7. การวัดและประเมินผล วธิ ีวดั เคร่อื งมือ เกณฑ์การประเมิน
ประเมนิ ตามสภาพจริง
รายการวดั - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบกอ่ น
7.1 การประเมนิ ก่อนเรียน ก่อนเรยี น เรียน
- แบบทดสอบกอ่ นเรียน
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 2 - ใบงานท่ี 2.1.1 - ตรวจใบงานที่ 2.1.1 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
เร่อื ง วัสดุ อุปกรณ์ทาง
เทคโนโลยี
7.2 การประเมนิ ระหวา่ งการจดั
กจิ กรรม
1) นกั ออกแบบผลิตภัณฑ์
2) การนำเสนอผลงาน - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมนิ ระดับคณุ ภาพ 2
ผลงาน การนำเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
3) พฤติกรรมการทำงาน
รายบุคคล - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบคุ คล
4) พฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม
5) คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
การทำงานกล่มุ การทำงานกลมุ่
- สังเกตความซื่อสัตย์ - แบบประเมนิ ระดับคุณภาพ 2
สุจรติ ความมีวนิ ยั คุณลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้ อันพึงประสงค์
และมงุ่ มนั่ ในการ
ทำงาน
8. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี ม.2 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2
วสั ดุ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยี
2) ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง นักออกแบบผลิตภัณฑ์
3) เคร่อื งคอมพิวเตอร์
8.2 แหลง่ เรียนรู้
1) ห้องคอมพิวเตอร์
2) อนิ เทอร์เนต็
ใบงานท่ี 2.1.1
เรอ่ื ง นักออกแบบผลติ ภัณฑ์
คำชีแ้ จง : ให้นักเรียนวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้ โดยวิเคราะห์คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด
และเลอื กใช้วัสดใุ หเ้ หมาะสม และบอกขอ้ จำกัดของผลิตภณั ฑ์
ผลติ ภณั ฑ์ สมบัติ วัสดทุ เี่ ลือกใช้ ขอ้ จำกดั ของผลติ ภัณฑ์
ขวดน้ำผลไม้ - ขวดแก้ว
- ใส - เปราะ แตกหักง่าย
- ทนต่อการกดั - ตน้ ทุนสงู กว่าการใช้
กรอ่ น ขวดพลาสติก
จากกรดผลไม้
- เหมาะกับใส่
เคร่ืองดื่ม
- ผลติ ภณั ฑ์ท่ไี ม่
ทำลายธรรมชาติ
จานใชค้ รง้ั เดียว
เสอ้ื กนั ฝน
ใบงานที่ 2.1.1 เฉลย
เรอ่ื ง นกั ออกแบบผลติ ภัณฑ์
คำช้แี จง : ให้นักเรียนวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้ โดยวิเคราะห์คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด
และเลือกใชว้ ัสดใุ หเ้ หมาะสม และบอกข้อจำกดั ของผลติ ภัณฑ์
ผลติ ภัณฑ์ สมบตั ิ วัสดทุ ีเ่ ลอื กใช้ ขอ้ จำกัดของ
ขวดนำ้ ผลไม้ ผลิตภัณฑ์
- ใส - ขวดแก้ว
- ทนตอ่ การกดั กรอ่ น - เปราะ แตกหักง่าย
- ต้นทุนสงู กวา่ การใช้
จากกรดผลไม้ ขวดพลาสติก
- เหมาะกบั ใส่
เครอื่ งดม่ื
- ผลิตภณั ฑ์ท่ีไม่
ทำลายธรรมชาติ
จานใช้ครั้งเดยี ว - ใสอ่ าหาร - วัสดุจากธรรมชาติ - คุณภาพของวสั ดจุ าก
- ไมร่ ว่ั ซมึ เช่น กระดาษ ใบไม้ ธรรมชาตบิ างครง้ั ยงั
กาบหมากกาบกลว้ ย ไม่ดพี อ
- บรรจุอาหารร้อน
ได้ ไมล่ ะลาย
- ยอ่ ยสลายได้
เสื้อกนั ฝน - เสื้อที่สามารถ - พลาสติก - ถา้ ทิง้ เปน็ ขยะ จะไม่
สามารถยอ่ ยสลายใน
กนั ฝนหรือน้ำได้
ธรรมชาตไิ ด้
9 ความเห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษาหรือผู้ทไ่ี ด้รับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงช่ือ .................................
( ................................ )
ตำแหนง่ .......
10. บันทึกผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางเทคโนยี (วทิ ยาการคำนวณ)
ดา้ นอ่นื ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมทม่ี ีปัญหาของนักเรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
แผนการจัดการเรยี นรู้
รหสั วิชา ว22104 รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี
กลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาชน้ั ปีท่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2
หน่วยที่ 2 เรื่องวัสดุ อปุ กรณท์ างเทคโนโลยี เวลาเรียน 8 ชว่ั โมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง เครื่องกลและเครือ่ งมอื ในการสร้างช้ินงาน เวลาเรียน 2 ช่ัวโมง
1. มาตรฐาน/ตัวชว้ี ัด ใช้ความรู้ และทักษะเกี่ยวกบั วัสดุ อปุ กรณ์ เครือ่ งมือ กลไก ไฟฟ้า และ
อเิ ล็กทรอนิกสเ์ พื่อแก้ปัญหาหรอื พัฒนางานได้อยา่ งถูกต้องเหมาะสม และ
1.1 ตวั ชว้ี ัด
ว 4.1 ม.2/5 ปลอดภัย
2. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. บอกความสามารถของเคร่อื งกลแต่ละประเภทได้ (K)
2. เลือกใชเ้ ครือ่ งกลและเครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการสร้างช้ินงานไดอ้ ย่างเหมาะสม (K)
3. บอกวธิ กี ารดแู ลรกั ษาเครอื่ งมือไดถ้ กู ตอ้ ง (K)
4. สืบค้นขอ้ มูลเกีย่ วกับเครอื่ งกลในการสร้างชน้ิ งานได้ถกู ตอ้ ง (P)
5. ตระหนกั ถึงความปลอดภัยในการใช้เครอ่ื งมือ (A)
3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ทอ้ งถิ่น
พิจารณาตามหลักสูตรของสถานศกึ ษา
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
- วสั ดแุ ต่ละประเภทมสี มบตั ิแตกต่างกนั เช่น ไม้
โลหะ พลาสติก จึงต้องมกี ารวเิ คราะห์สมบัติ
เพอ่ื เลอื กใช้ให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน
- การสรา้ งชิน้ งานอาจใช้ความรู้ เรอ่ื งกลไก ไฟฟ้า
อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เช่น LED มอเตอร์ บซั เซอร์
เฟอื ง รอก ลอ้ เพลา
- อุปกรณแ์ ละเครื่องมอื ในการสร้างช้นิ งาน หรือ
พฒั นาวธิ กี ารมีหลายประเภท ตอ้ งเลือกใช้ให้
ถูกตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทัง้ รูจ้ ัก
เกบ็ รักษา
4. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
เครื่องกลและกลไกเป็นส่ิงทีช่ ่วยให้การสร้างชิ้นงานมปี ระสิทธิภาพและเป็นไปตามท่ีผู้ใช้ต้องการ
รวมถึงการเลอื กอุปกรณ์และเครื่องมอื ในการพัฒนาชน้ิ งานตอ้ งเลอื กใช้ใหถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภัย
รวมทั้งรูจ้ กั เกบ็ รักษาใหใ้ ชง้ านได้เป็นอย่างดี
5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี นและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. ซ่ือสัตย์ สุจริต
- ทกั ษะการสื่อสาร 2. มีวนิ ัย รบั ผิดชอบ
- ทกั ษะการแลกเปลี่ยนขอ้ มูล 3. ใฝเ่ รียนรู้
4. มุง่ ม่นั ในการทำงาน
2. ความสามารถในการคิด
- ทักษะการคดิ วิเคราะห์
3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
- ทกั ษะการทำงานร่วมกนั
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
- ทกั ษะการสบื คน้ ขอ้ มลู
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชวั่ โมงที่ 1
ขน้ั นำ
ขน้ั ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement)
1. ครูถามคำถามกระตนุ้ ความสนใจของนักเรียนวา่ “นกั เรียนเคยขบั รถจักรยานหรือไม่ และ
นักเรยี นคดิ ว่ารถจักรยานมลี กั ษณะการทำงานอย่างไร”
(แนวตอบ: นักเรียนตอบตามความคดิ เห็นสว่ นตวั โดยคำตอบข้ึนอยกู่ บั ดุลยพนิ ิจของครผู ู้สอน
เช่น จกั รยานเป็นยานพาหนะประเภทรถมี 2 ลอ้ มีโครงเหล็กเช่อื มลอ้ หนา้ กับล้อหลงั ในทิศทาง
เดียวกนั มคี ันบังคับดว้ ยมือตดิ ตั้งอยูบ่ นล้อหนา้ มีเบาะนงั่ ขี่ ขบั เคลือ่ นดว้ ยแรงถบี จากคนขโ่ี ดย
กดบันไดทั้งสองข้าง ทำให้ลอ้ เคลือ่ นทไ่ี ปขา้ งหนา้ ดว้ ยความเร็ว จักรยานจงึ เปน็ เครอื่ งกลท่ีใชล้ ้อ
โดยเปลี่ยนพลังงานของคนข่ีให้เปน็ พลังงานจลนข์ องท้งั รถจกั รยาน เป็นตน้ )
2. ครถู ามคำถามกระตุ้นความคดิ โดยใชค้ ำถามประจำหัวข้อเพื่อให้นกั เรียนแสดงความคิดเหน็ ว่า
“เครือ่ งกลมีส่วนช่วยในการ สรา้ งช้ินงานอย่างไร”
(แนวตอบ: นักเรียนตอบตามความคิดเห็นสว่ นตัว โดยคำตอบขน้ึ อยกู่ ับดุลยพินจิ ของครผู ู้สอน
เชน่ การมคี วามร้เู รื่องเคร่ืองกลจะช่วยให้สรา้ งเครื่องมอื ทอ่ี ำนวยความสะดวกในการทำงาน
เป็นต้น)
3. ครูอธิบายกับนักเรียนเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียนว่า“เครื่องกลเป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นมา
เพอื่ ช่วยผ่อนแรงหรืออำนวยความสะดวกในการทำงานโดยอาศยั เคร่ืองกลประเภทตา่ ง ๆ”
ขน้ั สอน
ขั้นท่ี 2 สำรวจค้นหา (Exploration)
1. นกั เรียนแต่ละคนสบื คน้ ข้อมลู เกย่ี วกบั เรื่องเคร่อื งกลในการสรา้ งช้ินงาน ซ่งึ เคร่ืองกลอย่างงา่ ย
ที่ชว่ ยอำนวยความสะดวกในการทำงาน มี 6 ประเภท ดังนี้
1) รอก
1.1) รอกเด่ียวตายตวั
1.2) รอกเดยี่ วเคล่ือนที่
2) คาน
2.1) คานอันดบั ท่ี 1
2.2) คานอันดับที่ 2
2.3) คานอันดับท่ี 3
3) ลอ้ และเพลา
4) พืน้ เอยี ง
5) ลม่ิ
6) สกรู
2. ครสู ุ่มนักเรียน 3-4 คน ออกมานำเสนอข้อมูลทไี่ ด้สบื คน้ หนา้ ชัน้ เรียน
ขัน้ ท่ี 3 อธบิ ายความรู้ (Explanation)
3. ครอู ธบิ ายเกรด็ เสรมิ ความรทู้ เี่ กย่ี วข้องกบั เนอ้ื หา (Design Focus) เรอื่ ง การได้เปรียบเทียบ
เชงิ กลวา่ “การได้เปรียบเทยี บเชงิ กล คือ อัตราส่วนระหวา่ งแรงตา้ น (W) กบั แรงพยายาม (E)
ผลหรอื ตวั เลขจะสามารถบอกได้วา่ เครอ่ื งกลชนดิ น้นั ผอ่ นแรงไดห้ รอื ไม่ ดังนี้
- ถ้า M.A. = 1 แสดงวา่ ไม่ผ่อนแรง เพราะ W=E
(งานทไ่ี ด้จากเคร่ืองกลเท่ากับแรงกระทำ)
- ถ้า M.A. > 1 แสดงว่า ได้เปรียบเชิงกล เพราะ W>E
(งานที่ไดจ้ ากเครอื่ งกลมากกว่าแรงกระทำ)
- ถ้า M.A. < 1 แสดงวา่ เสยี เปรียบเชิงกล เพราะ W<E
(งานที่ได้จากเคร่ืองกลนอ้ ยกว่าแรงกระทำ)”
4. เปิดโอกาสให้นกั เรยี น 3-4 คน อภปิ รายร่วมกันภายใตค้ ำถาม“อปุ กรณใ์ ดบา้ งทเ่ี ปน็ เคร่อื งกล
ประเภทล้อ และมีการทำงานอยา่ งไร”
5. ครสู ุ่มนกั เรยี น 3-4 คน ออกมาตอบคำถามหนา้ ชั้นเรยี น
(แนวตอบ : เครื่องกลประเภทล้อ ไดแ้ ก่ ลกู บิดประตู สเกต็ บอรด์ หรอื รถวลี แชร์ เป็นตน้
โดยมี หนา้ ทก่ี ารทำงานดงั น้ี
- ลูกบดิ ประตู มีหนา้ ทีก่ ารทำงานคอื เมอ่ื บิดลกู บิด ซึ่งมลี ักษณะเปน็ ล้อ จะไป
