คำนำ
แคน เปน็ ประดษิ ฐกรรมทางดนตรซี งึ่ มีวัฒนธรรมรว่ มในอุษาอาคเนย์กลมุ่ ชาตพิ ันธทุ์ ี่ใชภ้ าษาตระกูล ไต -
กระได สะทอ้ นใหเ้ ห็นภาพลักษณ์อันโดดเด่นของสังคมและวัฒนธรรมอีสาน ซึ่งผู้เขียนสนใจ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ริเริ่ม
ศกึ ษาค้นควา้ การเปา่ แคน ในชว่ งอายุ 14 ปี ซ่ึงขณะน้ันเข้าเรียนช้ันมัธยมต้นที่โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม อาเภอ
พล จังหวดั ขอนแกน่ โดยศกึ ษาเลา่ เรยี นจากเพอ่ื นๆและศิลปนิ หมอแคน ปราชญ์ ชาวบ้านในละแวกหมู่บ้านในเขต
อาเภอพล จนกระทั้งเรียนถึงมัธยมปลายจึงมีแนวความคิดที่จะศึกษาทางด้านดนตรีพื้นบ้านต่อในระดับท่ีสูงขึ้น
ผเู้ ขยี นจึงตดั สินทุ่มเทมุง่ มานะฝึกเป่าแคน ศึกษาองคค์ วามรู้เร่ืองดนตรีและศิลปะวัฒนธรรม เพื่อสอบเอ็นทรานซ์
และไดเ้ ลอื กเรยี นวชิ าเอกแคน ทีแ่ ขนงดนตรีพ้ืนบ้าน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ด้วยความ
วริ ยิ ะอตุ สาหะมานะพยายามในการศกึ ษาเทคนิควิธีการเป่าแคนในรูปแบบลายแคนดง่ั เดิม จึงทาให้ได้มีโอกาสเข้า
คารวะฝากตวั เปน็ ลูกศษิ ยอ์ าจารยก์ รี ติวจน์ ธนภัทรธวุ านนั ท์ เปน็ พ่อแมค่ รูอาจารย์ ไดศ้ ึกษาเรยี นรขู้ นบธรรมเนียม
วถิ ชี ีวิตการเป่าแคนอย่างคนอีสาน และสรรพวชิ าตา่ งๆ เพอ่ื ดารงตนในสังคมไดอ้ ยา่ งภาคภูมแิ ละเหมาะสมกับกาละ
เทศจารตี ประเพณีอนั ดีงาม ตลอดระยะเวลาในการศกึ ษาท้ังภายในรวั่ มหาวิทยาลยั และภายนอกมหาวิทยาลัย ได้มี
โอกาสศกึ ษาเรื่องดนตรีพน้ื บ้าน กบั นกั วิชาการและนกั ปฏบิ ัติทางดา้ นแคนและดนตรีพ้ืนบา้ น กับทา่ นศาสตราจารย์
ดร.เฉลิมศักด์ิ พกิ ุลศรี ทา่ นอาจารย์ทรงศกั ด์ิ ประทุมสนิ ธ์ุ ศิลปนิ แหง่ ชาติ อาจารย์ทองคา ไทยกล้า ศิลปินหมอ
แคน อาจารย์บัวหอง ผาจวง อาจารย์บัวลา ลุนบัวบาน อาจารย์หวาย อ่างคา อาจารย์สมร จันทร์ภูงา
อาจารยค์ าแพง ทองพันธ์ุ อาจารย์กา้ น ผาดนอก อาจารย์ดาวเรอื ง ดาวเกษตร อาจารย์สมบัติสิมล้า ศิลปินหมอ
แคน และอกี หลายทา่ นที่ไม่ไดเ้ อย่ นามผู้เขยี นขอกราบประทานอภยั ไว้ ณ ท่นี ี้ด้วย
เอกสารคาสอนรายวิชา 2001211 Folk Music Skills 3 ทกั ษะการปฏิบตั ดิ นตรพี ้ืนบา้ น : แคน : ลายสุด
สะแนน เล่มนี้จัดทาขึ้นเพ่ือประกอบการเรียนการสอน สาหรับนิสิตในสาขาวิชาเอกดนตรีพ้ืนบ้าน หลักสูตร
ปริญญาดุริยางคศาสตรบัณฑิต (ดศ.บ.) ช้ันปีที่ 2 วิชาเอกแคน รวมไปถึงผู้สนใจทุกท่าน ซ่ึงจะได้ศึกษารับรู้
เรอ่ื งราวของ แคน สงั คมและวฒั นธรรมอสี าน ขนบธรรมเนยี มการเรียนเป่าแคน หลักการ วธิ กี ารเปา่ แคนและลาย
แคนข้ันพ้ืนฐาน โดยตรง
ผู้เขียนหวังเปน็ อยา่ งยิ่งว่าเอกสารคาสอนเลม่ นจ้ี ะเปน็ ประโยชน์สาหรับนิสิตนักศึกษารวมถึงผสู้ นใจในการ
เป่าแคน และหากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใดผูเ้ ขยี นขอน้อมรบั ดว้ ยความยินดีและจะนาไปปรับปรุงแก้ไขในเอกสาร
เลม่ นใี้ หส้ มบรู ณ์เพอ่ื ประโยชน์ทางการศึกษา สดุ ท้ายนีผ้ ู้เขยี นขอมอบคุณงามความดีท่ีจะบงั เกดิ ขนึ้ กับเอกสารฉบบั
นี้ ให้กับบิดา มารดา อาจารย์กีรติวจน์ ธนภัทรธุวานันท์ รวมไปถึงบูรพาจารย์ปราชญ์หมอแคนผู้อนุรักษ์ดนตรี
ศิลปะและวฒั นธรรมอีสานทกุ ท่านด้วยความเคารพและตระหนักถึงพระคณุ ทุกทิวาราตรีการ
ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐก์ ุล
29 สิงหาคม พ.ศ. 2564
มคอ.3 2001 211 ทกั ษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศึกษาที่ 1 / 2564
C : CREATIVE เป็นผ้มู ีจนิ ตนาการสรา้ งสรรค์ทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ การทางานเพอื่ มหาชน
นายชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐก์ ลุ สาขาดนตรีพนื้ บา้ น วทิ ยาลยั ดุริยางศลิ ป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 1
มคอ.3 2001 211 ทักษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศกึ ษาที่ 1 / 2564
ชือ่ สถาบนั อดุ มศกึ ษา รายละเอยี ดของรายวิชา
วิทยาเขต/คณะ/ภาควิชา
มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
วชิ าเอกดนตรีพื้นบ้าน วิทยาลยั ดุรยิ างคศิลป์
หมวดท่ี 1 ข้อมลู ทวั่ ไป
1. รหัสและชอ่ื รายวชิ า
2001 211 3 Folk Music Skills 3
2. จานวนหน่วยกิต
2 (0-4-2)
3. หลกั สูตรและประเภทของรายวชิ า
หลกั สูตรดรุ ยิ างคศาสตร์ฑิต รายวิชาเอก หมวดวิชาเฉพาะดา้ น วิทยาลยั ดรุ ิยางคศิลป์
4. อาจารยผ์ รู้ บั ผดิ ชอบรายวิชาและอาจารย์ผู้สอน
อาจารยผ์ รู้ บั ผิดชอบรายวชิ า : อาจารย์ชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
โทร: 0921492783 Email. [email protected]
5. ภาคการศกึ ษา/ชัน้ ปีทีเ่ รยี น
ภาคต้น ปีการศึกษาท่ี 2564 / ชั้นปีท่ี 2
6. รายวิชาท่ีตอ้ งเรียนมากอ่ น (Pre-requisite) (ถ้ามี)
2001 111 Folk Music Skill 1 2001 103 Folk Music Skill 2
7. รายวชิ าทต่ี อ้ งเรียนพรอ้ มกัน (Co-requisites) (ถ้ามี)
- ไมม่ ี -
8. สถานท่ีเรยี น
1. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตกึ C วทิ ยาลยั ดรุ ิยางคศิลป์ ห้องเรยี นปฏบิ ัติการดนตรีพนื้ บ้าน
ชั้น 4 ห้อง 407
2. เรียนออนไลน์ผ่านโปรแกรม google meet , Zoom
9. วนั ทจ่ี ัดทาหรอื ปรับปรงุ รายละเอยี ดวชิ าคร้ังล่าสุด
- วนั จัดทา 25 มิถนุ ายน พ.ศ. 2563
- วันที่ปรบั ปรงุ 20 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564
หมวดท่ี 2 จดุ ม่งุ หมายและวตั ถปุ ระสงค์
1. จดุ มุ่งหมายของรายวชิ า
เข้าใจหลักการฝกึ ปฏิบัติเคร่อื งเอก และการขับรอ้ งพื้นบา้ น โดยใชบ้ ันไดเสียงแบบฝึกหัดและบทเพลงข้ันพ้ืนฐาน พร้อมท้ัง
การบรู ณาการ งานวิจยั กิจกรรม โครงการทานบุ ารงุ ศลิ ปะวัฒนธรม และบริการวิชาการแก่ชมุ ชน
นายชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กลุ สาขาดนตรพี ืน้ บา้ น วทิ ยาลัยดุริยางศิลป์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม 2
มคอ.3 2001 211 ทกั ษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศกึ ษาที่ 1 / 2564
2. วัตถุประสงคใ์ นการพฒั นา/ปรับปรุงรายวิชา
ศึกษาคน้ คว้าแนวทางการอนุรักษแ์ ละประยกุ ตใ์ ช้เคร่ืองดนตรี และการขบั ร้อง โดยใช้บทเพลงพ้นื บ้านและกลอนลาตา่ ง ๆ
ในสงั คมปัจจุบันไดอ้ ย่างเหมาะสม พรอ้ มทงั้ การบรู ณาการ งานวิจยั กิจกรรม โครงการทานบุ ารงุ ศิลปวฒั นธรมและบริการวิชาการแก่
ชุมชน
หมวดท่ี 3 ลักษณะและการดาเนินการ
1. คาอธบิ ายรายวิชา
(ภาษาไทย) ฝึกทกั ษะการปฏบิ ตั เิ ครอื่ งมอื เอกหรอื การขับร้องพ้นื บ้านโดยใชบ้ ันไดเสียงแบบฝึกหดั และบทเพลงในขนั้ กลาง
(ภาษาอังกฤษ) I - san music skill 3 for a major instrument or voice with focus on Intermediate scales
exercises and pieces
2. จานวนชั่วโมงท่ใี ชต้ ่อภาคการศึกษา 2 หน่วยกติ (0-4-2)
บรรยาย สอนเสริม การฝกึ ปฏบิ ัติ/งาน การศกึ ษาด้วยตนเอง
ภาคสนาม/การฝึกงาน
บรรยาย 11 ช่วั โมง สอนเสรมิ ตามความต้องการ ฝกึ ปฏิบตั ิ 30 ชวั่ โมง 60 = ชว่ั โมง
(1 ชม. x 11 สัปดาห์) ของอาจารย์และนิสติ (2 ชม. x 15 สัปดาห์) (4 ชม. x 15 สัปดาห์)
3. จานวนชัว่ โมงต่อสปั ดาห์อาจารย์ใหค้ าปรกึ ษาและแนะนาทางวิชาการแกน่ กั ศึกษาเป็นรายบุคคล
