม้ อะลูมิเนียม หรือ เหล็ก ใช้ในการวัดความยาว ส่วนใหญ่จะมี 2 สเกล คือ นิ้ว และ เซนติเมตร พบได้หลายขนาด ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 15 หรือ 30 เซนติเมตร และอาจมีความยาวถึง 100 เซนติเมตร (1 เมตร) สำหรับใช้วัดแบบก่อสร้าง นอกจากนี้แล้ว เราอาจใช้ไม้บรรทัดในการขีด เส้นให้ตรง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่นักเรียนจะต้องพกไม้บรรทัด ในการสร้างรูปด้วยไม้บรรทัดและวงเวียนนั้น ไม้บรรทัดที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมีสเกลวัดความยาวเหมือน ไม้บรรทัดปกติ ดังนั้นเราจึงกล่าวถึงไม้บรรทัดที่วัดความยาวไม่ได้ว่า สันตรง (Straightedge) รูปภาพที่2.40 ไม้บรรทัด
51 2.16 ดินสอ ดินสอ เป็นอุปกรณ์ในการเขียน หรือสื่อทางศิลปะ มักทำจากเนื้อรงควัตถุแข็งและแคบอยู่ภายใน เปลือกที่ปกป้องเนื้อดินสอไม่ให้หักหรือทิ้งรอยไว้บนมือขณะใช้งาน ดินสอสร้างรอยโดยการขีดเขียน ทิ้งรอยวัสดุเนื้อดินสอแข็ง ๆ ติดกับกระดาษ หรือพื้นผิวอื่น ๆ ไว้ ดินสอแตกต่างจากปากกา ที่จะกระจายรอยของของเหลวหรือหมึกเจลติดลงบนกระดาษ เนื้อดินสอส่วนมากจะทำจากแกรไฟต์ผสมกับดินเหนียวที่จะทิ้งรอยสีเทาหรือดำไว้และทำให้ลบออก ง่าย ดินสอที่ทำจากแกรไฟต์ใช้สำหรับเขียนและวาดเส้น และทำให้เกิดรอยที่ทนทาน แม้ว่ามันจะใช่ ยางลบลบออกง่าย แต่ดินสอจะทนต่อความชื้น สารเคมี รังสีอัลตราไวโอเลต และอายุการใช้งาน ดินสอที่เนื้อทำจากวัสดุอื่นนั้นมีใช้กันน้อยกว่า เช่น ดินสอที่ทำจากถ่านไม้ ที่ส่วนมากจิตรกรจะใช้วาด ภาพและร่างภาพ ดินสอสีบางครั้งมีไว้สำหรับครูหรือบรรณาธิใช้แก้ไขข้อความ แต่ก็จัดว่าเป็นอุปกรณ์ ศิลปะเช่นกัน โดยเฉพาะชนิดที่มีเนื้อทำจากขี้ผึ้งที่จะติดลงบนกระดาษแทนที่จะลบออก ดินสอน้ำมัน จะนุ่มกว่า มีเนื้อดินสอทำจากขี้ผึ้งคล้ายสีเทียนที่ทิ้งรอยบนผิวราบเรียบ เช่น กระจก หรือเครื่องลาย คราม เปลือกดินสอโดยทั่วไปทำจากไม้ขนาดบาง ปกติเป็นทรงหกเหลี่ยมด้านเท่าแต่บางครั้งก็เป็น ทรงกระบอก พันรอบเนื้อดินสอถาวร เปลือกดินสออาจทำจากวัสดุอื่น เช่น พลาสติก หรือกระดาษ ก็ ได้ ในการใช้ดินสอ เปลือกจะต้องถูกสลักหรือปอกออกเพื่อให้ส่วนปลายของดินสอแหลมคม ดินสอกด มีเปลือกที่ละเอียดอ่อนมากกว่าซึ่งช่วยประคองชิ้นส่วนของเนื้อสีให้สามารถขยายหรือหดผ่านปลาย แท่งหรือเปลือกดินสอตามที่ต้องการ รูปภาพที่2.41 ดินสอ
52 ประวัติ ในสมัยอดีต การเขียนเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นแบบแผนทางวัฒนธรรม ตำรา หรือการวาดรูป มนุษย์ใน สมัยก่อนใช้อุปกรณ์ที่เป็นแปรงหรือกิ่งไม้เล็กๆ และเหล็กที่มีปลายแหลม นำไปเผาไฟจุ่มลงในน้ำหมึก เพื่อใช้ในการขีดเขียน ( ภาษาโรมันเรียกแปรงหรือเหล็กแหลมนี้ว่า " Pencillus " หรือ " Little tail " ซึ่งต่อมากลายเป็นคำว่า " Pencil " มีความหมายว่า " หางน้อย " ) ส่วน " ปากไก่ หรือ ปากกาขนห่าน " เริ่มมีการประดิษฐ์ขึ้นใช้ในทวีปยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 6 การผลิต ในปัจจุบัน ดินสอผลิตโดยการใส่แกรไฟต์กับผงถ่าน เติมน้ำลงไป ผสมแล้วทำให้เป็นแท่งยาวคล้ายของ ที่มีลักษณะแหลม เผาในเตาให้แข็ง จากนั้นจุ่มในน้ำมันหรือขี้ผึ้ง เพื่อให้เขียนได้ง่ายขึ้น จากนั้น ประกอบเข้ากับไม้ที่เจาะรูไว้ให้เป็นแท่งดินสอ ดินสอส่วนใหญ่ โดยเฉพาะดินสอที่ใช้ในงานศิลปะ จะระบุความเข้มของดินสอเอาไว้ด้วยตามระบบ ยุโรป โดยใช้อักษร "H" (hardness - ความแข็ง) "B" (blackness - ความดำ) และ "F" (fine point - เนื้อละเอียด) ดินสอสำหรับศิลปะจะมีความเข้มหลายขนาดให้เลือกใช้ เพื่อให้มีความเข้ม ความ สวยงาม และให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน มีตั้งแต่ดินสอที่แข็งและสีอ่อน ไปจนถึงสีเข้มมาก โดยมักเรียง ตามลำดับต่อไปนี้ 9H 8H 7H 6H 5H 4H 3H 2H H F HB B 2B 3B 4B 5B 6B 7B/EB 8B/EE 9B อ่อนที่สุด → ปานกลาง → เข้มที่สุด ในคริสต์ศักราช 1970 ,STAEDTLER ได้กำหนดใช้สัญลักษณ์ตัวอักษร EB และ EE ในผลิตภัณฑ์ของ ตน ในปัจจุบันนี้ได้ยกเลิกการใช้สัญลักษณ์ตัวอักษร EB และ EE แต่ถูกแทนที่ด้วย 7B และ 8B โดยEE นั้น ย่อมาจาก Extra Extra อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์ตัวอักษร EE ยังคงปรากฏในผลิตภัณฑ์ชื่อ STAEDTLER Mars Lumograph ของ STAEDTLER ในประเทศไทย นอกจากนี้แล้วยังมีระบบอเมริกันที่ใช้ตัวเลขเพียงอย่างเดียว โดยสามารถเทียบประมาณกับระบบ ยุโรปได้ดังนี้ สี อเมริกา ยุโรป #1 = B
53 #2 = HB #2 ½ * = F #3 = H #4 = 2H * อาจพบความเข้ม 2 4/8, 2.5, 2 5/10 แล้วแต่ชนิด ดินสอที่เขียนกันโดยทั่วไป มีความเข้มระดับ HB และดินสอสำหรับระบายกระดาษคอมพิวเตอร์ ต้อง ใช้ความเข้มระดับ 2B ขึ้นไป รูปร่างของดินสอ ดินสอส่วนใหญ่จะมีหน้าตัดเป็นรูปหกเหลี่ยม เนื่องจากสามารถจับได้ถนัด สบายมือ และเมื่อกลิ้งจะ สามารถหยุดได้ (หากกลมจะมีโอกาสกลิ้งตกโต๊ะไปมากกว่า) ดินสอสำหรับช่างไม้จะเป็นรูปร่างแบน ซึ่งไม่กลิ้งเช่นกัน และสามารถกะระยะของเส้นได้เที่ยงตรงกว่า
54 2.17 ขี้เลื่อย รูปภาพที่2.42 ขี้เลื่อย ขี้เลื่อย เป็นผลพลอยได้หรือของเสียจากงานไม้ เช่น การเลื่อย การขัด การกัด การไส และการกำหนด เส้นทาง ประกอบด้วยเศษไม้เล็กๆ การดำเนินการเหล่านี้สามารถทำได้โดยใช้เครื่องจักรงานไม้ เครื่องมือไฟฟ้าแบบพกพา หรือโดยใช้เครื่องมือช่าง ฝุ่นไม้ยังเป็นผลพลอยได้จากสัตว์บางชนิดนกและ แมลงที่อาศัยอยู่ในไม้เช่นที่นกหัวขวานและช่างไม้มด ในอุตสาหกรรมการผลิตบางประเภท อาจเป็น อันตรายจากไฟไหม้และเป็นสาเหตุของการสัมผัสฝุ่นจากการทำงานขี้เลื่อยเป็นองค์ประกอบหลักของ ไม้อัด ฝุ่นไม้เป็นรูปแบบของอนุภาคหรือฝุ่นละออง การวิจัยเกี่ยวกับอันตรายต่อสุขภาพของฝุ่นไม้นั้น อยู่ในสาขาวิทยาศาสตร์อาชีวอนามัย และการศึกษาการควบคุมฝุ่นไม้นั้นอยู่ในสาขาวิศวกรรม คุณภาพอากาศภายในอาคาร
