ใบงำนที่ 1 34
ช่ือวชิ ำ ศิลปะเชงิ พำณิชย์
ชอ่ื หนว่ ย หลักกำรศิลปะเชิงพำณิชย์ รหัส 2202-2112
ตอนที่ 2 จงตอบคำถำมต่อไปนีใ้ ห้ไดใ้ จควำมสมบูรณ์ (ทำลงในสมุด)
1. จงอธบิ ายความหมายของศิลปะ ความหมายในวงแคบ มาพอเขา้ ใจ
2. ประเภทและสาขาของศลิ ปะ มีกส่ี าขา อะไรบา้ ง
3. จงอธบิ ายงานประติมากรรมทาไดก้ ่ีวธิ ี อะไรบา้ ง พรอ้ มยกตัวอยา่ ง
4. จงอธบิ ายความหมายของ มัณฑนศลิ ป์ Decorative Art
5. จงอธิบาย ความเปน็ มาของ “ช่างสิบหมู่” ว่ามคี วามเป็นมาอยา่ งไร และประกอบด้วยอะไรบ้าง
จงตอบมาอย่างละเอียด
35
บทท่ี2 องค์ประกอบของศิลปะ
สำระสำคญั
สงิ่ ต่างๆ ท่ีเราจะนามาบรู ณาการเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย จุด, เส้น, รูปร่าง– รปู ทรง, ลกั ษณะผิว, สี,
เฉกเช่น ร่างกายของเราประกอบด้วย ส่วนประกอบย่อยๆ คือ ศีรษะ จมูก ปาก ตา หู ลาตัว แขน ขา และ
อวัยวะ น้อยใหญ่มากมายหากอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดมีความบกพร่อง หรือขาดหายไป เราก็จะกลายเป็นคน
พิการ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลาบาก และไม่ได้รับความสุขสมบูรณ์เท่าท่ีควรในงานศิลปะก็เช่นกัน จาเป็น
ต้องมีส่วนประกอบต่าง ๆ ของศิลปะที่นามาจัดประสานสัมพันธ์กัน ให้เกิดคุณค่า ทางความงามเราเรียกว่า
องคป์ ระกอบศิลป์ (Composition)
องค์ประกอบของศิลปะ
เป็นองค์ประกอบท่ีถูกกาหนดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นองค์ประกอบ มูลฐานของ ความงาม ในการ
ออกแบบ จาเป็นต้องเข้าใจคุณค่าและมูลฐาน ท่ีสาคัญของความงาม สามารถนาไปใช้ให้เกิดความกลมกลืน
องค์ประกอบของศิลปะประกอบด้วย จุด (point) เส้น (line) สี (colour) รูปร่างรูปทรง (shape and form)
ลกั ษณะผิว (texture) ลวดลาย (pattern) และชอ่ งว่าง (space or volumn)
๑. จดุ (point)
ถือว่าเป็นส่วนประกอบท่ีเล็กท่ีสุด ท่ีจะเร่ิมต้น ไปสู่ส่วนอ่ืน ๆ จึงเป็นจุดที่มีมวล (mass) และมี
ปริมาตร ได้ด้วย จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ก็ได้ การใช้จุด ก็เพ่ือบอกถึงความต่อเนื่อง เช่ือมโยง การเน้นนา
สายตา หรือจะใช้เน้น ให้เกิดความเด่น ขององค์ประกอบอื่น ๆ ก็ได้ จุดจะกาหนดตาแหน่งในท่ีว่าง โดย
ความรู้สึกของเราแล้ว จุดไม่มีความยาว ความกว้าง และความลึก ฉะน้ันจุดจึงอยู่น่ิง ไม่มีการเคลื่อนไหว
(static) ไมม่ ีทิศทาง และเปน็ ศนู ยร์ วม ( centralized)
๒. เส้น (line)
36
เส้นในทางเรขาคณิตหรือในทาง การเขียนแบบนั้น หมายถึง จุดที่เรียงต่อ ๆ กันส่วนใหญ่ใช้เคร่ืองมือ
เขียนแบบกาหนดขนาดและทิศทางแต่เส้นในการออกแบบจะมีอิสระทั้ง ขนาด ทิศทาง ระยะ มีสภาพเป็น ตัว
แบง่ พน้ื ท่ี หรอื กาหนดบริเวณว่าง (space) และสร้างรูปทรง ขององค์ประกอบ ตา่ ง ๆ เส้นในการออกแบบจะ
ให้ความรู้สึกต่อการมองด้วย เช่น ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหว ความต่อเน่ืองสัมพันธ์ และการนาสายตา ลักษณะ
ของเสน้ ในการ ออกแบบ มลี ักษณะตา่ ง ๆ เชน่
– เสน้ ตั้งตรง ใหค้ วามรู้สกึ มัน่ คง แขง็ แกรง่ แน่นอน ตรง สงา่ แสดงถงึ ความสูง เส้นตง้ั ที่ประกฏในสวน
เชน่ ตน้ ไม้ เสาโคมไฟ กาแพง ร้วั
– เส้นนอนหรือเส้นระดับ ให้ความรู้สึกราบเรียบ สงบ พักผ่อน เช่น เส้นท่ีขอบฟ้า ไกล ตัดกับทะเล
ยามเยน็ ในทางการจดั สวนเส้นนอนจะสรา้ งพน้ื ทใ่ี นทางราบ เชน่ สนามหญา้ ผิวน้า ทางเดิน เส้นท่เี กดิ จากการ
ตดั แตง่ ตน้ ไม้ เชน่ แนวของเข็มญ่ีปนุ่ แสยก อิทธพิ ลของเส้นนอนในสวนจะช่วยลด ความสงู โดดของเสน้ ต้ัง ถือ
เปน็ มติ ิ ลวงตา
– เสน้ โคง้ ใหค้ วามรู้สกึ นุม่ นวล ออ่ นไหว สบาย และความเปน็ อิสระ การเคลือ่ นท่ี จะเหน็ ได้ว่า ในการ
ออกแบบสวน จะใช้เสน้ โคง้ มาก เช่น เส้นที่ไหลคดเคยี้ ว ของสนามหญ้า ทางเดินเทา้ ถนน สระนา้
– เส้นทะแยง เส้นขวาง เส้นซิกแซก เส้นเหล่าน้ีให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว รวดเร็ว ตื่นเต้น แข็งกร้าว
อิทธิพลของเส้นลกั ษณะน้ี คือ ความมแี บบแผน น่าเกรงขาม จงึ เป็นเส้นท่ีมกั ใช้ ตกแต่งสวนประดษิ ฐ์
๓. รปู รา่ งและรปู ทรง (form and shape)
เมอ่ื เรามองเหน็ ตน้ ไม้ เส้นรอบนอกของทรงพุ่มทมี่ ลี ักษณะ คดโค้ง หรอื เสน้ ตง้ั ของลาตน้ ซง่ึ เป็นเส้น
รอบรปู ทีต่ ดั กับบริเวณว่าง สิง่ น้ัน คอื รูปร่าง (form) มี ๒ มิติ (กวา้ งกับยาว) สว่ นเน้ือทีภ่ ายในของทรงพุ่มหรือ
ทรงกระบอก ของลาต้นน้ัน เป็นรูปทรง (shape) มี ๓ มิติ ให้ความรู้สกึ เป็นกลมุ่ ก้อน มีน้าหนัก มีเน้ือที่ภายใน
(กวา้ ง ยาว และลึก)
– รปู ร่าง รูปทรงธรรมชาติ เปน็ รปู รา่ งที่เกิดขึน้ ตามธรรมชาติ
– รูปร่าง รูปทรงเรขาคณิต เป็นรูปร่างท่ีประกอบด้วยเส้นตรงและเส้นโค้ง เช่น รูปครึ่งวงกลม รูป
วงกลม รูปสามเหลี่ยม รปู สีเ่ หลยี่ ม รูปหา้ เหลย่ี ม เป็นต้น
– รูปร่าง รูปทรงอิสระ เป็นรูปร่าง รูปทรงต่าง ๆ ท่ีนอกเหนือจากรูปร่าง ธรรมชาติ และรูปร่าง
เรขาคณติ
๔. มวลและปริมาตร (mass and volume)
มวล หมายถึง เน้ือทั้งหมดของสาร ถ้าเป็น พุ่มไม้ ก็คือ พ้ืนที่ภายในทรงพุ่มท้ังหมด มวลของหิน คือ
เน้อื ท่ีแข็งแกร่งของหิน
ปริมาตร (volume) คือ พ้นื ท่กี ินระวางในอากาศหรือบรเิ วณว่าง (space) ของวตั ถุต่าง ๆ กาหนดเป็น
รูปทรงท่ีแสดงเป็น ๓ มิติ การกาหนดมวลและปริมาตร มักจะถูกเรียกกลืนไปกับ เรื่องของเนื้อที่และปริมาณ
37
เช่น ใช้พันธุ์ไมใ้ นปรมิ าณท่มี าก ๆ มาปลูกรวมกนั เพอ่ื สร้างเนื้อท่ี ดังน้ันในการจดั วางองค์ประกอบตา่ ง ๆ ลงใน
พื้นท่ี จึงตอ้ งคานึงถงึ ปริมาณของวตั ถุและการใชเ้ นื้อที่
๕. ผวิ สมั ผสั (texture)
หมายถึง ลักษณะพ้ืนผิวหน้าของวัตถุ เม่ือสัมผัสจับต้อง หรือมองเห็นแล้วรู้สึกได้ว่าหยาบ ละเอียด
เป็นมัน ขรขุ ระ เป็นเสน้ เป็นจดุ เปน็ กามะหยี่ หรอื พ้นื ผิวสัมผัสเรียบ สม่าเสมอ จะใหล้ กั ษณะผวิ สัมผสั ละเอียด
(Fine texture) ความรู้สึก ตอ่ ลักษณะผวิ
– ลักษณะผิวทเ่ี รยี บ จะใหค้ วามรู้สกึ ลื่น คลอ่ งตวั รวดเร็ว
– ส่วนลักษณะผิวที่ขรขุ ระ หยาบ หรือเนน้ เสน้ สูงตา่ จะใหค้ วามรสู้ กึ ม่ันคง แขง็ แรง
๖. ลวดลาย (pattern)
ลวดลายในการจัดสวน เป็ฯการจัดตกแต่งพื้นผิว (surface) ด้วยลักษณะต่าง ๆ ให้เห็นเป็นลวดลาย
ข้ึน อาจจะจัดโดยใช้ลักษณะซ้า ๆ กันของ จุด เส้น สี หรือรูปร่างบนพ้ืนผิว เพ่ือปรุงแต่งพ้ืนผิวให้สวยงาม ผิว
พ้ืนในสวน ทสี่ ามารถกาหนด ลวดลายลงไปได้ เชน่
– พื้นผิวท่ีใหค้ วามรูส้ กึ อ่อนน่มุ (sorf surface) ไดแ้ ก่ สนามหญ้า พน้ื ท่ีโรยกรวด ทราย
– ผิวพน้ื ที่ให้ความร้สู กึ กระดา้ ง (hard surface) ได้แก่ พ้นื ซิเมนต์ พื้นศิลาแลง พ้นื อฐิ หรอื พ้นื หินขดั
– พืน้ ผิวทใ่ี ห้ความรู้เสึกค่อนข้างแข็ง (Semi-hard surface) ได้แก่ พนื้ ซเิ มนต์สลบั ปหู ญา้
1.1 ความหมายขององคป์ ระกอบศิลป์
คาว่าองค์ประกอบ ตามความหมายพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน คือ ส่วนต่างๆที่ประกอบกันทาให้
เกิดรูปรา่ งใหม่ขึน้ โดยเฉพาะ
องค์ประกอบศิลป์ หมายถึง ส่ิงที่ศิลปินและนักออกแบบใช้เป็นสื่อในการแสดงออกและสร้าง
ความหมาย
โดยนามาจัดเข้าด้วยกันและเกิดรูปร่างอันเด่นชัด (สวนศรี ศรีแพงพงษ์ : 82) องค์ประกอบศิลป์
หมายถงึ เครอื่ งหมายหรือรปู แบบทน่ี ามาจดั รวมกันแลว้ เกิดรูปร่างต่างๆ ทแี่ สดงออกในการส่ือ
1.2 ความสาคญั ขององค์ประกอบศิลป์
ความสาคัญขององค์ประกอบศิลป์ ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในสาขาต่างๆไม่ว่าจะเป็นสาขา
วิจิตรศิลป์หรือประยุกต์ศิลป์ ผู้สร้างสรรค์นั้นต้องมีความรู้เบ้ืองต้นด้านศิลปะมาก่อน และศึกษาถึงหลักการ
องค์ประกอบพ้ืนฐานองค์ประกอบท่ีสาคัญ การจัดวางองค์ประกอบเหล่านั้น รวมถึงการกาหนดสี ในลักษณะ
ต่างๆเพม่ิ เติมให้เกิดความเขา้ ใจเพ่ือเวลาท่ีสร้างผลงานศิลปะ จะไดผ้ ลงานท่ีมีคุณค่า ความหมายและความงาม
เป็นที่น่าสนใจแก่ผู้พบเห็นหากสร้างสรรค์ผลงานโดยขาดองค์ประกอบศิลป์ ผลงานนั้นอาจดูด้อยค่า หมด
ความหมายหรือไมน่ ่าสนใจไปเลย
38
ดังน้ัน จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบศิลป์น้ันมีความสาคัญอย่างมากในการสร้างงานศิลปะมีนักการศึกษา
ดา้ นศลิ ปะหลายทา่ นได้ใหท้ รรศนะในด้านความสาคญั ขององค์ประกอบศลิ ป์ท่มี ีต่อการสร้างงานศลิ ปะไว้
พอจะสรปุ ได้ดงั นี้
การสร้างสรรค์งานศิลปะให้ได้ดีน้ัน ผู้สร้างสรรค์จะต้องทาความเข้าใจกับองค์ประกอบศิลป์เป็น
พ้ืนฐานเสียก่อนไม่เช่นนั้นแล้วผลงานท่ีออกมามักไม่สมบูรณ์เท่าไรนักซ่ึงองค์ประกอบหลักของศิลปะก็คือ
รูปทรงกบั เนอ้ื หา(ชลดู น่มิ เสมอ)
องค์ประกอบศิลป์เป็นเสมือนหวั ใจดวงหนึ่งของการทางานศิลปะ เพราะในงานองค์ประกอบศิลปห์ นง่ึ
ชน้ิ จะประกอบไปดว้ ย การร่างภาพ(วาดเสน้ ) การจัดวางให้เกดิ ความงาม (จดั ภาพ) และการใช้ส(ี ทฤษฎสี )ี ซง่ึ แต่
ละอย่างจะต้องเรียนรู้สู่รายละเอียดลึกลงไปอีก องค์ประกอบศิลป์จึงเป็นพื้นฐานสาคัญท่ีรวบรวมความรู้
หลายๆอยา่ งไวด้ ว้ ยกัน จงึ ต้องเรียนรกู้ อ่ นทจ่ี ะศกึ ษาในเรอื่ งอน่ื ๆ (อนันต์ ประภาโส)
1.2.2 หลักการจดั องค์ประกอบพื้นฐาน
1. เอกภาพ หมายถงึ ความเปน็ อนั หนึ่งอันเดียวกนั ความสอดคลอ้ งกลมกลนื เป็นหน่วยเดยี วกัน
ด้วยการจัดองค์ประกอบให้มีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกันเป็นกลุ่มก้อนไม่กระจัดกระจาย โดยการจัดระเบียบ
ของรูปทรง จังหวะ เนื้อหาใหเ้ กิดดลุ ยภาพจะได้ส่อื อารมณ์ ความร้สู ึก ความหมายได้ง่ายและรวดเรว็
39
2. ดุลยภาพ (Balance) ความสมดุลหรือดุลยภาพ หมายถึง ความเท่ากันเสมอกัน มีน้าหนัก หรือ
ความกลมกลืนพอเหมาะพอดี โดยมีแกนสมมติทาหน้าท่ีแบ่งภาพให้ซ้ายขวา บน ล่าง ให้เท่ากัน การเท่ากัน
อาจไมเ่ ทา่ กันจริง ๆ ก็ได้ แต่จะเทา่ กันในความร้สู ึกตามที่ตามองเหน็ ความสมดุลแบ่งเปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี
1. ความสมดุล 2 ข้างเท่ากัน (Symmetrical Balance) หมายถึง การจัดวางองค์ประกอบ
ตา่ ง ๆ ของศลิ ปะให้ทัง้ 2 ขา้ งแกนสมมติมขี นาด สัดสว่ น และนา้ หนักเท่ากนั หรอื มรี ูปแบบเหมอื นกันคลา้ ยกัน
2. ความสมดุล 2 ข้างไม่เท่ากัน (Asymmetrical Balance) หมายถึง การจัดองค์ประกอบ
ของศิลปะ ทั้ง 2 ข้างแกนสมมติมีขนาดสัดส่วนน้าหนักไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ไม่เสมอกัน แต่สมดุลกันใน
ความรู้สึกความสมดุล 2 ข้างไม่เท่ากัน คือภาพมีความสมดุลย์ของเนื้อหาและเรื่องราวแต่ไม่เท่ากันในเร่ือง
ขนาด นา้ หนกั
3. จุดเด่น (Dominance) หมายถึงส่วนสาคัญท่ีปรากฏชัด สะดุดตาที่สุดในงานศิลปะ จุดเด่นจะชว่ ย
สร้างความน่าสนใจในผลงานให้ภาพเขียนมีความสวยงาม มีชีวิตชีวาย่ิงขึ้น จุดเด่นเกิดจากการจัดวางที่
เหมาะสม และรจู้ กั การเนน้ ภาพ (Emphasis) ท่ดี ี จดุ เดน่ มี 2 แบบ คือ
1.จุดเด่นหลัก เป็นภาพท่ีมีความสาคัญมากท่ีสุดในเร่ืองที่จะเขียน แสดงออกถึงเร่ืองราวที่
ชัดเจน เดน่ ชัดทีส่ ุดในภาพ
2.จุดเด่นรอง เป็นภาพประกอบของจุดเด่นหลัก ทาหน้าท่ีสนับสนุนจุดเด่นหลัก ให้ภาพมี
ความสวยงามย่ิงขนึ้ เช่น ในภาพจดุ เด่นรองไดแ้ ก่ รูปเรือ
4. ความขดั แย้ง (Contrast) ขดั แย้งด้วยรูปทรงขดั แย้งด้วยขนาดขัดแย้งดว้ ยเส้นขัดแยง้ ดว้ ยผวิ ขัดแย้ง
ด้วยสคี วามขัดแย้งที่กลา่ วมาถกู จัดวางเพือ่ ใหเ้ กดิ ความงามทางศลิ ปะ
5. ความกลมกลนื (Harmony) ภาพด้านลา่ งเปน็ ความกลมกลืนด้านเร่ืองราวท่ีสอดคล้องเป็นเรื่องราว
เกยี่ วกบั ธรรมชาติ และเป็นความกลมกลนื ในเรอ่ื งสวี รรณะเดียวกนั
1.3 ทัศนศิลป์
ทัศนศิลป์ คือ กระบวนการถ่ายทอดผลงานทางศิลปะ การทางานศิลปะอย่างมีจิตนาการความคิด
สร้างสรรค์มีระบบระเบียบเป็นข้ันเป็นตอนการสร้างสรรค์งานอย่างมีประสิทธิภาพสวยงาม มีการปฏิบัติงาน