ทำให้แกนเพลาและดึงสลัดประตู ทำใหป้ ระตูเปิด
- สเก็ตบอรด์ มีหน้าทีก่ ารทำงานคือ แผ่นกระดานที่มลี ้อติด ใช้เปน็ เท้าวางบน
แผน่ กระดาน 1 ขา้ งและใชเ้ ท้าที่แตะพนื้ ไถให้เกดิ ความเร็วในการเคล่อื นท่ี
- รถวลี แชร์ มหี น้าทก่ี ารทำงานคือ อปุ กรณท์ ่ีชว่ ยให้ผพู้ กิ ารหรือผปู้ ว่ ยที่มีปัญหา
ในการเคลอ่ื นไหว โดยตัวผู้ใช้งานโดยใช้มือและแขนเขน็ ไป เหมาะกบั ผทู้ ี่มี
กลา้ มเน้ือลำตวั ส่วนบนแขง็ แรงมากพอ ช่วยใหผ้ ู้ป่วยเคลื่อนไหวได้)
6. ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ เกย่ี วกับเคร่อื งกลประเภทสกรูว่า “สกรู เปน็ เคร่อื งกลท่ีช่วยผอ่ นแรงมรี ปู รา่ ง
คล้ายบนั ไดเวยี นวนรอบแกนอนั หนงึ่ สกรู ใช้สำหรับยกวตั ถหุ นัก ๆ ขึน้ สูง ๆ โดยแรงความ
พยายามเคลื่อนที่เป็นวงกลมขณะทีแ่ รงความตา้ นเคล่ือนที่ข้ึนลงในแนวด่งิ เช่น สวา่ น แม่แรง
ตะปเู กลียว เป็นตน้ ”
7. นกั เรียนแบ่งกล่มุ ออกเปน็ 6 กลมุ่ โดยใหแ้ ต่ละกลุ่มสง่ ตวั แทนออกมาจับสลากเรอ่ื งอปุ กรณ์
นา่ รู้ เพ่ือเลอื กอุปกรณ์ 1 ชนดิ จากนน้ั ให้นักเรียนสืบคน้ และอภปิ รายรว่ มกันว่าอุปกรณ์
ดงั กลา่ วใชห้ ลกั การเครอ่ื งกลประเภทใด โดยมีอปุ กรณด์ ังนี้
1) อุปกรณช์ ่วยขนยา้ ยอุปกรณ์กอ่ สรา้ ง
2) เครือ่ งตัดกระดาษ
3) พดั ลม
4) การขนยา้ ยของขนึ้ รถ
5) สิว่
6) ตะปูเกลยี ว
8. นกั เรียนแต่ละกลุ่มส่งตวั แทนออกมานำเสนอหนา้ ชั้นเรียน โดยครูรว่ มอภปิ รายและให้
ขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เติมดงั นี้
อุปกรณ์ หลกั การของเครื่องกล
อปุ กรณช์ ่วยขนยา้ ยอปุ กรณก์ ่อสรา้ ง
ใชห้ ลักการของรอก เครอ่ื งกลทีม่ ีลักษณะเปน็ ลอ้
เครอ่ื งตดั กระดาษ หมนุ ไดค้ ลอ่ งรอบ แกน ทข่ี อบของลอ้ มเี ชือกหรอื
พดั ลม สายเคเบิลพาดล้อเพือ่ ใช้ยกของหนกั ขึ้นท่ีสงู หรอื
หย่อนลงทีต่ ่ำ
การขนยา้ ยของข้นึ รถ
สว่ิ ใชห้ ลักการของคานอนั ดับ 2 ในการใช้แรงกด
ใหก้ ระดาษตดั ขาด
ตะปเู กลียว
ใชห้ ลักการของลอ้ และเพลา แกนเพลาจะหมุน
ทำให้ล้อทีต่ ิดใบพัดหมุนตาม ใชห้ ลกั การดูดอากาศ
จากบรเิ วณรอบ ๆ ทางด้านหลงั ของตวั ใบพัด
แลว้ ปลอ่ ยออกสู่ด้านหนา้ เกิดเป็นลมพดั
ใชห้ ลักการของพ้นื เอยี ง ใชใ้ นการขนย้ายวตั ถุข้ึน
ที่สูงด้วยการผลกั
ใชห้ ลักการของสวิ่ โดยเป็นเครอื่ งมือท่ใี ช้ตดั ไม้ หิน
หรือโลหะ โดยใช้แรงตอก ให้ส่วนคมท่ีปลายส่ิวเข้า
ไปในเนือ้ วตั ถุ ทำให้สว่ นทไี่ มต่ อ้ งการหลุดแตก
ออกมาจนได้รูปทรงทต่ี อ้ งการ
ใชห้ ลักการของสกรู เกลยี วคล้ายบันไดเวยี นวนรอบ
แกนอนั หนง่ึ ใชแ้ รงหมนุ เพือ่ ใหเ้ กลียวเคลอื่ นเจาะ
ทะลุเขา้ ไปในเนื้อไม้ เพ่อื ยึดยึดวัตถุสองช้ินให้ตดิ กัน
ชว่ั โมงท่ี 2
ขนั้ ท่ี 4 ขยายความเข้าใจ (Elaboration)
9. ครูวาดผงั มโนทัศนเ์ รือ่ งเครื่องมือในการสร้างชิ้นงานทแี่ บ่งออกเปน็ เครื่องมอื วดั เครอื่ งมอื ตดั
เคร่อื งมอื สำหรบั ยึดติด และเครอ่ื งมือสำหรบั เจาะ ลงบนกระดานหนา้ ช้ันเรยี น จากนัน้
ให้นกั เรียนร่วมกันบอกเคร่ืองมือตา่ ง ๆ ท่ีนักเรยี นใช้ในชีวิตประจำวนั ตามประเภทข้างตน้
โดยครพู ิจารณาคำตอบและบนั ทึกลงบนกระดานหนา้ ชนั้ เรยี น
10. ครูให้ความร้เู พ่ิมเติมเกีย่ วกบั วธิ กี ารดูแลรกั ษาเคร่ืองมอื ตา่ ง ๆ ดังนี้
เครอื่ งมอื วิธกี ารดูแลรักษาเคร่ืองมอื
ไมบ้ รรทดั เหล็ก เครอ่ื งมอื วัด
ตลบั เมตร
ทำความสะอาดไมบ้ รรทัดหลงั เลิกใชง้ าน และใส่ซองพลาสตกิ เพือ่ กันไมค่ ม
เวอรเ์ นียคาลปิ เปอร์ บาดหรือเกยี่ วมอื
คัตเตอร์ - ในการใชง้ านตอ้ งค่อยๆ ดึงจากตลับและเม่ือใช้เสรจ็ ให้คอ่ ย ๆ ผอ่ นให้เสน้
กรรไกร เทปกลับเขา้ ตลบั ถ้าปลอ่ ยใหก้ ลบั เร็วเกนิ ไปปลายของเกย่ี วอาจชำรุจ
เล่อื ยมือ เสยี หายได้
คีมตัด - ทำความสะอาดหลงั เลกิ ใชง้ านแลว้ เกบ็ ให้เปน็ ระเบียบ
กาว ทำความสะอาดและทาน้ำมนั กันสนมิ หลังจากเลิกใช้งาน โดยให้วาง
ปนื กาว เวอรเ์ นยี คาลิปเปอร์บนผา้ หรอื แผน่ ไม้
สกรู
ไขควง เคร่อื งมอื ตดั
สวา่ นไฟฟา้
สว่านมอื เลอื่ นใบมีดเขา้ ด้ามใหม้ ดิ ชิด แลว้ จงึ เก็บแลว้ ใสซ่ องหรอื ปลอกให้เรยี บรอ้ ย
สวา่ นกระแทก
ท่เี จาะกระดาษ เก็บไมใ่ ห้ขากรรไรง้างออก แลว้ จงึ ใสป่ ลอกหรอื ซองใหเ้ รยี บรอ้ ย หากไมม่ ี
ปลอก ให้เก็บไว้ใสกล่องหรือเก็บไวใ้ นลนิ้ ชักทีม่ ิดชิด
ใช้แปรงปดั ทำความสะอาดแล้วจึงทาด้วยนำ้ มนั เกบ็ ไว้ในทีเ่ กบ็ ใสก่ ล่อง
อุปกรณห์ รือทีเ่ ก็บให้มิดชดิ
เชด็ ทำความสะอาด จากนัน้ หยดน้ำมนั ทจ่ี ุดหมนุ แล้วชโลมนำ้ มันหลังการใช้
งาน
เครื่องมอื สำหรับยึดติด
ปดิ ฝาหลังการใช้งานให้สนทิ เพ่ือป้องกนั ไม่ใหก้ าวแห้งและอดุ ตนั
ทำความสะอาดหวั ปนื กาวไมใ่ หม้ ีการอดุ ตนั ของกาว และมว้ นสายไฟเก็บให้
เรียบรอ้ ยหลงั ใชง้ าน
เก็บไวใ้ นทแ่ี ห้ง
ทำความสะอาดแล้วเกบ็ ไว้ในทแ่ี หง้
เครอ่ื งมอื สำหรับเจาะ
- ทำความสะอาดหลังจากใช้งานเสรจ็ และใช้น้ำมันเชด็ ในส่วนทีเ่ ป็นเหล็กเพ่ือ
ปอ้ งกนั สนมิ ตรวจ
- เช็คสายของสวา่ นไฟฟา้ ไม่ให้มีส่วนขาดหรือถลอกกอ่ นใชง้ านและหลังจากใช้
งาน เพ่ือความปลอดภัยจากไฟร่วั
- ไม่ควรเจาะวัสดทุ ี่มีความแข็ง ทำความสะอาดและนำเศษกระดาษออกจาก
ตัวเคร่อื ง
- เก็บในท่ีแห้งปราศจากความช้ืน
11. นกั เรียนทำใบงานที่ 2.2.1 เร่ือง เคร่ืองมอื ช่าง โดยให้นักเรียนสืบค้นและศึกษาเพอื่
ทำความเขา้ ใจพร้อมวางแผนการเลอื กเครือ่ งมือในการผลติ ช้ินงานไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ
Note
วัตถุประสงคข์ องกิจกรรมเพือ่ ให้นักเรยี น
- มที ักษะการทำงานร่วมกนั โดยใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงานหรือการทำ
กจิ กรรมเพื่อใหเ้ กดิ การสอื่ สารและแลกเปลย่ี นข้อมูลรว่ มกันภายในกลุ่ม
- มที ักษะการสบื ค้นขอ้ มลู โดยใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนสืบคน้ ขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เน็ต
เพื่อสืบเสาะหาความรู้ตามหัวขอ้ ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
- มีทักษะการคิดวเิ คราะห์ โดยใหน้ ักเรยี นพจิ ารณาเนอื้ หาจากการสืบค้นหรอื ศกึ ษา
ข้อมลู จากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ เชน่ หนังสือเรยี น อินเทอร์เนต็ เป็นต้น
ขน้ั สรุป
ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluation)
1. ครปู ระเมนิ ผลการนำเสนอผลงานของนกั เรยี น
2. ครตู รวจสอบความถูกต้องจากใบงานท่ี 2.2.1 เรือ่ ง เครื่องมอื ช่าง
3. นกั เรยี นและครูรว่ มกนั สรุปเกยี่ วกบั นวัตกรรมและเทคโนโลยีวา่ “เครื่องกลมีส่วนชว่ ย
ในการสรา้ งชน้ิ งานให้ชว่ ยผอ่ นแรงหรอื อำนวยความสะดวกนารสรา้ งชน้ิ งาน เพอื่ ใหอ้ อกแรง
เพียงเล็กนอ้ ย และเคร่อื งมอื เปน็ อปุ กรณท์ ี่มีความสำคัญในการสร้างชิน้ งานไดล้ ะเอยี ด แม่นยำ
ปรับแตง่ ช้นิ งานให้มรี ปู รา่ งตามที่ต้องการและทำงานไดเ้ รว็ ขน้ึ โดยตอ้ งรู้จักเลอื กใชเ้ คร่ืองมอื ให้
เหมาะสมกบั ชน้ิ งาน รวมถงึ รู้จักการดูแลรกั ษาอปุ กรณ์ใหเ้ พ่อื รกั ษาประสทิ ธภิ าพของอุปกรณ์
และชว่ ยใหม้ ั่นใจอปุ กรณ์อยูใ่ นสภาพท่ีใชง้ านได้อกี นาน”
7. การวดั และประเมนิ ผล วิธีวดั เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน
รายการวดั - ตรวจใบงานท่ี 2.2.1
7.1 ประเมินระหว่างการจัดกิจกรรม ระดับคุณภาพ 2
การเรียนรู้ ผ่านเกณฑ์
1) เคร่ืองมือชา่ ง - ใบงานท่ี 2.2.1 ระดบั คุณภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์
2) การนำเสนอผลงาน - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ 2
ผลงาน การนำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
3) พฤตกิ รรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม ระดบั คณุ ภาพ 2
รายบุคคล การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
4) พฤติกรรมการทำงานกลมุ่ - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม
การทำงานกลุม่ การทำงานกลุ่ม
รายการวดั วธิ ีวัด เครอื่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ
5) คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ - สังเกตความซอื่ สัตย์ - แบบประเมนิ ระดับคุณภาพ 2
คณุ ลักษณะ
สุจริต ความมวี นิ ยั อันพงึ ประสงค์ ผา่ นเกณฑ์
ความรับผดิ ชอบ
ใฝ่เรียนรู้ และมุง่ ม่ัน
ในการทำงาน
8. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้
8.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนงั สือเรียนรายวิชาพน้ื ฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ม.5
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 2 เร่ือง วสั ดอุ ุปกรณท์ างเทคโนโลยี
2) ใบงานท่ี 2.2.1 เร่อื ง เคร่ืองมอื ช่าง
3) เครื่องคอมพวิ เตอร์
4) สลากเรอ่ื งอปุ กรณ์นา่ รู้
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งคอมพิวเตอร์
2) อินเทอร์เน็ต
ใบงานที่ 2.2.1
เร่อื ง เคร่ืองมือชา่ ง
คำช้แี จง : ให้นกั เรยี นสืบคน้ และศกึ ษาเพอ่ื ทำความเข้าใจพร้อมวางแผนการเลอื กเคร่ืองมือในการผลิตชน้ิ งาน
ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
ผลิตภัณฑ์ : เสอื้ กันฝน เครือ่ งมือสร้างชิน้ งาน
วสั ดุ : เครื่องมอื
ประเภทของเครอ่ื งมอื
เคร่ืองมอื วดั
เครอ่ื งมอื ตดั
เครือ่ งมอื สำหรับยึดตดิ
เครื่องมอื สำหรบั เจาะ
ใบงานท่ี 2.2.1 เฉลย
เรอ่ื ง เครื่องมือช่าง
คำชแ้ี จง : ใหน้ ักเรียนสบื ค้นและศึกษาเพ่อื ทำความเขา้ ใจพรอ้ มวางแผนการเลอื กเคร่ืองมอื ในการผลติ ชนิ้ งาน
ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ผลิตภัณฑ์ : เส้อื กันฝน เครอ่ื งมอื สร้างชน้ิ งาน
วสั ดุ : พลาสติกใส พลาสติกสีขาว เครอ่ื งมือ
ประเภทของเครอ่ื งมือ สายวัด ไม้บรรทัด
เคร่ืองมือวดั
กรรไกร คัตเตอร์
เครอื่ งมอื ตัด
ดา้ ย
เครอ่ื งมือสำหรบั ยดึ ติด
เขม็
เครื่องมือสำหรบั เจาะ
9. ความเหน็ ของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาหรอื ผู้ทไี่ ดร้ ับมอบหมาย .
