The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phanudet Dingram, 2022-02-05 09:13:34

ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้

ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้

ผลของเทคนคิ การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ที่มีต่อผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นรูว้ รรณคดเี รอื่ ง พระบรมราโชวาท
ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3
โรงเรียนพิไกรวิทยา

ภานุเดช ดงิ รัมย์

การวิจยั เพ่อื พฒั นาการเรียนรเู้ สนอเป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษา
หลกั สูตรปริญญาการศกึ ษาบณั ฑติ
สาขาวชิ าภาษาไทย
มีนาคม 2565
ลิขสิทธเ์ิ ป็นของมหาวทิ ยาลัยพะเยา

ผลของเทคนคิ การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ที่มีต่อผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นรูว้ รรณคดเี รอื่ ง พระบรมราโชวาท
ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
โรงเรียนพิไกรวิทยา

ภานุเดช ดงิ รัมย์

การวิจยั เพ่อื พฒั นาการเรียนรู้เสนอเป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษา
หลกั สูตรปริญญาการศกึ ษาบณั ฑติ
สาขาวชิ าภาษาไทย
มีนาคม 2565
ลิขสิทธเ์ิ ป็นของมหาวิทยาลัยพะเยา

ผู้อำนวยการโรงเรียนพิไกรวิทยา อาจารย์นิเทศวิทยาลัยการศึกษา รองผู้อำนวยการ
โรงเรียนพิไกรวิทยา หัวหน้ากลุ่มงานบริหารวิชาการ หัวหน้างานวัดผล หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย และครูพี่เลี้ยง ได้พิจารณาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง “ผลของเทคนิคการสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง
พระบรมราโชวาท ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรยี นพิไกรวิทยา” เหน็ สมควรรบั เป็นสว่ นหนึ่ง
ของการศกึ ษาตามหลกั สูตรปริญญาการศึกษาบัณฑติ สาขาวิชาการศึกษา ของมหาวิทยาลัยพะเยา

.................................................................................. .......................................................................................

(นางสาวจฑุ ามาศ วงษ์เขียว) (ดร.จรี ัชญ์พัฒน์ ใจเมือง)
ผ้อู ำนวยการโรงเรียนพไิ กรวทิ ยา อาจารย์นิเทศกว์ ทิ ยาลัยการศึกษา
วนั ที่............เดือน................................พ.ศ...................... วนั ท่ี............เดือน...................................พ.ศ.........................

....................................................................... รองผู้อำนวยการโรงเรยี นพิไกรวทิ ยา
(นายโยธิน บญสุข)

....................................................................... หัวหนา้ กลมุ่ งานบริหารวิชาการ
(นางสาวรงุ่ ทพิ ย์ ขอนทอง)

....................................................................... หัวหนา้ งานวดั ผล
(นางสาวพรทิพย์ หงษอ์ าลยั )

....................................................................... หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย
(นางสาวสุธเนตร ถาวร)

....................................................................... ครูพ่เี ลยี้ ง
(นายไกรจักร คำบุญเรือง)

กติ ตกิ รรมประกาศ

การศึกษาอิสระเรื่องนี้สำเร็จได้ ต้องขอกราบขอบพระคุณความอนุเคราะห์จาก
นางสาวจุฑามาศ วงษ์เขียว ผู้อำนวยการโรงเรียนพิไกรวิทยา ที่ได้อนุเคราะห์เปดิ โอกาสให้นิสิตเข้าฝึก
ประสบการณว์ ิชาชพี ครู และเลง็ เหน็ ถึงความสำคญั ของนสิ ิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ทั้งยังประสิทธิ์
ประสาทวิชาความรู้ รวมถงึ ขอ้ แนะนำอันมคี ุณคา่ ย่งิ แก่ผ้วู ิจัย

กราบขอบพระคุณ นางสาวรุ่งทิพย์ ขอนทอง หัวหน้าหัวหน้ากลุ่มงานบริหารวิชาการ
โรงเรียนพไิ กรวิทยา นางสาวพรทพิ ย์ หงส์อาลัย หัวหน้างานวัดผล นางสาวสธุ เนตร ถาวร หวั หน้ากลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย นายไกรจักร คำบุญเรือง ครูพี่เลี้ยง และบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียน
พิไกรวิทยาทุกท่าน ที่คอยดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ต่อเนื่อง และเป็นผู้ถ่ายทอดสรรพวิชาความรู้
ทางการศึกษา รวมไปถึงประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู
ในสถานศกึ ษา

กราบขอบพระคุณ ดร.จีรัชญ์พัฒน์ ใจเมือง และอาจารย์ไพลิน อินคำ อาจารย์นิเทศก์ อีกทั้ง
อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ และอาจารย์วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัย
พะเยา ผู้มากความสามารถ ที่ได้สละเวลาชี้แจงข้อบกพร่อง แนะนำข้อมูลทางวิชาการต่าง ๆ และ
พิจารณารับการศึกษาอิสระฉบับนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาการศึกษา
บณั ฑิต สาขาวิชาการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา

ขอขอบคุณสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมรุ่น ผู้เป็นกัลยาณมิตรทุกคน
ที่เฝ้าคอยให้ การช่วยเหลือ สนับสนุน คอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ผ่านร้อน ผ่านหนาว ร่วมทุกข์
ร่วมสุข และรว่ มรบั รสู้ งิ่ ต่าง ๆ ดว้ ยกนั เสมอมา

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณตัวผู้วิจัยเอง ที่ยังยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคอันหนักหนาต่าง ๆ ให้มีชีวิต
รอดเพื่อได้มีโอกาสทางการศึกษา ผู้วิจัยจึงขอศึกษาแทนผู้ไม่มีโอกาสอย่างถึงที่สุด และขอมอบ
คุณค่าและประโยชน์ของงานวิจัยเรื่องนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องสักการะแด่พระคุณของบุพการี ครู
อาจารย์ทุกท่าน ตลอดจนบรรพชนที่ได้สร้างและสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ให้ผู้วิจัยและชน
รนุ่ หลงั ไดศ้ กึ ษา

ภานเุ ดช ดงิ รมั ย์

เรือ่ ง: ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E) ทีม่ ีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรู้วรรณคดีเรอื่ ง
พระบรมราโชวาท ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา

ผศู้ กึ ษาค้นควา้ : ภานุเดช ดิงรมั ย์ การศึกษาอิสระ: กศ.บ. (การศึกษา), มหาวิทยาลยั พะเยา, 2564
ครพู ่เี ล้ียง: นายไกรจกั ร คำบญุ เรอื ง
คำสำคัญ: ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรู้, เทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้, วรรณคดี

บทคัดยอ่
งานวจิ ยั เร่ือง “ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E) ที่มีตอ่ ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นรู้วรรณคดเี รื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนพิไกรวทิ ยา” เปน็ การวิจัย
เชงิ ทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงคเ์ พื่อศกึ ษาผลสัมฤทธกิ์ ารเรยี นรวู้ รรณคดเี ร่อื ง พระบรมราโชวาท
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการสอนด้วยเทคนิคสืบเสาะหาความรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วรรณคดเี รื่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 กอ่ นและหลังการสอนดว้ ยเทคนคิ สบื เสาะหาความรู้ กลมุ่ ตัวอย่าง
ทใ่ี ช้ในงานวิจยั ได้แก่ นักเรยี นนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นพไิ กรวทิ ยา ตำบลคลองพิไกร อำเภอพรานกระต่าย
จังหวัดกำแพงเพชร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 20 คน ใช้วิธีการสุ่ม
อยา่ งงา่ ย โดยใชห้ ้องเรยี นเป็นหนว่ ยสมุ่
เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในการวิจัยคร้ังนี้ คือ แผนการจัดการเรียนรูว้ รรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ที่ใช้วิธีการสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้ และแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์กิ ่อนและหลงั เรยี นวรรณคดี วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยการหาคา่ เฉลีย่
สว่ นเบยี่ งเบน มาตรฐาน และการทดสอบคา่ ที แบบกลุ่มตัวอย่างกลมุ่ เดียว ไม่เปน็ อสิ ระต่อกนั (t-test dependent)
ผลการวจิ ยั พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้วรรณคดเี ร่ือง พระบรมราโชวาท ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษา
ปีท่ี 3 โรงเรยี นพิไกรวิทยา หลงั เรียนด้วยวธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Mean = 12.55, S.D. = 0.489) สูงกว่าก่อนเรียน
(Mean = 8.30, S.D. = 0.325) อย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05

สารบัญ

บทที่ หนา้

1 บทนำ.............................................................................................................................. 1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา..................................................................... 1
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ........................................................................................... 4
สมมติฐานของการวจิ ัย............................................................................................... 4
สมมติฐานทางสถิติ..................................................................................................... 4
ขอบเขตของการวจิ ยั .................................................................................................. 4
กรอบแนวคิดของการวจิ ัย .......................................................................................... 5
คำนิยามศัพทเ์ ฉพาะ................................................................................................... 6
ประโยชน์ท่ีจะไดร้ ับจากการวจิ ัย ................................................................................ 6

2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง..................................................................................... 7
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551
กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ........................................................................ 8
การเรียนรู้ .................................................................................................................. 14
การเรียนวรรณคดี ...................................................................................................... 17
การจัดการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้.................................................................... 22
งานวิจยั ท่ีเกยี่ วข้อง .................................................................................................... 28

3 วิธีดำเนนิ การวิจัย........................................................................................................... 31
ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง ........................................................................................ 31
รูปแบบการวจิ ัย ......................................................................................................... 31
เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั ............................................................................................. 32
การเก็บรวบรวมข้อมลู ............................................................................................... 32
การวเิ คราะห์ข้อมูล .................................................................................................... 33
สถติ ทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล................................................................................... 33

สารบัญ (ต่อ)

บทท่ี หนา้

4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู .................................................................................................... 35
สัญลักษณ์ท่ีใชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู .................................................. 35
ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลวเิ คราะห์ข้อมลู ......................................................... 35
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ................................................................................................ 36

5 บทสรปุ ........................................................................................................................... 38
สรปุ ผลการวิจยั .......................................................................................................... 38
อภิปรายผลการวจิ ัย ................................................................................................... 39
ข้อเสนอแนะ .............................................................................................................. 40

บรรณานกุ รม............................................................................................................................. 41

ภาคผนวก ................................................................................................................................. 45
ภาคผนวก ก เคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวิจัย........................................................................ 46
ภาคผนวก ข ค่าสถติ ิ t-test dependent ของการเปรยี บเทยี บคะแนนก่อนเรยี น
และหลังเรยี น ด้วยโปรแกรม SPSS................................................ 54

ประวตั ิผศู้ กึ ษาค้นคว้า............................................................................................................... 55

สารบญั ตาราง

ตาราง หน้า

1 แสดงโครงสร้างรายวชิ าภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 2 11
ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนพิไกรวิทยา ................................................................... 13
32
2 แสดงรายละเอียดหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ทัศนาวรรณคดี เรือ่ ง พระบรมราโชวาท..............
3 แสดงรูปแบบการวจิ ัย One Group Pre-test Post-test................................................ 36
4 แสดงผลคะแนนสอบของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นพิไกรวิทยา 37
53
กอ่ นเรียนและหลงั เรียน...........................................................................................
5 แสดงผลการวเิ คราะห์เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียน ..........................
6 แสดงคำตอบของแบบทดสอบ .........................................................................................

สารบญั ภาพ

ภาพ หน้า

1 แสดงกรอบแนวคิดของการวจิ ยั ....................................................................................... 5
2 แสดงคา่ สถติ ิ t-test dependent ของการเปรียบเทียบคะแนน 54

กอ่ นเรียนและหลงั เรียน ดว้ ยโปรแกรม SPSS..........................................................

บทที่ 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
วรรณคดีมีขอบข่ายครอบคลุมงานประพันธ์ทุกชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมีภาษาเป็น

เครื่องมือในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นภาษาเขียนหรือภาษาพูด จึงเรียกผลงานนั้น ๆ ได้ว่าเป็น
วรรณคดีหรือวรรณกรรมได้เชน่ กัน รวมถึงงานประพันธ์ เช่น ลิลิต นิราศ บทละคร สุนทรพจน์ บันทึก
เป็นต้น (วิภา กงกะนันทน์, 2533, หน้า 3) ทั้งนี้ วรรณคดี หมายถึง งานประพันธ์ชั้นเลิศมีความเป็น
ศาสตร์ กล่าวคือ สมบูรณ์ด้วยคุณค่าและศาสตร์ทางศิลปะ การใช้ถ้อยคำ รวมถึงทำหน้าที่เป็นกระจก
สะท้อนให้เห็นภาพสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของสังคมไทย
(วสันต์ รัตนโภคา, 2554) สอดคล้องกับ ฤทัย สัจจพันธ์ุ (2544) ที่ได้กล่าวถึงวรรณคดีว่า เป็นศิลปะ
ทางภาษาที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือใน การสื่อสาร อีกทั้งถ่ายทอดแนวคิดของตนเองที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ
นอกจากนี้แลว้ ยังเป็นส่อื ใน การสะท้อนสภาพสังคมวัฒนธรรมขนบธรรมเนยี มประเพณีท่ีดงี ามของคน
ไทย และยังสามารถสะท้อนเรื่องราวชีวิตความเป็นอยูข่ องคนในชาติได้เป็นอย่างดี ดังนั้น วรรณคดีจึง
มิได้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงหรือมุ่งสร้างความสนุกสนานแก่ผู้อ่านเป็นสำคัญ
เท่านั้น หากยังมุ่งสอดแทรกความรู้อันเป็นรากเหง้าและอัตลักษณ์ความเป็นชาติไทย ซึ่งนับว่า เป็นส่งิ
ที่มีคณุ ค่าทคี่ นไทยควรศกึ ษาและสบื ทอดใหค้ งอยตู่ ่อไป

ปิยนุช แหวนเพชร (2560, หน้า 2) ได้กล่าวว่า วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเป็นสิ่งที่มี
คุณค่าและมีความสำคัญ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษา ผู้เรียนนั้นจะต้องศึกษาในทุก ๆ มิติของ
วรรณคดีและวรรณกรรม ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาของเรื่อง พฤติกรรมของตัวละคร ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต
ความเปน็ อยู่ ขนบธรรมเนยี มประเพณี สภาพสังคมวัฒนธรรม รวมไปถึงควรศึกษาในด้านการใช้ภาษา
ในเชงิ วรรณศลิ ป์ ตลอดจนเรยี นร้แู นวคดิ ทส่ี ามารถนำไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมไทย
โดยบรรจุให้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
ภาษาไทย

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2558) ได้จัดให้มีการจัดการเรียนการสอน
วรรณคดีวรรณกรรมไทยแก่ผู้เรยี นในทุกระดับ โดยกำหนดให้วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อยใู่ นสาระ
ที่ 5 ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 วิชาภาษาไทย มีจำนวน 1
มาตรฐาน ได้แก่ ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็นวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง
เห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง โดยหลักสูตรแกนกลางมี การกำหนดตัวชี้วัด ขอบเขต

2

รวมถึงเนื้อหาให้มคี วามเหมาะสมตอ่ วยั ของผู้เรียน และกำหนดคุณภาพของผู้เรียนแต่ละช่วงชัน้ ซึ่งส่งิ
ที่นักเรียนจะต้องเรียนเกี่ยวกับวรรณคดีนั้น หลักสูตรได้กำหนดไว้ คือ วิเคราะห์วรรณคดีและ
วรรณกรรม เพือ่ ศกึ ษาข้อมูล แนวความคิด และคุณคา่ ของงานประพนั ธ์ การเรยี นรู้และทำความเข้าใจ
เพลงพื้นบ้าน บทร้องเล่นของเด็ก บทเห่ อันเป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องราว
ของสังคมในอดีต ความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมไปถึงความงดงามของภาษา
เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง มีความรักความเข้าใจตระหนัก เห็นคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมไทย
อนั เป็นสมบัตขิ องชาติ

