ระบบตา่ งๆ ของส่งิ มีชีวติ ชน้ั สงู
ในร่างกายของสิง่ มชี วี ติ ช้ันสูงโดยท่วั ไป จะประกอบด้วยระบบตา่ งๆ มากมายที่
ทาหน้าทีแ่ ตกตา่ งกันไป ในรา่ งกายมนษุ ย์จะประกอบดว้ ยระบบต่างๆ ที่สาคัญดงั น้ี
อาหารประเภทต่างๆ ที่เราบริโภค โดยเฉพาะสารอาหารทใ่ี ห้พลังงานแก่ร่างกาย
คือคารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และไขมนั ล้วนแตม่ โี มเลกลุ ขนาดใหญ่ เกินกวา่ ท่ีจะลาเลยี ง
เข้าส่เู ซลล์สว่ นต่างๆ ของ ร่างกายได้ ยกเว้นวติ ามิน และ เกลือแร่ ซงึ่ มีอนุภาคขนาดเลก็
จงึ จาเป็นตอ้ งมี อวยั วะ และกลไกการทางานต่างๆ ทจ่ี ะทาให้ โมเลกุลของสารอาหาร
เหล่านัน้ มีขนาดเล็กลง จนสามารถลาเลียง เข้าส่เู ซลล์ได้ เรยี กวา่ “การย่อย”
การย่อยอาหาร (Digestion) หมายถงึ การทาใหส้ ารอาหารทม่ี ีโมเลกลุ ขนาดใหญ่กลายเปน็ สารอาหาร
ท่ีมโี มเลกุลเลก็ ลงจนกระทง่ั แพร่ผา่ นเยอื่ หมุ้ เซลลไ์ ด้ การยอ่ ยอาหาร ในร่างกายมี 2 วิธี คอื
1) การย่อยเชงิ กล คอื การบดเคยี้ วอาหารโดยฟนั เป็นการเปล่ยี นแปลงขนาดโมเลกลุ
ทาใหส้ ารอาหารมีขนาดเลก็ ลง
2) การย่อยเชงิ เคมี คอื การเปลยี่ นแปลงขนาดโมเลกลุ ของสารอาหาร โดยใช้เอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง
ทาให้โมเลกุลของสารอาหารเกิดการเปลีย่ นแปลงทางเคมี ไดโ้ มเลกลุ ทมี่ ขี นาดเล็กลง
เม่ือรบั ประทานอาหารอาหารจะเคล่อื นทีผ่ ่านอวัยวะท่เี ก่ยี วข้องกับทางเดนิ อาหาร
เพอ่ื เกิดการยอ่ ยตามลาดบั ดงั ตอ่ ไปนี้
ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไสเ้ ล็ก ลาไสใ้ หญ่ ทวารหนกั
1. ปาก มีการย่อยเชิงกล โดยการบดเคยี้ วของฟัน และมีการยอ่ ยทางเคมี โดยเอนไซม์
อะไมเลส หรือไทยาลีน ซง่ึ ทางานไดด้ ี ในสภาพที่ เป็นเบสเลก็ นอ้ ย
2. หลอดอาหาร มีลกั ษณะเปน็ กล้ามเนอื้ เรยี บ มีการย่อยเชิงกล โดยการบีบตัวของ
กล้ามเนือ้ ทางเดนิ อาหารเปน็ ชว่ งๆ เรยี กวา่ "เพอริสตสั ซสิ " (peristalsis)
เพื่อให้อาหารเคล่ือนทล่ี งสูก่ ระเพาะอาหาร
3. กระเพาะอาหาร มีการย่อยเชิงกลโดยการบีบตัวของกล้ามเนอ้ื ทางเดนิ อาหาร
และมกี ารยอ่ ยทางเคมีโดยเอนไซม์เพปซิน (pepsin) ซ่ึงจะทางานได้ดใี นสภาพ
ทเี่ ป็นกรด (การยอ่ ยทีก่ ระเพาะอาหารจะมกี ารย่อยโปรตีนเพียงอยา่ งเดียว)
4. ลาไสเ้ ล็ก เปน็ บริเวณทม่ี ีการยอ่ ย และการดูดซมึ มากท่สี ุด โดยเอนไซม์ ในลาไสเ้ ลก็ จะ
ทางาน ไดด้ ีในสภาพท่เี ป็นเบส ซึง่ เอนไซม์ที่ลาไสเ้ ล็กสร้างขน้ึ ได้แก่
Moltase Sucrase Lactase
การย่อยอาหารทลี่ าไส้เลก็ ใช้ เอนไซม์จากตบั อ่อน (pancreas) มาชว่ ยยอ่ ย เชน่
•ทริปซนิ (trypsin) เปน็ เอนไซม์ที่ยอ่ ยโปรตนี โปรตนี หรือเพปไทดใ์ หเ้ ปน็ กรดอะมิโน
•อะไมเลส (amylase) เป็นเอนไซมท์ ย่ี ่อยแป้งให้เปน็ น้าตาลมอลโทส
