ผลของเทคนิคการสอนบนั ได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มตี อ่ ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี นรู้วรรณคดีเร่ือง บทพากยเ์ อราวณั
ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3
โรงเรยี นพิไกรวิทยา
ภานุเดช ดงิ รัมย์
การศกึ ษาอสิ ระเสนอเปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษา
หลกั สูตรปริญญาการศกึ ษาบัณฑติ
สาขาวิชาภาษาไทย
ตลุ าคม 2564
ลขิ สิทธ์เิ ป็นของมหาวทิ ยาลัยพะเยา
ผลของเทคนิคการสอนบันได 5 ข้ัน (QSCCS) ที่มตี อ่ ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นรูว้ รรณคดีเรอ่ื ง บทพากยเ์ อราวณั
ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3
โรงเรยี นพิไกรวิทยา
ภานุเดช ดงิ รมั ย์
การศึกษาอสิ ระเสนอเปน็ ส่วนหนึ่งของการศกึ ษา
หลกั สูตรปริญญาการศึกษาบัณฑติ
สาขาวิชาภาษาไทย
ตุลาคม 2564
ลขิ สิทธ์เิ ปน็ ของมหาวิทยาลัยพะเยา
4
ผู้อำนวยกำร รองผู้อำนวยกำรโรงเรียนพิไกรวิทยำ หัวหน้ำกลุ่มงำนบริหำรวิชำกำร หัวหน้ำ
งำนวัดผล หัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย และครูพี่เลี้ยง ได้พิจำรณำกำรศึกษำอิสระ เร่ือง “ผลของ
เทคนิคกำรสอนบันได 5 ข้ัน (QSCCS) ท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนรู้วรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ” เห็นสมควรรับเป็นสว่ นหนงึ่ ของกำรศึกษำตำม
หลกั สูตรปริญญำกำรศกึ ษำบณั ฑิต สำขำวชิ ำกำรศกึ ษำ ของมหำวิทยำลัยพะเยำ
.......................................................................... ผ้อู ำนวยกำรโรงเรียนพิไกรวิทยำ
(นำงสำวจุฑำมำศ วงษเ์ ขยี ว)
วนั ที่..........เดอื น...............................พ.ศ....................
............................................................. รองผู้อำนวยกำรโรงเรียนพไิ กรวทิ ยำ
(นำยโยธนิ บญสุข)
............................................................. หวั หน้ำกลุ่มงำนบริหำรวชิ ำกำร
(นำงสำวรุ่งทิพย์ ขอนทอง)
............................................................. หัวหน้ำงำนวดั ผล
(นำงสำวพรทิพย์ หงษ์อำลัย)
............................................................. หวั หน้ำกลุม่ สำระกำรเรียนรูภ้ ำษำไทย
(นำงสำวสธุ เนตร ถำวร)
............................................................. ครพู เี่ ล้ียง
(นำยไกรจกั ร คำบุญเรือง)
5
กิตติกรรมประกาศ
กำรศึกษำอิสระเรื่องน้ี สำเร็จได้ ต้องขอกรำบขอบพระคุณควำมอนุเครำะห์จำก
นำงสำวจุฑำมำศ วงษ์เขียว ผู้อำนวยกำรโรงเรียนพิไกรวิทยำ ที่ได้อนุเครำะห์เปิดโอกำสให้นิสติ เข้ำฝึก
ประสบกำรณว์ ิชำชีพครู และเล็งเห็นถึงควำมสำคัญของนิสิตฝึกประสบกำรณ์วชิ ำชีพครู ทงั้ ยงั ประสทิ ธ์ิ
ประสำทวิชำควำมรู้ รวมถงึ ข้อแนะนำอนั มีคณุ ค่ำย่ิงแกผ่ ้วู จิ ยั
กรำบขอบพระคุณ นำงสำวรุ่งทิพย์ ขอนทอง หัวหน้ำหัวหน้ำกลุ่มงำนบริหำรวิชำกำร
โรงเรียนพิไกรวทิ ยำ นำงสำวพรทิพย์ หงส์อำลัย หวั หน้ำงำนวัดผล นำงสำวสุธเนตร ถำวร หวั หน้ำกลุ่ม
สำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย นำยไกรจักร คำบุญเรือง ครูพี่เล้ียง และบุคลำกรทำงกำรศึกษำโรงเรียน
พิไกรวิทยำทุกท่ำน ที่คอยดูแลเอำใจใส่อย่ำงใกล้ชิด ต่อเนื่อง และเป็นผู้ถ่ำยทอดสรรพวิชำควำมรู้
ทำงกำรศึกษำ รวมไปถึงประสบกำรณ์ชีวิตต่ำง ๆ ตลอดระยะเวลำกำรฝึกประสบกำรณ์วิชำชีพครู
ในสถำนศึกษำ
กรำบขอบพระคุณ ดร.วสันต์ สรรพสุข และอำจำรย์ไพลิน อินคำ อำจำรย์นิเทศก์ อีกทั้ง
อำจำรย์ประจำสำขำวิชำภำษำไทย คณะศิลปศำสตร์ และอำจำรย์วิทยำลัยกำรศึกษำ มหำวิทยำลัย
พะเยำ ผู้มำกควำมสำมำรถ ที่ได้สละเวลำชี้แจงข้อบกพร่อง แนะนำข้อมูลทำงวิชำกำรต่ำง ๆ และ
พิจำรณำรับกำรศึกษำอิสระฉบับน้ีให้เป็นส่วนหน่ึงของกำรศึกษำตำมหลักสูตรปริญญำกำรศึกษำ
บณั ฑติ สำขำวชิ ำกำรศึกษำ มหำวทิ ยำลัยพะเยำ
ขอขอบคุณสมำชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงำนและเพื่อนร่วมรุ่น ผู้เป็นกัลยำณมิตรทุกคน
ที่เฝ้ำคอยให้ กำรช่วยเหลือ สนับสนุน คอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ผ่ำนร้อน ผ่ำนหนำว ร่วมทุกข์
ร่วมสุข และรว่ มรับรสู้ ่ิงต่ำง ๆ ดว้ ยกนั เสมอมำ
สุดท้ำยนี้ ขอขอบคุณตัวผู้วิจัยเอง ที่ยังยืนหยัดฝ่ำฟันอุปสรรคอันหนักหนำต่ำง ๆ ให้มีชีวิต
รอดเพื่อได้มีโอกำสทำงกำรศึกษำ ผู้วิจัยจึงขอศึกษำแทนผู้ไม่มีโอกำสอย่ำงถึงที่สุด และขอมอบ
คุณค่ำและประโยชน์ของงำนวิจัยเร่ืองน้ี ผู้วิจัยขอมอบเป็นเคร่ืองสักกำระแด่พระคุณของบุพกำรี ครู
อำจำรย์ทุกท่ำน ตลอดจนบรรพชนที่ได้สร้ำงและสืบสำนมรดกทำงวัฒนธรรมอันล้ำค่ำ ให้ผู้วิจัยและชน
รุน่ หลังได้ศกึ ษำ
ภำนุเดช ดิงรัมย์
6
เรือ่ ง: ผลของเทคนคิ กำรสอนบนั ได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มตี ่อผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนรวู้ รรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวณั
ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรยี นพไิ กรวทิ ยำ
ผศู้ ึกษาคน้ ควา้ : ภำนุเดช ดิงรัมย์ กำรศกึ ษำอสิ ระ: กศ.บ. (กำรศึกษำ), มหำวิทยำลยั พะเยำ, 2564
ครูพเี่ ลีย้ ง: นำยไกรจักร คำบญุ เรอื ง
คาสาคญั : ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรยี นร้,ู เทคนคิ กำรสอนบันได 5 ขนั้ , วรรณคดี
บทคดั ย่อ
งำนวิจัยเร่ือง “ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ข้ัน (QSCCS) ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนรู้วรรณคดี
เรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ” เป็นกำรวิจัยเชิงทดลอง
(Experimental Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษำผลสัมฤทธิ์กำรเรียนรู้วรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ
ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โดยกำรสอนด้วยเทคนิคบันได 5 ขั้น (QSCCS) และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน
วรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำ ปีท่ี 3 ก่อนและหลังกำรสอนด้วยเทคนิคบันได 5 ข้ัน (QSCCS)
กลุ่มตัวอย่ำงท่ีใช้ในงำนวิจัย ได้แก่ นักเรียนนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ ตำบลคลองพิไกร
อำเภอพรำนกระต่ำย จังหวัดกำแพงเพชร ภำคเรียนท่ี ปีกำรศึกษำ 2564 จำนวน ห้องเรยี น มีนักเรียนจำนวน
26 คน ใช้วธิ ีกำรสุม่ อย่ำงง่ำย โดยใช้หอ้ งเรยี นเปน็ หน่วยสุ่ม
เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยครั้งนี้ คือ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ที่ใช้วิธี
กำรสอนแบบบันได 5 ข้ัน (QSCCS) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนวรรณคดี วเิ ครำะห์ข้อมูลโดย
กำรหำค่ำเฉลีย่ ส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำน และกำรทดสอบคำ่ ที แบบกล่มุ ตวั อย่ำงกลุม่ เดียว ไม่เปน็ อสิ ระต่อกนั (t-test
dependent)
ผลกำรวิจยั พบวำ่ ผลสมั ฤทธท์ิ ำงกำรเรียนรูว้ รรณคดีเรอ่ื ง บทพำกย์เอรำวณั ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษำ
ปที ี่ 3 โรงเรยี นพิไกรวทิ ยำ หลังเรียนดว้ ยวิธีสอนแบบบนั ได 5 ขั้น (QSCCS) (Mean = 13.15, S.D. = 0.450) สงู กว่ำ
ก่อนเรยี น (Mean = 8. 2, S.D. = 0.305) อย่ำงมนี ยั สำคัญทำงสถิติทรี่ ะดับ 0.05
7
สารบัญ
บทท่ี หนา้
1 บทนา.............................................................................................................................. 1
ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั หำ..................................................................... 1
วัตถุประสงค์ของกำรวจิ ยั ........................................................................................... 3
สมมติฐำนของกำรวจิ ยั ............................................................................................... 3
สมมตฐิ ำนทำงสถิติ..................................................................................................... 3
ขอบเขตของกำรวจิ ัย.................................................................................................. 4
กรอบแนวคิดของกำรวจิ ัย .......................................................................................... 5
คำนยิ ำมศัพท์เฉพำะ................................................................................................... 5
ประโยชน์ท่ีจะไดร้ บั จำกกำรวจิ ัย ................................................................................ 6
2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง..................................................................................... 7
หลักสตู รแกนกลำงกำรศึกษำขัน้ พ้ืนฐำน พุทธศักรำช 255
กลมุ่ สำระกำรเรยี นรูภ้ ำษำไทย ........................................................................ 8
กำรเรียนรู้ .................................................................................................................. 14
กำรเรียนวรรณคดี ...................................................................................................... 17
กำรจัดกำรเรยี นรแู้ บบบนั ได 5 ข้นั (QSCCS) ............................................................. 22
งำนวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง .................................................................................................... 27
3 วิธดี าเนินการวิจยั ........................................................................................................... 30
ประชำกรและกล่มุ ตัวอยำ่ ง ........................................................................................ 30
รปู แบบกำรวจิ ยั ......................................................................................................... 30
เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นกำรวจิ ยั ............................................................................................. 31
กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล ............................................................................................... 31
กำรวเิ ครำะห์ข้อมลู .................................................................................................... 32
สถติ ทิ ใ่ี ช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล................................................................................... 32
8
สารบญั (ตอ่ )
บทท่ี หนา้
4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู .................................................................................................... 36
สญั ลักษณ์ท่ีใช้ในกำรนำเสนอผลกำรวิเครำะหข์ ้อมูล .................................................. 36
ลำดับขนั้ ตอนในกำรนำเสนอผลวเิ ครำะห์ข้อมูล ......................................................... 36
ผลกำรวิเครำะห์ข้อมลู ................................................................................................ 37
5 บทสรุป........................................................................................................................... 38
สรปุ ผลกำรวิจยั .......................................................................................................... 38
อภปิ รำยผลกำรวจิ ัย ................................................................................................... 39
ขอ้ เสนอแนะ.............................................................................................................. 40
บรรณานุกรม............................................................................................................................. 41
ภาคผนวก ................................................................................................................................. 45
ภำคผนวก ก เคร่อื งมือที่ใช้ในกำรวจิ ัย........................................................................ 46
ภำคผนวก ข คำ่ สถติ ิ t-test dependent ของกำรเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรยี น
และหลงั เรียน ดว้ ยโปรแกรม SPSS................................................ 89
ประวัติผู้ศึกษาค้นควา้ ............................................................................................................... 90
9
สารบญั ตาราง
ตาราง หนา้
แสดงโครงสร้ำงรำยวชิ ำภำษำไทย ชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3 ภำคเรยี นท่ี 11
ปีกำรศึกษำ 2564 โรงเรียนพิไกรวิทยำ ................................................................... 13
3
2 แสดงรำยละเอียดหน่วยกำรเรียนร้ทู ่ี 2 ทศั นำวรรณคดี เรอื่ งบทพำกยเ์ อรำวัณ................
3 แสดงรปู แบบกำรวิจัย One Group Pre-test Post-test................................................ 35
4 แสดงผลคะแนนสอบของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษำปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ 36
กอ่ นเรียนและหลงั เรยี น...........................................................................................
5 แสดงผลกำรวิเครำะห์เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ ำงกำรเรยี นของนักเรียน ..........................
1
สารบญั ภาพ
ภาพ หนา้