ปัจจุบันการเรียนการสอนวรรณคดีไทยนั้นประสบปัญหาหลายอย่าง ดังที่ กุสุมา รักษมณี
(2547) กล่าวไวว้ า่ ผู้ทไี่ มช่ อบเรียนวรรณคดีสว่ นใหญ่กล่าวว่าไม่รูจ้ ะเรียนไปทำไม เปน็ เพราะผู้เรียนยัง
ไม่เห็นคุณค่า ซึ่งจับมาวัดชั่งตวงไม่ได้ สอดคล้องกับ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2558) ที่กล่าวไว้ในทำนอง
เดียวกนั วา่ ผเู้ รยี นไมช่ อบวรรณคดเี พราะรสู้ กึ ว่าวรรณคดีไม่สนุก ไม่เหมาะสมกบั วยั เปน็ เร่ืองที่ล้าสมัย
เนื้อหาไม่เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ ประภาศรี สีหอำไพ (2535) และ ม.ล.อัจจิมา
เกิดผล (2545) ก็ได้กล่าวว่า จากการเรียนการสอนวรรณคดี พบว่า นักเรียนไม่สนใจเรียน เห็นว่า
วรรณคดีไทยเป็นเรื่องเพ้อฝันไร้เหตุผล ครูไม่มีวิธีสอนที่จูงใจนักเรียนให้เกิดความสนใจ มุ่งสอนเพื่อ
ใหน้ ักเรยี นท่องจำเพื่อนำไปใช้ในการสอบ ครบู างคนยึดติดกบั การสอนแบบเดิม ขาดการศึกษาค้นคว้า
ไม่พยายามใช้เทคนิคการสอนแบบใหม่ ทำให้นักเรียนขาดความสนใจเรียน ส่งผลให้นักเรียนไม่เห็น
ความสำคัญและเกดิ ทัศนคตทิ ไี่ มด่ ีตอ่ การเรียนวรรณคดวี รรณกรรมไทย หรืออาจเกดิ จากการทนี่ กั เรียน
ยังไม่สามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าวรรณคดีวรรณกรรมได้ ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพ
บรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการจัดการเรียนรู้ และครูผู้สอนเองที่ยังขาดเทคนิควิธีสอนที่มี
ประสิทธภิ าพ ซึ่งในหลาย ๆ โรงเรียนครูยังคงเนน้ รูปแบบการสอนแบบบรรยาย เน้นเนื้อหาและการท่องจำ
มากกวา่ ฝึกทกั ษะการคิดวเิ คราะห์

ปัญหาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ครูผู้สอนต้องมีวิธีสอนที่แปลกใหม่ ควรมีการนำส่ือการเรียน
และวิธีการจัดการเรียนรู้ใหม่ ๆ มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ผู้เรียนเกิด
ความอยากรู้อยากเรียน ซง่ึ สอดคลอ้ งกับแนวคิดทีว่ า่ ยงิ่ ครผู ู้สอนใช้วิธีสอนและเทคนิคใหม่ ๆ ผู้เรียนก็
จะยิง่ ไดป้ ระสบการณแ์ ละไดฝ้ ึกฝนมากขึ้น ไมร่ ูส้ กึ จำเจหรือเบอื่ หนา่ ย เพราะมแี ตส่ ่งิ ใหม่ เรา้ ใจ ทา้ ทาย
ให้ติดตามเรียนรู้ (สถาบันภาษาไทย สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2557) ดังนั้น เทคนิคและวิธีการสอนจึงเป็นสิ่งท่ีสำคัญสำหรับการจัดการเรียน
การสอน หากครูมีเทคนิคและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพก็จะทำผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่คงทนถาวร
โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมไทยให้มีประสิทธิภาพ สามารถจัดการ
เรียนการสอนได้หลากหลายรูปแบบ เช่น วิธีสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT วิธีสอนแบบมุ่ง
ประสบการณ์ทางภาษา วิธีสอนโดยใช้กระบวนการทางปัญญา เทคนิคการสอนแบบโครงงาน เทคนิค
การใช้คำถาม ซึ่งแต่ละเทคนิควิธีสอนก็จะมีขั้นตอน กระบวนการ และข้อดีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

3

ออกไป แต่สิ่งสำคัญในการจัดการเรียนการสอน คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั
โดยยึดหลกั วา่ ผู้เรยี นสำคัญทีส่ ุด ใหผ้ เู้ รยี นทกุ คนสามารถเรียนร้แู ละพฒั นาตนเองได้ เปน็ กระบวนการ
เรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง ได้พัฒนาการคิด มีอิสระในการเรียนรู้ตามความถนัดและ
ความสนใจ สามารถสรา้ งองคค์ วามรไู้ ด้ด้วยตนเอง ช่วยกนั เรียนรู้ สามารถนำความรู้มาใช้ในชวี ติ จริงได้
(สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน, 2558)

ทิศนา แขมมณี (2550) กล่าวว่า วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นวิธีสอนหนึ่งที่มี
กระบวนการจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั เป็นวธิ สี อนทีท่ ีส่ ่งเสริมกระบวนการคิดและ
ให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม เกิดกระบวนความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพื่อนำมาประมวล
หาคำตอบหรือข้อสรุปด้วยตัวเอง สอดคล้องกับ ชาตรี เกิดธรรม (2545) ที่กล่าวว่า วิธีสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้ เป็นวิธีสอนที่ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ โดยใช้กระบวนการทางความคิดหา
เหตุผล ทำให้ค้นพบความรู้หรือแนวทางในการแก้ปัญหาที่ถูกต้องด้วยตนเอง โดยผู้สอนตั้งคำถาม
ประเภทกระตุ้นให้ผเู้ รียนใช้ความคิดหาวธิ ีแก้ปัญหาได้เอง ทำให้ผเู้ รยี นเปน็ คนช่างสังเกต มีเหตุผล อีก
ทั้งแนวคิดของ วัชรา เล่าเรียนดี (2548) ได้กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้เป็นวิธีการเรียนรู้ที่เน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนสืบค้นหาความรู้ ความจริงต่าง ๆ ด้วย
ตนเอง โดยมีคำถามเป็นตัวการกระตุ้นการเรียนรู้ แสวงหาความรูจ้ ากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่
หลากหลาย โดยกระบวนการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีสืบเสาะหาความรู้นั้น มีขั้นตอนในการสอน
คือ 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engage) 2) ขั้นสำรวจและค้นหา (Explore) 3) ขั้นอธิบาย (Explain)
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaborate) และ 5) ขั้นประเมนิ ผล (Evaluate) ทงั้ 5 ขน้ั ตอนเปน็ วิธีท่ีจะสามารถ
พัฒนาระดับผลสมั ฤทธิใ์ นการเรียนวรรณคดแี ละวรรณกรรมไทยของผู้เรียนให้บรรลวุ ัตถุประสงค์และมี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังที่ วีณา ประชากูล และประสาท เนืองเฉลิม (2553) กล่าวว่า วิธีสอนแบบ
สืบเสาะหาความรู้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการ
ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าหาความรู้ โดยผู้สอนมีบทบาทในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้
กระบวนการทางความคดิ หาเหตุผล คน้ พบความรู้ หรือแนวทางในการแก้ไขปญั หาทถ่ี กู ต้องด้วยตนเอง

จากเหตุผลและความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีสืบเสาะหาความรู้ ผู้ศึกษา
คน้ คว้าได้ตระหนักในการจดั การเรียนรู้ทเี่ นน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคัญ ซ่งึ การพฒั นาด้วยวธิ กี ารสอนน้ี จะทำให้
ผเู้ รยี นได้ลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ สืบคน้ ความร้ดู ว้ ยตนเอง สง่ เสรมิ การใช้ความคดิ และสติปัญญา ฝึกให้ผู้เรียน
เปน็ คนชา่ งสังเกต ผู้เรยี นจะเกิดการเรียนร้วู รรณคดีอย่างมปี ระสิทธภิ าพ อีกทั้งช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้นาน
และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาทกั ษะทางสังคม ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข รวมไปถึงเป็นแนวทาง
ในการจัดการเรยี นรู้เพอื่ พฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวรรณคดี ให้บรรลเุ ปา้ หมายตามหลกั สูตร

4

วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดย

การสอนด้วยเทคนคิ สบื เสาะหาความรู้
2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชัน้ มัธยมศึกษา

ปที ่ี 3 ก่อนและหลังการสอนด้วยเทคนคิ สบื เสาะหาความรู้

สมมติฐานของการวิจยั
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ด้วยเทคนิคสืบเสาะหาความรู้

หลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน ทีร่ ะดบั นยั สำคัญ α=0.05

สมมติฐานทางสถติ ิ H1: A > B
H0: A = B

เมื่อ A = ผลสัมฤทธหิ์ ลังเรียน
B = ผลสมั ฤทธิก์ ่อนเรยี น

ขอบเขตของการวิจัย
การศึกษาครง้ั นี้ ผู้วิจยั ได้กำหนดขอบเขตของการวจิ ยั ดงั น้ี
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา ตำบล

คลองพไิ กร อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 3
ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 79 คน

2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา

ตำบลคลองพิไกร อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน
1 หอ้ งเรยี น มีนักเรียนจำนวน 20 คน ใช้วธิ กี ารสุ่มอย่างง่าย โดยใชห้ อ้ งเรียนเปน็ หน่วยสุ่ม

3. ตัวแปร
3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่
การสอนด้วยเทคนคิ สืบเสาะหาความรู้
3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท

5

4. เน้ือหา
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย คือ วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ซึ่งเป็นวรรณคดีที่อยู่ใน

ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดง
ความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รายวิชา ท23102 ภาษาไทย 6 ซึ่งวรรณคดีดังกล่าวปรากฏในหน่วยที่ 2
ทศั นาวรรณคดี

5. ระยะเวลาท่ีใช้ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบเรียน คาบเรียนละ 50

นาที เปน็ ระยะเวลา 6 คาบเรียน โดยไมร่ วมการสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น

กรอบแนวคดิ ของการวจิ ัย
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้กรอบแนวคิดในการศึกษา ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะ

หาความรู้ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา ดงั นี้

กรอบแนวคดิ การวจิ ัย

ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม

การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวรรณคดี
1) ข้นั สร้างความสนใจ (Engage) เรื่อง พระบรมราโชวาท
2) ขนั้ สำรวจ (Explore)
3) ขนั้ อธบิ าย (Explain)
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaborate)
5) ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluate)

ภาพ 1 แสดงกรอบแนวคิดของการวิจัย

6

คำนิยามศพั ท์เฉพาะ
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง

พระบรมราโชวาท มขี ้ันตอนในการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คอื
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engage) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนโดยการสร้างความสนใจของ

นักเรียน ผู้สอนอาจสร้างสถานการณ์หรือปัญหา ตลอดจนใช้สื่อต่าง ๆ ในการกระตุ้นและเร้าให้
นักเรียนเกดิ ความสนใจ สงสยั และเกิดคำถามในการเรียน

2) ข้ันสำรวจ (Explore) นกั เรียนจะเป็นผกู้ ำหนดแนวทางในการสำรวจคน้ ควา้ ข้อมูลที่สงสัย
หรอื ประเด็นทตี่ อ้ งการคน้ คว้าแล้วรวบรวมข้อมูลจากสื่อตา่ ง ๆ

3) ขั้นอธิบาย (Explain) เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลจากการสำรวจ ศึกษา ค้นคว้าแล้ว จึงนำ
ขอ้ มูลนน้ั มาวิเคราะห์ สรุปผลเปน็ ความรหู้ รือความคิดรวบยอด

4) ขั้นขยายความรู้ (Elaborate) นักเรียนนำเสนอความรู้หรือความคิดรวบยอดจากการ
วิเคราะหแ์ ละสรุปผล

5) ขั้นประเมินผล (Evaluate) ครูและนักเรียนเป็นผู้ประเมินผลการเรียนรู้จากการสรุปและ
สรา้ งองคค์ วามรู้

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ วรรณคดี
เร่ือง พระบรมราโชวาท

นักเรียน หมายถึง ผู้ที่กําลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 1 ภาคเรียนท่ี 2
ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรยี นพิไกรวิทยา จงั หวดั กำแพงเพชร

ประโยชนท์ ี่จะได้รบั จากการวจิ ยั
1. ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ได้จาก

วิธกี ารสอนและแบบทดสอบสำหรับพฒั นาทักษะของนกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3
2. ทำให้ครูผู้สอนสามารถนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางสำหรับวางแผนการสอน พัฒนา

หรอื แกไ้ ขปญั หาที่เกิดขึ้นในหอ้ งเรยี น เพือ่ ให้การเรยี นการสอนเกิดประโยชนส์ งู สุดตอ่ ผ้เู รียน
3. ทำให้ผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา สามารถนำข้อมูลที่ได้จาก

การวิจัย ไปประกอบการกำหนดแนวทาง วางแผนการจัดการเรยี นการสอน เพื่อเป็นการสนับสนนุ และ
สง่ เสรมิ ให้ครูผสู้ อนและผ้เู รียนบรรลุวัตถปุ ระสงค์ตามหลกั สตู ร

บทที่ 2

เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ยี วข้อง

การศึกษาเร่ือง “ผลของเทคนิคการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนพิไกรวทิ ยา” ผ้วู ิจยั ไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง โดยแบง่ เป็น 5 หัวขอ้ หลัก ดังน้ี

1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย

1.1 สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ และตวั ช้วี ดั รายปีของสาระการเรียนรภู้ าษาไทยระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 3

1.2 คำอธิบายรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนพิไกรวทิ ยา

1.3 โครงสรา้ งรายวชิ าภาษาไทย ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนพิไกรวทิ ยา

2. การเรยี นรู้
2.1 ความหมายของการเรียนรู้
2.2 ปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ การเรียนรู้
2.3 รปู แบบการเรยี นรู้
2.4 องค์ประกอบสำคญั ในการเรียนรู้

3. การเรียนวรรณคดี
3.1 ความหมายของวรรณคดี
3.2 ความสำคัญและคุณค่าของการเรยี นวรรณคดไี ทย
3.3 วตั ถปุ ระสงค์ของการสอนวรรณคดี
3.4 แนวทางการจดั การเรยี นการสอนวรรณคดีไทย

4. การจัดการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้
4.1 แนวคิดของวิธีการจัดการเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้
4.2 ความหมายของวธิ กี ารจัดการเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้
4.3 ขน้ั ตอนของวธิ กี ารจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้

5. งานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง

8

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ (2551, หน้า 37-38) กล่าวว่า ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็น

สมบตั ทิ างวัฒนธรรม อนั ก่อใหเ้ กิดความเปน็ เอกภาพและเสรมิ สร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความ
เป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้
สามารถประกอบการงาน กจิ ธรุ ะ และดำรงชวี ติ รว่ มกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันตสิ ขุ และเป็น
เครื่องมือในการแสวงหาประสบการณ์ ความรู้ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้
ทักษะ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ตลอดจนนําไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มี
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี
สุนทรยี ภาพ อีกทัง้ เปน็ สมบัติลำ้ ค่า ควรแก่การเรียนรู้ อนุรกั ษ์ และสบื สานใหค้ งอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
ท้งั น้ีภาษาไทยเป็นทักษะท่ีต้องฝึกฝน เพือ่ ใหเ้ กิดความชํานาญในการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร การเรียนรู้
อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เพอื่ นําไปใช้ในชีวติ จรงิ

การอา่ น การอา่ นออกเสียงคํา ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คาํ ประพนั ธ์ ชนดิ ต่าง ๆ การอ่าน
ในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนําไปปรับใช้ใน
ชวี ติ ประจำวนั

การเขียน การเขียนสะกดคําตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ การเขียน
เรียงความ ย่อความ เขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า เขียนตามจินตนาการ เขียนวิเคราะห์วิจารณ์
และเขยี นเชิงสร้างสรรค์

การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น
ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและ
ไม่เป็นทางการ และการพดู เพ่อื โนม้ นา้ วใจ

หลักการใช้ภาษาไทย ศึกษาธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้อง
เหมาะสมกบั โอกาสและบุคคล การแตง่ บทประพนั ธป์ ระเภทต่าง ๆ และอทิ ธิพลของภาษาตา่ งประเทศ
ในภาษาไทย