ตามแผนและมกี ารพัฒนาผลงานให้ดขี นึ้ ตอ่ เนือ่ ง
ทัศนศิลป์คือการรับรู้ทางจักษุประสาท โดยการมองเห็น สสาร วัตถุ และสรรพส่ิงต่าง ๆ ที่เข้ามา
กระทบ รวมถึงมนุษย์ และสัตว์ จะด้วยการหยุดนิ่ง หรือเคล่ือนไหวก็ตาม หรือจะด้วยการปรงุ แต่ง หรือไม่ปรุง
แตง่ ก็ตาม กอ่ ให้เกิดปัจจยั สมมุตติ อ่ จิตใจ และอารมณข์ องมนษุ ย์ อาจจะเป็นไปในทางเดยี วกันหรอื ไมก่ ็ตาม
ทัศนศิลป์เป็นการแปลความหมายทางศิลปะ ที่แตกต่างกันไปแต่ละมุมมอง ของแต่ละบุคคล ในงาน
ศิลปะชิ้นเดียวกัน ซง่ึ ไรข้ อบเขตทางจินตนาการ ไมม่ กี รอบทแ่ี น่นอน ขน้ึ กับอารมณ์ของบุคคลในขณะทัศน์ศิลป์
นัน้
40
แนวคิดทัศนศิลป์เป็นศิลปะที่รับรู้ได้ด้วยการมอง ได้แก่รูปภาพวิวทิวทัศน์ท่ัวไปเป็นสาคัญอันดับต้นๆ
รูปภาพคนเหมือน ภาพล้อ ภาพส่ิงของต่างๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นเร่ืองของทัศนศิลป์ด้วยกันท้ังสิ้น ซึ่งถ้ากล่าวว่า
ทัศนศลิ ปเ์ ป็นความงามทางศลิ ปะทไ่ี ดจ้ ากการมอง หรอื ทัศนา นนั่ เอง
1.4 ทัศนธาตุ
1. จุด (Dot) หมายถึง รอยหรือแต้มที่มีลักษณะกลมๆ ปรากฏท่ีผิวพ้ืน ไม่มีขนาด ความกว้าง ความ
ยาว ความหนา เป็นส่งิ ท่ีเลก็ ที่สุดและเป็นธาตเุ ร่มิ แรกทที่ าใหเ้ กดิ ธาตุอืน่ ๆ ข้นึ
2. เส้น (Line) คือ จดุ หลาย ๆ จุดต่อกันเป็นสาย เป็นแถวแนวไปในทศิ ทางใดทศิ ทางหน่ึงเปน็ ทางยาว
หรือจุดที่เคล่ือนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหน่ึงด้วยแรงผลักดัน หรือรอยขูดขีดเขียนของวัตถุเป็นรอยยาว เส้น
แบง่ เปน็ ลกั ษณะใหญ่ ๆ 2 ลกั ษณะ
ทฤษฎสี ี วรรณะของสี
รูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นรอบนอกทางกายภาพของวัตถุ ส่ิงของเคร่ืองใช้ คน สัตว์ และ พืช มี
ลกั ษณะเป็น 2 มติ ิ มคี วามกวา้ งและความยาวรปู รา่ ง แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1.รปู ร่างธรรมชาติ (Natural Shape) หมายถงึ รปู รา่ งทเ่ี กดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ เช่น คน สัตว์ และ
พืช เปน็ ต้น
2.รูปร่างเรขาคณิต (Geometrical Shape) หมายถึง รูปร่างที่มนุษย์สร้างข้ึนมีโครงสร้างแน่นอน เช่น
รูปสามเหล่ยี ม และรปู วงกลม เปน็ ต้น
3.รูปร่างอสิ ระ (Free Shape) หมายถึง รูปร่างทเ่ี กิดข้ึนตามความต้องการของผูส้ รา้ งสรรค์ ให้ความรสู้ กึ
ท่ีเป็นเสรี ไม่มีโครงสร้างท่ีแน่นอนของตัวเอง เป็นไปตามอิทธิพลของส่ิงแวดล้อม เช่น รูปร่างของหยดน้า
เมฆ และควนั เปน็ ตน้
รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างทั้งหมดของวัตถุที่ปรากฎแก่สายตาในลักษณะ 3 มิติ คือมีท้ัง
ส่วนกว้าง ส่วนยาว ส่วนหนาหรือลึก คือ จะให้ความรู้สึกเป็นแท่ง มีเนื้อท่ีภายใน มีปริมาตร และมี
น้าหนกั
สี พ้ืนผวิ การใช้ผวิ
น้าหนักอ่อน-แก่ (Value) หมายถึง จานวนความเข้ม ความอ่อนของสีต่าง ๆ และแสงเงาตามท่ี
ประสาทตารับรู้ เมื่อเทียบกับน้าหนักของสีขาว-ดา ความอ่อนแก่ของแสงเงาทาใหเ้ กิดมิติ เกิดระยะใกล้ไกล
และสัมพันธ์กับเร่ืองสีโดยตรง
41
สี (Color) หมายถึง สิ่งที่ปรากฏอยู่ท่ัวไปรอบ ๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสีที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ
หรือ ส่ิงที่มนุษย์สร้างขึ้น สีทาให้เกิดความรู้สึกแตกต่างมากมาย เช่น ทาให้รู้สึกสดใส ร่าเริง ต่ืนเต้น
หม่นหมอง หรอื เศร้าซึมได้ เป็นต้น
สีและการนาไปใช้
1.วรรณะของสี (Tone) จากวงจรสีธรรมชาติ ในทางศิลปะได้มีการแบ่งวรรณะของสีออกเป็น 2
วรรณะ คือ สีวรรณะร้อน ได้แก่สีท่ีให้ความรู้สึกอบอุ่นหรือร้อน เช่น สีเหลือง ส้มเหลือง ส้ม ส้มแดง
แดง ม่วงแดง เปน็ ต้น สว่ นสวี รรณะเยน็ ได้แก่ สีท่ีให้ความรสู้ กึ เย็น สงบ สบาย เช่น สีเขยี ว เขยี วเหลือง
เขยี วน้าเงนิ นา้ เงิน มว่ งน้าเงนิ ม่วง เป็นต้น
2.ค่าของสี (Value of color) หมายถึง สีใดสีหน่ึงทาให้ค่อย ๆ จางลงจนขาวหรือสว่างและทาให้
คอ่ ย ๆ เขม้ ขึน้ จนมืด
3.สีเอกรงค์ (Monochrome) หมายถึง สีที่แสดงอิทธพิ ลเด่นชดั ออกมาเพียงสเี ดียว หรือใช้เพยี งสี
เดยี วในการเขยี นภาพโดยให้ค่าของสอี อ่ น กลาง แก่ คล้ายกับภาพถา่ ย ขาว ดา
4.สีส่วนรวม (Tonality) หมายถึง สีใดสีหน่ึงท่ีให้อิทธิพลเหนือสีอ่ืนท้ังหมด เช่น การเขียนภาพ
ทวิ ทัศน์ ปรากฏสสี ว่ นรวมเป็นสีเขียว สีน้าเงิน เป็นต้น
5.สีตรงข้ามกันหรือสีตัดกัน (Contrast) หมายถึง สีที่อยู่ตรงกันข้ามในวงจรสีธรรมชาติ เช่นสีแดง
กับสเี ขียว สนี ้าเงินกบั สสี ้ม สมี ่วงกับสีเหลือง
บริเวณว่าง (Space) หมายถึง บริเวณท่ีเป็นความว่างไม่ใช่ส่วนท่ีเป็นรูปทรงหรือเนื้อหาาในการจัด
องค์ประกอบใดก็ตามถ้าปล่อยให้มีพ้ืนที่ว่างมากและให้มีรูปทรงน้อย การจัดน้ันจะให้ความรู้สึกอ้างอ้าง โดด
เด่ียว
พื้นผิว (Texture) หมายถึง พื้นผิวของวัตถุต่าง ๆ ท่ีเกิดจากธรรมชาติและมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน พ้ืนผิว
ของวัตถทุ ี่แตกตา่ งกัน ย่อมให้ความรู้สกึ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ด้วย
42
แบบทดสอบบทท่ี 2
ตอนที่ 1 จงเลอื กคำตอบทถี่ ูกต้องที่สดุ เพียงขอ้ เดียว
1. ขอ้ ใดต่อไปน้ี หมายถึง องค์ประกอบศลิ ป์ 6. ขอ้ ใด หมายถึง จังหวะของภาพ
ก. แสง เงา ก. การใส่เสน้ บรรทัดในภาพ
ข. รูปรา่ ง รูปทรง ข. การวาดโน้ตดนตรีในภาพ
ค. ขนาด น้าหนัก ค. การเคาะจังหวะในภาพ
ง. พ้ืนผิว ง. การจัดวางองคป์ ระกอบภาพ
2. ขอ้ ใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ การจัดองค์ประกอบศลิ ป์ 7. ภาพท่ีมีขนาดใกล้เคียงกัน สีใกล้เคียงกัน นามา
ก. เอกภาพ จัดรวมกันตรงกับหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ใน
ข. ความเหมาะสม ข้อใด
ค. ความกลมกลนื ก. ความกลมกลืน
ง. จุดเดน่ ข. ความเทา่ เทียม
3. ภาพที่มีลักษณะสัมพันธ์กันเป็นกลุ่มก้อนไม่ ค. ความเสมอภาพ
กระจัดกระจายตรงกับหลักการจัดองค์ประกอบ ง. ความคล้ายคลึง
ศลิ ป์ในข้อใด 8. ภาพที่มีความขัดแย้งกันภายในภาพ ขาดความ
ก. เอกภาพ กลมกลืน แต่ทาให้ภาพดูน่าสนใจตรงกับหลักการ
ข. เกาะกลุ่ม จัดองคป์ ระกอบศลิ ป์ในข้อใด
ค. กลมกลนื ก. ลกั ษณะตรงข้าม
ง. สมดุล ข. การตดั กนั
4. ภาพท่ีมีลักษณะทั้งสองข้างเท่ากัน มีขนาด ค. ลดความกลมกลนื
สัดส่วนเท่ากันตรงกับหลักการจัดองค์ประกอบ ง. ความขดั แยง้
ศิลปใ์ นขอ้ ใด 9. การจดั แบบทม่ี ีการลดหลั่น มีลกั ษณะอยา่ งไร
ก. ความกลมกลนื ก. จดั จากใหญ่ไปเล็ก
ข. ความเทา่ เทยี ม ข. จัดให้มีการสลับกัน
ค. ความสมดลุ ค. จัดให้มีขนาดเทา่ กนั
ง. ความขัดแย้ง ง. จดั ให้เปน็ ลกั ษณะหมุนวน
5. ภาพท่ีมีส่วนสาคัญปรากฏชัดอยู่ตรงกลางเพียง 10. การจัดจังหวะแบบสลับไปมา มีลักษณะ
ส่ิงเดียวตรงกับหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ในข้อ อย่างไร
ใด ก. จากผวิ เรียบไปผวิ หยาบ
ก. ก่งึ กลาง ข. จากขนาดเล็กไปขนาดใหญ่
ข. ชัดเจน ค. การสอี อ่ นไปสเี ขม็
ค. เอกภาพ ง. จัดสงู บา้ ง ตา่ บ้าง
ง. จดุ เดน่
ใบงำนที่ 2 43
ชื่อวิชำ ศิลปะเชิงพำณิชย์
ชื่อหนว่ ย องค์ประกอบของศลิ ปะ รหสั 2202-2112
ตอนท่ี 2 จงตอบคำถำมตอ่ ไปนี้ใหไ้ ดใ้ จควำมสมบรู ณ์ (ทำลงในสมุด)
1. เสน้ นอนใหค้ วามรูส้ กึ อยา่ งไร
2. เสน้ ตง้ั ให้ความรู้สึกอย่างไร
3. เสน้ โคง้ ให้ความรู้สึกอยา่ งไร
4. ดลุ ยภาพ คือ
5. วรรณะของสมี กี ปี่ ระเภท อะไรบ้าง
44
บทท่ี3 ทฤษฎกี ารตกแตง่ การออกแบบ
และตกแตง่ เชิงพาณชิ ย์
สำระสำคัญ
ความหมายการออกแบบวา่ เป็นการออกแบบซ่ึงเป็นความพยายามของมนุษยใ์ นการสรา้ งสรรค์สง่ิ ใหม่
หรือปรับปรงุ ส่ิงทีม่ ีอยเู่ ดิมให้มีความเหมาะสมมากข้นึ เพื่อแก้ปญั หาและตอบสนองความตอ้ งการทั้งด้านความ
งามและประโยชนใ์ ช้สอย การออกแบบแฝงอยูใ่ นงานทกุ ประเภท ทั้งน้ีเพราะการออกแบบเป็นกระบวนการใน
การแกป้ ัญหาด้วยความคิดสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ การออกแบบมีววิ ฒั นาการอย่างต่อเนื่องโดยลาดบั
หลกั กำรออกแบบ
เว็บเพือ่ การเรียนการสอนเป็นเวบ็ ท่ตี ้องมีความสวยงามและดึงดดู สายตา เชน่ เดียวกับเวบ็ ไซต์
อ่ืนๆ ในขณะเดียวกนั ภาพลักษณ์ของเว็บเพ่ือการศึกษาจะต้องน่าเชอื่ ถอื และชวนเชิญผ้เู รยี นดว้ ยวิธีการ
นาเสนอสาระ ที่กระต้นุ และช้ีแนะให้ผเู้ รยี นมีแรงจงู ใจทีจ่ ะดาเนินตามกิจกรรมการเรยี นร้ใู ห้บรรลุตาม
วัตถุประสงค์ ดังจะต้องคานึงถงึ ปัจจัยต่างๆในการออกแบบไดแ้ ก่
1.) การกาหนดภาพลกั ษณข์ องเวบ็ ไซต์
2.) การกาหนดแบบแผนสี
3.) การกาหนดโครงรา่ งเว็บ
ประเภทของกำรออกแบบ ทฤษฎกี ำรออกแบบ
การแสดงออกทางด้านการออกแบบ เปน็ การสรา้ งสรรค์งานศลิ ปะในรูปแบบใหมๆ่ ขึน้ มานั้น มคี วาม
แตกต่างกันตามกระบวนการคิด และสตปิ ัญญาของแต่ละบุคคล ซึ่งขน้ึ อยกู่ บั ความประทับใจทจ่ี ะชว่ ยสร้างแรง
บนั ดาลใจตอ่ ผูอ้ อกแบบ โดยคานงึ ถึงความต้องการ ความสวยงาม ความกลมกลนื ของรูปทรง สี รวมทงั้ สะท้อน
ให้เหน็ ถึงรสนิยมอนั ทันสมยั และความก้าวหนา้ ในเรื่องนจี้ ะกล่าวถงึ การออกแบบทางประยุกต์ศลิ ป์ ซงึ่ สาคญั
ทจี่ ะเน้นหน้าท่ีและประโยชนใ์ ชส้ อยเปน็ อันดบั แรก สว่ นความงามจะตามมาเป็นอันดบั รอง หรือถ้าไดท้ ้งั
ประโยชนใ์ ช้สอยและความสวยงามได้ก็จะเป็นการดีอยา่ งยงิ่ ดังนั้นงานออกแบบจึงเป็นการนาเอาองคป์ ระกอบ
ต่างๆ และหลกั การออกมาพิจารณาออกแบบชนิ้ งานข้ึนตามประเภทของการใช้สอยต่างๆ กัน ซง่ึ พอจะแยก
เป็นประเภทได้ดังน้ี
45
1. การออกแบบตกแต่ง (Decorative designs)
2. การออกแบบพาณิชศิลป์ (Commercial designs)
3. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Productive designs)
4. การออกแบบส่ือสาร (Communicative designs)
1. กำรออกแบบตกแต่ง (Decorative designs)
การออกแบบตกแตง่ เป็นการออกแบบเพ่ือชว่ ยเสรมิ เติมแตง่ รูปลักษณ์ของโครงสรา้ งให้
งดงามน่าดูยิ่งขนึ้ เพื่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ใชส้ อยโดยคานงึ ถึง วัสดุรูปแบบ สดั ส่วน และสีสนั เป็นสาคญั เปน็ งาน
ตกแตง่ ท่ีมขี นาดเลก็ ๆ จนถงึ มีโครงสร้างขนาดใหญ่ๆ ประเภทของงานออกแบบตกแต่งมีดงั นี้
1.1 การออกแบบตกแต่งภายใน หมายถงึ การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มภายในอาคาร บ้านเรือน หรือ
สถานทีต่ า่ งๆ ซ่ึงสัมพนั ธ์กับการใชส้ อยในชีวติ ประจาวัน ให้เกดิ ความสะดวกสบายเหมาะสมตอ่ การใช้สอย และ
ความงามในรูปแบบ โดยการจดั วางกลมุ่ ของเคร่ืองเรือน เช่น โต๊ะ เกาอี้ ชั้นวางของ ตู้ เตียง โคมไฟ มา่ น เป็น
ตน้
46
1.2 การตกแตง่ ภายนอก หมายถงึ การจัดตกแต่งบรเิ วณภายนอกอาคาร สถานท่ี เปน็ การจดั
สภาพแวดล้อมใหส้ ัมพันธ์กับอาคารรวมทั้งการจัดถนน ทางเดนิ สญั จร กล่มุ ของต้นไม้ และการดูแลรักษา
รูปแบบของการจดั เช่นเดียวกันกบั การตกแตง่ ภายใน
2. กำรออกแบบพำณิชศิลป์ (Commercial designs)
การออกแบบพาณชิ ศลิ ป์ เปน็ การออกแบบทีม่ ลี ักษณะคลา้ ยกับการออกแบบผลิตภัณฑแ์ ละการ
ออกแบบตกแตง่ แตเ่ นน้ หนักไปทางด้านการโฆษณา ประชาสมั พนั ธ์ การจัดแสดงสนิ ค้าในร้านค้าและตโู้ ชว์
สินคา้ และปา้ ยประกาศ การออกแบบลกั ษณะน้ีผู้ออกแบบจะต้องออกแบบให้ดูเด่นชัดสะดดุ ตา การออกแบบ
พาณชิ ศิลป์ แบง่ ออกเปน็ ลักษณะต่างๆ ได้ดงั ต่อไปน้ี
2.1 การออกแบบเก่ยี วกับเคร่ืองแตง่ กาย ได้แก่ เสื้อ กางเกง กระโปรง รองเทา้ ถุงเท้า เคร่ืองประดับ
ตา่ งๆ รวมทงั้ แฟช่นั การแต่งกายทั้งหลาย ซ่ึงมีการเปลย่ี นแปลงรวดเร็ว ผู้ออกแบบจะต้องออกแบบให้ทนั สมัย
ตามความนยิ มของสังคมเสมอ
2.2 การออกแบบตกแตง่ หนา้ ร้านคา้ และเวที เปน็ การแสดงผลงานด้านการค้า รวมถึงการจัดตูโ้ ชว์
เพื่อให้ดงึ ดดู ความสนใจผู้พบเหน็
2.3 การออกแบบโฆษณา เปน็ การออกแบบเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผพู้ บเห็น มีลักษณะทสี่ ะดุด