55 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ในการดำเนินโครงการ ต้องนำความรู้จากทฤษฎีต่าง ๆ ดังกล่าวในบทที่ 2 มาใช้ในการ ปฏิบัติงาน เพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.1 ขั้นตอนการดำเนินงาน 3.1.1 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น 3.1.1.1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งผู้จัดทำโครงการได้ศึกษาข้อมูลที่จำเป็นและจำเป็นเพื่อ ออกแบบโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม ให้สามารถใช้งานได้ดีและทนทานมากที่สุด 3.1.1.2 ศึกษาทฤษฎีหลักการออกแบบโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม ให้แข็งแรงประหยัด งบและทนทานต่อทดสอบมากที่สุด 3.1.1.3 ศึกษาข้อมูลของวัสดุ/อุปกรณ์ที่นำนำมาใช้ในกระประกอบโครงสร้างสะพานไม้ ไอศครีม 3.1.1.4 จัดหาสถานที่และอุปกรณ์ในการประกอบโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม 3.1.2 ออกแบบโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม 3.1.2.1 ออกแบบโครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีม วางและนำวัสดุปุปกรณ์มาประกอบให้เป็น ตามที่ได้วางแผนไว้ รูปภาพที่3.1 แสดงแบบภาพโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม
56 3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน 3.2.1 วัสดุและอุปกรณ์ ลำดับที่ รายการ จำนวน 1 ไม้ไอศครีม 20 ห่อ 2 ไม้ลูกชิ้น 1 ห่อ 3 กาวร้อน 20 หลอด 4 เทปกาว 3 ม้วน 5 ลวดขดเล็ก 3 ขด 6 สว่าน 1 ตัว 7 คีม 1 ตัว 8 ใบเลื่อย 5 แผ่น 9 กิ๊บหนีบกระดาษ 5 ตัว 10 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง 1 ตัว 11 ปลั๊กไฟ 1 ตัว 12 ตลับเมตร 1 ตลับ 13 ระดับน้ำ 1 อัน 14 ไม้บรรทัด 1 อัน 15 ดินสอ 1 ด้าม 16 เหล็กซัพพอร์ต 3 ด้าม ตารางที่3.1 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่1
57 ตารางที่3.2 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่2 ลำดับที่ รายการ จำนวน 1 ไม้ไอศครีม 20 ห่อ 2 ไม้ลูกชิ้น 1 ห่อ 3 กาวร้อน 20 หลอด 4 เทปกาว 3 ม้วน 5 ลวดขดเล็ก 3 ขด 6 สว่าน 1 ตัว 7 คีม 1 ตัว 8 ใบเลื่อย 5 แผ่น 9 กิ๊บหนีบกระดาษ 5 ตัว 10 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง 1 ตัว 11 ปลั๊กไฟ 1 ตัว 12 ตลับเมตร 1 ตลับ 13 ระดับน้ำ 1 อัน 14 ไม้บรรทัด 1 อัน 15 ดินสอ 1 ด้าม 16 เหล็กซัพพอร์ต 3 ด้าม
58 ตารางที่ 3.3 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่3 ลำดับที่ รายการ จำนวน 1 ไม้ไอศครีม 10 ห่อ 2 ไม้ลูกชิ้น 1 ห่อ 3 กาวร้อน 20 หลอด 4 เทปกาว 3 ม้วน 5 ลวดขดเล็ก 3 ขด 6 สว่าน 1 ตัว 7 คีม 1 ตัว 8 ใบเลื่อย 5 แผ่น 9 กิ๊บหนีบกระดาษ 5 ตัว 10 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง 1 ตัว 11 ปลั๊กไฟ 1 ตัว 12 ตลับเมตร 1 ตลับ 13 ระดับน้ำ 1 อัน 14 ไม้บรรทัด 1 อัน 15 ดินสอ 1 ด้าม 16 เหล็กซัพพอร์ต 3 ด้าม