วรรณคดีและวรรณกรรม วเิ คราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด
คุณค่าของงานประพันธ์ และเพื่อความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจ บทเห่ บทร้องเล่น
ของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม
ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง
และภูมิใจในบรรพบรุ ษุ ท่ีได้สงั่ สมสืบทอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั

9

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดรายปีของสาระการเรียนรู้ภาษาไทยระดับช้ัน
มธั ยมศึกษาปที ่ี 3

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (2551, หน้า 44-55)
กำหนดให้กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทยมี 5 สาระ 5 มาตรฐานการเรียนรู้ ดงั นี้

สาระที่ 1 การอา่ น
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ
แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน โดยอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว และบทร้อยกรองได้
ถูกต้องและเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน ระบุความแตกต่างของคำที่มีความหมายโดยตรงและความหมาย
โดยนัย ระบุใจความสำคัญและรายละเอียดของข้อมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน อ่านเรื่องต่าง ๆ แล้ว
เขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความและรายงาน วิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินเรื่องที่
อ่านโดยใช้กลวิธีการเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ดีขึ้น ประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้
สนับสนุนในเรื่องที่อ่าน วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การลำดับความ และความเป็นไปได้ของเรื่อง
วเิ คราะห์เพอ่ื แสดงความคิดเห็นโต้แยง้ เก่ียวกับเรื่องท่อี ่าน ตคี วามและประเมนิ คุณคา่ และแนวคิดท่ีได้
จากงานเขียนอยา่ งหลากหลายเพ่ือนำไปใช้แก้ปญั หาในชีวติ และมีมารยาทในการอ่าน
สาระที่ 2 การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความและเขียน
เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด เขียนข้อความโดยใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องตามระดับ
ภาษา เขียนชีวประวัตหิ รืออัตชีวประวัตโิ ดยเล่าเหตุการณ์ ขอ้ คิดเห็น และทัศนคติในเร่ืองต่าง ๆ เขียน
ย่อความ เขียนจดหมายกิจธุระ เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็นและโต้แย้งอย่างมเี หตุผล เขียน
วิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเหน็ หรือโต้แยง้ ในเรอ่ื งตา่ ง ๆ กรอกแบบสมคั รงานพร้อม
เขียนบรรยายเกี่ยวกับความรู้และทักษะของตนเองที่เหมาะสมกับงาน เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า
และโครงงาน และมีมารยาทในการเขียน
สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้
ความคิดความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ โดยแสดงความคิดเห็น และ
ประเมินเรื่องจากการฟังและการดู วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องที่ฟังและดูเพื่อนำข้อคิดมาประยุกต์
ใช้ในการดำเนินชีวิต พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาค้นคว้าจากการฟัง การดู และการสนทนา
พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ พูดโน้มน้าวโดยนำเสนอหลักฐานตามลำดับเนื้อหาอย่างมี
เหตผุ ลและนา่ เชื่อถือ และมมี ารยาทในการฟัง การดู และการพดู

10

สาระที่ 4 หลกั การใชภ้ าษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ
ภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติโดยจำแนก
และใชค้ ำภาษาตา่ งประเทศท่ีใช้ในภาษาไทย วเิ คราะหโ์ ครงสร้างประโยคซับซ้อนวิเคราะห์ระดับภาษา
ใชค้ ำทับศพั ทแ์ ละศัพทบ์ ัญญัติ อธิบายความหมายคำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชพี และแตง่ บทร้อยกรอง
สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทย
อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ จริง โดยสรปุ เน้อื หาวรรณคดี วรรณกรรมและวรรณกรรม
ท้องถิ่นในระดับที่ยากยิ่งขึ้น วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน สรุป
ความรแู้ ละขอ้ คิดจากการอา่ น เพอื่ นำไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตจริง และท่องจำและบอกคุณคา่ บทอาขยาน
ตามทก่ี ำหนด และบทร้อยกรองที่มีคณุ คา่ ตามความสนใจและนำไปใช้อา้ งอิง
2. คำอธิบายรายและรหัสตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2
ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรยี นพไิ กรวทิ ยา
หลักสตู รสถานศกึ ษา โรงเรยี นพิไกรวทิ ยา พทุ ธศกั ราช 2562 (ฉบับปรับปรงุ 2560) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ให้คำอธิบายรายวิชาและรหัสตัวชี้วัด
รายวิชา ท23102 ภาษาไทย 6 ไว้ดงั น้ี
2.1 คำอธบิ ายรายวชิ า ท23102 ภาษาไทย 6

ศกึ ษา วิเคราะห์และฝึกปฏบิ ตั ิการอ่าน การเขยี น การฟัง การดแู ละการโดยอ่านในใจ
และอา่ นออกเสยี งตามลกั ษณะคำประพันธ์ ท่องจำบทประพันธ์ท่ีมคี ุณค่า อา่ นบทกวปี ระเภทกลอนบท
ละคร โคลง กาพย์ และบทกวรี ว่ มสมัย อ่านวรรณกรรมประเภทสารคดีเชิงประวัติ บทความ บันเทิงคดี
ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ เรื่องราวจากบทเรียนกลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ื่น ระบุ
ใจความสำคัญและรายละเอียด ความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลของข้อมูล แสดงความคิดเห็นโต้แย้ง
เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน เขียนข้อความตามสถานการณ์ต่าง ๆ เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น
วิเคราะห์ วิจารณ์และโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ กรอกแบบสมัครงาน และเขียนรายงาน แต่งบทร้อยกรอง
ประเภทโคลงสส่ี ุภาพ ฟงั ขอ้ ความเรื่องราวต่าง ๆ ดูส่อื สารสนเทศรปู แบบตา่ ง ๆ พูดแสดงความคิดเห็น
วิเคราะห์ วิจารณ์จากเรื่องที่อ่าน ฟังและดู พูดรายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น
และศกึ ษาหลักการใช้ภาษาเก่ยี วกับ คำยมื จากภาษาต่างบประเทศ ศพั ท์ทางวชิ าการและวิชาชีพ สรุป
เนอ้ื หาวรรณคดแี ละวรรณกรรมที่อา่ นเกีย่ วกับคำสอน เหตุการณ์ประวัตศิ าสตร์ บนั เทิงคดี วรรณกรรม
ท้องถิ่น วิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรม ท่องจำบทอาขยานและบทร้อยกรอง
ทีม่ คี ณุ คา่ ตามความสนใจ

11

โดยใช้กระบวนการสร้างความตระหนัก กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการเรยี นภาษา กระบวนการปฏบิ ัติ กระบวนการสร้างความคดิ รวบยอดและกระบวนการกลุ่ม
บนพน้ื ฐานของหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง

เพื่อให้มองเห็นคุณค่าความสำคัญของการใช้ตัวเลขไทยและภาษาไทยที่ถูกต้อง
นำความรู้จากการอ่าน การเขียน การฟงั การดู การพูด หลกั การใชภ้ าษา วรรณคดีและวรรณกรรม ไปใช้
ในการตัดสินใจแก้ปัญหาและการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาตน
ด้านประสบการณ์ ความรู้ การทำงาน และความบันเทิงได้ตรงตามจุดประสงค์ มีมารยาทในการใช้
ภาษาและมนี สิ ยั รักการอา่ นและเขยี น

2.2 รหัสตวั ชว้ี ัดรายวชิ า ท23102 ภาษาไทย 6
ท 1.1 ม.3/1, ม.3/3, ม.3/6, ม.3/7, ม.3/8, ม.3/9, ม.3/10
ท 2.1 ม.3/2, ม.3/6, ม.3/7, ม.3/8, ม.3/9, ม.3/10
ท 3.1 ม.3/1, ม.3/4, ม.3/5, ม.3/6
ท 4.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/5, ม.3/6
ท 5.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4
รวมท้ังหมด 25 ตัวช้วี ัด

3. โครงสร้างรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนพิไกรวิทยา

ตาราง 1 แสดงโครงสร้างรายวิชาภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2

ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนพิไกรวิทยา

หนว่ ย ช่ือหน่วยการเรียนรูแ้ ละสาระสำคญั ตัวชี้วัด เวลา น้ำหนกั
ที่ (ช่วั โมง) คะแนน

1 เรยี นรหู้ ลกั ประจกั ษภ์ าษา ท 4.1 13 14

การเรียนรู้หลักภาษาจะช่วยให้เข้าใจถึงหลักของการใช้ -ม.3/1

ภาษา เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ท่ี -ม.3/2

ชว่ ยยดึ ให้มนุษยม์ ีความผูกพันต่อกัน โดยแต่ละภาษาต่างจะมี -ม.3/5

ระเบียบแบบแผนของตน ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเอกลักษณ์ -ม.3/6

ไม่ว่าจะเป็นการแต่งคำประพันธ์ การใช้ภาษาในแต่ละระดับ

การยืมคำจากภาษาต่างประเทศ รวมไปถึงการใช้คำทับศัพท์

และศัพท์บัญญัติ ล้วนแสดงให้เห็นว่า ภาษาไทยมีหลักเกณฑ์

ท้ังส้นิ

12

ตาราง 1 (ต่อ)

หน่วย ชื่อหน่วยการเรยี นรู้และสาระสำคัญ ตวั ชี้วัด เวลา น้ำหนัก
ที่ (ชั่วโมง) คะแนน

2 ทัศนาวรรณคดี ท 5.1 18 15

วรรณคดีและวรรณกรรมเปน็ ศิลปะแขนงหนึ่งที่มคี ุณคา่ -ม.3/1 10 7

ทางด้านภาษาสติปัญญาและอารมณ์ โดยจะต้องศึกษา -ม.3/2 8 7

องค์ประกอบของวรรณคดีทางด้านต่าง ๆ ทั้งรูปแบบ เนื้อหา -ม.3/3

และภาษา ซึ่งจะทำให้เกิดความซาบซึ้งในสุนทรียภาพของ -ม.3/4

วรรณคดีและวรรณกรรม ตลอดจนเข้าใจคุณค่าของศิลปะ

ภาษา ซึ่งเป็นแนวทางส่งเสริมให้มีการพัฒนาการทางด้าน

จติ ใจ ซง่ึ จะกอ่ ใหเ้ กิดความรสู้ กึ ทจี่ ะเชิดชู ทำนบุ ำรุงภาษาไทย

อันเปน็ ภาษาประจำชาติ

3 งามวิถีนักอ่าน ท 1.1

การอ่าน คือ กระบวนการในการรับรู้และเข้าใจสารที่ -ม.3/1

เปน็ ลายลักษณอ์ ักษร จากนนั้ จงึ แปรสญั ลักษณ์อักษรเหล่านั้น -ม.3/3

เป็นความรู้ โดยอาศัยทักษะการอ่าน ทักษะการสรุปใจความ -ม.3/6

สำคัญกระบนการคิด ประสบการณ์และความรู้ของผู้อ่าน ซึ่ง -ม.3/7

ไม่เพยี งแต่จะรบั สาระของสารเพียงเท่าน้ัน แตย่ ังสามารถรับรู้ -ม.3/8

ทรรศนะ เจตนา อารมณ์ และความรู้สกึ ของผเู้ ขยี นทถ่ี า่ ยทอด -ม.3/9

มาในสารอีกด้วย จึงจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะการ -ม.3/10

อ่านเพื่อให้เข้าใจและถ่ายทอดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของ

ผ้เู ขยี นพร้อมทัง้ มีมารยาทในการอา่ น

4 จารอักขระ ท 2.1

การเขียน เป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อความ -ม.3/2

เจริญก้าวหน้าของมนุษย์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร -ม.3/6

ดังนั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องศึกษาวิธีการเขียนในรูปแบบต่าง -ม.3/7

ๆ ให้เกิดความชำนาญ ใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสม โดย -ม.3/8

คำนึงถึงสถานภาพของบุคคลและโอกาส นอกจากนี้ ยังต้อง -ม.3/9

ศึกษารูปแบบหลักการเขียนประเภทต่าง ๆ เพื่อให้สามารถ -ม.3/10

เขยี นสอ่ื สารกับผอู้ ืน่ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

13

ตาราง 1 (ต่อ)

หนว่ ย ชอ่ื หน่วยการเรียนรูแ้ ละสาระสำคัญ ตวั ชวี้ ัด เวลา น้ำหนกั
ที่ (ช่ัวโมง) คะแนน

5 ทกั ษะการฟัง การดู และการพดู ท 3.1 8 7

การฟัง การดู และการพูดก็เป็นการสื่อสารแลกเปลี่ยน -ม.3/1 50
20
แสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ได้ฟังและดู ดังนั้น จึงควรฝึก -ม.3/4 30
100
ทักษะการฟัง การดู และการพูดให้เกิดความชำนาญ เพ่ือ -ม.3/5

นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีมารยาทและมี -ม.3/6

ประสทิ ธภิ าพในการส่ือสาร

รวม 56

สอบกลางภาคเรียน 2

สอบปลายภาคเรียน 2

รวมตลอดภาคเรียน 60

ทม่ี า: หลักสูตรสถานศกึ ษา โรงเรียนพไิ กรวิทยา พุทธศกั ราช 2562 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560)

ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

ผ้วู ิจยั เลือกใช้หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 ทัศนาวรรณคดี ในการทดลอง เนอื้ หาวรรณคดีทเี่ ลือก
จากหน่วยการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ เรือ่ ง พระบรมราโชวาท จำนวน 4 คาบ ดังตารางที่ 2

ตาราง 2 แสดงรายละเอยี ดหน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 ทศั นาวรรณคดี เรื่อง พระบรมราโชวาท

หนว่ ยการเรียนรู้ เรอ่ื งท่เี รียน จำนวน มาตรฐาน/ตวั ชี้วดั
(ชวั่ โมง)

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 พระบรมราโชวาท 6 ท 5.1

ทัศนาวรรณคดี -ม.3/1 สรุปเน้ือหาวรรณคดี วรรณกรรม

และวรรณกรรมทอ้ งถนิ่ ในระดบั ที่ยากยิง่ ขนึ้

-ม.3/2 วเิ คราะห์วถิ ีไทยและคณุ ค่าจากวรรณคดี

และวรรณกรรมท่ีอา่ น

-ม.3/3 สรุปความรแู้ ละข้อคิดจากการอ่าน

เพอ่ื นำไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตจรงิ

14

การเรยี นรู้
1. ความหมายของการเรยี นรู้
การเรียรู้เป็นกระบวนการที่บุคคลได้พยายามปรับพฤติกรรมของตนเพื่อเข้ากับ

สภาพแวดลอ้ มตามสถานการณ์ต่าง ๆ จนสามารถบรรลถุ ึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งเปา้ หมาย
ไว้ (Presseey, et al., 1959 อา้ งองิ ใน อารี พันธม์ ณี, 2534) ในขณะที่ ฮิลการด์ และเบาเวอร์ (Hilgard
and Bower), 1975 อ้างอิงใน ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2534) ให้ความหมายของการเรียนรู้ว่า
เป็นกระบวนการที่ทำให้พฤติกรรมเปลีย่ นแปลงไปจากเดิมอันเป็นผลจาก การฝึกฝนและประสบการณ์
แต่ไม่ใช่เป็นผลจากการตอบสนองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น วุฒิภาวะ สัญชาติญาณ หรือจากการ
เปลี่ยนแปลงชว่ั คราวของร่างกาย เชน่ พิษของยา ความเม่ือยลา้ เปน็ ต้น