•ไลเปส (lipase) เป็นเอนไซมท์ ่ีย่อยไขมันใหเ้ ปน็ กรดไขมนั และกลีเซอรอล
น้าดี (bile) เปน็ สารท่ผี ลติ มาจากตับ (liver) แลว้ ไปเกบ็ ไวท้ ่ีถงุ น้าดี
(gall bladder) นา้ ดีไมใ่ ช่เอนไซม์ เพราะไม่ใช่สารประกอบประเภทโปรตนี นา้ ดจี ะทา
หนา้ ท่ี ย่อยโมเลกุล ของโปรตีน ให้เลก็ ลง แล้วนา้ ย่อยจากตับออ่ น จะยอ่ ยต่อทาให้ได้
อนภุ าคทเ่ี ลก็ ท่ีสดุ ท่ีสามารถ แพร่เขา้ สู่เซลล์
5. ลาไสใ้ หญ่ ทีล่ าไสใ้ หญ่ไมม่ ีการย่อย แต่ทาหน้าท่ีเกบ็ กากอาหาร และดูดซึมน้า
ออกจาก กากอาหาร ดงั นน้ั ถ้าไมถ่ า่ ยอุจจาระ เป็นเวลาหลายวัน
ตดิ ตอ่ กนั จะทาให้เกดิ อาการทอ้ งผูก ถ้าเป็นบอ่ ยๆจะทาใหเ้ กดิ
โรคริดสดี วงทวาร
1) ตับ มหี นา้ ท่ีสรา้ งน้าดี สง่ ไปเกบ็ ที่ถงุ น้าดี
2) ตับออ่ น มีหน้าทสี่ รา้ งเอนไซมส์ ่งไปย่อย
อาหารทลี่ าไส้เลก็
3) ลาไส้เล็ก ทาหน้าทส่ี ร้างเอนไซม์มอลเทส
ซูเครส และแล็คเทส
ย่อยอาหารทล่ี าไส้เล็ก
สารอาหารท่ีมีโมเลกุลขนาดใหญ่จะถูกยอ่ ยให้มี
ขนาดโมเลกลุ เล็กท่สี ุด
Carbohydrate
Protein Fatty
Lipid acid
ระบบย่อยอาหารของแมลง
แมลง เปน็ สัตว์ในกล่มุ ขาปล้องจดั อย่ใู นไฟลัมอาร์โทโพดา ทางเดินอาหารเป็นแบบช่อง
เปิด 2 ทาง (Two hole tube) ปากของแมลง มีการเปล่ียนแปลง และแตกต่างออกไป ให้มี
ความเหมาะสม กับสภาพของอาหารท่ีแมลงแต่ละชนิดกิน แต่แมลงมีลักษณะพื้นฐานของ
ทางเดินอาหาร ที่เหมือนกัน คือ ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะพักอาหารขนาดใหญ่
อยู่บริเวณทรวงอก และกระเพาะบดอาหาร(Gizzard) ชว่ ยในการกรอง และบดอาหาร มีต่อม
สร้างน้าย่อย (Digestive gland) มีลักษณะคล้ายนิ้วมือ 8 อัน ย่ืนออกมาจากทางเดินอาหาร
ระหวา่ งกนึ๋ และกระเพาะอาหาร
ปาก หลอดอาหาร กระเพาะพักอาหาร ก๋นึ กระเพาะอาหาร
ลาไสเ้ ล็ก ลาไส้ใหญ่ ทวารหนกั
ระบบยอ่ ยอาหารของปลา
ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้ ทวารหนกั
ระบบยอ่ ยอาหารของไฮดรา้
ไฮดรา (Hydra) เปน็ สัตวใ์ นไฟลมั ไนดาเรีย (Phylum Cnidaria) เป็นกล่มุ สัตวท์ ี่มี
รปู ร่างทรงกระบอก มีโพรงในลาตวั และมเี ข็มพิษ เชน่ แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ไฮดรา
ไฮดรา มีทางเดินอาหารเปน็ แบบปากถุง (One hole sac) ไฮดราใช้อวยั วะคลา้ ย
หนวด เรยี กวา่ หนวดจบั (Tentacle) ซึ่งมอี ยรู่ อบปาก อาหารของไฮดราคือ ตวั อ่อนของ
กุ้ง ปู และไรนา้ เลก็ ๆ และใชเ้ ซลล์ท่มี ี นมี าโทซิสต์ (Nematocyst) หรอื เขม็ พิษทอี่ ยู่ที่
ปลายหนวดจับในการลา่ เหยอ่ื ตอ่ จากน้ันจงึ สง่ เหยื่อเข้าปาก ทางเดนิ อาหารของไฮดราอยู่
กลางลาตวั เป็นท่อกลวงเรยี กวา่ ช่องแกสโทรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular cavity)
ซึ่งบุดว้ ยเซลล์ทรงสูง เรยี กวา่ ชน้ั แกสโทรเดอร์มสิ (Gastrodermis) เปน็ เยอ่ื ช้นั ใน