59 ตารางที่ 3.4 วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ครั้งที่1-3 ลำดับที่ รายการ จำนวน 1 ไม้ไอศครีม 50 ห่อ 2 ไม้ลูกชิ้น 3 ห่อ 3 กาวร้อน 60 หลอด 4 เทปกาว 9 ม้วน 5 ลวดขดเล็ก 9 ขด 6 สว่าน 1 ตัว 7 คีม 1 ตัว 8 ใบเลื่อย 15 แผ่น 9 กิ๊บหนีบกระดาษ 5 ตัว 10 กรรไกรตัดแต่งกิ่ง 1 ตัว 11 ปลั๊กไฟ 1 ตัว 12 ตลับเมตร 1 ตลับ 13 ระดับน้ำ 1 อัน 14 ไม้บรรทัด 1 อัน 15 ดินสอ 1 ด้าม 16 เหล็กซัพพอร์ต 3 ด้าม
60 3.3 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 3.3.1 ขั้นตอนการทำสะพานไม้ไอศครีม ครั้งที่1 ในการทำสะพานไม้ไอศครีมนั้นมีเครื่องมือและอุปกรณ์หลายชนิดและต้องอาศัยฝีมือเป็นอย่าง มากในการต่อไม้ ประกอบเป็นสะพานไม้ไอศครีม เพื่อให้ได้สะพานไม้ไอศครีมที่ถูกต้องตามแบบที่ วางแผนเอาไว้ 1.ออกแบบลงกระดาษ รูปภาพที่3.2 แสดงแบบภาพโครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีม 2.เตรียมวัสดุอุปกรณ์ รูปภาพที่3.3 เตรียมวัสดุอุปกรณ์
61 3.นำไม้ไอติมมาประกบต่อกันใช้กิ๊บหนีบให้แน่นแล้วใช้เทปกาวพันให้แน่นอีกที รูปภาพที่3.4 ไม้ไอติมมาประกบต่อกัน 4.ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาวตามแบบที่ต้องการควรเว้นระยะห่างหรือช่องสำหรับจะที่ต้องเชื่อมต่อ กันระหว่างโครงสร้างตรงจุดเชื่อมต่อกันของโครงสร้างสะพาน รูปภาพที่3.5 ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาวตามแบบ
62 5.ทำให้ครบทุกชิ้นส่วนแล้วนำมาต่อกันเป็นโครงสะพานแล้วนำมาวางทาบกับแบบและจัดระเบียบดูว่า โครงสะพานมีขนาดพอดีตรงกับที่ออกแบบไว้หรือไม่ รูปภาพที่3.6ทำให้ครบทุกชิ้นส่วนแล้วนำมาต่อกันเป็นโครงสะพาน 6.ถ้าพอดีแล้วให้นำส่วนต่างของโครงสะพานมาใส่กาวให้ติดแน่นคงทนหลังจากนั้นรอให้กาวแห้ง รูปภาพที่3.7 ถ้าพอดีแล้วให้นำส่วนต่างของโครงสะพานมาใส่กาว
63 7.ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งนำไปทาบกันกับแบบและจัดระเบียบให้ตรงกันใช้กิ๊บยึดจุดต่อต่างๆให้ โครงสะพานอยู่นิ่งได้รูปทรงตามแบบ รูปภาพที่3.8 .ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งนำไปทาบกัน 8.หลังจากนั้นนำสะพานทั้งสองฝั่งมาประกบให้ตรงกันใช้สว่านเจาะโครงสะพานตรงจุดเชื่อมต่อต่างๆ เพื่อให้สะพานตรงกัน รูปภาพที่3.9สองฝั่งมาประกบให้ตรงกันใช้สว่านเจาะ
64 9.ใช้สว่านเจาะโครงสร้างส่วนต่างๆของสะพานเพื่อใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบเป็นหมุดยึดให้สะพานคงทน แข็งแรง รูปภาพที่3.10 ใช้สว่านเจาะโครงสร้างส่วนต่างๆของสะพาน 10.ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบยึดตามรูสว่านที่เจาะเอาไว้และหยอดกาวเพื่อให้ติดแน่น รูปภาพที่3.11 ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบยึดตามรูสว่าน