ทุกวันพฤหสั บดี เวลา 13.00 – 17.00 น. ณ หอ้ งปฏิบตั ิการดนตรพี ื้นบา้ น ช้ัน 4 หอ้ ง 407 วิทยาลยั ดรุ ิยางคศลิ ป์
หมวดท่ี 4 การพฒั นาผลการเรียนรูข้ องนกั ศกึ ษา
คณุ ธรรม ความรู้ ทักษะทางปัญญา ทกั ษะ ทกั ษะการ ทักษะ
จรยิ ธรรม ความสมั พันธ์ วิเคราะหเ์ ชิง พิสยั
ระหวา่ งบุคคล ตวั เลข การ
และความ ส่ือสารและการใช้
รับผดิ ชอบ เทคโนโลยี
สารสนเทศ
12312341234123123 1
XX XX XX XX X
ความรบั ผดิ ชอบหลกั ความรับผิดชอบรอง
นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ สาขาดนตรีพืน้ บ้าน วทิ ยาลัยดุรยิ างศิลป์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม 3
มคอ.3 2001 211 ทกั ษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศกึ ษาท่ี 1 / 2564
มาตรฐานการเรียนรู้ รายละเอยี ดที่ตอ้ งพัฒนา วธิ ีการสอน วธิ ีการวัดและประเมินผล
1. คุณธรรมจรยิ ธรรม - พฤติกรรมการเข้าเรียน และ
1.1 รัก ศรัทธาและภมู ใิ จใน - สอนให้ปฏิบัตกิ ารเปา่ แคน การปฏบิ ตั กิ ารเป่าแคนตาม
2. ความรู้ วชิ าชีพครู มจี ติ วิญญาณและ โดยสอดแทรกการบรรยาย แบบฝึกหัดที่ไดร้ บั มอบหมาย
3. ทกั ษะทางปญั ญา อุดมการณ์ความเป็นครู และ ความสาคัญของวิชาชีพครู ตามขอบเขตทีใ่ หแ้ ละตรงเวลา
ปฏบิ ัตติ น ตามจรรยาบรรณ - สอนใหป้ ฏิบัตกิ ารเป่าแคน -ประเมนิ ผลจากการ
วิชาชีพครู โดยสอดแทรกบรรยายความ ปฏบิ ัตกิ ารเปา่ แคนตาม
วริ ิยะ อุตสาหะ และการให้ แบบฝึกหัด ชกั ถามปัญหาและ
2.4 มคี วามรเู้ ก่ยี วกับมาตรฐาน กาลงั ใจเพอื่ ให้นิสติ เดินทาง แนวทางการแกไ้ ข การสร้าง
หรอื ธรรมเนยี มปฏิบตั ใิ นการ ไปสเู่ ปา้ หมายอุดมการณค์ วาม กาลงั ใจ เพ่ือให้นิสติ เดินทาง
ประกอบวชิ าชพี ดา้ นศิลปกรรม เป็นครู ไดอ้ ย่างภาคภูมิ ไปสเู่ ปา้ หมายอุดมการณ์ความ
ศาสตร์ ในสาขาวิชาท่ศี ึกษา - สอนใหป้ ฏิบัติการเป่าแคน เป็นครู
โดยสอดแทรกบรรยาย - ทดสอบ ชกั ถามและสังเกต
3.1 สามารถค้นคว้า รวบรวม จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู วิเคราะห์ แยกแยะพฤตกิ ารณ์
และประเมินข้อมลู จาก - สอบกลางภาคปฏิบตั ิ / สอบ ของนิสิตในกิจกรรม
แหล่งข้อมลู ที่หลากหลายอยา่ งมี ปลายภาคปฏิบตั ิ แลกเปลีย่ นเรยี นรูร้ ะหว่าง
วจิ ารณญาณ นิสิตและครูผสู้ อน ยกตัวอยา่ ง
3.4 มคี วามคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละมี - บรรยาย และอธิบาย องค์ จรรยาบรรณท่ีดแี ละ
ปฏิภาณไหวพรบิ ในการสรา้ ง ความรู้เกยี่ วกบั มาตรฐานหรือ พฤติกรรมที่ไมค่ วารปฏบิ ตั ิ
ผลงาน ธรรมเนียมปฏิบัตใิ นการ - สอบกลางภาค / สอบปลาย
ประกอบวชิ าชีพดา้ น
ศิลปกรรมศาสตร์ ในสาขาวิชา ภาค
ท่ีศกึ ษา พร้อมยกตัวอย่างแล้ว -ใหน้ สิ ิตนาเสนอปากเปล่า
นาเขา้ สู้บทเรียนการ หน้าช้นั เรียนพร้อมกบั ชักถาม
ปฏิบตั ิการเป่าแคน เกย่ี วกับองค์ความร้เู กยี่ วกับ
มาตรฐานหรือธรรมเนียม
- ชี้แจงกาหนดให้นิสติ ทางาน ปฏิบัตใิ นการประกอบวชิ าชีพ
เอกสารและการปฏบิ ัตกิ าร ด้านศิลปกรรมศาสตร์ ใน
เปา่ แคน เช่น พัฒนาการลาย สาขาวิชาท่ีศึกษา พร้อม
แคนในแตล่ ะยดุ โดยการ ยกตวั อย่างแล้วสอบวันผลใน
ค้นคว้า รวบรวมและประเมิน บทเรยี นปฏบิ ตั กิ ารเป่าแคน
ขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มลู ท่ี ใหน้ ิสิตเสนอผลงานจากใน
หลากหลาย อยา่ งมี หวั ขอ้ ที่กาหนด โดยผา่ น
วิจารณญาณ มีความคิด กระบวนการ ค้นคว้า รวบรวม
และประเมินข้อมลู จาก
แหล่งขอ้ มลู ทหี่ ลากหลาย
อยา่ งมีวิจารณญาณ มี
ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละมี
ปฏภิ าณไหวพรบิ ในการสรา้ ง
นายชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ลุ สาขาดนตรีพื้นบ้าน วทิ ยาลัยดุริยางศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 4
มคอ.3 2001 211 ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศกึ ษาท่ี 1 / 2564
4. ทกั ษะความสัมพันธ์ 4.1 มีภาวะผู้นาเข้าใจบทบาท สรา้ งสรรคแ์ ละมีปฏภิ าณไหว ผลงาน
ระหว่างบุคคลและความ หนา้ ทีข่ องตนเอง รบั ฟังความ พริบในการสร้างผลงาน
รบั ผิดชอบ คิดเหน็ ของผู้อน่ื และมนุษย์ สงั เกตพฤตกิ ารณแ์ ละ
สมั พนั ธ์ทด่ี ี บรรยาย ในหวั ขอ้ ภาวะผู้นา พฤติกรรมของนิสติ ในภาระท่ี
5. ทักษะการวิเคราะห์เชงิ เขา้ ใจบทบาทหนา้ ทีข่ อง ไดร้ บั มอบหมาย โดยใช้
ตัวเลข การสือ่ สารและการ 5.1 สามารถสอ่ื สารด้วยการพูด ตนเอง รับฟังความคดิ เหน็ ของ หลกั การ ในหัวข้อ ภาวะผู้นา
ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ฟงั อา่ น เขยี นในการสอ่ื สาร ผู้อน่ื และมนุษย์สมั พันธ์ทด่ี ี เขา้ ใจบทบาทหนา้ ที่ของ
โดยท่วั ไป ตลอดจนใช้วิธกี าร ความสุนทรยี ะรสแหง่ บทเพลง ตนเอง รบั ฟังความคิดเหน็ ของ
6. ทักษะพสิ ัย สอ่ื สารทางศลิ ปกรรมและ และลายแคนที่นิสติ ปฏิบัติการ ผู้อน่ื และมนุษย์สมั พันธท์ ่ดี ี
นาเสนองานได้อยา่ งมี บรรเลงส่สู ังคม ความสุนทรียะรสแห่งบทเพลง
ประสทิ ธภิ าพ และลายแคนที่นิสติ ปฏบิ ตั กิ าร
5.2 สามารถเลอื กใชเ้ ทคโนโลยี บรรยายและอภริ ายในหวั ข้อ บรรเลงสสู่ งั คม
สารสนเทศในการสบื คน้ ข้อมลู การสื่อสารด้วยการพดู ฟัง
เพอื่ การสร้างสรรคผ์ ลงานหรือ อ่าน เขียนในการสอ่ื สาร ใหน้ ิสติ ใช้ทกั ษะสื่อสารดว้ ย
การนาเสนอผลงานไดอ้ ย่างมี โดยทั่วไป ตลอดจนใช้วิธีการ การพดู ฟงั อ่าน เขยี นในการ
ประสิทธิภาพ สื่อสารทางศลิ ปกรรมและ ส่ือสารโดยท่วั ไป ตลอดจนใช้
นาเสนองานได้อยา่ งมี วธิ ีการสื่อสารทางศิลปกรรม
6.1 สามารถใชท้ ักษะปฏิบตั ิทาง ประสิทธภิ าพ สามารถเลอื กใช้ และนาเสนองานได้อยา่ งมี
ศิลปกรรมศาสตร์ในการ เทคโนโลยีสารสนเทศในการ ประสทิ ธภิ าพ สามารถเลือกใช้
สร้างสรรคผ์ ลงานของตน สืบคน้ ข้อมูลเพื่อการ เทคโนโลยสี ารสนเทศในการ
สรา้ งสรรคผ์ ลงานหรอื การ สบื ค้นข้อมูลเพอ่ื การ
นาเสนอผลงานได้อย่างมี สร้างสรรคผ์ ลงานหรือการ
ประสิทธิภาพ พร้อม นาเสนอผลงานไดอ้ ยา่ งมี
ยกตวั อย่างและเช่อื งโยงเข้า ประสทิ ธิภาพพรอ้ ม
ไปส่บู ทเรียนการปฏิบัตกิ าร ยกตวั อย่างและเชื่องโยงเข้า
เป่าแคน ไปสู่บทเรียนการปฏิบตั ิการ
บรรยายและอภิปรายหลกั เปา่ แคน
ปรัชญาตามความเชื่อในการ
ใชท้ ักษะปฏบิ ตั ิทางศิลปกรรม ใหน้ ิสิตใช้ หลักปรชั ญาตาม
ศาสตรใ์ นการสรา้ งสรรค์ ความเช่ือในการใชท้ ักษะ
ผลงานของตน พร้อม ปฏบิ ตั ทิ างศิลปกรรมศาสตร์
ยกตัวอย่างเชอื่ มโยงเขา้ ไปสู่ ในการสรา้ งสรรค์ผลงานของ
บทเรยี นปฏบิ ตั ิการเป่าแคน ตน พร้อมยกตวั อย่างเชื่อมโยง
เขา้ ไปส่บู ทเรียนปฏิบตั กิ าร
เปา่ แคน
นายชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล สาขาดนตรีพ้ืนบา้ น วทิ ยาลยั ดุรยิ างศิลป์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม 5
มคอ.3 2001 211 ทกั ษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศกึ ษาท่ี 1 / 2564
หมวดท่ี 5 แผนการสอนและการประเมนิ ผล
แผนการสอน
สัปดาหท์ ี่ หวั ข้อ /รายละเอียด จานวน กจิ กรรมการเรียนการ ผู้สอน
สอนสอ่ื ท่ใี ช้ (ถ้าม)ี
1 แนะนารายวิชา จุดประสงค์ แจกแจง 4 ใช้เอกสารประกอบการ อาจารยช์ าติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
แผนการสอน Course Syllabus สอน / บรรยาย/อภิปราย/