แสดงกรอบแนวคดิ ของกำรวจิ ัย....................................................................................... 5
2 แสดงคำ่ สถติ ิ t-test dependent ของกำรเปรยี บเทยี บคะแนน 89
กอ่ นเรยี นและหลังเรียน ดว้ ยโปรแกรม SPSS..........................................................
1
บทที่ 1
บทนา
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา
วรรณคดีมีขอบข่ำยครอบคลุมงำนประพันธ์ทุกชนิดท่ีมนุษย์สร้ำงขึ้น โดยมีภำษำเป็น
เคร่ืองมือในกำรแสดงออก ไม่ว่ำจะเป็นภำษำเขียนหรือภำษำพูด จึงเรียกผลงำนน้ัน ๆ ได้ว่ำเป็น
วรรณคดีหรือวรรณกรรมได้เช่นกนั รวมถึงงำนประพันธ์ เช่น ลิลิต นิรำศ บทละคร สุนทรพจน์ บันทึก
เป็นต้น (วิภำ กงกะนันทน์, 2533, หน้ำ 3) ท้ังน้ี วรรณคดี หมำยถึง งำนประพันธ์ชั้นเลิศมีควำมเป็น
ศำสตร์ กล่ำวคือ สมบูรณ์ด้วยคุณค่ำและศำสตร์ทำงศิลปะ กำรใช้ถ้อยคำ รวมถึงทำหน้ำท่ีเป็นกระจก
สะท้อนให้เห็นภำพสังคมและวัฒนธรรม ซ่ึงถือเป็นมรดกทำงวัฒนธรรมอันทรงคุณค่ำของสังคมไทย
(วสันต์ รัตนโภคำ, 2554) สอดคล้องกับ ฤทัย สัจจพันธุ์ (2544) ที่ได้กล่ำวถึงวรรณคดีว่ำ เป็นศิลปะ
ทำงภำษำที่มนุษย์ใช้เป็นเคร่ืองมือใน กำรส่ือสำร อีกท้ังถ่ำยทอดแนวคิดของตนเองที่มีต่อสิ่งต่ำง ๆ
นอกจำกนแ้ี ลว้ ยังเปน็ ส่อื ใน กำรสะทอ้ นสภำพสงั คมวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีดีงำมของคน
ไทย และยังสำมำรถสะท้อนเรื่องรำวชีวิตควำมเป็นอยู่ของคนในชำติได้เป็นอย่ำงดี ดังนั้น วรรณคดีจึง
มิได้เป็นเพียงเร่ืองรำวที่แต่งขึ้นเพ่ือควำมบันเทิงหรือมุ่งสร้ำงควำมสนุกสนำนแก่ผู้อ่ำนเป็นสำคัญ
เท่ำน้ัน หำกยังมุ่งสอดแทรกควำมรู้อันเป็นรำกเหง้ำและอัตลักษณ์ควำมเป็นชำติไทย ซ่ึงนับว่ำ เป็นส่ิง
ทีม่ คี ณุ คำ่ ท่ีคนไทยควรศึกษำและสืบทอดให้คงอยูต่ ่อไป
ปิยนุช แหวนเพชร (2560, หน้ำ 2) ได้กล่ำวว่ำ วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเป็นส่ิงท่ีมี
คุณค่ำและมีควำมสำคัญ ซ่ึงเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษำ ผู้เรียนน้ันจะต้องศึกษำในทุก ๆ มิติของ
วรรณคดีและวรรณกรรม ไม่ว่ำจะเป็นเน้ือหำของเร่ือง พฤติกรรมของตัวละคร ประวัติศำสตร์ วิถีชีวิต
ควำมเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี สภำพสังคมวัฒนธรรม รวมไปถึงควรศึกษำในด้ำนกำรใชภ้ ำษำ
ในเชิงวรรณศิลป์ ตลอดจนเรยี นร้แู นวคิดท่ีสำมำรถนำไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวันไดอ้ ย่ำงเหมำะสม
ซ่ึงกระทรวงศึกษำธิกำรได้ให้ควำมสำคัญของกำรจัดกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีและวรรณกรรมไทย
โดยบรรจุให้เป็นส่วนหน่ึงในหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำนท่ีใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
ภำษำไทย
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน (2551) ได้จัดให้มีกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
วรรณคดีวรรณกรรมไทยแกผ่ ้เู รียนในทุกระดบั โดยกำหนดใหว้ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทย อยูใ่ นสำระ
ท่ี 5 ของหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำนพุทธศักรำช 2551 วิชำภำษำไทย มีจำนวน 1
มำตรฐำน ได้แก่ ท 5.1 เข้ำใจและแสดงควำมคิดเห็นวิจำรณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่ำง
เห็นคุณค่ำและนำมำประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง โดยหลักสูตรแกนกลำงมี กำรกำหนดตัวช้ีวัด ขอบเขต
2
รวมถึงเน้ือหำให้มีควำมเหมำะสมต่อวัยของผู้เรียน และกำหนดคุณภำพของผู้เรยี นแต่ละชว่ งชั้น ซึ่งสิ่ง
ที่นักเรียนจะต้องเรียนเกี่ยวกับวรรณคดีนั้น หลักสูตรได้กำหนดไว้ คือ วิเครำะห์วรรณคดีและ
วรรณกรรมเพื่อศึกษำข้อมูล แนวควำมคิด และคุณค่ำของงำนประพันธ์ กำรเรียนรู้และทำควำมเข้ำใจ
บทเห่บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพ้ืนบ้ำนอันเป็นภูมิปัญญำที่มีคุณค่ำของไทย ซ่ึงได้ถ่ำยทอดควำมรู้สึก
นึกคิด ค่ำนิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เร่ืองรำวของสังคมในอดีต รวมไปถึงควำมงดงำมของภำษำ
เพื่อให้เกิดควำมซำบซึ้ง มีควำมรักควำมเข้ำใจตระหนัก เห็นคุณค่ำของวรรณคดีและวรรณกรรมไทย
อันเป็นสมบัตขิ องชำติ ทงั้ นี้ครูผู้สอนจะตอ้ งมีเทคนิควิธสี อนของตนเองท่ีแปลกใหม่ ควรมีกำรปรับปรุง
เทคนิคกำรสอน อยู่เสมอ หรือควรมีส่ือกำรนำเสนอกำรเรียนและวิธีกำรจัดกำรเรียนรู้ใหม่ ๆ มำใช้ใน
กระบวนกำรเรียนกำรสอนมำกข้ึน เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบกำรณ์ ไม่รู้สึกเบ่ือหน่ำย เมื่อผู้เรียนจับ
แนวทำงกำรสอนของครูไม่ได้ก็จะยิ่งมีควำมเช่ือม่ันและศรัทธำครูผู้สอน รวมทั้งมีควำมสนใจใฝ่เรียนรู้
โดยไมร่ ตู้ วั (สำนักคณะกรรมกำรกำรศึกษำขน้ั พ้ืนฐำน, 2558)
วิธีกำรจัดกำรเรียนกำรสอนดว้ ยเทคนคิ บันได 5 ข้ัน (QSCCS) เปน็ อีกวิธีสอนหนึ่งทนี่ ่ำสนใจ
ครไู ด้เปลีย่ นวิธีกำรจำกกำรสอนตำมข้อกำหนดในเอกสำรหลกั สูตร เปน็ ให้นกั เรียนเรียนได้รูจ้ ำกกำรลง
มือปฏิบัติ สอดคล้องกับ วิจำรณ์ พำนิช (2555, หน้ำ 138-139) กล่ำวว่ำ ครูต้องเปลี่ยนตัวเองจำก
“ผสู้ อน” มำเป็นโคช้ เพ่ือกำรเรยี นรแู้ บบบูรณำกำรที่ปัญญำงอกงำมจำกภำยในตวั นักเรยี นไมใ่ ช่จำกครู
เอำควำมรู้เป็นก้อน ๆ ใส่สมอง นอกจำกน้ี กระบวนกำรเรยี นรู้ 5 ขัน้ ตอน (CQCCS) ยังเป็นกำรจัดกำร
เรียนรู้ ให้ผู้เรียนพัฒนำไปสู่ผู้มีควำมรู้ ทักษะกระบวนกำร และเจตคติที่พึงประสงค์สำหรับกำรเป็น
พลเมืองในศตวรรษท่ี 2 เป็นบุคคลที่มีคุณภำพ มีทักษะในกำรค้นคว้ำแสวงหำควำมรู้ มีควำมรู้
พื้นฐำนท่ีจำเป็น สำมำรถคิดวิเครำะห์ สังเครำะห์ สร้ำงสรรค์ สำมำรถสร้ำงส่ืออย่ำงมีประสิทธิผล มี
ทักษะชีวิต ร่วมมือในกำรทำงำนกับผู้อื่นได้เป็นอย่ำงดี ผู้สอนจะต้องมีกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้อย่ำง
ต่อเน่ือง มีลำดับข้ันตอน ท่ีเหมำะสมและสอดคล้องกับพัฒนำกำรของผู้เรียนในแต่ละระดับช้ัน โดยมี
กระบวนสำคัญใน กำรจัดกำรเรียนรู้ ซ่ึงเรียกว่ำ บันได 5 ข้ัน เพ่ือกำรพัฒนำผู้เรียน (Five steps for
student development) จำกกระบวน QSCCS เป็นข้ันตอนท่ีสำมำรถนำมำประยุกต์ใช้ในกำรจัด
กิจกรรมกำรเรียนกำรสอนหรือเป็นแนวทำงในกำรเรียนกำรสอนได้เป็นอย่ำงดี โดยเฉพำะกำรเรียนใน
ระดับช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 ที่ต้องฝึกให้นักเรียนสำมำรถเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้เกิดกระบวนกำรคิด
วิเครำะห์ และมีทักษะชีวิต โดยกำรนำกระบวนทัศน์กำรเรียนรู้ 5 ข้ันตอน มำใช้ในกำรออกแบบ
ขัน้ ตอนกำรเรียนกำรสอน ซง่ึ ประกอบด้วย ) กำรเรียนรู้โดยกำรต้ังคำถำม (Learning to Question)
เปน็ กำรฝึกผู้เรียนให้รจู้ ักคดิ สังเกต ต้ังคำถำมอย่ำงมีเหตุผลและสร้ำงสรรค์ ซ่ึงจะสง่ เสริมให้ผู้เรียนเกิด
กำรเรียนรู้ในกำรตั้งคำถำม 2) กำรเรียนรู้แสวงหำสำรสนเทศ (Learning to Search) เป็นกำรฝึก
แสวงหำควำมรู้ ข้อมูล และสำรสนเทศจำกแหล่งเรียนรู้อย่ำงหลำกหลำย เช่น ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต
หรือจำกกำรฝึกปฏิบัติ ทดลอง เป็นต้น ซ่ึงจะส่งเสริมเกิดกำรเรียนรู้ในกำรแสวงหำควำมรู้ 3) กำรเรียนรู้
3
เพื่อสร้ำงองค์ควำมรู้ (Learning to Construct) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้ที่ได้มำส่ือสำรอย่ำงมี
ประสทิ ธิภำพ ซึง่ จะสง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รียนเกิดกำรเรียนรู้และมีทกั ษะในกำรสือ่ สำร 4) กำรเรียนรู้เพอ่ื ส่อื สำร
(Learning to Communicate) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้ที่ได้มำส่ือสำรอย่ำงมีประสิทธิภำพ ซึ่ง
จะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ และมีทักษะในกำรส่ือสำร 5) กำรเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม
(Learning to Serve) เป็นกำรนำควำมรสู้ ู่กำรปฏิบัติ ซ่ึงผู้เรียนจะต้องเชื่อมโยงควำมรู้ไปสู่กำรประยุกต์
ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ตำม วุฒิภำวะของผู้เรียน และจะส่งผลให้ผู้เรียนมีจิตสำธำรณะและบริกำร
สังคม ซ่ึงจะเป็นบันได ให้ผู้เรียนพัฒนำไปสู่ผู้มีควำมรู้ ทักษะกระบวนกำร และเจตคติท่ีพึงประสงค์
สำหรบั กำรเป็นพลเมืองในศตวรรษท่ี 21 ซึ่งสอดคล้องตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำ 2551
จำกเหตุผลและควำมสำคัญของกำรจัดกำรเรียนกำรสอนด้วยวิธีกำรบันได 5 ข้ัน (QSCCS)
เป็นกำรจัดกำรเรียนกำรสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้ศึกษำค้นคว้ำได้ตระหนักในควำมสำคัญของ
วิธีกำร ซ่ึงกำรพัฒนำวิธีกำรสอนนี้ ผู้เรียนจะเกิดกำรเรียนรู้เร่ืองวรรณคดี อีกท้ังช่วยเพ่ิมพูนควำมรู้
ชว่ ยให้นักเรียนจดจำได้นำน รวมไปถึงส่งเสริมให้นักเรียนเกดิ กำรเรียนรู้ อย่ำงมีประสิทธิภำพ ส่งเสริม
ให้นักเรียนได้พัฒนำทักษะทำงสังคม กำรทำงำนร่วมกันอย่ำงมีควำมสุข และเป็นแนวทำงในกำรจัด
กำรเรยี นรเู้ พ่ือพัฒนำผลสมั ฤทธทิ์ ำงกำรเรียนวรรณคดี ใหไ้ ดบ้ รรลุเป้ำหมำยตำมหลักสตู ร
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
. เพ่ือศึกษำผลสัมฤทธิ์กำรเรียนรู้วรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โดย
กำรสอนด้วยเทคนิคบันได 5 ขั้น (QSCCS)
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรยี นวรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ช้ันมัธยม ศึกษำ
ปที ่ี 3 กอ่ นและหลงั กำรสอนดว้ ยเทคนคิ บนั ได 5 ข้นั (QSCCS)
สมมติฐานของการวจิ ยั
ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ด้วยเทคนิค
บนั ได 5 ข้นั (QSCCS) หลงั เรยี นสงู กว่ำกอ่ นเรียน ท่รี ะดบั นัยสำคัญ α=0.05
สมมติฐานทางสถิติ H1: A > B
H0: A = B
เมื่อ A = ผลสัมฤทธห์ิ ลังเรียน
B = ผลสัมฤทธ์กิ ่อนเรยี น
4
ขอบเขตของการวิจัย
กำรศกึ ษำคร้ังนี้ ผู้วจิ ัยได้กำหนดขอบเขตของกำรวิจัย ดังนี้
1. ประชากร
ประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัย คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ ตำบล
คลองพิไกร อำเภอพรำนกระต่ำย จังหวัดกำแพงเพชร ภำคเรียนที่ ปีกำรศึกษำ 2564 จำนวน 3
ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 8 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่ำงท่ีใช้ในกำรวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ
ตำบลคลองพิไกร อำเภอพรำนกระต่ำย จังหวัดกำแพงเพชร ภำคเรียนท่ี ปีกำรศกึ ษำ 2564 จำนวน
หอ้ งเรียน มนี ักเรียนจำนวน 26 คน ใช้วธิ ีกำรสมุ่ อย่ำงง่ำย โดยใช้ห้องเรยี นเปน็ หนว่ ยสุ่ม
3. ตัวแปร
3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่
กำรสอนดว้ ยเทคนิคบนั ได 5 ข้นั (QSCCS)
3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนวรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ
4. เนื้อหา
เนื้อหำท่ีใช้ในกำรวิจัย คือ วรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ซึ่งเป็นวรรณคดีที่อยู่ใน
ประกำศของกระทรวงศึกษำธิกำร ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช
255 กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย สำระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มำตรฐำน ท 5.
เข้ำใจและแสดงควำมคิดเห็น วิจำรณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่ำงเห็นคุณค่ำและนำมำ
ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ระดับชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 รำยวิชำ ท23 0 ภำษำไทย 5 ซึ่งวรรณคดี
ดังกล่ำวปรำกฏในหน่วยท่ี 2 ทัศนำวรรณคดี
5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวิจัย จำนวน 2 สัปดำห์ สัปดำห์ละ 3 คำบเรียน คำบเรียนละ
ชั่วโมง เป็นระยะเวลำ 6 คำบเรียน โดยไมร่ วมกำรสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
5
กรอบแนวคิดของการวจิ ยั
ในกำรวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้กรอบแนวคิดในกำรศึกษำ ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ขั้น
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนรู้วรรณคดี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ
ตำบลคลองพไิ กร อำเภอพรำนกระตำ่ ย จังหวดั กำแพงเพชร
กรอบแนวคดิ การวจิ ัย
ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม
การสอนโดยเทคนคิ บันได 5 ขนั้ (QSCCS) ผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรียนวรรณคดี
) กำรตงั้ ประเด็นคำถำม/สมมตฐิ ำน เรอ่ื ง บทพำกยเ์ อรำวัณ ของนักเรยี น
(Hypothesis Formulation)
2) กำรสืบค้นควำมรู้จำกแหลง่ เรียนรแู้ ละสำรสนเทศ
(Searching for Information)
3) กำรสรำ้ ง/สรปุ องคค์ วำมรู้
(Construct/Knowledge Formation)
4) กำรสื่อสำรและกำรนำเสนออยำ่ งมีประสทิ ธภิ ำพ
(Effective Communication)
5) กำรบริกำรสังคมและจิตสำธำรณะ
(Public Service)
ภาพ 1 แสดงกรอบแนวคดิ ของการวิจัย
คานยิ ามศัพท์เฉพาะ
วธิ ีการสอนแบบบนั ได 5 ขน้ั (QSCCS) หมำยถงึ กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้เรื่อง บทพำกย์
เอรำวณั 5 ขัน้ ตอน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี หมำยถึง คะแนนท่ีได้จำกกำรทำแบบทดสอบ วรรณคดี
เรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ กอ่ นเรียนและหลังเรยี น
6
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมำยถึง เคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธิ์ทำง กำรเรียน
วิชำภำษำไทย เรอื่ ง บทพำกย์เอรำวัณ สำหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษำปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบอิงเกณฑ์
ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 20 คะแนน ซ่ึงใช้เคร่ืองมือจำก ปิยนุช แหวนเพชร (2560)
“กำรพัฒนำผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรียนวรรณคดีของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โดยใช้วิธีกำรสอนแบบ