บชุ ่องว่างของลาตัวซึ่งประกอบดว้ ย
1. เซลล์ยอ่ ยอาหาร (Digestive or Nutritive Cell) เป็นเซลล์ที่มขี นาดใหญ่กวา่
Gland Cell สว่ นปลายมแี ฟลเจลลมั ทาหน้าทจ่ี บั อาหารทีม่ ขี นาดเลก็ เขา้ สูเ่ ซลล์
สามารถสรา้ ง Food Vacuole ได้แบบเดยี วกบั อะมีบา เกดิ การย่อยภายในเซลล์
(Intracellular Digestion)
2. เซลล์ตอ่ มหรือเซลลย์ อ่ ยอาหาร (Gland cell or digestive cell) เป็นเซลล์
ขนาดเล็ก ทาหน้าที่สรา้ งนา้ ยอ่ ยส่งอกไปยอ่ ยอาหารท่ีอย่ใู น Gastrovascular Cavity
ซง่ึ เป็นการยอ่ ยภายนอกเซลล์ (Extracellular Digestion) กากอาหารจะถกู ขับถา่ ย
ออกทางชอ่ งปาก
ระบบหมุนเวียนเลือด เป็น
ระบบอวัยวะซึ่งให้เลือดไหลเวียน และ
ขนส่งสารอาหาร ออกซิเจน
คาร์บอนไดออกไซด์ ฮอร์โมน และเม็ด
เลอื ดเขา้ และออกเซลล์ในร่างกาย เพื่อ
หล่อเลี้ยง และช่วยต่อสู้โรค รักษา
อณุ หภูมิ และ pH ของร่างกาย อันเป็น
ส่วนหนึ่ง ของการรักษาดุลยภาพของ
ร่างกาย
เลือด (blood)
เลือด เป็นของเหลวในร่างกายท่ีอยู่ภายนอกเซลล์ ในร่างกายของคนจะพบของเหลวท่ีอยู่
ภายนอกเซลล์ 37 เปอรเ์ ซน็ ต์ โดยเลือดมีหน้าทีส่ าคญั 2 ประการ คอื
1. การลาเลียง 2. การปรับสภาวะสมดุลของรา่ งกาย
ภายในเลือดนั้นมีท้ังเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และ ก๊าซ เช่น ออกซิเจน
คาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้ง เกลือแร่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ ยังมีสารจาพวก
ฮอร์โมน วิตามิน เอนไซม์ และ แอนติบอดี รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้เลือดซ่ึงเป็นของเหลวสีแดง จะ
ไหลเวียนอยู่ ในหลอดเลือดทั่วรา่ งกาย จะมีหัวใจ ทาหนา้ ทีส่ บู ฉีดเลอื ดไปท่ัวร่างกาย โดยผ่านเส้น
เลอื ด ซงึ่ เลือดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1) นา้ เลือดหรอื พลาสมา 2) เซลล์เมด็ เลือด
นา้ เลอื ด (plasma) ทาหนา้ ทคี่ วบคุมความดันเลอื ด ปริมาณของเลอื ด
ป้องกนั เลือดออก ประกอบดว้ ย น้า แรธ่ าตุ พลาสมาโปรตนี
(ไฟบริโนเจน โพรทรอมบิน อัลบูมิน โกลบลู ิน)
เมด็ เลอื ด แบง่ ออกเปน็ เมด็ เลอื ดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลอื ด
หวั ใจเป็นอวัยวะในระบบหมุนเวียนโลหิตท่ี หวั ใจ (heart)
มีการเปล่ียนแปลง มาจากเส้นเลือดในขณะที่
ร่างกายอยู่ในชว่ งเปน็ ตัวอ่อน มีหน้าที่ในการบีบส่ง
เลือด ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย อยู่ระหว่าง
ปอดท้งั 2 ข้างคอ่ นไปทางปอดดา้ นซ้าย มีรูปคล้าย
ดอกบัวตูม ขนาดเท่ากับกามือของเจ้าของ หรือ
กว้าง 8 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร หัวใจจะอยู่
ในถุงเย่ือหุ้มหัวใจ (pericardium) มีน้าเล้ียง
(pericardial fluid) หล่อเลี้ยงอยู่ ผนังของหัวใจมี