บรรยายและอภิปราย เร่ือง การปรับทศั นะ แบบฝกึ หัด
หลักและวิธีการเปา่ แคน
2 บรรยายและอภิปรายหลักคุณธรรมและ 4 บรรยาย / อภิปราย / อาจารยช์ าติอาชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ชักถาม / ปฏบิ ัติ
จริยธรรมเช่อื งโยงเข้าไปสู่การฝกึ ปฏบิ ัติเปา่
แคนลายสุดสะแนนท่อนที่ 1
3 บรรยายและอภิปรายหลกั ศลี ธรรมและ 4 บรรยาย / อภิปราย / อาจารย์ชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ชักถาม / ปฏบิ ัติ
ความเสมอภาคเช่ืองโยงเข้าไปสกู่ ารฝึก
ทบทวนท่องจาลายสดุ สะแนน ท่อนท่ี 1 โดย
ไม่ตอ้ งดูโน้ต
4 บรรยายและอภิปรายหลกั ความรอบรู้ 4 บรรยาย / อภิปราย / อาจารย์ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
เก่ียวกบั แนวคิด ทฤษฎี การวิเคราะห์ ชกั ถาม / ปฏิบตั ิ
ความร้คู วามก้าวหน้าดา้ นวทิ ยาการและ
นาไปประยกุ ตใ์ ช้ ให้มีผลลพั ธ์ตามมาตรฐาน
ผลการเรยี นรู้ด้านประวัตศิ าสตร์ วฒั นธรรม
เช่อื มโยงเขา้ ไปสู่วิธีการฝึกปฏิบตั ิเป่าแคน
ลายสุดสะแนน ท่อนที่ 2
5 บรรยายหลกั ปรชั ญาทางดนตรี 4 บรรยาย / อภปิ ราย / อาจารย์ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กลุ
ชกั ถาม / ปฏบิ ัติ
ความสัมพนั ธข์ องเทคโนโลยีดนตรศี ึกษา
ทักษะดนตรีในการอ่านออกเขยี นไดถ้ ูกต้อง
ตามหลักภาษาศาสตร์ และอภิปราย ให้
สอดคล้องกับการฝึกทบทวนทอ่ งจาลายสดุ
สะแนน ท่อนท่ี 2 โดยไม่ตอ้ งดโู นต้
6 บรรยาย หลักการวิจารณ์ วพิ ากษ์ วิเคราะห์ 4 บรรยาย / อภิปราย / อาจารยช์ าตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กุล
กฎเกณฑด์ า้ นดนตรี ตลอดจนวิธีบารุงรกั ษา ชักถาม / ปฏบิ ัติ
เคร่อื งดนตรไี ด้ และอภปิ รายเชอื่ มโยงเข้า
ไปสูก่ ารทบทวนการฝึกปฏิบตั เิ ปา่ แคนลาย
สดุ สะแนน ท่อนท่ี 3
7 ทบทวนการฝึกปฏิบตั ิทบทวนท่องจาลาย 4 ปฏิบัติ อาจารยช์ าตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
สุดสะแนน ทอ่ นท่ี 2 โดยไม่ตอ้ งดโู นต้ ทอ่ น
ที่ 1- 3
8 วัดผลกลางภาค 4 ปฏิบัติ คณาจารยส์ าขา
9 บรรยายหลกั การ คดิ ค้นหา วเิ คราะห์
4 บรรยาย / อภิปราย / อาจารยช์ าติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กุล สาขาดนตรพี ืน้ บา้ น วทิ ยาลยั ดุรยิ างศลิ ป์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม 6
มคอ.3 2001 211 ทักษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศึกษาท่ี 1 / 2564
ขอ้ เท็จจรงิ และประเมนิ ข้อมูล ส่ือ ชักถาม / ปฏิบัติ
สารสนเทศ ในการเผชญิ และกา้ วทนั การ บรรยาย / อภิปราย / อาจารยช์ าตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ชักถาม / ปฏิบตั ิ
เปล่ียนแปลงในโลกยุคดจิ ิทัล เทคโนโลยขี ้าม
บรรยาย / อภิปราย / อาจารยช์ าตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐ์กลุ
แพลทฟอร์ม (Platform) และโลกอนาคต ชกั ถาม / ปฏบิ ัติ
นาไปประยุกต์ใช้วนิ ิจฉัยแก้ปัญหาและ บรรยาย / อภปิ ราย / อาจารย์ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
ชกั ถาม / ปฏบิ ัติ
พฒั นางานทางด้านดนตรีได้อย่างสรา้ งสรรค์
บรรยาย / อภิปราย / อาจารย์ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
โดยคานงึ ถึงความรู้ หลกั การประสบการณ์ ชักถาม / ปฏบิ ตั ิ
ภาคทฤษฎี ภาคปฏบิ ตั ิ ค่านิยม แนวคดิ
นโยบายและยทุ ธศาสตรช์ าติ บรรทดั ฐาน
ทางสงั คมและผลกระทบที่อาจเกดิ ขึน้ และ
อภิปรายใหส้ อดคล้องกัลหลักฝึกปฏบิ ัตเิ ป่า
แคนลายสุดสะแนน ท่อนที่ 4
10 บรรยายหลกั มารยาททางสังคมและการ 4
ปฏบิ ัติตัวกับทิศทง้ั 6 เพ่ือสร้างความเขา้ ใจ
และใสใ่ จอารมณ์ความรูส้ กึ ของผู้อนื่ มี
ความคิดเชิงบวก มีวฒุ ภิ าวะทางอารมณ์
และทางสังคมสอดแทรกคติเตือนใจ
เชอ่ื มโยงเข้าไปสู่การฝึกทบทวนการฝึก
ปฏบิ ัตทิ บทวนท่องจาลายสุดสะแนน ทอ่ น
ท่ี 4 โดยไมต่ ้องดูโนต้
11 บรรยายในหวั ขอ้ ทักษะการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 4
ทางสถติ ิ การสังเคราะหข์ ้อมูลเชงิ ปริมาณ
และเชิงคณุ ภาพเพื่อเข้าใจองค์ความรู้ หรอื
ประเด็นปญั หาทางการศึกษาได้อยา่ ง
รวดเรว็ และถูกตอ้ งอภิปรายพร้อม
ยกตวั อย่างชกั ถาม เช่อื มโยงเข้าไปสู่การฝึก
ปฏิบตั เิ ปา่ แคนลายสดุ สะแนนท่อนท่ี 5
12 บรรยายหลกั ปรชั ญาตามความเช่อื ในการ 4
สร้างหลกั สูตรรายวิชาการออกแบบเน้ือหา
สาระกิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือและ
เทคโนโลยีการส่ือสาร และอภปิ รายผลชกั
ถามพร้อมยกตัวอย่างเชื่อมโยงเข้าไปสู่
บทเรยี นการฝึกปฏบิ ัติทบทวนการฝึกปฏิบัติ
ทบทวนท่องจาลายสุดสะแนน ท่อนที่ 5 โดย
ไมต่ ้องดูโนต้
13 บรรยาย การวดั และประเมนิ ผู้เรียน การ 4
บริหารจดั การในชั้นเรียนโดยใช้แหลงเรียนรู้
ในสถานศึกษาพร้อมอภปิ รายผลและชัก
นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐก์ ุล สาขาดนตรพี น้ื บา้ น วทิ ยาลยั ดุริยางศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 7
มคอ.3 2001 211 ทกั ษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศกึ ษาท่ี 1 / 2564
ถามประเดน็ ปัญหาท่ีสอดคลอ้ งเก่ยี วกับการ อาจารยช์ าตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ฝกึ ปฏิบตั เิ ป่าแคนลายสดุ สะแนนทอ่ นที่ 6 อาจารยช์ าติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
คณาจารย์สาขา
14 ทบทวนการฝกึ ปฏิบัตเิ ป่าแคนลายสดุ 4 ปฏิบตั ิ
ปฏบิ ัติ วชิ าดุรยิ างคศลิ ป์พ้ืนบา้ น
สะแนน ท่อนท่ี 6 บ และฝึกท่อนที่ 1 – 6 ปฏิบัติ
เพือ่ เตรียมความพร้อมในการสอบปลาย
ภาค
15 ทบทวนการฝึกปฏิบัติเปา่ แคนลายสดุ 4
สะแนน ทอ่ นท่ี 1 – 6 เพอื่ เตรียมความ
พรอ้ มในการสอบปลายภาค
16 วัดผลปลายภาค 4
2 แผนการประเมินผลการเรียนรู้
2.1 วิธีการประเมนิ ตามกิจกรรมการเรียนรู้
กจิ กรรม ผลการเรียนรู้ วิธีการประเมิน สัปดาหท์ ี่ สัดส่วนของการ
แบบฝกึ ระหวา่ งเรยี น ประเมนิ ประเมนิ ผล
1 1.1, 1.2, 1.3, 2.1, 2.2 , 3.1,
4.1,4.2,4.3 , 5.1, 5.3, 1-15 25%
6.1,6.2,6.3,6.4
การเรียน-การอภิปราย 1-15 15%
2 1.1, 1.2, 1.3, 6.1, 6.3, 6.4 สอบกลางภาค 8 30%
สอบปลายภาค 16 30%
3 1.1, 1.2, 1.3, 2.1, 2.4, 3.2, 4.1,4.2
4 1.1, 1.2, 1.3, 2.1, 2.4, 3.2, 4.1,4.2
2.2 การประเมินผล
ช่วงเกรด เกรด
80-100 A
75-79 B+
70-74 B
65-69 C+
60-64 C
55-59 D+
50-54 D
0-49 F
นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐก์ ุล สาขาดนตรพี ้ืนบา้ น วทิ ยาลัยดุรยิ างศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 8
มคอ.3 2001 211 ทกั ษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศกึ ษาท่ี 1 / 2564
หมวดท่ี 6 ทรพั ยากรประกอบการเรียนการสอน
1. ตาราและเอกสารหลกั
เอกสารประกอบการเรียนการสอน ทักษะดนตรพี ื้นบ้าน 1 แคน
2. เอกสารเพิ่มเติม
กิตตวิ ัฒน์ สตั นาโค. ศิลปะการเปา่ แคนทานองพืน้ บา้ นอีสาน. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั
ศรนี ครินทรวโิ รฒ, 2535
สาเร็จ คาโมง. (2522). ดนตรีอสี าน: แคนและดนตรอี ื่นๆ ท่เี ก่ยี วข้อง. มหาสารคาม: ภาควิชาดนตรี
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ สถาบนั ราชภัฏมหาสารคาม.