สบื เสำะหำควำมรู้รว่ มกบั เทคนิคกำรใช้แผนทค่ี วำมคิด” ซงึ่ ผำ่ นกำรตรวจสอบคณุ ภำพของเคร่ืองมือแล้ว
นักเรียน หมำยถึง ผู้ที่กำลังศึกษำอยู่ในระดับช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 3 ห้อง 2 ภำคเรียนที่
ปกี ำรศึกษำ 2564 โรงเรยี นพิไกรวิทยำ จังหวดั กำแพงเพชร
ประโยชนท์ ี่จะได้รับจากการวิจัย
. ทำให้ผู้เรียนสำมำรถพัฒนำทักษะกำรเรียนรู้วรรณคดี เร่ืองบทพำกย์เอรำวัณ ได้จำก
วธิ กี ำรสอนและแบบทดสอบสำหรบั พฒั นำทกั ษะของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษำปีท่ี 3
2. ทำให้ครูผู้สอนสำมำรถนำผลกำรวิจัยไปใช้เป็นแนวทำงสำหรับวำงแผนกำรสอน พัฒนำ
หรือแกไ้ ขปญั หำท่ีเกิดขน้ึ ในหอ้ งเรยี น เพื่อใหก้ ำรเรียนกำรสอนเกิดประโยชน์สูงสุดตอ่ ผู้เรยี น
3. ทำให้ผู้บริหำรและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกำรจัดกำรศึกษำ สำมำรถนำข้อมูลที่ได้จำก
กำรวิจัย ไปประกอบกำรกำหนดแนวทำง วำงแผนกำรจัดกำรเรยี นกำรสอน เพื่อเป็นกำรสนับสนุน และ
ส่งเสริมให้ครูผูส้ อนและผูเ้ รียนบรรลุวัตถุประสงคต์ ำมหลกั สูตร
7
บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้อง
กำรศึกษำเรื่อง “ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำง
กำรเรียนรู้วรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวทิ ยำ”
ผวู้ ิจยั ได้ศึกษำเอกสำรและงำนวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง โดยแบ่งเป็น 5 หัวขอ้ หลกั ดังนี้
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย
1.1 สำระ มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ และตวั ช้ีวัดรำยปีของสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทยระดบั ช้ัน
มธั ยมศึกษำปีที่ 3
.2 คำอธิบำยรำยวิชำภำษำไทย ช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 ภำคเรียนที่ ปีกำรศึกษำ 2564
โรงเรียนพิไกรวทิ ยำ
.3 โครงสร้ำงรำยวิชำภำษำไทย ชั้นมัธยมศึกษำปที ่ี 3 ภำคเรยี นท่ี ปีกำรศกึ ษำ 2564
โรงเรียนพิไกรวิทยำ
2. การเรียนรู้
2.1 ควำมหมำยของกำรเรียนรู้
2.2 ปจั จยั ทม่ี ีผลตอ่ กำรเรียนรู้
2.3 รูปแบบกำรเรียนรู้
2.4 องค์ประกอบสำคัญในกำรเรียนรู้
3. การเรยี นวรรณคดี
3. ควำมหมำยของวรรณคดี
3.2 ควำมสำคญั และคุณค่ำของกำรเรียนวรรณคดไี ทย
3.3 วัตถุประสงค์ของกำรสอนวรรณคดี
3.4 แนวทำงกำรจัดกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีไทย
4. การจดั การเรียนรูแ้ บบบนั ได 5 ขนั้ (QSCCS)
4.1 ควำมเป็นมำของกำรจัดกำรเรียนร้แู บบบนั ได 5 ขัน้
4.2 ควำมหมำยและขน้ั ตอนกำรเรยี นรู้แบบบันได 5 ขนั้
4.3 รูปแบบกำรจัดกำรเรยี นรู้แบบบันได 5 ขน้ั
5. งานวิจัยทเี่ กยี่ วข้อง
8
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
กระทรวงศึกษำธิกำร (255 , หน้ำ 37-38) กล่ำวว่ำ ภำษำไทยเป็นเอกลักษณ์ของชำติเป็น
สมบัติทำงวฒั นธรรม อนั ก่อให้เกดิ ควำมเปน็ เอกภำพและเสริมสรำ้ งบุคลิกภำพของคนในชำติให้มีควำม
เป็นไทย เป็นเคร่ืองมือในกำรติดต่อส่ือสำรเพื่อสร้ำงควำมเข้ำใจและควำมสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ทำให้
สำมำรถประกอบกจิ ธุระ กำรงำน และดำรงชีวิตรว่ มกันในสงั คมประชำธิปไตยได้อยำ่ งสนั ติสุข และเป็น
เคร่ืองมือในกำรแสวงหำควำมรู้ ประสบกำรณ์ จำกแหล่งข้อมูลสำรสนเทศต่ำง ๆ เพื่อพัฒนำควำมรู้
ทักษะ กระบวนกำรคิดวิเครำะห์ วิจำรณ์ และสร้ำงสรรค์ ตลอดจนนำไปใช้ในกำรพัฒนำอำชีพให้มี
ควำมม่ันคงทำงเศรษฐกิจ ให้ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลงทำงสังคมและควำมก้ำวหน้ำทำงวิทยำศำสตร์
เทคโนโลยี นอกจำกนี้ ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงภูมิปัญญำของบรรพบุรุษ ด้ำนประเพณี วัฒนธรรม
สนุ ทรยี ภำพ อีกท้ังเป็นสมบัติล้ำค่ำ ควรแก่กำรเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสำนให้คงอยูค่ ู่ชำติไทยตลอดไป
ทงั้ น้ีภำษำไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝกึ ฝน เพ่ือให้เกิดควำมชำนำญในกำรใชภ้ ำษำเพื่อกำรส่อื สำร กำรเรียนรู้
อยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ เพ่ือนำไปใช้ในชีวติ จริง
การอ่าน กำรอ่ำนออกเสียงคำ ประโยค กำรอ่ำนบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ ชนิดต่ำง ๆ กำรอ่ำน
ในใจเพื่อสร้ำงควำมเข้ำใจ และกำรคิดวิเครำะห์ สังเครำะห์ควำมรู้จำกสิ่งท่ีอ่ำน เพ่ือนำไปปรับใช้ใน
ชีวติ ประจำวัน
การเขียน กำรเขียนสะกดคำตำมอักขรวิธี กำรเขียนสื่อสำรรูปแบบต่ำง ๆ กำรเขียน
เรียงควำม ย่อควำม เขียนรำยงำนจำกกำรศึกษำค้นคว้ำ เขียนตำมจินตนำกำร เขียนวิเครำะห์วิจำรณ์
และเขียนเชงิ สร้ำงสรรค์
การฟัง การดู และการพูด กำรฟังและดูอย่ำงมีวิจำรณญำณ กำรพูดแสดงควำมคิดเห็น
ควำมรู้สึก พูดลำดับเร่ืองรำวต่ำง ๆ อย่ำงเป็นเหตุเป็นผล กำรพูดในโอกำสต่ำง ๆ ท้ังเป็นทำงกำรและ
ไมเ่ ป็นทำงกำร และกำรพูดเพอื่ โน้มน้ำวใจ
หลักการใช้ภาษาไทย ศึกษำธรรมชำติและกฎเกณฑ์ของภำษำไทย กำรใช้ภำษำให้ถูกต้อง
เหมำะสมกบั โอกำสและบคุ คล กำรแตง่ บทประพันธ์ประเภทตำ่ ง ๆ และอทิ ธิพลของภำษำตำ่ งประเทศ
ในภำษำไทย
วรรณคดีและวรรณกรรม วิเครำะหว์ รรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือศึกษำข้อมูล แนวควำมคิด
คุณค่ำของงำนประพันธ์ และเพื่อควำมเพลิดเพลิน กำรเรียนรู้และทำควำมเข้ำใจ บทเห่ บทร้องเล่น
ของเด็ก เพลงพ้ืนบ้ำนที่เป็นภูมิปัญญำท่ีมีคุณค่ำของไทย ซึ่งได้ถ่ำยทอด ควำมรู้สึกนึกคิด ค่ำนิยม
ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องรำวของสังคมในอดีต และควำมงดงำมของภำษำ เพื่อให้เกิดควำมซำบซ้ึง
และภมู ิใจในบรรพบุรุษทไี่ ด้ส่งั สมสืบทอดมำจนถงึ ปจั จบุ ัน
9
1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดรายปีของสาระการเรียนรู้ภาษาไทยระดับชั้น
มัธยมศึกษาปที ่ี 3
หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน ตำมที่กระทรวงศึกษำธิกำร (255 , หน้ำ 44-55)
กำหนดให้กลุ่มสำระกำรเรยี นรภู้ ำษำไทยมี 5 สำระ 5 มำตรฐำนกำรเรียนรู้ ดังน้ี
สาระที่ 1 การอา่ น
มำตรฐำน ท . ใช้กระบวนกำรอ่ำนสร้ำงควำมรู้และควำมคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ
แก้ปัญหำในกำรดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักกำรอ่ำน โดยอ่ำนออกเสียงบทร้อยแก้ว และบทร้อยกรองได้
ถูกต้องและเหมำะสมกับเรื่องท่ีอ่ำน ระบุควำมแตกต่ำงของคำท่ีมีควำมหมำยโดยตรงและควำมหมำย
โดยนัย ระบุใจควำมสำคัญและรำยละเอียดของข้อมูลท่ีสนับสนุนจำกเร่ืองที่อ่ำน อ่ำนเรื่องต่ำง ๆ แล้ว
เขียนกรอบแนวคิด ผังควำมคิด บันทึก ย่อควำมและรำยงำน วิเครำะห์ วิจำรณ์ และประเมินเร่ืองที่
อ่ำนโดยใช้กลวิธีกำรเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่ำนเข้ำใจได้ดีข้ึน ประเมินควำมถูกต้องของข้อมูลท่ีใช้
สนับสนุนในเรื่องที่อ่ำน วิจำรณ์ควำมสมเหตุสมผล กำรลำดับควำม และควำมเป็นไปได้ของเร่ือง
วเิ ครำะห์เพอ่ื แสดงควำมคดิ เห็นโต้แย้งเกี่ยวกับเรอื่ งที่อ่ำน ตีควำมและประเมินคุณค่ำ และแนวคิดท่ีได้
จำกงำนเขยี นอยำ่ งหลำกหลำยเพอ่ื นำไปใช้แก้ปัญหำในชวี ติ และมีมำรยำทในกำรอำ่ น
สาระที่ 2 การเขยี น
มำตรฐำน ท 2. ใช้กระบวนกำรเขียน เขียนสื่อสำร เขียนเรียงควำม ย่อควำมและเขียน
เรื่องรำวในรูปแบบต่ำง ๆ เขียนรำยงำนข้อมูลสำรสนเทศและรำยงำนกำรศึกษำค้นคว้ำอย่ำงมี
ประสิทธิภำพ โดยคัดลำยมือตัวบรรจงคร่ึงบรรทัด เขียนข้อควำมโดยใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องตำมระดับ
ภำษำ เขียนชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติโดยเล่ำเหตุกำรณ์ ข้อคดิ เห็น และทัศนคติในเร่อื งต่ำง ๆ เขียน
ยอ่ ควำม เขียนจดหมำยกิจธรุ ะ เขียนอธิบำย ชแ้ี จง แสดงควำมคิดเห็นและโตแ้ ย้งอย่ำงมีเหตุผล เขียน
วเิ ครำะห์ วจิ ำรณ์ และแสดงควำมรู้ ควำมคดิ เหน็ หรือโต้แยง้ ในเร่ืองต่ำง ๆ กรอกแบบสมัครงำนพรอ้ ม
เขียนบรรยำยเก่ียวกับควำมรู้และทักษะของตนเองที่เหมำะสมกับงำน เขียนรำยงำนกำรศึกษำค้นคว้ำ
และโครงงำน และมมี ำรยำทในกำรเขียน
สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด
มำตรฐำน ท 3. สำมำรถเลือกฟังและดูอย่ำงมีวิจำรณญำณ และพูดแสดงควำมรู้
ควำมคิดควำมรู้สึกในโอกำสต่ำง ๆ อย่ำงมีวิจำรณญำณ และสร้ำงสรรค์ โดยแสดงควำมคิดเห็น และ
ประเมินเรื่องจำกกำรฟังและกำรดู วิเครำะห์และวิจำรณ์เรื่องที่ฟังและดูเพื่อนำข้อคิดมำประยุกต์
ใช้ในกำรดำเนินชีวิต พูดรำยงำนเร่ืองหรือประเด็นท่ีศึกษำค้นคว้ำจำกกำรฟัง กำรดู และกำรสนทนำ
พูดในโอกำสต่ำง ๆ ได้ตรงตำมวัตถุประสงค์ พูดโน้มน้ำวโดยนำเสนอหลักฐำนตำมลำดับเน้อื หำอย่ำงมี
เหตุผลและน่ำเชื่อถอื และมมี ำรยำทในกำรฟัง กำรดู และกำรพูด
10
สาระท่ี 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย
มำตรฐำน ท 4. เข้ำใจธรรมชำติของภำษำและหลักภำษำไทย กำรเปลี่ยนแปลงของ
ภำษำ และพลังของภำษำ ภูมิปัญญำทำงภำษำ และรักษำภำษำไทยไว้เป็นสมบัติของชำติโดยจำแนก
และใช้คำภำษำต่ำงประเทศที่ใชใ้ นภำษำไทย วิเครำะห์โครงสรำ้ งประโยคซับซอ้ นวิเครำะห์ระดับภำษำ
ใช้คำทับศพั ท์และศัพท์บัญญัติ อธิบำยควำมหมำยคำศัพท์ทำงวิชำกำรและวชิ ำชีพ และแตง่ บทร้อยกรอง
สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มำตรฐำน ท 5. เข้ำใจและแสดงควำมคิดเห็น วิจำรณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทย
อย่ำงเหน็ คณุ ค่ำและนำมำประยุกต์ใช้ในชวี ิตจริง โดยสรุปเนื้อหำวรรณคดี วรรณกรรมและวรรณกรรม
ท้องถิ่นในระดับที่ยำกย่ิงข้ึน วิเครำะห์วิถีไทยและคุณค่ำจำกวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่ำน สรุป
ควำมรแู้ ละขอ้ คิดจำกกำรอ่ำน เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจรงิ และทอ่ งจำและบอกคุณค่ำบทอำขยำน
ตำมที่กำหนด และบทร้อยกรองทม่ี ีคุณคำ่ ตำมควำมสนใจและนำไปใช้อ้ำงองิ
2. คาอธิบายรายและรหัสตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1
ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรยี นพไิ กรวทิ ยา
หลกั สูตรสถำนศึกษำ โรงเรียนพไิ กรวทิ ยำ พุทธศกั รำช 2562 (ฉบบั ปรับปรุง 2560) ตำม
หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน พุทธศักรำช 255 ได้ให้คำอธิบำยรำยวิชำและรหัสตัวช้ีวัด
รำยวิชำ ท23101 ภำษำไทย 5 ไวด้ ังน้ี
2.1 คาอธิบายรายวชิ า ท23101 ภาษาไทย 5
ศึกษำกำรอ่ำนออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองที่ถูกต้องและเหมำะสม
ควำมหมำยโดยตรงและควำมหมำยโดยนัยของคำ กำรค้นหำใจควำมสำคัญและพลควำม จำกเรื่องท่ี
อ่ำนแล้วเขียน กรอบแนวคิด ผังควำมคิด บันทึก ย่อควำมและรำยงำน กำรคัดลำยมือตัวบรรจงครึ่ง
บรรทัด กำรเขียนข้อควำมโดยใชถ้ ้อยคำท่ีถูกต้องตำมระดับภำษำ กำรเขียนชีวประวัติหรอื อตั ชีวประวัติ
กำรเขียนย่อควำม กำรเขียนจดหมำยกิจธุระ กำรพูดแสดงควำมคิดเห็น กำรวิเครำะห์และวิจำรณ์เร่ืองที่
ฟังและดู กำรพูดรำยงำนเร่อื งที่ศึกษำค้นควำ้ รวมไปถึงกำรพูดในโอกำสต่ำง ๆ ศึกษำหลักกำรใช้ภำษำ
เก่ียวกับคำท่ีมำจำกภำษำต่ำงประเทศที่ใช้ในภำษำไทย โครงสร้ำงประโยคซับซ้อน ระดับของภำษำ
กำรวิเครำะห์คุณค่ำ กำรสรุปเนื้อหำและวรรณคดีและวรรณกรรม กำรสรุปควำมรู้และข้อคิดจำก
กำรอ่ำน กำรท่องจำบทอำขยำนและบทร้อยกรอง ท่มี ีคณุ คำ่ ตำมที่กำหนดและตำมควำมสนใจ
โดยใช้ทักษะกระบวนกำรอ่ำน กำรเขียน กำรพูด กำรฟัง กำรดู กำรวิเครำะห์วิจำรณ์
กำรสรปุ กำรประเมนิ เร่ือง โดยใช้กลวิธีกำรเปรียบเทียบ กำรแสดงควำมคิดเหน็ กำรจำแนก กำรอธบิ ำย
ตลอดจนกำรท่องจำ
11
เพื่อให้มีมำรยำทในกำรอ่ำน กำรเขียน กำรฟัง กำรดู และกำรพูดสื่อสำรได้อย่ำง
ตรงตำมวัตถุประสงค์ รวมท้ังสำมำรถนำควำมรู้และข้อคิดไปใช้ในกำรดำเนินชีวิตบนพ้ืนฐำนของควำม
พอเพียง ตลอดจนเห็นคุณคำ่ ของวรรณคดีและนำมำประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ จริง
2.2 รหัสตวั ชวี้ ดั รายวิชา ท23101 ภาษาไทย 5
ท 1.1 ม.3/ , ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5 และ ม.3/ 0
ท 2.1 ม.3/ , ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5 และ ม.3/ 0
ท 3.1 ม.3/ , ม.3/2, ม.3/3 และ ม.3/6
ท 4.1 ม.3/ , ม.3/3, ม.3/4 และ ม.3/6
ท 5.1 ม.3/ , ม.3/2, ม.3/3 และ ม.3/4
รวมทงั้ หมด 24 ตัวช้ีวดั
3. โครงสร้างรายวิชาภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนพิไกรวทิ ยา
ตาราง 1 แสดงโครงสร้างรายวิชาภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 1
ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนพไิ กรวทิ ยา
หน่วย ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้และสาระสาคัญ ตัวชว้ี ดั เวลา นา้ หนกั
ท่ี (ช่วั โมง) คะแนน
เรยี นรหู้ ลกั ประจักษภ์ าษา ท 4.1 3
กำรเรียนรู้หลักภำษำจะช่วยให้เข้ำใจถึงหลักของกำรใช้ -ม.3/
ภำษำ เนื่องจำกเป็นเครื่องมือที่ใช้ในกำรส่ือสำรของมนุษย์ที่ -ม.3/3
ชว่ ยยึดให้มนุษย์มีควำมผูกพนั ต่อกัน โดยแต่ละภำษำต่ำงจะมี -ม.3/4
ระเบียบแบบแผนของตน ภำษำไทยเป็นภำษำที่มีเอกลักษณ์ -ม.3/6
ไม่ว่ำจะเป็นกำรแต่งคำประพันธ์ กำรใช้ภำษำในแต่ละระดับ
กำรยืมคำจำกภำษำต่ำงประเทศ รวมไปถึงกำรใช้คำทับศัพท์
และศัพท์บัญญัติ ล้วนแสดงให้เห็นว่ำ ภำษำไทยมีหลักเกณฑ์
ท้งั สิ้น
12
ตาราง 1 (ต่อ)
หน่วย ช่ือหน่วยการเรียนรแู้ ละสาระสาคญั ตวั ชว้ี ัด เวลา น้าหนกั
ที่ (ชั่วโมง) คะแนน
2 ทัศนาวรรณคดี ท 5.1 9
วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นศิลปะแขนงหน่ึงที่มีคุณค่ำ -ม.3/ 03
ทำงด้ำนภำษำสติปัญญำและอำรมณ์ โดยจะต้องศึกษำ -ม.3/2 00
องค์ประกอบของวรรณคดีทำงด้ำนต่ำง ๆ ทั้งรูปแบบ เน้ือหำ -ม.3/3
และภำษำ ซึ่งจะทำให้เกิดควำมซำบซ้ึงในสุนทรียภำพของ -ม.3/4
วรรณคดีและวรรณกรรม ตลอดจนเข้ำใจคุณค่ำของศิลปะ
ภำษำ ซึ่งเป็นแนวทำงส่งเสริมให้มีกำรพัฒนำกำรทำงด้ำน
จิตใจ ซ่ึงจะก่อให้เกิดควำมรู้สึกที่จะเชิ ดชู ทำนุบำรุง
ภำษำไทยอันเปน็ ภำษำประจำชำติ
3 งามวิถีนักอ่าน ท 1.1
กำรอ่ำน คือ กระบวนกำรในกำรรับรู้และเข้ำใจสำรที่ -ม.3/
เปน็ ลำยลักษณ์อักษร จำกนัน้ จึงแปรสัญลักษณ์อกั ษรเหลำ่ น้ัน -ม.3/2