)
ขอ้ เสนอแนะ
.......
ลงชื่อ
(
ตำแหนง่
10. บนั ทึกผลหลังการสอน
ดา้ นความรู้
ด้านสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ)
ดา้ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมที่มีปญั หาของนกั เรยี นเป็นรายบคุ คล (ถา้ ม)ี )
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแกไ้ ข
แผนการจดั การเรยี นรู้
รหัสวิชา ว22104 รายวชิ า ออกแบบและเทคโนโลยี
กลุ่มสาระวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาชน้ั ปที ่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2
หนว่ ยท่ี 2 เรอ่ื งวัสดุ อปุ กรณ์ทางเทคโนโลยี เวลาเรียน 8 ชวั่ โมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 3 เร่ือง เสยี งและอปุ กรณ์ท่ที ำใหเ้ กิดเสยี ง เวลาเรยี น 2 ชั่วโมง
1. มาตรฐาน/ตัวช้ีวดั ใช้ความรู้ และทักษะเกยี่ วกบั วสั ดุ อุปกรณ์ เครือ่ งมอื กลไก ไฟฟา้ และ
1.1 ตวั ชีว้ ัด อิเล็กทรอนิกส์เพอ่ื แก้ปัญหาหรือพัฒนางานไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสม และ
ว 4.1 ม.2/5 ปลอดภยั
2. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายการกำเนดิ ของเสียงได้ถกู ต้อง (K)
2. เลอื กใช้อปุ กรณท์ ่ีทำให้เกิดเสียงได้เหมาะสมกับงาน (K)
3. คำนวณหาอตั ราความเรว็ ของเสียงได้ (P)
4. เหน็ ความสำคัญของเสยี งและอปุ กรณท์ ่ีทำให้เกิดเสยี ง (A)
3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรทู้ อ้ งถนิ่
พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
- วสั ดุแต่ละประเภทมีสมบตั แิ ตกต่างกนั เช่น ไม้
โลหะ พลาสติก จงึ ตอ้ งมีการวิเคราะห์สมบัติ
เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลกั ษณะของงาน
- การสรา้ งชิ้นงานอาจใชค้ วามร้เู ร่ืองกลไก ไฟฟา้
อิเลก็ ทรอนิกส์เชน่ LED มอเตอรบ์ ซั เซอร์เฟือง
รอก ล้อ เพลา
- อุปกรณแ์ ละเคร่อื งมอื ในการสรา้ งช้นิ งาน หรอื
พฒั นาวิธีการมหี ลายประเภท ต้องเลอื กใช้ให้
ถกู ต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมท้งั ร้จู ัก
เก็บรกั ษา
4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
เสยี งเกิดจากการสน่ั ของวตั ถุ ทำใหเ้ กดิ พลงั งานที่วตั ถุถา่ ยเทไปยงั ตวั กลางแล้วเดนิ ทางไปจนถึงผ้รู บั
เสยี ง เสียงเดินทางไปถึงผรู้ บั ไดต้ อ้ งอาศัยตัวกลางได้ทัง้ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส โดยอัตราเรว็ ของเสยี ง
ในตัวกลางท่มี สี ถานะเป็นของแขง็ จะมอี ตั ราเร็วทีส่ ดุ และเมอ่ื อณุ หภมู เิ พ่มิ ขน้ึ อัตราเร็วของเสยี งเพ่ิมข้นึ ตาม
และจะไม่ไดย้ ินเสยี งหากไมม่ ตี ัวกลาง ปัจจบุ นั อปุ กรณ์ท่ที ำให้เกดิ เสียงมีอยู่มากมาย
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. ซื่อสัตย์ สุจรติ
- ทกั ษะการส่อื สาร 2. มวี ินยั รับผิดชอบ
- ทกั ษะการแลกเปลี่ยนข้อมูล
2. ความสามารถในการคดิ 3. ใฝเ่ รยี นรู้
- ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ 4. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
- ทกั ษะการสงั เกต
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
- ทกั ษะการทำงานรว่ มกัน
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
- ทกั ษะการสืบค้นข้อมลู
6. กจิ กรรมการเรียนรู้
วิธกี ารสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ช่ัวโมงท่ี 1
ขน้ั นำ
ขนั้ ท่ี 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement)
1. ครูใหน้ ักเรียนใช้มอื แตะท่ลี ำคอเมอ่ื ไมม่ ีการเปล่งเสยี ง และเม่อื มกี ารเปลง่ เสียงวา่ แตกต่างกัน
อยา่ งไร และอภปิ รายร่วมกนั วา่ “เสียงพดู เกิดจากลมทเ่ี ปล่งออกมาจากปอดผา่ นอวัยวะต่าง ๆ
ซ่ึงอวัยวะท่ที ำใหเ้ กดิ เสยี ง คือ กล่องเสยี ง ดงั น้นั เมอ่ื ลมจากปอดถูกสง่ มายงั หลอดคอ และผ่าน
กล่องเสยี งซ่ึงภายในกล่องเสยี งมสี ายเสียงขึงอยู่ตรงกลางกลอ่ งเสียง จึงทำให้สายเสยี ง
ส่ันสะเทอื นเกดิ เปน็ เสียงสูงหรือเสียงตำ่ แลว้ ก็กระทบลำคอ เพดาน ปาก ฟัน หรอื ริมฝปี าก
ทำใหอ้ อกมาเป็นเสยี งพดู ในท่สี ุด”
2. ครูยกตัวอยา่ งการทดลองของโรเบริ ต์ บอยล์ว่า“โรบริ ต์ บอยล์ ได้ทดลองนำกระด่ิงไฟฟ้า
(Electric bell) ใสใ่ นภาชนะแก้วปิด (Bell Jar) แล้วตอ่ สายกระดิ่งไฟฟา้ กับแบตเตอรี
เมือ่ กระด่งิ ไฟฟ้าทำงาน กส็ ูบอากาศออกโดยใชม้ อเตอร์ (Motor) ปรากฎว่าจะไดย้ นิ เสียง
กระดง่ิ ไฟฟา้ เบาลงเรอ่ื ย ๆ จนกระท่งั สบู อากาศออกหมดทำใหภ้ ายในครอบแก้วเปน็
สุญญากาศ” ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นคดิ ค้นสถานการณ์ต่อไปว่าจะเกดิ อะไรข้นึ
(แนวตอบ : นกั เรียนตอบตามความคดิ เหน็ ของตนเอง โดยคำตอบขึน้ อยกู่ บั ดลุ ยพนิ ิจของ
ครผู ู้สอน เช่น ไม่ไดย้ ินเสียงกระดง่ิ เลย เพราะ เสียงตอ้ งมตี วั กลาง เชน่ อากาศ ทำให้ปลายทาง
ได้ยินเสียง แตถ่ ้าไมม่ อี ากาศหรืออยู่ในอวกาศทเี่ ป็นสุญญากาศ จะทำให้ไม่ไดย้ ินเสียง เปน็ ตน้ )
3. ครถู ามคำถามประจำหวั ขอ้ ว่า“เสียงเกิดจากการส่ันและมีลกั ษณะเปน็ คลน่ื ดงั นัน้ ลำโพงทำไม
ถึงเกดิ เสียงได้”
(แนวตอบ : นักเรยี นตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดยคำตอบขน้ึ อยูก่ ับดลุ ยพนิ ิจของ
ครูผ้สู อน เช่น มสี ญั ญาณไฟฟ้ากระแสสลับเขา้ ไปในคอยส์เสยี ง จงึ ทำให้แผน่ ลำโพงส่ันลักษณะ
เคลอื่ นทีข่ ้นึ และลง สง่ ผลให้เกดิ การอดั อากาศด้านหนา้ ดังนัน้ จึงทำให้เกดิ คลืน่ เสยี งขึน้
เปน็ ต้น)
ขน้ั สอน
ขน้ั ท่ี 2 สำรวจค้นหา (Exploration)
1. นักเรยี นสังเกตการสั่นของเสยี งจากแหล่งกำเนดิ เสียงท่เี ปน็ สว่ นอัดและสว่ นขยายตัวจาก
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี ม.2
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 วัสดุ อุปกรณท์ างเทคโนโลยี โดยครอู ธบิ ายกับนักเรยี นวา่ “เสียงเปน็
คลนื่ กลตามยาวทเี่ กิดจากการสน่ั ของแหลง่ กำเนิดเสยี ง พลังงานของการสน่ั จะถูกถ่ายโอนให้
แก่โมเลกุลของตัวกลางทอ่ี ยู่ รอบ ๆ ส่งผลให้โมเลกลุ ของตวั กลางเกดิ การอดั ตัวและขยายตัว
ทำใหเ้ กิดการถา่ ยทอดพลังงานไป โดยท่อี นภุ าคตัวกลางส่ันไปมาอย่ทู ีเ่ ดมิ ”
2. นกั เรียนแบง่ กลุ่ม กล่มุ ละ 4-5 คน หรือตามความเหมาะสม และรว่ มกนั สบื คน้ ข้อมลู จาก
อนิ เทอร์เน็ตที่เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ของตนเอง ภายใตค้ ำถามว่า“ตัวกลางที่เสยี งเดนิ ทางไดม้ ี
อะไรบ้าง”
3. ครสู ่มุ นักเรียน 3-4 กลมุ่ ออกมาอภิปรายว่าร่วมกนั วา่ มตี วั กลางของเสยี งมีอะไรบา้ ง จากน้นั ให้
แตล่ ะกลมุ่ เรียงลำดับตัวกลางท่ีเสียงเดนิ ทางผ่าน จากความเร็วสงู ที่สดุ ไปหาความเรว็ น้อยทส่ี ุด
(แนวตอบ : ตวั กลางของเสยี ง คอื สารทม่ี ีสถานะของสาร 3 สถานะ คอื ของแขง็ ของเหลว
และกา๊ ซ ซ่งึ เรียงลำดบั ตัวกลางท่เี สียงเดินทางผ่านจากความเร็วสูงท่ีสดุ ไปหาความเรว็ น้อยที่สุด
ดงั น้ี ของแขง็ > อากาศ > ของเหลว)
ชว่ั โมงที่ 2
ข้ันที่ 2 สำรวจค้นหา (Exploration)
4. นกั เรยี นสงั เกตอัตราความเรว็ ของเสยี งในตัวกลางต่าง ๆ จากหนังสอื เรยี น โดยครูอธิบายกับ
นกั เรียนว่า“เสยี งอาศยั ตวั กลาง เม่อื เปล่ียนตัวกลางจากอากาศเปน็ ของแขง็ หรือของเหลว
จะทำให้มีอัตราเรว็ ของเสยี งทเี่ ดนิ ทางไปตามตัวกลางทอี่ ุณหภมู เิ ดียวกนั ซ่งึ อตั ราเร็วของเสยี ง
ทม่ี สี ถานะเป็นของแขง็ จะมอี ตั ราเร็วทสี่ ุด รองลงมอื ของเหลว และแก๊สตามลำดบั ซ่ึงใน
อากาศปกติสามารถหาอตั ราเรว็ ของเสียงท่อี ุณหภูมติ ่าง ๆ ไดจ้ ากสมการ v = 331 + 0.6t”
ขน้ั ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explanation)
5. ครสู ุม่ นักเรยี นออกมาอภปิ รายเกรด็ เสริมความรทู้ ่ีเก่ยี วข้องกับเน้ือหา (Design Focus)
เรอ่ื ง อัตราเร็วของเสยี งว่า“อตั ราเรว็ ของเสียงคือ ระยะทางที่เสยี งเดินทางไปในตัวกลางใด ๆ
ไดใ้ นหนึง่ หนว่ ยเวลา โดยทั่วไปเสียงเดินทางในอากาศท่มี อี ุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ได้
ประมาณ 346 เมตรต่อวนิ าที และในอากาศทอี่ ุณหภมู ิ 20 องศาสเซลเซยี ส ได้ประมาณ
343 เมตรต่อวนิ าที อัตราเรว็ ที่เสยี งเดนิ ทางในอากาศนั้นอาจมีคา่ มากขน้ึ หรอื นอ้ ยลงขนึ้ อยู่
กบั อุณหภมู ขิ องตัวกลางเปน็ หลัก และอาจไดร้ ับอิทธพิ ลจากความชน้ื บา้ งเล็กนอ้ ย”
ขน้ั ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaboration)
6. นกั เรียนแบง่ กลุ่ม (กลุ่มเดิม) เพื่อสบื คน้ อปุ กรณ์ท่ีทำให้เกิดเสียงตา่ ง ๆ จากหนงั สอื เรยี นหรอื
อินเทอร์เน็ต จากนน้ั บนั ทกึ คำตอบลงในสมดุ ประจำตวั โดยควรศกึ ษาเกีย่ วกบั แหลง่ กำเนิด
เสียงว่ามีการทำงานอย่างไรจงึ ทำใหเ้ กิดเสียงขึ้นมาได้ จากน้นั ให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอ
หนา้ ชน้ั เรยี น
Note
วตั ถุประสงคข์ องกิจกรรมเพือ่ ใหน้ กั เรยี น
- มีทกั ษะการทำงานรว่ มกันโดยใชก้ ระบวนการกลมุ่ ในการทำงานหรอื การทำ
กิจกรรมเพอ่ื ใหเ้ กิดการสอื่ สารและแลกเปลีย่ นขอ้ มลู ร่วมกนั ภายในกลมุ่
- มที ักษะการสืบคน้ ข้อมูล โดยใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนสืบคน้ ข้อมลู จากอินเทอรเ์ น็ต
เพอ่ื สบื เสาะหาความร้ตู ามหวั ขอ้ ทไี่ ด้รบั มอบหมาย
- มที ักษะการสังเกต โดยให้นกั เรียนสงั เกตภาพการสน่ั ของเสียงจากแหล่งกำเนดิ เสียง
และอตั ราเร็วของเสียงจากตวั กลางต่าง ๆ จากหนังสอื เรยี น เพอ่ื นำไปปรบั ใช้ในการเรยี นได้
อย่างเหมาะสม
- มที กั ษะการคดิ วเิ คราะห์ โดยให้นกั เรียนพิจารณาเนื้อหาจากการสืบคน้ หรอื ศกึ ษา
ข้อมลู จากแหลง่ ขอ้ มูลต่าง ๆ เชน่ หนงั สอื เรยี น อินเทอร์เนต็ เปน็ ต้น
ขน้ั สรุป
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluation)
1. ครูประเมนิ ผลจากการนำเสนอผลงานของนักเรยี น
2. นกั เรยี นและครูร่วมกันสรปุ ความร้เู กย่ี วกับเสียงและอุปกรณ์ที่ทำใหเ้ กิดเสยี งว่า“เสยี งเกิดจาก
การส่ันของวตั ถุ อาจเกิดเนอ่ื งจากการดดี สี ดี เป่า เคาะ ทำให้เกดิ พลังงานที่วัตถถุ ่ายเทไปยงั
ตัวกลางแลว้ เดินทางไปจนถึงผู้รับเสียงได้ต้องอาศยั ตวั กลางไดท้ ้ังของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
โดยอตั ราเรว็ ของเสียงในตัวกลางท่ีมสี ถานะเป็นของแข็งจะมีอตั ราเรว็ ทส่ี ดุ และเมื่ออุณหภูมิ
เพม่ิ ข้นึ อตั ราเรว็ ของเสียงเพิม่ ขน้ึ ตาม และจะไมไ่ ดย้ ินเสียงหากไมม่ ีตวั กลาง ปัจจุบันอปุ กรณ์ท่ี
ทำใหเ้ กิดเสยี ง ไดแ้ ก่ ลำโพง จะเปล่ียนสัญญาณไฟฟา้ เปน็ สัญญาณเสยี งทด่ี ังขน้ึ และบตั เซอร์
จะเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้า และกำเหนิดเสยี งส่วนใหญ่จะใช้สำหรบั แจง้ เตอื นอปุ รณ์ต่าง ๆ เมื่อมี
ปัญหา”
7. การวัดและประเมนิ ผล วิธวี ัด เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