65 11.ใช้ขี้เลื่อยใส่ตามช่องว่างต่างๆระหว่างไม้ที่ชื่อมกันไม่สนิทและหยอดกาวเพื่อควาแข็งแรงของ สะพาน รูปภาพที่3.12 ใช้ขี้เลื่อยใส่ตามช่องว่างต่างๆระหว่างไม้ 12.เลื่อยไม้ที่เป็นส่วนเกินของสะพานออกและเก็บรายละเอียดต่างๆให้สวยงาม รูปภาพที่3.13 เลื่อยไม้ที่เป็นส่วนเกินของสะพานออกและเก็บรายละเอียดต่างๆให้สวยงาม
66 13.ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันใช่เหล็กที่กลึงมาแล้วสอดใส่ส่วนด้านท้องสะพานจำนวนสาม จุดและใช้ไม้ลูกชิ้นหยอดกาวเป็นรูปกากบาทหรือแนวตรงเชื่อมส่วนด้านบนของสะพานทั้งสองฝั่งเข้า ด้วยกันใช้ขี้เลื่อยโรยหยอดกาวใส่และใช้ลวดมัดอีกทีเพื่อความคงทนของสะพาน รูปภาพที่3.14 ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันใช่เหล็กที่กลึงมา
67 3.3.2 ขั้นตอนการทำสะพานไม้ไอศครีม ครั้งที่2 ในการทำสะพานไม้ไอศครีมนั้นมีเครื่องมือและอุปกรณ์หลายชนิดและต้องอาศัยฝีมือเป็นอย่าง มากในการต่อไม้ ประกอบเป็นสะพานไม้ไอศครีม เพื่อให้ได้สะพานไม้ไอศครีมที่ถูกต้องตามแบบที่ วางแผนเอาไว้ 1.ออกแบบลงกระดาษ รูปภาพที่3.15 แสดงแบบภาพโครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีม 2.เตรียมวัสดุอุปกรณ์ รูปภาพที่3.16 เตรียมวัสดุอุปกรณ์
68 3.นำไม้ไอติมมาประกบต่อกันใช้กิ๊บหนีบให้แน่นแล้วใช้เทปกาวพันให้แน่นอีกที รูปภาพที่3.17 ไม้ไอติมมาประกบต่อกัน 4.ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาวตามแบบที่ต้องการควรเว้นระยะห่างหรือช่องสำหรับจะที่ต้องเชื่อมต่อ กันระหว่างโครงสร้างตรงจุดเชื่อมต่อกันของโครงสร้างสะพาน รูปภาพที่3.18 ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาวตามแบบ
69 5.ทำให้ครบทุกชิ้นส่วนแล้วนำมาต่อกันเป็นโครงสะพานแล้วนำมาวางทาบกับแบบและจัดระเบียบดูว่า โครงสะพานมีขนาดพอดีตรงกับที่ออกแบบไว้หรือไม่ รูปภาพที่3.19ทำให้ครบทุกชิ้นส่วนแล้วนำมาต่อกันเป็นโครงสะพาน 6.ถ้าพอดีแล้วให้นำส่วนต่างของโครงสะพานมาใส่กาวให้ติดแน่นคงทนหลังจากนั้นรอให้กาวแห้ง รูปภาพที่3.20 ถ้าพอดีแล้วให้นำส่วนต่างของโครงสะพานมาใส่กาว
70 7.ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งนำไปทาบกันกับแบบและจัดระเบียบให้ตรงกันใช้กิ๊บยึดจุดต่อต่างๆให้ โครงสะพานอยู่นิ่งได้รูปทรงตามแบบ รูปภาพที่3.21 ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งนำไปทาบกัน 8.หลังจากนั้นนำสะพานทั้งสองฝั่งมาประกบให้ตรงกันใช้สว่านเจาะโครงสะพานตรงจุดเชื่อมต่อต่างๆ เพื่อให้สะพานตรงกัน รูปภาพที่3.22 สองฝั่งมาประกบให้ตรงกันใช้สว่านเจาะ
71 9.ใช้สว่านเจาะโครงสร้างส่วนต่างๆของสะพานเพื่อใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบเป็นหมุดยึดให้สะพานคงทน แข็งแรง รูปภาพที่3.23 ใช้สว่านเจาะโครงสร้างส่วนต่างๆของสะพาน 10.ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบยึดตามรูสว่านที่เจาะเอาไว้และหยอดกาวเพื่อให้ติดแน่น รูปภาพที่3.24 ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบยึดตามรูสว่าน