ตา ท้ังภาพและตวั อักษร ให้เข้าใจได้งา่ ย และจดจาไดร้ วดเร็ว เช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์ ทางหนงั สอื พมิ พ์
โปสเตอร์ ป้ายประกาศ เปน็ ต้น
47
2.4 การออกแบบส่ิงพิมพ์ เป็นการออกแบบท่เี กย่ี วข้องกับกระบวนการพมิ พ์ จะเปน็ งานพมิ พด์ ว้ ยวิธี
ใดกต็ าม ท่ีมคี วามชัดเจน ประณตี งดงาม ทง้ั ข้อความและเส้นขอบงาน เช่น งานออกแบบตวั อกั ษร งาน
ออกแบบจัดหนา้ หนังสือและปก การออกแบบบัตรชนดิ ตา่ งๆ เป็นตน้
2.5 การออกแบบสญั ลักษณส์ ่ือความหมาย เป็นการออกแบบท่ีสอื่ ความหมาย เปน็ รปู แบบตา่ งๆ ให้ผู้
พบเหน็ ได้ เขา้ ใจโดยไมจ่ าเปน็ ตอ้ งมีคาบรรยายประกอบ เช่น เครอื่ งหมาย จราจร เคร่ืองหมายสินค้าผลติ ภณั ฑ์
ต่างๆ และรูปลกั ษณะของสง่ิ ตา่ งๆ เปน็ ตน้
3. กำรออกแบบผลิตภัณฑ์ (Productive designs)
การออกแบบผลติ ภัณฑ์ หมายถงึ การออกแบบอปุ กรณเ์ ครื่องใช้ตา่ งๆ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการ
ของสงั คม และผบู้ รโิ ภค เป็นการผลติ เพื่อตอบสนองความต้องการในจานวนมาก จงึ ผลิตโดยระบอุตสาหกรรม
ซ่งึ หลกั ของการออกแบบผลิตภัณฑน์ ั้นจะต้องคานงึ ถงึ ประโยชน์ใชส้ อย ความสวยงาม ความปลอดภยั
โครงสร้างความสะดวกสบายในการใชง้ าน วสั ดุ กรรมวธิ ีการผลิต การซอ่ มบารุงรักษา และราคาด้วย
หลกั ในการออกแบบผลิตภณั ฑแ์ ตล่ ะประเภทอาจแตกตา่ งกันไป ขนึ้ อยู่กับลักษณะการใชง้ านของ
ผลติ ภัณฑน์ น้ั ๆ จงึ มคี วามจาเปน็ อยา่ งยง่ิ ท่ีจะสง่ เสรมิ ใหผ้ ลิตภัณฑ์นน้ั เด่นข้นึ มาและน่าสนใจต่อผ้บู ริโภค โดย
การออกแบบประเภทของผลิตภณั ฑส์ ามารถแยกได้ 4 ประเภท ดังน้ี
3.1 ผลิตภัณฑ์อุปโภค เปน็ ผลิตภณั ฑ์ทใ่ี ช้ในบา้ น เชน่ เฟอร์นเิ จอร์ เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า และสิ่งของเครอื่ งใช้
ภายในบา้ น งานหัตถกรรม เป็นตน้
3.2 ผลิตภัณฑ์บริการ เชน่ เครือ่ งใชส้ านักงานเครอ่ื งมืออเิ ล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ หรอื เครื่องใช้ทมี่ ี
ลักษณะการให้บริการ เป็นต้น
3.3 ผลิตภณั ฑ์เคร่ืองจักรกล เช่น เครื่องมือกล เครื่องยนต์ ลฟิ ต์ เครอ่ื งจักร เปน็ ตน้
48
3.4 ผลิตภณั ฑ์ขนส่ง เช่น รถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบนิ เป็นตน้
4. กำรออกแบบสื่อสำร (Communicative designs)
การออกแบบสอื่ สาร เปน็ การออกแบบทีม่ ุ่งสรา้ งความเขา้ ใจระหวา่ งบุคคล ซึ่งอาจส่ือความ
เข้าใจกันดว้ ยตัวอักษรหรือสัญลกั ษณ์ การส่อื ความหมายนี้จะปรับปรงุ รูปแบบมาจากสิ่งแวดลอ้ มรอบตัว
นอกจากนีก้ ารออกแบบสื่อสารยังเปน็ การออกแบบที่ม่งุ ให้สื่อส่งไปนน้ั เข้าใจงา่ ย จดจางา่ ย ดึงดูดความสนใจ
ดว้ ยวิธกี ารจดั ทาเป็นตวั อักษร ภาพสัญลกั ษณ์ ส่ือสิงพิมพ์ ป้ายโฆษณา แคต็ ตาล็อก โบชัวร์ และการแพรภ่ าพ
ทางสอื่ ต่างๆ เป็นต้น การสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ มีทั้งหลกั การและกฎเกณฑ์ ดงั นนั้ หลักในการออกแบบแต่
ละประเภทอาจจะไม่เหมือนกัน ขึน้ อยู่กับประเภทของงาน อยา่ งไรกต็ ามการออกแบบ จะตอ้ งไม่หยดุ น่ิงอยู่กับ
ที่ เนื่องจากความต้องการของมนุษย์ไม่มีทีส่ ้ินสุดและมักตอ้ งการสง่ิ ทด่ี ีขึ้นอยเู่ รื่อยๆ ดังนั้นการออกแบบ
ประเภทตา่ งๆ จาเปน็ ต้องมีการพฒั นาอยเู่ สมอ หรอื ไม่ก็ต้องถูกคิดคน้ ข้นึ ใหม่ เพ่ือสนองความต้องการของ
มนษุ ย์นัน่ เอง
49
กระบวนวิธีกำรออกแบบ แนวคดิ ในกำรออกแบบ
เป็นกระบวนการคิดเพอ่ื แก้ปัญหาและพฒั นาแนวคิดใหม่ๆ โดยมจี ดุ ม่งุ หมายคือการหาแนวทางการ
แกป้ ญั หาท่ีเนน้ มุมมองของผใู้ ช้ (user-centered) และมเี จตนาในการสร้างผลลัพธ์ในอนาคตท่เี ปน็ รูปธรรม
เพ่อื ให้ไดแ้ นวทางหรอื นวัตกรรมทีต่ อบโจทย์กบั ผู้ใชแ้ ละสถานการณ์
กระบวนการคดิ เชิงออกแบบมี 3 ขนั้ ตอนหลัก คอื การเข้าใจปญั หา, การสร้างสรรค์ความคดิ และ
การสรา้ งแบบจาลองเพื่อการทดสอบพฒั นา
ขนั้ ตอนของกำรคดิ เชิงออกแบบ
1.กำรเขำ้ ใจปัญหำ
เป็นขั้นตอนการทาความเข้าใจและตีความปัญหาอยา่ งลึกซ้ึง ท่ตี ้องเน้นการทาความเข้าใจต่อผใู้ ช้
กลมุ่ เปา้ หมาย (insight) เปน็ การสงั เคราะหข์ ้อมูลเพ่ือการตง้ั คาถามปลายเปิดหรือสมมตฐิ านท่ผี ลกั ดันใหเ้ กดิ
ความคดิ สร้างสรรค์ และการวิเคราะห์ปญั หาเพื่อกาหนดแนวทางการแก้ปัญหาให้ชดั เจน โดยการเลอื กและ
สรุปกรอบแนวทางความเปน็ ไปได้
2.กำรสรำ้ งสรรคค์ วำมคดิ
การระดมความคิดใหม่ (ideate) อย่างไม่มีขดี จากดั ใหม้ ากท่สี ดุ หลากหลายทีส่ ดุ ในรูปแบบการ
ระดมสมอง (brainstorm) และนาไปสู่การประเมิน (idea evaluation) เลือกความคดิ ท่ีอย่ภู ายใต้กรอบ
แนวทางความเปน็ ไปได้ ซง่ึ อาจมีการซา้ หลายรอบ
ความคิดแปลกใหม่ทอ่ี ยนู่ อกกรอบแนวทางความเปน็ ไปได้ อาจถูกบนั ทกึ และนาไปใช้ในการพฒั นา
โครงการอื่นๆได้
3.กำรสร้ำงแบบจำลองเพ่ือกำรทดสอบพัฒนำ
การสร้างแบบจาลอง (prototype) ทสี่ ่ือสารแนวคิดทด่ี ที ส่ี ดุ ออกมาเปน็ สงิ่ ทีจ่ บั ต้องไดเ้ พื่อใช้ในการ
พสิ ูจนแ์ นวคดิ และนาไปทดสอบกบั ผ้ใู ช้กลุ่มเป้าหมายเพ่ือสงั เกตประสิทธิภาพและความคิดเหน็ จากการใช้งาน
โดยการรวบรวมผลตอบรับ ข้อเสนอแนะตา่ งๆ ตลอดจนคาแนะนามาใช้ในการพัฒนาและปรบั ปรงุ ต่อไป ซึ่ง
อาจผ่านการทดสอบซา้ หลายครงั้ [4]ขนึ้ กับความซบั ซ้อนของโซลชู ัน่
แบบจาลองช่วยในการรวบรวมความคิดเหน็ และปรบั ปรงุ แนวคิด ช่วยใหเ้ ข้าใจถงึ จุดแข็งและจดุ อ่อน
ของโซลูชน่ั ใหม่
50
แบบทดสอบบทที่ 3
ตอนท่ี 1 จงเลอื กคำตอบทถี่ ูกต้องท่ีสดุ เพยี งข้อเดียว
1. การออกแบบทม่ี วี ัตถุประสงค์มุง่ ถงึ ความเข้าใจ ก. การออกแบบแผน่ ป้าย
ระหวา่ งกันของบุคคลในสงั คม คือข้อใด ข. การออกแบบเคร่ืองประดับ
ก. การออกแบบตกแต่ง ค. การออกแบบสอ่ื สงิ่ พิมพ์
ข. การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ง. การออกแบบส่ือเทคโนโลยี
ค. การออกแบบพาณชิ ยศ์ ิลป์ 7. ข้อใดไมใ่ ชค่ ณุ คา่ การออกแบบในชีวิตประจาวนั
ง. การออกแบบส่ือสาร ของมนุษย์
2. การออกแบบที่มีวตั ถุประสงค์มงุ่ ทางด้านประโยชน์ ก. คุณคา่ ด้านประโยชน์ใช้สอย
ใช้สอยและให้คุณค่าทางความงาม คือข้อใด ข. คณุ คา่ ด้านสนุ ทรยี ภา
ก. การออกแบบตกแต่ง ค. คณุ คา่ ด้านการส่ือสาร
ข. การออกแบบผลิตภณั ฑ์ ง. คุณคา่ ด้านการค้าขาย
ค. การออกแบบพาณิชย์ศลิ ป์ 8. การออกแบบสัญลักษณ์โดยใช้ตัวอกั ษรหรือ
ง. การออกแบบส่อื สาร บางคร้ังใช้ตัวเลขผสม เป็นลักษณะการออกแบบ
3. การออกแบบที่มวี ตั ถุประสงค์ม่งุ ผลิตให้ไดจ้ านวน ประเภทใด
มากและมีประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน คอื ข้อใด ก. ลักษณะแบบภาพ
ก. การออกแบบตกแต่ง ข. ลักษณะแบบตวั อกั ษร
ข. การออกแบบผลิตภัณฑ์ ค. ลักษณะผสม
ค. การออกแบบพาณชิ ยศ์ ลิ ป์ ง. ลักษณะรูป
ง. การออกแบบสอ่ื สาร 19. การออกแบบสญั ลกั ษณโ์ ดยใชท้ ั้งภาพและ
4. การออกแบบทีม่ วี ตั ถปุ ระสงค์มงุ่ เน้นการโฆษณา ตัวอกั ษรมาผสมกันให้สัมพันธ์และเกิดความงามเป็น
ประชาสมั พนั ธ์ เพื่อผลทางการค้า คือข้อใด ลักษณะการออกแบบประเภทใด
ก. การออกแบบตกแตง่ ก. ลกั ษณะแบบภาพ
ข. การออกแบบผลิตภณั ฑ์ ข. ลักษณะแบบตัวอักษร
ค. การออกแบบพาณชิ ย์ศิลป์ ค. ลักษณะผสม
ง. การออกแบบสื่อสาร ง. ลักษณะรูป
5. ข้อใดที่ไม่ใชล่ กั ษณะงานพาณชิ ย์ศิลป์ 20. มหาสมุทรใดไมใ่ ชส่ ว่ นหนง่ึ ของทวปี เอเชีย
ก. การจัดตโู้ ชว์สินค้าและภาพหุ่นโชว ก. ลักษณะแบบภาพ
ข. สญั ลกั ษณะและเคร่อื งหมายการค้า ข. ลักษณะแบบตวั อักษร
ค. ภาพประกอบเร่ืองและภาพโฆษณา ค. ลกั ษณะผสม
ง. การแกะสลกั ไม้และงานถักทอต่างๆ ง. ลกั ษณะรปู
6. ข้อใดที่ไม่ใชล่ กั ษณะงานการออกแบบส่อื สาร
ใบงำนที่ 3 51
ชอื่ วิชำ ศิลปะเชิงพำณิชย์
ชอ่ื หน่วย ทฤษฎกี ำรตกแต่งกำรออกแบบ รหสั 2202-2112
และตกแต่งเชงิ พำณิชย์
ตอนที่ 2 จงตอบคำถำมตอ่ ไปนีใ้ หไ้ ดใ้ จควำมสมบรู ณ์ (ทำลงในสมดุ )
1. หลกั การออกแบบ คือ มีอะไรบา้ ง
2. ประเภทของการออกแบบมีก่ีประเภท อะไรบา้ ง
3. การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ คือ
4. การออกแบบสือ่ สาร คือ
5. กระบวนการในการออกแบบมกี ่ีวธิ ี อะไรบา้ ง
52
บทท่ี4 การจัดแสดงสินคา้ และนิทรรศการ
สำระสำคญั
การให้การศึกษาอยา่ งหน่งึ ด้วยการแสดงงานให้ชม เปน็ การจดั แสดงและนาโสตทัศนวัสดุรวมถงึ วสั ดุ
ตา่ ง ๆ ท่ใี ห้ข้อมูล ข่าวสาร ท่ีผูช้ มสามารถสมั ผสั เรียนรู้ ทดลองใช้ หรือมีกิจกรรมเสริมประกอบ นทิ รรศการ
เป็นส่อื ในการให้การศึกษา ความรูค้ วามเข้าใจ เพื่อกระตนุ้ ความสนใจ ตอบสนองและเปล่ียนแปลงพฤติกรรม
ของผู้ชมใหบ้ รรลุสู่เปา้ หมายในเร่อื งนนั้ ๆ
ควำมหมำยของกำรจดั แสดงสินคำ้
การจัดแสดงสินค้า (Display) คือ วิธีการนาเสนอสินค้าหรือความคิดให้แก่ผู้คนทั่วไปได้ พบเห็น โดย
หวังท่จี ะเรยี กรอ้ งความสนใจจากบคุ คลเหล่าน้นั และทาใหเ้ กดิ การตัดสนิ ใจซื้อในท่ีสุด
นอกจากนี้ร้านค้าปลีกยังใช้การจัดแสดงสินค้าเป็นตัวแทนความเป็นเอกลักษณ์ให้กับร้านค้า อีกด้วย
จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่า การจัดแสดงสินค้านั้นเป็นวิธีการนาเสนอสินค้าสู่สายตาผู้พบเห็น ด้วยการตกแต่ง
ภายในร้าน (Interior Display) และภายนอกร้าน (Exterior Display) เพื่อเรียกร้องความสนใจใหล้ ูกค้าเข้ามา
ชมสนิ ค้าภายในร้านให้มากที่สดุ จงึ จดั ไดว้ า่ การจดั แสดงสนิ ค้ามบี ทบาท สาคัญทางด้านการตลาดมาก
การจัดแสดงสินค้าเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ร้านค้าปลีกเห็น
ความสาคัญของประสาทตา จงึ มีการจดั วางสินคา้ ในลกั ษณะทส่ี ามารถสร้างความสะดดุ ตา สรา้ งภาพท่ีน่าสนใจ
ให้เกิดกับลูกค้า นอกจากนี้การจัดแสดงสินค้ายังสามารถจับต้องได้ โอกาสใน การขายสินค้าจึงมีมากขึ้นจึงจัด
ไดว้ ่าการจดั แสดงสนิ คา้ ชว่ ยเพมิ่ ยอดขายใหก้ ับรา้ นคา้ และช่วย แสดงลักษณะเด่นของตวั สินคา้ น้ันๆ
53
ประเภทของนทิ รรศกำร
การแบง่ ประเภทของนทิ รรศการ สามารถแบง่ ไดด้ งั น้ี
1. แบ่งตามการจาแนกประเภทของนทิ รรศการ
2. แบ่งตามขนาดของนทิ รรศการ
3. แบง่ ตามจุดมุง่ หมาย
1. แบ่งตำมกำรจำแนกประเภทของนิทรรศกำร
ประเสริฐ ศีลรัตนา (2549.: 18) ไดจ้ าแนกประเภทของการจดั นทิ รรศการเป็น 2 วธิ ี คือ จาแนกจาก
กาหนดระยะเวลา และจาแนกจากกาหนดสถานที่ ไว้ดังน้ี
1.จาแนกจากกาหนดระยะเวลา แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 นทิ รรศการถาวร (Permanent Exhibition) คอื นทิ รรศการท่จี ัดอยูใ่ นท่ใี ดทห่ี นง่ึ เป็นระยะ
เวลานาน ๆ หรือตลอดไป เป็นการรวบรวมและการจดั แสดงสิ่งตา่ ง ๆ โดยเฉพาะวตั ถุส่ิงของท่แี สดงเรอ่ื งราวท่ี
เกิดข้ึนแนน่ อน เชน่ ส่งิ ท่ีแสดงเรอ่ื งราวทางประวัตศิ าสตร์ สงั คมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โบราณคดแี ละศลิ ปะ
เป็นตน้ ไดแ้ ก่ นิทรรศการในหอศิลปแ์ หง่ ชาติ พพิ ิธภัณฑ์สถานแหง่ ชาติ พิพิธภณั ฑห์ ุน่ ขี้ผง้ึ เมืองโบราณ เมือง
จาลอง ห้องแสดงประวตั สิ ถาบัน เปน็ ต้น
เป็นการจัดนิทรรศการท่ีจัดแสดงไว้ตลอดเวลา สามารถดูได้ตลอดเวลาโดยไมล่ ้าสมัย เปน็
นิทรรศการที่จัดอยู่ในส่วนใดส่วนหนงึ่ ของพิพิธภัณฑห์ รือหอศิลปะ หรอื ในสถาบนั ตา่ ง ๆ นทิ รรศการถาวรอาจ
จัดได้ทง้ั ในท่รี ่ม (Indoor Exhibition) และกลางแจ้ง (Outdoor Exhibition)
1.2 นทิ รรศการชว่ั คราว (Temporary Exhibition) คอื นทิ รรศการท่จี ดั อย่ใู นท่ีใดท่ีหนง่ึ เปน็
ระยะเวลาสน้ั ๆ สามารถแบ่งตามวตั ถุประสงคข์ องการจัดไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ
1.2.1 นิทรรศการชั่วคราวทีจ่ ดั แสดงเป็นเอกเทศ
1.2.2 นิทรรศการชวั่ คราวท่ีจดั แสดงเพ่ือเสริมนิทรรศการถาวร