เป็นควำมรู้ โดยอำศัยทักษะกำรอ่ำน ทักษะกำรสรุปใจควำม -ม.3/3
สำคัญกระบนกำรคิด ประสบกำรณ์และควำมรู้ของผู้อ่ำน ซึ่ง -ม.3/4
ไม่เพียงแตจ่ ะรับสำระของสำรเพียงเท่ำนั้น แต่ยังสำมำรถรับรู้ -ม.3/5
ทรรศนะ เจตนำ อำรมณ์ และควำมรู้สึกของผู้เขียนท่ี -ม.3/ 0
ถ่ำยทอดมำในสำรอีกด้วย จึงจำเป็นต้องอำศัยกำรฝึกฝน
ทั ก ษ ะ ก ำ ร อ่ ำ น เพื่ อ ให้ เข้ ำ ใจ แ ล ะ ถ่ ำ ย ท อ ด ได้ ต ร ง ต ำ ม
วตั ถปุ ระสงค์ของผเู้ ขยี นพรอ้ มทงั้ มีมำรยำทในกำรอำ่ น
4 จารอกั ขระ ท 2.1
กำรเขี ยน เป็ น ทั ก ษ ะที่ มี ค วำม ส ำคั ญ ต่ อ ค วำม -ม.3/
เจริญก้ำวหน้ำของมนุษย์ เป็นเคร่ืองมือสำคัญในกำรสื่อสำร -ม.3/2
ดังนั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องศึกษำวิธีกำรเขียนในรูปแบบต่ำง -ม.3/3
ๆ ให้เกิดควำมชำนำญ ใช้ภำษำให้ถูกต้องเหมำะสม โดย -ม.3/4
คำนึงถึงสถำนภำพของบุคคลและโอกำส นอกจำกน้ี ยังต้อง -ม.3/5
ศึกษำรูปแบบหลักกำรเขียนประเภทต่ำง ๆ เพ่ือให้สำมำรถ -ม.3/ 0
เขียนสอื่ สำรกับผูอ้ ่นื ไดอ้ ย่ำงมีประสิทธิภำพ
13
ตาราง 1 (ต่อ)
หน่วย ช่ือหน่วยการเรยี นรูแ้ ละสาระสาคัญ ตัวช้ีวัด เวลา น้าหนกั
ที่ (ชวั่ โมง) คะแนน
5 ทกั ษะการฟัง การดู และการพดู ท 3.1 9 7
กำรฟัง กำรดู และกำรพูดก็เป็นกำรสื่อสำรแลกเปลี่ยน -ม.3/ 50
20
แสดงควำมคิดเห็นจำกเรื่องท่ีได้ฟังและดู ดังนั้น จึงควรฝึก -ม.3/2 30
00
ทักษะกำรฟัง กำรดู และกำรพูดให้เกิดควำมชำนำญ เพื่อ -ม.3/3
นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่ำงมีมำรยำทและมี -ม.3/6
ประสทิ ธภิ ำพในกำรสอื่ สำร
รวม 56
สอบกลำงภำคเรียน 2
สอบปลำยภำคเรียน 2
รวมตลอดภำคเรียน 60
ที่มา: หลกั สตู รสถำนศกึ ษำ โรงเรียนพิไกรวิทยำ พุทธศกั รำช 2562 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560)
ตำมหลกั สูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขัน้ พน้ื ฐำน พทุ ธศกั รำช 255
ผู้วิจัยเลือกใช้หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 2 ทัศนำวรรณคดี ในกำรทดลอง เน้ือหำวรรณคดีที่
เลอื กจำกหนว่ ยกำรเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ เรือ่ งบทพำกยเ์ อรำวณั จำนวน 4 คำบ ดงั ตำรำงที่ 2
ตาราง 2 แสดงรายละเอียดหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 ทศั นาวรรณคดี เรื่องบทพากยเ์ อราวณั
หน่วยการเรยี นรู้ เร่อื งท่ีเรยี น จานวน มาตรฐาน/ตวั ชี้วัด
(ช่วั โมง)
หน่วยกำรเรียนร้ทู ่ี 2 บทพำกย์เอรำวัณ 4 ท 5.1
ทศั นำวรรณคดี -ม.3/ สรุปเนื้อหำวรรณคดี วรรณกรรม
และวรรณกรรมท้องถ่นิ ในระดับทย่ี ำกยง่ิ ขึน้
-ม.3/2 วิเครำะหว์ ิถไี ทยและคณุ คำ่ จำกวรรณคดี
และวรรณกรรมที่อำ่ น
-ม.3/3 สรปุ ควำมรแู้ ละข้อคิดจำกกำรอำ่ น
เพ่อื นำไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจรงิ
14
การเรยี นรู้
1. ความหมายของการเรียนรู้
กำรเรียรู้เป็นกระบวนกำรที่บุคคลได้พยำยำมปรับพฤติกรรมของตนเพ่ือเข้ำกับ
สภำพแวดล้อมตำมสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ จนสำมำรถบรรลุถึงเป้ำหมำยตำมที่แต่ละบุคคลได้ต้ังเป้ำหมำย
ไว้ (Presseey, et al., 959 อำ้ งอิงใน อำรี พันธม์ ณี, 2534) ในขณะท่ีฮิลกำร์ดและเบำเวอร์ (Hilgard
and Bower), 975 อ้ำงอิงใน ปรียำพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2534) ให้ควำมหมำยของกำรเรียนรู้ว่ำ
เป็นกระบวนกำรท่ีทำใหพ้ ฤติกรรมเปล่ียนแปลงไปจำกเดิมอันเป็นผลจำก ประสบกำรณ์และกำรฝกึ ฝน
แต่ไม่ใช่เป็นผลจำกกำรตอบสนองท่ีเกิดข้ึนตำมธรรมชำติ เช่น สัญชำติญำณ หรือวุฒิภำวะ หรือจำก
กำรเปลีย่ นแปลงชวั่ ครำวของร่ำงกำย เชน่ ควำมเมือ่ ยลำ้ พิษของยำ เป็นต้น
เชียรศรี วิวิธสิริ (2527) ก็ได้กล่ำวถึงกำรเรียนรู้ไว้ว่ำ เป็นกระบวนกำรเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมอันเป็นผลเน่ืองมำจำกกำรปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ท่ีเกิดข้ึนในตัวบุคคล หรือบุคคลกับ
ส่งิ แวดล้อม ท้ังน้ี เพ่ือช่วยให้บุคคลสำมำรถแก้ไขปัญหำหรอื ปรับตัวให้เข้ำกับสถำนกำรณ์สิ่งแวดล้อมได้
ส่วนทำยเลอร์และลีแกนส์ ให้ควำมหมำยของกำรเรียนรู้ไว้เช่นกันว่ำ กำรเรียนรู้ เป็นกำรเปล่ียนแปลง
ไปสพู่ ฤตกิ รรมท่ีค่อนข้ำงถำวรซ่ึงเป็นผลมำจำกกำรฝกึ หรอื ประสบกำรณ์ (Tyler and Leagans, 97
อ้ำงอิงใน พศิน แตงจวง, 2537) สอดคล้องกับ อำรี พันธ์มณี (2534, หน้ำ 86) ท่ีกล่ำวว่ำกำรเรียนรู้
เป็นกระบวนกำรเปล่ียนแปลงพฤติกรรมจำกเดิมไปสู่พฤติกรรมใหม่ทีค่ ่อนขำ้ งถำวรและพฤติกรรมใหม่
นี้เป็นผลมำจำกประสบกำรณ์หรือกำรฝึกฝน มิใช่เป็นผลจำกกำรตอบสนองตำมธรรมชำติหรือ
สญั ชำตญำณ หรือวฒุ ภิ ำวะ หรอื พษิ ยำตำ่ ง ๆ หรืออุบตั เิ หตุ หรอื ควำมบังเอญิ
จำกควำมหมำยของกำรเรียนรู้ขำ้ งต้นท่ีกลำ่ วมำ สำมำรถสรุปควำมหมำยของกำรเรียนรู้
ไดว้ ่ำ กำรเรียนรู้ คอื กระบวนกำรที่ทำให้เกดิ กำรเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอนั เปน็ ผลมำจำกประสบกำรณ์
ปฏิสัมพันธ์ หรือกำรฝึกฝน ที่เกิดขึ้นในตัวบุคคล และกำรเปล่ียนแปลงนั้น เป็นกำรเปล่ียนแปลงท่ี
ค่อนข้ำงถำวร
2. ปจั จยั ทีม่ ีผลต่อการเรยี นรู้
อุบลรัตน์ เพ็งสถิตย์, 2528 อ้ำงอิงใน อำรี พันธ์มณี (2534) กล่ำวว่ำ กำรที่บุคคลจะเรยี นรู้
ได้ดีมำกน้อยเพียงใดนั้น ต้องข้ึนอยู่กับปัจจัยที่สำคัญหลำยประกำร และปัจจัยท่ีเป็นองค์ประกอบของ
กำรเรยี นรู้ประกอบด้วย ดงั น้ี
) สมองและระบบประสำท
สมองและระบบประสำทนับว่ำเป็นองค์ประกอบแรกสุดท่ีมีควำมสำคัญย่ิงต่อกำรเรียนรู้
ของบุคคล กำรเรียนรู้ใด ๆ ก็ตำม จะเกิดข้ึนไม่ได้หรือจะเรียนรู้ได้ไม่ดี ถ้ำบคุ คลน้นั มีควำมผิดปกติทำง
สมอง
15
2) ระดบั สตปิ ญั ญำและควำมสำมำรถของแต่ละบุคคล
บุคลที่มีระดับสติปัญญำสูง มักจะมีควำมสำมำรถหรือทักษะในกำรเรียนรู้ส่ิงต่ำง ๆ ได้
อย่ำงรวดเร็ว และมีประสิทธิภำพมำกกว่ำบุคคลท่ีมีระดับสติปัญญำต่ำ แม้งำนท่ีมีควำมยุ่งยำก ซับซ้อน
ผู้เรยี นทม่ี รี ะดับสติปญั ญำสูงมักจะเรียนรสู้ ่งิ นนั้ ๆ ไดส้ ะดวกและรวดเร็วกว่ำผู้ที่มีระดบั สตปิ ัญญำตำ่
3) กำรจำกำรลืม
กำรจำมีส่วนช่วยให้กำรเรียนรู้ประสบผลสำเร็จได้อย่ำงรวดเร็วและเรียนรู้ได้ดี ส่วน
กำรลืมเป็นอุปสรรคอันสำคัญ เพรำะจะทำให้กำรเรียนรู้ไม่เกิดข้ึน เป็นท่ีน่ำสังเกต ทั้งกำรจำ และกำรลืม
นี้จะเปน็ ส่ิงทเี่ กดิ ข้นึ เสมอ ๆ ในกำรเรียนรู้
4) แรงจูงใจในกำรเรียนรู้
แรงจูงใจในกำรเรียนรู้ทำให้ผู้เรียนอยำกท่ีจะเรียนรู้ ซ่ึงมีสำเหตุ 2 ประกำร คือ
แรงจูงใจเน่ืองมำจำกผู้เรียนและแรงจูงใจอันเป็นผลมำจำกสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ ทำให้ ผู้เรียนเกิด
ควำมรูส้ ึกอยำกเรียนมำกน้อยต่ำงกัน และถ้ำผู้เรยี นมีควำมรู้สึกอยำกเรยี น เต็มใจและพร้อมที่จะเรียน
แล้ว น่ันแสดงว่ำ ผเู้ รยี นเกดิ แรงจูงใจที่จะทำใหผ้ ูเ้ รยี น เรยี นรู้ได้อย่ำงรวดเรว็
5) ควำมเหนื่อยลำ้ กบั กำรเรยี นรู้
ควำมเหน่ือยล้ำทำให้ไม่สำมำรถเรียนรู้ได้อยำ่ งมีประสิทธภิ ำพและกำรเรียนรู้ ท่ีเกิดขึ้น
ได้ยำก แม้ว่ำบุคคลน้ันมีควำมต้ังใจที่จะเรียนรู้หรือมีควำมพำกเพียรและใช้ควำมพยำยำมเท่ำใดก็ไม่
สำมำรถทำให้กำรเรียนรู้ประสบผลสำเร็จได้ ควำมรสู้ ึกเหนื่อยไม่ว่ำจะเป็นทำงร่ำงกำย ทำงจิตใจ หรือ
ทำงสมอง ควรไดร้ บั กำรพัก เพื่อใหก้ ำรเรยี นรู้เป็นกำรเรียนรู้ที่มปี ระสิทธิภำพ
6) ควำมต้ังใจและควำมสนใจที่จะเรียนรู้
ในกำรเรียนรถู้ ้ำผู้เรียนขำดควำมตั้งใจ ขำดควำมสนใจในกำรที่จะเรยี นรู้แล้วจะทำให้
ผู้เรียนมีกำรเรียนรู้ไม่ดีเท่ำท่ีควร ในบำงครั้งกำรเรียนรู้อำจจะเกิดได้ช้ำมำกหรือไม่เกิดกำรเรียนรู้เลย
ก็ได้ ฉะนั้น กำรที่ผู้เรียนจะเรียนรู้สิ่งใดให้ได้ผลดีนั้น จึงควรเริ่มต้นมำจำกควำมตั้งใจและควำมสนใจ
ท่อี ยำกจะเรยี นรู้สิ่งนั้น ๆ
7) สภำพกำรณท์ ีจ่ ะกอ่ ใหเ้ กิดกำรเรยี น
ในกำรเรียนรู้ ถ้ำผู้เรียนได้รับกำรเรียนรู้ตำมสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ ได้อย่ำงเหมำะสมกับ
สภำพกำรณ์ที่มองดูสมจริง ย่อมทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น เช่น กำรหัดขับรถ ถ้ำเรำเพียงแตบ่ อก
วิธีกำรโดยไม่ให้ผู้เรียนได้ทดลองขับด้วยตนเอง ผลก็คือ ทำให้ผู้เรียนอยู่ในสภำพกำรณ์ท่ีไม่เหมำะสม
เป็นตน้
16
จำกปัจจัยท่ีมีผลต่อกำรเรียนรู้ท่ีได้กล่ำวมำแล้วข้ำงต้นนั้น สำมำรถสรุปได้ว่ำ สมองและ
ระบบประสำท ระดับสติปัญญำและควำมสำมำรถของแตล่ ะบุคคล กำรจำกำรลืม แรงจูงใจในกำรเรียนรู้
ควำมเหน่ือยล้ำกับกำรเรียนรู้ ควำมต้ังใจและควำมสนใจท่ีจะเรียนรู้ และสภำพกำรณ์ท่ีจะก่อให้เกิด
กำรเรยี น ล้วนมีผลต่อกำรเรยี นรู้ของผูเ้ รยี นทงั้ สน้ิ
3. รูปแบบการเรียนรู้
มำนพ ศรีดุลยโชติ, 2534, หน้ำ -4 อำ้ งอิงใน มำลี จุฑำ (2544, หน้ำ 70) ได้กล่ำวว่ำ บคุ คล
มวี ธิ ีกำรเรียนรู้และแก้ปญั หำในรปู แบบทแ่ี ตกตำ่ งกันโดยสรปุ ได้ 4 รูปแบบ คอื
) สร้ำงประสบกำรณ์ให้แน่นแฟ้น (Concrete Experience; CE) เป็นวิธีกำรเรียนรู้ใน
ลกั ษณะให้รู้จริง ซึ่งควำมรู้ท้ังมวลจะตดิ ตวั บคุ คลน้ันไปตลอด เช่น บคุ คลได้เรยี นรู้ว่ำ ไฟมีควำมร้อนหำกไป
จับต้องจะทำให้ผู้ท่ีไปจับต้องนั้นได้รับอันตรำย ซ่ึงจะนำนเท่ำไรบุคคลก็ยังจำควำมรู้ที่ได้รับจำก
ประสบกำรณน์ ไี้ ด้ เปน็ ต้น
2) สังเกตปรำกฏกำรณ์ที่เกิดข้ึน (Reflective Observation; RO) เป็นวิธีกำรเรียนรู้ด้วย
วิธีกำรสังเกตปรำกฏกำรณ์ท่ีเกิดขึ้น แล้วสรุปเป็นควำมรู้ต่อไป เช่น บุคคลจะสังเกตว่ำ เม่ือมี
ปรำกฏกำรณ์อำกำศร้อนอบอ้ำว คือ ร้อนผิดปกติ หลังจำกนั้นไม่นำนจะมีฝนตกเกิดขึ้น ก็สรุปเป็น
ควำมรู้ว่ำ ก่อนฝนจะตกจะมีกำรเปล่ียนสถำนะจำกไอน้ำมำเป็นหยดน้ำ มีกำรคำยควำมร้อนแฝง ทำให้เกิด
ปรำกฏกำรณ์อำกำศร้อนอบอ้ำว เปน็ ตน้
3) เกิดควำมคิดในเชิงนำมธรรม (Abstract Conception; AC) เป็นกำรเรียนรู้ท่ีใช้
ควำมคิดในกำรพินิจพิจำรณำปรำกฏกำรณ์หรือควำมรู้ทั้งปวง แล้วสร้ำงเป็นหลักกำรข้ึน โดยใช้หลัก
เหตุและผล เช่น บุคคลพยำยำมเรียนรู้ควำมหมำยของคำว่ำ “ยุติธรรม” ซ่ึงเป็นนำมธรรม บุคคลจะ
พินิจพิจำรณำพฤติกรรมท่ีแสดงถึงควำมหมำยของคำว่ำ “ยุติธรรม” โดยใช้หลักเหตุผลแล้ว สรุปว่ำ
ยตุ ิธรรม คอื ควำมพอใจของผ้ทู เี่ กยี่ วข้อง เปน็ ต้น
4) ชอบกำรทดลอง (Active Experimentation; AE) เป็นวิธีกำรเรียนรู้ท่ีเกิดจำกกำรทดลอง
เช่น บุคคลทำกำรทดลองแยกน้ำด้วยกระแสไฟฟ้ำ จะได้ปริมำตรของก๊ำซไฮโดรเจน 2 ส่วน ต่อก๊ำซ
ออกซิเจน ส่วน บุคคลย่อมเรียนรู้ว่ำ น้ำประกอบด้วยธำตุไฮโดรเจนและออกซิเจนในปริมำตร 2:
เป็นตน้
ในขณะท่ี เชียรศรี วิวิธสิริ (2527, หน้ำ 27) กล่ำวว่ำ มนุษย์จะใช้วิธกี ำรเรียนรู้ได้หลำย
วิธี ดังต่อไปน้ี
) กำรเรียนรู้แบบถือผิดเป็นครู เป็นกำรลองผดิ ลองถูกไปเร่ือย ๆ จนกระท่ังทำได้สำเร็จ
เป็นกำรไม่ใช้เหตผุ ลแก้ไขปัญหำ กำรลองทำอำจเกิดควำมเสียหำยหรือเกิดอันตรำยขึน้ ได้
17
2) กำรเรียนรู้ด้วยกำรกระทำซ้ำ ๆ หรือกำรฝึกหัดอยู่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดควำม ชำนำญ
เปน็ ผลดีแก่กำรเรยี น โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงในวิชำท่ีเก่ียวกับทักษะ เชน่ กำรเรียนภำษำ กำรเล่นกีฬำตำ่ ง ๆ
กำรเพนท์สี เปน็ ต้น
3) กำรเรียนรู้ด้วยกำรสังเกตพิจำรณำ โดยอำศัยประสำทสัมผัสส่ิงเร้ำเป็นเครื่องช่วยใน
กำรสังเกตพิจำรณำ จัดเป็นกำรเรียนรู้ท่ีประกอบด้วยเหตุผล อำนวยประโยชน์ให้มำก ควรสนับสนุน
เช่น กำรสังเกตพฤติกรรมในกำรซื้ออำหำรว่ำ มีบำงร้ำนท่ีคนมำใช้บริกำรมำก ซ่ึงต่อมำกทรำบว่ำ
ร้ำนอำหำรร้ำนนั้นเปน็ ร้ำนที่ทำอำหำรอร่อย คนจงึ มำใชบ้ ริกำรมำก เป็นตน้
4) กำรเรียนรู้ด้วยกำรกระทำ ลงมือทำเองโดยไม่มีส่ิงเร้ำ กำรเรียนรู้วิธีน้ีจะเกิดข้ึน มำกน้อย
ต่อไปเพียงใดข้ึนอยู่กับกำรเสริมแรง หำกไม่มีกำรเสริมแรง พฤติกรรมนั้น ๆ จะหำยไปเอง และไม่เกิด
กำรเรียนรู้
5) กำรเรียนโดยใช้สติปัญญำ เป็นเร่ืองของควำมเข้ำใจ ควำมคิดพิจำรณำอย่ำงลึกซ้ึง
อำศยั ควำมสำมำรถทำงสมองเป็นสำคญั
จำกรปู แบบกำรเรียนนร้ขู ำ้ งต้น สำมำรถสรปุ ได้วำ่ ผู้เรยี นสำมำรถเรียนรู้ได้อย่ำงหลำยวิธี
เช่น กำรสังเกต กำรทดลอง กำรลงมือปฏิบัติ เป็นต้น ซ่ึงเป็นกำรทำให้ผู้เรียนเกิดกำรเปล่ียนแปลง
พฤตกิ รรมจำกเดิมไปส่พู ฤติกรรมใหม่ท่ีค่อนข้ำงถำวร
4. องค์ประกอบสาคญั ในการเรยี นรู้
ดอลลำร์ด และมิลเลอร์ (Dollard and Miller, n.d) อ้ำงอิงใน อำรี พันธ์มณี (2534,
หนำ้ 88) กล่ำวว่ำ กำรเรียนรู้ประกอบดว้ ยส่ิงตำ่ ง ๆ ดงั นี้
) แรงขับ (Drive) เกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตขำดสมดุล เช่น ขำดกำรพักผ่อน ขำดอำหำร ขำดน้ำ
ฯลฯ ภำวะเหล่ำนี้จะกระตนุ้ ใหอ้ นิ ทรียแ์ สดงพฤติกรรม เพื่อปรับให้อินทรยี อ์ ยูใ่ นสภำพสมดลุ อย่ำงเดมิ
2) สิ่งเร้ำ (Stimulus) เป็นสิ่งท่ีกระตุ้นให้อินทรีย์แสดงกิจกรรมโต้ตอบออกมำ ซ่ึงเป็น
ตัวกำหนดพฤตกิ รรมตอบสนองของร่ำงกำย
3) กำรเสริมแรง (Reinforcement) เป็นกำรกระทำให้สิ่งเร้ำและกำรตอบสนองมี
ควำมสัมพันธ์กันมำกยิ่งขึ้น เช่น เมื่อนักเรียนทำคณิตศำสตร์ได้ถูกต้องก็เป็นกำรเสริมแรง โดย ใน
กำรเสรมิ แรงน้จี ะทำใหน้ ักเรยี นอยำกเรียนคณิตศำสตร์ในครำวต่อไป
การเรยี นวรรณคดี
1. ความหมายของวรรณคดี
รำชบัณฑิตยสถำน (2556) ให้ควำมหมำยของวรรณคดีไว้ว่ำ วรรณคดี หมำยถึง
วรรณกรรมที่ได้รับยกย่องว่ำแต่งดี มีคุณค่ำเชิงวรรณศิลป์ เช่น มัทนะพำธำ สำมก๊ก เสภำเร่ืองขุนช้ำง
ขุนแผน พระรำชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น สอดคล้องกับ กุหลำบ มัลลิกะมำส (2517) ท่ีกล่ำวว่ำ
18
วรรณคดี เป็นวรรณกรรมที่ได้รับกำรยกย่องว่ำแต่งดี มีวรรณศิลป์ มีศิลปะกำรเรียบเรียงที่ดี เพื่อ
ควำมสะเทือนใจ ในทำนองเดียวกัน สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน (2558) ก็ได้ให้
ควำมหมำยของวรรณคดีไว้เช่นกันว่ำ วรรณคดี หมำยถึง วรรณกรรมหรืองำนเขียนที่ ยกย่องกันว่ำ
เขียนดีและมีคุณค่ำทำงวรรณศิลป์สำมำรถทำให้ผู้อ่ำนเกิดอำรมณ์สะเทือนใจ มีควำมคิดเป็นแบบแผน
ใช้ภำษำไพเรำะเหมำะแก่กำรให้ประชำชนได้อ่ำน เนื่องจำกสำมำรถกล่อมเกลำจิตใจให้ประณีต
รู้จักผิดชอบช่ัวดี นอกจำกนี้ ทัศนีย์ ศุภเมธี (2542) ก็ยังได้ให้ควำมหมำยของวรรณคดีไว้อีกเช่นกันว่ำ