72 11.ใช้ขี้เลื่อยใส่ตามช่องว่างต่างๆระหว่างไม้ที่ชื่อมกันไม่สนิทและหยอดกาวเพื่อควาแข็งแรงของ สะพาน รูปภาพที่3.25 ใช้ขี้เลื่อยใส่ตามช่องว่างต่างๆระหว่างไม้ 12.เลื่อยไม้ที่เป็นส่วนเกินของสะพานออกและเก็บรายละเอียดต่างๆให้สวยงาม รูปภาพที่3.26 เลื่อยไม้ที่เป็นส่วนเกินของสะพานออกและเก็บรายละเอียดต่างๆให้สวยงาม
73 13.ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันใช่เหล็กที่กลึงมาแล้วสอดใส่ส่วนด้านท้องสะพานจำนวนสาม จุดและใช้ไม้ลูกชิ้นหยอดกาวเป็นรูปกากบาทหรือแนวตรงเชื่อมส่วนด้านบนของสะพานทั้งสองฝั่งเข้า ด้วยกันใช้ขี้เลื่อยโรยหยอดกาวใส่และใช้ลวดมัดอีกทีเพื่อความคงทนของสะพาน รูปภาพที่3.27 ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันใช่เหล็กที่กลึงมา
74 3.3.3 ขั้นตอนการทำสะพานไม้ไอศครีม ครั้งที่3 ในการทำสะพานไม้ไอศครีมนั้นมีเครื่องมือและอุปกรณ์หลายชนิดและต้องอาศัยฝีมือเป็นอย่าง มากในการต่อไม้ ประกอบเป็นสะพานไม้ไอศครีม เพื่อให้ได้สะพานไม้ไอศครีมที่ถูกต้องตามแบบที่ วางแผนเอาไว้ 1.ออกแบบลงกระดาษ รูปภาพที่3.28 แสดงแบบภาพโครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีม 2.เตรียมวัสดุอุปกรณ์ รูปภาพที่3.29 เตรียมวัสดุอุปกรณ์
75 3.นำไม้ไอติมมาประกบต่อกันใช้กิ๊บหนีบให้แน่นแล้วใช้เทปกาวพันให้แน่นอีกที รูปภาพที่3.30 ไม้ไอติมมาประกบต่อกัน 4.ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาวตามแบบที่ต้องการควรเว้นระยะห่างหรือช่องสำหรับจะที่ต้องเชื่อมต่อ กันระหว่างโครงสร้างตรงจุดเชื่อมต่อกันของโครงสร้างสะพาน รูปภาพที่3.31 ต่อไปเรื่อยๆจนได้ความยาวตามแบบ
76 5.ทำให้ครบทุกชิ้นส่วนแล้วนำมาต่อกันเป็นโครงสะพานแล้วนำมาวางทาบกับแบบและจัดระเบียบดูว่า โครงสะพานมีขนาดพอดีตรงกับที่ออกแบบไว้หรือไม่ รูปภาพที่3.32 ทำให้ครบทุกชิ้นส่วนแล้วนำมาต่อกันเป็นโครงสะพาน 6.ถ้าพอดีแล้วให้นำส่วนต่างของโครงสะพานมาใส่กาวให้ติดแน่นคงทนหลังจากนั้นรอให้กาวแห้ง รูปภาพที่3.33 ถ้าพอดีแล้วให้นำส่วนต่างของโครงสะพานมาใส่กาว
77 7.ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งนำไปทาบกันกับแบบและจัดระเบียบให้ตรงกันใช้กิ๊บยึดจุดต่อต่างๆให้ โครงสะพานอยู่นิ่งได้รูปทรงตามแบบ รูปภาพที่3.34 ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งนำไปทาบกัน 8.หลังจากนั้นนำสะพานทั้งสองฝั่งมาประกบให้ตรงกันใช้สว่านเจาะโครงสะพานตรงจุดเชื่อมต่อต่างๆ เพื่อให้สะพานตรงกัน รูปภาพที่3.35 สองฝั่งมาประกบให้ตรงกันใช้สว่านเจาะ
78 9.ใช้สว่านเจาะโครงสร้างส่วนต่างๆของสะพานเพื่อใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบเป็นหมุดยึดให้สะพานคงทน แข็งแรง รูปภาพที่3.36 ใช้สว่านเจาะโครงสร้างส่วนต่างๆของสะพาน 10.ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบยึดตามรูสว่านที่เจาะเอาไว้และหยอดกาวเพื่อให้ติดแน่น รูปภาพที่3.37 ใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบยึดตามรูสว่าน