การจัดแสดงเร่ืองราวเรอ่ื งใดเร่ืองหนึ่งในโอกาสตา่ ง ๆ หรือโอกาสพิเศษ เช่น การจดั นทิ รรศการในงาน
สัปดาห์หนังสือแหง่ ชาติ การจัดนทิ รรศการในงานสัปดาห์ห้องสมุด เชน่ นิทรรศการสารนเิ ทศระบบเครือข่าย
อินเตอร์เน็ต นิทรรศการในห้องสมุด เช่น วนั ปีใหม่ วันตรษุ จีน วนั เขา้ พรรษา นาเสนอหนังสอื ใหม่ ฯลฯ
2. การจาแนกจากกาหนดสถานท่ี แบ่งเปน็ 3 ประเภท คือ
2.1 นทิ รรศการในรม่ (Indoor Exhibition) เป็นนิทรรศการทจ่ี ดั แสดงขึน้ ภายในอาคาร โดยอาจ
ใชส้ ถานที่บริเวณสว่ นตา่ ง ๆ เชน่ ภายในหอ้ ง เฉลียง หอ้ งโถง หอประชมุ เปน็ ต้น
54
2.2 นทิ รรศการกลางแจ้ง (Outdoor Exhibition) เป็นการจัดนทิ รรศการขนาดใหญ่ มีผ้รู ว่ มงาน
จากหนว่ ยงาน องค์กรธรุ กจิ หลายสาขา มจี ุดม่งุ หมายใหป้ ระชาชนจานวนมากได้มีโอกาสเขา้ ชม โดยจัดใน
บริเวณที่มพี นื้ ทกี่ วา้ ง เช่น สนามหลวง วังสราญรมย์ สวนลมุ พินี หรอื ท่ีสนามในสถาบันการศึกษา
2.3 นิทรรศการหมนุ เวยี น (Traveling Exhibition) เป็นนทิ รรศการหมุนเวยี น เปลยี่ นสถานท่จี ัด
แสดง เช่น ผลงานศิลปะที่นักศกึ ษาในกรุงเทพฯ นาไปจัดแสดงท่ีเชยี งใหม่ สงขลา หรือภาคอีสานหมุนเวียน
สลับกันไป เป็นการแลกเปลีย่ นประสบการณ์ ทศั นะและเผยแพร่ใหผ้ ้ชู มในท้องถนิ่ ได้รู้เห็นเพ่ือความกา้ วหน้า
ทางวิชาการ หรอื ข่าวสารขอ้ มูลต่าง ๆ บางคร้งั นทิ รรศการช่ัวคราวบางอย่างกใ็ ช้เปน็ นทิ รรศการหมนุ เวยี นด้วย
2. แบง่ ตำมขนำดของนิทรรศกำร
วัฒนะ จฑู ะวภิ าต (2542.: 1) ไดแ้ สดงความเหน็ เก่ียวกับลักษณะหรือขบวนการของการสื่อ
ความหมายของคาที่มีความหมายใกลเ้ คยี งกบั คาวา่ นิทรรศการอีกคาหน่ึง คือคาวา่ ดิสเพลย์ (Display) ซ่งึ บาง
คนเขา้ ใจว่ามีความหมายเดียวกนั กบั นทิ รรศการ แต่แท้จรงิ แลว้ ดิสเพลย์ หมายถึง การจัดแสดงภาพและวตั ถุ
เร่อื งใดเร่ืองหน่งึ ท่ีมขี นาดยอ่ มกวา่ นทิ รรศการ และม่งุ ผลต่อกลุม่ เปา้ หมายในวงจากดั เช่น ดิสเพลยห์ นังสอื ใหม่
ของห้องสมุด ดสิ เพลยว์ ันเขา้ พรรษา เป็นต้น
นิทรรศการมลี ักษณะเปน็ การสือ่ ความหมายสองทาง (Two-way communication) ระหว่างสถาบัน
ผูจ้ ัดนทิ รรศการ กบั ประชาชนหรอื กลมุ่ เปา้ หมายทม่ี าชม กล่าวคอื ผู้ชมสามารถสอบถามเจา้ หนา้ ท่ผี ู้จดั ถงึ
เรอ่ื งราวความเปน็ ไปของการจดั แสดงได้
ส่วนดิสเพลยน์ นั้ เปน็ การสอื่ ความหมายแบบเอกวธิ ี หรอื แบบทางเดียว (One-way
communication) มคี วามหมายเพยี งเพื่อชี้แจงแถลงข่าว รายงานเร่ืองราวเหตุการณห์ รือชกั ชวนให้ผชู้ มเกิด
ความสนใจในเรอื่ งใดเรื่องหน่ึง
ในวงการธุรกจิ การคา้ ก็มีการจัดกจิ กรรมบางอย่างทค่ี ลา้ ยกับการจดั นิทรรศการ เชน่ การจดั งาน
มหกรรมสนิ คา้ (Exposition) การแสดงสนิ คา้ (Trade fair หรอื Trade show) และการจัดมุมแนะนาสนิ คา้
(Window show) ซึ่งเม่ือพจิ ารณาใหล้ ึกซ้งึ แลว้ จะเห็นว่างานมหกรรมสนิ คา้ กด็ ี หรอื งานแสดงสนิ คา้ กด็ ี ผจู้ ัด
มงุ่ แนะนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่หรอื ขายสนิ ค้าของตนเท่าน้ัน มไิ ด้มุง่ ผลในแง่การประชาสัมพันธ์มากนัก จึง
ไมจ่ ดั เปน็ นิทรรศการ
จากทศั นะดังกล่าวสามารถสรุปไดว้ า่ นทิ รรศการ แบ่งออกเปน็ 3 ขนาด ไดแ้ ก่
1. นทิ รรศการขนาดเลก็ (Display) ไดแ้ ก่ การจดั นทิ รรศการตา่ ง ๆ ที่มีเนอื้ เร่ืองไม่ยาวนกั และใช้
เนื้อทีใ่ นการจดั ไม่มากนัก อาจจะจดั เพียง 1-2 ป้าย หรือจัดวางบนชั้น บนโตะ๊ เล็ก ๆ บนโต๊ะรบั จา่ ยหนังสือ
เชน่ การจดั นิทรรศการหนงั สือใหม่ การจดั นิทรรศการวันสาคัญตา่ ง ๆ ฯลฯ ในห้องสมดุ หรือในชัน้ เรยี น ตาม
รา้ นคา้ เช่น นทิ รรศการในตู้กระจก (Window display) เปน็ ตน้ (ฉวีวรรณ คูหาภนิ นั ท.์ 2542.: 278-279)
อาจจดั ทาเกีย่ วกับหว้ ข้อใดหวั ขอ้ หนึง่ เพยี งหวั ข้อเดียว หรือจดุ มุง่ หมายอันใดอันหน่ึงโดยเฉพาะ เช่นการจัดตู้
55
โชว์สนิ ค้าหนา้ ร้าน การจัดแสดงสนิ ค้าในบล็อก (Block) พ้นื ท่ีแตล่ ะส่วนในห้างสรรพสินคา้ การแสดงผลงาน
ดีเดน่ ของใครคนใดคนหน่ึง เปน็ ตน้ (ประเสริฐ ศลี รัตนา. 2549.: 9)
2. นิทรรศการขนาดกลาง (Exhibition) คือ การจัดแสดงทีม่ ีจดุ มงุ่ หมายหลากหลายอยู่ในพนื้ ที่
กวา้ งขวาง โดยอาจมีการจดั แสดงขนาดย่อยรวมอยใู่ นบริเวณเดียวกัน เช่น การจัดแสดงนิทรรศการทาง
วิชาการ งานแสดงอญั มณีและเครื่องประดับ นทิ รรศการทางศิลปะ ตลอดจนการแสดงสินค้าตกแตง่ บา้ น และ
การแสดงสิ่งตา่ ง ๆ ในรูปแบบพิพธิ ภณั ฑ์ (ประเสรฐิ ศีลรัตนา. 2549.: 10) การจดั ปา้ ยนทิ รรศการหลาย ๆ
ป้าย หรือหลายตู้ หลายชนั้ เป็นป้ายนทิ รรศการขนาดใหญ่ อาจมีกจิ กรรมอ่ืน ๆ ประกอบด้วย เช่น จดั
นิทรรศการงานสัปดาหห์ ้องสมดุ ในโรงเรยี น หรอื ห้องสมุดมีกจิ กรรมต่าง ๆ เชน่ กิจกรรมการแสดงบนเวที ตอบ
ปญั หา เล่าเรอื่ งหนังสือ เชญิ นักเขยี นมาบรรยาย นทิ รรศการพระราชประวตั ิของพระเจ้าตากสินมหาราช
นทิ รรศการตราไปรษณียากร ฯลฯ (ฉววี รรณ คูหาภนิ นั ท.์ 2542.: 279)
3. นิทรรศการขนาดใหญ่ (Exposition) ไดแ้ ก่ การจัดนิทรรศการระดับชาติ หรอื ระดับโลก ที่
เรยี กวา่ มหกรรม ซ่งึ รวมทัง้ งานแสดงสินค้าตา่ ง ๆ ดว้ ย เช่น งานแสดงสนิ ค้าโลก งาน EXPO งานกล้วยไม้โลก
นิทรรศการงานแสดงเกษตรและอุตสาหกรรมโลก
3. แบง่ ตำมจุดมุ่งหมำย
แบง่ นทิ รรศการตามจดุ มุ่งหมาย ไดด้ งั นี้
1. นิทรรศการเพ่ือการประชาสัมพันธ์ คอื ขบวนการสอื่ ความหมายจากผจู้ ัดหรือสถาบนั ไปสกู่ ลมุ่
ประชาชนเปา้ หมายผา่ นสอื่ ประชาสมั พันธ์ประเภทต่าง ๆ ท่ีเหมาะสม สนับสนนุ ซึง่ กันและกนั ตงั้ เป้าหมาย
แนน่ อนว่าตอ้ งการให้ผชู้ มหรือกลุ่มประชาชนเปา้ หมายไดร้ ับอะไรจากการมาชมนิทรรศการบา้ งซึง่ โดยมากจะ
แฝงความร้ไู ว้ไม่มากกน็ ้อย
2. นทิ รรศการเพื่อการศึกษา การจัดนิทรรศการเพ่ือการศึกษาให้ความรู้กบั นักเรยี นสามารถจดั ไดใ้ น
หอ้ งเรยี น ภายนอกอาคาร ในอาคารหรือในมหาวทิ ยาลัยก็ได้
3. นทิ รรศการเพ่ือสง่ เสรมิ การขาย การจดั นทิ รรศการเพือ่ การสง่ เสริมการขายของบรษิ ัทหรอื รา้ นค้า
มักนยิ มจดั ในโรงแรม เพราะสะดวก มสี ถานที่กวา้ งขวาง และเป็นทร่ี ู้จกั ดีของคนทัว่ ไป
กลา่ วโดยสรปุ สามารถแบ่งวัตถปุ ระสงค์ของการจดั ออกเป็น 2 แบบ คือ
1. นิทรรศการเพื่อการศึกษา เปน็ การกระตนุ้ หรือจูงใจให้ผู้ชมได้ทราบถงึ ความรู้ ความก้าวหนา้ ใน
วทิ ยาการตา่ ง ๆ ตลอดจนเสรมิ สร้างทศั นคติ วิสยั ทศั น์ ใหผ้ ู้ชมเกิดความเขา้ ใจสามารถนาวทิ ยาการนั้นไปใช้
ประโยชน์เพอื่ การศึกษาและในชวี ติ ประจาวนั ตวั อยา่ งนิทรรศการเพอื่ การศึกษา เชน่ การจัดแสดงนทิ รรศการ
ในสถานศกึ ษา นทิ รรศการพืชสวนโลก เป็นต้น
56
2.นทิ รรศการเพอื่ การค้า เปน็ การจัดแสดงใหผ้ ูช้ มไดศ้ ึกษาหาความรู้ ในขณะเดยี วกนั ก็มีการแนะนา
ผลติ ภัณฑ์สิง่ ของต่าง ๆ เพื่อต้องการโฆษณาส่งเสริมการขายสนิ ค้าหรือผลติ ภณั ฑเ์ ป็นการหวงั ผลทางการค้า
วัตถุประสงค์ของกำรจดั แสดงสินค้ำและนทิ รรศกำร
1. เพ่ือแสดงสนิ ค้ำทีม่ ีขำยอยใู่ นรำ้ น
การนาสนิ คา้ ทม่ี ีขายอยู่ในรา้ นคา้ ออกมาจดั แสดงในจุดท่ที าให้ผู้ทีผ่ า่ นไปมาได้เหน็ เปน็ การแจง้
ให้ทราบว่าสนิ คา้ ทจ่ี ัดแสดงอยูน่ ีม้ ขี ายภายในร้าน โดยเฉพาะสินคา้ ทเ่ี พ่ิงออกส่ตู ลาด สินค้าตามฤดูกาล และ
สนิ ค้าท่ีกาลังอยู่ในความต้องการของลูกคา้ หากไม่นามาจดั แสดง โอกาสที่ ลูกค้าจะรู้จักหรอื อยากเปน็ เจา้ ของ
จะลดนอ้ ยลง ดงั น้นั ร้านค้าจึงควรนาสินค้าท่มี ีขายอยู่ภายในรา้ น ออกมาจดั แสดง เพื่อเป็นการแจง้ รายการ
สนิ คา้ ทมี่ จี าหน่ายภายในร้าน และยงั เปน็ การช่วยเพม่ิ ยอดขาย
การจัดแสดงสินคา้ เพ่ือแสดงสินคา้ ที่มีขายอยู่ในรา้ น
2. เพ่ือกำรสง่ เสริมกำรขำย
การจัดแสดงสนิ ค้า เป็นเครื่องมือ อย่างหนึง่ ของการส่งเสรมิ การขาย ซึ่งจะมี ส่วนในการกระตุ้น
ผู้ที่ผ่านไปมาให้เกิดความ ตอ้ งการสินคา้ หรือต้องการเขา้ ใช้บรกิ าร ซึง่ บางครัง้ สิ่งเหลา่ น้ันไม่ไดอ้ ยใู่ นความ
ตอ้ งการของลกู ค้าเลย การจัดแสดงสินคา้ เพ่ือการสง่ เสริมการขายน้ี จะต้องพยายามทา ให้สนิ คา้ มลี กั ษณะ
เด่น ดงึ ดูดสายตาให้ผทู้ ี่ ผ่านไปมาหยดุ มอง เดนิ เข้ามาในร้าน และ ตัดสนิ ใจซอื้ ในท่ีสดุ
57
การจดั แสดงสนิ ค้าเพ่ือการสง่ เสรมิ การขาย
3. เพื่อแสดงสนิ คำ้ ท่มี คี วำมสัมพันธ์กัน
การจดั แสดงสนิ คา้ ตามหลกั วชิ าการแล้ว ต้องทาให้ผ้พู บเหน็ เกิดอารมณ์สุนทรยี ภาพ การนา
สนิ คา้ ทมี่ ีความสมั พนั ธ์กนั มาจัดวางไวด้ ว้ ยกัน เชน่ การจดั แสดงสินค้าประเภทเสื้อ ก็อาจนา กระโปรงหรือ
กางเกง รองเท้า เขม็ ขัด กระเป๋าถือทเ่ี ข้าชุดกนั มาประกอบด้วย หรือจัดแสดงสินคา้ ประเภทชดุ กีฬา ก็อาจนา
อปุ กรณ์กฬี าทีส่ ัมพันธ์กับชดุ มาจดั วางไวด้ ว้ ยกนั ก็เปน็ การสร้างอารมณ์ สนุ ทรียภาพได้อย่างหนึง่
การจดั แสดงสนิ ค้าเพื่อแสดงสินค้าท่มี ีความสัมพันธ์กนั เป็นชุด
4. เพอื่ แสดงถงึ คณุ ภำพหรอื ประโยชนข์ องสนิ ค้ำ
การนาสินค้ามาจดั แสดง ในลักษณะของการใช้งาน เปน็ การกระตนุ้ ให้ ผทู้ ี่ผ่านไปมาเกดิ ความ
ตอ้ งกาสินคา้ ได้วิธหี น่งึ เชน่ การนาเสอ้ื ผ้าแขวนไว้ กับหุ่นจะทาให้เหน็ ลกั ษณะการใชง้ านชัดเจน กวา่ การ
แขวนกับไม้แขวนเส้ือ หรือการ นาหลอดไฟ โคมไฟมาจดั แสดงให้เห็นถึง ความสวา่ งขณะทเ่ี ปดิ ใชง้ าน จะทาให้
58
เหน็ ความชดั เจนของสินคา้ มากกว่าการนา หลอดไฟมาวางไวเ้ ฉย ๆ โดยไม่มีการจดั แสดงสนิ คา้ เพื่อแสดงถึง
ความสวา่ ง จากการที่ผู้บริโภคไดเ้ หน็ คุณภาพหรือประโยชนข์ องสินค้า ภาพท่ชี ัดเจนนี้ จะทาใหเ้ กิดการ
ตดั สนิ ใจ ซื้อเร็วขึน้
การจัดแสดงสินค้าเพ่ือแสดงถึงคุณภาพหรือประโยชนข์ องสินค้า
5. เพื่อแสดงสนิ ค้ำในเทศกำลตำ่ ง ๆ
สนิ คา้ บางประเภท เช่น สนิ คา้ ท่จี าเปน็ ต่อการดารงชีวิต ผู้บรโิ ภคมคี วามต้องการอยู่ ตลอดเวลา
จงึ ต้องมีการเสาะแสวงหาซื้อ ผขู้ ายอาจจัดวางสินคา้ ในตาแหน่งท่ีไมต่ ้องโดดเดน่ มากนัก ซึ่งตรงกนั ขา้ มกับ
สนิ ค้าบางประเภททผ่ี บู้ รโิ ภคมีความจาเป็นต้องใชใ้ นบางช่วงเวลา หรือบางเทศกาล เท่านั้น เชน่ เทศกาลปใี หม่
เทศกาลตรุษจนี เทศกาลวนั วาเลนไทน์ หรือเทศกาลรบั ลมร้อน ดงั นน้ั เมอื่ ถงึ เทศกาลที่ตอ้ งใชส้ ินค้า ผขู้ ายจึง
ต้องนาสินคา้ ออกมาจดั แสดงเพ่ือใหผ้ บู้ ริโภคได้เหน็ วา่ มสี นิ คา้ ประเภทนน้ั ๆ จาหน่าย และนอกจากน้ี การจัด
แสดงสนิ ค้าตามเทศกาลยังสร้างความทันสมัย ให้กับร้านค้าอกี ดว้ ย
การจดั แสดงสินค้าเพ่ือแสดงสินคา้ ในเทศกาลต่าง ๆ
59
6. เพ่ือสร้ำงค่ำนยิ มท่ดี ใี ห้กบั ร้ำนค้ำ
รา้ นค้าทมี่ ีการจดั แสดงอยา่ งสวยงาม เปน็ ระเบยี บ สะอาด สะดุดตาสะดุดใจแก่ผู้พบเห็น จะ
สามารถสร้างความประทับใจต่อลูกค้าได้ ลูกคา้ บางคนเลอื กใช้บรกิ ารจากร้านคา้ ใดรา้ นคา้ หนึ่ง เปน็ ประจา
เพราะรสู้ ึกพอใจกับการจัดแสดง การจัดวางสนิ ค้าไดอ้ ย่างเหมาะเจาะ เลอื กซอ้ื ได้อยา่ ง สะดวกสบาย ซ่ึงส่งิ
เหลา่ น้ีชว่ ยสร้างคา่ นิยม (Goodwill) ทด่ี ใี ห้กบั ร้านค้า ลูกคา้ ประจาเพมิ่ มากข้ึน สง่ ผลทาใหย้ อดขายเพ่ิมข้นึ
ตามไปด้วย
การจดั แสดงสนิ ค้าเพื่อสร้างค่านยิ มทด่ี ใี ห้กับรา้ นคา้
7. เพื่อสรำ้ งเอกลักษณ์ให้กบั รำ้ นค้ำ
ร้านคา้ ปลีกบางแห่งใช้การจัดแสดงสนิ ค้าเพ่ือแสดงให้เหน็ ถึงความเปน็ เอกลักษณ์ของร้านคา้ มี
การจดั หน้าต่างโชว์ท่ีแสดงความเป็นเอกลกั ษณ์ของตนเอง เมือ่ ผู้บริโภคพบเห็นก็จะทราบไดท้ ันทวี า่ เปน็ รา้ น
อะไร ขายสินคา้ ประเภทใด เช่น รา้ นแมคโดนัลดท์ ี่ใชต้ กุ๊ ตาแมคโดนลั ดใ์ นการตกแตง่ หน้าร้าน เพือ่ ใช้เป็น
สญั ลักษณข์ องรา้ นค้า รวมทง้ั การจดั ตกแต่งภายในร้านก็เป็นแนวทางเดียวกนั ทุกสาขา
การจดั แสดงสนิ ค้าเพ่ือสร้างเอกลักษณใ์ ห้กับรา้ นคา้
60
8. เพื่อสนบั สนนุ กำรโฆษณำ