เป็นหนังสือที่กวีแต่งข้ึนโดยใช้ศิลปะในกำรแต่ง ที่ทำให้ผู้อ่ำนรู้สึกประทับใจและได้รับควำมสนุกสนำน
เพลิดเพลนิ ผู้อ่ำนเกิดมโนภำพและเกดิ ควำมรูส้ กึ ตำ่ ง ๆ ร่วมไปกบั ผแู้ ต่ง ท้ังยังสอดแทรกควำมรู้ เจตคติ
ตลอดจนสภำพควำมเปน็ ไปของสังคมแตล่ ะสมยั
จำกควำมหมำยของวรรณคดีที่ได้กล่ำวในข้ำงต้น สำมำรถสรุปได้ว่ำ วรรณคดีหมำยถึง
เร่ืองรำวหรืองำนเขียนที่ได้รับกำรยกย่องว่ำแต่งดี มีกำรใช้ถ้อยคำสละสลวย ไพเรำะกินใจ มีเน้ือหำ
สนุกสนำนบันเทิง สำมำรถทำให้ผู้อ่ำนเกิดจินตนำกำร เกิดอำรมณ์คล้อยตำม และรู้สึกสะเทือนใจ
นอกจำกนี้ ยังมีคุณค่ำให้แง่คิดขัดเกลำจิตใจและบอกเล่ำเร่ืองรำวชีวิตควำมเป็นมำของคนไทยและ
สังคมในอดตี ไดอ้ กี ด้วย
2. ความสาคญั และคุณค่าของการเรียนวรรณคดไี ทย
กุหลำบ มัลลิกะมำส (2527) กล่ำวถึงคุณค่ำของวรรณคดีไว้ สรุปได้ว่ำ วรรณคดีเป็น
เคร่ืองมือส่ือสำรและเปน็ เคร่ืองเช่ือม/สร้ำงภำพอันสมบูรณ์ทำงด้ำนควำมรู้ส่งเสริมทักษะกำรฟัง กำรพูด
กำรอ่ำน กำรเขียน และกำรคิด อีกทั้งยังทำให้มนุษย์เกิดพัฒนำกำรทำงด้ำนต่ำง ๆ ได้แก่ ปัญญำ
วัฒนธรรม ควำมรสู้ ึก และควำมสำนึกตอ่ สงั คม และยังสร้ำงลักษณะนิสัยใหม้ นุษย์เป็นผทู้ ี่มีบุคลิกภำพ
และจิตใจทงี่ ดงำม
ประดิษฐ์ กลัดประเสริฐ (2522) ไดก้ ลำ่ วถึงคณุ ค่ำท่ีสำคญั ของวรรณคดีไว้ ดังน้ี
) คุณค่ำทำงอำรมณ์ (Emotional Value) คือ วรรณคดีทำให้เกิดควำมสนุกสนำนหรือ
สะเทือนอำมรณ์ทำงใดทำงหนึ่ง เชน่ รัก โกรธ เกลียด ภูมิใจ เสยี สละ เห็นใจ และชว่ ยใหเ้ กดิ พัฒนำกำร
ทำงอำรมรณ์ยกระดับจิตใจและส่งเสริมจินตนำกำร
2) คณุ ค่ำทำงสติปัญญำ (Intellectual Value) คือ วรรณคดีให้ควำมรใู้ นดำ้ นต่ำง ๆ เช่น
ประวัติศำสตร์ สังคม วัฒนธรรม ภำษำ เสรมิ สร้ำงประสบกำรณ์ชีวิตให้แก่ผู้อำ่ น ชว่ ยให้ควำมคิดเจริญ
งอกงำมทำใหเ้ ขำ้ ใจในชีวติ และโลกยิ่งข้นึ
3) คุณค่ำทำงศีลธรรม (Moral Value) คือ วรรณคดีช่วยบำรุงรักษำศีลธรรมของสังคม
ทำใหส้ งั คมสงบสุขเจริญงอกงำม ทำใหม้ นุษย์อยู่ร่วมกนั ในสังคมอย่ำงมีควำมสุขและเขำ้ ใจกัน
19
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (2558) ก็ได้กล่ำวถึงควำมสำคัญและ
คุณค่ำของวรรณคดีวรรณกรรมไทยไว้ สรปุ ได้ว่ำ วรรณคดเี ป็นงำนอันลำ้ ค่ำท่ีมนษุ ย์สร้ำงสรรค์ขึ้น และ
ส่ือสำรเรื่องรำวของชีวิต วัฒนธรรม และอำรมณ์ควำมรู้สึกที่เก่ียวข้องหรือสะท้อนควำมเป็นไปของ
มนุษย์ด้วยกลวิธีกำรใช้ถ้อยคำ สำนวนภำษำท่ีมีควำมเหมือนหรือแตกต่ำงกันไป เม่ือผู้อ่ำนได้อ่ำน
วรรณคดแี ล้วจะสำมำรถเหน็ ถงึ คณุ คำ่ ของวรรณคดใี นแงม่ มุ ต่ำง ๆ ดังนี้
) คุณค่ำทำงด้ำนวรรณศิลป์ เป็นกำรใช้กลวิธีในกำรแต่งกำรเลือกใช้ถ้อยคำท่ีไพเรำะ
กำรใช้ภำษำทส่ี ละสลวย กำรใชถ้ อ้ ยคำสร้ำงภำพได้ชดั เจน
2) คุณค่ำทำงปัญญำ ผู้อ่ำนจะได้รับควำมรู้มำกย่ิงขึ้น ทั้งด้ำนวิทยำกำรควำมรู้รอบตัว
และรู้เท่ำทันคน วรรณคดีบำงเร่ืองทำให้ผู้อ่ำนเห็นเล่ห์เหล่ียม นิสัยใจคอ และควำมคิดของคน เช่น
เรื่องสำมก๊ก ของเจ้ำพระยำพระคลัง (หน) นอกจำกน้ี ยังได้เห็นถึงสัจธรรมหรือธรรมที่ผู้อ่ำนสำมำรถ
นำมำใช้ประโยชน์หรือเป็นแนวปฏิบัติในชีวิตจริงได้ เช่น โคลงโลกนิติ ของสมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ
กรมพระยำเดชำดิศร เป็นตน้
3) คุณค่ำทำงสังคม เป็นคุณค่ำในด้ำนวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ
ประวัติศำสตร์ เกียรติภูมิบุคคลสำคัญของชำติ สภำพชีวิตควำมเป็นอยู่ ทำให้เข้ำใจกำรดำเนินชีวิต และ
ควำมคิดของมนุษย์ ส่งเสริมให้ผู้อ่ำนเกิดวำมเห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละพัฒนำสังคม ชว่ ยอนุรักษ์
ส่ิงที่มีคณุ ค่ำของชำตแิ ละสนบั สนุนกำรกระทำท่ดี งี ำม
จำกแนวคิดข้ำงต้น สำมำรถสรุปควำมสำคัญและคุณค่ำของวรรณคดีได้ว่ำวรรณคดีและ
วรรณกรรมไทย เป็นผลงำนอนั ทรงคุณค่ำท่ีสบื ทอดมำต้ังแตอ่ ดีตจนถึงปจั จุบันวรรณคดีวรรณกรรมไทย
ให้ควำมสนุกสนำนและควำมบันเทิงแก่ผู้อ่ำน ให้คุณค่ำทำงด้ำนอำรมณ์ เน้ือหำ และคุณค่ำด้ำนสังคม
กล่ำวคือ วรรณคดีทำให้เกิดอำรมณ์คล้อยตำมและสะเทือนใจ สอดแทรกควำมรู้แนวคิดคติธรรมและ
ควำมงดงำมทำงภำษำ นอกจำกน้ี วรรณคดียังเป็นส่ือในกำรบอกเล่ำเรื่องรำวชีวิตและสภำพทำงสังคม
ของคนไทยในอดตี ไดอ้ กี ด้วย
3. วัตถปุ ระสงค์ของการสอนวรรณคดี
ประภำศรี สีหอำไพ (2535) ได้กล่ำวถึงจุดมุ่งหมำยในกำรสอนวรรณคดีว่ำ ควรให้
นักเรียนมีควำมรู้ในเนื้อเรื่องอย่ำงชัดเจน เข้ำใจรูปแบบวรรณคดี เข้ำใจฉันทลักษณ์ สำมำรถถอด
คำประพันธ์ ตลอดจนวิเครำะห์ วิจำรณ์ จนเกิดควำมคิด จินตนำกำร และมีสุนทรียภำพ จำกเร่ือง
รวมท้ังสำมำรถที่จะเรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรม และควำมเช่ือจำกเร่ืองท่ีเรียน ในขณะท่ี ทัศนีย์ ศุภเมธี
(2542) ได้กล่ำวถึงจุดมุ่งหมำยในกำรสอนวรรณคดีไว้ สรุปได้ว่ำ กำรเรียนกำรสอน วรรณคดีเป็นกำรฝึก
ให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะทำงภำษำ ทั้งด้ำนกำรฟัง พูด อ่ำน และเขียน เพ่ิมพูนควำมรู้และประสบกำรณ์
ทำงด้ำนภำษำและรูปแบบคำประพันธ์ชนิดต่ำง ๆ โดยสอนให้ผูเ้ รยี นไดร้ ับควำมสนุกสนำนเพลิดเพลิน
ได้รับควำมไพเรำะ จนเกิดเป็นควำมซำบซึ้งใจในวรรณคดีนอกจำกนี้ เน้ือหำวรรณคดียังสอดแทรก
20
ควำมรู้ ข้อคิด ประเพณี วัฒนธรรมควำมเป็นอยู่ที่สำมำรถสอนให้ผู้เรียนได้เข้ำใจสภำพชีวิตและ
ควำมเป็นอยู่ของคนในสมยั น้ัน ๆ รวมถึงเพ่อื ให้ผู้เรียนรู้จักสังเกตลักษณะนิสัยของตัวละคร พฤติกรรม
ของตัวละครมำเปรยี บเทียบกับชีวติ จริง ในทำนองเดียวกนั สุจรติ เพียรชอบ และสำยใจ อินทรัมพรรย์
(2538) ก็ได้กล่ำวถึงวัตถุประสงค์ในกำรสอนวรรณคดีไทยว่ำ ครูต้องสอนวรรณคดีไทยให้สนุกสนำน
เพลิดเพลินและสร้ำงให้นักเรียนเกิดทัศนคติท่ีดีต่อวรรณคดีไทย เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และเข้ำใจ
ควำมหมำยของคำว่ำ วรรณคดี ลักษณะรูปแบบและขอ้ บังคับของวรรณคดเี ร่ืองต่ำง ๆ สำมำรถอ่ำนทำ
ควำมเข้ำใจวิเครำะห์เรื่องรำวควำมหมำยและคำศัพท์ในเร่ืองได้ รวมถึงนักเรียนสำมำรถวิพำกษ์
วิจำรณ์เนื้อหำและพฤติกรรมของตัวละคร เข้ำถึงอรรถรสของเร่ืองรำว จนกระท่ังเห็นคุณค่ำของ
วรรณคดีสำมำรถนำคตแิ นวคิดขอ้ คดิ ตำ่ ง ๆ จำกวรรณคดไี ทยมำใช้ในชีวิตได้อยำ่ งถูกต้อง
จำกวัตถุประสงค์ในกำรสอนวรรณคดีข้ำงต้น สำมำรถสรุปได้ว่ำ กำรสอนวรรณคดีมี
วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนเข้ำใจวรรณคดีทั้งในด้ำนรูปแบบและเนื้อหำ เมื่อผู้เรียนได้เรียนวรรณคดี
จะทำให้ได้สำระควำมรู้ข้อคิดแนวคิดต่ำง ๆ จำกเรื่อง สำมำรถวิพำกษ์ วิจำรณ์เหตุกำรณ์หรือ
พฤติกรรมของตัวละครได้อย่ำงเหมำะสม เกิดควำมซำบซึ้ง กินใจ ทั้งยังได้รับควำมสนุกสนำน
เพลดิ เพลิน รวมถงึ ได้เรียนรู้ประสบกำรณ์ต่ำง ๆ ที่ปรำกฏในวรรณคดีและสำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ใน
ชวี ติ จรงิ ได้
4. แนวทางการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย
ทัศนีย์ ศุภเมธี (2542) กล่ำวถึงแนวทำงและควำมสำคัญในกำรสอนวรรณคดีไว้สรุปได้
ดังน้ี
1) ครูควรสอนโดยกำรยั่วยุให้นักเรียนเกิดควำมคิดและตีควำมเรื่องรำวจำกวรรณคดีให้
นักเรียนช่วยกนั วเิ ครำะห์วิจำรณ์สรุปแนวคิดต่ำง ๆ จำกกำรอ่ำนวรรณคดี ไมค่ วรเข้มงวดหรือบังคับให้
ผู้เรียนทอ่ งจำเน้อื หำวรรณคดี เพรำะจะทำใหน้ กั เรียนเกดิ ควำมเบอื่ หนำ่ ย
2) ครูควรจูงใจผู้เรียนด้วยกำรอ่ำนคำประพันธ์ที่มีควำมไพเรำะ ให้นักเรียนเกิดควำม
ซำบซึ้งในลีลำและควำมไพเรำะของถ้อยคำ และเปิดโอกำสให้ผู้เรียนฝึกอ่ำนทำนองเสนำะเป็นกลุ่ม
เพรำะผู้เรียนแต่ละคนมีควำมสำมำรถไมเ่ ทำ่ กนั อำจทำใหน้ ักเรยี นบำงคนรสู้ ึกอำย
3) ครูควรบูรณำกำร กำรเรียนรู้เนื้อหำวรรณคดีวรรณกรรมกับเน้ือหำอ่ืน ๆ ทั้งกำรฟัง
กำรพูด กำรอ่ำน และกำรเขียน โดยให้สัมพันธก์ ับกระบวนกำรคิด สำมำรถวิจำรณ์ บอกแก่นควำมคิด
แนวควำมคดิ หรือขอ้ คิดจำกกำรฟงั และอ่ำนได้ รวมถึงใช้วรรณคดีเปน็ ส่อื ในกำรเรยี นร้เู ร่ืองต่ำง ๆ เช่น
คำศัพท์ สำนวน เป็นต้น เข้ำใจในธรรมชำติของมนุษย์และสภำพสังคมไทยที่เกี่ยวกับศำสนำ
ขนบธรรมเนยี ม ควำมเชอื่ ประเพณี และศลิ ปวัฒนธรรม
4) ครูควรสร้ำงศรทั ธำให้ผู้เรียนรกั และนยิ มชมชอบ เน่ืองจำกจะเป็นกำรง่ำยต่อกำรจูงใจ
ช้แี นะแนวทำงในกำรเรยี นแก่ผเู้ รียน
21
5) ครูควรจัดกิจกรรมกำรเรียนรูท้ ่สี นกุ สนำนแปลกใหม่ เชน่ แสดงบทบำสมมติกำรแสดง
ละคร กำรเลน่ เกม กำรร้องเพลง จดั นทิ รรศกำร หรอื วำดภำพ
6) ครูควรมีควำมเข้ำใจและควำมคิดรวบยอดในเร่ืองท่ีจะสอนอย่ำงแม่นยำถ่ำยทอดผ่ำน
กระบวนกำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นสำมำรถเข้ำถงึ ควำมคิดรวบยอดนั้น ๆ ได้เอง
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน (2558); สุจริต เพียรชอบ และสำยใจ
อินทรัมพรรย์ (2538) ได้กล่ำวถึงแนวทำงในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีไทยไปในทำงเดียวกัน
สำมำรถสรปุ ไดเ้ ป็นดำ้ นตำ่ ง ๆ ดังน้ี
1) ดา้ นผ้เู รียน
ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีไทย ครูควรคำนึงถึงควำมแตกต่ำงของนักเรียน
คอยให้ควำมช่วยเหลือและแนะนำ ยึดหลักนักเรียนเป็นสำคัญโดยจะต้องพยำยำม ใหน้ ักเรยี นมีส่วน
รว่ มในกำรเรียนกำรสอนมำกที่สุด เปิดโอกำสให้นกั เรียนได้แสดงควำมคิดเหน็ อย่ำงเสรี เพ่ือให้นักเรยี น
ได้คดิ เพือ่ นำไปสูก่ ำรตัดสินใจอย่ำงมีเหตผุ ล ซง่ึ ครูตอ้ งยอมรบั และเคำรพควำมคดิ เหน็ ของนักเรยี น
2) ด้านเน้ือหา
ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีและวรรณกรรมไทย ควรจัดกำรเรียนกำรสอน
แบบบูรณำกำรให้สัมพันธ์กับหลักภำษำและทักษะกำรใชภ้ ำษำต่ำง ๆ ท้ังด้ำนกำรฟัง กำรพูด กำรอ่ำน
และกำรเขียน ครูควรเป็นผู้ที่มีควำมรู้เก่ียวกับวรรณคดีอย่ำงแท้จริงและมีทัศนคติที่ดีต่อวรรณคดี ใน
กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนวรรณคดไี ทยครคู วรเน้นกำรคิดรวบยอดมำกกว่ำเนื้อหำ เพรำะกำรเน้นเน้อื หำ
มำกเกินไปนักเรียนจะไม่มีโอกำสซำบซ้ึงถึงควำมงำมและควำมไพเรำะของวรรณคดี นอกจำกนี้ ครู
สำมำรถนำเอำวรรณกรรมปัจจบุ ันมำให้นักเรยี นได้ศกึ ษำด้วย เพรำะวรรณกรรมปัจจุบันนั้น มีลักษณะ
เน้อื เร่อื งทใ่ี กลเ้ คยี งกับชวี ิตประจำวนั ของนักเรยี น
3) ด้านกจิ กรรม วิธีสอน เทคนคิ การสอน และสอ่ื การสอน
ในกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีน้ัน ควรเลือกกิจกรรมนำเข้ำสู่บทเรียน
ที่เหมำะสมกับเรื่องที่จะสอน เพื่อดึงดูดและจูงใจนักเรียนในขั้นตอนกำรสอน ครูควรเลือกใช้วิธีสอน
อย่ำงหลำกหลำยไม่ควรเน้นกำรถอดควำม แต่ควรเน้นวิธีกำรที่ฝึกให้นักเรียน ได้คดิ ใชเ้ หตผุ ล ศกึ ษำ
ค้นคว้ำข้อมูลและร่วมกันทำกิจกรรม โดยปลูกฝังให้นักเรียนใช้ควำมคิดริเร่ิมสร้ำงสรรค์ในกำรเรียน
วรรณคดีไทย เช่น กำรแต่งคำประพันธ์ กำรจัดแสดงละคร เป็นต้น นอกจำกนี้ ส่ือประกอบกำรเรียน
กำรสอนวรรณคดีต้องไม่จำเจ ซึ่งกำรเลือกใช้ส่ือประกอบกำรเรียนกำรสอนนั้น ครูควรคำนึงถึง
ประโยชน์ควำมเหมำะสมและผลกำรใช้ที่คุ้มค่ำ รวมท้ังขั้นตอนกำรประเมินผล ครูควรมีกำรประเมิน
กำรเรยี นกำรสอนวรรณคดีไทยทุกครั้ง เพรำะครูจะได้ทรำบผลกำรสอนและผลสมั ฤทธ์ิของนักเรียน ซ่ึง
ครคู วรตง้ั วตั ถุประสงคใ์ นกำรสอนใหช้ ดั เจน เพื่อใหส้ ำมำรถประเมนิ ผลกำรเรียนกำรสอนไดค้ รอบคลมุ
22
ข้ันตอนของกำรสอนเน้ือหำวรรณคดีวรรณกรรม ครูควรฝึกให้นักเรียนจับแนวคิด
ประเด็นสำคัญด้วยกำรใช้คำถำม ใคร ทำอะไร ที่ไหน กับใคร เม่ือไร ทำไม อย่ำงไรเพื่อให้ผู้เรียน เข้ำใจ
กำรกระทำหรือพฤติกรรมของตัวละครและเจตนำของผู้เขียน หำกวรรณคดีเป็นเร่ืองยำวครูผู้สอนควร
เล่ำเร่ืองย่ออย่ำงมีช้ันเชิง ย่ัวยุให้ผู้เรียนกระตือรือร้น อยำกค้นคว้ำหำฉบับสมบูรณ์อ่ำนเองหรือใช้
กจิ กรรมนำไปสู่กำรคน้ คว้ำเพ่ิมเติม หำกมีคำศัพทย์ ำกในเรื่อง ครูผู้สอนไมค่ วรกังวลมำกเกินไป ควรให้
ผเู้ รียนได้เพลิดเพลินกับกำรอ่ำนออกเสียงไปจนจบย่อหน้ำหรือจบตอนเพ่ือทำควำมเข้ำใจในระหว่ำงท่ี
กำลังอำ่ น จำกน้ันใชว้ ิธกี ำรอธิบำย อภิปรำยเนอ้ื หำหรอื คำศัพท์รว่ มกันเมื่อนักเรียนอ่ำนจบ นอกจำกนี้
ครูควรเน้นให้นักเรียนพินิจ พิเครำะห์ตัวละคร ทั้งคำพูดควำมคิด กำรกระทำ ควำมเชื่อ ควำมเป็นอยู่
เพ่ือนำมำเปรียบเทียบกับเหตกุ ำรณ์และควำมเป็นอย่ใู นชีวติ ปัจจุบัน รวมทั้งวิเครำะหเ์ จตนำและขอ้ คิด
ท่ีได้จำกกำรอ่ำนวรรณคดี ในส่วนของบรรยำกำศในกำรเรียนรู้ ครูควรคำนึงถึงเรื่องควำมสนุกสนำน
เพลิดเพลิน ควำมจรรโลงใจ และควำมบันเทิง ซ่ึงครูควรจัดกิจกรรมประกอบกำรสอนหลำย ๆ ชนิด
เพ่ือชว่ ยให้บรรยำกำศในกำรเรียนกำรสอนน่ำสนใจและเสริมสร้ำงจินตนำกำรของนักเรยี น เชน่ กำรอำ่ น
ทำนองเสนำะกำรขับเสภำ กำรร้องเพลง กำรแสดงบทบำทสมมติ กำรวำดภำพ วำดกำร์ตูน กำรทำย
ปัญหำกำรฟ้อนรำ กำรโต้วำที กำรประดิษฐ์สิ่งของท่ีเกี่ยวกับวรรณคดี กำรแต่งคำประพันธ์ กำรทำ
สมุดภำพ เป็นตน้ นอกจำกน้ี ครูควรเนน้ ให้นกั เรยี นศกึ ษำคน้ ควำ้ จำกแหล่งเรยี นรู้ตำ่ ง ๆ เช่น ห้องสมุด
กำรสัมภำษณ์ กำรศึกษำนอกสถำนที่ หรืออำจจัดกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีไทย เป็นกิจกรรมเสริม
หลักสูตร เพ่ือปรับเปลี่ยนบรรยำกำศในกำรเรียนกำรสอน ซ่ึงจะช่วยให้กำรสอน วรรณคดีไทยได้ผลมำก
ย่ิงข้ึน เช่น กำรจัดสัปดำห์ทำงวรรณคดีไทย กำรแสดงละคร ชุมนุมวรรณกรรม ชุมนุมวรรณศิลป์
ชมุ นมุ วรรณคดี กำรจัดนิทรรศกำร เปน็ ต้น
จำกแนวทำงกำรจัดกำรเรียนกำรสอนวรรณคดีข้ำงต้น สำมำรถสรุปได้ว่ำ กำรจัดกำรเรียน
กำรสอนวรรณคดี ครูผ้สู อนควรคำนึงถงึ ผ้เู รียนเป็นสำคัญ ครตู ้องจัดบรรยำกำศทีเ่ หมำะสมในกำรเรียน
กำรสอน หำเทคนิค วิธสี อน และวิธีกำรประเมินผลท่ีเหมำะสมกบั ผเู้ รียน รวมถึงคำนึงถึงผลกำรเรยี นรู้
ที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้เรียน ท้ังในส่วนของเน้ือหำ ควำมสนุกสนำนเพลิดเพลิน ควำมรู้ท่ีคงทน ควำมเข้ำใจ
ควำมซำบซึ้งในวรรณคดี และให้ผู้เรียนสำมำรถนำควำมรู้ไปประยุกต์ในชวี ติ จรงิ ได้
การจดั การเรยี นร้แู บบบนั ได 5 ข้ัน (QSCCS)