เนื้อเยื่อ 3 ช้นั คือ ชน้ั นอก (epicardium)
ชน้ั กลาง (myocardium) และช้ันใน
(endocardium) เน้ือเย่ือชั้นกลางจะหนามาก
มีกล้ามเน้ือ ที่เป็นกล้ามเนื้อพิเศษ เรียกว่า
กล้ามเนอ้ื หวั ใจ (cardiac muscle)
หัวใจของส่งิ มีชีวิต
1. pulsating vessel เปน็ หวั ใจท่ีมีลักษณะเป็นหลอด
เลือดธรรมดา บีบตวั เป็นจงั หวะตลอดเวลา เป็นหวั ใจของพวก
ไส้เดอื นดนิ พวกปลิง
2. Tubular heart หวั ใจน้คี ล้ายกบั pulsating vessel
เปน็ หัวใจของพวกกงุ้ ปู หรอื พวก arthropod อ่นื ๆ
3. ampullar heart เป็นหัวใจท่ีมรี ูปร่างเป็น
กระเปาะ เปน็ หัวใจของพวกแมลง หมึก สัตวส์ ะเทินนา้
สะเทนิ บก สัตวเ์ ลอ้ื ยคลาน
4. chambered heart เป็นหวั ใจท่ีมกี ารแบ่งเป็น
หอ้ ง คือ หอ้ งรบั เลอื ดและหอ้ งส่งเลอื ด เรยี กว่า มีความ
สลับซบั ซ้อนมาก ระหว่างหอ้ งของหวั ใจจะมีลน้ิ หัวใจปิด
เปิดให้เลือดเคล่อื นที่ผ่านไปตามทิศทาง
หวั ใจชนิดสองห้อง หัวใจชนิดสามหอ้ ง หัวใจชนดิ ส่ีห้อง
เปน็ หัวใจของพวกปลา เป็นหัวใจของพวกนก
เปน็ หวั ใจของพวกสิง่ มชี วี ติ สตั วเ์ ลี้ยงลกู ด้วยน้านม
ทีม่ ปี อด สตั ว์เล้ือยคลาน จระเข้
สัตว์คร่ึงน้าคร่งึ บก
(ยกเวน้ พวกจระเข้)
เสน้ เลอื ด (blood vessel)
ในร่างกายของส่ิงมีชีวิตระบบหมุนเวียนโลหิตมีอยู่ 2
ระบบ คือ ระบบเส้นเลือดแดง (arterial system) และ
ระบบเส้นเลอื ดดา (venous system)
1.เส้นเลือดแดง (artery) เป็นเส้นเลือดที่นาเลือดดี
ออกจากหัวใจ เพื่อนาไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ
ทว่ั รา่ งกาย เสน้ เลอื ดดา จะเร่มิ ตน้ ทเ่ี ส้นเลอื ดฝอย แล้วก็
ใหญข่ ้ึน จนถึง หวั ใจ จะมีขนาดใหญ่สุด
2.เส้นเลือดดา (vein) เป็นเส้นเลือดท่ีนาเลือดเสีย เข้า
สู่หัวใจ โดยเป็นเลือดท่ีมาจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย
เสน้ เลือดแดง จะเร่ิมต้นท่ีเส้นเลือดขนาดใหญ่ที่สุด แล้ว
ค่อยๆ ลดขนาดลง จนเป็นเสน้ เลอื ดฝอย
การไหลของเลอื ด (bloodflow)
วิลเลียม ฮาวี นายแพทย์ชาวอังกฤษได้สรุปไว้
ว่า “เลือดจะถูกดันออกจากหัวใจไปทั่วร่างกาย แล้วก็
จะไหลกลับเข้าหัวใจอีก” การไหลของเลือด จะเป็นไป
ในทางเดียวกันหมด ไม่มีการย้อนทิศทางกันเลย
แรงดันที่ทาให้เลือดไหลไปตามเส้นเลือดได้น้ัน เริ่มต้น
มาจากหัวใจ ซ่ึงเปรียบเสมือน เคร่ืองสูบ และจะต้องมี
กาลังแรงพอท่ีจะดันเลือด ให้ไหลไปตามเส้นเลือดได้
ตดิ ต่อกันเป็น ระยะๆ เร่ือยไป โดยเลือดไหลผ่านหัวใจ
ประมาณนาทีละ 5 ลิตร การไหลของเลือดมี 2 วงจร
คอื
1. pulmonary circulation เป็นวงจรท่ีเลือดเสีย จากหัวใจห้องล่างขวา
(right ventricle) เดินทางไปยังปอดด้านซ้าย และปอดด้านขวา (lung) ไปฟอก
หรอื เพอ่ื รับออกซิเจน และคายคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วเดินทางจากปอด กลับมาท่ี
หัวใจห้องบนด้านซ้าย (left auricle)