3. เอกสารและขอ้ มลู แนะนา
เจริญชัย ชนไพโรจน์. แคนวง. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ มหาสารคาม,
2515.
เฉลมิ ศักดิ์ พิกลศรี. อักษราดุริยางคท์ างฆ้องวงใหญ่ ฉบับเพลงไม้นวม. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. 2550.
ยศ สันตสมบตั ิ. มนุษยก์ บวฒั นธรรม. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์,ั
2548.
ศรีศักดิ์ วลั ลโิ ภดม และคณะ. ดนตรีและนาฏศลิ ป์กบั เศษฐกิจและสังคมสยาม. กรงุ เทพฯ :
ธนาคารกรุงเทพ, 2535.
สกุ รี เจรญิ สุข. ดนตรชี าวสยาม. กรงุ เทพฯ : วิทยาลยั ดรุ ิยางคศลิ ป์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล, 2538.
________. “ดุรยิ างคศาสตรช์ าตพิ ันธ์ุ,” วารสารถนนดนตรี. 1(12) : 38-41 ; ตุลาคม, 2530
สุจติ ต์ วงษ์เทศ. พลังลาวชาวอสี านมาจากไหน. กรุงเทพฯ : มตชิ น, 2549
อเนก นาวิกมูล. เพลงนอกศตวรรษ. พมิ พค์ ร่งั ท่ี 3. กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ, 2527
หมวดท่ี 7 การประเมินและปรบั ปรงุ การดาเนินการของรายวชิ า
1. กลยุทธก์ ารประเมินประสิทธผิ ลของรายวชิ าโดยนิสิต
- การสนทนากลุ่มระหวา่ งผ้สู อนและผเู้ รยี น
- แบบประเมนิ ผู้สอน และแบบประเมนิ รายวชิ าจากกองทะเบียนและประมวลผล มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
2. กลยทุ ธก์ ารประเมนิ การสอน
- ผลตอบรับ การให้ความสนใจในช้ันเรียนจากผู้เรยี น
- สงั เกตความสนใจระหว่างเรียน และระดับคะแนนระหว่างบทเรยี น
- ผลการเรียนของผู้เรยี น
- การสังเกตการณ์สอนของอาจารย์ผรู้ ่วมสอน
3. การปรบั ปรุงการสอน
- การศกึ ษา ผลการประเมิน ระหวา่ งการเรยี น และหลงั การเรียน
- การสนทนากลุ่มระหวา่ งอาจารยผ์ รู้ ่วมสอนเรือ่ งการจดั การเรียนการสอน
- การปรับปรงุ แผนการจัดการเรียนเรียนรู้ เน้อื หา กิจกรรม
นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กุล สาขาดนตรีพน้ื บา้ น วทิ ยาลยั ดุรยิ างศิลป์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม 9
มคอ.3 2001 211 ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 Folk Music Skills 3 ภาคการศึกษาท่ี 1 / 2564
4. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธ์ิของนิสติ ในรายวชิ า
- การสอบทานการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนิสติ โดยอาจารยท์ า่ นอื่น หรือผ้ทู รงคุณวฒุ ิ ที่ไมใ่ ช่
อาจารย์ประจาหลักสตู ร
- มกี ารตั้งคณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมนิ การเรยี นรู้ของนิสิต
5. การดาเนนิ การทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสทิ ธผิ ลของรายวิชา
- ดาเนินการวิเคราะห์ศักยภาพของผู้เรยี นและเข้าใจผู้เรยี นเป็นรายบุคคล
- ปรับปรุงแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เนือ้ หา สื่อการเรยี น ทกุ ๆ ปีการศกึ ษา
- ปรบั ปรงุ รายวิชาทุก 2 ปี หรอื ตามขอ้ เสนอแนะตามผลการทวนสอบมาตรฐานผลสมั ฤทธใ์ิ นรายวชิ า
นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ สาขาดนตรีพน้ื บ้าน วทิ ยาลยั ดุริยางศลิ ป์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม 10
สารบญั หนา้
1
บทที่ 3
1 อรัมภบทวัฒนธรรมแคน 6
13
ความสาคัญของวัฒนธรรมดนตรี 20
ความเป็นมาของแคน 32
แคนในประเทศไทย 33
แคนในภาคอสี าน 34
แบบฝกึ หดั ท้ายบท 35
เอกสารอ้างองิ 39
2 พลวตั วฒั นธรรมการเรยี นเป่าแคน 44
พลวตั วัฒนธรรมการเรียนเปา่ แคน 46
วธิ ีการถ่ายทอดการเป่าแคนแบบโบราณ 47
วธิ กี ารถ่ายทอดการเป่าแคนในปจั จบุ ัน 48
แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 50
เอกสารอา้ งองิ
3 แคน : ประดิษฐกรรมทางสวนศาสตร์ 53
บรมครูชา่ งทาแคนแห่งเมืองศรีแกว้ 55
57
ชีวประวัติ ดร.ทยุ เรืองศรอี รัญ 60
องค์ประกอบของแคนแปด 66
วสั ดแุ ละอปุ กรณท์ ่ีใช้ทาแคน 67
ประเภทของแคน 68
ระบบเสยี งแคนแปด 68
แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 69
เอกสารอา้ งอิง 70
4 วิธีการเป่าแคนลายสดุ สะแนน 70
การติดสูตร 70
การใชน้ ้วิ
การใชล้ ม
การใชล้ น้ิ
วิธีการเป่าลายสุดสะแนน
แบบฝกึ หดั ท้ายบท 73
เอกสารอ้างอิง 75
5 โน๊ตลายสุดสะแนน 76
77
ทอ่ นขนึ้ สรอ้ ย 77
ทอ่ นเดนิ 77
ทอ่ นลาวงลาว 79
แบบฝกึ หดั ท้ายบท 81
เอกสารอา้ งอิง
สารบญั ภาพ
ภาพท่ี หน้าท่ี
1 แผนที่กลุ่มชนทใี่ ช้ภาษา ไต - กะได 7
2 แผนทท่ี วปี เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงได้ 8
3 ลายคนเปา่ แคนบนกลองมโหระทึก แสดงใหเ้ ห็นภาพแคนทมี่ หี ลายปลอ้ งกาเนิดเสยี ง 9
4 ขวานสัมฤทธ์ิ จาหลกั รปู คนเป่าแคนนาเต้า 9
5 แคนจีน เซิน ( Sheng ) 10
6 นายหล่อื หง่ เซือและนายหล่อื วนั แบง๊ ช่างผลติ และเป่าแคนเอียนโจว์ ประเทศเวยี ดนาม 11
7 แซงฮวังเกาหลี ( 생황 ) 12
8 หหู ลซู อื ( 葫芦丝 )มณฑลยูนนาน 12
9 ลาผีฟ้ารักษาคนปว่ ยในเวียงจนั ทร์ และการเปา่ แคนกบั ฟอ้ นลาในราชสานักจาปาสกั สปป. 23
ลาว
10 พระบรมฉายาลักษณ์บพระบาทสมเดจ็ พระปิน่ เกล้าเจ้าอยหู่ วั และแคนใหญ่ 14
11 แอ่วลาวที่ได้รับความนยิ มสมัยต้นกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ 16
12 จติ รกรรม คนเป่าแคน ที่ผนงั ศาลาการเปรยี ญ วัดซวี ์ประเสริฐ จังหวัดเพชรบุรี 17
13 ปกั ษาสวรรค์ หรอื นกการเวก หรือ นกวายุภกั ษ์ ( Bird-of-paradise ) 18
14 ขบวนแหน่ างคาซาวและนางแอกไค้ ไปส่งให้พระลักพระลาม
15 ภาพเป่าแคน 16
16 ภาพเป่าแคน การแสดขบั รอ้ งประกอดแคน 17
17 ภาพกิจกรรมคนเป่าแคนในวรรณกรรมเร่อื ง สินชัย 18
18 กิจกรรมคนเปา่ แคนทผี่ นงั สิม วดั ป่าเลไล ต.ดงบงั จงั หวดั มหาสารคาม 19
19 กิจกรรมคนเป่าแคนทผ่ี นังสิม วัดโพธ์ิธาราม ต.ดงบงั จังหวดั มหาสารคาม
20 กิจกรรมการแสดงหมอลาผญาและหมอลากลอน วดั ประตชู ยั (บ้านคาไฮ) จังหวดั รอ้ ยเอ็ด 48
21 นายชา่ งทาแคน ทยุ เรอื่ งศรอี รัญ เขา้ รบั พระราชทานปริญญา ปรชั ญาดุษฎีบณั ฑติ
กิตตมิ ศกั ดิ์ จาก สมเดจ็ พระเทพพระรัตนราชสดุ าสยามบรมราชกมุ ารี ดารงพระอิสริยศ
ช่วง พ.ศ. 2530
22 นายชา่ งทาแคน ทยุ เรื่องศรีอรญั กาลงั ทาแคน 51