รายการวัด
7.1 ประเมินระหวา่ งการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้
รายการวัด วธิ ีวัด เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
1) พฤติกรรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม ระดบั คุณภาพ 2
การทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบคุ คล ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2
2) พฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
การทำงานกลุม่ การทำงานกลมุ่
3) การนำเสนอผลงาน - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมนิ ระดับคุณภาพ 2
4) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผลงาน การนำเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
- สงั เกตความซ่อื สตั ย์ - แบบประเมนิ ระดับคณุ ภาพ 2
คุณลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
ความสุจรติ มวี นิ ยั อนั พึงประสงค์
ความรบั ผดิ ชอบ
ใฝ่เรยี นรแู้ ละและ
มุง่ มนั่ ในการทางาน
8. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้
8.1 สอื่ การเรยี นรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวชิ าพืน้ ฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี ม.2 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2
วสั ดุ อปุ กรณ์ทางเทคโนโลยี
2) เครอื่ งคอมพิวเตอร์
8.2 แหล่งเรียนรู้
1) หอ้ งคอมพวิ เตอร์
2) อินเทอรเ์ น็ต
9 ความเห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษาหรือผู้ทไ่ี ด้รับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงช่ือ .................................
( ................................ )
ตำแหนง่ .......
10. บันทึกผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางเทคโนยี (วทิ ยาการคำนวณ)
ดา้ นอ่นื ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมทม่ี ีปัญหาของนักเรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
แผนการจดั การเรยี นรู้
รหสั วชิ า ว22104 รายวิชา ออกแบบและเทคโนโลยี
กลมุ่ สาระวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาช้นั ปีท่ี 2 ภาคเรียนที่ 2
หนว่ ยที่ 2 เรื่องวัสดุ อุปกรณท์ างเทคโนโลยี เวลาเรียน 8 ชั่วโมง
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 4 เรอ่ื ง ไฟฟา้ และอปุ กรณท์ ี่ทำใหเ้ กิดแสง เวลาเรยี น 2 ช่วั โมง
1. มาตรฐาน/ตัวช้วี ัด ใช้ความรู้ และทกั ษะเกยี่ วกับวสั ดุ อปุ กรณ์ เครื่องมอื กลไก ไฟฟา้ และ
1.1 ตัวชี้วัด อิเลก็ ทรอนิกส์เพ่อื แกป้ ญั หาหรือพฒั นางานได้อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม และ
ว 4.1 ม.2/5 ปลอดภัย
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายกระบวนการเกิดแสงได้ถูกต้อง (K)
2. เลือกใช้วงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนานไดเ้ หมาะสมกบั งาน (K)
3. ร่างแบบวงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบขนานไดถ้ กู ตอ้ ง (P)
4. ตระหนกั ถงึ ความปลอดภัยขณะทำงานทีเ่ กี่ยวข้องกับวงจรไฟฟา้ (A)
3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถ่นิ
พจิ ารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษา
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
- วสั ดุแตล่ ะประเภทมีสมบตั แิ ตกตา่ งกนั เช่น ไม้
โลหะ พลาสตกิ จงึ ต้องมีการวิเคราะหส์ มบัติ
เพ่ือเลือกใช้ให้เหมาะสมกบั ลักษณะของงาน
- การสรา้ งชิน้ งานอาจใชค้ วามรเู้ รื่องกลไก ไฟฟ้า
อิเลก็ ทรอนกิ สเ์ ชน่ LED มอเตอรบ์ ัซเซอร์เฟอื ง
รอก ลอ้ เพลา
- อุปกรณแ์ ละเครอ่ื งมอื ในการสรา้ งชนิ้ งาน หรือ
พฒั นาวิธกี ารมหี ลายประเภท ต้องเลือกใช้ให้
ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทั้งรู้จกั
เก็บรกั ษา
4. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
ไฟฟา้ เปน็ สิ่งทจี่ ำเปน็ ในปจั จุบัน เพราะอปุ กรณ์ไฟฟ้าทกุ ชนดิ จะเปลยี่ นพลังงานไฟฟ้าเปน็ พลังงาน
รปู แบบอ่นื ๆ ตามทถี่ ูกออกแบบมาเพือ่ ประโยชนใ์ นการใชง้ านในด้านตา่ ง ๆ เช่น พลงั งานแสงสว่าง
พลงั งานความรอ้ น พลังงานกล พลังงานเสยี ง เป็นต้น
5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. ความสามารถในการสือ่ สาร 1. ซอ่ื สัตย์ สุจรติ
- ทักษะการสือ่ สาร 2. มวี ินยั รับผดิ ชอบ
- ทกั ษะการแลกเปล่ยี นขอ้ มูล 3. ใฝเ่ รยี นรู้
2. ความสามารถในการคดิ 4. มุ่งม่นั ในการทำงาน
- ทักษะการคิดวเิ คราะห์
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
- ทกั ษะการสงั เกต
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
- ทกั ษะการทำงานร่วมกนั
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
- ทักษะการสืบคน้ ขอ้ มูล
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วธิ ีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ช่วั โมงที่ 1
ขน้ั นำ
ขนั้ ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement)
1. ครทู ดลองเปิด-ปิดสวิตซข์ องหลอดไฟหน้าชัน้ เรียน จากนัน้ ครูถามคำถามประจำหัวข้อกบั
นักเรยี นวา่ “แสงเกดิ จากอะไร และวงจรไฟฟ้าทำใหเ้ กิดแสงได้อย่างไร”
(แนวตอบ : นกั เรยี นตอบตามความคดิ เห็นของตนเอง โดยคำตอบข้นึ อย่กู ับดุลยพินิจของ
ครูผู้สอน เชน่ แสงจากหลอดไฟฟา้ เกดิ จากเมอ่ื มกี ระแวไฟฟา้ จากวงจรไฟฟา้ ไหลผ่านหลอด
ไฟฟ้าดา้ นในจนเปลง่ แสงออกมา เป็นต้น)
2. ครูอธิบายกับนักเรียนเพอ่ื เช่อื มโยงเขา้ สบู่ ทเรยี นวา่ “ไฟฟ้าเปน็ สง่ิ ท่ีขาดไมไ่ ด้เลยในสังคม
ปจั จุบัน เพราะอปุ กรณท์ ุกชิ้น จำเปน็ ต้องมีไฟฟา้ เป็นแหลง่ พลังงานไมว่ ่าจะเปน็ เตารีด ตู้เย็น
พัดลม เครื่องซกั ผ้า เครอื่ งดดู ฝุ่น วิทยุ เป็นตน้ แต่เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ แตล่ ะชนดิ สามารถเปลี่ยน
พลังงานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานอน่ื ๆ ไดอ้ ย่างหลากหลาย ดงั น้ี”
เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ พลังงานที่ให้
เตารีด หมอ้ หุงข้าว กระทะไฟฟ้า กาต้มน้ำ พลังงานความรอ้ น
เครือ่ งตม้ กาแฟ
พลงั งานกล หรือพลงั งานท่ี
เครื่องปรับอากาศ ตเู้ ยน็ เครื่องดดู ฝ่นุ พดั ลม เครื่อง เก่ยี วข้องกับการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ
ซักผา้ เครอื่ งป่นั นำ้ ผลไม้
วิทยุ เคร่อื งขยายเสยี ง เครื่องบันทกึ เสียง พลงั งานเสยี ง
) ขน้ั สอน
ขน้ั ที่ 2 สำรวจคน้ หา (Exploration)
1. นักเรยี นกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน หรอื ตามความเหมาะสม จากนัน้ ให้นักเรยี นศึกษาขอ้ มูลเกยี่ วกบั
วงจรไฟฟ้าและการต่อตวั ต้านทานทง้ั แบบอนกุ รมและแบบขนาน จากหนงั สอื เรยี น รายวชิ า
พ้ืนฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ม.2 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 วัสดุ อุปกรณ์
ทางเทคโนโลยี หรือสืบค้นขอ้ มูลเพ่มิ เติมจากอนิ เทอรเ์ น็ตที่เครือ่ งคอมพิวเตอร์ของตนเอง
เพอ่ื หาคำตอบว่าการท่หี ลอดไฟฟ้าสวา่ งข้นึ จะต้องมกี ารต่อวงจรไฟฟา้ ซงึ่ สว่ นประกอบทสี่ ำคัญ
ของวงจรไฟฟา้ มอี ะไรบ้าง
2. เปิดโอกาสให้นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ ออกมานำเสนอว่าส่วนประกอบท่ีสำคัญของวงจรไฟฟ้ามี
อะไรบา้ ง และอภิปรายเกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำใหห้ ลอดไฟฟ้ามีแสงสว่าง
3. ครูอภิปรายรว่ มกบั นกั เรยี นว่า“วงจรวงจรไฟฟา้ เปน็ เส้นทางทีก่ ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น ซงึ่ มี
ส่วนประกอบท่ีสำคญั 3 ส่วน คอื
1) แหล่งกำเนดิ ไฟฟ้า (Power Source ) คือ แหล่งจา่ ยแรงดันไฟฟ้าไปท้ังวงจร เช่น
ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่
2) ตวั นำไฟฟา้ (Conductor) คือ วัสดุทีย่ อมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เช่น สายไฟ
ทองแดง เงิน เหลก็
3) เครอื่ งใช้ไฟฟา้ หรือโหลด (Electric Appliances or Load) คือ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าที่
เปลยี่ นแรงดันไฟฟ้า ทไ่ี ด้รับให้เปน็ พลงั งานรูปแบบอนื่ ”
4. ครูดำเนินการสาธิตใหน้ กั เรียนดเู ก่ยี วกบั การตอ่ วงจรไฟฟ้าของหลอดไฟฟา้ พรอ้ มทัง้ ให้
ขอ้ แนะนำถึงสิ่งท่ีควรระวงั ในขณะทำงานที่เกีย่ วขอ้ งกับวงจรไฟฟ้าว่า“ขณะทำงานที่เก่ยี วขอ้ ง
กบั ไฟฟา้ ผใู้ ช้ควรตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า เครือ่ งมอื ฉนวนหุ้มสายไฟฟา้ ซ่งึ ต้องไมช่ ำรดุ
เพราะหากชำรดุ จะสง่ ผลให้ไฟฟา้ ร่วั ไหล ก่อนปฏิบัติงานควรเขียนผังวงจร และตรวจสอบ
ร่วมกันกอ่ นลงมือปฏบิ ัติเพอื่ ความไม่ประมาท รวมถงึ ขณะทำงานมือ และเท้าต้องแหง้ หรอื
สวมรองเท้าเพือ่ ความปลอดภยั ”
5. จากนั้นครูตอ่ วงจรไฟฟ้าท้ัง 2 แบบให้นักเรยี นดเู ป็นตัวอย่าง คอื
1) การตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบเปดิ
2) การต่อวงจรไฟฟ้าแบบปิด
6. ครูอธิบายกับนกั เรียนวา่ “การตอ่ วงจรไฟฟา้ แบบเปดิ จะทำให้ผลลพั ธ์คือหลอดไฟฟา้ ไมต่ ดิ
แต่การตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบปดิ จะสง่ ผลลัพธค์ ือหลอดไฟฟ้าสวา่ ง”
7. ครูเปิดโอกาสให้นกั เรียนปฏบิ ัตกิ ารต่อวงจรไฟฟ้าตามความเขา้ ใจ โดยครูแจกอุปกรณ์การตอ่
วงจรไฟฟา้ และคอยให้คำแนะนำอยา่ งใกลช้ ิด
8. จากน้ันครสุม่ ตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอวธิ กี ารต่อวงจรไฟฟา้ พอสงั เขป
ชวั่ โมงท่ี 2
ข้นั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explanation)
9. ครูอธิบายความรูเ้ รอ่ื งวงจรไฟฟ้าและตวั ต้านทานเพ่ือทบทวนความรู้วา่ “ส่วนประกอบของ
วงจรไฟฟ้าสามารถตอ่ ตวั ต้านทาน ซึง่ ตดิ ตั้งอยใู่ นวงจรการทำงานทกุ อปุ กรณไ์ ฟฟ้า โดยตวั
ตา้ นทานเป็นตัวทีท่ ําหนา้ ทีจ่ ํากดั กระแสไฟฟา้ ท่ไี หลในวงจรตามทอี่ ุปกรณ์ไฟฟ้าไดก้ ําหนดเอาไว้
ดงั นนั้ การต่อตัวตา้ นทานจงึ มีความสำคญั มากต่อการใช้งานเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้า วิธีการตอ่ ตวั
ต้านทานได้ 2 แบบ คือ แบบอนุกรมและแบบขนาน”
10. นักเรยี นศกึ ษาเกรด็ เสรมิ ความรู้ทเี่ กย่ี วกับเนอ้ื หา (Design Focus) เรือ่ ง แหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้
11. นกั เรียนแบ่งกลมุ่ (กลุ่มเดมิ ) จากชวั่ โมงท่ผี ่านมา เพื่อรว่ มกนั ทำใบงาน 2.4.1 เรอื่ ง ช่างไฟฟ้า
โดยให้นกั เรยี นนำความรู้ เรอื่ ง วธิ กี ารตอ่ ตวั ตา้ นทานท้งั 2 แบบมาประยกุ ต์ใชใ้ นการทำใบงาน
แตก่ ่อนลงมือทดลองใหแ้ ต่ละกลุ่มนำแบบร่างการตอ่ ผงั วงจรมาใหค้ รูตรวจสอบกอ่ นลงมือ
ปฏบิ ตั ิ และในระหวา่ งการปฏิบัตใิ หค้ รเู ดินตรวจสอบพร้อมให้คำแนะนำ และตงั้ คำถามเพื่อให้