กิจกรรมการโฆษณาควรทาควบคูไ่ ปกับการจดั แสดงสินคา้ เน่อื งจากทั้งสองกิจกรรมน้ี มี
ความสมั พันธ์กนั ได้แก่
8.1 เม่อื ผ้บู รโิ ภคได้เหน็ โฆษณาสินค้าจากสื่อต่างๆ แล้วเกิดความสนใจก็สามารถ แวะชมสนิ ค้าจาก
ร้านค้า การแวะชมสินคา้ จากการร้านค้าน้ีทาใหผ้ บู้ รโิ ภคไดเ้ หน็ สินคา้ และสามารถ สมั ผสั ได้
ยิง่ ถ้าหากว่าการจัดแสดงสินค้านัน้ เป็นน่าสนใจ กจ็ ะทาใหเ้ กดิ การตัดสนิ ใจซ้อื ตามมา
8.2 การจัดแสดงสนิ คา้ ท่ีสวยงาม น่าสนใจ สะดดุ ตา สามารถดึงดดู ผบู้ รโิ ภคได้ จัดเป็น
การจัดแสดงสนิ คา้ ทีม่ คี ุณภาพ เจา้ ของสนิ ค้าสามารถบันทึกภาพเหลา่ น้เี พ่ือใชเ้ ป็นภาพโฆษณา
ผ่านสอ่ื ตา่ งๆ ได้
การจัดแสดงสินค้าเพ่ือสนับสนุนโฆษณา
ประโยชนข์ องกำรจัดแสดงสินค้ำและนิทรรศกำร
1. เพือ่ เพ่ิมพนู ความร้คู วามสนใจให้แก่ผชู้ มไดอ้ ย่างมสี มาธิ การจัดนิทรรศการจะช่วยให้ผชู้ มเกดิ สมาธิ
นทิ รรศการสามารถดึงความสนใจเฉพาะเร่อื งได้เป็นอยา่ งดี และรวบรวมความคดิ ที่เป็นนามธรรมนาไปสู่
ความคิดท่ีเปน็ รปู ธรรม (พยงุ ศักดิ์ ประจุศลิ ปะ. 2531.: 2)
2. เพ่ิมพนู ความรใู้ นเร่ืองท่ีจดั นทิ รรศการ ช่วยใหม้ องเห็นภาพและเกิดความเขา้ ใจได้ง่ายขน้ึ (พยุงศกั ด์ิ
ประจศุ ิลปะ. 2531.: 2)
3. ชว่ ยกระตุ้นหรือเร้าความสนใจ และเกดิ ความคดิ สร้างสรรค์ในเร่ืองทไี่ ด้ดจู ากนิทรรศการ ส่วนใน
ด้านการขาย การโฆษณา ประชาสัมพนั ธ์สนิ คา้ การชักจงู ประชาชนใหส้ นใจและเข้าใจในเร่อื งของการเมือง
การปกครอง ตลอดจนการสง่ เสรมิ คณุ ภาพชีวิต นิทรรศการมสี ว่ นชว่ ยไดม้ าก (ฉวีวรรณ คูหาภนิ นั ท.์ 2542.:
276)
61
4. ในการศกึ ษาเลา่ เรยี น ถ้าใหน้ ักเรียน นักศึกษา เป็นผจู้ ัดนทิ รรศการด้วยตนเอง จะช่วยส่งเสริมการ
แสดงออก และก่อใหเ้ กิดความคิดสรา้ งสรรค์ และทาให้เข้าใจบทเรยี นมากย่งิ ขึน้ (ฉววี รรณ คหู าภนิ นั ท.์ 2542.:
276)
5. สามารถนาความรู้ไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ การจัดแสดงนิทรรศการในการใหก้ ารศกึ ษานี้ ผ้จู ัดยัง
คาดหวงั ให้ผู้รับรสู้ ามารถนาความร้นู ั้น ๆ ไปใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่สังคม โดยช่วยพฒั นาผอู้ ืน่ และสังคมให้
เจรญิ กา้ วหน้าไปตามครรลองอนั ดีงามของสังคมแต่ละยุคสมยั ได้ (ประเสรฐิ ศลี รตั นา. 2549.: 32)
6. ให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม เพื่อสร้างประสบการณแ์ ละพัฒนาการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม
ของผ้รู ับรู้ใหเ้ ปน็ ไปในทศิ ทางท่ีพงึ ประสงค์ ซึง่ มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมดา้ นความร้คู ิดและแก้ปัญหา ช่วย
ใหเ้ กิดทักษะและความสามารถทางสติปัญญาอันจะทาใหแ้ นวความคิดเปลีย่ นแปลงไปส่งผลใหเ้ กิดการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ด้านทกั ษะและความชานาญ คือ การเปลย่ี นแปลงในการเคลื่อนไหวและการใชอ้ วยั วะ
ต่าง ๆของรา่ งกาย เพราะเมื่อมคี วามชานาญมากขน้ึ สามารถทาสิง่ ต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคลว่ และเหมาะสม
กว่าผูอ้ น่ื และด้านเจตคติ เป็นผลให้บคุ คลนน้ั มคี า่ นยิ มสงู ข้ึน มจี ิตใจ มที ัศนคตติ ่อสิง่ ต่าง ๆ ดขี ้นึ (ประเสริฐ ศลี
รตั นา. 2549.: 33-35)
7. เพ่ิมพนู ความรใู้ นเรื่องท่จี ัดนิทรรศการ เชน่ จัดนิทรรศการเรือ่ งการพับผา้ เช็ดหน้า จัดนทิ รรศการ
เรื่อง ชวี ประวตั ิของสนุ ทรภู่ นักกวีผูม้ ีชอ่ื เสยี ง จะทาให้มีความรเู้ ร่ืองการพบั ผ้าเชด็ หนา้ แบบตา่ ง ๆและ
ชีวประวตั ขิ องสุนทรภู่เปน็ อย่างดี นอกเหนือจากท่เี คยพบเหน็ หรอื เคยอ่านมาแลว้ หรือยังไม่เคยอา่ นมาก่อน
เพราะการจดั นิทรรศการช่วยมองเหน็ ภาพและเกดิ ความเข้าใจได้ง่ายขึ้น และสามารถดงึ ดคู วามสนใจเฉพาะ
เรอ่ื งได้เปน็ อย่างดี
กล่าวไดว้ ่านทิ รรศการมีบทบาทสาคญั ในการศกึ ษา มิใชเ่ พยี งหนา้ ทขี่ องโรงเรียนเทา่ นนั้
ที่จะตอบสนองเกย่ี วกบั การให้ความรู้ ขอ้ มลู ข่าวสาร ความก้าวหนา้ ในวิทยาการต่าง ๆ ท่ีต้องให้นักเรียนได้
เรียนรูแ้ ละทาความเขา้ ใจเพื่อนาไปใชใ้ นการดาเนินชวี ติ ประจาวนั ได้ทันต่อสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และการ
เป็นผ้ใู ฝร่ ้ใู ฝ่เรียนของนักเรียนในการใชป้ ระโยชนข์ องนทิ รรศการจะชว่ ยส่งเสรมิ และจงู ใจให้สนใจ ท้ังในการ
อา่ น การศึกษาเล่าเรียน ก่อใหเ้ กดิ การเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เกิดการพฒั นาตนเองอย่างอย่างแท้จริง
ขนั้ ตอนกำรจดั นทิ รรศกำร
1. ขนั้ วางแผน
- ต้ังหัวเรื่อง
- วตั ถปุ ระสงค์
2. การเตรยี ม
- รวบรวมแนวความคดิ
- กาหนดสถานที่
62
- กาหนดกจิ กรรมสาหรบั ผู้เขา้ ชม
- ออกแบบ
- ทาแผนผังท่ีติดตงั้
- ทาตวั อกั ษรช่อื นทิ รรศการและสัญลกั ษณท์ ี่ต้องการ
3. การจดั ทา
- แสวงหาบคุ ลากร
- จดั หาวสั ดุอปุ กรณ์
- กอ่ สรา้ งและปฏบิ ตั งิ าน
4. การประชาสมั พันธ์
- วิทยุ โทรทศั น์ หนังสอื พิมพ์
- โปสเตอร์ สตกิ เกอร์
- เอกสารและแผน่ พบั
5. การนาเสนอ
- พธิ ีเปิด
- สาธติ และกจิ กรรมประกอบ
6. การประเมินผล
- สังเกตพฤตกิ รรมผ้เู ข้าชม
- แจกแบบสอบถาม
7. การตดิ ตาม
- รายงานผลทางสือ่ มวลชน
- ทาเอกสารรายงาน
กำรใช้สีในกำรตกแตง่ กำรออกแบบตกแตง่ และวสั ดุอปุ กรณ์
สกี บั กำรจัดแสดงสินคำ้
สี (Color) เป็นสภาพของคลืน่ แสงท่สี ามารถสมั ผัสไดด้ ้วยตา อาจเป็นสีของธรรมชาติ เชน่ สีของ
ใบไม้ สที ้องฟา้ เป็นตน้ หรือสีทมี่ นษุ ยส์ รา้ งขึน้ คือ สที ่ีมจี าหนา่ ยในทอ้ งตลาด
สีแท้ (Hue) เป็นลกั ษณะของสแี ทๆ้ ที่ยังไม่ถูกสีอืน่ ผสมให้เขม้ ขนึ้ หรืออ่อนลง
สีออ่ นหรือสจี าง (Tint) เป็นสแี ท้ทถ่ี ูกผสมดว้ ยสขี าวให้มีลกั ษณะจางลง เช่น นาสขี าว มาผสมสแี ดง
กลายเปน็ สีชมพู เปน็ ต้น
สีแก่ (Shade) เป็นสแี ทท้ ี่ถกู ผสมดว้ ยสดี า ทาใหส้ แี ท้มีความเขม้ ข้นึ
สคี ล้า (Tone) เปน็ การนาสเี ทามาผสมลงในสีแท้ทาใหเ้ กิดสีใหมท่ ่ีคลา้ ข้ึน
63
ในการจัดแสดงสนิ ค้า ผจู้ ัดแสดงสามารถเลือกใช้สไี ด้ตามที่ต้องการ หรอื ใกลเ้ คยี งกบั สีท่ี ต้องการ
โดยการนาสมี าผสมกนั เพอ่ื ใหอ้ ่อนลง เข้มข้ึน หรือเกิดเปน็ สีใหม่ข้ึนมา ตามรายละเอยี ด ดงั ต่อไปนี้
สีขั้นท่ีหนง่ึ (Primary Color) หรอื ทเ่ี รยี กวา่ สขี ัน้ ปฐมภูมิ เป็นสที ่ไี มส่ ามารถผสม ข้ึนได้ มีอยู่ 3 สี
คอื สีแดง สีเหลือง และสนี ้าเงิน หรือทีเ่ รยี กว่า “แม่ส"ี
สขี ั้นท่สี อง (Secondary Color) หรอื สีข้ัน ทตุ ิยภมู ิ เกิดจากการนาแมส่ ที ง้ั 3 มาผสมกันทีละคู่ จะ
ได้สขี ัน้ ทีส่ องข้นึ มาอีก 3 สี ได้แก่
สสี ้ม เกิดจาก สีแดงผสมกับสีเหลอื ง
สีเขียว เกดิ จาก สีนา้ เงินผสมกบั สเี หลือง
สีมว่ ง เกิดจาก สแี ดงผสมกบั สนี ้าเงนิ
64
สขี น้ั ที่สาม (Tertiary Color) เป็นการนาสีขนั้ ทีส่ องมาผสมกับแมส่ ี จะไดส้ เี กดิ ขึ้นใหม่อกี 6 สี ดงั น้ี
สีแดงผสมกับสีส้ม เปน็ สสี ม้ แดง
สีแดงผสมกับสีม่วง เปน็ สมี ่วงแดง
สีน้าเงินผสมกับสมี ว่ ง เป็นสมี ว่ งนา้ เงนิ
สีน้าเงนิ ผสมกบั สเี ขยี ว เป็นสีเขยี วนา้ เงนิ
สีเหลอื งผสมกบั สีเขยี ว เปน็ สเี ขยี วเหลอื ง
สเี หลืองผสมกับสี เป็นสสี ม้ เหลอื ง
จากการนาสีข้นั ทีห่ นึ่ง ข้นั ที่สอง และขนั ท่สี าม มาผสมกันน้ี ทาใหไ้ ด้สที ง้ั หมด 12 สี เกดิ เปน็ วงล้อ
สี (The Colors Wheel) ดังนี้
จากวงล้อสี เราสามารถแบง่ ออกเปน็ 2 วรรณะ ไดแ้ ก่
สรี ้อน (Warm Tone) เป็นสีทม่ี สี ีแดงและสีเหลืองผสมอยู่ ไดแ้ ก่ สีเหลือง สแี ดง สสี ้ม สีส้มแดง สี
ส้มเหลือง และสมี ว่ งแดง
สเี ยน็ (Cool Tone) เป็นสีทีม่ ีสีเขียวและสีนา้ เงินผสมอยู่ ได้แก่ สีเขยี ว สนี ้าเงิน สีม่วง สีม่วงนา้ เงนิ
สเี ขยี วน้าเงนิ และสีเขยี วเหลือง
สีตดั กนั คอื สอี ยู่ตรงข้ามกันในวงล้อสี ได้แก่
สีแดง ตัดกับสีเขยี ว สเี หลือง ตดั กบั สีม่วง
65
สีนา้ เงนิ ตดั กับสีสม้ สีม่วงนา้ เงิน ตัดกบั สีส้มเหลอื ง
สีเขียวเหลือง ตัดกบั สีมว่ งแดง สเี ขียวน้าเงิน ตัดกับสสี ้มแดง
การใชส้ ตี ัดกันในการจดั แสดงสินคา้ จะทาใหง้ านที่ออกมาดเู ดน่ ชัดขึน้ ซง่ึ จะช่วยดงึ ดูด สายตาของ
ผทู้ ผี่ า่ นไปมาไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
น้าหนกั สี หมายถงึ ลกั ษณะความออ่ น-แก่ของสตี า่ ง ๆ จะมคี วามเขม้ หรืออ่อนเพียงใดกไ็ ด้
การนาสมี าจัดน้าหนักอ่อน-แก่ ทาให้ภาพทอ่ี อกมามีความสวยงามข้ึน และจะให้ความรสู้ ึก ที่
แตกต่างกนั ออกไป และยังชว่ ยใหเ้ กิดความรู้สึกใกล้ไกล ความเคล่อื นไหว และความรสู้ ึกหนกั เบา อีกด้วย
วิธกี ารทานา้ หนักสี มีดงั น้ี
1. ใชส้ ขี าวผสม เปน็ การใช้สีขาวผสมเขา้ กับสีทตี่ ้องการทานา้ หนกั โดยเพ่ิมปรมิ าณสีขาว ข้นึ เร่อื ย
ๆ จะทาใหส้ นี นั้ ค่อยๆ ออ่ นลง
2. ใชส้ ีใกลเ้ คียงผสม เป็นการใช้สใี กล้เคียงกันที่มีนา้ หนักอ่อนกว่าในวงล้อสีเขา้ มาผสม เช่น การนา
สเี หลอื งมาผสมกับสเี ขยี ว จะทาใหไ้ ดส้ ที ี่มีน้าหนักมากกวา่ สีเหลือง แต่นอ้ ยกวา่ สีเขียว เป็นตน้
3. ใชว้ ธิ ีเตมิ น้า การเตมิ น้าทลี ะนอ้ ยจะทาให้เกดิ สีอ่อนลงไปเร่อื ย ๆ
อทิ ธพิ ลของสีต่อความรสู้ ึกของคน
สมี อี ทิ ธพิ ลตอ่ จติ ใจของมนุษย์ หากผ้จู ัดแสดงต้องการให้ผู้บรโิ ภคเกิดความรู้สึกอย่างไร กค็ วรทจ่ี ะ
เลอื กใช้สใี ห้เหมาะสม เพอ่ื ให้บรรลเุ ป้าหมายของการจดั แสดงในครัง้ นน้ั ๆ อิทธพิ ลของสี ตอ่ จิตใจของมนษุ ย์ มี
ดังนี้
1. สีฟา้ ให้ความรสู้ กึ กว้าง สวา่ ง
2. สีน้าเงนิ ให้ความรู้สกึ ขรมึ สงบ สงา่ ผา่ เผย
3. สีเขยี ว ให้ความรูส้ กึ สบาย เงยี บสงบ
4. สเี ขยี วเข้ม ให้ความร้สู กึ สงบเสงี่ยม
5. สเี ขียวอ่อน ใหค้ วามรู้สกึ อ่อนแอ บอบบาง
6. สีเขยี วเหลือง ใหค้ วามรูส้ กึ เปน็ หนุ่มสาว มีชีวิตชวี า
7. สีแดงสด ใหค้ วามรู้สึกตนื่ เต้น เรา้ ใจ
8. สแี ดงเข้ม ใหค้ วามรสู้ กึ สงา่ ผ่าเผย อ่มิ เอบิ อดุ มสมบูรณ์
9. สแี ดงเลือดหมู ใหค้ วามรู้สกึ ประณตี งดงาม
10. สเี หลอื ง ให้ความรสู้ กึ สดชน่ื ความรุ่งโรจน์
11. สีมว่ ง ใหค้ วามรูส้ กึ มอี านาจ เรน้ ลบั
12, สเี ทา ให้ความรู้สกึ เงยี บขรมึ แกช่ รา
13. สีชมพู ให้ความรู้สกึ นมุ่ นวล ออ่ นหวาน เบาบาง
66
14. สที อง สเี งนิ และสที เ่ี ป็นมนั วาว ให้ความรสู้ กึ มั่งคงั่
15. สีนา้ ตาล ใหค้ วามรสู้ กึ แห้งแลง้ อบอนุ่
16. สขี าว ให้ความร้สู กึ สะอาด บริสุทธิ์
17. สีสม้ ใหค้ วามร้สู ึกรอ้ นแรง ตืน่ เตน้
18. สีดามีกาลัง ให้ความรสู้ กึ เศรา้ โศก หดหู ลกึ ลับ
เทคนคิ กำรใช้สีในกำรจัดแสดงสนิ ค้ำ
การใชส้ ใี นการจัดแสดงสินคา้ หากต้องการให้เกิดความงามนน้ั ควรจะต้องจดั องคป์ ระกอบสี ให้
เป็นไปตามหลักเกณฑ์สากลของการออกแบบ คือ สัดสว่ น สมดุล จังหวะ จุดสนใจ และเอกภาพ ซ่ึงหากผจู้ ดั
แสดงสามารถทาใหส้ ีสันของสินคา้ และร้านค้าโดดเด่น ก็จะช่วยในการสง่ เสริมการขาย ได้เป็นอยา่ งดี ซึ่ง
เทคนคิ การใชแ้ สงในการจัดแสดงสนิ คา้ มดี ังนี้
1. การจดั แสดงสินคา้ ที่ตอ้ งการความหรูหรา การจดั แสดงสินคา้ ทีต่ ้องการความหรหู รานัน้ จะต้อง
ใหส้ ีในแตล่ ะส่วน ไดแ้ ก่ พื้น ผนัง และเพดาน มีความต่อเน่ืองกนั ตอ้ งสรา้ งบรรยากาศให้ดู ขรึม และสงา่ งาม
จึงควรเลอื กใชส้ ีโทนเย็นจะเหมาะสมกว่า
2. การจดั แสดงสินค้าทต่ี ้องการความบอบบาง การจดั แสดงสนิ คา้ ทีต่ ้องการให้ดบู อบบาง
ออ่ นหวาน ควรเลอื กใชส้ ีสวา่ ง หรือสีออ่ นๆ หากเลอื กวัสดปุ ระกอบที่มลี ักษณะเขา้ กนั ไดจ้ ะดูเหมาะสม ยิ่งข้นึ
3. การจัดแสดงสินค้าในเรื่องของวิวัฒนาการและความก้าวหนา้ ควรเลอื กสีทีท่ ันสมยั อยา่ งสแี ดง
สเี หลอื ง สนี ้าเงนิ สีขาวสลับดา เปน็ ต้น นอกจากน้ยี ังสามารถเลือกใชส้ ีของโลหะมันวาว เช่น สเี งนิ สโี ครเมยี ม