เชียรศรี วิวิธสิริ (2527) ก็ได้กล่าวถึงการเรียนรู้ไว้ว่า เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมอันเป็นผลเนื่องมาจากการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ที่เกิดขึ้นในตัวบุคคล หรือบุคคลกับ
ส่ิงแวดล้อม ท้ังนี้ เพ่อื ช่วยใหบ้ ุคคลสามารถแก้ไขปัญหาหรือปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ส่ิงแวดล้อมได้
ส่วนทายเลอร์และลีแกนส์ ให้ความหมายของการเรียนรู้ไว้เช่นกันว่า การเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลง
ไปสพู่ ฤตกิ รรมที่ค่อนข้างถาวรซ่ึงเปน็ ผลมาจากการฝึกหรือประสบการณ์ (Tyler and Leagans, 1971
อ้างอิงใน พศิน แตงจวง, 2537) สอดคล้องกับ อารี พันธ์มณี (2534, หน้า 86) ที่กล่าวว่าการเรียนรู้
เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากเดิมไปสู่พฤติกรรมใหม่ท่ีค่อนข้างถาวรและพฤติกรรมใหม่
นี้เป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือประสบการณ์ มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตามธรรมชาต วุฒิภาวะ
สัญชาตญาณ ความบังเอญิ อบุ ัตเิ หตุ หรอื พษิ ยาตา่ ง ๆ

จากความหมายของการเรียนรู้ข้างตน้ ที่กล่าวมา สามารถสรุปความหมายของการเรียนรู้
ได้ว่า การเรียนรู้ คือกระบวนการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจากการฝึกฝน
ประสบการณ์ หรือปฏิสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นในตัวบุคคล และการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่
คอ่ นข้างถาวร

2. ปจั จัยทมี่ ผี ลตอ่ การเรียนรู้
อบุ ลรัตน์ เพ็งสถิตย์, 2528 อา้ งองิ ใน อารี พันธ์มณี (2534) กลา่ ววา่ การท่ีบุคคลจะเรียนรู้

ได้ดีมากน้อยเพยี งใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กบั ปัจจัยที่สำคัญหลายประการ และปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของ
การเรียนรปู้ ระกอบดว้ ย ดังนี้

1) สมองและระบบประสาท
สมองและระบบประสาทนับว่าเป็นองค์ประกอบแรกสุดที่มีความสำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้

ของบคุ คล การเรียนรใู้ ด ๆ ก็ตาม จะเกดิ ขนึ้ ไม่ได้หรือจะเรียนรู้ได้ไม่ดี ถ้าบุคคลนัน้ มีความผิดปกติทาง
สมอง

15

2) ระดับสติปญั ญาและความสามารถของแตล่ ะบุคคล
บุคลที่มีระดับสติปัญญาสูง มักจะมีความสามารถหรือทักษะในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้

อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากกว่าบุคคลที่มีระดับสติปัญญาต่ำ แม้งานที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน
ผู้เรยี นที่มรี ะดบั สติปญั ญาสงู มักจะเรยี นรู้สงิ่ นน้ั ๆ ได้สะดวกและรวดเร็วกว่าผูท้ ี่มรี ะดบั สตปิ ัญญาต่ำ

3) การจำการลืม
การจำมีส่วนช่วยให้การเรียนรู้ประสบผลสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและเรียนรู้ได้ดี ส่วน

การลืมเป็นอุปสรรคอันสำคัญ เพราะจะทำให้การเรียนรู้ไม่เกิดข้ึน เป็นท่ีน่าสังเกต ท้งั การจำ และการลืม
นีจ้ ะเป็นสง่ิ ทีเ่ กดิ ข้นึ เสมอ ๆ ในการเรียนรู้

4) แรงจงู ใจในการเรียนรู้
แรงจูงใจในการเรียนรู้ทำให้ผู้เรียนอยากที่จะเรียนรู้ ซึ่งมีสาเหตุ 2 ประการ คือ

แรงจูงใจเนื่องมาจากผู้เรียนและแรงจูงใจอันเป็นผลมาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนเกิด
ความรู้สกึ อยากเรยี นมากน้อยต่างกัน และถา้ ผเู้ รียนมีความรู้สึกอยากเรียน เตม็ ใจและพร้อมที่จะเรียน
แล้ว นั่นแสดงวา่ ผเู้ รียนเกดิ แรงจูงใจทีจ่ ะทำให้ผ้เู รยี น เรยี นรูไ้ ด้อย่างรวดเรว็

5) ความเหนอื่ ยล้ากบั การเรียนรู้
ความเหนอื่ ยลา้ ทำให้ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและการเรยี นรู้ ที่เกิดขึ้น

ได้ยาก แม้ว่าบุคคลนั้นมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้หรือมีความพากเพียรและใช้ความพยายามเท่าใดก็ไม่
สามารถทำให้การเรียนรู้ประสบผลสำเร็จได้ ความรู้สึกเหนื่อยไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย ทางจิตใจ หรือ
ทางสมอง ควรไดร้ บั การพัก เพื่อให้การเรียนรูเ้ ป็นการเรียนรทู้ ีม่ ีประสทิ ธภิ าพ

6) ความตั้งใจและความสนใจทีจ่ ะเรียนรู้
ในการเรียนรู้ถ้าผู้เรียนขาดความตัง้ ใจ ขาดความสนใจในการที่จะเรียนรู้แล้วจะทำให้

ผู้เรียนมีการเรียนรู้ไม่ดีเท่าที่ควร ในบางคร้ังการเรียนรู้อาจจะเกิดได้ช้ามากหรือไม่เกิดการเรียนรู้เลย
ก็ได้ ฉะนั้น การที่ผู้เรียนจะเรียนรู้สิ่งใดให้ได้ผลดีนั้น จึงควรเริ่มต้นมาจากความตั้งใจและความสนใจ
ทอี่ ยากจะเรยี นรู้สิ่งนั้น ๆ

7) สภาพการณท์ จี่ ะก่อใหเ้ กิดการเรียน
ในการเรยี นรู้ ถา้ ผเู้ รียนได้รบั การเรียนรู้ตามสถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกับ

สภาพการณ์ที่มองดูสมจริง ย่อมทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น เช่น การหัดขับรถ ถ้าเราเพียงแต่บอก
วิธีการโดยไม่ให้ผู้เรียนได้ทดลองขับด้วยตนเอง ผลก็คือ ทำให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่เหมาะสม
เป็นต้น

จากปัจจัยที่มีผลต่อการเรยี นรู้ที่ได้กล่าวมาแล้วขา้ งต้นน้ัน สามารถสรุปได้ว่า สมองและ
ระบบประสาท ระดบั สตปิ ัญญาและความสามารถของแต่ละบุคคล การจำการลมื แรงจงู ใจในการเรียนรู้
ความเหนื่อยล้ากับการเรียนรู้ ความตั้งใจและความสนใจที่จะเรียนรู้ และสภาพการณ์ที่จะก่อให้เกิด
การเรยี น ลว้ นมผี ลต่อการเรียนรู้ของผเู้ รยี นท้ังส้ิน

16

3. รปู แบบการเรยี นรู้
มานพ ศรีดุลยโชติ, 2534, หน้า 1-4 อ้างอิงใน มาลี จุฑา (2544, หน้า 70) ได้กล่าวว่า บุคคล

มีวิธีการเรียนรแู้ ละแกป้ ัญหาในรูปแบบทีแ่ ตกต่างกันโดยสรุปได้ 4 รูปแบบ คอื
1) สร้างประสบการณ์ให้แน่นแฟ้น (Concrete Experience; CE) เป็นวิธีการเรียนรู้ใน

ลกั ษณะให้ร้จู ริง ซึ่งความรู้ท้งั มวลจะติดตัวบุคคลน้ันไปตลอด เช่น บคุ คลได้เรียนรู้ว่า ไฟมีความร้อนหากไป
จับต้องจะทำให้ผู้ที่ไปจับต้องนั้นได้รับอันตราย ซึ่งจะนานเท่าไรบุคคลก็ยังจำความรู้ที่ได้รับจาก
ประสบการณน์ ไ้ี ด้ เป็นตน้

2) สังเกตปรากฏการณ์ทเี่ กิดข้ึน (Reflective Observation; RO) เปน็ วธิ ีการเรียนรู้ด้วย
วิธีการสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วสรุปเป็นความรู้ต่อไป เช่น บุคคลจะสังเกตว่า เมื่อมี
ปรากฏการณ์อากาศร้อนอบอ้าว คือ ร้อนผิดปกติ หลังจากนั้นไม่นานจะมีฝนตกเกิดขึ้น ก็สรุป เป็น
ความร้วู ่า กอ่ นฝนจะตกจะมีการเปล่ียนสถานะจากไอน้ำมาเป็นหยดน้ำ มีการคายความร้อนแฝง ทำให้เกิด
ปรากฏการณอ์ ากาศรอ้ นอบอ้าว เปน็ ตน้

3) เกิดความคิดในเชิงนามธรรม (Abstract Conception; AC) เป็นการเรียนรู้ที่ใช้
ความคิดในการพินิจพิจารณาปรากฏการณ์หรือความรู้ทั้งปวง แล้วสร้างเป็นหลักการขึ้น โดยใช้หลัก
เหตุและผล เช่น บุคคลพยายามเรียนรู้ความหมายของคำว่า “ยุติธรรม” ซึ่งเป็นนามธรรม บุคคลจะ
พินิจพิจารณาพฤติกรรมที่แสดงถึงความหมายของคำว่า “ยุติธรรม” โดยใช้หลักเหตุผลแล้ว สรุปว่า
ยุตธิ รรม คอื ความพอใจของผู้ที่เก่ยี วข้อง เปน็ ต้น

4) ชอบการทดลอง (Active Experimentation; AE) เปน็ วธิ ีการเรียนรู้ที่เกิดจากการทดลอง
เช่น บุคคลทำการทดลองแยกน้ำด้วยกระแสไฟฟ้า จะได้ปริมาตรของก๊าซไฮโดรเจน 2 ส่วน ต่อก๊าซ
ออกซิเจน 1 ส่วน บุคคลย่อมเรียนรู้ว่า น้ำประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจนในปริมาตร 2:1
เปน็ ตน้

ในขณะท่ี เชยี รศรี ววิ ธิ สริ ิ (2527, หน้า 127) กลา่ วว่า มนุษยจ์ ะใชว้ ิธีการเรียนรู้ได้หลาย
วิธี ดังต่อไปน้ี

1) การเรียนรูแ้ บบถอื ผิดเปน็ ครู เป็นการลองผิดลองถกู ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งทำได้สำเร็จ
เป็นการไม่ใช้เหตุผลแกไ้ ขปัญหา การลองทำอาจเกดิ ความเสยี หายหรือเกิดอันตรายขึ้นได้

2) การเรียนรู้ด้วยการกระทำซ้ำ ๆ หรือการฝึกหัดอยู่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดความ ชำนาญ
เปน็ ผลดีแกก่ ารเรยี น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาท่ีเก่ียวกับทักษะ เช่น การเรยี นภาษา การเลน่ กีฬาต่าง ๆ
การเพนท์สี เป็นตน้

3) การเรียนรู้ด้วยการสังเกตพิจารณา โดยอาศัยประสาทสัมผัสสิ่งเร้าเป็นเครื่องช่วยใน
การสังเกตพิจารณา จัดเป็นการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยเหตุผล อำนวยประโยชน์ให้มาก ควรสนับสนุน
เช่น การสังเกตพฤติกรรมในการซื้ออาหารว่า มีบางร้านที่คนมาใช้บริการมาก ซึ่งต่อมากทราบว่า
ร้านอาหารร้านน้ันเปน็ ร้านท่ีทำอาหารอร่อย คนจงึ มาใช้บริการมาก เปน็ ต้น

17

4) การเรยี นร้ดู ว้ ยการกระทำ โดยไมม่ ีสิง่ เร้า การเรียนรู้วธิ นี ้จี ะเกิดขน้ึ มากน้อยต่อไปเพียงใด
ขึ้นอยกู่ ับการเสรมิ แรง หากไมม่ กี ารเสรมิ แรง พฤตกิ รรมน้นั ๆ จะหายไปเอง และไม่เกดิ การเรยี นรู้

5) การเรียนโดยใช้สติปัญญา เป็นเรื่องของความเข้าใจ ความคิดพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
อาศยั ความสามารถทางสมองเป็นสำคัญ

จากรูปแบบการเรียนนรขู้ า้ งต้น สามารถสรปุ ไดว้ า่ ผเู้ รยี นสามารถเรยี นรไู้ ด้อย่างหลายวิธี
เช่น การสังเกต การทดลอง การลงมือปฏิบัติ เป็นต้น ซึ่งเป็นการทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤตกิ รรมจากเดิมไปสพู่ ฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวร

4. องคป์ ระกอบสำคญั ในการเรยี นรู้
ดอลลาร์ด และมิลเลอร์ (Dollard and Miller, n.d) อ้างอิงใน อารี พันธ์มณี (2534,

หนา้ 88) กลา่ วว่า การเรียนรูป้ ระกอบดว้ ยส่ิงตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1) แรงขับ (Drive) เกิดขนึ้ เม่ือส่ิงมีชีวิตขาดสมดุล เช่น ขาดการพักผ่อน ขาดอาหาร ขาดน้ำ

ฯลฯ ภาวะเหล่านจ้ี ะกระตุ้นให้อนิ ทรียแ์ สดงพฤตกิ รรม เพือ่ ปรบั ให้อินทรียอ์ ย่ใู นสภาพสมดุลอยา่ งเดิม
2) สิ่งเร้า (Stimulus) เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้อินทรีย์แสดงกิจกรรมโต้ตอบออกมา ซึ่งเป็น

ตวั กำหนดพฤตกิ รรมตอบสนองของร่างกาย
3) การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นการกระทำให้สิ่งเร้าและการตอบสนองมี

ความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น เช่น เมื่อนักเรียนทำคณิตศาสตร์ได้ถูกต้องก็เป็นการเสริมแรง โดยใน
การเสรมิ แรงนี้จะทำใหน้ กั เรียนอยากเรยี นคณติ ศาสตร์ในคราวตอ่ ไป

การเรียนวรรณคดี
1. ความหมายของวรรณคดี
ราชบัณฑิตยสถาน (2556) ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดี หมายถึง

วรรณกรรมที่ได้รับยกยอ่ งว่าแต่งดี มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ เช่น มัทนะพาธา สามก๊ก เสภาเรื่องขุนช้าง
ขุนแผน พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น สอดคล้องกับ กุหลาบ มัลลิกะมาส (2517) ท่ีกล่าวว่า
วรรณคดี เป็นวรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีวรรณศิลป์ มีศิลปะการเรียบเรียงที่ดี เพื่อ
ความสะเทือนใจ ในทำนองเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2558) ก็ได้ให้
ความหมายของวรรณคดีไว้เช่นกันว่า วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ ยกย่องกันว่า
เขียนดีและมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิดเป็นแบบแผน
ใช้ภาษาไพเราะเหมาะแก่การให้ประชาชนได้อ่าน เนื่องจากสามารถกล่อมเกลาจิตใจให้ประณีต
รู้จักผิดชอบชั่วดี นอกจากนี้ ทัศนีย์ ศุภเมธี (2542) ก็ยังได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้อีกเช่นกันว่า
เป็นหนังสือที่กวีแต่งขึ้นโดยใช้ศิลปะในการแต่ง ที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกประทับใจและได้รับความสนุกสนาน
เพลดิ เพลนิ ผู้อ่านเกิดมโนภาพและเกิดความรู้สึกต่าง ๆ รว่ มไปกับผแู้ ต่ง ทงั้ ยงั สอดแทรกความรู้ เจตคติ
ตลอดจนสภาพความเป็นไปของสงั คมแต่ละสมยั

18

จากความหมายของวรรณคดีที่ได้กล่าวในข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า วรรณคดีหมายถึง
เรื่องราวหรืองานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีการใช้ถ้อยคำสละสลวย ไพเราะกินใจ มีเนื้อหา
สนุกสนานบันเทิง สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการ เกิดอารมณ์คล้อยตาม และรู้สึกสะเทือนใจ
นอกจากนี้ ยังมีคุณค่าให้แง่คิดขัดเกลาจิตใจและบอกเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นมาของคนไทยและ
สงั คมในอดีตได้อกี ด้วย

2. ความสำคญั และคณุ คา่ ของการเรียนวรรณคดีไทย
กุหลาบ มัลลิกะมาส (2527) กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดีไว้ สรุปได้ว่า วรรณคดีเป็น