2. systemic circulation เป็นวงจรของเลือดดี จากหัวใจห้องดา้ นล่างซ้าย
(left ventricle)ไปเลย้ี งเซลล์ เนอ้ื เยอื่ และอวยั วะตา่ งๆ ท่วั ร่างกาย และ
กลายเปน็ เลือดเสีย เดินทางกลับสู่หวั ใจ ทางหอ้ งบนด้านขวา (right auricle)
ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดของแมลง
แมลง มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรเปิด คือ การไหลของเลือดจะไม่อยู่
ในเส้นเลือดตลอดเวลา เลือดสามารถไหลออกนอกเส้นเลือด และแทรกซึม เข้าสู่
เน้ือเยื่อ โดยไม่ต้องอาศัยเส้นเลือดฝอย และเลือดจากเน้ือเยื่อ จะเข้าสู่หัวใจ ทางรู
เปิดโดยเลือด จะทาหน้าที่ ลาเลียงอาหารสู่เน้ือเยื่อโดยตรง และลาเลียงของเสีย
จากเนือ้ เยื่อออกนอกรา่ งกาย
ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดของปลา
ปลา มีหัวใจทาหน้าที่สูบฉีดเลือด หัวใจปลามี 2 ห้อง ห้องบนเรียกว่า เอ
เตรียม (Atrium) ห้องล่างเรียกว่า เวนตริเคิล (Ventricle) เลือดจะเข้าทางเอเตรียม
และไหลต่อไปยัง เวนตริเคิล จากน้ันจะถูกสูบฉีดต่อไปยังเหงือก ภายในเหงือก จะมี
เส้นเลอื ดฝอย จานวนมาก ทาหนา้ ทแ่ี ลกเปล่ียน แก๊สออกซิเจน ที่มากับน้าทาให้เลือด
มปี รมิ าณออกซเิ จนสงู ขึ้น จากนั้นจะถูกส่ง ต่อไปเล้ียง ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เลือดที่
ใช้แล้ว จะเป็นเลือด ที่มีปริมาณออกซิเจนต่า จะไหลตามเส้นเลือด กลับเข้าสู่หัวใจ
ห้องเอเตรยี มอกี คร้ัง
ระบบหายใจ
อวยั วะที่เกี่ยวขอ้ ง คือ จมูก ปอด และหลอมลม
การหายใจ คอื การนาออกซเิ จนไปสเู่ ซลล์ และนาคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกไปจาก
เซลล์ โดยปกติคนมีอัตราเฉล่ียของการหายใจ 12 คร้ังตอ่ นาที การหายใจ 1 คร้ัง มี 2
ข้นั ตอน คอื
1. การหายใจเข้า เกิดการไหลของอากาศจากภายนอกเขา้ ส่ปู อด ทาให้ปอดขยายตัว
ทรวงอกขยายออก กล้ามเนอื้ ยดึ กระดูกซโี่ ครงหดตวั กระดกู ซ่โี ครงยกตวั สูงขึ้น
และกะบังลมเลอ่ื นตวั ต่าลง
2. การหายใจออก เกดิ การไหลของอากาศจากถงุ ลมภายในปอดออกมานอกเซลล์
ปรมิ าตรอากาศในปอดลดลงพรอ้ มกบั ขนาดทรวงอกลดลง ทาใหก้ ลา้ มเนือ้ ยดึ กระดกู
ซ่โี ครงขยายตัว กระดกู ซีโ่ ครงลดตวั ตา่ ลง และกะบังลมเล่อื นตัวสูงข้ึน
ระบบต่อมไรท้ ่อ
ระบบต่อมไร้ท่อ ทาหน้าท่ีสาคัญในการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนในร่างกาย กล่าวคือ
เกีย่ วข้องกับเมตาบอลิซมึ ตา่ งๆ ในรา่ งกาย ควบคมุ ปฏิกิรยิ าเคมภี ายในเซลล์ เชน่
การเจรญิ เตบิ โต การใชพ้ ลังงาน การตอบสนองต่อสิง่ เร้า และการสืบพันธ์ุ เป็นตน้
ตอ่ มไรท้ อ่ ทีส่ าคัญในการผลิตฮอรโ์ มนของร่างกาย
1. ต่อมใต้สมอง มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนที่ควบคุมการทางานของต่อมไทรอยด์ ต่อม