23 แคน เปน็ เครื่องดนตรีทผ่ี ่านการทาฝีมือการทานายชา่ งทาแคน ทยุ เรื่องศรอี รัญ วารสาร 52
24 องค์ประกอบของแคน 53
25 ทง่ั ตลี นิ แคน 55
26 กระดกู ชา่ งใช้รองสับลินแคน 56
27 หลาบโลหะใช้ทาลินแคนลนิ แคน 56
29 แคนโก่ 58
30 แคนเจด็ 58
31 แคนแปด 59
32 แคนเก้า 59
33 ตาแหน่งเสยี งแคน 60
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
บทท่ี 1
อรัมภบทวัฒนธรรมแคน
เน้อื หาประจําบทเรียน
1. อรัมภบทวฒั นธรรมแคน
2. ความสาคัญของวัฒนธรรมดนตรี
3. ความเปน็ มาของแคน
4. แคนในประเทศไทย
5 แคนในภาคอสี าน
6. บทสรุป
จุดมงุ่ หมายการเรียนการสอน
1. เข้าใจและสามารถอธบิ ายอรมั ภบทวฒั นธรรมแคนได้
2. เขา้ ใจและสามารถอธิบายความสาคญั ของวฒั นธรรมดนตรีได้
3. เข้าใจและสามารถอธบิ ายความเป็นมาของแคนได้
4. เขา้ ใจและสามารถอธบิ ายแคนในประเทศไทยได้
5. เข้าใจและสามารถอธิบายแคนในภาคอสี านได้
6.เขา้ ใจและสามารถอธิบายบทสรปุ ได้
กจิ กรรมการเรียนการสอน
1. ผ้เู รยี นศึกษาอรัมภบทบทวฒั นธรรมแคนจากเอกสารประกอบการเรยี นการสอน
2. ผู้สอนอธบิ ายความสาคญั ของวฒั นธรรมดนตรีและเปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นซกั ถาม
3. ผสู้ อนอธบิ ายความเปน็ มาของแคนและเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นซกั ถาม
4. ผ้สู อนอธบิ ายแคนในประเทศไทยและเปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รียนซักถาม
5. ผ้สู อนอธิบายแคนในภาคอีสานและเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซกั ถาม
6.ผู้สอนอธบิ ายบทสรปุ และเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นซกั ถาม
สอ่ื การสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. Powerpoint คลปิ วีดีโอ
3. สอื่ multimedia, Social Network
การวัดผลและประเมินผล
1. พจิ ารณาการซักถามสรปุ บทเรียน
2. พิจารณาการอภปิ รายการแสดงความคิดเหน็ พฤตกิ รรมการปฏิบัติตวั ในคาบเรียน
3. การมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรียนการสอน
4. ตอบคาถามท้ายบท
2001 211 3 Folk Music Skills 3 13 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพนื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
โลกและจักรวาล คอื แหล่งกาเนิดอารยะธรรม ท่ีโอบอ้มุ สิ่งมีชวี ิตทั้งมวลให้ดารงไวซ้ ึ่งเผา่ พนั ธุ์ และ
เช่ือชาติ หน่ึงในสงิ่ สมิ ีชวี ิตที่อาศยั อยูบ่ นผืนโลกและแผ่นดินแห่งความวัฒนาน้ี คือ มนุษย์ ซึ่งเชื่อกันว่าการ
ไดเ้ กิดมาในรปู ของมนษุ ย์นน้ั ประเสรฐิ ทีส่ ดุ เพราะมนษุ ย์มีความแตกตา่ งจากสตั ว์ชนิดอ่นื ๆ คอื มนุษยม์ ีการ
เรียนรู้ มพี ฒั นาการทางด้านภาษา มีความรู้คดิ มีจิตวญิ ญาณ มสี ตปิ ัญญารู้จกั แก้ไขปญั หา คิดคน้ สร้างสรรค์
มีคณุ ธรรม จริยะธรรม ศิลธรรม และวัฒนธรรม แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ผู้ซ่ึงเกิดมาเพื่ออาศัยโลกียวิสัยใน
การดารงเผ่าพนั ธุ์นน้ั หากคิดพิจารณาในทางธรรมะแล้วมนุษย์ทุกคนท่ีเกิดมา ย่อมมีสิ่งท่ีติดตัวมาตั้งแต่
ก่อนท่ีจะเกิด หรือมาพร้อมกับการเกิด นั้น คือ กิเลส ตัณหา อาสวะ อวิชชา อนุสัย อุปธิ สังโยชน์ กาม
โยคะ พรอ้ มกบั แรงแหง่ ความปรารถนาอย่างไม่มีทีส่ นิ้ สุด ซ่ึงความปรารถนาประการแรกนั้น คงเริ่มต้นเม่ือ
มนุษยท์ ุกคนได้ลืมตาข้ึนมามองโลกแล้วมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง น้ีคือสิ่งท่ีทุกคนปรารถนาใน
เบ้ืองต้น และเปน็ ทนี่ ่ายินดีอย่างย่ิงสาหรับร่างกายท่ีสมบรู ณแ์ ข็งแรงในความเปน็ มนษุ ย์ ปรารถนาประการ
ท่สี อง คือ ปรารถนาหนทางแหง่ ความสขุ กาย สขุ ใจ ตรงนแี้ หละสาคญั มาก เพราะมนษุ ย์เมื่อเกิดข้ึนมาแล้ว
ยอ่ มแสวงหาเส้นทางเดินเพือ่ ดารงไว้ซึ่งเผ่าพนั ธ์ุ และเป็นหนทางแห่งการเริ่มต้นของกฎแห่งกรรม ซึ่ง กรรม
จะไดท้ าหนา้ ที่อย่างเต็มกาลงั การกระทาอนั ไดทม่ี นุษย์ทกุ คนเคยทามาในครง้ั อดตี จะส่งผลและมอี ิทธิพลใน
เส้นทางทตี่ อ้ งเลอื กเดนิ ซง่ึ มีอยู่ 2 เส้นทางด้วยกัน คือ เส้นทางแห่งธรรมะ และเส้นทางอธรรม ไม่ว่าจะ
เลอื กเดนิ ไปในทิศทางไดก็ตอ้ งผจญอภัยโดยไมม่ ีทางหลีกเลี่ยง จะดีงามหรือชั่วร้ายเลวทรามเพียงไดก็ต้อง
พิสูจน์กันตามวาระกรรม หากเร่ิมต้นท่ีเส้นทางธรรมมะอาจจบด้วยทางแห่งอธรรมก็ได้ หรือเริ่มต้นด้วย
เสน้ ทางอธรรมอาจจะจบดว้ ยทางแหง่ ธรรมะก็ได้ ไมแ่ นน่ อน เพราะจิตของมนุษย์ท่ียังไม่ได้รับการขัดเกลา
นั้น ยอ่ มแปรปรวนไปตามอายตนะภายในทั้งหกอย่าง คือ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ หว่ันไหวไปตามรสสัมผัส
ต่างๆท่เี ขา้ มากระทบภายในจิต และไมว่ ่าจะมีเหตปุ ัจจัยอะไรเกิดขน้ึ กบั การดารงชีวิตก็ตาม มนุษย์ทุกคนก็
จะต้องเดินทางไปตามเข็มนาฬิกาอย่างไม่หยุดน่ิง เพราะนี้คือกฎของจักรวาล ซ่ึงบทสรุปของส่ิงมีชีวิตท่ี
เรยี กว่ามนุษย์ นนั้ คือ การเกดิ ข้ึน ตง้ั อยู่ และดับไป วนเวียนไปมาอย่างนี้โดยไม่มีที่สิ้นสุด ตามกฎแห่งไตร
ลกั ษณ์ ยกเว้นพระอรหันต์ นิพพานแล้วไม่กลบั มาเกิดในโลกียวสิ ยั อีกต่อไป
หากคดิ ใคร่ควรถงึ หลักของธรรมะแล้ว หนทางแห่งความดีงาม หรือเส้นทางแห่งธรรมะเท่านั้น ที่
มนุษย์ทุกคนควรเลือก และเหมาะสมแก่การเริ่มต้นชีวิตที่แท้จริง สาหรับผู้ที่มีหัวใจที่องอาจพร้อมท่ีจะ
เดินทางสัมผัสเรียนรู้ยอมรับสงิ่ ที่เกดิ ขึ้นในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ต้ังสตใิ ช้ปัญญาศึกษาวิธีการสร้างกาลังใจ
ให้ตนเองและหม่ันทบทวนอดตี เพอื่ ปรับปรงุ เปลย่ี นแปลงแกไ้ ขในสง่ิ ท่ผี ดิ พลาด เพ่ือพฒั นาระดับสติปัญญา
ให้สูงข้ึน ซึ่งนาไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองพร้อมกับวิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมท่ี
ขับเคล่อื นดาเนินไปในอนาคต ซงึ่ โอวาทแห่งพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทรงตรัส
วา่ ทนโฺ ต เสฏโฺ ฐ มนุสฺเสสุ ในบรรดามนษุ ย์ คนท่ีไดร้ ับการฝึกฝนขัดเกลาและพัฒนา กาย วาจา ใจ แล้วน่ัน
เชอื่ ไดว้ ่าเปน็ มนุษย์ท่ีประเสรฐิ ท่ีสดุ ฉะนนั้ แล้ว การท่ีมนุษย์ทุกคนมีโอกาสได้เกิดมาในพบชาติหนึ่งๆ น้ัน
จึงควรแกก่ ารเตอื นสติ และบอกตัวเองเสมอว่า การเป็นมนษุ ย์ตอ้ งรจู้ ักตระหนักถึงกฎแหง่ สงั สารวัฏ แล้วพงึ