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น (QSCCS) เป็นแนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้เพื่อผู้เรียน
ในศตวรรษที่ 2 ให้ได้รับกำรศึกษำและพัฒนำให้มีคุณภำพ ในปัจจุบันมีกำรใช้คำต่ำงกันไป เช่น
กำรจัดกำรเรียนรแู้ บบ Big Five Learning บันได 5 ขั้น กำรจัดกำรเรียนรู้แบบข้ันบันได (IS) เป็นต้น
ซึ่งมีผู้วิจัยได้ศึกษำเอกสำรท่ีเก่ยี วขอ้ ง ดงั นี้
23
1. ความเปน็ มาของการจดั การเรียนรูแ้ บบบนั ได 5 ขัน้
พิชญะ กันธิยะ, วีระศักดิ์ ชมพูคำ และสกล แก้วศิริ (2559, หน้ำ 40- 4 ) กล่ำวถึง
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน (Five Steps for Student Development) ว่ำ พัฒนำขึ้นโดย
Limbach โดยพัฒนำตำมหลักกำรกำหนดจุดมุ่งหมำยทำงกำรศึกษำของ Bloom (Taxonomy of
Educational Objectives) ซ่ึง Limbach ได้กำหนดจดุ มุ่งหมำยทำงกำรศกึ ษำท้ัง 6 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดับ
ควำมรคู้ วำมจำ ระดับควำมเข้ำใจ ระดับกำรประยุกต์ใช้ ระดบั กำรวิเครำะห์ ระดับกำรสังเครำะห์ และ
ระดับกำรประเมินค่ำ มำพัฒนำเป็นกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1 กำรตั้งประเด็นคำถำม/สมมุติฐำน (Hypothesis Formulation) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนรู้จัก
คิด ชำ่ งสงั เกต ตง้ั ข้อสงสัย ตง้ั คำถำมอย่ำงมเี หตผุ ล ขน้ั ตอนท่ี 2 กำรสืบคน้ ควำมรจู้ ำกแหล่งเรียนรแู้ ละ
สำรสนเทศ (Searching for Information) เป็นกำรฝึกแสวงหำควำมรู้ข้อมูล และสำรสนเทศจำก
แหล่งเรียนรู้อย่ำงหลำกหลำย เช่น อินเทอร์เน็ต กำรปฏิบัติทดลอง เป็นต้น ขั้นตอนที่ 3 กำรสรุป
องค์ควำมรู้ (Knowledge Formation) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้ ข้อมูล หรือสำรสนเทศจำก
กำรอภิปรำย กำรทดลองมำคิดวิเครำะห์ สังเครำะห์ และสรุปเป็นองค์ควำมรู้ ขั้นตอนท่ี 4 กำรส่ือสำร/
กำรนำเสนออย่ำงมีประสิทธิภำพ (Effective Communication) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้ท่ีได้
มำนำเสนอและสื่อสำรอย่ำงมีประสิทธิภำพเพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจ ขั้นตอนที่ 5 บริกำรสังคมและ
จิตสำธำรณะ (Public Service) เป็นกำรนำควำมรู้สู่กำรปฏิบัติ ซ่ึงผู้เรียนจะต้องมีควำมรู้ในบริบท
รอบตัวและบริบทโลกตำมวุฒิภำวะท่ีเหมำะสม โดยจะนำองค์ควำมรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่ำง
สรำ้ งสรรค์ กำรจดั กำรเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น ล้วนส่งเสรมิ ให้นักเรยี นเกิดทกั ษะกำรคิดวเิ ครำะหท์ ัง้ สิ้น
ซง่ึ เป็นไปตำมทฤษฎกี ำรสรำ้ งควำมรู้ มพี ้นื ฐำนมำจำกทฤษฎพี ฒั นำกำรทำงสติปญั ญำของเพียเจต์
2. ความหมายและขนั้ ตอนการเรียนรู้แบบบันได 5 ข้นั
ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ และทะเนศ วงศ์นำม (2559, หน้ำ 89) กำรเรียนรู้ 5 ขั้นตอน
(QSCCS) คือ กำรจัดกำรเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนพัฒนำไปสู่ผู้มีควำมรู้ มีทักษะกระบวนกำร และเจตคติ
ท่ีพึงประสงค์สำหรับกำรเป็นพลเมืองในศตวรรษท่ี 2 เป็นบุคคลที่มีคุณภำพ มีทักษะในกำรค้นคว้ำ
แสวงหำควำมรู้ มีควำมรู้พ้ืนฐำนที่จำเป็น สำมำรถคิดวิเครำะห์ สงั เครำะห์ สร้ำงสรรค์ สำมำรถสรำ้ งส่ือ
อย่ำงมีประสิทธิผล มีทักษะชีวิต ร่วมมือในกำรทำงำนกับผู้อื่นได้เป็นอย่ำงดี จึงต้องมีกระบวนกำร
จดั กำรเรียนรอู้ ย่ำงต่อเนื่องมลี ำดบั ข้ันตอนทเ่ี หมำะสม และสอดคลอ้ งกับพฒั นำกำรของผเู้ รยี นในแต่ละ
ระดับชั้น โดยมีกระบวนสำคัญในกำรจัดกำรเรียนรู้ ท่ีเรียกว่ำ “บันได 5 ขั้นเพื่อกำรพัฒนำผู้เรียน
(Five steps for studentdevelopment)” ซง่ึ ประกอบด้วย
1) กำรเรยี นรูโ้ ดยต้ังคำถำม (Learning to Question) เป็นกำรฝึกผ้เู รียนให้รู้จักคิด รู้จัก
สังเกต รู้จักต้ังคำถำมอย่ำงมีเหตุผล และสร้ำงสรรค์ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ ในกำรต้ัง
คำถำม
24
2) กำรเรียนรู้แสวงหำสำรสนเทศ (Learning to Search) เป็นกำรฝึกแสวงหำควำมรู้
ขอ้ มูล และสำรสนเทศ จำกแหล่งเรียนรู้อย่ำงหลำกหลำย เช่น ห้องสมุด อินเทอรเ์ นต็ หรือจำกกำรฝึก
ปฏบิ ัติ ทดลอง เป็นตน้ ซง่ึ จะส่งเสริมเกดิ กำรเรยี นร้ใู นกำรแสวงหำควำมรู้
3) กำรเรียนรู้เพ่ือสร้ำงองค์ควำมรู้ (Learning to construct) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำ
ควำมรู้ที่ได้มำสื่อสำรอย่ำงมีประสิทธิภำพ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้และมีทักษะใน
กำรสื่อสำร
4) กำรเรียนรู้เพ่ือส่ือสำร (Learning to Communicate) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำ
ควำมรูท้ ไ่ี ด้มำสื่อสำรอยำ่ งมีประสิทธภิ ำพ เชน่ กำรพูด กำรอำ่ น กำรเขยี น หน้ำชนั้ เป็นตน้
5) กำรเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to serve) เป็นกำรนำควำมรู้ที่ได้ไปสู่
กำรปฏิบัติ ซึ่งผู้เรียนจะต้องเช่ือมโยงควำมรู้ไปสู่กำรทำประโยชน์ให้กับสังคม และชุมชนรอบตัวตำม
วฒุ ภิ ำวะของผูเ้ รยี น จะสง่ ผลใหผ้ ู้เรยี นมจี ติ สำธำรณะและบรกิ ำรสงั คม
เทียมจันทร์ พำนิชผลินไชย และคณะ (2557, หน้ำ 9) ได้สรุปกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน
เพื่อกำรพัฒนำผเู้ รยี น (Five steps for student development) มีรำยละเอียด ดงั นี้
) กำรต้ังคำถำม/สมมติฐำน (Hypothesis Formulation) เป็นกำรฝึกผู้เรียนให้รู้จักคิด
รจู้ ักสังเกต รจู้ ักตัง้ คำถำมอย่ำงมีเหตุผลและสร้ำงสรรค์ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ในกำรตั้ง
คำถำม (Learning to Question)
2) กำรสืบค้นควำมรู้และสำรสนเทศ (Searching for Information) เปน็ กำรฝึกแสวงหำ
ควำมรู้ ข้อมลู และสำรสนเทศ จำกแหล่งเรียนรอู้ ยำ่ งหลำกหลำย เช่น ห้องสมุด อินเทอร์เนต็ หรือจำก
กำรฝึกปฏิบัติทดลอง เป็นต้น ซ่ึงจะส่งเสริมเกิดกำรเรียนรู้ในกำรแสวงหำควำมรู้ (Learning to
Search)
3) กำรสร้ำงองค์ควำมรู้ (Knowledge Formation) เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้และ
สำรสนเทศท่ีได้จำกกำรแสวงหำควำมรู้ มำถกแถลง อภปิ รำย เพ่ือนำไปสู่กำรสรุปและสร้ำงองค์ควำมรู้
(Learning to Construct)
4) กำรส่ือสำร/นำเสนออย่ำงมีประสิทธิภำพ (Effective Communication) เป็นกำรฝึก
ให้ผู้เรียนนำควำมรู้ที่ได้มำสื่อสำรอย่ำงมีประสิทธิภำพ ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ และมี
ทกั ษะในกำรสื่อสำร (Learning to Communicate)
5) กำรบริกำรสังคมและจิตสำธำรณะ (Public Service) เป็นกำรนำควำมรู้ที่ได้ไปสู่กำร
ปฏิบัติ ซึ่งผู้เรยี นจะต้องเช่อื มโยงควำมรู้ไปสกู่ ำรทำประโยชน์ใหก้ ับสังคม และชุมชน ตำมวุฒิภำวะของ
ผู้เรยี น และจะสง่ ผลให้ผเู้ รียนมีจติ สำธำรณะ บริกำรสงั คม (Learning to Serve)
25
วุฒิพงษ์ คำเนตร (2558, ออนไลน์) ได้กล่ำวว่ำ บันได 5 ขั้น ของกำรพัฒนำผู้เรียนสู่
มำตรฐำนสำกลในศตวรรษท่ี 21 (Five Steps for Student Development) คือ กำรจัดกำรเรียน
กำรสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีศักยภำพและคุณลักษณะตำมมำตรฐำนสำกล โดยจะต้องเป็นบุคคล ท่ีมี
คุณภำพ มีทักษะในกำรค้นคว้ำแสวงหำควำมรู้ และมีควำมรู้พ้ืนฐำนที่จำเป็น โดยครูผู้สอนจะต้อง
พยำยำมจัดกำรเรียนรู้ให้ผู้เรียนสำมำรถเรียนรู้และเข้ำถึงองค์ควำมรู้ด้วยตนเองได้ (Constructivism)
ซึ่งบันได 5 ขั้น ของกำรพัฒนำผู้เรียนสู่มำตรฐำนสำกล ทั้งยังสำมำรถนำมำใช้ในกำรบูรณำกำรจัด
กำรเรียนรใู้ นรำยวิชำภำษำไทยได้ โดยวิธีกำรจัดกำรเรียนรู้ของบันได 5 ขั้น มีขั้นตอน ดงั ต่อไปนี้
) ขั้นกำรต้ังคำถำม/สมมติฐำน (Learning to Question) เป็นข้ันตอนท่ีครูผู้สอน
จะตอ้ งฝึกใหผ้ ้เู รียนไดร้ ้จู ักคิด สงั เกต ตงั้ คำถำม และเกดิ กำรเรยี นร้จู ำกกำรตั้งคำถำม
2) ข้ันกำรสืบค้นควำมรู้ และสำรสนเทศ (Learning to Search) ครูผู้สอนจะต้องฝึกให้
ผู้เรียนแสวงหำควำมรู้ สืบค้นข้อมูล จำกแหล่งข้อมูล และสำรสนเทศต่ำง ๆ จำกกำรฝึกปฏิบัติ และ
กำรทดลอง ตลอดจนกำรเกบ็ ข้อมูล เปน็ ตน้
3) ขั้นกำรสร้ำงควำมรู้ (Learning to Construct) เป็นสิ่งสำคญั เช่นเดียวกันท่ีครู ผู้สอน
จะต้องฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้จำกกำรศึกษำค้นคว้ำ กำรทดลอง มำใช้ในกำรถกแถลง รวมไปถึงแสดง
ควำมคดิ เห็น อภปิ รำยควำมร้รู ว่ มกนั เพ่อื นำไปสู่กำรสรปุ และสร้ำงองคค์ วำมรู้
4) ข้ันกำรสื่อสำรและนำเสนออย่ำงมีประสิทธิภำพ (Learning to Communication)
เป็นกำรฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้ท่ีได้มำส่ือสำรอย่ำงมีประสิทธิภำพ เช่น กำรพูด กำรอ่ำน กำรเขียนหน้ำช้ัน
เป็นต้น
5) ขั้นกำรบริกำรสังคมและจิตสำธำรณะ (Learning to Serve) คือ กำรท่ีครูผู้สอน
จะตอ้ งฝึกให้ผู้เรียนนำควำมรู้มำสู่กำรปฏบิ ัติ สำมำรถเช่ือมโยงควำมรูไ้ ปสู่กำรทำประโยชน์ให้กบั สังคม
อันจะส่งผลต่อกำรมีจติ สำธำรณะของผ้เู รยี น และกำรบรกิ ำรสังคม
จำกควำมหมำยของกำรจัดกำรเรียนรู้บันได 5 ขั้น (QSCCS) ของนักวิชำกำรข้ำงต้น
สำมำรถสรุปเป็นแนวทำงนำไปพัฒนำได้ว่ำ เป็นแนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ตอบสนองเป้ำหมำย
คณุ ลักษณะผเู้ รียนในศตวรรษที่ 2 ที่ต้องมีทกั ษะควำมสำมำรถด้ำนภำษำ กำรใชเ้ หตผุ ลและคดิ คำนวณ
นำไปใช้ให้เหมำะสมกับผเู้ รียนแต่ละระดับชั้น ดว้ ยกระบวนกำร 5 ข้นั ตอน ได้แก่ ) ขั้นเรียนรู้ดว้ ยกำร
ต้ังคำถำม/ตั้งสมมุตฐำน (Q) 2) ข้นั สืบค้นจำกสำรสนเทศ (S) 3) ขน้ั สร้ำงองค์ควำมรู้ (C) 4) ขั้นสื่อสำร
นำเสนอควำมรู้ (C) และ 5) ขน้ั บริกำรสงั คม (S)
26
3. รูปแบบการจดั การเรียนรูแ้ บบบนั ได 5 ขน้ั
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน (2558) กำหนดให้เน้นประเมิน
ควำมสำมำรถพื้นฐำน ที่ใช้ในกำรเรียนรู้ของนักเรียน 3 ด้ำน คือ ควำมสำมำรถด้ำนภำษำ (Literacy)
ดำ้ นคำนวณ (Numeracy) และด้ำนเหตผุ ล (Reasoning ability) และกระบวนกำรของกำรเรียนรู้ 4 ขั้น
พ้ืนฐำน ตำมบันได 5 ขั้นกำรเรียนรู้ ได้แก่ กำรเรียนรู้ด้วยกำรตั้งคำถำม กำรเรยี นรู้ด้วยกำรสืบค้น
กำรเรียนรู้ด้วยกำรสร้ำงควำมรู้ และกำรเรียนรู้ด้วยกำรส่ือสำร บันได 5 ข้ัน ของกำรจัดกำรเรียนกำรสอน
ในโรงเรียนมำตรฐำนสำกล (WCSS) ที่สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำนได้พัฒนำขึน้ และ
สำมำรถนำไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั โรงเรยี นทว่ั ไป ไดแ้ ก่
) กำรตั้งประเด็นคำถำม/สมมติฐำน (Hypothesis Formulation) เปน็ กำรฝึกใหผ้ ู้เรียน
รู้จกั คดิ สงั เกต ตง้ั ขอ้ สงสัย ต้ังคำถำมอย่ำงมีเหตผุ ล
2) กำรสืบค้นควำมรู้จำกแหล่งเรียนรู้และสำรสนเทศ (Searching for Information)
เป็นกำรฝึกแสวงหำควำมรู้ ข้อมูล และสำรสนเทศ จำกแหล่งเรียนรู้อย่ำงหลำกหลำย เช่น ห้องสมุด
อินเตอร์เน็ต หรอื จำกกำรปฏิบัติทดลอง เปน็ ตน้
3) กำรสร้ำง/สรุปองค์ควำมรู้ (Construct/Knowledge Formation) เป็นกำรนำควำมรู้
และสำรสนเทศ หรือข้อมลู ท่ีได้จำกกำรอภปิ รำย กำรทดลอง มำคิดวเิ ครำะห์ สังเครำะห์ และสรุปเป็น
องคค์ วำมรู้
4) กำรสื่อสำรและกำรนำเสนออย่ำงมีประสิทธภิ ำพ (Effective Communication) เป็น
กำรฝกึ ให้ควำมรู้ทไ่ี ด้มำนำเสนอและส่ือสำรอย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพให้เกดิ ควำมเข้ำใจ
5) กำรบริกำรสังคมและจิตสำธำรณะ (Public Service) เป็นกำรนำควำมรู้สู่กำรปฏิบัติ ซึ่ง
ผเู้ รียนต้องมีควำมรู้ในบรบิ ทรอบตัวและบริบทโลกตำมวุฒิภำวะที่เหมำะสม โดยนำองค์ควำมรู้ ไปใช้ให้
เกิดประโยชน์อย่ำงสรำ้ งสรรค์
ท้ัง 5 ขั้นตอนน้ี ไม่ใช่ขั้นตอนกำรจัดกิจกรรม เพียงแต่เป็นหลักให้ครูตระหนักว่ำ ในกำรจัด
กำรเรียนรู้ในแต่ละหัวเรื่องน้ัน ผู้เรียนต้องได้เรียนรู้ผ่ำนกิจกรรมต่ำง ๆ เหล่ำนี้ โดยมีจุดเน้นที่สำคัญ
คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยควำมรู้สึกอยำกรู้อยำกเรียน เป็นเจ้ำของกำรเรียนรู้ที่แท้จริง มีโอกำส
ได้วำงแผนกำรเรียนรู้ กำหนดขอบเขตแนวทำงกำรเรียนร้ขู องตนเอง ลงมือเรยี นรตู้ ำมแผนและควบคุม
กำกับกำรเรียนรู้ของตนเอง นำข้อมูลท่ีได้จำกกำรศึกษำเรียนรู้มำวิเครำะห์ อภิปรำย วิพำกษ์ วิจำรณ์
เช่ือมโยงควำมสัมพันธ์สรุปควำมรู้ของตน แล้วจัดทำชิ้นงำนเพ่ือรำยงำนผลกำรเรียนรู้ รวมท้ังได้
แลกเปลีย่ นเรยี นรซู้ ึ่งกนั และกนั ประเมนิ ปรับปรงุ วิธีกำรเรยี นรขู้ องตนให้มปี ระสทิ ธภิ ำพยงิ่ ข้ึน
27
งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง
ปรีญำ ภูษำปำน (256 , หน้ำ4- 6) ศกึ ษำ “กำรแก้ปัญหำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน รำยวิชำ
คณิตศำสตร์ เร่ือง ควำมสัมพันธ์และฟังก์ชัน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 4 โรงเรียนรำชประชำนุ
เครำะห์ 5 (เวียงเก่ำแสนภูวิทยำประสำท) ด้วยกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบ QSCCS” โดยมี
วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน รำยวิชำคณิตศำสตร์ เร่ืองควำมสัมพันธ์และ
ฟังก์ชัน โดยใช้กำรจัดกิจกรรมด้วยกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบ QSCCS สำหรับนักเรียนโรงเรียน
รำชประชำนุเครำะห์ 5 (เวียงเก่ำแสนภูวทิ ยำประสำท) ประชำกรในกำรวจิ ัยคร้ังน้ี ได้แก่ นกั เรียนชั้น
มัธยมศึกษำปีท่ี 4 โรงเรียนรำชประชำนุเครำะห์ 5 (เวียงเก่ำแสนภูวิทยำประสำท) ภำคเรียนที่ 2
ปีกำรศึกษำ 2560 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ กำรจัดกำรเรียนรู้ด้วยกระบวนกำรแบบ
QSCCS แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กำรวิเครำะห์ข้อมูลใช้สถิติพ้ืนฐำน ได้แก่ ค่ำเฉลี่ย ร้อยละ
ส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำน วิเครำะห์ผลคะแนนกำรทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่ำ ผลกำรศึกษำ
ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน รำยวิชำคณิตศำสตร์เร่ือง ควำมสัมพันธ์และฟังก์ชัน ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษำปีที่ 4 โรงเรียนรำชประชำนุเครำะห์ 5 (เวียงเก่ำแสนภูวิทยำประสำท) ด้วยกระบวนกำรจัด