หมวกไต และระบบสืบพันธค์ุ วบคมุ การตกไข่ และการสรา้ งอสจุ ิ
2. ต่อมไพเนียล ยังไมท่ ราบหน้าทีช่ ดั เจน มีตอนเด็กจนถึง 5 – 7 ปี หลังจากน้ันแห้ง
หายไป
3. ต่อมไทมัส เป็นต้นกาเนิดของอวัยวะท่ีทาหน้าท่ีผลิตต่อมน้าเหลือง เพ่ือช่วยใน
การสร้างเซลลเ์ ม็ดเลือดขาว
4. ตอ่ มไทรอยด์ เปน็ ตอ่ มไรท้ อ่ ทีใ่ หญ่ทสี่ ุดในร่างกาย ทาหน้าท่สี รา้ งฮอรโ์ มน
ไทร็อกซนิ ควบคมุ การเผาผลาญพลังงาน และควบคุมการสังเคราะห์ไอโอดีน
5. ต่อมพาราไทรอยด์ เปน็ ต่อมไร้ท่อที่เลก็ ที่สุด ทาหนา้ ทค่ี วบคมุ ระดบั Ca และ P
6. ตอ่ มหมวกไต ทาหนา้ ที่สรา้ งอะดรีนาลีน ซง่ึ หลงั่ ออกมาในขณะท่ตี กใจ
ควบคมุ การดูดซึมเกลือทไ่ี ต และสรา้ งฮอรโ์ มนเพศชาย และฮอรโ์ มนเพศหญงิ
7. ต่อมภายในตับอ่อน สร้างฮอร์โมนอินซูลิน ซ่ึงมีหน้าท่ีควบคุมระดับน้าตาลของ
ร่างกาย ถา้ ขาดทาใหเ้ ป็นโรคเบาหวาน
8. ต่อมเพศ มหี นา้ ที่สร้างฮอรโ์ มนเพศ อยู่ภายใตก้ ารควบคุมของต่อมใต้สมอง
เพศชาย คือ ลูกอัณฑะ ผลิตเทสโทสเตอโรน
เพศหญงิ คือ รงั ไข่ ผลติ เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน
ระบบขับถ่าย
อวยั วะท่ีเกีย่ วข้อง คือ ไต ทอ่ ไต กระเพาะปัสสาวะ ทอ่ ปสั สาวะ ผวิ หนงั
และลาไสใ้ หญ่ เปน็ ต้น
ไต ทาหนา้ ที่กรองนา้ และของเสยี ออกจากเลือดเปน็ น้าปสั สาวะ
ท่อไต ทาหน้าที่นาน้าปสั สาวะออกจากไตไปส่กู ระเพาะปสั สาวะ
กระเพาะปสั สาวะ ทาหน้าทีเ่ กบ็ น้าปสั สาวะไวช้ ว่ั คราว เมือ่ ไดจ้ านวนท่ีพอเหมาะ
จงึ หดตัวเพอื่ ขับน้าปัสสาวะไปสทู่ อ่ ปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะ ทาหน้าที่เป็นทางผ่านของน้าปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกสู่
ภายนอกร่างกาย
ระบบสบื พนั ธุ์
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ อัณฑะ และรังไข่ และอวัยวะที่เก่ียวข้องกับการสืบพันธ์ุ
เชน่ ต่อมสรา้ งนา้ เมือก ต่อมลกู หมาก มดลูก ทอ่ นาไข่ และอืน่ ๆ
คุณสมบัติที่สาคัญของส่ิงมีชีวิตอย่างหนึ่งก็ คือ การสืบพันธุ์ เพื่อเป็นการเพ่ิม
จานวนให้มากข้นึ ตามวิถที างธรรมชาติ ดังน้นั เซลลส์ บื พันธุ์เพศผู้ คอื อัณฑะ
ส่วนเซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศเมีย คือ รังไข่
ระบบสืบพันธ์เุ พศชาย (Male reproductive system)
1. อณั ฑะ ทาหน้าทส่ี รา้ งเชอื้ อสุจิ (Sperm) และสรา้ งฮอร์โมนเพศชาย คือ
เทสโทสเตอโรน (Testosterone)
2. ทอ่ พักอสจุ ิ ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ทพ่ี กั ชวั่ คราวของเชอ้ื อสจุ ทิ เี่ จริญเต็มท่ี
3. ท่อนาอสุจิ ทาหนา้ ทน่ี าอสจุ ิจากท่อพักอสจุ ไิ ปเกบ็ ไว้ท่ีถงุ เก็บนา้ อสจุ ิ
4. ถงุ เก็บน้าอสจุ ิ ทาหนา้ ทีเ่ ก็บนา้ อสุจแิ ละสรา้ งนา้ กาม ซง่ึ เป็นเมอื กสีขาวขุน่
และขน้ เพอื่ ช่วยในเคลื่อนท่ีของตัวอสจุ ๆิ