สงั วรสานึกถงึ การสร้างคุณงามความดี ทกุ ลมหายใจเขา้ ออกในปจั จบุ นั ให้เป็นนิสยั คงเปน็ เรือ่ งทนี่ ่าเสยี ดาย
2001 211 3 Folk Music Skills 3 23 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
และเสียใจยิ่งนัก ถ้าหากมนุษย์ทุกคน ที่มีโอกาสได้เกิดมาเยียบบนพื้นโลกแล้ว มิได้นาเอาส่ิงดีงาม หรือ
ความร้ทู ี่อุตส่าห์ทุ่มเท มุ่งมานะ อุตสาหะวริ ยิ ะพากเพยี รเรยี นรู้มาท้งั ชีวิต สร้างคณุ งามความดีประดับไว้ให้
จักรวาลนี้ ไดช้ นื่ ชมเลย แม้เพยี งน้อยนิด
มนษุ ย์ อยูก่ ับสิง่ ทลี่ ะเอยี ดอ่อนและละเอยี ดมากทสี่ ุดจนมองไมเ่ ห็น ซึ่งเมื่อมองไมเ่ ห็นส่วนใหญ่ก็จะ
ไมค่ อ่ ยใสใ่ จในสงิ่ ทมี่ องเห็นเทา่ ไหร่นัก เพราะคดิ วา่ คงไม่มีผลกับการดารงชวี ิต จรงิ ๆแลว้ ส่ิงที่เรามองไม่เห็น
น้ีแหละมีอิทธิพลและอยูก่ บั เราตลอดเวลา ทง้ั ยามสุข ยามทกุ ข์ เราควรดูแล เอาใจใส่หมน่ั เช็คอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่าสิ่งท่อี ยู่กบั เราตลอดเวลา คือ จติ นนั้ เอง จิต ใช้สายตามองไม่เห็น ต้องใช้จิตดูจิตสัมผัสจิต จึงจะ
มองเห็นจิตของตัวเอง จดุ กาเนดิ ทุกอยา่ งบนโลกใบนีล้ ้วนเกดิ จาก จติ สงั เกตได้วา่ ถา้ พจิ ารณาเวลาร่างกาย
ไม่แขง็ แรงเปน็ ไข่หรือไม่สายบายถ้าหากเรามีจติ ใจทเี่ ข้มแข็งเราก็สามารถดารงตนไดอ้ ย่างปกติสุขไม่อ่อนลา้
เหนือ่ ยแรงมากจนไมส่ ามารถทางานอยา่ งอนื่ ได้ แต่ถ้าเรามีเรื่องเข้ามากระทบจิตใจหลายๆเรื่องพร้อมกับ
อาการป่วยเปน็ ไข่หรืออาการไม่สบายอยา่ งอน่ื ร่างกายก็จะออ่ นล้าเหน่ือยแรงไม่มีแรงแม้กระท้ังจับไม้กวด
ทาความสะอาจบา้ นเรอื นตัวเอง ดทู ุกอย่างแย้ไปหมด ฉะนั้นแล้ว จิต หรือจิตวิญญาณของมวลมนุษย์ทุก
ชาติพันธ์ุนเ้ี องเปน็ สงิ่ ทกี่ าหนดใหม้ นษุ ยส์ ร้างส่งิ ต่างๆขึ้นมาเพ่อื ตอบสนอง จิต จนเกิดกระบวนการพลวัตใน
วิถกี ารดารงชีวิต เกดิ การกาหนดขอบเขตระเบียบแบบแผนการอยู่ร่วมกันในสังคม ปรากฏออกมาเห็นใน
รปู แบบ ขนบธรรมเนยี ม จารีต ประเพณี พธิ ีกรรม ความเชอ่ื เช่อื ชาติ ศาสนา ตลอดจน ภาษาพูด ภาษา
เขียน งานศิลปะ ดนตรี หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นส่ิงที่สะท้อนให้เห็นภาพรวมอันโดดเด่นในแต่ละเผ่าพันธ์ุ และ
ทัง้ หมดท่ีกลา่ วมาเบื้องต้นนี้ คือ ผลรวมของจดุ กาเนิดพฤติกรรม มนษุ ย์ ผู้สร้างกิจกรรมต่างๆ ในสังคม ซึ่ง
ผู้เขยี นจะได้กล่าวลงรายละเอียดใหท้ ราบถงึ ความสาคญั ดงั ต่อไปน้ี
ความสาํ คญั ของวัฒนธรรมดนตรี
วฒั นธรรม ( Culture )
คาวา่ วฒั นธรรม เป็นคาทบ่ี ญั ญัติขน้ึ และเริม่ ใช้อยา่ เป็นทางการในประเทศไทย กล่าวโดยอนุมาน
คอื วันท่ี 11 กรกฎาคม พ.ศ.2481 ซ่ึงเปน็ วนั จัดตัง้ กองวัฒนธรรม สังกดั กรมศลิ ปากรต่อมาในปีพุทธศักราช
2483 มีพระราชบญั ญตั บิ ารงุ วัฒนธรรมแหง่ ชาติกาหนดความหมายของวัฒนธรรมว่า หมายถึง ลักษณะที่
แสดงความเจรญิ งอกงาม ความเป็นระเบยี บอันดงี าม ความกลมเกลยี วกา้ วหนา้ ของชาติ และศีลธรรมอันดี
ของประชาชน ซึง่ วฒั นธรรมไทยแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท คือ
1. วตั ถุธรรม เป็นสงิ่ เดียวกบั วัฒนธรรมทางวัตถุ
2. เนตธิ รรม เปน็ วฒั นธรรมที่เก่ียวข้องกับกฎระเบยี บตามกฎหมายบา้ นเมอื งและสงั คม
3. คติธรรม เป็นวฒั นธรรมทางจติ ใจ และมีเรอื่ งศลี ธรรม เรื่องข้อห้ามทางศาสนาเขา้ มาเกี่ยวข้อง
เป็นวัฒนธรรมท่ีใช้เปน็ แนวทางในการดาเนนิ ชีวิต
4. สหธรรม เป็นวฒั นธรรมทเี่ ปน็ มารยาททางสังคม เปน็ การปฏิบตั ติ นตามทีส่ งั คมต้องการ เพอ่ื
การอยรู่ ่วมกันอย่างสงบสขุ ในสงั คม เช่น มารยาทในการรบั ประทานอาหาร มารยาทในการ
แตง่ กาย เปน็ ต้น (กระทรวงวัฒนธรรมแหง่ ชาติ,2483 )
2001 211 3 Folk Music Skills 3 33 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
คาว่า วัฒนธรรม ในความหมายทแี่ ปลตามรปู ศัพท์ หมายถึง สภาพอันเปน็ ความเจรญิ งอกงาม
หรือเรอ่ื งอนั เปน็ สิ่งดงี ามความหมายทางวชิ าการสังคมศาสตร์ หมายความรวมถึงทุกสง่ิ ทกุ อย่างทมี่ นุษยค์ ดิ
ประดิษฐข์ นึ้ มา เพอื่ ช่วยในการดารงชีวติ อยูใ่ นโลก รวมทง้ั กฎบังคับความประพฤตติ ่าง ๆ ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณี คา่ นิยม เปน็ ตน้ ซงึ่ ความสาคญั ของวัฒนธรรม ทมี่ ตี อ่ การดารงชีวิตของมนษุ ย์ คอื
1. ความต้องการทางร่างกาย ได้แก่ ความตอ้ งการทางด้านปัจจยั 4
2.ความต้องการทางจิตใจ ไดแ้ ก่ ความรัก ความอบอุน่ ความม่ันคงทางจิตใจ
3. ความต้องการทางสังคม ได้แก่ การทจ่ี ะอยรู่ ่วมกบั คนอนื่ เปน็ กลมุ่ เป็นสงั คม
กล่าวโดนสรุป คาวา่ วัฒนธรรม หมายถึง วิถชี ีวติ หรอื แบบแผนของพฤตกิ รรมในสังคม ซ่ึงสมาชิก
ในสงั คมนั้นได้ปฏบิ ตั ิ ถา่ ยทอดสืบกันมาตามแนวความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องเก่ียวกับความเช่ือ ความรู้สึก
และสิ่งประดิษฐ์ เพื่อความเจริญงอกงามหรืออาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรม คือ สิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลง
ปรับปรุง หรือผลติ ขน้ึ เพอ่ื ความเจรญิ งอกงามในวิถีชวี ติ ของมนุษย์ในส่วนรวม ที่ถ่ายทอดกันได้ เลียนแบบ
กันได้ เอาอย่างกันได้ วัฒนธรรมมใิ ช่สง่ิ ที่ดงี ามสาหรับคนท่วั ไป และต้องเป็นสิ่งท่คี นในสงั คมน้ันๆ ถอื ว่าเป็น
ส่ิงทด่ี ีงามตามลกั ษณะท่สี าคญั ของวฒั นธรรม ดงั นี้
1. เป็นวิถที างในการดาเนนิ ชวี ติ ของมนุษย์
2. เป็นสงิ่ ท่ไี ด้มาจากการเรยี นรู้
3. เปน็ สงิ่ ที่เปลี่ยนแปลงได้
4. เปน็ สงิ่ ท่ดี งี ามของสังคมนน้ั ๆ
5. เปน็ มรดกของสังคม
ความสาคญั ของ วฒั นธรรม คือ วัฒนธรรม เป็นตวั กาหนดรปู แบบของสถาบนั ซ่งึ มลี กั ษณะ
แตกตา่ งกนั ในแต่ละสังคมเปน็ ส่งิ ทีก่ าหนดพฤตกิ รรมของมนษุ ยเ์ ปน็ เครอ่ื งควบคุมใหส้ งั คมเป็นระเบยี บได้
เปน็ ส่ิงทท่ี าให้มนุษยแ์ ตกตา่ งจากสตั ว์อื่นๆโดยสนิ้ เชิง
ดนตรี ( Music )
คาวา่ ดนตรี อธบิ ายตามรูปศัพท์มูลวิทยา มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต คือ तन्त्री ( ตนฺตฺรี )
ภาษาบาลี ดุริยะ หรือ มโหรี ภาษาเขมร คือ តន្ត្ីរ (ตนตฺ รฺ ี) และ ภาษาลาว คอื ດົ ນຕີ (ดนตี ) ภาษาอังหฤษ