หรือสกี ลางๆ อย่างสีเทา ก็เป็นที่นิยมกัน
4. การจดั แสดงสินค้าแฟชั่น ควรเลอื กใช้สีทองซีดๆ สีเขียวเฟิร์น สฟี ้าอมเทา สีอ่อนๆ ถงึ สขี าว
หากไมเ่ ลือกใช้สีอ่อนก็อาจเลือกใช้สที ร่ี นุ แรงไปเลย ทง้ั น้ีขึ้นอยูก่ บั รูปแบบและแนวคดิ ของ สนิ คา้ และ
บรรยากาศท่ีตอ้ งการ
การเลือกสหี รอื กลุ่มสเี พื่อใช้ในการจัดแสดงสินค้าเปน็ เรอ่ื งสาคัญพอๆ กับการจดั องค์ประกอบ การ
จัดแสดงสินคา้ เพราะงานจัดแสดงสนิ คา้ นน้ั จะสามารถดึงดูดความสนใจของผ้ทู ่ผี ่านไปมาได้ หรือไม่น้ัน การ
เลือกใชส้ ีก็เป็นสว่ นหนึ่ง ตัวสี (Hue) น้าหนกั สี (Value) และความสดของสี (Intensity)มคี วามเกีย่ วข้องกัน
กล่าวคือ ตวั สชี ว่ ยสรา้ งบรรยากาศของการจัดแสดงสนิ ค้า น้าหนกั สมั พนั ธก์ ับ ความมืดและความสว่าง ความ
สดของสีมีผลดา้ นการสรา้ งความเขา้ ใจ และการสร้างชีวิตชีวาให้กบั การจัดแสดงสินค้า
การเลอื กใชส้ ที เี่ ปน็ ธรรมชาตจิ ะชว่ ยให้สบายตา และสร้างบรรยากาศทดี่ ี หากต้องการ ความสดใส
กส็ ามารถนาสีสดๆ เข้ามาชว่ ย โดยพยายามจดั ให้อยใู่ นหมวดของสงิ่ ของทีน่ ามาประกอบ ตกแตง่ ส่ิงหน่ึงที่นัก
จดั แสดงสนิ ค้าควรจะคานงึ ถงึ อยเู่ สมอ ไดแ้ ก่ ความต่อเน่ือง กลา่ วคอื หากมี การเปลี่ยนแปลงสีควรให้เป็นแบบ
67
คอ่ ยเปน็ ค่อยไป ไม่กระโดดเป็นห้วงๆ โดยปกติแล้วในการจัดแสดง สินคา้ แต่ละคร้งั ควรใช้สีไมเ่ กิน 3-4 สี แต่
ท้งั นีต้ อ้ งพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมของเรื่องทจ่ี ัดดว้ ย
แสงกบั กำรจัดแสดงสนิ คำ้
แสง ในทีน่ ้ีหมายถึง แสงสว่างที่นามาใช้เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสวา่ งแก่ตวั อาคารท้ังภายในและ ภายนอก
การเลือกใชแ้ สงจะต้องคานึงถึงประโยชนด์ ังนี้
1. ตอ้ งสามารถทาให้มองเห็นรายละเอียดของสินค้าได้ หมายถึง แสงท่เี ลือกใช้เมือ่ ส่อง ไปยังสินคา้
แลว้ ไม่วา่ สินคา้ จะมสี ีใดก็ตาม จะสามารถมองเห็นรายละเอียดของสนิ คา้ ไดช้ ัดเจน
2. ตอ้ งช่วยสร้างอารมณ์ และเร้าอารมณใ์ หผ้ คู้ นสนใจ และเกิดความต้องการสนิ ค้า
3. ตอ้ งทาให้สนิ คา้ เด่น สะดดุ ตาผู้คนท่ีผ่านไปมา
แสงประดิษฐ์
โดยปกติแล้ว เราจะอาศยั ดวงอาทติ ยเ์ ปน็ ตน้ กาเนดิ ของแสงสว่าง แตใ่ นยามค่าคืนเมื่อ แสงอาทติ ย์
หมดไปแลว้ เราต้องอาศัยแสงที่มนุษย์คิดคน้ ขนึ้ เราเรยี กวา่ “แสงประดิษฐ์” ซงึ่ นอกจากให้ความสว่างในยาม
้คา่ คนื แล้ว ยังจะช่วยเพ่ิมประสทิ ธภิ าพในการจดั แสดงสนิ ค้าดว้ ย เพราะ แสงประดิษฐ์นสี้ ามารถบงั คับแสงให้มี
ความยดื หยุ่นได้ตามทต่ี ้องการ แสงประดิษฐท์ ี่นิยมใช้ ได้แก่
1. แสงจากหลอดไฟฟา้ เรืองแสง (Fluorescent Lamps) หรอื ทีเ่ รยี กว่า หลอดนีออน ท่ีใหค้ วาม
สวา่ งทั่วไปในบรเิ วณร้านค้า ที่นิยมมี 2 ขนาด คือ ขนาด 20 แรงเทียน และ 40 แรงเทยี น ในการจัดแสดง
สนิ ค้า ผจู้ ัดแสดงมักนิยมใชห้ ลอดชนิดทเ่ี รยี กว่า Slim Lamps ซ่งึ มีขนาดเล็กและ ยาวเพอื่ ให้ความสวา่ งแก่ตวั
สนิ คา้
สีท่ีเกิดขึน้ ในหลอดฟลอู อเรสเซนต์น้นั เกดิ จากการทีร่ งั สีอัลตราไวโอเลตวง่ิ ไปกระทบ กบั สารเรอื ง
แสงท่ฉี าบไวท้ ผี่ วิ ด้านในของหลอดฟลูออเรสเซนต์ และทาให้เกดิ การเปล่งแสงหรือ เรอื งแสงออกมา
สีที่ออกจากหลอดฟลอู อเรสเซนตส์ ามารถจาแนกได้ดงั น้ี
1.1 หลอดชนิดแสดงกลางวนั (Daylight) หลอดไฟชนิดนีเ้ ป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์ ประเภทท่ี
ให้แสงสวา่ งออกมาใกลเ้ คียงแสงธรรมชาตมิ ากที่สดุ คือ สเปกตรมั ของสที ี่ออกมาจาก หลอดไฟจะมคี ลนื่ ของสี
ออกมาเกอื บครบทุกยา่ นความถี่ทต่ี ามองเห็น และทาให้เกิดความรสู้ ึกซงึ่ ทาให้ระบบประสาทสามารถ
วเิ คราะห์สีสนั ต่าง ๆ ของสิ่งของและวัตถุได้อยา่ งถูกต้อง และเป็นหลอด ทีน่ ิยมใช้กันมากในปัจจบุ ัน โดยเฉพาะ
ประเทศทีม่ ีอากาศร้อน
1.2 หลอดชนดิ ขาวอุ่น (Warm White) เปน็ หลอดฟลอู อเรสเซนต์ทีใ่ ห้แสงสว่างของสี ออกมา
คอ่ นข้างไปทางสีเหลอื งแดง แสงสใี นยา่ นส้ีนา้ เงนิ จะเข้มน้อยลง หลอดชนดิ นีจ้ ะมปี ระสิทธิภาพ ของหลอด
ประมาณ 77 ลูเมนต่อวัตต์ เหมาะสาหรับประเทศท่ีมีอากาศหนาวเยน็ เพื่อใช้สรา้ งความอบอุ่น
68
1.3 หลอดชนิดขาวเยน็ (Cool White) เปน็ หลอดฟลูออเรสเซนต์ที่จะใหแ้ สงสว่าง กมสสน
คอ่ นข้างจะใกล้เคียงกับสีธรรมชาติ แตน่ อ้ ยกวา่ หลอดชนดิ แสงกลางวัน (Daylight) คณุ สมบัติ ของสีของแสง
จะอยู่ระหว่างกึ่งกลางของหลอดชนดิ แสงกลางวัน (Daylight) กับหลอดชนดิ ขาวอุ่น (Warm White) และมี
ประสิทธภิ าพของหลอดสูงกว่าหลอดทง้ั 2 ชนิดท่ีกล่าวมาแล้ว
1.4 หลอดชนดิ สะท้อนแสง (Reflector Tube) เปน็ หลอดฟลอู อเรสเซนต์ทดี่ า้ นหนง่ึ ของ
หลอดถกู เคลือบด้วยสารสะท้อนแสงเพ่ือรวบรวมแสงท่ีได้ออกมาใหอ้ อกไปในทศิ ทางตรงกันข้าม และมีการ
ตดิ ตง้ั ในตาแหน่งท่ีแนน่ อน ประสทิ ธภิ าพของหลอดชนดิ น้ีจะมีคา่ สูงมาก ส่วนใหญจ่ ะใช้ ติดตัง้ ในหอ้ งโชว์ ตู้โชว์
เปน็ ตน้
1.5 หลอดสี เป็นหลอดฟลอู อเรสเซนต์ทใี่ ห้แสงสีท่ีแตกตา่ งกัน เช่น สีขาว สแี ดง สเี หลอื ง สี
เขียว สชี มพู ส้ีนา้ เงนิ เปน็ ตน้ วตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ใชใ้ นการตกแตง่ ในงานต่างๆ หรอื สถานที่ตา่ งๆ เชน่ ในตู้โชว์
เวทลี ะครเวทดี นตรี เปน็ ตน้ ส่วนใหญ่แลว้ เน้นถึงเรื่องสีของแสงสวา่ งทจ่ี ะให้ออกมาเปน็ หลักมากกว่าเร่อื งของ
ความสวา่ ง
1.6 หลอดอลั ตราไวโอเลต เป็นหลอดฟลอู อเรสเซนต์ท่ีใหแ้ สงสีท่ีตามองเหน็ ได้ ออกมาสว่ นหนึ่ง
และแสงอัลตราไวโอเลตท่ตี าเรามองไม่เหน็ ออกมาอีกสว่ นหน่ึง ซึง่ สว่ นใหญ่แล้ว หลอดชนิดนีจ้ ะนาไปใชใ้ นงาน
ชีววทิ ยา คือ จะใชใ้ นการหยุดการเจริญเติบโตของเชือ้ โรงบางชนดิ ได้ หรือท่เี รยี กกันทั่วไปวา่ หลอดฆา่ เชือ้
1.7 หลอดแสงสดี า (Black Light) เปน็ หลอดฟลูออเรสเซนต์ทีผ่ ิวของหลอดแก้ว เป็นสีดาทวั่ ทัง้
หลอด เพ่ือกนั ไม่ให้แสงท่ตี าคนเรามองไม่เห็นเลด็ ลอดออกมาได้ แต่จะยอมให้แสงอัลตราไวโอเลตผา่ นออกมา
ไดเ้ ทา่ นนั้ และเม่ือแสงอัลตราไวโอเลตไปกระทบกับวัตถุหรือฉากก็จะ เกดิ แสงขึ้น ซง่ึ ส่วนใหญแ่ ล้วหลอด
ประเภทนจ้ี ะใชใ้ นสถานที่ที่ต้องการบรรยากาศที่แปลกออกไป จากบรรยากาศปกติ เช่น ในไนต์คลับ บาร์ หรอื
สถานเริงรมยต์ ่างๆ เป็นตน้
2. แสงจากหลอดไฟฟ้าจุดไส้ (Incandescent Lamps) หรอื ทีเ่ รียกวา่ หลอดไฟธรรมดา แสงของ
หลอดไฟฟ้าจดุ ไสจ้ ะทาให้สขี องวัตถุดนุ่มนวลข้นึ สามารถควบคุมทศิ ทางของแสงไดง้ า่ ย ลักษณะของหลอดไฟน้ี
เปน็ หลอดแกว้ หมุ้ ไสห้ ลอด ให้แสงเป็นสเี หลืองอมส้มอ่อน ๆ เหมาะกบั ห้องที่ไม่ต้องการแสงสวา่ งมากนกั
ปัจจบุ นั มีหลอดไฟฟ้าแบบเดย์ไลต์ ท่ใี หแ้ สงสว่างนวลจ้า ให้ลาแสงท่ี ชดั เจนและสามารถบงั คบั แสงให้ไปตาม
ทศิ ทางทีก่ าหนดไว้ หรือทเ่ี รยี กว่า “ไฟสปอต” มคี ุณสมบตั ิ เหมาะกบั การส่องใหล้ าแสงตรงไปยงั สนิ ค้าท่ี
ตอ้ งการเนน้ นับวา่ สามารถสร้างความเด่นให้แกส่ ินคา้ น้ันได้เป็นอย่างดี
69
กำรใช้แสงกับกำรจดั แสดงสินค้ำ
ลกั ษณะของแสงไฟที่นามาใชใ้ นการจัดแสดงสนิ ค้า มีดงั นี้
1. ไฟชนดิ กระจายไปทว่ั พื้นที่ของหน้าร้าน เปน็ แสงสว่างหลักท่ใี ชท้ ดแทนแสงสว่างจาก ธรรมชาติ
คือ ดวงอาทิตย์ จะใชใ้ นยามค่าคืน จะตดิ ตัง้ ดา้ นหน้ารา้ น ตามป้ายของชายคาท่ยี นื ออกไป มกั ใชห้ ลอดไฟ
นีออนหรือหลอดฟลอู อเรสเซนต์ -
2. ไฟทีซ่ อ่ นตวั อย่ใู นตู้โชว์ จะส่องมายังจดุ ที่ควรสอ่ ง จดุ ที่ไมโ่ ดนแสงในยาม้ค่าคนื แสงสวา่ ง จะทา
ใหภ้ ายในตโู้ ชวล์ อยเดน่ ออกมา
3. ไฟทส่ี ่องขา้ งหลัง
3.1 ไฟท่ฉี ายไปทฉ่ี ากหลงั ท่ตี อ้ งการเน้นใหม้ ีสสี นั เพ่ือใหว้ ัตถุทีต่ ้องการจดั แสดง ด้านหนา้ เดน่
ชดั เจนขนึ้
3.2 ไฟที่ฉายไปยังของทจ่ี ะโชวจ์ ากขา้ งหลงั หรือขา้ งหนา้ เพื่อใหเ้ กิดรูปแบบสสี นั ที่ แปลกตา
มกั ใชก้ ับสินค้าประเภทเคร่ืองแกว้
4. ไฟราว คอื การใชห้ ลอดนอี อนหลายๆ หลอดเรียงกันตลอดแถว ใชเ้ วลากลางวันท่มี ี แสงสวา่ ง
มาก แสงสะท้อนจากดา้ นนอกเข้ามาทาให้มองเห็นตัวสนิ ค้าได้ชัดเจน จึงใชไ้ ฟราวชว่ ย ลดแสงสะท้อนนั้นทาให้
มองเห็นสนิ ค้าทีต่ งั้ แสดงในหน้าต่างโชว์ได้
5. ไฟกะพริบ ให้แสงสว่างกะพรบิ รา้ นคา้ ปลีกสามารถใช้แสงไฟที่ส่องกะพริบสลบั กนั ไปมาได้
เพ่อื สร้างจุดเดน่ ให้กบั บรเิ วณที่จัดแสดงสินคา้ สว่ นมากใชก้ ับการจดั แสดงหน้าต่างโชว์ หนา้ รา้ นมากกวา่ การใช้
บริเวณภายในรา้ นค้า เพราะจะสรา้ งความราคาญแกล่ กู ค้า เพราะแสงไฟท่ี กะพรบิ ตลอดทาให้สายตาพร่ามัว
มองเห็นสนิ ค้าได้ไมช่ ัดเจน
6. ไฟโคม อาจเป็นไปในลักษณะต้งั หรือแขวนกไ็ ด้ โดยใชเ้ ป็นแสงสวา่ งและเปน็ เครื่อง ประดับได้
ดว้ ย เหมาะกบั การจัดแสดงสินคา้ ทีต่ ้องการสรา้ งบรรยากาศโรแมนติก
วธิ ีกำรจัดแสง ทาไดด้ ังน้ี
1. แสงสวา่ งส่องเฉพาะจุด มกั ใชไ้ ฟสปอตส่องตรงไปยังตวั สนิ ค้าทต่ี ้องการเน้นให้เดน่ เหมาะ
สาหรบั การจัดแสดงสินคา้ ในตู้โชว์
2 แสงสวา่ งสอ่ งกระจาย มักใชห้ ลอดไฟนีออนหรือหลอดฟลอู อเรสเซนตต์ ดิ ตงั้ บนเพดาน เหมาะ
สาหรบั สานักงานท่วั ไป
3. แสงสวา่ งเฉพาะจดุ และกระจาย คือ ใชท้ ง้ั หลอดไฟสปอตส่องเฉพาะจุดและหลอดไฟ นอี อนส่อง
กระจายทั่วไป เหมาะสาหรับร้านค้า ห้างสรรพสนิ คา้ ซเู ปอร์มาเกต
70
แบบทดสอบบทท่ี 4
ตอนที่ 1 จงเลือกคำตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพียงขอ้ เดียว
1.อุปกรณ์การจดั แสดงข้อใดช่วยประหยดั เน้อื ที่ใน ง. หุ่นโชว์เฉพาะสว่ น
การจดั แสดง และประหยดั ค่าใช้จ่าย 6.การนาสมี าทาบรเิ วณผนัง ฉากหลัง พนื้ และวสั ดุ
ก. ขาตง้ั ตกแต่งอนื่ จัดเป็นอุปกรณ์การจัดแสดงสินค้าข้อใด
ข. หุ่นโชว์ ก. อุปกรณ์ใชง้ าน
ค. โครงร่าง ข. อปุ กรณ์ชนิดโครงสร้าง
ง. หุ่นโชว์เฉพาะสว่ น ค. อปุ กรณ์ชนดิ ใชต้ กแต่งและประดบั
2.ผจู้ ัดแสดงนาโลหะมาใชใ้ นการจดั แสดงสนิ ค้า ง. อุปกรณ์ประกอบหรืออปุ กรณ์เสริม
เนอ่ื งจากโลหะมีข้อดีตามขอ้ ใด 7.สินคา้ ประเภทถุงนอ่ ง ถงุ มือ เครอ่ื งประดับ ควร
ก. สวยงาม ใช้อปุ กรณ์การจดั แสดงขอ้ ใด
ข. ดดั งอเป็นรูปตา่ ง ๆ ได้ ก. ขาต้ัง
ค. สะดวกในการรอ้ื ถอน ข. หุน่ โชว์
ง. ราคาถูก ค. โครงร่าง
3.ตู้ทีถ่ กู ออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจ และใน ง. ห่นุ โชวเ์ ฉพาะสว่ น
ขณะเดยี วกนั กส็ ามารถรกั ษาสภาพและคุณคา่ ของ 8.ต้นไม้ประดิษฐ์ ต้นไม้ปลอม จดั เป็นอุปกรณ์การ
สนิ ค้าได้จดั เปน็ หนา้ ทีข่ องอุปกรณ์การจัดแสดงข้อ จดั แสดงสนิ ค้าข้อใด
ใด ก. อุปกรณ์ใชง้ าน
ก. ชว่ ยในการสง่ เสรมิ การขาย ข. อปุ กรณช์ นิดโครงสรา้ ง
ข. ชว่ ยป้องกันและรักษาสินค้า ค. อปุ กรณ์ชนดิ ใชต้ กแต่งและประดบั
ค. ช่วยในการจัดแสดง ง. อปุ กรณ์ประกอบหรืออุปกรณ์เสริม
ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก 9.หากตอ้ งการเสริมให้สินค้าและวสั ดตุ กแต่งอื่น
4.อปุ กรณ์ท่ีแสดงลกั ษณะการใช้งานของสนิ คา้ ได้ดี เดน่ ขนึ้ ควรใช้อุปกรณข์ ้อใด
ที่สุด ราคาแพงทีส่ ุด หมายถงึ ขอ้ ใด ก. แทน่ และโต๊ะ
ก. ขาต้ัง ข. กลอ่ งรปู ลูกบาศก์
ข. หุ่นโชว์ ค. เสา
ค. โครงรา่ ง ง. ไมม่ ีข้อใดถูก
ง. เชติ้ แสตนด์ 10.การนาหินมาใชเ้ ปน็ วัสดอุ ุปกรณ์ในการจดั แสดง
5.อุปกรณ์ท่ีชว่ ยเพม่ิ ความสูงให้กับสนิ คา้ สามารถ สินคา้ จะช่วยให้ความรสู้ ึกตามข้อใด
ปรับระดับความสงู ได้ หมายถึงขอ้ ใด ก. รสู้ กึ สวยงาม
ก. ขาต้งั ข. รสู้ ึกม่ันคง
ข. หุน่ โชว์ ค. รสู้ ึกหรหู รา
ค. โครงร่าง ง. รู้สกึ สงา่ งาม
ใบงำนท่ี 4 71
ชอ่ื วิชำ ศลิ ปะเชงิ พำณชิ ย์
ช่อื หน่วย กำรจัดแสดงสนิ คำ้ และนทิ รรศกำร รหัส 2202-2112
ตอนที่ 2 จงตอบคำถำมต่อไปน้ีให้ได้ใจควำมสมบูรณ์ (ทำลงในสมุด)
1.การจัดแสดงสนิ คา้ คือ