นกั เรยี นได้ทดสอบและสงั เกตการทดลอง
12. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มส่งใบงาน จากนน้ั ครูสมุ่ นักเรยี น 1 กลุ่ม ออกมาอภิปรายนำผลการทำใบงาน
โดยครูคอยชแ้ี นะคำตอบให้ตามความเหมาะสม ดังนี้
ผลการทดลองการตอ่ วงจรแบบอนุกรม
รูปแบบการตอ่ วงจร ผลการทดลอง
แบบที่ 1 หลอดไฟฟ้าสว่าง
แบบท่ี 2 หลอดไฟฟ้าสว่างน้อยลง
แบบที่ 3 หลอดไฟฟา้ ดี ไมส่ วา่ ง
ผลการทดลองการตอ่ วงจรแบบขนาน
รปู แบบการต่อวงจร ผลการทดลอง
แบบท่ี 1 หลอดไฟฟา้ สว่าง
แบบที่ 2 หลอดไฟฟ้าสว่างเท่ากนั
แบบที่ 3 หลอดไฟฟ้าอีกดวงยงั คงสว่างอยู่
13. นักเรยี นและครรู ่วมกนั สรุปความร้จู ากการทำกจิ กรรมว่า“การตอ่ วงจรไฟฟา้ สำหรับหลอด
ไฟฟา้ ในห้องหรืออาคาร จึงควรตอ่ วงจรแบบขนาน เพราะการตอ่ ดังกล่าวเมือ่ มหี ลอดไฟฟ้า
ที่เพิม่ มาในระบบมากขน้ึ หลอดไฟยังคงใหค้ วามสว่างเท่าเดมิ และหากมหี ลอดไฟฟ้าเสยี
อีกหลอดกย็ ังคงใช้ได้”
Note
วตั ถุประสงค์ของกจิ กรรมเพือ่ ให้นักเรียน
- มที ักษะการทำงานรว่ มกนั โดยใช้กระบวนการกลุม่ ในการทำงานหรือการทำ
กิจกรรมเพอ่ื ให้เกดิ การส่อื สารและแลกเปลี่ยนขอ้ มูลรว่ มกนั ภายในกลมุ่
- มีทกั ษะการสืบค้นขอ้ มลู โดยใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนสบื ค้นขอ้ มูลจากอนิ เทอรเ์ นต็
เพอ่ื สบื เสาะหาความรตู้ ามหัวขอ้ ที่ได้รบั มอบหมาย
- มีทักษะการสังเกต โดยใหน้ กั เรียนสังเกตการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบปิดและการต่อ
วงจรไฟฟา้ แบบเปิด จากหนังสอื เรียนเพื่อนำไปปรับใช้ในการเรียนได้อย่างเหมาะสม
- มีทกั ษะการคิดวิเคราะห์ โดยให้นกั เรียนพจิ ารณาเนือ้ หาจากการสืบค้นหรือศึกษา
ขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ เชน่ หนังสือเรยี น อินเทอร์เน็ต เปน็ ต้น
ขน้ั สรปุ
ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluation)
1. ครปู ระเมินผลการนำเสนอของนกั เรยี นและตรวจสอบความถกู ตอ้ งจากการทำใบงานท่ี 2.4.1
เรอื่ ง ช่างไฟฟ้า
2. ครูตงั้ คำถามเพื่อให้นกั เรยี นคาดเดาวา่ “หากเพมิ่ ถ่านไฟฉายในวงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม จะเกิด
อะไรขึ้นในวงจรไฟฟ้า”
(แนวตอบ : นักเรยี นตอบตามความคดิ เหน็ ของตนเอง โดยคำตอบขนึ้ อยกู่ บั ดุลยพนิ จิ ของ
ครูผู้สอน โดยคำตอบท่ถี ูกต้อง คือ หลอดไฟฟ้าจะสวา่ งมากข้นึ )
3. นักเรียนและครูรว่ มกันสรุปความรู้เกีย่ วกับ ความสัมพันธ์ของวทิ ยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
วา่ “วงจรทป่ี ระกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ตวั นำไฟฟา้ และเคร่อื งใช้ไฟฟา้ หรือโหลด เม่ือเปดิ
สวติ ชก์ ระแสไฟฟ้าจะออกจากแหล่งกำเนิดไฟฟา้ เช่น ถา่ นไฟฉาย จากข้วั บวกผ่านตัวนำไฟฟา้
เชน่ สายไฟ ไปยังอปุ กรณ์ไฟฟา้ ในวงจร จากน้ันกระแสไฟฟา้ จะไหลออกไปยงั ข้วั ลบของ
แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า เปน็ การเคล่อื นที่ครบวงจรของกระแสไฟฟ้า เรียกวงจรไฟฟา้ นว้ี ่
“วงจรไฟฟา้ ปดิ ” และการตอ่ งวงจรไฟฟ้ามี 2 แบบ คอื แบบอนกุ รมและแบบขนาน โดยการตอ่
แบบอนกุ รมจะเป็นการต่ออปุ กรณ์ไฟฟ้าต่อกนั หากมอี ุปกรณ์ตัวใดตวั หนง่ึ เสีย อปุ กรณอ์ ่ืน ๆ
ในวงจรจะใช้งานไม่ได้ ในขณะทกี่ ารต่อแบบขนานเปน็ การตอ่ ครอ่ มกับแหลง่ กำเนิดไฟฟา้ ทำ
ใหเ้ ป็นการแยกวงจร หากมอี ุปกรณต์ ัวใดตวั หนึ่งเสีย อุปกรณอ์ นื่ ๆ ในวงจรจะยงั คงใช้งานได้”
4. นักเรยี นทำกิจกรรมท่สี อดคล้องกับเนือ้ หาโดยให้ผู้เรียนฝึกปฏบิ ัติเพอื่ พัฒนาความร้แู ละทักษะ
(Design Activity) และทำแบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้ ความเขา้ ใจ และพัฒนาทักษะการคิดของ
ผเู้ รียน (Unit Activity) โดยใหน้ ักเรยี นตอบคำถามใหถ้ ูกต้องลงในสมุดประจำตวั
5. นักเรยี นตรวจสอบระดับความสามารถของตนเอง (Self-Check) โดนพจิ ารณาข้อความว่าถูก
หรอื ผิด หากนกั เรยี นพจิ ารณาข้อความไมถ่ กู ตอ้ ง ให้นักเรยี นกลบั ไปทบทวนเน้อื หาตามหวั ข้อ
ท่ีกำหนดให้
6. นกั เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง วัสดุ อุปกรณท์ างเทคโนโลยี
เพอ่ื วัดความรู้ทีน่ กั เรียนไดร้ ับหลังผา่ นการเรยี นรู้
7. การวดั และประเมนิ ผล วิธีวัด เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
รายการวัด - ใบงานที่ 2.4.1 - ตรวจใบงานท่ี 2.4.1 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ระดับคณุ ภาพ 2
7.1 การประเมินระหว่างการ การทำงานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
จัดกิจกรรม การทำงานรายบคุ คล
1) ไฟฟ้าและอุปกรณ์
ทท่ี ำให้เกิดแสง
2) พฤตกิ รรมการทำงาน
รายบุคคล
3) พฤตกิ รรมการทำงาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคณุ ภาพ 2
กลุ่ม การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
4) การนำเสนอผลงาน - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2
ผลงาน การนำเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
5) คณุ ลกั ษณะอันพงึ - สังเกตความซื่อสตั ย์ - แบบประเมิน ระดับคุณภาพ 2
ประสงค์ คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
สุจรติ ความมวี นิ ัย อนั พงึ ประสงค์
- แบบทดสอบหลังเรยี น ประเมนิ ตามสภาพจริง
ความรับผดิ ชอบ
ใฝ่เรยี นร้แู ละและ
มุง่ มน่ั ในการทำงาน
7.2 การประเมินหลังเรยี น
- แบบทดสอบหลังเรยี น - ตรวจแบบทดสอบ
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 หลงั เรยี น
เรอื่ ง วสั ดุ อปุ กรณ์
ทางเทคโนโลยี
8. สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้
8.1 สือ่ การเรียนรู้
1) หนังสือเรยี นวชิ า เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี ม.2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2
วัสดุ อปุ กรณท์ างเทคโนโลยี
2) ใบงานท่ี 2.4.1 เรื่อง ช่างไฟฟ้า
3) เคร่อื งคอมพิวเตอร์
4) อุปกรณ์ตอ่ วงจรไฟฟา้
5) หลอดไฟฟา้
8.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) ห้องคอมพวิ เตอร์
2) อนิ เทอรเ์ นต็
ใบงานท่ี 2.4.1
เรือ่ ง ช่างไฟฟ้า
คำชแี้ จง : ใหน้ ักเรียนออกแบบวงจรไฟฟ้าสำหรบั หลอดไฟฟ้าในหอ้ ง 2 หอ้ ง โดยมีเงอื่ นไข ดังน้ี
เงอ่ื นไข : หลอดไฟฟา้ ทงั้ สองหลอดตอ้ งมคี วามสว่างเท่ากัน และหากหลอดไฟฟ้าหอ้ งใดห้องหนึ่งเสยี
หลอดไฟฟ้าของอกี หอ้ งจะยังคงใช้ได้อยู่
อุปกรณท์ ใ่ี ช้ :
1. หลอดไฟฟ้าสำหรับทดสอบจำนวน 4 หลอด เป็นหลอดที่ใชง้ านได้ 3 หลอด และหลอดเสีย 1 หลอด
2. รางถา่ นไฟฉายคู่ 1 ราง
3. ถา่ นไฟฉาย 2 ก้อน
4. สายไฟสีแดง 2 เส้น สายไฟสดี ำ 2 เสน้
แบบท่ี 1 ตอ่ หลอดไฟฟ้าจำนวน 1 หลอด รา่ งแบบการต่อวงจรแบบอนุกรม
แบบที่ 2 ต่อหลอดไฟฟ้าท่ใี ช้งานได้จำนวน 2 แบบที่ 3 ต่อหลอดไฟฟ้าหลอดที่เสียจำนวน
หลอด 1 หลอด และหลอดไฟฟ้าที่ใช้งานได้จำนวน
1 หลอด
รปู แบบการต่อวงจร ผลการทดลองการตอ่ วงจรแบบอนกุ รม
แบบท่ี 1 ผลการทดลอง
แบบท่ี 2
แบบที่ 3
แบบที่ 1 ต่อหลอดไฟฟา้ จำนวน 1 หลอด รา่ งแบบการตอ่ วงจรแบบขนาน แบบที่ 3 ต่อหลอดไฟฟ้าหลอดที่เสียจำนวน
1 หลอด และหลอดไฟฟ้าที่ใช้งานได้จำนวน
แบบท่ี 2 ตอ่ หลอดไฟฟ้าทใี่ ช้งานได้จำนวน 2 1 หลอด
หลอด
รปู แบบการตอ่ วงจร ผลการทดลองการต่อวงจรแบบขนาน
แบบที่ 1 ผลการทดลอง
แบบที่ 2
แบบที่ 3
มติของกลุ่มสำหรับการเลือกการตอ่ วงจรไฟฟ้าภายในหอ้ งหรอื อาคารตามเงอ่ื นไขท่ีกำหนดให้
การตอ่ วงจรแบบอนกุ รม เพราะ ...............................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
การต่อวงจรแบบขนาน เพราะ ..................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ใบงานที่ 2.4.1 เฉลย
เร่ือง ช่างไฟฟ้า
คำชี้แจง : ให้นักเรียนออกแบบวงจรไฟฟ้าสำหรบั หลอดไฟฟ้าในหอ้ ง 2 ห้อง โดยมีเงื่อนไข ดังน้ี
เงื่อนไข : หลอดไฟฟา้ ทั้งสองหลอดตอ้ งมคี วามสว่างเท่ากนั และหากหลอดไฟฟ้าหอ้ งใดหอ้ งหนึง่ เสยี
หลอดไฟฟา้ ของอกี ห้องจะยังคงใชไ้ ดอ้ ยู่
อปุ กรณท์ ่ใี ช้ :
1. หลอดไฟฟ้าสำหรบั ทดสอบจำนวน 4 หลอด เป็นหลอดทีใ่ ชง้ านได้ 3 หลอด และหลอดเสีย 1 หลอด
2. รางถ่านไฟฉายคู่ 1 ราง
3. ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน
4. สายไฟสีแดง 2 เส้น สายไฟสีดำ 2 เสน้
แบบท่ี 1 ต่อหลอดไฟฟ้าจำนวน 1 หลอด ร่างแบบการต่อวงจรแบบอนกุ รม
แบบท่ี 2 ต่อหลอดไฟฟ้าที่ใชง้ านได้จำนวน 2 แบบที่ 3 ต่อหลอดไฟฟ้าหลอดที่เสียจำนวน
หลอด 1 หลอด และหลอดไฟฟ้าที่ใช้งานได้จำนวน
1 หลอด
รูปแบบการตอ่ วงจร ผลการทดลองการตอ่ วงจรแบบอนกุ รม
แบบท่ี 1 ผลการทดลอง
แบบที่ 2
แบบท่ี 3 หลอดไฟฟ้าสวา่ ง
หลอดไฟฟา้ สวา่ งน้อยลง
หลอดไฟฟา้ ดี ไมส่ วา่ ง
แบบที่ 1 ตอ่ หลอดไฟฟา้ จำนวน 1 หลอด ร่างแบบการตอ่ วงจรแบบขนาน แบบที่ 3 ต่อหลอดไฟฟ้าหลอดที่เสียจำนวน
1 หลอด และหลอดไฟฟ้าที่ใช้งานได้จำนวน
แบบท่ี 2 ต่อหลอดไฟฟ้าทใี่ ช้งานได้จำนวน 2
หลอด 1 หลอด
รูปแบบการตอ่ วงจร ผลการทดลองการต่อวงจรแบบขนาน
แบบท่ี 1 ผลการทดลอง
แบบท่ี 2
แบบที่ 3 หลอดไฟฟา้ สวา่ ง
หลอดไฟฟ้าสว่างเทา่ กนั
หลอดไฟฟา้ อกี ดวงยงั คงสวา่ งอยู่
มติของกลุ่มสำหรับการเลือกการตอ่ วงจรไฟฟ้าภายในห้องหรอื อาคารตามเง่อื นไขท่กี ำหนดให้
การตอ่ วงจรแบบอนุกรม เพราะ ...............................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
การต่อวงจรแบบขนาน เพราะการตอ่ ดังกล่าวเมอื่ มหี ลอดไฟฟ้าที่เพิ่มมาในระบบมากขนึ้ หลอดไฟฟ้า
ยงั คงให้ความสว่างเท่าเดิม และหากมหี ลอดไฟฟ้าเสีย อีกหลอดยงั คงใช้ได้
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
คำชแี้ จง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✓ลงในชอ่ ง
ท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ลำดบั ที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1
32
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรับฟงั ความคดิ เห็นของผู้อืน่
3 การทำงานตามหน้าที่ทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
4 ความมนี ำ้ ใจ
5 การตรงตอ่ เวลา
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมนิ
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสมำ่ เสมอ ............/.................../................
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
14–15 ดมี าก
11–13 ดี
8–10
ตำ่ กว่า 8 พอใช้
ปรบั ปรงุ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
คำชีแ้ จง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขดี ✓ลงในชอ่ ง
ท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอ่ื –สกลุ การแสดง การยอมรับ การทำงาน ความมี การมี รวม
ของนกั เรียน ความ ฟงั คนอนื่ ตามที่ได้รบั นำ้ ใจ ส่วนรว่ มใน 15
คดิ เห็น มอบหมาย คะแนน