คือ Music ซ่ึงแปลว่า ดนตรี และมีอยู่ประจาอยู่ทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ดังที่ Patricia Shehan Campbell,
Sue Williamson, และ Pierre Perron ( 1996 ) ซ่ึงมีความคิดเห็นร่วมกันว่า ถึงแม้ดนตรีจะไม่ใช้
ภาษาสากลของโลกและดนตรขี องแตล่ ะชุมชนจะมีความแตกตา่ งกนั มนษุ ยท์ ่วั โลกมีเพลงดนตรเี พือ่ ใช้เฉลมิ
ฉลอง แสดงความคลา่ คราญ แสดงออกถงึ ความรัก ความสนกุ สนาน ความเสียใจ และการสญู เสียที่ย่ิงใหญ่
อาจจะเล่นหรอื ร้องคนเดียว หรือหลายคนพร้อมๆกันเพ่อื ใหเ้ กิดสมาธิ สนั ติภาพ หรอื เปน็ การระบายออกซ่ึง
อารมณแ์ ละความรู้สกึ ดนตรเี ปน็ สื่อที่ช่วยให้เกิดความรู้สึก ถึงแม้ปัจจุบันมนุษย์จะมีเทคโนโลยีต่างๆเป็น
เปน็ ส่อื ทางดนตรีให้ได้ยินได้ฟัง หรือจะได้ฟงั จากการบรรเลงของนักดนตรแี ละนกั รอ้ งต่างๆ แตไ่ มว่ ่าจะเป็น
2001 211 3 Folk Music Skills 3 43 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
เดก็ หรอื ผใู้ หญก่ ย็ งั คงต้องการแสดงออกทางดนตรีหรอื ทางการร้องเพลงด้วยตนเองเพื่อตอบสนองอารมณ์
และความรู้สกึ ของตนเอง ดงั นนั้ อาจกล่าวไดว้ ่า ดนตรีกบั เพลงร้อง เป็นของคกู่ ับมนุษย์ทกุ ชนชาติ
ดนตรแี ตล่ ะกล่มุ ชนแต่ละสงั คมจะมีความแตกตา่ งกัน ตามสภาพสิ่งแวดล้อม ความคิด และความ
เชื่อของสังคมนั้นๆ เพราะดนตรีเป็นพฤติกรรมประเภทหน่ึงทม่ี ีรปู แบบแตกต่างหลากหลายออกไปในแต่ละ
สังคมวฒั นธรรม ( ยศ สนั ตสมบัติ.2537:254-255 ) ทงั้ ในด้านของเคร่ืองดนตรี ท่วงทานอง ลีลาในการ
ร้อง และเนื้อหาของเพลง อลัน โลแมกช์ ได้ทาการศึกษาเปรียบเทียบเพลงพื้นบ้านกว่า 3500 เพลง
จากสงั คมวฒั นธรรมต่างๆทัว่ โลกและพบวา่ มีความสมั พนั ธ์อยา่ งใกลช้ ดิ ระหว่างแบบแผนทางวัฒนธรรมกับ
รปู แบบและสไตลข์ องเพลงพืน้ บ้านจะขนึ้ อย่กู ับปัจจัยหลัก 6 ประการ คือ (1) ระดับของการผลิตอาหาร
(2 ) พฒั นาการทางการเมือง (3) ลักษณะการจาแนกชนช้ัน (4) ความเข็มงวดในด้านพฤติกรรมทางเพศ
(5)การแบ่งงานตามเพศ (6) ระดับของการรวมตัวทางสังคม และ บารบ์ ารา เอรสี ไดต้ ั้งสมมุตฐิ านวา่ มนษุ ย์
คิดค้นจังหวะและท่วงทานองของดนตรีจากเสียงเต้นของหัวใจซึ่งเด็กทุกคนได้ยินตั้งแต่ในครรภ์มารดา
นอกจากนัน้ พัฒนาการทางดนตรียังอาจได้รับอิทธิพลจากความสัมพันระหว่างแม่กับเด็ก เข่นการอุ้มลูก
การตบกน้ ลูกเบาๆ เพ่อื ไล่ลมและการไกวแปลเหก่ ล่อมลูกนอน ฉะนั้นดนตรมี คี วามสมั พันธ์และเก่ยี วขอ้ งกบั
วิถีชวี ิตตลอดจนความเป็นอยขู่ องมนษุ ย์มาแตโ่ บราณ (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช. 2522 : 1-3)
กลา่ วโดยสรปุ ดนตรี หมายถงึ เครื่องกาเนดิ เส้นทางแห่งสวนศาสตร์ มนต์เสน่ห์สีสันแห่งเสียงที่
เคยี งคกู่ บั มวลมนษุ ย์ทุกชาติพนั ธุ์ ส่ือสารสัมพันธ์ด้วยจิตวิญญาณและแสดงออกทางพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
กับการขับร้องและการสร้างสรรค์ จังหวะ ทานอง เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมความเช่ือ และความ
บันเทิงในแต่ละสังคมวัฒนธรรม ฉะน้ัน เครื่องดนตรีจึงเป็นประดิษฐกรรมท่ีมวลมนุษย์สร้างข้ึนโดยผ่าน
กระบวนการคดิ ค้นกลน่ั กรองทดลองและนาไปใช้ได้จริงในแต่ละกลุ่มชน เพื่อเป็นเครื่องยืดเหน่ียวสภาวะ
ทางจติ และสื่อสารกับอานาจสง่ิ ศักดส์ิ ทิ ธิ์เหนอื ธรรมชาติ ในการรอ้ งขอวิงวอนให้มีชีวติ อย่รู อดปลอดภยั จาก
อนั ตารายท้ามกลางสภาพแวดล้อมทีไ่ ม่อาจจะคาดคะเนส่งิ เลวรา้ ยที่เกดิ ขน้ึ ได้
วัฒนธรรมดนตรี ( music culture ) หมายถึง กระบวนการพลวัตความเจริญท่ีวิวัฒน์พัฒนา
เกี่ยวกับดนตรี ในแตล่ ะหว้ งเวลา แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความดงี ามตามแบบฉบับของแตล่ ะกลุ่มชาตพิ ันธุ์ อาจจะมี
ความเหมือนหรือแตกต่าง คล้ายกันในบางอย่างหรือแม้กระท้ังสามารถกระทาร่วมวัฒนธรรมในระหว่าง
สงั คมหนึ่งๆก็ได้ ทั้งนี้ก็ต้องมีการปรับเปล่ียนโดยการผ่อนปนกระบวนการทางความเชื่อ ขนบธรรมเนียม
และประเพณี พธิ กี รรม ซงึ่ อย่ภู ายใต้ ทัศนคตชิ น ค่านยิ มของสงั คมน้นั ๆ และบคุ คลท่ีมีความสามารถในการ
ขับร้องหรอื ใช้เคร่ืองดนตรีไดอ้ ยา่ งชานาญ สว่ นมากจะเปน็ ผู้ท่ีได้รับการยกย่องยอมรับจากสังคมน้ันๆ เช่น
หวั หนา้ เผ่า พ่อมด หมอผี เจ้าพิธีกรรม หรือผู้นาทางสังคมที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถท้ังบุ๋นและบู้
อุปมาเฉกเช่น มหาวีรบรุ ุษ วรี สตรี ผู้มากดว้ ยศาสตร์และศลิ ปะวิทยาการ สามารถดารงตนเพ่ือปกป้องดูแล
ให้คาปรึกษา เม่อื เกิดอทุ กภัย วาตภัยหรือภัยจากสงคามตลอดจนเหตุความขัดแย้ง ซ่ึงผู้กล้าหาญก็ย่อมมี
กระบวรทศั นใ์ นการจดั การสมาชิกในสงั คมให้อยู่ร่วมกันได้ด้วยความผาสุขร่มเย็น และเป็นต้นแบบในการ
สรา้ งแนวปฏิบตั ิบรรทัดฐานท่ีประกอบด้วยคุณงามความดี ดารงไว้ซึ่งเช่ือชาติและเผ่าพันธุ์แสดงจุดยืนให้
2001 211 3 Folk Music Skills 3 53 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ปรากฏเดน่ ชัดบนผืนแผ่นดินจากรุ่นสรู่ ุ่นอย่างองอาจ ในทางกลับกันถ้าหากสังคมไดมีเจตคติท่ีไม่ดีต่อการ
ปลูกฝังทศั นคตแิ ละจิตสานึกท่ีไร้ซ่ึง คุณธรรม จริยะธรรม ศิลธรรม และความเสมอภาค สมาชิกในสังคม
นั้นๆก็จะเกิดความแตกแยก เสื่อมสลาย ไม่มีจุดยืนในวิถีวัฒนธรรมของตนเอง ในที่สุดก็สูญเสียซึ่ง
ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ เช่ือชาติ ศาสนาและเผ่าพันธ์ุ ฉะนั้นการรักษาสืบทอด
เผ่าพันธุ์ของมวลมนุษย์จึงต้องคานึงถึงกระบวนการต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมด้ังเดิม (
traditional culture ) ตระหนกั ถงึ ความสาคญั ทไ่ี ม่อาจจะละเลยในการกลั่นกรอง เพื่อส่งต่อไปยังสมาชิก
ในสงั คมรุ่นต่อไปในอนาคต ได้ศึกษาเรียนรู้ธารงไว้ซึ่งรากฐานความม่ันคง และนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
พร้อมกับการพัฒนาคณุ ภาพชีวิตที่สอดคล้องกบั ห้วงเวลาที่ดาเนินไปในอนาคตอย่างไม่หยดุ นิ่ง
จากเหตุปัจจัยความหมายและความสาคญั ของวฒั นธรรมดนตรีที่นาเสนอมาข้างต้น จึงกล่าวได้โดย
ดุษฎีว่า ดนตรี เป็นเครื่องมือของนักปราชญ์ ( กีรติวจน์ ธนภัทรธุวานันท์, 2563 : สัมภาษณ์ ) ในโลก