เครอ่ื งมือส่ือสารและเป็นเครื่องเชื่อม/สร้างภาพอนั สมบรู ณ์ทางดา้ นความรสู้ ง่ เสริมทักษะการฟงั การพูด
การอ่าน การเขียน และการคิด อีกทั้งยังทำให้มนุษย์เกิดพัฒนาการทางด้านต่าง ๆ ได้แก่ ปัญญา
วัฒนธรรม ความรูส้ กึ และความสำนึกต่อสังคม และยงั สร้างลักษณะนิสัยให้มนุษย์เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพ
และจิตใจทีง่ ดงาม

ประดิษฐ์ กลดั ประเสริฐ (2522) ได้กล่าวถงึ คณุ คา่ ทสี่ ำคญั ของวรรณคดีไว้ ดงั นี้
1) คุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value) คือ วรรณคดีทำให้เกิดความสนุกสนานหรือ
สะเทอื นอามรณ์ทางใดทางหน่ึง เชน่ รัก โกรธ เกลียด ภูมใิ จ เสยี สละ เห็นใจ และชว่ ยใหเ้ กดิ พัฒนาการ
ทางอารมรณ์ยกระดบั จิตใจและส่งเสริมจนิ ตนาการ
2) คณุ ค่าทางสตปิ ญั ญา (Intellectual Value) คอื วรรณคดีให้ความรใู้ นด้านต่าง ๆ เช่น
ประวัติศาสตร์ สังคม วฒั นธรรม ภาษา เสรมิ สรา้ งประสบการณช์ ีวิตให้แก่ผู้อา่ น ช่วยให้ความคิดเจริญ
งอกงามทำให้เขา้ ใจในชีวิตและโลกย่งิ ข้นึ
3) คุณค่าทางศีลธรรม (Moral Value) คือ วรรณคดีช่วยบำรุงรักษาศีลธรรมของสังคม
ทำให้สังคมสงบสุขเจริญงอกงาม ทำให้มนุษยอ์ ยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมคี วามสุขและเขา้ ใจกนั
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2558) ก็ได้กล่าวถึงความสำคัญและ
คณุ ค่าของวรรณคดีวรรณกรรมไทยไว้ สรปุ ได้วา่ วรรณคดเี ป็นงานอนั ล้ำค่าที่มนุษยส์ ร้างสรรค์ข้ึน และ
สื่อสารเรื่องราวของชีวิต วัฒนธรรม และอารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องหรือสะท้อนความเป็นไปของ
มนุษย์ด้วยกลวิธีการใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษาที่มีความเหมือนหรือแตกต่างกันไป เมื่อผู้อ่านได้อ่าน
วรรณคดแี ลว้ จะสามารถเหน็ ถงึ คุณคา่ ของวรรณคดีในแง่มุมตา่ ง ๆ ดังนี้
1) คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ เป็นการใช้กลวิธีในการแต่งการเลือกใช้ถ้อยคำที่ไพเราะ
การใชภ้ าษาท่สี ละสลวย การใช้ถ้อยคำสรา้ งภาพได้ชดั เจน
2) คุณค่าทางปัญญา ผู้อ่านจะได้รับความรู้มากยิ่งขึ้น ทั้งด้านวิทยาการความรู้รอบตัว
และรู้เท่าทันคน วรรณคดีบางเรื่องทำให้ผู้อ่านเห็นเล่ห์เหลี่ยม นิสัยใจคอ และความคิดของคน เช่น
เรื่องสามก๊ก ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) นอกจากนี้ ยังได้เห็นถึงสัจธรรมหรือธรรมที่ผู้อ่านสามารถ
นำมาใช้ประโยชน์หรือเป็นแนวปฏบิ ัติในชีวติ จริงได้ เช่น โคลงโลกนิติ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ
กรมพระยาเดชาดิศร เปน็ ต้น

19

3) คุณค่าทางสังคม เป็นคุณค่าในด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ
ประวัติศาสตร์ เกียรติภูมิบุคคลสำคัญของชาติ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้เข้าใจการดำเนินชีวิต และ
ความคิดของมนษุ ย์ ส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดวามเห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละพัฒนาสงั คม ช่วยอนุรกั ษ์
สิง่ ท่มี คี ุณค่าของชาติและสนบั สนุนการกระทำทีด่ ีงาม

จากแนวคิดข้างต้น สามารถสรุปความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีได้ว่าวรรณคดีและ
วรรณกรรมไทย เป็นผลงานอันทรงคณุ คา่ ท่สี ืบทอดมาตง้ั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั วรรณคดวี รรณกรรมไทย
ให้ความสนุกสนานและความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ให้คุณค่าทางด้านอารมณ์ เนื้อหา และคุณค่าด้านสังคม
กล่าวคือ วรรณคดีทำให้เกิดอารมณ์คล้อยตามและสะเทือนใจ สอดแทรกความรู้แนวคิดคติธรรมและ
ความงดงามทางภาษา นอกจากน้ี วรรณคดยี ังเป็นสื่อในการบอกเล่าเรื่องราวชีวติ และสภาพทางสังคม
ของคนไทยในอดีตได้อีกดว้ ย

3. วัตถปุ ระสงค์ของการสอนวรรณคดี
ประภาศรี สีหอำไพ (2535) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีว่า ควรให้

นักเรียนมีความรู้ในเนื้อเรื่องอย่างชัดเจน เข้าใจรูปแบบวรรณคดี เข้าใจฉันทลักษณ์ สามารถถอด
คำประพันธ์ ตลอดจนวิเคราะห์ วิจารณ์ จนเกิดความคิด จินตนาการ และมีสุนทรียภาพ จากเรื่อง
รวมทั้งสามารถที่จะเรียนรู้ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อจากเรื่องที่เรียน ในขณะที่ ทัศนีย์ ศุภเมธี
(2542) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีไว้ สรุปได้ว่า การเรียนการสอน วรรณคดีเป็นการฝึก
ให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะทางภาษา ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์
ทางด้านภาษาและรูปแบบคำประพันธช์ นดิ ตา่ ง ๆ โดยสอนให้ผู้เรยี นได้รับความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ
ได้รับความไพเราะ จนเกิดเป็นความซาบซึ้งใจในวรรณคดีนอกจากนี้ เนื้อหาวรรณคดียังสอดแทรก
ความรู้ ข้อคิด ประเพณี วัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่สามารถสอนให้ผู้เรียนได้เข้าใจสภาพชีวิตและ
ความเป็นอยู่ของคนในสมัยนนั้ ๆ รวมถึงเพื่อให้ผู้เรยี นรจู้ ักสังเกตลักษณะนิสยั ของตัวละคร พฤติกรรม
ของตัวละครมาเปรยี บเทียบกับชีวติ จริง ในทำนองเดียวกัน สจุ รติ เพียรชอบ และสายใจ อนิ ทรัมพรรย์
(2538) ก็ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการสอนวรรณคดีไทยว่า ครูต้องสอนวรรณคดีไทยให้สนุกสนาน
เพลิดเพลินและสร้างให้นักเรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อวรรณคดีไทย เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจ
ความหมายของคำว่า วรรณคดี ลักษณะรปู แบบและขอ้ บงั คบั ของวรรณคดเี รื่องต่าง ๆ สามารถอ่านทำ
ความเข้าใจวิเคราะห์เรื่องราวความหมายและคำศัพท์ในเรื่องได้ รวมถึงนักเรียนสามารถวิพากษ์
วิจารณ์เนื้อหาและพฤติกรรมของตัวละคร เข้าถึงอรรถรสของเรื่องราว จนกระทั่งเห็นคุณค่าของ
วรรณคดีสามารถนำคตแิ นวคดิ ขอ้ คิดตา่ ง ๆ จากวรรณคดีไทยมาใช้ในชวี ิตไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง

20

จากวัตถุประสงค์ในการสอนวรรณคดีข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การสอนวรรณคดีมี
วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจวรรณคดีทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหา เมื่อผู้เรียนได้เรียนวรรณคดี
จะทำให้ได้สาระความรู้ข้อคิดแนวคิดต่าง ๆ จากเรื่อง สามารถวิพากษ์ วิจารณ์เหตุการณ์หรือ
พฤติกรรมของตัวละครได้อย่างเหมาะสม เกิดความซาบซึ้ง กินใจ ทั้งยังได้รับความสนุ กสนาน
เพลดิ เพลนิ รวมถึงได้เรียนร้ปู ระสบการณ์ต่าง ๆ ท่ปี รากฏในวรรณคดีและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ จริงได้

4. แนวทางการจัดการเรยี นการสอนวรรณคดีไทย
ทัศนีย์ ศุภเมธี (2542) กล่าวถึงแนวทางและความสำคัญในการสอนวรรณคดีไว้สรุปได้

ดังน้ี
1) ครูควรสอนโดยการยั่วยุให้นักเรียนเกิดความคิดและตีความเรื่องราวจากวรรณคดีให้

นกั เรยี นช่วยกนั วเิ คราะหว์ จิ ารณส์ รปุ แนวคิดต่าง ๆ จากการอา่ นวรรณคดี ไม่ควรเข้มงวดหรือบังคับให้
ผเู้ รียนท่องจำเนื้อหาวรรณคดี เพราะจะทำใหน้ ักเรียนเกิดความเบ่อื หนา่ ย

2) ครูควรจูงใจผู้เรียนด้วยการอ่านคำประพันธ์ที่มีความไพเราะ ให้นักเรียนเกิดความ
ซาบซึ้งในลีลาและความไพเราะของถ้อยคำ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกอ่านทำนองเสนาะเป็นกลุ่ม
เพราะผเู้ รียนแตล่ ะคนมีความสามารถไม่เท่ากนั อาจทำให้นักเรียนบางคนรสู้ ึกอาย

3) ครูควรบูรณาการ การเรียนรู้เนื้อหาวรรณคดีวรรณกรรมกับเนื้อหาอื่น ๆ ทั้งการฟัง
การพูด การอ่าน และการเขียน โดยให้สัมพันธ์กับกระบวนการคิด สามารถวิจารณ์ บอกแก่นความคดิ
แนวความคิด หรอื ข้อคดิ จากการฟงั และอา่ นได้ รวมถึงใช้วรรณคดเี ป็นส่อื ในการเรียนร้เู รื่องต่าง ๆ เช่น
คำศัพท์ สำนวน เป็นต้น เข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์และสภาพสังคมไทยที่เกี่ยวกับศาสนา
ขนบธรรมเนยี ม ความเชอ่ื ประเพณี และศิลปวัฒนธรรม

4) ครคู วรสร้างศรัทธาให้ผู้เรยี นรักและนิยมชมชอบ เนอ่ื งจากจะเป็นการง่ายต่อการจูงใจ
ชี้แนะแนวทางในการเรียนแกผ่ ูเ้ รียน

5) ครคู วรจัดกจิ กรรมการเรียนรูท้ ส่ี นุกสนานแปลกใหม่ เช่น แสดงบทบาสมมติการแสดง
ละคร การเล่นเกม การรอ้ งเพลง จดั นทิ รรศการ หรอื วาดภาพ

6) ครคู วรมคี วามเข้าใจและความคิดรวบยอดในเร่ืองท่ีจะสอนอย่างแม่นยำถ่ายทอดผ่าน
กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน เพอ่ื ให้ผูเ้ รียนสามารถเขา้ ถึงความคดิ รวบยอดน้ัน ๆ ได้เอง

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2558); สุจริต เพียรชอบ และสายใจ
อินทรัมพรรย์ (2538) ได้กล่าวถึงแนวทางในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทยไปในทางเดียวกัน
สามารถสรุปได้เป็นดา้ นตา่ ง ๆ ดังนี้

21

1) ดา้ นผ้เู รียน
ในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย ครูควรคำนึงถึงความแตกต่างของนักเรียน

คอยให้ความช่วยเหลือและแนะนำ ยึดหลักนักเรียนเป็นสำคัญโดยจะต้องพยายาม ใหน้ กั เรียนมสี ่วน
รว่ มในการเรียนการสอนมากทสี่ ดุ เปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ อยา่ งเสรี เพอ่ื ให้นักเรียน
ไดค้ ดิ เพอื่ นำไปสู่การตดั สินใจอย่างมีเหตุผล ซ่งึ ครตู อ้ งยอมรบั และเคารพความคดิ เห็นของนักเรียน

2) ด้านเนอื้ หา
ในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมไทย ควรจัดการเรียนการสอน

แบบบูรณาการใหส้ ัมพันธ์กับหลักภาษาและทักษะการใช้ภาษาต่าง ๆ ทั้งด้านการฟัง การพูด การอ่าน
และการเขียน ครูควรเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีอย่างแท้จริงและมีทัศนคติที่ดีต่อวรรณคดี ใน
การจดั การเรียนการสอนวรรณคดีไทยครคู วรเนน้ การคิดรวบยอดมากกวา่ เนอื้ หา เพราะการเน้นเน้อื หา
มากเกินไป นักเรียนจะไม่มีโอกาสซาบซึ้งถึงความงามและความไพเราะของวรรณคดี นอกจากนี้ ครู
สามารถนำเอาวรรณกรรมปจั จุบันมาให้นักเรยี นได้ศึกษาด้วย เพราะวรรณกรรมปจั จุบันนั้น มีลักษณะ
เนื้อเรอ่ื งทใี่ กล้เคยี งกบั ชีวติ ประจำวนั ของนกั เรียน

3) ด้านกิจกรรม วิธสี อน เทคนคิ การสอน และส่ือการสอน
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวรรณคดีน้ัน ควรเลือกกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน

ที่เหมาะสมกับเรื่องที่จะสอน เพื่อดึงดูดและจูงใจนักเรียนในขั้นตอนการสอน ครูควรเลือกใช้วิธีสอน
อย่างหลากหลายไม่ควรเน้นการถอดความ แต่ควรเน้นวิธีการท่ีฝึกให้นักเรียน ไดค้ ดิ ใช้เหตุผล ศึกษา
ค้นคว้าข้อมูลและร่วมกันทำกิจกรรม โดยปลูกฝังให้นักเรียนใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการเรียน
วรรณคดีไทย เช่น การแต่งคำประพันธ์ การจัดแสดงละคร เป็นต้น นอกจากน้ี สื่อประกอบการเรียน
การสอนวรรณคดีต้องไม่จำเจ ซึ่งการเลือกใช้สื่อประกอบการเรียนการสอนนั้น ครูควรคำนึงถึง
ประโยชน์ความเหมาะสมและผลการใช้ที่คุ้มค่า รวมทั้งขั้นตอนการประเมินผล ครูควรมีการประเมิน
การเรียนการสอนวรรณคดีไทยทุกครั้ง เพราะครูจะได้ทราบผลการสอนและผลสัมฤทธิ์ของนักเรยี น ซ่ึง
ครคู วรต้งั วตั ถุประสงคใ์ นการสอนใหช้ ัดเจน เพ่ือให้สามารถประเมนิ ผลการเรยี นการสอนไดค้ รอบคลมุ

ขั้นตอนของการสอนเนื้อหาวรรณคดีวรรณกรรม ครูควรฝึกให้นักเรียนจับแนวคิด
ประเด็นสำคัญด้วยการใช้คำถาม ใคร ทำอะไร ที่ไหน กับใคร เมื่อไร ทำไม อย่างไรเพื่อให้ผู้เรียน เข้าใจ
การกระทำหรือพฤติกรรมของตัวละครและเจตนาของผูเ้ ขียน หากวรรณคดีเป็นเรือ่ งยาวครผู ู้สอนควร
เล่าเรื่องย่ออย่างมีชั้นเชิง ยั่วยุให้ผู้เรียนกระตือรือร้น อยากค้นคว้าหาฉบับสมบูรณ์อ่านเองหรือใช้
กจิ กรรมนำไปสู่การคน้ คว้าเพ่ิมเติม หากมคี ำศัพท์ยากในเร่ือง ครูผู้สอนไมค่ วรกังวลมากเกินไป ควรให้
ผู้เรียนได้เพลดิ เพลินกับการอ่านออกเสยี งไปจนจบย่อหนา้ หรือจบตอนเพื่อทำความเข้าใจในระหว่างท่ี
กำลังอา่ น จากน้ันใช้วธิ กี ารอธบิ าย อภิปรายเนอ้ื หาหรือคำศัพทร์ ว่ มกันเม่ือนักเรยี นอ่านจบ นอกจากน้ี
ครูควรเน้นให้นักเรียนพินิจ พิเคราะห์ตัวละคร ทั้งคำพูดความคิด การกระทำ ความเชื่อ ความเป็นอยู่
เพอื่ นำมาเปรยี บเทียบกบั เหตุการณ์และความเปน็ อยู่ในชีวติ ปจั จุบัน รวมทัง้ วเิ คราะหเ์ จตนาและข้อคิด