2.วตั ถุประสงค์ของการจดั แสดงสนิ คา้
3.ประโยชน์ของการจัดแสดงสินค้า มีอะไรบา้ ง
4.เทคนคิ การใช้สีในการจดั แสดงสนิ คา้
5.วิธกี ารจดั แสงมอี ะไรบา้ ง
72
บทท5่ี สญั ลกั ษณ์ทางธรุ กิจ
สำระสำคญั
การท่ีจะเร่ิมทาธุรกิจ หรือดาเนินกิจการใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของภาครัฐ หรือ
บริษัทเอกชน จะเป็นองค์กรธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความจาเป็นท่ีจะต้องมีสัญลักษณ์
หรือโลโก้ (Logo) ประจาตัว เพ่ือเป็นการส่ือสารหรือใช้เพ่ือการเตือนความทรงจา และทาให้เกิดผลประโยชน์
ในด้านการสื่อความหมายตอ่ สาธารณชนใหเ้ ป็นทีจ่ ดจาและเข้าใจไดง้ า่ ยมากยง่ิ ข้ึนนัน่ เอง
ควำมหมำยของสัญลักษณ์ หรือโลโก้
สัญลักษณ์หรือโลโก้ (Logo) มาจากคาเต็ม Logotype หมายถึง สัญลักษณ์ เคร่ืองหมาย
ตัวแทน หรือสื่ออย่างใดอย่างหน่ึงท่ีบ่งบอก ประเภท รูปแบบ หรือรูปพรรณสัณฐานของส่ิงท่ีเป็นเจ้าของ
สญั ลักษณ์ หรอื โลโก้ (Logo) นั้น ๆ
73
โลโก้ (Logo) คือสัญลักษณ์ท่ีแสดงถึงภาพสัญลักษณ์ และเครื่องหมายต่าง ๆ ได้แก่ สินค้าและ
บริษัทผู้ผลิต การออกแบบโลโก้สินค้า และบริษัทให้มีเอกลักษณแ์ บบเฉพาะตนเอง จะช่วยให้มีความน่าเชอื่ ถอื
และตราตรึงต่อผ้บู รโิ ภคตลอดไป
ดงั นัน้ โลโกจ้ งึ สามารถสร้างแรงบนั ดาลใจ ความเชื่อ ความนิยม และการจดจาเกีย่ วกบั องค์กรหรือ
สินค้าและมันคืองานของ Designer ในการสร้างสรรค์โลโก้ เพ่ือวัตถุประสงค์ดังกล่าว เพราะโลโก้น้ันไม่ได้เป็น
แค่เครอ่ื งหมายเฉย ๆ แตโ่ ลโก้น้นั สะทอ้ นถงึ ภาพลักษณ์ในทางการตลาดของธรุ กิจอีกด้วย
จดุ ประสงค์หลักของกำรออกแบบโลโก้
โลโก้ (Logo) ที่ปรากฏต่อสายตาเป็นภาพลักษณ์แรกที่ลูกค้าจะได้รู้จกั ดังนั้นจึงมีความหมาย
ต่อธุรกจิ อย่างไม่ต้องสงสัย โลโก้ท่ดี จี ะชว่ ยสร้างเครดิตให้กับกิจการหรือองค์กรธรุ กิจได้อย่างรวดเรว็ ซ่ึงถ้าขาย
สินค้าคุณภาพ โลโก้น้ันต้องสะท้อนส่ิงนี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นจุดประสงค์หลักของการออกแบบโลโก้ มี
ดังนี้คอื
1. เพอ่ื ทาใหค้ นอื่นจดจาไดง้ า่ ย สามารถรบั รู้ได้ทนั ทีวา่ โลโกน้ คี้ อื แบรนด์อะไร
2. เพอ่ื เพมิ่ ความเช่ือมน่ั ในตัวแบรนด์ เพิม่ ความจงรกั ภักดี (Loyalty) ของแบรนด์
3. เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ
4. เพ่ือช่วยสะท้อนถงึ คณุ ภาพของผลติ ภัณฑ์
5. เพื่อชว่ ยให้ผู้บรโิ ภคเกดิ ความรู้สึก ความเชอื่ มั่น เกิดความเขา้ ใจในตวั สินคา้ และยอมรบั ในตัว
สนิ ค้า
ควำมสำคญั ของกำรออกแบบโลโก้
ปัจจุบันการออกแบบโลโก้ควรใช้เวลาคิด วิเคราะห์ข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เพ่ือให้โลโก้ท่ี
ออกแบบมาน้ันตอบโจทย์กับบริษัท สินค้าหรือบริการนั้น ๆ สามารถสะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ต้องการออกไปสู่
คนภายนอกไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตามทคี่ าดหวงั ไว้ ดงั นน้ั ความสาคญั ของการออกแบบโลโก้ มดี งั น้ีคอื
1. การออกแบบโลโก้ ช่วยในการนาเสนอด้วยสัญลักษณ์หรือรูปภาพกราฟิกง่ายเป็นสัญลักษณ์
ของบริษัท องค์กร หรือห้างร้าน แต่สิ่งสาคัญคือต้องมีอานาจในการดึงดูด และแสดง
ภาพลกั ษณ์ ของผลติ ภัณฑน์ นั้ ๆ ได้ เช่น ผลิตภัณฑข์ องผ้ชู าย โลโก้ควรจะสือ่ ถึงความเขม้ แข็ง
มาดม่ัน หรอื สมารท์
2. การออกแบบโลโก้ที่ดี จะชว่ ยใหผ้ ู้คนหรอื ลกู ค้าเป้าหมายสามารถจดจาไดท้ นั ทที ี่เห็น สามารถ
สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความซ่ือสัตย์ต่อแบรนด์ การยอมรับและความชื่นชม โลโก้ที่ดีจึง
เปน็ พ้ืนฐานของแนวความคิดหรอื คุณคา่ ของบริษทั ทีส่ มบรู ณ์แบบ
3. การออกแบบโลโก้ สิ่งสาคัญที่สุดคือ การสร้างความประทับใจให้กับผู้มอง ซ่ึงจะต้องมี
ความหมายและจาได้ง่ายเป็นสัญลักษณ์ท่ีสามารถจะเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้าได้ จะต้องมี
74
เอกลักษณ์และไม่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงของเวลา นอกจากน้ีมันจะต้องมีความยืดหยุ่นใน
เรือ่ งของขนาดเพราะมันจะต้องถูกนาไปใชใ้ นสถานท่ีต่าง ๆ เช่นปา้ ยประกาศ บลิ บอร์ดขนาด
ใหญ่ หนึ่งในองคป์ ระกอบท่สี าคญั กค็ ือมีความคมชดั มองเห็นไดง้ า่ ย
4. การออกแบบโลโก้ เป็นกระบวนการท่ีค่อนข้างซับซ้อน เสมือนการกาหนดตัวตนของธุรกิจ
นอกจากนี้ต้องเหมาะหรือตรงกับความชอบและค่านิยมของลูกค้า เป็นการบ่งบอกถึงคุณค่า
ของบริษัทท่ีจะต้องทาความเข้าใจอย่างระมัดระวัง มีความชัดเจน และสามารถแข่งขันกับ
คแู่ ขง่ ได้
5. การออกแบบโลโก้และการสร้างแบรนด์ เป็นองค์ประกอบท่ีผสมผสานกันระหว่างปัจจัยสอง
อย่างคือ คุณภาพและการพบเห็น และในโลกโลกาภิวัฒน์นี้เป็นการบ่งบอกความชาญฉลาด
ของบรษิ ัททีจ่ ะสามารถเอาตัวรอดไปได้ตลอดจากเงื่อนไขของเวลาและการแขง่ ขนั
ประเภทของโลโก้
ในปัจจุบันเราทุกคนรู้จักโลโก้ดี ๆ มากมาย แต่เช่ือไหมครับว่าเราแทบไม่รู้กันเลยว่าโลโก้ที่ดี
เหล่าน้ันไม่ง่ายเลยท่ีจะสร้างขึ้นมา เม่ือเริ่มต้นออกแบบโลโก้ของธุรกิจมีหลายอย่างท่ีต้องพิจารณาต้ังแต่
แนวคิด (Concept) ของสี ไปจนถึงการออกแบบงานแต่ในปัจจุบันเราแบ่งโลโก้ (Logo) ออกเป็น 4 ลักษณะ
ดังตอ่ ไปนี้
1. Wordmark เป็นโลโกท้ ีอ่ อกแบบโดยการนาตวั อักษรหลายตวั มาจัดเรียงเขา้ ดว้ ยกันหรือท่ี
เรยี กวา่ Logotype บรษิ ัทท่ใี ช้โลโก้ลักษณะน้ี เช่น eBay, IBM, CNN, Google, และ Kleenex เปน็ ต้น
รปู ที่ 2 ตวั อย่างโลโกป้ ระเภท Word mark
75
2. Letterform โลโก้ลักษณะน้ีสร้างจากการประดิษฐ์ตัวอักษรตัวเดียวให้มีลักษณะพิเศษ
ชวนจดจา เชน่ Honda, Uber, Unilever, McDonald’s เป็นตน้
รปู ที่ 3 ตวั อย่างโลโกป้ ระเภท Letterform
3. Pictorial เป็นโลโก้ท่ีมีลักษณะเป็นรูปเชิงสัญลักษณ์ที่เรา สามารถเห็นแล้วจดจาได้ง่าย
เชน่ Starbucks, Twitter หรอื Playboy โลโก้ทงั้ หลายเหลา่ นล้ี ้วนแตม่ ลี ักษณะเป็นรูปสัญลกั ษณ์ท้งั สนิ้
รูปท่ี 4 ตวั อยา่ งโลโกป้ ระเภท Pictorial
76
4. Abstract ตัวโลโก้ไม่ได้สื่อถึงสิ่งใด แต่สามารถจดจาได้ง่าย ดูแล้วเหมือนกับภาพศิลปะ
แบบนามธรรม แบรนด์ท่ปี ระสบความสาเร็จท่สี ดุ ทีใ่ ชโ้ ลโกล้ ักษณะนด้ี ูเหมอื นจะเปน็ Nike
รูปท่ี 5 ตัวอย่างโลโกป้ ระเภท Abstract
โลโก้ใชเ้ พอ่ื อะไร
การท่ีจะเริ่มทากิจการธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพ่ือการค้า บริษัท ห้างร้าน และองค์กร
อ่ืน ๆ การออกแบบโลโก้ คุณต้องเข้าใจก่อนว่า โลโก้ คือใช้อะไร เป็นตัวแทน และเอาไว้ใช้ทาอะไร โลโก้น้ัน
ไม่ได้เป็นแค่เคร่ืองหมายเฉย ๆ แต่โลโก้นั้นสะท้อนถึงภาพลักษณ์ในทางการตลาดของธุรกิจของคุณ (Brand:
ยห่ี อ้ ) ผา่ นทาง รปู รา่ ง ตวั อักษร สี หรือรูปภาพ ดังนน้ั โลโก้ใช้เพือ่ อะไร มีดังน้ี
1. ด้านจิตวิทยาคือ การต้องการให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึก ความเชื่อมั่น เกิดความเข้าใจในตัว
สินค้าและยอมรับในตัวสินค้า และที่สาคัญคือความต้องการที่จะสร้างให้ผู้บริโภคเกิด
ความรูส้ ึกประทับใจ
2. ด้านพฤติกรรมคือ การท่ีต้องการให้ผู้บริโภคแสดงพฤติกรรมตอบสนองการจูงใจของ
เอกลกั ษณข์ ององคก์ ร
3. ดา้ นภาพพจน์ คือ ตอ้ งการให้ผบู้ รโิ ภคเกิดทศั นคตทิ ่ีดี มคี วามนิยมชมชอบต่อผู้ผลติ
77
องคป์ ระกอบกำรออกแบบโลโก้
โลโก้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่าน้ัน แต่การออกแบบโลโก้ท่ีมีประสิทธิภาพน้ัน ยัง
สามารถเพ่ิมความน่าเชื่อถือ การแสดงตัวตนและเก็บรักษาความทรงจาของแต่ละบุคคล บริษัทหรือองค์กร
และองค์ประกอบทีส่ าคัญสาหรับการออกแบบโลโกท้ ่สี ามารถเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพได้ดงั นี้คือ
1. มีความสอดคล้อง โลโก้จะต้องมีความสอดคล้องกับความหมายในตัวของมันเอง กับ
สโลแกน ตวั อกั ษรและแนวความคิดทางการตลาด การเพ่ิมองคป์ ระกอบในสว่ นที่มีความคลา้ ยคลึงกนั กับบริบท
ความแตกต่างกันทางด้านการตลาดจะชว่ ยให้ลูกค้าสามารถสร้างความรู้สึกเช่ือมโยงต่อการออกแบบ โลโกแ้ ละ
แบรนดข์ องบริษัทได้
2. มีความนา่ จดจา การสอดคลอ้ งกันจะนาไปสู่ความนา่ จดจา โลโกค้ วรจะออกแบบให้มีความ
เรียบงา่ ย และชัดเจนเพื่อทีผ่ ้พู บเหน็ หรือลูกคา้ จะสามารถจดจามันได้อย่างง่ายดาย ยกตวั อยา่ ง การออกแบบท่ี
เรยี บงา่ ยของบริษทั แอปเปลิ ซึง่ ดูแลว้ ไมน่ า่ จะเป็นไปไดเ้ ลย แต่มันกน็ าไปส่กู ารจดจาอยา่ งไม่จากดั ของลูกค้า
3. ต้องมีความหมาย การออกแบบโลโก้ที่ดีจะต้องสามารถถ่ายทอดข้อความท่ีมีความหมาย
ของแบรนดส์ นิ ค้าไปสู่ลกู ค้า การออกแบบของเว็บไซต์อเมซอนของอเมริกา เป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาสามารถ
ขายสนิ ค้าไดท้ กุ อย่างจาก A-Z และลูกคา้ ก็มีรอยย้ิมด้วยความประทบั ใจกบั การบรกิ าร
4. ตอ้ งไม่ซ้าแบบใคร หากจะจนิ ตนาการไปถึงโลโก้ท่ีมีความคล้ายคลงึ กัน เลียนแบบกนั กับโล
โกใ้ นตลาด สิง่ ทผ่ี ู้ผลติ หรอื บริษทั องคก์ รจะไดร้ บั ก็คือ ลูกคา้ จะเกดิ ความรูส้ กึ สับสนในชื่อยหี่ ้อท่ีพวกเขาต้องการ
จะซื้อ ดังน้ันการออกแบบโลโก้ท่ีไม่ซ้ากับใครก็เป็นสิ่งสาคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะดูซับซ้อนจนเกินไป
อย่างเชน่ โลโก้ของแมคโดนลั เป็นหน่ึงในบรรดาของโลโก้ท่ีง่ายที่สุดสาหรบั การออกแบบอัตลกั ษณ์ของสนิ ค้าใน
ตลาดท่สี งั เกตเหน็ ไดช้ ัดและแนน่ อนวา่ มนั มีความเป็น เอกลกั ษณใ์ นตวั เองดว้ ย
5. มีความเป็นมืออาชีพ บริษัทจะต้องมั่นใจว่าโลโก้ของตนมีการออกแบบให้รองรับการพิมพ์
งานได้ทกุ วัสดทุ ี่มี และต้องมีคุณภาพสงู นอกจากคุณภาพของกราฟกิ ก็ควรจะต้องมีความคมชดั และชดั เจน
6. ไม่มีขอบเขตทางด้านเวลา หมายถึงเวลาไม่สามารถจะทาให้ภาพลักษณ์ หรือความหมาย
ของโลโก้เลือนหายไปได้ง่าย ๆ นอกจากว่าบริษัทจะมีการรีแบรนด์หรือส่ังทาโลโก้ใหม่น่ันเอง ถ้าโลโก้มีการ
เปล่ียนแปลงบ่อย ๆ และต่อเน่ืองกันตลอดก็จะส่งผลกระทบต่อแบรนด์สินค้า ลูกค้าจะรู้สึกไม่เช่ือถือในสินค้า
ไมร่ สู้ ึกเกดิ ความเชื่อมน่ั ตอ่ แบรนดท์ ีม่ ี
78
7. การเลือกใช้สี สีของโลโก้ของบริษัทจะต้องมีความสอดคล้องกันในด้านของทฤษฎีสีและยงั
สื่อถึงการกาหนดตัวตนของบริษัทด้วย ดังน้ันการกาหนดสีจึงไม่ง่ายท่ีจะทาให้น่าสนใจแต่คงพ้ืนฐานไว้ที่สีขาว
หรอื สเี ทาโทน โมโนโครมหรอื เทาซงึ่ จะชว่ ยใหค้ นตาบอดสีเหน็ ได้
ดังนั้นองค์ประกอบการออกแบบโลโก้เหล่านี้สามารถที่จะประสบความสาเร็จให้ได้รับความ
สนใจสาหรับธุรกิจหรือองค์กร ควรรับคาแนะนาหรือความคิดเห็นจากผู้เช่ียวชาญในการออกแบบแล้วธุรกิจ
หรือองค์กรจะไดร้ ับโลโกท้ ่ีดี
หลักกำรออกแบบโลโก้ทดี่ ี
โลโก้ท่ีดีจะต้องเป็นโลโก้ท่ีสามารถจดจาได้ง่ายเม่ือแรกเห็น และสามารถติดตาผู้บริโภคได้
ทันที เช่น โลโก้ของ Nike ซ่ึงเป็นรูปเครื่องหมายถูก และโลโก้ของ Apple ท่ีสวยงามชวนมอง เป็นต้น โลโก้
เหล่าน้ีทาหน้าท่ีของมันได้ดีมากในการดึงแบรนด์ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง และทาให้ลูกค้าสนใจ รวมไปถึงเพ่ิม
ยอดขายไดซ้ ึง่ หลักการออกแบบโลโก้ทด่ี ี มีดังน้คี อื
1. อย่าใช้คลิปอาร์ต เจ้าของธุรกิจออนไลน์ท่ีเป็น SMEs หลายท่าน เลือกใช้วิธีง่าย ๆ ในการ
ออกแบบโลโก้ให้กบั เวบ็ ไซต์ โดยเลือกใช้คลปิ อาร์ตแจกฟรีบนอินเทอร์เนต็ ซ่ึงลกั ษณะเปน็ ภาพลายเส้นกราฟิก
ง่าย ๆ แจกจ่ายให้ใช้ฟรีอย่างแพร่หลาย ลองนึกดูว่าเกิดมีลูกค้าท่ีเคยเห็นคลิปอาร์ตน้ี เมื่อได้มีโอกาสแวะเวียน
เว็บไซต์ของคุณ เขาอาจจะจาได้ และคิดต่อไปว่า ขนาดโลโก้ยังยืมภาพคนอื่นมาใช้ฟรี ๆ เลย แล้วธุรกิจของ
เว็บไซตน์ ีจ้ ะนา่ เช่ือถอื ไดอ้ ย่างไร
2. อย่าใส่ลูกเล่นหรือเอฟเฟก็ ตก์ บั โลโก้ขอ้ หา้ มน้แี นะนาว่า ไมค่ วรใช้เอฟเฟก็ ตต์ า่ ง ๆ เช่น แสง