กำรเรียนรแู้ บบ QSCCS นักเรียนมีพัฒนำกำรสูงขึน้ หลังจำกจัดกิจกรรมด้วยกระบวนกำรจดั กำรเรียนรู้
แบบ QSCCS มคี ่ำเฉลย่ี เท่ำกบั 3.87 มคี ำ่ สว่ นเบย่ี งเบนมำตรฐำนเท่ำกบั 3.34
พิชญะ กันธิยะ, วีระศักด์ิ ชมพูคำ และสกล แก้วศิริ (2559, หน้ำ 37- 52) ได้ศึกษำเรื่อง
“กำรพัฒนำทักษะกำรคิดวิเครำะห์ โดยใช้กำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน วิชำวิทยำศำสตร์ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำตอนต้น” โดยมีวัตถุประสงค์ในกำรวิจัย คือ ) เพื่อศึกษำ และเปรียบเทียบ
ทักษะกำรคิดวิเครำะห์ของนักเรียนก่อนและหลังได้รับกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น 2) เพ่ือ
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนก่อนและหลังได้รับกำรจัดกำรเรียนรู้ แบบบันได 5 ขั้น 3) เพ่ือ
ศึกษำควำมพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำที่มีต่อกำรเรียนรู้ด้วยกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได
5 ขั้น ประชำกรที่ใช้ในกำรศึกษำ ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษำ ปีที่ 2 ปีกำรศึกษำ 2558 ทั้งหมด 5
ห้องเรียน จำนวน 78 คน โรงเรียนห้องสอนศึกษำใน พระอุปถัมภ์ฯ อำเภอเมือง จงั หวัดแม่ฮ่องสอน
กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรศึกษำ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 2/3 ปีกำรศึกษำ 2558 โรงเรียน
ห้องสอนศึกษำในพระอุปถัมภ์ฯ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 37 คน ได้มำจำกกำรสุ่ม
กลุ่มตัวอย่ำงอย่ำงง่ำย โดยกำรจับสลำกจำกนักเรียน 5 ห้องเรียน เน้ือหำท่ีใช้ คือ สำระกำรเรียนรู้
วิทยำศำสตร์ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 2 เรื่อง อำหำรและสำรเสพติด ใช้แผนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได
5 ข้ัน จำนวน 6 แผน เวลำที่ใช้ 8 ชั่วโมง เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แผนกำรจัด
กำรเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น แบบวัดทักษะกำรคิดวิเครำะห์ และแบบสอบถำมควำมพึงพอใจ
ผลกำรวิจัยพบว่ำ ) นักเรียนที่ได้รับกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ันมีทักษะกำรกำรคิดวิเครำะห์
หลังได้รับกำรจัดกำรเรียนรู้สูงกว่ำก่อนได้รับกำรจัดกำรเรียนรู้อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ีระดับ 0.0
28
โดยนักเรียนมีทักษะกำรคิดวิเครำะห์ในภำพรวมอยู่ในระดับดี 2) ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนหลังได้รับ
กำรเรียนรแู้ บบบนั ได 5 ขนั้ สงู กว่ำก่อนเรยี นอยำ่ งมนี ยั สำคัญทำงสถิติท่ีระดับ 0.0 3) นักเรียนมีควำม
พึงพอใจในกำรเรียนด้วยกำรจัดกำรเรยี นรู้แบบบันได 5 ข้ัน อยใู่ นระดับมำกโดยควำม พึงพอใจอันดับ
แรกเท่ำกนั 3 รำยกำร คอื นักเรียนสรำ้ งควำมรู้ ควำมเข้ำใจดว้ ยตนเองได้นกั เรียนสำมำรถตัดสนิ ใจโดย
ใช้เหตผุ ลและนักเรียนกล้ำแสดงควำมคิดเห็นได้ค่ำเฉลี่ย (x) เท่ำกับ 4.57 รองลงมำ ได้ค่ำเฉลี่ยเท่ำกัน
คือ บรรยำกำศของกำรเรียนเปิดโอกำสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกำรทำกิจกรรม และกิจกรรมกำรเรยี นรู้
ทำให้นักเรียนกล้ำคิดกล้ำตอบ ในกำรแสดงควำมคิดเห็นได้ค่ำเฉล่ีย (x) เท่ำกับ 4.54 และอันดับ
สุดทำ้ ย ไดแ้ ก่ กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ มีควำมเหมำะสมกับเน้อื หำได้คำ่ เฉล่ีย (x) เท่ำกบั 4.35
กติ ติ รัตนรำษี และเบญจมำภรณ์ จันทร (256 , หน้ำ 38-48) ศกึ ษำ “กำรพัฒนำผลสัมฤทธ์ิ
ทำงกำรเรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมกำรเรยี นรู้ 5 ข้นั ตอน (QSCCS) ในรำยวิชำ กำรใช้โปรแกรมสำนักงำน
ขั้นสูง ของนักศึกษำระดับประกำศนียบัตรวิชำชีพชั้นสูง ปีที่ วิทยำลัยเทคโนโลยีปัญญำภิวัฒน์”
กำรวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ พัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนของนักศึกษำในรำยวิชำกำรใช้โปรแกรม
สำนักงำนข้ันสูง ด้วยชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) และเพ่ือประเมินควำมพึงพอใจของ
นักศึกษำท่ีมีต่อกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) ประชำกรที่ใช้ในงำนวิจัยน้ี คือ
นักศึกษำระดบั ประกำศนียบัตรวิชำชีพชั้นสูงปที ่ี สำขำวิชำกำรจัดกำรธุรกิจคำ้ ปลีก กล่มุ ตวั อย่ำง คือ
นักศึกษำระดับประกำศนียบัตรวิชำชีพช้ันสูงปีท่ี ห้อง 4 สำขำวิชำกำรจัดกำรธุรกิจค้ำปลีก จำนวน
ท้ังสิ้น 37 คน ซ่ึงผู้วิจัยใช้วิธีเลือกแบบเจำะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรวิจัย
ประกอบด้วย ) เครื่องมือท่ีใช้ในกำรทดลอง ได้แก่ ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (QSCCS) และ
แผนกำรเรียนกำรสอน รำยวิชำกำรใช้โปรแกรมสำนักงำนขั้นสูง 2) เครื่องมือท่ีใช้ในกำรเก็บรวบรวม
ขอ้ มูล ได้แก่ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบประเมินกำรเข้ำช้ันเรียน และพฤติกรรมกำรเรียน
และแบบประเมินควำมพึงพอใจของนักศึกษำท่ีมีต่อกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้ 5 ข้ันตอน (QSCCS)
สถิติท่ใี ชใ้ นกำรวิเครำะห์ข้อมูล คือ คำ่ คะแนนเฉลย่ี (Mean) และคำ่ รอ้ ยละ (Percentage) ผลกำรวิจัย
พบว่ำ ) นักศึกษำมีผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนผ่ำนเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ
89. 9 นักศึกษำที่ไม่ผ่ำนเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 0.8 2) นักศึกษำมีผล
กำรประเมินพฤติกรรมผ่ำนเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 83.78 และนักศึกษำท่ี
ไม่ผ่ำนเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 6.22 3) นักศึกษำมีควำมพึงพอใจทุกด้ำนโดย
รวมอยใู่ นระดับมำกที่สุด (ค่ำคะแนน เฉลย่ี = 4.77) เมอื่ พิจำรณำเป็นรำยขอ้ พบวำ่ รำยข้อทมี่ ีคะแนน
เฉลี่ยในระดับมำกที่สุดสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กำรประเมินผลกำรเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
(คำ่ คะแนนเฉล่ีย = 5.0) รองลงมำ คือ กำรประเมินกำรเข้ำช้ันเรียนและพฤตกิ รรม (คำ่ คะแนนเฉล่ีย =
4.97) กำรจัดเน้ือหำเหมำะสมกับเวลำเรียน (ค่ำคะแนนเฉล่ีย = 4.86) นักศึกษำส่ือสำรกำรเรียนรู้
ร่วมกัน (ค่ำคะแนนเฉล่ีย = 4.86) นักศึกษำแลกเปลี่ยนแสดงควำมคิดเห็น (ค่ำคะแนนเฉลี่ย = 4.8 )
29
นักศึกษำได้ฝึกทักษะกำรส่ือสำร (ค่ำคะแนนเฉล่ีย = 4.8 ) และผู้สอนช้ีแจงกิจกรรมกำรเรียนชัดเจน
(คำ่ คะแนนเฉลี่ย=4.78) ซึ่งผู้วิจัยอภิปรำยผลว่ำ ผลที่เกิดข้นึ เน่ืองมำจำกกิจกรรมกำรเรียนรู้ 5 ข้นั ตอน
(QSCCS) สำมำรถเปล่ียนบทบำทให้ผู้เรียนเป็น Active Learners คือ ผู้เรียนเรียนรู้จำกกำรคิดตั้ง
ประเด็นคำถำมเพ่ือหำคำตอบ แสวงหำควำมรู้จำกแหล่งเรียนต่ำง ๆ รู้จักประมวลควำมรู้แล้วสรุปเป็น
ควำมรู้ใหม่ สำมำรถสื่อสำรควำมรู้ให้ตนเองเข้ำใจ และถ่ำยทอดเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่ืนได้ กิจกรรม
กำรเรียนรู้น้ีเป็นกระบวนกำรเรียนรู้ร่วมกันโดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะและให้คำปรึกษำ จึงทำให้ผู้เรียนเกิด
กำรเรยี นรู้ และส่งผลใหเ้ กดิ กำรเปล่ยี นแปลงทำงพฤตกิ รรมอยำ่ งชดั เจน
จำกกำรศึกษำงำนวิจัยข้ำงต้น ผู้วิจัยเห็นว่ำ กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนให้ประสบ
ผลสำเร็จได้ตำมคำดหวัง ครูผู้สอนจำเป็นที่จะต้องจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนให้มี ควำมเหมำะสม
กับวัยของผู้เรียน โดยเฉพำะนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนต้น ซึ่งควรจัดกำรเรียนกำรสอนที่มุ่ง
ให้นักเรียนได้ใช้กระบวนกำรคิด ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะใช้เทคนิคกำรสอนบันได 5 ข้ัน ซึ่งทำให้
ผ้เู รยี นเรียนรูอ้ ย่ำงมีประสิทธิภำพและมีผลสมั ฤทธิท์ ำง กำรเรยี นท่ดี ีข้ึน
30
บทที่ 3
วิธีดาเนนิ การวิจัย
กำรศึกษำเรื่อง “ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำง
กำรเรียนรู้วรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรียน พไิ กรวิทยำ”
ผู้วิจัยได้ดำเนินกำรวิจัยตำมกระบวนกำรวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยมีขั้นตอน
ดงั น้ี
1. ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง
2. รูปแบบกำรวิจยั
3. เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในกำรวิจยั
4. กำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู
5. กำรวิเครำะห์ขอ้ มูล
6. สถติ ทิ ี่ใชใ้ นกำรวเิ ครำะหข์ อ้ มูล
ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง
1. ประชากร
ประชำกรท่ีใช้ในกำรวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ ตำบล
คลองพิไกร อำเภอพรำนกระต่ำย จังหวัดกำแพงเพชร ภำคเรียนที่ ปีกำรศึกษำ 2564 จำนวน 3
ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งส้ิน 8 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ
ตำบลคลองพิไกร อำเภอพรำนกระต่ำย จังหวัดกำแพงเพชร ภำคเรียนที่ ปีกำรศกึ ษำ 2564 จำนวน
ห้องเรยี น มนี ักเรยี นจำนวน 26 คน ใชว้ ธิ ีกำรสมุ่ อยำ่ งง่ำย โดยใชห้ อ้ งเรียนเป็นหน่วยสุ่ม
รปู แบบการวิจยั
ผู้วิจัยใช้รูปแบบกำรวิจัย One Group Pre-test Post-test ท่ีมุ่งเน้นกำรวิจัยเชิงทดลองกับ
กลุ่มทดลองเพียงกลุ่มเดียวเท่ำนั้น โดยดำเนินกำรทดลอง แล้วศึกษำผลที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตำมว่ำ
เกดิ กำรเปลยี่ นแปลงหรือไม่อย่ำงไร
ตาราง 3 แสดงรปู แบบการวิจยั One Group Pre-test Post-test 31
T2
กลุ่มทดลอง T1 X
หมายเหตุ: T1 แทน กำรทดสอบก่อนเรียน (Pre-test)
X แทน กำรทดลองสอนโดยใช้เทคนิคกำรสอน
แบบบันได 5 ข้ัน (QSCCS)
T2 แทน กำรทดสอบหลังเรยี น (Post-test)
ทม่ี า: ปิยนุช แหวนเพชร, 2560, หน้ำ 80
เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจยั
กำรศึกษำในครั้งน้ี ผู้วจิ ยั ใช้เครอื่ งมอื 2 ประเภท ดงั นี้
1. เครื่องมือทใี่ ช้ในการเรียนรู้
เครื่องมือที่ใช้ในกำรเรียนรู้ คือ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกำรสอนแบบบันได
5 ขั้น (QSCCS) ท่ีส่งเสริมควำมสำมำรถด้ำนเรียนรู้วรรณคดี เรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำ
ปีท่ี 3 จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ช่ัวโมง
2. เคร่ืองมอื ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
เครื่องมือในกำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู คือ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี นกอ่ นเรยี น
และหลังเรียนวรรณคดี เรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 จำนวน ฉบับ ซึ่งใช้เครื่องมือ
จำก ปิยนุช แหวนเพชร (2560) “กำรพัฒนำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนวรรณคดีของนักเรียน ชั้นมัธยม
ศึกษำปีท่ี 3 โดยใช้วิธีกำรสอนแบบสืบเสำะหำควำมรู้ร่วมกับเทคนิคกำรใช้แผนท่ีควำมคิด” ซ่ึงผ่ำน
กำรตรวจสอบคณุ ภำพของเครอ่ื งมอื แลว้
การเก็บรวบรวมข้อมูล
กำรศกึ ษำครงั้ น้ี ผู้วจิ ัยใช้ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวิจัย จำนวน 2 สัปดำห์ สัปดำห์ละ 3 คำบ
เรียน คำบเรียนละ 1 ชั่วโมง รวมเป็นระยะเวลำ 6 คำบเรียน ไม่รวมเวลำในกำรทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรียน ใช้กระบวนกำรวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test โดยมีข้ันตอนกำรเก็บ
รวบรวมข้อมลู ในกำรวิจยั ดงั นี้
. ชี้แจงรำยละเอยี ดขั้นตอน และวธิ ปี ฏบิ ัติในกำรเรียนกับนกั เรยี นกลมุ่ ตวั อยำ่ ง
2. ทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรยี นวรรณคดี เรื่อง
บทพำกยเ์ อรำวณั จำนวน 20 ข้อ ตรวจให้คะแนนแล้วทำกำรจดั เก็บบนั ทกึ คะแนนไว้
32
3. ดำเนินกำรสอน โดยใช้แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ เร่ีอง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3
ดว้ ยเทคนิคกำรสอนบนั ได 5 ขนั้ ท่ีผู้ศึกษำสร้ำงขึ้น จำนวน 2 แผน แผนละ 2 ชว่ั โมง ซึ่งไมร่ วมเวลำใน
กำรทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และกำรทดสอบหลังเรียน (Post-test) เก็บคะแนนระหว่ำงเรียน
จำกกำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ควำมร่วมมือในชั้นเรียน และกำรทำแบบทดสอบย่อย
เก็บบนั ทึกคะแนนจนครบทุกแผน
4. ทดสอบหลังเรียน (Post-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนวรรณคดี
ชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จำนวน 20 ข้อ จำกน้ันตรวจให้คะแนนแล้วจัดเก็บ
บนั ทึกคะแนนไว้
5. นำคะแนนท่ีได้จำกกำรทดสอบนักเรียนไปวิเครำะห์ค่ำทำงสถิติ เพ่ือสรุปผลกำรวิจัยตำม
ควำมมุง่ หมำยต่อไป
การวเิ คราะห์ข้อมลู
กำรศึกษำครั้งน้ี ผู้ศึกษำนำข้อมูลที่ได้จำกกำรเก็บรวบรวมมำวิเครำะห์ข้อมูล ด้วยโปรแกรม
สถติ ิสำเร็จรูป (SPSS) ซึ่งมขี น้ั ตอนดงั ต่อไปน้ี
1. หำค่ำสถิติพื้นฐำน คือ ค่ำเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำนของคะแนนที่ได้จำกกำรทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรยี นวรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวณั
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน ระหว่ำงคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้สถิติ
t-test (Dependent Samples)
สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล
1. สถิติพืน้ ฐาน
1. ค่ำเฉลี่ยของคะแนน (Mean) โดยใช้สตู ร
X X
N
เม่อื X แทน คำ่ ของขอ้ มูลแตล่ ะตวั
X แทน ผลรวมของขอ้ มูลทัง้ หมด
N แทน จำนวนข้อมลู ทงั้ หมด
33
.2 ส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) โดยใช้สูตร
n xi )2
S
xi2 (
n(n 1)
เมอ่ื S แทน สว่ นเบี่ยงเบนมำตรฐำน
X แทน ค่ำของข้อมลู แตล่ ะตวั
N แทน จำนวนข้อมลู ทัง้ หมดของประชำกร
แทน ผลรวม
2. สถิตทิ ใ่ี ช้ในการทดสอบเปรียบเทยี บทางการเรยี น