22

ที่ได้จากการอ่านวรรณคดี ในส่วนของบรรยากาศในการเรียนรู้ ครูควรคำนึงถึงเรื่องความสนุกสนาน
เพลิดเพลิน ความจรรโลงใจ และความบันเทิง ซึ่งครูควรจัดกิจกรรมประกอบการสอนหลาย ๆ ชนิด
เพื่อชว่ ยให้บรรยากาศในการเรียนการสอนนา่ สนใจและเสริมสรา้ งจนิ ตนาการของนักเรียน เชน่ การอ่าน
ทำนองเสนาะการขับเสภา การร้องเพลง การแสดงบทบาทสมมติ การวาดภาพ วาดการ์ตูน การทาย
ปัญหาการฟ้อนรำ การโต้วาที การประดษิ ฐส์ ง่ิ ของท่เี กี่ยวกบั วรรณคดี การแต่งคำประพันธ์ การทำสมดุ
ภาพ เปน็ ต้น นอกจากนี้ ครคู วรเน้นให้นักเรยี นศึกษาค้นควา้ จากแหลง่ เรียนร้ตู า่ ง ๆ เชน่ ห้องสมุด การ
สัมภาษณ์ การศึกษานอกสถานที่ หรืออาจจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เป็นกิจกรรมเสริม
หลักสูตร เพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศในการเรียนการสอน ซึ่งจะช่วยให้การสอน วรรณคดีไทยได้ผลมาก
ยิ่งขึ้น เช่น การจัดสัปดาห์ทางวรรณคดีไทย การแสดงละคร ชุมนุมวรรณกรรม ชุมนุมวรรณศิลป์
ชุมนมุ วรรณคดี การจัดนทิ รรศการ เปน็ ตน้

จากแนวทางการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียน
การสอนวรรณคดี ครูผ้สู อนควรคำนงึ ถึงผเู้ รียนเป็นสำคัญ ครูตอ้ งจดั บรรยากาศที่เหมาะสมในการเรียน
การสอน หาเทคนคิ วธิ ีสอน และวธิ ีการประเมนิ ผลทีเ่ หมาะสมกับผูเ้ รียน รวมถงึ คำนึงถึงผลการเรียนรู้
ที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้เรียน ทั้งในส่วนของเนื้อหา ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความรู้ที่คงทน ความเข้าใจ
ความซาบซึ้งในวรรณคดี และใหผ้ เู้ รียนสามารถนำความรูไ้ ปประยกุ ตใ์ นชีวิตจริงได้

การจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น

สำคัญ ส่งเสริมกระบวนการคิดและให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ โดยจัดการเรียนรู้ด้วยวงจรการเรียนรู้
5E หรือการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เปน็ แนวทางพัฒนา ดังนี้

1. แนวคิดของวิธกี ารจดั การเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้
การจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธสี อนที่เน้นกระบวนการสืบค้นความรู้ด้วย

ตนเอง ซึ่งใช้ทักษะทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคัญ จากการศึกษาเอกสารต่าง ๆ
ท่ีเกย่ี วขอ้ งนกั วิชาการได้กล่าวถึงแนวคิดท่เี กย่ี วข้องกับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรไู้ ว้ ดงั นี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2549) ได้กล่าวถึงแนวคิดและ
หลักการที่เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสืบเสาะ หาความรู้ไว้ว่า 1) ใช้หลักปรัชญาวิทยาศาสตร์ดั้งเดิม
ความร้วู ิทยาศาสตร์ หมายถงึ ความจรงิ หรอื ข้อเทจ็ จริงที่เป็นอยูห่ รือมีอยู่ ซงึ่ ได้จากการค้นคว้าทดลอง
การตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาวิทยาศาสตร์แนวใหม่
ความรวู้ ทิ ยาศาสตรเ์ ป็นความรู้ท่ีเกิดจากการสรรสรา้ งของแต่ละบุคคล ซ่งึ มอี ิทธิพลมาจากความรู้หรือ
ประสบการณ์เดิม และสิ่งแวดลอ้ มหรือบริบทของสังคมของแต่ละคน 2) แนวคิดของเพียเจต์ (Piaget)
เก่ียวกับพัฒนาการทางสติปัญญาและความคิด ได้แก่ การมปี ฏิสมั พันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเน่ือง ทำให้

23

ระดบั สติปญั ญาและความคิดมี การพฒั นาข้นึ กระบวนการทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การพฒั นาทางสตปิ ัญญาและ
ความคดิ มี 2 กระบวนการ คอื การปรับตัว (Adaptation) และการจดั ระบบโครงสรา้ ง (Organization)
การปรับตัวเป็นกระบวนการที่บุคคลหาหนทางที่จะปรับสภาพความไม่สมดุลทางความคิดให้เข้ากั บ
สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัว และเมื่อบุคคลมีปฏิสัมพนั ธ์กับสิ่งแวดลอ้ มรอบ ๆ ตัว โครงสร้างทางสมอง
จะถูกจัดระบบให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม มีรูปแบบของความคิดเกิดขึ้น กระบวนการ
ปรับตัวประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญ 2 ประการคือ 1) กระบวนการดูดซึม (Assimilation)
หมายถึง กระบวนการที่อินทรีย์ซึมซาบประสบการณ์ใหม่เข้าสู่ประสบการณ์เดิมที่เหมือนหรือ
คล้ายคลึงกัน แล้วสมองก็รวบรวมปรับเหตุการณ์ใหม่ให้เข้ากับโครงสร้างของความคิดอันเกิดจากการ
เรียนรู้ที่มีอยู่เดิม 2) กระบวนการปรับขยายโครงสร้าง (Accommodation) เป็นกระบวนการที่ต่อ
เนื่องมาจากกระบวนการดูดซึม คือ ภายหลังจากที่ซึมซาบของเหตุการณ์ใหม่เข้ามา และปรับเข้าสู่
โครงสร้างเดิมแล้วถ้าปรากฏว่า ประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับการซึมซาบเข้ามาให้เข้ากับประสบการณ์
เดิมได้ สมองก็จะสร้างโครงสร้างใหม่ข้ึนมา เพ่ือปรับให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่นั้น นอกจากนี้แล้ว
ยังสอดคล้องกับแนวคิดการสร้างเสริมความรู้ (Constructivism) ซึ่งเชื่อว่านักเรียนทุกคนมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างมาแล้วไม่มากก็น้อย การจัดการเรียนการสอนจะเน้นให้ผู้เรียน
เรียนรู้ด้วยตัวของผู้เรียนเอง และการเรียนรู้เรื่องใหม่จะมีพื้นฐานมาจากความรู้เดิม ดังน้ัน
ประสบการณ์เดิมของนักเรียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริงของ
นักเรยี นไมไ่ ดเ้ กิดจาก การบอกเลา่ ของครูหรือนักเรียนเพยี งแต่จดจำแนวคดิ ต่าง ๆ ท่มี ผี ้บู อกให้เท่าน้ัน
แต่การเรียนรู้ตามแนวคิด Constructivism เป็นกระบวนการที่นักเรียนจะต้องสืบค้นเสาะหาสำรวจ
ตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการรับรู้ความรู้นั้น
อยา่ งมีความหมาย จึงจะสามารถเป็นองค์ความร้ขู องนักเรียนเอง และเก็บเปน็ ขอ้ มลู ไว้ในสมองได้อย่าง
ยาวนาน สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใหม่ ๆ เข้ามา สอดคล้องกับ วัฒนาพร ระงับทุกข์
(2542) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบค้น (Inquiry) เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบ
สร้างสรรค์ ตามแนวคิด Constructivism ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรูเ้ ป็นกระบวนการที่เกิดขึน้ ภายในบุคคล
บคุ คลเป็นผสู้ ร้างความรู้จากความสัมพันธ์ระหวา่ งส่ิงท่ีพบเหน็ กบั ความร้คู วามเข้าใจทีม่ ีอยเู่ ดิม เกดิ เป็น
โครงสร้างทางปัญญา ครูเป็นผู้จัดสภาพการณ์แก่ผู้เรียนเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นประสบการณ์
ใหม่ ผ้เู รียนจงึ ต้องปรบั ขอ้ มลู ใหมก่ บั ประสบการณเ์ ดมิ และสร้างเปน็ องค์ความรใู้ หม่

จากการศึกษาแนวคิดการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ สามารถสรุปได้ว่า วิธีการ
จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ สอดคล้องกับแนวคิด Constructivism ที่เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้
ด้วยตนเองโดยวิธีการสืบเสาะ ค้นหา ค้นคว้าความรู้ แล้วนำความรู้ที่ได้จากการค้นคว้ามารวมกั บ
ความรู้เดิมเพื่อสรา้ งเปน็ ความรูใ้ หม่ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดทางวิททยาศาสตร์ดั้งเดิมทีเ่ น้นการ
ตรวจสอบ คน้ คว้า และทดลองหาข้อเท็จจรงิ และสอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของ Piaget วา่ ส่งิ แวดลอ้ มและ
ประสบการณ์มีผลต่อการพัฒนาสตปิ ัญญา ความคดิ เช่ือมโยงความรู้ และสรา้ งสรา้ งความรใู้ หม่

24

2. ความหมายของวธิ กี ารจดั การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2554, หน้า 56) ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา

ความรู้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยวิธีให้นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาควารู้โดยใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ครเู ปน็ ผอู้ ำนวยความสะดวก เพือ่ ใหน้ ักเรียนบรรลุเป้าหมาย วิธีสืบสอบ
ความรู้จะเนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั ของการเรยี น สอดคลอ้ งกับ ไสว ฟกั ขาว (2544) ท่กี ลา่ ววา่ วิธกี ารสอน
แบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry method) เป็นวิธีการสอนทีเ่ น้นการแสวงหาความรู้เพื่อการแก้ปัญหา
โดยใช้คำถาม จัดเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ทีเ่ ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนการ
สอน บทบาทของครูผู้สอนจะลดลง ผู้สอนจะเปดิ โอกาสและชี้แนะใหผ้ ูเ้ รยี นได้ร่วมคิด ร่วมแสดงความ
คิดเหน็ ร่วมค้นควา้ และสรปุ ความร้ดู ว้ ยตนเองจากการถามตอบ หรอื ครูและผ้เู รียนผลดั กันถามก็ได้แต่
รูปแบบที่ผู้เรียนเปน็ ผู้ถาม จะสอดคล้องกับแนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากที่สดุ
ในทำนองเดยี วกัน ทิศนา แขมมณี (2550) กไ็ ดอ้ ธิบายความหมายของวธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้
เช่นกนั ว่า เปน็ การดำเนินการเรยี นการสอน โดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรยี นเกิดคำถาม ความคิด และลงมือ
เสาะแสวงหาความรู้ เพื่อนำมาประมวลหาคำตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ผู้สอนช่วยอำนวย
ความสะดวกในการเรียนร้ตู า่ ง ๆ ให้แก่ผู้เรียน

สาโรช โศภีรักข์ (2546) กล่าววา่ วิธกี ารจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ เป็นวิธีการ
จัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อพัฒนาสติปัญญาและ
ความสามารถ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้กำหนดปัญหา วางแผนและกำหนดวิธีการหาความรู้เอง
แก้ปัญหาเองจนได้รับคำตอบ เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้จากการค้นพบด้วยตนเอง ในส่วนของ
ประสาท เนืองเฉลิม (2556, หน้า 28) ให้ความหมายของกระบวนการสืบเสาเป็นฐานการเรียนรู้ไว้ว่า
กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้ โดยผู้สอนมีบทบาทในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้ใช้กระบวนการทาง
ความคิด หาเหตุผลจนค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องด้วยตนเอง แล้วสรุปผลออกมา
เปน็ หลกั การหรือวิธกี ารในการแก้ปัญหาและสามารถนำไปประยกุ ต์ใชป้ ระโยชน์

วัชรา เล่าเรียนดี (2548) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นวิธีการ
เรียนรู้ที่เน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนสืบค้นความรู้ ความจริงต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยมีคำถามเป็นตัวการ
กระตุ้นการเรยี นรู้ แสวงหาความรูจ้ ากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ

จากความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ของนักวิชาการข้างต้น
สามารถสรุปไดว้ ่า เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรยี นใช้กระบวนการคิด สืบค้น
ความรู้หรือสามารถแก้ปัญหาและค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง รวมถึงการทำงานร่วมกัน โดยครูเป็นผู้
อำนวยความสะดวกในการเรียนรูต้ า่ ง ๆ ให้แกผ่ เู้ รียนบรรลตุ ามเปา้ หมาย

25

3. ขน้ั ตอนของวธิ กี ารจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับขั้นตอนของวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้

มนี ักวิชาการได้เสนอขัน้ ตอนของการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ไว้อย่างน่าสนใจ ดังน้ี
กรมวิชาการ (2546) ได้กล่าวว่า กระบวนการสืบเสาะหาความรู้มีรูปแบบและขั้นตอนท่ี

หลากหลาย รปู แบบท่นี ยิ มนำไปใชซ้ ึง่ ประกอบดว้ ยขั้นตอน 5 ขั้น หรือท่ีเรยี กว่า 5E ประกอบด้วย
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซ่ึง

อาจเกดิ ข้ึนเองจากความสงสัยหรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตวั นักเรยี นเองหรือเกิดจากการอภิปราย
ภายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่ก าลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่
เช่ือมโยงกับความรู้เดิมที่เพงิ่ เรียนรู้มาแลว้ เปน็ ตวั กระตนุ้ ให้นักเรียนสร้างคำถาม กำหนดประเด็นท่ีจะ
ศึกษา ในกรณีที่ยังไม่มีประเดน็ น่าสนใจครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่าง ๆ หรือเป็นผู้กระตุ้นดว้ ยการเสนอ
ประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนใจเป็นเรื่องท่ี
จะใช้ศึกษา เมื่อมีคำถามที่น่าสนใจและนักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นประเด็นที่ต้องการศึกษาจึง
รว่ มกนั กำหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอยี ดของเรอ่ื งที่จะศึกษาใหม้ ีความชดั เจนย่งิ ขึ้น อาจรวมทงั้
การรวบรวมความรูป้ ระสบการณเ์ ดิม หรือความรูจ้ ากแหล่งต่าง ๆ ที่จะช่วยให้นำไปสู่ความเข้าใจเร่อื ง
หรือประเดน็ ทจี่ ะศกึ ษามากขึน้ และมีแนวทางทใี่ ช้ในการสำรวจตรวจสอบอยา่ งหลากหลาย

2) ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) เม่อื ทำความเข้าใจในประเด็นหรือคำถามที่สนใจ
จะศึกษาอย่างถ่องแท้แลว้ ก็มกี ารวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจตรวจสอบ ตง้ั สมมตฐิ าน กำหนด
ทางเลือกที่เป็นไปได้ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการ
ตรวจสอบอาจทำได้หลายวิธี เช่น ทำการทดลอง ทำกิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วย
สร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิงหรือจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
เพือ่ ใหไ้ ดม้ าซงึ่ ข้อมูลอยา่ งเพยี งพอท่จี ะใชใ้ นขั้นตอ่ ไป

3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสำรวจ
ตรวจสอบ แล้วจึงนำข้อมูล ข้อสนเทศที่ไดม้ าวิเคราะหแ์ ปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปแบบ
ต่าง ๆ เชน่ บรรยายสรุป สรา้ งแบบจำลองทางคณิตศาสตร์หรือรูปวาด สรา้ งตาราง เปน็ ต้น การคน้ พบ
ในขั้นนี้อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้โต้แย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่
เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้กำหนดไว้แต่ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกิดการ
เรยี นรู้ได้