5. ต่อมลกู หมาก ทาหนา้ ทข่ี ับสารท่มี ีฤทธ์เิ ป็นด่างอ่อน มารวมในถุงเก็บน้าอสุจิ
เพ่อื ทาหนา้ ที่หลอ่ เลี้ยงและใหอ้ าหารแก่ตวั อสุจิ
6. ต่อมคาวเปอร์ หรอื ต่อมขบั เมือก ทาหนา้ ทข่ี บั นา้ หล่อล่นื เปน็ เมอื กใสๆ
ไปยังองคชาต และทาหน้าท่ีชาระลา้ งกรดของน้าปสั สาวะท่เี คลอื บทอ่ ปัสสาวะ
7. องคชาต หรือลงึ ค์ ประกอบด้วยกล้ามเนอ้ื ทย่ี ดื หดตวั ได้ ภายในประกอบดว้ ย
หลอดเลือดมากมาย และสว่ นปลายขององคชาตจะไวต่อความรสู้ ึกมาก
8. ถงุ อณั ฑะ เปน็ ถงุ ห้มุ ลกู อัณฑะ ทาหน้าที่รกั ษาอุณหภูมใิ หพ้ อดีกับ
การเจริญเตบิ โตของอสุจิ
ระบบสบื พันธ์เุ พศชาย
ระบบสืบพนั ธ์ุเพศหญิง (FeMale reproductive system)
1. หัวเหน่า ตั้งอยูด่ า้ นหน้าของกระดกู หัวเหนา่ ใต้บริเวณทอ้ งน้อยส่วนนอกเป็น
ผวิ หนงั ภายในเปน็ ไขมันเปน็ รูปสามเหลย่ี มโดยมฐี านอยู่บนและยอดอยขู่ ้างล่าง และมีขนข้นึ
2. แคมใหญ่ ทาหนา้ ท่ปี อ้ งกนั อวยั วะตา่ งๆ อันละเอยี ดออ่ นภายใน
3. แคมเลก็ อย่ดู า้ นในของแคมใหญม่ ผี วิ ออ่ นนมุ่ ไม่มขี น ตอนบนจะบรรจบกนั และ
ลอ้ มรอบคลิตอรสิ ไว้
4. คลิตอริส เปน็ ต่งิ เน้อื เลก็ ๆ รปู รา่ งคลา้ ยกา้ นพลู มีเส้นประสาทมาเลยี้ งมาก
จึงไวตอ่ ความรสู้ ึกมาก ซ่ึงเทยี บได้กบั องคชาตของเพศชาย
5. เยือ่ พรหมจารยี ์ เปน็ เย่อื บางๆ อยรู่ อบปากเปิดของช่องคลอดมรี ูอยู่ตรงกลาง และ
เพศหญิงที่ผา่ นการร่วมเพศเยอื่ นี้จะขาด รว่ มถงึ การทางานและกฬี าบางชนดิ ก็เชน่ เดยี วกัน
6. ชอ่ งคลอด มีหนา้ ทเ่ี ป็นทางผ่านของประจาเดอื นและตวั อสจุ ิ และเป็นทางออกของทารก
7. มดลูก มีรูปรา่ งคลา้ ยชมพู่ มหี น้าทท่ี าใหเ้ กดิ ระดูเป็นที่ฝังตวั ของตวั ออ่ นในครรภ์
8. ปีกมดลกู หรือท่อนาไข่ เปน็ ทท่ี าให้เกิดการปฏิสนธิระหวา่ งไขก่ บั ตวั อสจุ ิ แล้วจะเคลอ่ื นที่
ไปฝงั ตวั ทีเ่ ย่อื บมุ ดลูกในโพรงมดลูก
9. รังไข่ มอี ยู่ 2 ข้างของปกี มดลกู ทาหน้าทส่ี รา้ งไข่ และสร้างเซลลส์ ืบพนั ธเุ์ พศหญงิ
ระบบสืบพนั ธเ์ุ พศหญงิ
ระบบหอ่ หุม้ ร่างกาย
ระบบหอ่ หุ้มร่างกายประกอบดว้ ย ผิวหนงั ขนหรือผม เล็บ ตอ่ มเหงอ่ื ต่อมน้ามัน
ตอ่ มนา้ นม
1. ผิวหนัง มี 2 ชนั้ คอื ช้ันหนงั กาพรา้ และช้ันหนังแท้
2. ต่อมเหงื่อ มี 2 – 5 ล้านตอ่ ม มีมากท่ีสุดท่ฝี ่ามือ ฝา่ เทา้ และข้อพบั ตา่ งๆ
ตอ่ มเหงือ่ ชว่ ยขบั ของเสีย ซ่งึ ไดแ้ ก่ NaCl, ยเู รยี และแลคเตต
3. ตอ่ มน้ามนั เจรญิ มาจากหนงั กาพร้าท่เี ป็นผนังของขมุ ขน มีมากท่สี ดุ ท่ศี รี ษะ
ใบหน้า และรอบๆ รูเปิดต่าง ๆ เชน่ ทวารหนัก จมกู ปาก และรูหู ซง่ึ ตอ่ มน้ามนั
ทาหน้าท่สี ร้างน้ามันแลว้ จะขบั น้ามันออกสภู่ ายนอกทางรขู ุมขน
4. ขนหรือผม เจริญมากจากหนงั กาพร้าช้ันใน ขนเจริญเกือบทั่วทั้งรา่ งกาย
ยกเวน้ หัวนม สะดอื ขอบปาก ฝา่ มือ ฝา่ เท้า และด้านหลงั ของน้วิ มือปลอ้ งสดุ ทา้ ย