สถติ ิท่ใี ช้ในกำรทดสอบเปรียบเทียบทำงกำรเรียน ระหวำ่ งคะแนนก่อนเรียนกบั หลังเรยี น
ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 3 ท่ีเรยี นรู้ดว้ ยแผนกำรเรียนร้เู รื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ดว้ ยกำรสอนแบบ
บันได 5 ขั้น (QSCCS) คือ สถติ ิ t-test (Dependent Samples)
34
บทท่ี 4
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
กำรศึกษำเรื่อง “ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำง
กำรเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพไิ กรวิทยำ”
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำผลสัมฤทธิ์กำรเรียนรู้วรรณคดี เรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3
โดยกำรสอนด้วยเทคนิคบันได 5 ขั้น (QSCCS) และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนวรรณคดี
เรอ่ื ง บทพำกย์เอรำวัณ ช้นั มธั ยมศึกษำปีท่ี 3 ก่อนและหลังกำรสอนดว้ ยเทคนิคบันได 5 ขนั้ (QSCCS)
ผูว้ จิ ัยได้นำเสนอผลกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูลตำมลำดบั ดงั น้ี
1. สญั ลักษณ์ทีใ่ ชใ้ นกำรเสนอผลกำรวเิ ครำะห์ข้อมูล
2. ลำดบั ขน้ั ตอนในกำรนำเสนอผลกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู
3. ผลกำรวเิ ครำะห์ข้อมูล
สัญลักษณท์ ใี่ ช้ในการนาเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
ผู้วจิ ัยไดก้ ำหนดควำมหมำยของสัญลักษณท์ ใี่ ช้ในกำรเสนอผลกำรวเิ ครำะห์ข้อมลู ดังต่อไปนี้
x แทน ค่ำเฉลยี่
P แทน ร้อยละ
S.D. แทน สว่ นเบยี่ งเบนมำตรฐำน
D แทน ผลตำ่ งของคะแนน
N แทน จำนวนกลมุ่ ตัวอยำ่ ง
df แทน ระดับชั้นของควำมเสรี (Degrees of freedom) เท่ำกับ n–1t แทน ค่ำ
อตั รำส่วนวิกฤต
ลาดบั ข้ันตอนในการนาเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
ตอนที่ ผลคะแนนสอบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 (กลุ่มตัวอย่ำง) โรงเรยี นพิไกรวิทยำ
ก่อนเรยี นและหลังเรยี น
ตอนท่ี 2 ผลกำรวิเครำะห์เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพไิ กรวิทยำ หลงั จำกเรียนรู้เรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ด้วยเทคนิค
บันได 5 ข้ัน (QSCCS)
35
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
1. ตอนที่ 1 ผลคะแนนสอบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 (กลุ่มตัวอย่ำง) โรงเรียนพิ
ไกรวทิ ยำ ก่อนเรียนและหลงั เรยี น ดงั ตำรำง 4
ตาราง 4 แสดงผลคะแนนสอบของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา
ก่อนเรียนและหลังเรยี น
คนท่ี ช่อื -สกลุ ผลคะแนนก่อนเรยี น ผลคะแนนหลงั เรยี น
1 เด็กชำยกรรวี คลำ้ ยผูก 8 10
2 เด็กชำยจริ ำยุทธ พลกล้ำ 9 13
3 เดก็ ชำยฉัตรชัย แปน้ จันทร์ 10 12
4 เด็กชำยชยำนันท์ รงุ่ หนองกระดี่ 6 11
5 เด็กชำยชยั วัฒน์ ยวงหริ ญั 9 13
6 เดก็ ชำยณัฐพงษ์ ไพโรจน์ 9 11
7 เดก็ ชำยณัฐวรรณ พำระแพน 7 12
8 เดก็ ชำยธำวินศิรพิ รม 8 14
9 เดก็ ชำยธรี ภทั ร แก้วมณี 10 17
10 เดก็ ชำยนำ้ เยน็ แสนเทียม 7 13
11 เด็กชำยวรี พงศ์ สระทองเขยี ว 8 11
12 เด็กชำยสมบูรณ์ โพธ์ิพิเนตร 9 15
13 เดก็ ชำยอดิศร คำโสภำ 6 10
14 เดก็ ชำยพเิ ชษฐ์ อำสนส์ งฆ์ 9 15
15 เด็กชำยศิระ สขุ ดี 5 11
16 เด็กหญงิ จันธดิ ำ กลนิ่ ขวญั 8 16
17 เด็กหญิงจดิ ำภำ ร่งุ หนองกระดี่ 9 15
18 เด็กหญงิ ปำจรีย์ พลำพล 8 13
19 เดก็ หญงิ พรลภัส ร่มโพธ์ิ 0 18
20 เดก็ หญิงรัตติยำกร คำงน้อย 14
36
ตาราง 4 (ต่อ) ผลคะแนนกอ่ นเรยี น ผลคะแนนหลงั เรยี น
6 10
คนที่ ชอ่ื -สกลุ 8 15
21 เด็กหญงิ วรรณฤดี ศรีผอ่ งใส 9 14
22 เดก็ หญิงวรญั ญำ สวำทนชุ 5 10
23 เด็กหญงิ อภิชญำ ถมทอง 9 16
24 เดก็ หญิงอำรยำถมทอง 8 13
25 เด็กหญิงสภุ ำพร แจงป้อม
26 เด็กหญิงพิมพพ์ ร แหงสงู เนิน
จำกตำรำง ผลกำรทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่ำง 26 คน
พบว่ำ คะแนนกำรทดสอบก่อนเรียนสูงสุด คือ คะแนน คะแนนต่ำสุด คือ 5 คะแนน และคะแนน
กำรทดสอบหลังเรียนสงู สดุ คอื 8 คะแนน คะแนนตำ่ สดุ คอื 0 คะแนน
2. ตอนท่ี 2 ผลกำรวิเครำะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ หลังจำกเรียนร้เู ร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ด้วยเทคนิค
บันได 5 ขั้น (QSCCS) ดังตำรำง 5
ตาราง 5 แสดงผลการวิเคราะห์เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรียน
คะแนน x S.D. N t df Sig
26 0.000
กอ่ นกำรจดั กำรเรยี นรู้ 8.12 0.305 26 -14.837 25
หลังกำรจดั กำรเรียนรู้ 13.15 0.450
*นยั สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ 0.05
ทีม่ า: โปรแกรม Statistical Package for the Social Sciences (SPSS)
จำกตำรำง ผลกำรเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนของนักเรียน หลังจำกกำรเรียนรู้
เร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ด้วยเทคนิคบันได 5 ขั้น (QSCCS) แล้ว พบว่ำ คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คือ
8.12 คะแนนเฉลย่ี หลังเรียน คือ 13.15 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนก่อนเรียน คือ 0.305 และส่วนเบี่ยงเบน
มำตรฐำนหลังเรยี น คือ 0.450
37
กำรทดสอบสมมติฐำนกำรวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนวรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ
ช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 ด้วยเทคนิคบันได 5 ข้ัน (QSCCS) หลังเรียนสูงกว่ำก่อนเรียน โดยกำหนดค่ำ
α=0.05 โดยใช้สถิติ t-test (dependent) ค่ำ Sig ท่ีคำนวณได้ คือ 0.00 เมื่อนำมำหำรด้วย 2 จึงได้
0.00 เช่นเดิม ดังน้ัน สำมำรถสรุปได้ว่ำ ค่ำ Sig < α จึงตัดสินใจ Reject H0 น่ันคือ ผลสัมฤทธ์ิ
ทำงกำรเรียนเร่ือง บทพำกยเ์ อรำวัณ ช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 3 ด้วยเทคนิคบันได 5 ข้นั (QSCCS) หลังเรียน
สงู กวำ่ กอ่ นเรียนอย่ำงมีนยั สำคญั ทำงสถิติทร่ี ะดับ 0.05
38
บทที่ 5
บทสรุป
กำรศึกษำเรื่อง “ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำง
กำรเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพไิ กรวิทยำ”
มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษำผลสัมฤทธ์ิ กำรเรียนรู้วรรณคดี เรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3
โดยกำรสอนด้วยเทคนิคบันได 5 ขั้น และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนวรรณคดีเรื่อง
บทพำกย์เอรำวัณ ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปีที่ 3 กอ่ นและหลงั กำรสอนด้วยเทคนคิ บนั ได 5 ข้ัน
กลุ่มตัวอย่ำงท่ีใช้ในกำรศึกษำในครั้งน้ี คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ
ตำบลคลองพิไกร อำเภอพรำนกระต่ำย จังหวัดกำแพงเพชร ภำคเรียนที่ ปีกำรศกึ ษำ 2564 จำนวน
หอ้ งเรยี น มีนกั เรยี นจำนวน 26 คน ใช้วิธีกำรสมุ่ อยำ่ งง่ำย โดยใช้หอ้ งเรยี นเปน็ หน่วยส่มุ
เครื่องมอื ที่ใช้ในกำรวจิ ยั ในคร้งั น้ี ผู้วจิ ยั ใช้เคร่อื งมือ 2 ประเภท ดังนี้
1. เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการเรียนรู้
เครื่องมือท่ีใช้ในกำรเรียนรู้ คือ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคกำรสอนแบบบันได
5 ขั้น ที่ส่งเสริมควำมสำมำรถด้ำนเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3
จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ชัว่ โมง
2. เครือ่ งมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
เคร่อื งมือในกำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู คือ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนกอ่ นเรยี น
และหลังเรียนวรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3 จำนวน ฉบับ ซึ่งใช้เครื่องมือ
จำก ปิยนุช แหวนเพชร (2560) “กำรพัฒนำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวรรณคดีของนักเรียน ช้ันมัธยม
ศึกษำปีที่ 3 โดยใช้วิธีกำรสอนแบบสืบเสำะหำควำมรู้ร่วมกับเทคนิคกำรใช้แผนที่ควำมคิด” ซ่ึงผ่ำน
กำรตรวจสอบคุณภำพของเครือ่ งมอื แล้ว
สรปุ ผลการวิจยั
ผลกำรวิจัยพบว่ำ ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำง
กำรเรียนรู้วรรณคดีเร่ือง บทพำกย์เอรำวัณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยำ
ระหว่ำงก่อนเรียนกับหลังเรียน ตำมกำรทดสอบสมมุติฐำน t-test (dependent) ผลกำรวิจัยพบว่ำ
ผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรียนเร่อื ง บทพำกย์เอรำวณั ช้ันมัธยมศึกษำปที ่ี 3 ด้วยเทคนิคบันได 5 ข้ัน หลังเรียน
สูงกว่ำก่อนเรียนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 ซ่ึงผลกำรวิจัยสอดคล้องกับสมมติฐำนกำรวิจัย
39
คือ ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3 ด้วยเทคนิคบันได
5 ขั้น หลังเรียนสูงกวำ่ กอ่ นเรยี นทร่ี ะดบั นยั สำคญั α=0.05
นอกจำกน้ี ผู้วิจัยพบว่ำ กำรสอนด้วยเทคนิคบันได 5 ข้ัน นักเรียนที่ได้รับกำรสอนมีควำม
สนใจในกำรเรียน นักเรียนมีควำมรับผิดชอบตนเอง ทำให้มีบรรยำกำศในกำรเรียนรู้ที่ดี เกิดควำม
สำมัคคีในหมเู่ พือ่ นและทำให้ผ้เู รียนมจี ติ สำธำรณะ
อภิปรายผลการวิจัย
จำกกำรวิจัยพบว่ำ ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนรู้วรรณคดี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี 3
ด้วยเทคนิคบันได 5 ขั้น หลังเรียนสูงกว่ำก่อนเรียนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งน้ีเป็น
เพรำะนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยวิธีกำรสอนแบบเทคนิคบันได 5 ขั้น ซ่ึงเป็นวิธีกำรสอนท่ีทำให้ผู้เรียนเกิด
ควำมสงสัยแล้วได้ฝึกตั้งคำถำม คำดคะเนคำตอบด้วยกำรสืบค้นควำมรู้จำกแหล่งต่ำง ๆ เพื่อสรุปเป็น
คำตอบช่ัวครำว หลังจำกนั้น จึงมีกำรวำงแผนและรวบรวมข้อมูลแล้วนำมำวิเครำะห์ สร้ำงองค์ควำมรู้
เพ่ือกำรนำเสนอ รวมไปถึงนำองค์ควำมรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ซ่ึงอำจจะเป็นกำรสอน
ผเู้ รยี นทีย่ ังไม่มีควำมเข้ำใจในเน้ือหำท่ีเรียนหรือเห็นประโยชน์ส่วนรวมด้วยกำรทำงำนเป็นกลุ่มอันเป็น
กำรแสดงออกถึงกำรเกื้อกูลและแบ่งปันให้สังคมอย่ำงย่ังยืน จึงส่งผลให้ผู้เรียนมีคะแนนหลังเรียนสูง
กว่ำก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยของ ปรีญำ ภูษำปำน (256 ) ท่ีพบว่ำ นักเรียนมีพัฒนำกำร
สูงข้ึนหลังจำกจัดกิจกรรมด้วยกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบเทคนิคบันได 5 ขั้น มีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ
3.87 มีค่ำส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำนเท่ำกับ 3.34 จำกกำรทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และ
สอดคล้องกับผลงำนวิจัย ของ พิชญะ กันธิยะ, วีระศักดิ์ ชมพูคำ และสกล แก้วศิริ (2559) ท่ีพบว่ำ
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน ทำให้นักเรียนสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจด้วยตนเองได้ สำมำรถ
ตดั สนิ ใจโดยใช้เหตผุ ล นักเรียนกลำ้ คดิ กล้ำตอบในกำรแสดงควำมคิดเห็น เชน่ เดียวกับ กิตติ รัตนรำษี
และเบญจมำภรณ์ จันทร (2561) ที่กล่ำวว่ำ กิจกรรมกำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน สำมำรถเปล่ียน
บทบำทให้ผู้เรียนเป็น Active Learners คือ ผู้เรียนสำมำรถเรียนรู้จำกกำรคิดตั้งประเด็นคำถำม
เพ่อื หำคำตอบ แสวงหำควำมรูจ้ ำกแหล่งเรยี นรูต้ ำ่ ง ๆ ร้จู ักประมวลควำมร้แู ล้วสรุปเปน็ องคค์ วำมรใู้ หม่
ตลอดจนสำมำรถสื่อสำรและถ่ำยทอดให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น นอกจำกนี้ยังสอดคล้องกับ ทิพรัตน์
สิทธิวงศ์ และทะเนศ วงศ์นำม (2559) ท่ีได้กล่ำวว่ำ กำรเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน ผู้เรียนจะพัฒนำไปสู่
ผู้มีควำมรู้ ทักษะกระบวนกำร และเจตคติที่พงึ ประสงค์ สำหรับกำรเป็นพลเมืองในศตวรรษท่ี 2 เป็น
บุคคลที่มีคุณภำพ มีทักษะในกำรค้นคว้ำแสวงหำควำมรู้ มีควำมรู้พื้นฐำนที่จำเป็น สำมำรถคิด
วิเครำะห์ สังเครำะห์ สร้ำงสรรค์ สำมำรถสร้ำงส่ืออย่ำงมีคุณภำพ มีทักษะชีวิต และมีควำมร่วมมือใน
กำรทำงำนกบั ผู้อ่ืนได้เป็นอย่ำงดี
40
ขอ้ เสนอแนะ
กำรศึกษำเรื่อง “ผลของเทคนิคกำรสอนบันได 5 ขั้น (QSCCS) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทำง
กำรเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง บทพำกย์เอรำวัณ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 โรงเรียนพไิ กรวิทยำ”
ผ้วู ิจยั มีขอ้ เสนอแนะดงั น้ี
1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้
. หน่วยงำนที่เกีย่ วข้องกับกำรศกึ ษำ ควรนำรูปแบบกำรสอนแบบบันได 5 ขั้น ไปเผยแพร่
โดยกำรจดั พิมพ์เอกสำรเผยแพร่หรือเสนอแนะให้โรงเรียนในเขตควำมรับผิดชอบนำไปทดลองใช้
.2 ครูผู้สอนท่ีจะนำรูปแบบกำรสอนแบบบันได 5 ข้ัน ไปทดลองใช้ ควรศึกษำให้เข้ำใจ
ทุกข้ันตอน จนเกิดควำมชำนำญ เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนได้
อย่ำงมปี ระสิทธิภำพสูงสุด เนื่องจำกกำรสอนแบบบันได 5 ขนั้ เป็นวิธสี อนทีจ่ ะต้องมกี ำรเตรยี มกำรสอน
เป็นอย่ำงดีและควรกำหนดเวลำให้เพยี งพอสำหรบั กำรจดั กจิ กรรม
2. ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ครงั้ ต่อไป
2. . ควรมีกำรศึกษำ โดยใช้รูปแบบกำรสอนแบบบันได 5 ข้ัน กับเน้ือหำกำรเรียนกำรสอน
ของกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทยในเน้ือหำอ่ืน ๆ เช่น กำรเรียนรู้เรื่อง ชนิดของคำ กำรเขียนประโยค
ต่ำง ๆ เป็นต้น หรือใช้ร่วมกับเนื้อหำของกลุ่มสำระกำรเรียนรู้อื่น ๆ เช่น กลุ่มสำระกำรเรียนรู้
ภำษำตำ่ งประเทศ กลุ่มสำระกำรเรยี นร้คู ณิตศำสตร์ เป็นตน้
2.2 ควรมีกำรศึกษำ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนในสำระกำรเรียนรู้
ภำษำไทย ระหวำ่ งวธิ ีสอนแบบบันได 5 ข้ัน กับวิธีกำรสอนอื่น ๆ เช่น วิธีกำรกำรเรียนรแู้ บบรว่ มมือร่วม
กำรสอนด้วยรปู แบบกำรเรียนเปน็ คู่ เป็นตน้