สวา่ งเหลอื ง เงาด้านหลัง หรอื มิตินูนตา่ กับโลโก้ เอฟเฟก็ ต์พวกนีเ้ หมาะกับงานสร้างสรรค์กราฟิกและรูปภาพใน
เว็บไซต์มากกว่า ซึ่งการใช้เอฟเฟ็กต์จะส่งผลให้โลโก้ที่ได้ดูไม่ชัดเจน รกสายตา มากกว่าชวนมอง โลโก้ท่ีดีควร
จะสามารถดูได้ชดั เจน เห็นรายละเอียดครบ แมจ้ ะใช้แคส่ ีขาว-ดา เทา่ น้ัน
3. โลโก้ไม่ใช่แบนเนอร์อย่าออกแบบโลโก้ให้มีลักษณะเหมือนแบนเนอร์โฆษณาในเว็บไซต์
โดยเฉพาะรูปแบบท่ีเป็นการใส่โลโก้เข้าไปเต็มพื้นที่ส่ีเหลี่ยม เน่ืองจากสายตาของลูกค้าออนไลน์ถูกฝึกให้
หลกี เลีย่ งการดรู ปู ทรงเหลา่ นอ้ี ยแู่ ลว้ แน่นอนวา่ โลโกข้ องคุณจะถกู ละเลยไปด้วย
4. โลโก้ผสมรูปนักออกแบบโลโก้มือโปรจะไม่พยายามผสมผสานกราฟิก เข้าไปเป็นเนื้อ
เดียวกับตัวหนังสือที่ปรากฏใน โลโก้เนื่องจากการทาเช่นน้ี นอกจากจะทาให้มันดูดีค่อนข้างยากแล้ว ต้องใช้
สมองตีความว่า รูปกราฟิกท่ีเห็นคือตัวอักษรอะไร ยังเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมากมายอีกด้วย อย่างเช่น
ตัวอักษรที่ใช้กราฟิกแทน อาจจะไปเหมือนกับโลโก้ของบริษัทอื่นเข้าที่พบเห็นบ่อย เช่น การแทนตัว O ด้วย
โลก ลูกตา และแว่นขยาย เปน็ ตน้ วนั ดคี นื ดีอาจโดนฟอ้ งหาวา่ เอาโลโกข้ องเขามาเลยี นแบบก็ได้
5. โลโก้ที่ใช้ตัวอักษรอย่างเดียว แม้การเลือกใช้โลโก้เป็นตัวอักษรท้ังหมด จะง่ายต่อการ
ออกแบบ แตม่ ันก็งา่ ยตอ่ การถูกละเลยเช่นกัน ถ้าเป็นไปไดม้ ีงบประมาณ อาจจะทดลองเอาโลโกข้ องคุณไปวาง
79
รวมกับโลโก้ของคนอื่นที่ใช้ตวั อักษรหมดแบบเดียวกับคุณ แล้วใหก้ ลุ่มเป้าหมายลองดูว่าจาโลโก้ของคุณได้มาก
น้อยเพียงใด ถ้าจากันได้น้อย อาจจะต้องแก้ไขคุณสมบัติของตัวอักษรท่ีใช้ทาโลโก้ แต่ง่ายสุดก็คือ ปรับเป็น
ตัวหนา เพื่อให้มีพื้นท่ีจดจามากข้ึน หรือหารูปแบบฟอนต์ที่ไม่เหมือนใคร ตลอดจนออกแบบใหม่ไปเลย ซ่ึงวิธี
สดุ ท้ายนี้ชอบทากัน
6. โลโก้ที่เป็นช่ือย่อถ้าช่ือบริษัทของคุณยาวมาก การใช้ช่ือเต็ม ๆ มาสร้างโลโก้ดูจะเป็นเร่ือง
ยากยิ่งนัก ไอเดียของเจ้าของกิจการส่วนใหญ่จะเลือกใช้ช่ือย่อแทน ซ่ึงยากมากที่จะออกแบบมาแล้วจะเหมะ
สม ยิ่งถ้าไม่ได้มีงบประมาณในการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ด้วยแล้ว กว่าโลโก้ที่เป็นช่ือย่อของคุณจะได้รับความ
ไว้วางใจ บางทีธุรกิจของคุณอาจจะหายไปก่อนก็ได้ ส่วนใหญ่ลูกเล่นของโลโก้ที่ใช้ชื่อย่อ ชอบเอาตัวอักษรวาง
ซ้อนทับกัน แม้จะดสู นกุ (จนขาดความจริงจัง) แตข่ อ้ เท็จจริงที่คณุ อาจจะมองขา้ มไปพร้อม ๆ กบั ลูกคา้ ของคุณ
น่ันคือ มันไม่ได้บอกกล่าวอะไรให้ลูกค้าได้ทราบเลย อันนี้แทบไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการสร้างความ
นา่ เชือ่ ถือให้กบั สนิ คา้ และบริการของคณุ
7. โลโก้สุดซับซ้อน-รายละเอียดมากเกินไปสาหรับโลโก้ที่เป็นรูปวาด ซึ่งจะมีรายละเอียด
ยุบยบิ เต็มไปหมด รวมถึงพวกที่ใช้ภาพถ่าย หรือเลย์เอาต์ทีซ่ บั ซอ้ น (เชน่ ความสูงตา่ ของอักษรทีไ่ มเ่ ท่ากัน สีสนั
ที่ไม่เขา้ พวก ฯลฯ) บอกได้เลยวา่ โลโก้ลกั ษณะน้ีมโี อกาสลม้ เหลวสงู มาก หลักการงา่ ย ๆ ก็คือ ยิง่ มรี ายละเอียด
มากเท่าไร โอกาสทล่ี กู คา้ จะจาได้ก็น้อยลงเทา่ นั้น โลโก้ทด่ี ูง่าย เป็นหน่ึงเดียว (ทั้งสสี ันและรปู แบบ) ใช้เส้นนอ้ ย
จะสรา้ งผลกระทบและการจดจาได้ง่ายกว่าถงึ ตรงนี้
รูปท่ี 6 ตวั อยา่ งหลักการออกแบบโลโกท้ ด่ี ี
80
ข้นั ตอนกำรออกแบบโลโก้ (Logo Design Process)
ขนั้ ตอนในการออกแบบโลโก้แบบมืออาชีพนนั้ จะมรี ายละเอียดท่ีสาคัญตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1. ศกึ ษำวำ่ โลโกค้ อื อะไร และมีหน้ำทีอ่ ย่ำงไร ก่อนทค่ี ุณจะออกแบบโลโก้ คุณตอ้ งเข้าใจ
ก่อนว่า โลโก้คืออะไร ใชเ้ ป็นตัวแทนของอะไร และเอาไวใ้ ช้ทาอะไร ? โลโก้น้นั ไมไ่ ดเ้ ปน็ แคเ่ ครอื่ งหมายเฉย ๆ
แตโ่ ลโก้นัน้ สะท้อนถึงภาพลักษณ์ในทางการตลาดของธุรกจิ ของคุณ (Brand: ยีห่ อ้ ) ผ่านทางรปู ร่างตัวอกั ษร สี
และรูป
โลโกส้ ามารถสรา้ งแรงบนั ดาลใจ ความเช่อื ความนิยม และการจดจาเกี่ยวกบั องคก์ รหรอื
สินคา้ และมันคอื งานของนกั ออกแบบในการสร้างสรรคโ์ ลโก้ เพอ่ื วตั ถุประสงค์ดังกลา่ ว และข้อน้ีคือสง่ิ ทต่ี ้องรู้
กอ่ นที่จะออกแบบโลโก้
2. ศึกษำหลกั กำรในกำรออกแบบโลโก้ คุณไดร้ จู้ ักความหมายและหน้าท่ีของโลโก้แล้ว
ตอนน้ีคุณจะไดร้ หู้ ลักในการสรา้ งโลโกท้ ี่ดี โดยหลักการพื้นฐานในการออกแบบโลโก้ มดี งั น้ี
1. โลโกต้ อ้ งส่ือตัวตนได้
2. โลโกต้ ้องเปน็ ท่ีจดจา
3. โลโก้ตอ้ งสือ่ ได้แม้ไม่ไดใ้ ช้สสี ัน
4. โลโก้ตอ้ งสื่อได้แม้ขนาดเล็ก ๆ
3. ศกึ ษำโลโก้ทีป่ ระสบควำมสำเร็จและข้อผดิ พลำดต่ำง ๆ
3.1 โลโกท้ ี่ประสบความสาเรจ็ โดยคณุ ได้รจู้ ักหลกั การในการออกแบบโลโกแ้ ล้ว ตอนนคี้ ุณ
สามารถทจ่ี ะแบ่งแยกโลโก้ท่ีดีและไมด่ ีได้แล้ว ซง่ึ เราร้วู า่ โลโกอ้ ื่น ๆ ประสบความสาเร็จ และทาไมถึงประสบ
ความสาเร็จเรามาดูกนั ใหช้ ัด ๆ วา่ ทาไมโลโก้นั้น ๆ ถึงประสบความสาเรจ็ ยกตวั อยา่ ง เช่น โลโก้ NIKE เป็นโล
โก้ท่ีคลาสสกิ มาก ๆ โดย ผ้อู อกแบบ Caroline Davidson ในปี 1971 ในราคาเพยี ง $35 เท่านัน้ แต่เป็นโลโก้
ที่มพี ลงั มาก จดจาได้ง่าย ส่ือได้แม้ไมไ่ ด้ใช้สีสัน และส่ือได้แมข้ นาดเล็ก ๆ มันธรรมดามาก ๆ ดรู วดเร็วและสอ่ื
ถึงปกี ของรูปป้นั เทพธดิ าแหง่ ชัยชนะของกรกี
NIKE เปน็ ธรุ กจิ เครือ่ งแตง่ กายทางกฬี าทีส่ มบรู ณแ์ บบ NIKE เปน็ แค่หนึ่งในโลโก้ทป่ี ระสบ
ความสาเร็จมากมาย ลองคิดถึงโลโก้ที่คุณรจู้ กั แลว้ ลองคิดดูว่าทาไม โลโก้น้นั ๆ ถงึ ประสบความสาเรจ็
รปู ที่ 7 (1) โลโกท้ ีป่ ระสบความสาเรจ็ (2) ข้อผดิ พลาดตา่ ง ๆ
81
3.2 โลโกท้ ีไ่ มป่ ระสบความสาเรจ็ สามารถเรียนรไู้ ดจ้ ากโลโก้ทผ่ี ดิ พลาดได้เชน่ กัน
4. เริ่มต้นกระบวนกำรออกแบบโลโกข้ องตัวเอง ถา้ เราได้รู้จักความหมายของโลโก้ หลกั การ
และสิง่ ที่ทาให้โลโกป้ ระสบความ สาเรจ็ แล้ว ตอนน้ีเราสามารถเริ่มกระบวนการออกแบบไดแ้ ลว้ โดยเปน็
ขั้นตอนท่ยี ากทีส่ ดุ ใน 5 ข้นั ตอนนี้ สามารถแบง่ เป็นขน้ั ตอนย่อย ๆ ตามแต่ประสบการณข์ องแตล่ ะคน โดยขอ
แนะนากระบวนการออกแบบโลโก้ ท่ีเปน็ หวั ใจของนักออกแบบมอื อาชีพ
1. สรปุ การออกแบบให้เขา้ ใจตรงกนั
2. คน้ ควา้ และรวมหัวกนั ออกไอเดีย
3. รา่ งภาพโลโก้ และสรา้ งต้นแบบ (ดูขัน้ ตอนที่ 5)
4. สง่ ไปให้ผวู้ า่ จา้ งพจิ ารณา
5. ปรับปรุงจนเสร็จตามความต้องการ
6. สง่ ไฟลใ์ หผ้ วู้ า่ จา้ งและให้บริการหลังการขาย
5. เรยี นร้กู ารใช้งานโปรแกรมและเสร็จส้นิ การทาโลโก้ ก่อนท่ีจะเรมิ่ กระบวนการออกแบบ ให้
จาไวว้ ่าเราไม่สามารถออกแบบได้ดจี ากการทาในคอมพิวเตอร์ แนะนาให้เรารวมหัวออกแบบลงในกระดาษ
ก่อน แล้วสแกนออกมาเป็นไฟลด์ จิ ิตอลเพือ่ จดั เก็บแลว้ ส่งไฟลร์ วมถงึ แนวคิดในการออกแบบโลโก้ ให้ผู้วา่ จ้าง
เรา เมือ่ เปน็ ที่พอใจแลว้ ค่อยเริ่มใชโ้ ปรแกรมทาให้เสรจ็ สมบรู ณ์ จะช่วยประหยดั เวลาเราได้มาก
สิ่งท่คี วรคำนงึ ถงึ ในกำรออกแบบโลโก้
การออกแบบโลโก้ เปน็ สว่ นสาคัญมากเพราะเปน็ หน้าเปน็ ตาของบรษิ ัทนัน่ เอง โลโกค้ อื ส่งิ แรก
ทผ่ี ูบ้ รโิ ภคจะมองและจะอยู่คู่กบั ธรุ กิจไปโดยตลอด และนอกจากโลโก้จะถือเปน็ สัญลักษณ์ทางธรุ กจิ เปน็
เคร่ืองมอื ทางการตลาดที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจดจาธรุ กิจของเราได้แลว้ โลโก้ยังนามาซ่งึ การคมุ้ ครองทาง
กฎหมายถือเป็นทรัพยส์ นิ ทางปัญญาท่ีผใู้ ดจะมาละเมดิ มิได้อีกด้วย ดังนัน้ สงิ่ ท่ีควรคานึงถึงในการออกแบบโลโก้
มดี ังนีค้ ือ;
1. ต้องกำรให้โลโกส้ ่ืออำรมณ์ใดออกมำ เพราะองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ทใ่ี ชอ้ อกแบบโลโก้นัน้
ลว้ นสามารถควบคมุ ใหส้ ่ือสารอารมณ์ต่าง ๆ ออกมาได้ ดังน้ันสง่ิ แรกท่คี ุณควรนึกถงึ คืออารมณ์ท่ีต้องการใหค้ น
ท่ัวไปรับรู้ ซึ่งนาไปสูภ่ าพลกั ษณข์ ององค์กรหรือสนิ ค้า และบริการตา่ ง ๆ ทผ่ี ูค้ นเหล่าน้นั ไดร้ บั ร้แู ละเขา้ ใจ ซ่งึ
ส่งผลโดยตรงกบั ผลประกอบการหรอื ผลสมั ฤทธข์ิ องจุดมุ่งหมายขององคก์ รได้
การเลือกสี เลือกรูปแบบตวั อักษร การจดั วางองค์ประกอบของโลโก้น้นั ล้วนมผี ลต่ออารมณ์ทจ่ี ะสื่อ
ออกมาท้ังสนิ้
รปู แบบตัวอกั ษร หากต้องการใหโ้ ลโก้ส่ือถงึ อารมณ์ สนกุ สนาน อารมณด์ ีก็ควรเลอื กใชต้ ัวอักษรที่มี
ลกั ษณะโคง้ มน ลืน่ ไหล ถา้ ใชต้ วั อกั ษรทีม่ หี าง มีความคม ดูไม่มีความยดื หยุ่นก็จะสอ่ื ถงึ ความเก่าแก่ ความเป็น
ทางการได้ หากนาทัง้ 2 แบบมาผสมผสานกันกจ็ ะดมู ีความทันสมยั มากขึ้นได้
82
รูปที่ 8 ลักษณะการสอ่ื อารมณ์
2. ต้องกำรส่อื สำรควำมหมำยใดออกมำ สีและการจดั วางองคป์ ระกอบของรูปโลโก้น้ันมีผล
อย่างมากต่อความหมายที่จะสือ่ สารออกมาได้ ซึ่งหากเลือกใชส้ โี ทนรอ้ นจะชว่ ยในการกระต้นุ อารมณต์ ่าง ๆ
ของผู้พบเหน็ ได้ แตส่ โี ทนเย็นจะช่วยใหร้ สู้ ึกสงบลง อารมณ์เย็นลงได้
นอกจากนี้สแี ตแ่ ละสกี ส็ ่ือความหมายและมีผลต่ออารมณใ์ นท่ีต่างกนั ในเร่อื งของการจดั วาง
องคป์ ระกอบควรจดั ทุกสง่ิ ทุกอย่างโดยมีความหมายรองรับ ทัง้ หมดและทาใหด้ รู กให้น้อยทส่ี ุด อยา่ ผสมเลก็
ผสมนอ้ ยจนมากเกนิ ไปแล้ว ทาให้ส่ือความหมายได้ไมช่ ัดเจน
3. ความร่วมสมัยของโลโก้ การออกแบบควรคานึงถึงอายุการใชง้ านของโลโกด้ ้วย โดย
พิจารณาถงึ ความรว่ มสมัยของโลโก้ ออกแบบใหเ้ รยี บง่าย ไม่ออกแบบตามกระแส มเี อกลกั ษณ์ให้คนจดจาได้
โดยง่าย เพอื่ ให้โลโก้ของเราตราตรงึ อย่ใู นความทรงจาของผู้คน และนกึ ถงึ ได้งา่ ย
4. หากโลโกก้ ลายเป็นสขี าวหรือดาจะยังดอู อกหรือไม่ การออกแบบใหส้ ามารถมองดูแลว้
เข้าใจได้วา่ เป็นโลโกข้ องแบรนดใ์ ดแม้จะอยู่ในรปู ขาวหรอื ดา จะช่วยยนื ยันได้ว่าโลโกข้ องเราน้นั เปน็ ทจ่ี ดจาและ
นกึ ถงึ ได้โดยง่าย
ทงั้ นี้ท้งั นั้นพื้นทีส่ ่ือตา่ ง ๆ มมี ลู ค่าที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะส่อื สง่ิ พมิ พ์ตา่ ง ๆ ท่ีมีสสี นั ตา่ ง ๆ มี
มูลค่าทต่ี ้องจา่ ย หากต้องการประชาสัมพันธ์ผ่านส่ือสงิ พิมพ์ การทาออกมาดว้ ยสขี าวหรอื ดาจะประหยดั งบ
มากกวา่ อกี ด้วย
83
5. หากย่อขนาดโลโกใ้ หเ้ ลก็ ลงแล้วยังดรู ้เู ร่ืองหรือไม่ว่าเปน็ โลโกอ้ ะไร ขอ้ น้ีเปน็ ปัญหาเกยี่ วกับ
สื่อสงิ่ พิมพโ์ ดยตรง อย่างที่กล่าวไปในข้อ 4 แล้ววา่ สอื่ ส่ิงพิมพม์ ตี น้ ทนุ ขนาดโลโกท้ ใี่ หญ่ก็ส่งผลต่อตน้ ทุนที่ต้อง
จ่าย ทั้งนี้พ้นื ทีส่ ่ือส่ิงพิมพ์ทม่ี ีขนาดใหญอ่ าจจะมีคนลงทนุ ตดั หนา้ ไปแลว้ ดว้ ย คุณจงึ ต้องออกแบบโลโก้เพอ่ื มี
การยอ่ ขยายตา่ ง ๆ ดว้ ย เพ่ือใหม้ ีความยืดหยุ่น ข้อจากดั น้อย
10 สิ่งทค่ี วรรใู้ นกำรออกแบบโลโก้
1. โลโกท้ ี่ดตี ้องจดจำไดง้ ่ำย โลโกเ้ ป็นตัวบ่งบอกถึงธรุ กจิ ของคุณวา่ แตกต่างจากธุรกจิ อ่นื ๆ
หรอื คู่แข่งขนาดไหนและโลโกท้ ี่ดจี ะต้องสามารถทาให้คนจดจาแบรนด์ธุรกจิ ของคุณได้แมว้ า่ จะทาการขับรถ
ผ่านหรอื เห็นผา่ น ๆ ก็ตอ้ งจดจาใหไ้ ด้ ยกตัวอย่างงา่ ย ๆ เวลาเห็นโลโก้ของ Apple แลว้ เราคดิ ถงึ iPhone
คิดถงึ Macbook แต่พอเราเหน็ โลโก้อนื่ ๆ ท่ีมีรูปรา่ งคลา้ ยกันเราก็จะคดิ ถึง Apple กอ่ น เพราะโลโก้นั้นได้
จดจาโดยสมองเราไปแลว้
รูปที่ 9 โลโกข้ อง Apple
2. ตัวอกั ษรบนโลโก้สำคัญมำก คอื ฟอนตใ์ นโลโก้นนั้ สาคัญมาก ๆ เพราะมนั สามารถท่ีจะ
ส่งเสริมหรือทาลายโลโก้ของเรานั้น ไดใ้ นทันทหี ากเราเลือกที่ไม่เหมาะสมกบั บคุ ลิกของธุรกิจ เทคนิคงา่ ย ๆ
ของการใช้ฟอนต์กบั โลโก้เราควรจะใช้ฟอนต์ไมเ่ กิน 10–20 ตวั อักษรเท่านน้ั เพ่ือไมใ่ หโ้ ลโกข้ องเราน้นั ดูไมร่ ก
และไมอ่ ดึ อัดจนเกินไปขนาด ระยะห่าง และน้าหนกั ของตัวอกั ษรจดั ให้ดี เพื่อส่งเสริมโลโกแ้ ละธุรกจิ ของเรา