ลำดับที่ การ
ปรับปรงุ
ผลงานกลมุ่
32132 32132 321
11
เกณฑก์ ารให้คะแนน ลงชอ่ื ...................................................ผปู้ ระเมนิ
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอยา่ งสมำ่ เสมอ ............./.................../...............
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤติกรรมบอ่ ยครั้ง
ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
คำชีแ้ จง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ลงในชอ่ งที่
ตรงกบั ระดบั คะแนน
ลำดบั ท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1
32
1 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ความคิดสร้างสรรค์
3 วธิ กี ารนำเสนอผลงาน
4 การนำไปใชป้ ระโยชน์
5 การตรงตอ่ เวลา
รวม
ลงชอ่ื ................................................... ผู้ประเมนิ
............/................./...................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมินสมบรู ณช์ ัดเจน ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคลอ้ งกับรายการประเมนิ เป็นส่วนใหญ่
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมินบางส่วน
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ
14–15 ดมี าก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขดี ✓ลงในชอ่ ง
ที่ตรงกับระดับคะแนน ระดับคะแนน
คณุ ลกั ษณะ 32 1
อันพงึ ประสงค์ดา้ น รายการประเมนิ
1. รกั ชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติได้
กษตั รยิ ์ 1.2 เข้าร่วมกจิ กรรมที่สรา้ งความสามคั คีปรองดอง และเปน็ ประโยชนต์ ่อ
โรงเรียน
1.3 เข้าร่วมกจิ กรรมทางศาสนาทต่ี นนับถือ ปฏิบตั ติ ามหลกั ศาสนา
1.4 เข้าร่วมกิจกรรมที่เก่ียวกบั สถาบนั พระมหากษัตรยิ ต์ ามทโี่ รงเรยี นจัดข้ึน
2. ซ่ือสัตย์ สุจรติ 2.1 ให้ข้อมูลทถ่ี ูกต้องและเป็นจริง
2.2 ปฏบิ ตั ใิ นสง่ิ ทถี่ ูกต้อง
3. มีวินยั รบั ผดิ ชอบ 3.1 ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คับของครอบครวั
มคี วามตรงต่อเวลาในการปฏิบัตกิ ิจกรรมต่างๆ ในชีวติ ประจำวัน
4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 รู้จักใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ และนำไปปฏิบตั ิได้
4.2 รจู้ ักจัดสรรเวลาให้เหมาะสม
4.3 เชื่อฟงั คำส่ังสอนของบิดา-มารดา โดยไม่โตแ้ ย้ง
4.4 ตง้ั ใจเรียน
5. อยอู่ ย่างพอเพียง 5.1 ใชท้ รพั ย์สินและส่งิ ของของโรงเรียนอย่างประหยัด
5.2 ใช้อปุ กรณก์ ารเรยี นอยา่ งประหยดั และร้คู ุณคา่
5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงนิ
6. ม่งุ มั่นในการทำงาน 6.1 มคี วามตัง้ ใจและพยายามในการทำงานที่ไดร้ บั มอบหมาย
6.2 มคี วามอดทนและไมท่ อ้ แท้ตอ่ อุปสรรคเพ่ือให้งานสำเรจ็
7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจติ สำนึกในการอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย
7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัตติ นตามวัฒนธรรมไทย
8. มจี ิตสาธารณะ 8.1 รจู้ ักชว่ ยพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน
8.2 รจู้ กั การดแู ลรักษาทรัพยส์ มบัติและสง่ิ แวดล้อมของห้องเรยี นและ
โรงเรียน
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงชอ่ื ..................................................ผปู้ ระเมนิ
............/.................../................
พฤตกิ รรมทป่ี ฏบิ ตั ิชัดเจนและสมำ่ เสมอ ให้ 3 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
พฤตกิ รรมทีป่ ฏบิ ัตชิ ดั เจนและบ่อยครงั้ ให้ 2 คะแนน 51–60 ดีมาก
พฤติกรรมทป่ี ฏิบัตบิ างคร้งั ให้ 1 คะแนน 41–50 ดี
30–40 พอใช้
ต่ำกวา่ 30 ปรบั ปรุง
9. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรือผทู้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย .................................
................................ )
ข้อเสนอแนะ
.......
ลงช่อื
(
ตำแหน่ง
10. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางเทคโนยี (วิทยาการคำนวณ)
ด้านอ่นื ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมท่ีมปี ญั หาของนกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล (ถา้ ม)ี )
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3
กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม
เวลา 6 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด
ว 4.1 เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพอ่ื การดำรงชีวิตในสังคมทม่ี กี ารเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว
ใช้ความรู้และทกั ษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตรอ์ นื่ ๆ เพือ่ แก้ปญั หาหรือ
พัฒนางานอยา่ งมคี วามคดิ สร้างสรรค์ ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลอื กใช้
เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม
ว 4.1 ม.2/2 ระบุปัญหาหรอื ความต้องการในชมุ ชน หรอื ทอ้ งถนิ่ สรุปกรอบของ
ปัญหารวบรวม วิเคราะห์ ขอ้ มูลและแนวคิดทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับปญั หา
ว 4.1 ม.2/3 ออกแบบวิธกี ารแกป้ ญั หา โดยวิเคราะห์เปรยี บเทียบ และตัดสินใจ
เลอื กข้อมูลท่จี ำเปน็ ภายใต้เง่ือนไขและทรพั ยากรทม่ี อี ยู่ นำเสนอ
แนวทางการแก้ปญั หาใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจ วางแผนขั้นตอนการทำงานและ
ดำเนินการแก้ปัญหาอยา่ งเป็นขนั้ ตอน
ว 4.1 ม.2/4 ทดสอบ ประเมนิ ผล และอธบิ ายปัญหาหรือขอ้ บกพรอ่ งทีเ่ กิดขึ้น
ภายใต้กรอบเงือ่ นไข พร้อมท้งั หาแนวทางปรับปรุงแก้ไข และนำเสนอ
ผลการแกป้ ัญหา
2. สาระการเรยี นรู้
2.1 สาระการเรียนร้แู กนกลาง
1) ปัญหาหรอื ความตอ้ งการในชมุ ชนหรือทอ้ งถ่นิ มหี ลายอยา่ ง ขึน้ กับบรบิ ทหรือสถานการณ์
ทป่ี ระสบ เชน่ ดา้ นพลังงาน ส่งิ แวดลอ้ ม การเกษตร การอาหาร
2) การระบปุ ญั หาจำเปน็ ตอ้ งมีการวเิ คราะหส์ ถานการณ์ของปญั หาเพ่ือสรุปกรอบของปญั หาแลว้
ดำเนินการสืบคน้ รวบรวมข้อมลู ความรู้จากศาสตรต์ า่ ง ๆ ท่เี กยี่ วขอ้ ง เพ่อื นำไปสูก่ ารออกแบบ
แนวทางการแก้ปญั หา
3) การวเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ และตดั สินใจเลือกข้อมลู ท่ีจำเป็น โดยคำนึงถงึ เง่ือนไขและทรพั ยากร
เช่น งบประมาณ เวลา ขอ้ มูล และสารสนเทศ วัสดุ เครื่องมอื และอปุ กรณ์ ชว่ ยให้ไดแ้ นวทาง
การแกป้ ญั หาทเี่ หมาะสม
4) การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทำไดห้ ลากหลายวธิ ี เชน่ การร่างภาพ การเขียนแผนภาพ
การเขยี นผังงาน
5) การกำหนดขนั้ ตอนระยะเวลาในการทำงานก่อนดำเนินการแก้ปัญหาจะชว่ ยใหก้ ารทำงานสำเรจ็ ได้
ตามเป้าหมายและลดขอ้ ผิดพลาดของการทำงานท่ีอาจเกิดขนึ้
6) การทดสอบและประเมินผลเปน็ การตรวจสอบชิ้นงาน หรือวิธกี ารว่าสามารถแกป้ ญั หาได้ตาม
วตั ถุประสงค์ภายใตก้ รอบของปญั หา เพ่อื หาขอ้ บกพร่อง และดำเนินการปรบั ปรุงให้สามารถแก้ไข
ปัญหาได้
7) การนำเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคดิ เพอ่ื ใหผ้ อู้ ื่นเข้าใจเกีย่ วกบั กระบวนการทำงานและ
ชนิ้ งานหรอื วิธีการท่ีได้ ซ่งึ สามารถทำได้หลายวิธี เชน่ การเขียนรายงาน การทำแผ่นนำเสนอ
ผลงาน การจดั นิทรรศการ
2.2 สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถนิ่
(พจิ ารณาตามหลกั สูตรสถานศึกษา)
3. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เปน็ กระบวนการที่สามารถนำมาแกป้ ญั หาหรอื สร้างสรรค์
สง่ิ ใหม่ ๆ ซ่ึงกระบวนการออกแบบวิศวกรรมจะเรมิ่ จากการระบุปัญหาหรือสง่ิ ท่ีตอ้ งการที่จะสรา้ งขึ้น
จากน้นั รวบรวม องค์ความรู้ ออกแบบวิธีการแก้ปญั หา วางแผนดำเนนิ การ ประเมินผล และนำเสนอ
การแก้ปัญหาหรอื ผลงานของชนิ้ งาน ซึ่งกระบวนการเหล่านเี้ รยี กว่า STEM ทีเ่ ป็นการรวบรวมศาสตรต์ า่ ง ๆ
ไดแ้ ก่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ มาประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ในการแกป้ ัญหา
หรือสร้างสรรคส์ ่งิ ใหม่ ๆ
4. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี นและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
1. มีวินัย รบั ผดิ ชอบ
1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ใฝเ่ รียนรู้
- ทกั ษะการสอื่ สาร 3. มงุ่ ม่นั ในการทำงาน
- ทกั ษะการแลกเปล่ยี นข้อมลู
2. ความสามารถในการคดิ
- ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
- ทักษะการสงั เกต
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
- ทักษะการทำงานร่วมกัน
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
- ทักษะการสืบค้นขอ้ มูล
5. ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
-
6. การวัดและการประเมนิ ผล วิธีวัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
- ตรวจแบบทดสอบ
รายการวดั กอ่ นเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน ประเมินตามสภาพจรงิ
6.1 การประเมนิ ก่อนเรยี น
- แบบทดสอบก่อนเรียน
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3
รายการวดั วิธวี ดั เคร่ืองมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
เร่ือง กระบวนการออกแบบ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ระดบั คุณภาพ 2
เชงิ วศิ วกรรม ผ่านเกณฑ์
6.2 ประเมนิ ระหว่างการจัดกิจกรรม ระดับคุณภาพ 2
การเรียนรู้ ผา่ นเกณฑ์
1) กระบวนการ - ใบงานท่ี 3.1.1 - ตรวจใบงานท่ี 3.1.1 ระดับคณุ ภาพ 2
ทางวทิ ยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
2) พฤติกรรมการทำงาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม ระดบั คุณภาพ 2
รายบคุ คล การทำงานรายบคุ คล การทำงานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
3) พฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม ระดับคุณภาพ 2
การทำงานกลุม่ การทำงานกล่มุ ผา่ นเกณฑ์
4) การนำเสนอผลงาน - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมินการ
ผลงาน นำเสนอผลงาน ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
5) การสร้างช้ินงาน - ตรวจชนิ้ งาน - แบบประเมินชิ้นงาน
การออกแบบเชงิ วิศวกรรม
6) คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ - สังเกตความมีวินัย - แบบประเมนิ
ความรับผดิ ชอบ คณุ ลกั ษณะ
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่นั อันพึงประสงค์
ในการทำงาน
6.3 การประเมนิ หลงั เรียน
- แบบทดสอบหลงั เรยี น - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลงั เรียน
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 หลังเรยี น