4) ขั้นขยายความรู้(Elaboration) เป็นการน าความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้
เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลองหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือ
เหตุการณ์อื่น ๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่า ข้อจำกัดน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้เชื่อมโยงกับ
เรอ่ื งต่าง ๆ และทำให้เกดิ ความรกู้ ว้างขวางขน้ึ

26

5) ขั้นประเมนิ (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรดู้ ว้ ยกระบวนตา่ ง ๆ ว่านักเรียน
มีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน
เรื่องอื่น ๆ การนำความรูห้ รือแบบจำลองไปใช้อธิบายหรือประยุกต์ใช้กับเหตกุ ารณ์หรอื เรื่องอ่ืน ๆ จะ
นำไปสู่ข้อโต้แย้ง หรือข้อจำกัด ซึ่งจะก่อให้เป็นประเด็น คำถาม หรือปัญหาที่จะต้องสำรวจตรวจสอบ
ต่อไป ทำให้เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ จึงเรียกว่า Inquiry Cycle เป็นขั้นตอนการ
สืบเสาะหาความรู้ จึงช่วยให้ผเู้ รยี นเรยี นเกิดการเรียนรทู้ ้ังเน้ือหาและหลักการแนวคิด ตลอดจนการลงมือ
ปฏิบตั ิเพ่ือใหไ้ ด้ความรู้ซ่ึงจะเปน็ พ้ืนฐานในการเรียนรู้ต่อไป

ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2561, หน้า 345-346) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน ของนักวิชาการกลุ่ม BSCS (Biological Science Curriculum Society)
เรียกวา่ Inquiry Cycle หรือ 5E มขี ้ันตอนดังน้ี

1) ขั้นการสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นของการนำเข้าสู่บทเรียน โดยจัด
ปัญหาหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสนใจใคร่รู้ในสิ่งที่จะเรียน โดยครูอาจใช้คำถาม
หรอื กิจกรรมต่าง ๆ เพอื่ กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ สงสัย อยากรู้อยากเห็น และอยากศึกษาให้
ลกึ ซึง้ ยิง่ ขึน้ หรืออาจใช้การทบทวนความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี นเพ่ือสร้างฐานความรู้ในการเรียนใหด้ ยี ิ่งข้ึน

2) ขั้นการสำรวจและค้นหา (Exploration) เป็นขั้นตอนที่นักเรียนรว่ มกนั สร้างมโนทัศน์
หรือค้นหาแนวทางในการแก้ปัญหา โดยนักเรียนสำรวจ รวบรวมข้อมูลหาความสัมพันธ์เกี่ยวกับ
แนวคดิ หรือหลักการ จากกจิ กรรมหรือสถานการณ์ทีค่ รูสรา้ งขึน้ ตามความคิดเหน็ ของนักเรียนแต่ละคน
และรว่ มกนั อภิปรายภายในกลุ่ม มีครเู ปน็ ผู้สังเกตและสนับสนุนนักเรยี น โดยมีการใชค้ ำถามปลายเปิด
เพอื่ กระตนุ้ นักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ และสรุปเปน็ มโนทัศน์หรอื แนวทางในการแก้ปญั หาของกล่มุ

3) ขั้นการอธิบาย (Explanation) เป็นขั้นตอนช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้
ความสามารถในการอธิบายมโนทัศน์หรือแนวทางการแก้ปัญหาของกลุ่มที่ได้จากขั้นการสำรวจและ
ค้นหา โดยครูควรให้โอกาสแก่นักเรียนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างข้อสรุปของช้ัน
เรียนร่วมกัน โดยครูอาจชี้แนะนักเรียนเกี่ยวกับการสร้างข้อสรุป การอธิบายรายละเอียดให้ชัดเจน
เพื่อใหน้ กั เรียนสามารถอธบิ ายมโนทัศนห์ รอื แนวทางแก้ปญั หาได้ถ่องแท้

4) ข้นั การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นข้ันตอนที่ใหน้ ักเรียนไดน้ ำความรู้ความเข้าใจ
ที่ได้จากขั้นที่ 2 และ 3 ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีความท้าทายหรือมีความซับซ้อนมาก
ข้ึนซ่งึ จะทำให้นกั เรยี นมีความเขา้ ใจทลี่ กึ ซึ้งยง่ิ ขึน้

5) ขั้นการประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นตอนที่นักเรียนจะได้ประเมินความรู้ความ
เข้าใจและความสามารถของตนเองว่าเข้าใจในเรื่องที่ศึกษามากน้อยเพียงใด ส่วนใดที่นักเรียนเข้าใจ
แล้วก็จะได้พัฒนาให้ดีขึ้น และส่วนใดที่ยังไม่เข้าใจก็จะได้พัฒนาปรับปรุงหรือ ศึกษาเพิ่มเติม และ
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ครูได้ประเมินความรู้ความเข้าใจของนักเรียนว่าในจุดใดที่นักเรียนเข้าใจ
หรอื ไม่เข้าใจ และนำขอ้ มลู เหลา่ นม้ี าพัฒนาและปรับปรงุ การจัดการเรยี นรู้ของตนเองต่อไป

27

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2549) ได้อธิบายขั้นตอนของ
วธิ ีการจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความร้ไู ว้ ดังนี้

1) การสร้างความสนใจ (Engage) ขั้นตอนนเี้ ปน็ ขั้นตอนแรกของกระบวนการเรียนรู้ท่ีจะ
นำเข้าส่บู ทเรยี น จดุ ประสงคท์ ส่ี ำคัญของขน้ั ตอนน้ี คอื ทำให้ผู้เรยี นสนใจ ใคร่ร้ใู นกจิ กรรมทจ่ี ะนำเข้าสู่
บทเรียน ควรจะเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้เดิมกับปัจจุบัน และควรเป็นกิจกรรมที่คาดว่ากำลัง
จะเกดิ ข้นึ ซ่งึ ทำให้ผูเ้ รยี นสนใจจดจ่อท่ีจะศกึ ษาความคดิ รวบยอด กระบวนการ หรือทักษะและเร่ิมคิด
เชอื่ มโยงความคดิ รวบยอด กระบวนการ หรอื ทักษะกบั ประสบการณเ์ ดิม

2) การสำรวจและค้นหา (Explore) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์
ร่วมกันในการสร้างและพัฒนาความคิดรวบยอด โดยการให้เวลาและโอกาสแก่ผู้เรียนในการทำ
กิจกรรมการค้นหาและสำรวจส่ิงท่ีผู้เรียนต้องการเรียนรู้ตามความคิดเห็นผู้เรียนแต่ละคน หลังจากน้นั
ผู้เรียนแต่ละคนได้แลกเปลีย่ นอภิปรายความคิดเห็นเกี่ยวกบั การคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะ
ในระหว่างที่ผู้เรียนทำกิจกรรมสำรวจและค้นหา เป็นโอกาสที่ผู้เรียนจะได้ตรวจสอบหรือเก็บรวบรวม
ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดรวบยอดของผู้เรียนที่ยังไม่ถูกต้องและยังไม่สมบูรณ์ โดยการให้ผู้เรียน
ยกตัวอย่างและอธิบายเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เรียน ครูควรระลึกอยู่เสมอเกี่ยวกับความสามารถ
ของผ้เู รียนตามประเดน็ ปัญหา ผลจากการทผ่ี ู้เรียนมีใจจดจ่อในการทำกิจกรรม ผเู้ รียนควรจะสามารถ
เชื่อมโยงการสงั เกต การจำแนกตวั แปร และคำถามเกย่ี วกบั เหตุการณ์น้นั ได้

3) การอธิบาย (Explain) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถใน
การอธิบายความคิดรวบยอดที่ได้จากการสำรวจและค้นหา ครูควรให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยน
อภิปรายความคิดเห็นกันเกี่ยวกับทักษะหรือพฤติกรรมการเรียนรู้ การอธิบายนั้นต้องการให้ผู้เรียนได้
ใช้ข้อสรุปร่วมกันในการเชื่อมโยงส่ิงที่เรยี นรู้ ในช่วงเวลาทีเ่ หมาะสมนี้ครูควรช้ีแนะผูเ้ รียนเกี่ยวกับการ
สรุปและการอธิบายรายละเอียด แต่อย่างไรก็ตามครูควรระลึกอยู่เสมอว่ากิจกรรมเหล่านี้ยังคงเน้น
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นั่นคือ ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการอธิบายด้วยตัวผู้เรียนเอง บทบาท
ของครูเพียงแต่ชี้แนะแนวทางผ่านกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสอย่างเต็มที่ในการพัฒนาความรู้
ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้ชัดเจน ในที่สุดผู้เรียนควรจะสามารถอธิบายความคิดรวบยอดได้
อย่างเข้าใจ โดยเชอื่ มโยงประสบการณ์ ความรูเ้ ดมิ และสง่ิ ท่ีเรียนรู้เขา้ ดว้ ยกัน

4) การขยายความรู้ (Elaborate) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้ยืนยันและขยาย
หรือเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดใหก้ ว้างขวางและลึกซ้ึงยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้ฝึกทักษะและปฏิบัติตามที่ผู้เรียนต้องการ ในกรณีที่ผู้เรียนไม่เข้าใจหรือยั งสับสนอยู่หรือ
อาจจะเข้าใจเฉพาะข้อสรุปที่ได้จากการปฏิบัติการสำรวจและค้นหาเท่านั้น ควรให้ประสบการณ์ใหม่
ผู้เรียนจะได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป้าหมายท่ี
สำคัญของขั้นนี้ คือ ครูควรชี้แนะให้ผู้เรียนได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จะทำให้ผู้เรียนเกิด
กระบวนการ ความคิดรวบยอด และทกั ษะเพมิ่ ขนึ้

28

5) การประเมินผล (Evaluate) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการ
อธิบายความรู้ความเข้าใจของตนเอง ระหว่างการเรียนการสอนในขั้นนี้ของรูปแบบการสอน ครูต้อง
ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนประเมินความรู้ความเข้าใจและความสามารถของตนเอง และยังเปิด
โอกาสให้ครูไดป้ ระเมนิ ความรู้ความเขา้ ใจและพฒั นาทักษะของผู้เรียนดว้ ย

จากขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ข้างต้น จะเป็นแนวทางการจัดการ
เรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นการสร้าง
ความสนใจ (Engagement) 2) ขั้นการสำรวจและค้นหา (Exploration) 3) ขั้นการอธิบาย
(Explanation) 4) ขั้นการขยายความรู้ (Elaboration) และ 5) ขั้นการประเมินผล (Evaluation) ซึ่ง
ครูมีบทบาทในทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้เรียนใช้
กระบวนการสืบค้น สำรวจ หาข้อมูล รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล อธิบายหรือ
อภปิ รายความรู้ จากนัน้ จึงประเมนิ ความรู้ความเข้าใจผเู้ รยี น

งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง
รัตตกิ าล บุญอาจ (2555) ไดศ้ ึกษา “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวรรณคดี ของ

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้กับวิธีการสอนแบบใช้แผนผัง
มโนทัศน์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้กับวิธีสอนแบบใช้ผังมโนทัศน์ เพื่อ
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังโดยใช้
วิธกี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ และเพ่อื เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังโดยใช้วิธีการสอนแบบใช้ผังมโนทัศน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชาติตระการวิทยา อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก
จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ไดแ้ ก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ แผนการจัด
การเรียนรู้แบบใช้ผังมโนทัศน์ และแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น ผลการวิจัยพบวา่ ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวรรณคดี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ มี
คา่ เฉล่ียคะแนนหลังเรียนสูงกวา่ คา่ เฉลีย่ ของนกั เรียนกลุ่มทีส่ อนโดยวิธีการสอนแบบใชแ้ ผนผงั มโนทัศน์
อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดขี องนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
4 กลุ่มที่สอนโดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้มีค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าค่าเฉลี่ย
คะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่สอนโดยใช้วิธีการสอนแบบใช้ผังมโนทัศน์มีค่าเฉลี่ยคะแนนหลัง
เรยี นสงู กวา่ ค่าเฉลยี่ คะแนนก่อนเรยี น อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05

29

ปัทมาภรณ์ พรดวงคำ (2555) ได้ศึกษา “การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์
วรรณกรรมโดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน
เข็กน้อย จังหวัดเพชรบูรณ์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์วรรณกรรม
โดยใชก้ ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้สำหรับนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านเขก็ น้อย ที่ใช้
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้นตอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยั คือ นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปี
ที่ 4 ห้อง 2 โรงเรียนบ้านเข็กน้อย จังหวัดเพชรบูรณ์ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 21
คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ แบบทดสอบ
ก่อนและหลังเรียน ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมกี ารพัฒนาความสามารถในการวเิ คราะหว์ รรณกรรมดีข้ึน
ตามลำดับ ตงั้ แต่แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 จนถงึ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 6 มีคา่ เฉลี่ยเพิ่มข้ึนในแต่ละ
แผนการจัดการเรียนรู้คือ 8.24 9.76 11.14 12.38 13.95 และ 14.95 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้เรียน
ยังมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรือ่ งความสามารถในการวิเคราะหว์ รรณกรรม อยู่ในระดับคุณภาพดีมาก
คดิ เปน็ ร้อยละ 83.63

ดาวรุ่ง อยู่ยั่งยนื (2555) ได้ศึกษา “การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและความคิดสร้างสรรค์กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนช้นั
ประถมปีที่ 5” พบว่า นักเรียนร้อยละ 76.92 ของนักเรียนทั้งหมด มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
รอ้ ยละ 74.87 ของคะแนนเต็ม ซ่งึ ผ่านเกณฑ์ท่กี ำหนดและนักเรียนจำนวนร้อยละ 73.08 ของนักเรียน
ทั้งหมด ได้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ร้อยละ 73.96 ของคะแนนเต็ม ซึ่งผ่านเกณฑ์ท่ี
กำหนด

ในสว่ นของ ขนษิ ฐา กลำ่ ทับ (2563) ไดศ้ ึกษา “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี
เรื่อง พระบรมราโชวาท โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3” โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี
เรื่อง พระบรมราโชวาทโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน
เขาทรายทับคล้อพิทยา จังหวัดพิจิตร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้
ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมิน
ความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที (t-test)
ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท โดยใช้การจัด
การเรียนรูแ้ บบรว่ มมือดว้ ยเทคนิค CIRC ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ
รว่ มมือด้วยเทคนคิ CIRC ภาพรวมอยู่ในระดบั มาก (X = 4.22, S.D. = 0.37)

30

จากการศึกษางานวิจัยข้างต้น ผู้วิจัยเห็นว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ประสบ
ผลสำเรจ็ ได้ตามคาดหวงั ครูผสู้ อนจำเป็นทีจ่ ะต้องจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนให้มคี วามเหมาะสมกับ
วัยของผู้เรียน โดยเฉพาะนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งควรจัดการเรียนการสอนที่มุ่งให้
นักเรียนได้ใช้กระบวนการคิด ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะใช้เทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึง
ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้วรรณคดีอย่างมีประสทิ ธิภาพและมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนทีด่ ีขน้ึ

บทที่ 3

วิธดี ำเนนิ การวจิ ัย

การศึกษาเรื่อง “ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนพิไกรวิทยา” ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามกระบวนการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental
Research) โดยมขี ้ันตอนดงั น้ี

1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
2. รปู แบบการวิจยั
3. เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัย
4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
5. การวเิ คราะห์ข้อมลู
6. สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล

ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา ตำบล

คลองพไิ กร อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 3
ห้องเรียน มีนักเรียนท้ังสิ้น 79 คน

2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา

ตำบลคลองพิไกร อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน
1 ห้องเรียน มีนกั เรยี นจำนวน 20 คน ใชว้ ธิ ีการสมุ่ อยา่ งงา่ ย โดยใช้ห้องเรียนเปน็ หน่วยสุ่ม