โดยขนประกอบด้วยสารท่ีไมน่ าความรอ้ น จงึ ช่วยกันความรอ้ นได้
5. เล็บ เจรญิ มาจากหนงั กาพรา้ เปน็ แผ่นแขง็ ยดื หยุน่ ได้ อย่ดู ้านหลังของปลาย
นิว้ มอื และน้ิวเทา้ ปล้องสดุ ท้าย
โครงสรา้ งและสว่ นประกอบของผวิ หนงั
ระบบโครงกระดกู
ระบบโครงกระดูก ประกอบดว้ ย กระดกู แท้ กระดูกอ่อน ขอ้ ตอ่ และเส้นเอ็น
โดยในร่างกายของคนที่โตเตม็ ทจี่ ะมีกระดูกท้งั หมด 206 ชน้ิ แบง่ เป็นกระดกู แกน 80
ชิ้น และกระดกู รยางค์ 126 ช้นิ
หน้าที่ของระบบโครงกระดกู
1. เปน็ แหลง่ ท่ีสะสมแคลเซียม
2. สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
3. ปอ้ งกันอวยั วะภายใน
4. เปน็ ทย่ี ึดเกาะของกล้ามเนอ้ื พงั ผืด และเส้นเอน็
5. เปน็ แกนโครงสรา้ ง ให้สว่ นต่างๆ ของร่างกายคงรปู ร่างอย่ไู ด้
กระดูกแกน ได้แก่ กะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลงั กระดูกซ่โี ครง กระดูกก้นกบ
กระดูกรยางค์ ได้แก่ กระดูกแขน กระดูกขา กระดกู ไหปลาร้า กระดูกสะบกั
กระดกู เชิงกราน
กระดูกออ่ น กระดกู อ่อนไม่แขง็ เท่ากระดกู แท้ แต่มคี วามยดื หยุ่นมากกวา่ แบ่งได้ 3 ชนิด
1. กระดูกออ่ นขาว 2. กระดูกอ่อนยืดหยุ่น 3. กระดกู อ่อนพงั ผดื
ข้อตอ่ แบ่งตามลักษณะการเคลื่อนไหวได้ 3 แบบ คอื
1. ขอ้ ตอ่ ทม่ี ีลกั ษณะเหมอื นการตอ่ กันของบานพบั ประตู
2. ขอ้ ตอ่ ทม่ี ีลักษณะคล้ายลูกกลมในเบา้
3. ขอ้ ต่อชนิดประกบสวมกันระหว่างเดอื ยกับหลมุ เดอื ย
เส้นเอ็น แบ่งเปน็ 2 ชนดิ ดงั นี้
1. ลกิ าเมนต์ คอื เสน้ เอน็ ที่ทาหน้าทีเ่ ชอ่ื มต่อกระดกู กับกระดูก ยืดหยุน่ ไดแ้ ตม่ ี
ขอบเขต
2. เทนดอน คือ เสน้ เอ็นทีท่ าหน้าท่เี ชอื่ มกลา้ มเน้ือกบั กระดูกใหต้ ิดกนั ยดื หยุ่น
ไมไ่ ด้ มีความเหนียวทนทานมาก เทนดอนที่หนา 1 น้ิว สามารถรับน้าหนกั ได้ถึง 9 ตัน
ระบบกล้ามเน้ือ
กล้ามเน้ือ เป็นส่วนทีท่ าใหเ้ กดิ การเคล่อื นไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายทั้งทบ่ี ังคับได้
และบงั คับไมไ่ ด้ เชน่ การเดนิ ว่งิ พูด ขบั ถ่าย ยอ่ ยอาหาร เปน็ ตน้ การมที ่าทางและ
โครงร่างทีด่ ีนั้นต้องอาศยั กาลงั ของกล้ามเน้อื ทแี่ ข็งแรงเป็นสาคญั
ชนิดของกลา้ มเนื้อ
1. แบง่ ตามรปู ร่างลักษณะของเซลล์ ได้เป็น 3 ชนดิ ดงั น้ี
- กล้าเน้อื ลาย หรอื กล้ามเนื้อยึดกระดูก ช่วยควบคุมการเคล่ือนไหวของร่างกาย
เชน่ เดนิ วิ่ง เขยี นหนังสือ
- กลา้ มเน้ือเรียบ ประกอบเปน็ ผนงั ของอวยั วะภายใน เช่น ลาไส้ หลอดเลอื ด
- กลา้ มเน้อื หัวใจ ประกอบเปน็ กล้ามเนื้อหัวใจเพยี งแหง่ เดยี ว
2. แบ่งตามหนา้ ท่ี ได้เปน็ 2 ชนิด ดงั น้ี
- กล้ามเน้อื ทกี่ ารทางานอยใู่ ตอ้ านาจจติ ใจ เช่น กลา้ มเน้อื ลาย
- กล้ามเนอ้ื ท่ีการทางานอยู่นอกอานาจจติ ใจ ทางานได้เองอัตโนมตั ิ เชน่
กล้ามเนื้อเรียบ และกล้ามเนื้อหัวใจ