79 11.ใช้ขี้เลื่อยใส่ตามช่องว่างต่างๆระหว่างไม้ที่ชื่อมกันไม่สนิทและหยอดกาวเพื่อควาแข็งแรงของ สะพาน รูปภาพที่3.38 ใช้ขี้เลื่อยใส่ตามช่องว่างต่างๆระหว่างไม้ 12.เลื่อยไม้ที่เป็นส่วนเกินของสะพานออกและเก็บรายละเอียดต่างๆให้สวยงาม รูปภาพที่3.39 เลื่อยไม้ที่เป็นส่วนเกินของสะพานออกและเก็บรายละเอียดต่างๆให้สวยงาม
80 13.ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันใช่เหล็กที่กลึงมาแล้วสอดใส่ส่วนด้านท้องสะพานจำนวนสาม จุดและใช้ไม้ลูกชิ้นหยอดกาวเป็นรูปกากบาทหรือแนวตรงเชื่อมส่วนด้านบนของสะพานทั้งสองฝั่งเข้า ด้วยกันใช้ขี้เลื่อยโรยหยอดกาวใส่และใช้ลวดมัดอีกทีเพื่อความคงทนของสะพาน รูปภาพที่3.40 ประกอบสะพานทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันใช่เหล็กที่กลึงมา
81 3.4 แผนการดำเนินการตลอดโครงงาน ตารางที่3.5 แผนการดำเนินงานตลอดโครงงาน กิจกรรม ระยะเวลาการดำเนินงาน (สัปดาห์ที่) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 1.อาจารย์ให้ความรู้ เกี่ยวกับการทำสะพานไม้ ไอศครีม 2. เสนอโครงงาน 3. วางแผนการวิเคราะห์ และออกแบบเป็น โครงสร้างความยาวและ ความกว้างของโครงสร้าง 4.บริหารในการทำชิ้นงาน 5.จัดหาอุปกรณ์ในการทำ โครงสร้างสะพาน 6.เริ่มประกอบโครงสร้าง สะพานด้วยไม้ไอศครีม 7.ประกอบโครงสร้าง สะพาน 8.ทำโครงสร้างสะพานทั้ง สองข้างเป็นขาตั้งทั้งสาย และขวา 9.เริ่มประกอบโครงสร้าง สะพานและรายละเอียด 10.เริ่มประกอบโครงสร้าง สะพานทั้งหมดเข้าด้วยกัน 11.เริ่มทำรูปเล่มวางแผน จัดการรูปเล่ม 12.จัดทำรูปเล่มให้ สมบูรณ์พร้อมนำเสนอ
82 3.5 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ลำดับ รายการ จำนวน หน่วย ค่าวัสดุ หมาย ราคาหน่วยละ เหตุ (บาท) จำนวนเงิน (บาท) 1 ไม้ไอศครีม 20 ห่อ 10 200 2 ไม้ลูกชิ้น 1 ห่อ 20 20 3 กาวร้อน 20 หลอน 20 400 4 เทปกาว 3 ม้วน 23 69 5 ลวดขดเล็ก 3 ขด 20 60 6 ใบเลื่อย 5 ใบ 20 20 7 กิ๊บหนีบกระดาษ 5 อัน 25 25 รวมทั้งสิ้น 794 หมายเหตุวัสดุและอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้ในการทำโครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีมมีอยู่แล้วผู้จัดทำไม่ ต้องหา ตารางที่ 3.7 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ครั้งที่2 ลำดับ รายการ จำนวน หน่วย ค่าวัสดุ หมาย ราคาหน่วยละ เหตุ (บาท) จำนวนเงิน (บาท) 1 ไม้ไอศครีม 20 ห่อ 10 200 2 ไม้ลูกชิ้น 1 ห่อ 20 20 3 กาวร้อน 20 หลอน 20 400 4 เทปกาว 3 ม้วน 23 69 5 ลวดขดเล็ก 3 ขด 20 60 6 ใบเลื่อย 5 ใบ 20 20 รวมทั้งสิ้น 769 หมายเหตุวัสดุและอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้ในการทำโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีมมีอยู่แล้วผู้จัดทำไม่ ต้องหา ตารางที่3.6 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ปฏิบัติงาน ครั้งที่1