รปู แบบการวจิ ยั
ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัย One Group Pre-test Post-test ที่มุ่งเน้นการวิจัยเชิงทดลองกบั

กลุ่มทดลองเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น โดยดำเนินการทดลอง แล้วศึกษาผลที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตามว่า
เกิดการเปลยี่ นแปลงหรอื ไม่อยา่ งไร

32

ตาราง 3 แสดงรูปแบบการวิจัย One Group Pre-test Post-test

กลุ่มทดลอง T1 X T2

หมายเหตุ: T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test)
X แทน การทดลองสอนโดยใช้เทคนิคการสอน
แบบสบื เสาะหาความรู้
T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Post-test)

ทมี่ า: ปิยนชุ แหวนเพชร, 2560, หนา้ 80

เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย
การศึกษาในครัง้ นี้ ผูว้ จิ ยั ใช้เครือ่ งมอื 2 ประเภท ดงั น้ี
1. เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการเรยี นรู้
เครื่องมือที่ใช้ในการเรียนรู้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบสืบเสาะ

หาความรู้ ที่ส่งเสริมความสามารถด้านเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ชัว่ โมง

2. เครือ่ งมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เคร่ืองมอื ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล คือ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน

และหลังเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งใช้เครื่องมือ
จาก ขนิษฐา กล่ำทับ (2563) “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท
โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3” ซึ่งได้ผ่าน
การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมือแล้ว

การเก็บรวบรวมข้อมูล
การศกึ ษาคร้ังน้ี ผวู้ จิ ยั ใช้ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ

เรียน คาบเรียนละ 50 นาที รวมเป็นระยะเวลา 6 คาบเรียน ไม่รวมเวลาในการทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรียน ใช้กระบวนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test โดยมีขั้นตอนการเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู ในการวิจัย ดังนี้

1. ชแี้ จงรายละเอียดขั้นตอน และวธิ ีปฏิบตั ใิ นการเรยี นกบั นักเรียนกลมุ่ ตวั อยา่ ง
2. ทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวรรณคดี เรื่อง
พระบรมราโชวาท จำนวน 20 ข้อ ตรวจใหค้ ะแนนแล้วทำการจดั เกบ็ บนั ทึกคะแนนไว้

33

3. ดำเนินการสอน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้เรี่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ด้วยเทคนิคสืบเสาะหาความรู้ ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง ซึ่งไม่รวมเวลาใน
การทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test) และการทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) เก็บคะแนนระหวา่ งเรยี นจาก
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ความร่วมมือในชั้นเรียน และการทำแบบทดสอบย่อย บนั ทึก
คะแนนจนครบทุกแผน

4. ทดสอบหลังเรียน (Post-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวรรณคดี ชุด
เดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จำนวน 20 ข้อ จากนั้นตรวจให้คะแนนแล้วจัดเก็บ
บนั ทึกคะแนนไว้

5. นำคะแนนที่ได้จากการทดสอบนักเรียนไปวิเคราะห์ค่าทางสถิติ เพื่อสรุปผลการวิจัยตาม
ความมุง่ หมายตอ่ ไป

การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษานำข้อมลู ที่ได้จากการเก็บรวบรวมมาวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยโปรแกรม

สถติ สิ ำเรจ็ รูป (SPSS) ซึง่ มีข้นั ตอนดังตอ่ ไปน้ี
1. หาค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากการทดสอบ

วัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวรรณคดีเร่ือง พระบรมราโชวาท
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้สถิติ

t-test (Dependent Samples)

สถิติทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู
1. สถติ ิพนื้ ฐาน
1.1 ค่าเฉลี่ยของคะแนน (Mean) โดยใชส้ ตู ร

X =X

N

เมอื่ X แทน ค่าของขอ้ มูลแตล่ ะตวั
X แทน ผลรวมของข้อมูลท้งั หมด
N แทน จำนวนขอ้ มูลท้ังหมด

34

1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใชส้ ูตร

 n xi )2

S=
xi2 − (

n(n −1)

เมือ่ S แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
X แทน คา่ ของข้อมลู แต่ละตัว
N แทน จำนวนขอ้ มลู ทั้งหมดของประชากร
∑ แทน ผลรวม

2. สถติ ิทใี่ ชใ้ นการทดสอบเปรียบเทยี บทางการเรยี น
สถิตทิ ่ใี ช้ในการทดสอบเปรยี บเทียบทางการเรยี น ระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน

ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนรู้ด้วยแผนการเรียนรู้เรื่อง พระบรมราโชวาท ด้วยการสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้ คอื สถติ ิ t-test (Dependent Samples)

บทที่ 4

ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู

การศึกษาเรื่อง “ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนพิไกรวิทยา” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการสอนด้วยเทคนิคสืบเสาะหาความรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 กอ่ นและหลงั การสอนดว้ ยเทคนิค
สืบเสาะหาความรู้ ผูว้ ิจยั ไดน้ ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ตามลำดับ ดงั น้ี

1. สญั ลกั ษณท์ ใี่ ชใ้ นการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
2. ลำดับขน้ั ตอนในการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

สัญลักษณท์ ใี่ ช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู
ผูว้ จิ ยั ได้กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ทใ่ี ชใ้ นการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ดงั ตอ่ ไปน้ี
x แทน ค่าเฉลย่ี
P แทน ร้อยละ
S.D. แทน สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
D แทน ผลตา่ งของคะแนน
N แทน จำนวนกล่มุ ตวั อยา่ ง
df แทน ระดับชั้นของความเสรี (Degrees of freedom) เท่ากับ n–1t แทน ค่า

อัตราส่วนวกิ ฤต

ลำดบั ขัน้ ตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
ตอนที่ 1 ผลคะแนนสอบของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3 (กลุ่มตัวอย่าง) โรงเรียนพิไกรวิทยา

ก่อนเรียนและหลงั เรยี น
ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรยี น ของ

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา หลงั จากเรียนรู้เรื่อง พระบรมราโชวาท ด้วยเทคนิค
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้

36

ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. ตอนท่ี 1 ผลคะแนนสอบของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 (กลุม่ ตัวอยา่ ง) โรงเรียนพิไกร

วทิ ยา กอ่ นเรยี นและหลงั เรียน ดังตาราง 4

ตาราง 4 แสดงผลคะแนนสอบของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นพิไกรวทิ ยา

ก่อนเรยี นและหลงั เรียน

คนที่ ชอ่ื -สกุล ผลคะแนนก่อนเรียน ผลคะแนนหลงั เรยี น

1 เดก็ ชายกิตติชัย เกลย้ี งโท้ 9 11

2 เดก็ ชายขวัญชยั วจิ ติ รตระกลู ไพร 10 15

3 เด็กชายจิรายธุ เรอื ศรจี นั ทร์ 10 12

4 เด็กชายทวิ า ถมทอง 7 13

5 เด็กชายธราธร โพธบิ ัลลงั ค์ 9 13

6 เด็กชายนพกร ดาวเลก็ 11 15

7 เด็กชายนักรบ พันภู่ 68

8 เดก็ ชายประชา ทำทอง 9 14

9 เดก็ ชายภูริลาภ พวงกหุ ลาบ 9 14

10 เดก็ ชายศุภณัฐ วนั ทอง 8 11

11 เดก็ ชายศภุ วชิ ญ์ ไกรพรม 7 10

12 เดก็ ชายอนุรกั ษ์ อินนาค 9 16

13 เดก็ ชายวรพงศ์ จันทร์กล้า 8 12

14 เด็กหญิงกชกร ไพโรจน์ 6 10

15 เด็กหญิงจนั ทรชั อดุ มสุข 8 13

16 เด็กหญงิ ณฐั นนั ท์ ขอนทอง 8 16

17 เด็กหญงิ นราพัฒน์ นาเอก 6 11

18 เด็กหญิงนาขวญั ใจบญุ 9 10

19 เดก็ หญิงปารติ า จนั ทบตั ร 7 14

20 เดก็ หญิงอารียา วันทอง 10 13

จากตาราง ผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง 20 คน
พบว่า คะแนนการทดสอบก่อนเรียนสูงสุด คือ 11 คะแนน คะแนนต่ำสุด คือ 6 คะแนน และคะแนน
การทดสอบหลังเรียนสงู สุด คือ 16 คะแนน คะแนนต่ำสุด คอื 8 คะแนน

37

2. ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพไิ กรวทิ ยา หลงั จากเรียนรเู้ ร่ือง พระบรมราโชวาท ดว้ ยเทคนิค
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ดงั ตาราง 5

ตาราง 5 แสดงผลการวิเคราะหเ์ ปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี น

คะแนน x S.D. N t df Sig
ก่อนการจดั การเรียนรู้ 0.325 20 0.000
หลงั การจัดการเรยี นรู้ 8.30 0.489 20 -10.217 19
12.55

*นยั สำคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05

ท่ีมา: โปรแกรม Statistical Package for the Social Sciences (SPSS)

จากตาราง ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังจากการเรียนรู้
เร่ือง พระบรมราโชวาท ดว้ ยเทคนคิ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ พบว่า คะแนนเฉลยี่ ก่อนเรยี น คือ
8.30 คะแนนเฉลีย่ หลังเรียน คอื 12.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียน คอื 0.325 และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานหลงั เรยี น คือ 0.489

การทดสอบสมมติฐานการวิจัย ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry
Method : 5E) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนช้ัน

มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา หลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียน โดยกำหนดคา่ α=0.05 โดยใช้สถิติ
t-test (dependent) ค่า Sig ที่คำนวณได้ คือ 0.00 เมื่อนำมาหารด้วย 2 จึงได้ 0.00 เช่นเดิม ดังน้ัน

สามารถสรุปได้วา่ ค่า Sig < α จึง Reject H0 นั่นคือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง พระบรมราโชวาท
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ 0.05

บทท่ี 5

บทสรปุ

การศึกษาเรื่อง “ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนพิไกรวิทยา” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการสอนด้วยเทคนิคสืบเสาะหาความรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 กอ่ นและหลงั การสอนด้วยเทคนิค
สืบเสาะหาความรู้

กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใช้ในการศึกษาในคร้ังนี้ คือ นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา
ตำบลคลองพิไกร อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน
1 หอ้ งเรียน มนี กั เรียนจำนวน 20 คน ใชว้ ธิ กี ารสุ่มอย่างงา่ ย โดยใช้หอ้ งเรยี นเปน็ หนว่ ยสมุ่

เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจยั ในครัง้ น้ี ผู้วิจัยใชเ้ ครอื่ งมือ 2 ประเภท ดังนี้
1. เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการเรียนรู้

เครื่องมือที่ใช้ในการเรียนรู้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอนแบบสืบเสาะ
หาความรู้ ที่ส่งเสริมความสามารถด้านเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
จำนวน 3 แผน แผนละ 2 ชว่ั โมง

2. เคร่อื งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เครอื่ งมอื ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู คือ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนเรียน

และหลังเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งใช้เครื่องมือ
จาก ขนิษฐา กล่ำทับ (2563) “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท
โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3” ซึ่งได้ผ่าน
การตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมอื แล้ว

สรปุ ผลการวจิ ยั
ผลการวิจัยพบว่า ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทาง

การเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพิไกรวิทยา
ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ตามการทดสอบสมมุติฐาน t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พระบรมราโชวาท ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเทคนิคการสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งผลการวิจัย

39

สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับ
นยั สำคญั ที่ .05

นอกจากนี้ ผู้วิจัยพบว่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจใน
การเรียน นักเรยี นมคี วามรบั ผิดชอบตนเอง ทำให้มบี รรยากาศในการเรยี นรู้ที่ดี เกดิ ความสามัคคีในหมู่
เพ่อื นและทำใหผ้ เู้ รยี นมจี ติ สาธารณะ

อภปิ รายผลการวจิ ยั
จากการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ดว้ ยเทคนคิ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ หลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ
.05 ทั้งนี้เป็นเพราะนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งเป็นวิธีวิธีการจัดการ
เรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวคิด Constructivism เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองโดยวิธีการสืบเสาะ
ค้นหา ค้นคว้าความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่มี แล้วนำความรู้ที่ได้จากการค้นคว้ามารวมกับความรู้เดิมที่มี
เพื่อสร้างเป็นความรู้ใหม่ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดทางวิททยาศาสตร์ดั้งเดิมที่เน้นการตรวจสอบ
ค้นคว้า และทดลองหาข้อเท็จจริง และสอดคล้องกับแนวคิดของ Piaget เกี่ยวกับพัฒนาการทาง
สติปัญญาและความคิด ซึ่งเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมและประสบการณ์มีผลต่อการพัฒนาสติปัญญา ปรับ
สภาพทางความคิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เชื่อมโยงความรู้กับประสบการณเ์ ดิม และสร้างโครงสรา้ ง
ความรู้ใหม่เมื่อพบกับประสบการณ์ใหม่ จึงส่งผลให้ผู้เรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซ่ึง
สอดคล้องกับผลวิจัยของ ดาวรุ่ง อยู่ยั่งยืน (2555) ได้ศึกษา “การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้ (5Es) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคิดสร้างสรรค์กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ของนกั เรยี นชน้ั ประถมปีท่ี 5” พบวา่ นักเรียนร้อยละ 76.92 ของนกั เรยี นท้งั หมด มคี ะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ร้อยละ 74.87 ของคะแนนเต็ม ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดและนักเรียนจำนวน
ร้อยละ 73.08 ของนักเรียนทั้งหมด ได้คะแนนความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ร้อยละ 73.96 ของ
คะแนนเต็ม ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด และสอดคล้องกับ ขนิษฐา กล่ำทับ (2563) ได้ศึกษา “การพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย
เทคนิค CIRC ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3” โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาทโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย
เทคนิค CIRC ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน
ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียน เขาทรายทับคล้อพิทยา จังหวัดพิจิตร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2562 จำนวน 39 คน เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั ได้แก่ แผนการจดั การเรยี นรู้ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียน และแบบประเมิน ความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

40

และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง
พระบรมราโชวาท โดยใช้การจัด การเรียนรูแ้ บบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 3 หลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรยี นอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักเรียนท่ี
มตี ่อการจดั การเรียนรู้แบบรว่ มมือดว้ ยเทคนิค CIRC ภาพรวมอยู่ในระดบั มาก (X = 4.22, S.D. = 0.37)

ขอ้ เสนอแนะ
การศึกษาเรื่อง “ผลของเทคนิคการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)

ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง พระบรมราโชวาท ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรยี นพิไกรวทิ ยา” ผวู้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะดังนี้

1. ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวจิ ัยไปใช้
1.1 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ควรนำรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้

ไปเผยแพร่ โดยการจัดพิมพ์เอกสารเผยแพร่หรือเสนอแนะให้โรงเรียนในเขตความรับผิดชอบนำไป
ทดลองใช้

1.2 ครูผสู้ อนทจ่ี ะนำรปู แบบการสอนแบบแบบสืบเสาะหาความรู้ ไปทดลองใช้ ควรศกึ ษา
ใหเ้ ขา้ ใจ ทุกข้ันตอน จนเกดิ ความชำนาญ เพื่อจะไดน้ ำไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากการสอนแบบบันได 5 ขั้น เป็นวิธีสอนที่จะต้องมีการเตรียม
การสอนเป็นอยา่ งดีและควรกำหนดเวลาใหเ้ พยี งพอสำหรบั การจัดกิจกรรม

2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั คร้งั ตอ่ ไป
2.1. ควรมีการศึกษา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กับเนื้อหาการเรียน

การสอนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยในเนื้อหาอื่น ๆ เช่น การเรียนรู้เรื่อง ชนิดของคำ การเขียน
ประโยคต่าง ๆ เป็นต้น หรือใช้ร่วมกับเนื้อหาของกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ เช่น กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ เป็นต้น

2.2 ควรมีการศึกษา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ระหว่างวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้กบั วธิ ีการสอนอืน่ ๆ เชน่ วธิ ีการการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การสอนดว้ ยรูปแบบการเรยี นเปน็ คู่ เป็นตน้

บรรณานกุ รม


Click to View FlipBook Version