เรือ่ ง กระบวนการ
ออกแบบเชงิ วศิ วกรรม
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
นกั เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
เรือ่ งที่ 1 : ความสมั พันธข์ องวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เวลา 2 ชวั่ โมง
วิธีการสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ขนั้ นำ
ข้ันที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engagement)ฃ
1. นักเรยี นศึกษาความหมายของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทาง
วศิ วกรรมศาสตร์จากหนงั สอื เรยี นหรอื สืบคน้ ความหมายเพม่ิ เตมิ จากอนิ เทอรเ์ น็ต
2. ครถู ามคำถามกระตนุ้ ความคดิ ให้นักเรยี นแสดงความคิดเห็นโดยใชค้ ำถามสำคัญประจำหวั ข้อ
วา่ “นกั เรยี นคดิ วา่ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กับกระบวนการทาง
วิศวกรรมศาสตร์อยา่ งไร”
ขน้ั สอน
ข้ันที่ 2 สำรวจคน้ หา (Exploration)
1. นกั เรยี นรว่ มกนั ยกตัวอย่างผลิตภัณฑแ์ ละรว่ มกนั อภิปรายวา่ ในผลิตภณั ฑน์ ้ันส่งิ ใดเปน็
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และสง่ิ ใดเป็นกระบวนการทางวศิ วกรรมศาสตร์
2. นักเรียนศึกษาคน้ คว้าเกยี่ วกบั ผลติ ภณั ฑ์ท่ีนกั เรียนไดย้ กตวั อย่างวา่ แต่ละช้นิ ผา่ นกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์และวศิ วกรรมศาสตร์อยา่ งไร และศึกษาความเชอื่ มโยงเก่ยี วกับความสัมพนั ธ์
ของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละวิศวกรรมศาสตร์ จากแหล่งการเรียนรู้ เช่น หอ้ งสมดุ
อนิ เทอร์เน็ต และสรุปเป็นผังมโนทศั น์ (Mind Mapping) ลงในกระดาษ A4
ขั้นที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explanation)
3. ครสู ุ่มนักเรยี น 5-6 คน หรือตามความเหมาะสม ออกมานำเสนอผงั มโนทศั น์ (Mind Mapping)
จากทนี่ ักเรียนไดท้ ำการศกึ ษาค้นคว้ามาแลว้ จากนน้ั ครูสรปุ ความรูต้ ามทน่ี ักเรยี นออกมา
นำเสนอ
4. ครูยกตวั อยา่ งแนวคดิ กระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ องเซอร์ ไอแซก นวิ ตัน เก่ยี วกบั การแยก
แสงสที ข่ี าว จากน้ันให้นักเรียนสแกนคิวอารโ์ ค้ด เรอื่ ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับการ
ทดลองการหกั เหของแสง จากหนังสอื เรียน เพื่อขยายความเข้าใจมากยงิ่ ขึ้น
5. ครูเขียนผังมโนทัศน์ (Mind Mapping) บนกระดาน เกย่ี วกับการใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์กบั การทดลองของนิวตัน เพ่ือให้นกั เรยี นไดเ้ ข้าใจมากข้ึนถงึ การประยุกต์ใช้
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ข้นั ท่ี 4 ขยายความเข้าใจ (Elaboration)
6. นกั เรียนแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 3-4 คน ตามความเหมาะสมเพอ่ื ทำใบงานท่ี 3.1.1
เร่ือง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เมื่อเสรจ็ แลว้ ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมา
นำเสนอหน้าชัน้ เรยี น
ข้นั สรุป
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluation)
1. ครปู ระเมินการนำเสนอของนกั เรียนและตรวจสอบความถูกต้องจากใบงานท่ี 3.1.1
เรอื่ ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2. ครูถามคำถามเพอ่ื ตรวจสอบความรูข้ องนกั เรียนว่า“นกั เรียนได้ความรู้จากการเรยี นรเู้ กีย่ วกบั
ความสมั พันธ์ทางวิทยาศาสตรแ์ ละวศิ วกรรมศาสตร์อยา่ งไรบา้ ง” นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความ
คิดเหน็
3. นักเรียนและครูร่วมกนั สรปุ ความรูเ้ ก่ียวกบั ความสมั พนั ธข์ องวิทยาศาสตรแ์ ละวศิ วกรรมศาสตร์
เรอ่ื งที่ 2 : กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เวลา 2 ช่ัวโมง
วิธกี ารสอนโดยเน้นการจดั การเรียนรู้แบบใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (problem - based learning)
ขัน้ นำ
1. ครทู บทวนความรู้เดิมเกี่ยวกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2. ครเู ปดิ วีดทิ ัศน์เก่ยี วกบั การผลิตรถยนต์ ให้นกั เรียนดูพรอ้ มถามคำถามกระตุน้ ความสนใจของ
นักเรียนวา่ “ในการผลิตรถยนตน์ กั เรียนสงั เกตเหน็ ขั้นตอนการผลิตอะไรบา้ ง และสงั เกตเหน็
การทำงานเชิงวศิ วกรรมศาสตร์บ้างหรือไม่และปรากฏอยู่ในขนั้ ตอนใด” นกั เรียนร่วมกนั แสดง
ความคิดเหน็ ภายในหอ้ งเรยี น พร้อมเชื่อมโยงเขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใชค้ ำถามสำคญั ประจำหัวขอ้ ว่า
“กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมมคี วามสำคัญในการสร้างเทคโนโลยอี ยา่ งไร”
ขนั้ สอน
ขน้ั ท่ี 1 กำหนดปัญหา
1. นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ออกเปน็ 4 กลุ่ม ตามสถานการณ์ท่ีครูกำหนด จากนัน้ ครชู ้ีแจงรายละเอียด
เกีย่ วกับสถานการณ์ปญั หา
ข้ันท่ี 2 ทำความเขา้ ใจปญั หา
2. ครอู ธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจเกยี่ วกับกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม และ การเรยี นรู้รูปแบบ
STEM และใหน้ ักเรยี นศึกษาขั้นตอนหลกั 6 ขัน้ ตอนของกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
ขัน้ ท่ี 3 ดำเนินการศึกษาคน้ ควา้
3. เปิดโอกาสใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลมุ่ อภปิ รายร่วมกัน เพอื่ แก้ปัญหาสถานการณต์ ามทก่ี ลมุ่ ตนเอง
ได้รับมอบหมาย โดยใหน้ กั เรยี นแต่ละกล่มุ ศกึ ษาและสังเกตตวั อย่างการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
จากหนังสอื เรยี น
ข้นั ที่ 4 สังเคราะห์ความรู้
4. นักเรยี นแต่ละคนแลกเปล่ียนความรูร้ ่วมกนั เกีย่ วกับการออกแบบเชิงวศิ วกรรม 13 ข้ันตอน
พรอ้ มตรวจสอบข้อมลู ทไ่ี ด้ศึกษาและสบื ค้นมาตอบสถานการณป์ ัญหาของกล่มุ ตนเอง
ข้นั ท่ี 5 สรุปและประเมนิ ค่าของคำตอบ
5. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั สรุปองค์ความรูท้ ไ่ี ด้จากการศกึ ษา กระบวนการออกแบบ
เชิงวศิ วกรรม 13 ขัน้ ตอน จากนน้ั นำสถานการณ์ปัญหาของกลมุ่ ตนเองมาสร้างเป็น
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
ขั้นที่ 6 นำเสนอและประเมินผลงาน
6. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มนำเสนอผลงานเกี่ยวกับกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมจากสถานการณ์
ที่ไดร้ ับในรูปแบบของ PowerPoint จากนัน้ ครูผู้สอนประเมนิ ผลงานการนำเสนอของแตล่ ะ
กลมุ่
7. จากน้นั ให้นกั เรยี นแบง่ กลุม่ กลุ่มละ 3 คน เพอื่ ร่วมกันทำกจิ กรรมทส่ี อดคล้องกับเนือ้ หา
โดยให้ผเู้ รยี นฝกึ ปฏิบตั ิเพอื่ พัฒนาความรู้และทกั ษะ (Design Activity)
ขั้นสรุป
1. นกั เรยี นและครูร่วมกันสรุปความรู้เกย่ี วกับ กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
2. นักเรยี นแต่ละคนทำแบบฝกึ หัดทบทวนความรู้ ความเข้าใจ และพฒั นาทกั ษะการคิดของผู้อนื่
(Unit Activity)
3. นกั เรียนตรวจสอบระดับความสามารถของตนเอง (Self-check) โดยพิจารณาขอ้ ความวา่
ถกู หรอื ผิด หากนักเรียนพจิ ารณาขอ้ ความไมถ่ กู ต้อง ใหน้ กั เรียนกลับไปทบทวนเนือ้ หา
ตามหวั ขอ้ ท่กี ำหนดให้
4. นักเรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
เพอ่ื วดั ความรูท้ ี่นักเรยี นไดร้ ับ หลงั จากผา่ นการเรียนรู้
8. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 สื่อการเรียนรู้
1) หนังสือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ม.2 หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 3
กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม
2) ใบงานที่ 3.1.1 เรื่อง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
3) วิดทิ ัศน์เก่ยี วกับการผลิตรถยนต์
4) เคร่ืองคอมพวิ เตอร์
5) ปากกาเคมี
8.2 แหล่งการเรยี นรู้
1) ห้องคอมพวิ เตอร์
2) ห้องสมดุ
3) อินเทอร์เน็ต
แผนการจดั การเรยี นรู้
รหสั วิชา ว22104 รายวชิ า ออกแบบและเทคโนโลยี
กลุ่มสาระวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาชนั้ ปที ่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2
หนว่ ยที่ 3 เร่อื งวสั ดุ กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
เวลาเรยี น 6 ชว่ั โมง
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เวลาเรยี น 2 ชวั่ โมง
1. มาตรฐาน/ตัวช้วี ัด
1.1 ตัวชว้ี ัด
ว 4.1 ม.2/2 ระบุปญั หาหรอื ความต้องการในชุมชนหรอื ท้องถ่นิ สรุปกรอบของปัญหา รวบรวม
วิเคราะห์ข้อมลู และแนวคดิ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับปญั หา
2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และวศิ วกรรมศาสตรไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง (K)
2. บอกความสมั พันธ์ของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละวิศวกรรมศาสตรไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง (K)
3. เขียนขั้นตอนการแกป้ ญั หาโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และวศิ วกรรมศาสตร์ได้ (P)
4. เล็งเห็นถงึ ความสำคัญของการแกป้ ัญหาโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละวิศวกรรมศาสตร์ (A)
3. สาระการเรยี นรู้
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถิ่น
- ปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรอื ทอ้ งถิน่ พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา
มีหลายอย่าง ข้ึนกับบรบิ ทหรือสถานการณ์
ทป่ี ระสบ เช่น ดา้ นพลังงาน สง่ิ แวดล้อม
การเกษตร การอาหาร
- การระบุปัญหาจำเป็นต้องมกี ารวเิ คราะห์
สถานการณข์ องปญั หาเพ่อื สรุปกรอบของปญั หา
แล้วดำเนินการสบื ค้น รวบรวมข้อมลู
ความรู้จาก ศาสตร์ต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง เพอ่ื
นำไปสกู่ าร ออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหา
4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
ในปัจจุบันวิวฒั นาการของมนษุ ย์พฒั นาไปอยา่ งรวดเรว็ มนุษยจ์ ึงไดน้ ำกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เข้ามาช่วยแก้ปัญหา แต่มนุษย์ก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และยังคงมีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
อยา่ งตอ่ เนือ่ ง โดยมนุษย์จงึ คิดคน้ หลักการของกระบวนการทางวศิ วกรรมศาสตรม์ า เพอ่ื ตอบสนองความ
ตอ้ งการของมนษุ ย์ทจ่ี ะคดิ ค้นและประดิษฐส์ ิง่ ตา่ ง ๆ มาทำใหม้ นษุ ยไ์ ดใ้ ช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขน้ึ
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียนและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มวี ินยั รับผิดชอบ
- ทกั ษะการสื่อสาร