83 ตารางที่ 3.8 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ครั้งที่3 ลำดับ รายการ จำนวน หน่วย ค่าวัสดุ หมาย ราคาหน่วยละ เหตุ (บาท) จำนวนเงิน (บาท) 1 ไม้ไอศครีม 10 ห่อ 35 350 2 ไม้ลูกชิ้น 1 ห่อ 20 20 3 กาวร้อน 20 หลอด 20 400 4 เทปกาว 3 ม้วน 23 69 5 ลวดขดเล็ก 3 ขด 20 60 6 ใบเลื่อย 5 ใบ 20 20 รวมทั้งสิ้น 919 หมายเหตุวัสดุและอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้ในการทำโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีมมีอยู่แล้วผู้จัดทำไม่ ต้องหา ตารางที่ 3.9 งบประมาณการใช้จ่ายในการทำโครงการ ครั้งที่1-3 ลำดับ รายการ จำนวน หน่วย ค่าวัสดุ หมาย ราคาหน่วยละ เหตุ (บาท) จำนวนเงิน (บาท) 1 ไม้ไอศครีม 50 ห่อ 10,10,35 750 2 ไม้ลูกชิ้น 3 ห่อ 20 60 3 กาวร้อน 60 หลอด 20 1200 4 เทปกาว 9 ม้วน 23 207 5 ลวดขดเล็ก 9 ขด 20 180 6 ใบเลื่อย 15 ใบ 20 60 รวมทั้งสิ้น 2482 หมายเหตุวัสดุและอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้ในการทำโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีมมีอยู่แล้วผู้จัดทำไม่ ต้องหา
84 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 4.1 ผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ 4.1.1 โครงสะพานไม้ไอศกรีมที่เสร็จสมบูรณ์ครั้งที่1 รูปภาพที่4.1 ภาพด้านหน้าของสะพาน รูปภาพที่4.2 ภาพด้านข้างของสะพาน
85 รูปภาพที่4.3 ภาพด้านบนสะพาน รูปภาพที่4.4 ภาพรวมสะพาน
86 4.1..2 น้ำหนักโครงสะพานไม้ไอศกรีม ครั้งที่1 น้ำหนักโครงสะพานไม้ไอศครีม : 1133.2 kg น้ำหนักเหล็ก Support : 49.02 kg น้ำหนักที่รับได้ : 0.22 kg รูปภาพที่4.5 ภาพรวมการชั่งน้ำหนักโครงสร้างสะพานไม้ไอศครีม
87 4.1.3 ทดสอบการรับน้ำหนัก ครั้งที่1 4.1.3.1 วางโครงสะพานไม้ไอศกรีมไว้บนแท่นรับน้ำหนักให้ได้ระดับ จากนั้นห้อยเหล็กเส้นที่ ใช้สำหรับใส่ปูนซีเมนต์ไว้ตรงเหล็ก Support เส้นกลางเพื่อรับน้ำหนัก รูปภาพที่4.6 ภาพการวางโครงสร้างสะพานไม้ไอศกรีมบนแท่นรับน้ำหนัก 4.1.3.2 ทำการใส่ก้อนปูนซีเมนต์ที่ละก้อน รูปภาพที่4.7 ภาพการวางก้อนปูน
88 ผลการรับน้ำหนัก ไม่สามรถรับน้ำหนักได้ถึงเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ได้คือ75กิโลกรัม สามารถรับน้ำหนักได้ เพียง 49.02กิโลกรัม เพราะเกตุการวิบัติที่จุดต่อของก้านไม้ไอศกรีม อาจเกิดจากการตอกหมุดย้ำไม่ดี หรือประกอบไม้ไอศกรีมไม่แข็งแรงพอทำให้เกิดการวิบัติจุดต่อส่วนของก้านโครงสะพานไม้ไอศครีม รูปภาพที่4.8 ภาพการวิบัติของโครงสะพานไม้ไอศครีม
89 4.1.4 โครงสะพานไม้ไอศกรีมที่เสร็จสมบูรณ์ครั้งที่2 รูปภาพที่4.9ภาพด้านหน้าของสะพาน รูปภาพที่ 4.10 ภาพด้านข้างของสะพาน