- ทักษะการแลกเปลยี่ นขอ้ มูล 2. ใฝ่เรยี นรู้
2. ความสามารถในการคิด 3. มุ่งม่ันในการทำงาน
- ทักษะการคิดวิเคราะห์
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
- ทกั ษะการสังเกต
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
- ทกั ษะการทำงานรว่ มกนั
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
- ทักษะการสืบคน้ ข้อมลู
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วธิ กี ารสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชัว่ โมงที่ 1
ขน้ั นำ
ขน้ั ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement)ฃ
1. นกั เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 3 กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
2. นกั เรยี นศึกษาความหมายของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละกระบวนการทาง
วิศวกรรมศาสตร์จากหนงั สอื เรียนรายวชิ าพืน้ ฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี
ม.2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม หรอื สืบคน้ ความหมาย
เพิ่มเติมจากอนิ เทอรเ์ นต็ ที่เครื่องคอมพวิ เตอร์ของตนเอง
3. ครูถามคำถามกระตุ้นความคดิ ใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเหน็ โดยใชค้ ำถามสำคญั ประจำหวั ขอ้
ว่า“นกั เรยี นคิดว่ากระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มีความสัมพันธก์ ับกระบวนการทาง
วศิ วกรรมศาสตรอ์ ย่างไร”
(แนวตอบ : นกั เรยี นตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดยคำตอบข้นึ อยู่กบั ดลุ ยพินิจของ
ครูผู้สอน เช่น กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีความสมั พันธก์ ับกระบวนการทาง
วศิ วกรรมศาสตร์ตรงทีก่ ระบวนการทางวศิ วกรรมศาสตร์จะต้องนำองค์ความรู้และทฤษฎตี า่ ง ๆ
จากกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตรม์ าสร้างสรรคเ์ ปน็ ชน้ิ งานหรือผลงานข้นึ )
ขน้ั สอน
ขั้นที่ 2 สำรวจคน้ หา (Exploration)
1. นกั เรยี นสงั เกตผังแสดงกระบวนการคดิ และการทำงานทางวทิ ยาศาสตร์และวศิ วกรรมศาสตร์
เพอื่ เปรยี บเทยี บลักษณะการทำงานของแตล่ ะกระบวนการ
2. ครนู ำปากกาเคมีแสดงให้นักเรียนไดส้ งั เกตดแู ละถามคำถามวา่ “นกั เรยี นคิดว่าการสรา้ งปากกา
เคมี ต้องการผ่านกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์หรือกระบวนการทางวิศวกรรมศาสตรห์ รอื ไม่
อย่างไร”
(แนวตอบ : ผ่านทง้ั 2 กระบวนการ โดยสว่ นดา้ นในของปากกาเคมตี อ้ งมกี ารเรียนรู้เกี่ยวกบั
สารเคมีสสี ามารถเขียนกับวัตถุชิ้นใดถงึ จะสามารถลบออกได้ สว่ นบรรจุภณั ฑ์จะเปน็
กระบวนการทางวศิ วกรรมศาสตร์ เพราะตอ้ งออกแบบผลติ ภัณฑ์ไม่ให้สารเคมีดา้ นในเกิดการ
ระเหยหรอื ทำใหส้ ารเคมมี อี ายกุ ารใชง้ านนานท่ีสดุ )
3. นกั เรยี นร่วมกนั ยกตวั อยา่ งผลิตภัณฑ์และรว่ มกนั อภิปรายว่าในผลิตภัณฑ์น้ันส่งิ ใดเป็น
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละสง่ิ ใดเปน็ กระบวนการทางวศิ วกรรมศาสตร์
4. นักเรยี นศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั ผลติ ภณั ฑ์ทน่ี กั เรียนได้ยกตวั อย่างวา่ แตล่ ะช้ินผ่านกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์อยา่ งไร และศึกษาความเชอ่ื มโยงเกย่ี วกับความสัมพนั ธ์
ของกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละวศิ วกรรมศาสตร์ จากแหลง่ การเรยี นรู้ เชน่ หอ้ งสมดุ
อนิ เทอร์เน็ต และสรปุ เป็นผังมโนทศั น์ (Mind Mapping) ลงในกระดาษ A4
ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explanation)
5. ครูสมุ่ นกั เรยี น 5-6 คน หรอื ตามความเหมาะสม ออกมานำเสนอผังมโนทัศน์ (Mind Mapping)
จากที่นักเรยี นได้ทำการศึกษาคน้ ควา้ มาแลว้ จากน้นั ครูสรุปความรู้ตามทีน่ กั เรยี นออกมา
นำเสนอ
วา่ “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นการนำความร้ทู ีม่ ีอย่นู ำมาหาข้อพิสูจน์ โดยการ
ตัง้ สมมตฐิ าน ออกแบบการทดลอง จากน้ันวิเคราะหเ์ ปน็ นโยบาย เพ่อื ตรวจสอบข้อสมมติฐาน
และสิ่งทเ่ี ราต้องการพิสูจน์ เมอื่ เราไดข้ ้อสรปุ จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว เราจึงนำไป
ประยุกต์ใช้และพัฒนาใหเ้ กิดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมตา่ ง ๆ โดยผา่ นกระบวนการทาง
วิศวกรรมศาสตร์”
ชวั่ โมงที่ 2
ขน้ั ท่ี 3 อธบิ ายความรู้ (Explanation)
6. ครูอธิบายเกี่ยวกับความหมายของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ว่า“กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน เพราะเป็นกระบวนการที่จะสามารถหาคำตอบ
แก้ปญั หาและพสิ จู นเ์ หตุการณ์ตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติได้ อีกท้ังยังคำนวณปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้
ล่วงหนา้ และยงั สามารถสร้างสรรคเ์ ทคโนโลยี เพ่อื อำนวยความสะดวกใหก้ ับมนุษยไ์ ด้ อีกดว้ ย”
7. ครูยกตวั อย่างแนวคดิ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของเซอร์ ไอแซก นวิ ตนั เกย่ี วกับการแยก
แสงสที ่ีขาววา่ “นวิ ตนั สามารถแยกแสงสีขาวออกมาเป็นแถบแสง 7 สี จากดวงอาทติ ย์ได้สำเร็จ
โดยทำการทดลองกับปริซึม ทำให้มนษุ ยส์ ามารถอธบิ ายปรากฏการณ์รงุ้ กนิ นำ้ ได้ และยังนำ
ความรู้ไปสรา้ งส่งิ อำนวยความสะดวกให้กบั มนษุ ย์ เชน่ แวน่ สายตา กระจกเงา โคมไฟคริสตัล
เปน็ ต้น โดยผ่านกระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร”์
8. จากนัน้ ให้นกั เรียนสแกนคิวอารโ์ ค้ด เรอ่ื ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์กบั การทดลองการหกั
เหของแสง จากหนังสือเรยี น เพื่อขยายความเขา้ ใจมากยิ่งข้นึ
9. ครูเขียนผังมโนทศั น์ (Mind Mapping) บนกระดาน เกยี่ วกบั การใชก้ ระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์กับการทดลองของนิวตนั เพ่ือใหน้ กั เรยี นไดเ้ ขา้ ใจมากขน้ึ ถึงการประยกุ ตใ์ ช้
กระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ โดยมีหวั ขอ้ ดังนี้
1) ความร้เู ดิม (Existing Knowledge)
2) ความอยากรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Curiosity)
3) ตงั้ สมมติฐาน (Hypothesis)
4) ออกแบบการทดลอง (Experiment)
5) สรปุ วเิ คราะห์ (Analysis)
6) นำข้อสรปุ ไปพสิ ูจน์ (Proof)
ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaboration)
10. นักเรยี นแบง่ กล่มุ กลุ่มละ 3-4 คน ตามความเหมาะสมเพ่ือทำใบงานท่ี 3.1.1 เรื่อง
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยใหน้ ักเรยี นอธิบายวธิ ีการทำโคมไฟคริสตัล โดยใชก้ ระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ เมอ่ื เสรจ็ แล้วใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ ส่งตวั แทนออกมานำเสนอหนา้ ชน้ั เรียน
Note
วตั ถุประสงค์ของกจิ กรรมเพื่อใหน้ ักเรยี น
- มที กั ษะการทำงานรว่ มกนั โดยใชก้ ระบวนการกลุม่ ในการทำงานหรือการทำ
กจิ กรรมเพ่อื ให้เกดิ การสอื่ สารและแลกเปลยี่ นขอ้ มูลรว่ มกนั ภายในกลมุ่
- มีทกั ษะการสบื ค้นขอ้ มูล โดยใหน้ ักเรียนแต่ละคนสืบค้นข้อมูลจากอินเทอรเ์ น็ต
เพอ่ื สืบเสาะหาความรู้ตามหวั ขอ้ ท่ีได้รับมอบหมาย
- มที กั ษะการสงั เกต โดยใหน้ ักเรียนสงั เกตผังแสดงกระบวนการคดิ และกระบวนการ
ทำงานทางวิทยาศาสตรแ์ ละวิศวกรรมศาสตร์ จากหนังสอื เรียน เพื่อนำไปปรบั ใชใ้ นการเรยี น
ได้
อยา่ งเหมาะสม
- มีทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ โดยให้นักเรียนพจิ ารณาเนอื้ หาจากการสืบค้นหรือศึกษา
ข้อมลู จากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ เชน่ หนังสือเรียน อินเทอรเ์ น็ต เป็นต้น
ขน้ั สรุป
ขนั้ ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluation)
1. ครูประเมนิ การนำเสนอของนักเรียนและตรวจสอบความถูกต้องจากใบงานที่ 3.1.1
เรื่อง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2. ครถู ามคำถามเพอื่ ตรวจสอบความรู้ของนักเรียนว่า“นกั เรียนได้ความรู้จากการเรยี นรู้เกี่ยวกับ
ความสมั พนั ธ์ทางวทิ ยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตรอ์ ยา่ งไรบ้าง” นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความ
คิดเหน็
3. นักเรียนและครูร่วมกันสรปุ ความรู้เกีย่ วกบั ความสมั พันธ์ของวิทยาศาสตรแ์ ละวิศวกรรมศาสตร์
วา่ “การเรยี นรกู้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นประโยชนต์ ่อมนุษยเ์ ป็นอยา่ งมาก เพราะจะ
ช่วยทำให้เกดิ วทิ ยาการ และสรา้ งกระบวนการใหม่ ๆ โดยเฉพาะกระบวนการทาง
วิศวกรรมศาสตร์ ซ่งึ เป็นศาสตรห์ นงึ่ ท่จี ะสรา้ งนวัตกรรม เทคโนโลยี หรอื สิง่ อำนวยความสะดวก
ใหก้ ับมนษุ ย์อีกได้มากมาย”
7. การวดั และประเมินผล วิธีวดั เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
รายการวัด - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรยี น ประเมินตามสภาพจริง
ก่อนเรียน
7.1 การประเมนิ ก่อนเรียน
- แบบทดสอบก่อนเรยี น
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3
เรื่อง กระบวนการ
ออกแบบเชงิ วศิ วกรรม
7.2 การประเมินระหว่างการ
จัดกิจกรรม
1) กระบวนการ - ใบงานที่ 3.1.1 - ตรวจใบงานท่ี 3.1.1 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ทางวทิ ยาศาสตร์ - แบบสงั เกตพฤติกรรม ระดบั คุณภาพ 2
การทำงานรายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์
2) พฤตกิ รรมการทำงาน - สังเกตพฤตกิ รรม
รายบคุ คล การทำงานรายบุคคล
3) พฤติกรรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม ระดบั คุณภาพ 2
กลมุ่ การทำงานกลมุ่ การทำงานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
4) การนำเสนอผลงาน - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมิน ระดบั คณุ ภาพ 2
ผลงาน การนำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
5) คุณลักษณะ
อนั พงึ ประสงค์ - สังเกตความมีวินยั - แบบประเมนิ ระดับคณุ ภาพ 2
ความรบั ผดิ ชอบ คณุ ลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งมนั่ อนั พงึ ประสงค์
ในการทำงาน
8. สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้
8.1 สื่อการเรยี นรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐาน เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ม.2 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3
กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
2) ใบงานที่ 3.1.1 เร่ือง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
3) เคร่ืองคอมพิวเตอร์
4) ปากกาเคมี
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งคอมพิวเตอร์
2) หอ้ งสมุด
3) อินเทอรเ์ น็ต