ตะวนั ออก ขงเบง้ นกั ปราชญ์ชาวจีนต้องบรรเลงกู่ฉิน ตีขิม ดีดพิณจีน เพราะสืบเนื่องมาจากแนวคิดและ
ความเช่ือของ นกั ปราชญ์ ขงจอ๊ื ( Kong Zi ) ท่ีจะตอ้ งเรยี น 6 วิชาด้วยกันคือ การประพันธ์ พิธีกรรม ดีด
ลกู คิด ขบั รถออกศกึ ยงิ ธนู และดนตรี สว่ นนักปราชญ์ชาวกรีก คือ อะพอลโล (Belvedere Apollo ) เป็น
เทพปกรณัมกรกี แหง่ ดนตรี กวี ศิลปะ ผพู้ ยากรณ์ การยิงธนู โรคระบาด แพทยศาสตร์ ดวงอาทติ ย์ แสง ซึ่ง
เปน็ รากฐานของการศกึ ษาทางตะวนั ตก ฉะนนั้ นักปราชญ์จะตอ้ งเรียนรู้ในด้านต่างๆ ถึง 7 วิชาด้วยกันคือ
ดาราศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ปรัชญา คณิตศาสตร์ พลศึกษา เรขาคณิต และดนตรี ( สกุ รี เจริญสขุ ,2549 ) ใน
ผลงานคีตกวีทางสวนศาสตร์สีสันแห่งเสียงอันเกิดจากเคร่ืองดนตรีที่เต็มเปร่ียมเนื่องแน่นด้วยพลังแห่ง
ศรัทธาตอ่ เช่อื ชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ความเช่ือ ที่นกั ปราชญ์ทางดนตรถี ่ายทอดออกมาจาก
อารมณผ์ สานสมั พันธก์ บั หว้ งทลี่ ึกที่สุดของอานาจจิตวิญญาณที่บริสุทธ์ิและไร้ซ่ึงอคติชน ย่อมแสดงผลให้
เห็นถึงความงดงามทางสุรียะศาสตร์ แบ่งบานตามหลักของพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยการแบ่งปัน
เอื้อเฟ้อื เผ่ือแผ่ มคี วามเมตรตากรุณา รแู้ ละเข้าใจในการสรา้ งความสมคั รสมานสามคั คี รักใครป่ องดอง สาร
สมั พนั ธไ์ มตรอี ันเหนยี วแนน่ สะทอ้ นให้เห็นถงึ ความองอาจห้าวหาญและน่าเกรงขาม เป็นศิลปะวิทยาการ
ทางดนตรีที่ลงตัว สาหรับบทเพลงหรือรูปลักษณ์เคร่ืองดนตรีของกลุ่มชนต่างๆท่ีผู้เขียนจะได้กล่าวถึง
ตอ่ ไปนี้ เป็นผลงานทางวัฒนธรรมรว่ มของบรรพชนคนอุษาอาคเนย์ ท่ีไดส้ ร้างสรรคก์ ลน่ั กรองขึ้นมาจากจิต
วิญญาณผา่ นกระบวนการใชไ้ ดจ้ ริงในสังคม ซึง่ เปน็ เครอื่ งดนตรีประเภทเปา่ ทแ่ี ฝงดว้ ยคติคา่ นิยมความเช่ือ
ประเพณีพิธีกรรม ท่ีเคียงคู่กับกลุ่มชนในผื่นแผ่นดินแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยพืชพันธุ์
ธญั ญาหารและศิลปวฒั นธรรมอันโดนเดน่ งดงามตามแบบฉบับท้องถ่ิน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ
ประเทศไทยซง่ึ เครือ่ งดนตรีท่จี ะได้กล่าวต่อไปน้ี คอื แคน
ความเป็นมาของแคน ( background of Khaen )
แคน เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรมดนตรีร่วมในอุษาอาคเนย์ท่ีมีพัฒนาการมาจากกลุ่มชาติ
พันธุ์ที่มีภาษาพูดอยู่ใน ตระกูลภาษาขร้า-ไท (อังกฤษ: Kra–Dai languages) หรือรู้จักกันในนาม ขร้าไท
(Kradai), ไต-กะได (Tai–Kadai) หรือ กะได (Kadai) เป็นตระกูลภาษาท่ีมีเสียงวรรณยุกต์ที่พบในเอเชีย
2001 211 3 Folk Music Skills 3 63 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
ตะวันออกเฉียงใต้และตอนใต้ของประเทศจีน ในช่วงแรก ตระกูลภาษาขร้า-ไท เคยถูกกาหนดให้อยู่ใน
ตระกลู ภาษาจีน-ทิเบต แตป่ ัจจุบันได้แยกมาเปน็ อกี ตระกลู ภาษาหน่งึ และยังมผี ู้เห็นว่าตระกลู ภาษาขรา้ -ไท
นีม้ คี วามสมั พนั ธ์กับตระกูลภาษาออสโตรนเี ซียน โดยอยใู่ นกล่มุ ภาษาที่เรียกว่า "ออสโตร-ไท" หรือจัดเป็น
ตระกูลภาษาใหญอ่ อสตรกิ รอเจอร์ เบลนช์ (Roger Blench,2006: 1-15 ) ไดก้ ลา่ วว่า ข้อจากัดของความ
เช่อื มตอ่ ตระกลู ภาษาออสโตร-ไท มีความสาคัญมาก เพราะความสัมพันธ์ทั้งสองตระกูลอาจไม่ใช่ภาษาที่
เปน็ พี่น้องกัน กลุ่มภาษากะไดอาจเป็นสาขาของภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนที่อพยพจากฟิลิปปินส์ไปสู่
เกาะไหหลา แลว้ แพร่สู่จนี แผน่ ดินใหญ่ ในขณะทส่ี าขาไดของภาษากลุ่มกะไดมีการปรับโครงสร้างใหม่โดย
ไดร้ ับอิทธิพลจากกลุ่มภาษาม้ง-เม่ียนและภาษาจีน ซึ่งตรงกับแนวความคิดของ โลร็อง ซาการ์ (Laurent
Sagart,1999 : 13 ) ไดเ้ สนอว่า ภาษาขรา้ -ไท ด้ังเดมิ ได้เกดิ ขนึ้ ในยุคตน้ ของตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ที่
อาจจะอพยพกลับจากทางตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของไตห้ วนั ไปยงั ชายฝัง่ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ของจีน หรอื จากจนี
ไปไต้หวันและเกิดการพฒั นาของภาษาตระกูลออสโตรนเี ซยี นบนเกาะน้ี ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งภาษาตระกูล
ออสโตรนเี ซยี นกับขร้า-ไทอาจจะอธิบายได้จากคาศัพท์ทใี่ กล้เคียงกนั คายมื ในยคุ ก่อนประวัติศาสตรแ์ ละอนื่
ๆ ทีย่ ังไม่รู้ นอกจากนน้ั ภาษาตระกูลออสโตรนเี ซียนอาจจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ซ่ึงมี
จุดเร่มิ ตน้ ในบริเวณชายฝ่งั ของจนี ภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกความหลากหลายของตระกูลภาษาขร้า-ไท
ในทางตอนใตข้ องประเทศจีนบ่งบอกถึงมีความสัมพันธ์กับถิ่นกาเนิดของภาษา ผู้พูดภาษาสาขาไทอพยพ
จากตอนใต้ของจนี ลงทางใต้เข้าสูเ่ อเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ตค่ รงั้ โบราณ เข้าสู่ดินแดนท่ีเปน็ ประเทศไทยและ
ลาวบรเิ วณนเี้ ป็นบริเวณทีพ่ บผู้พดู ภาษาในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ซึงเม่ือดูและสังเกตตามแผนที่ก็
จะเขา้ ใจถึงพ้นื ที่กลมุ่ ชนท่ีใช้ภาษา ไต -กะได และแผนที่ทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงได้ประกอบกันให้เกิด
ความกระจดั จา่ ยในการเคลื่อนไหวของกลุ่มขนท่ใี ช้ภาษา ไต-กะได ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้
ภาพท่ี 1 : แผนท่ีกลมุ่ ชนที่ใชภ้ าษา ไต - กะได
ทม่ี าเวป็ ไซด์ :https://sites.google.com/site/xecheiytawanxxkcheiyng สบื คน้ เมือ่ เมษายน2563
2001 211 3 Folk Music Skills 3 73 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
ภาพท่ี 2 : แผนทท่ี วปี เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงได้
ท่มี า เว็ปไซด์ : https://sites.google.com/site/xecheiytawanxxkcheiyng สบื คน้ เม่อื เมษายน 2563
กวา่ ระยะเวลา 5000 ปี ที่บรรพชนตระกูลภาษาไต -กะได แห่งดินแดนภาคพื้นสวรรณภูมิสรรค์
สร้างศึกษาเรียนรู้ แคน ซ่ึงเป็นเครื่องดนตรี วัฒนธธรมไม้ไผ่ เพ่ือใช้ในพิธีกรรมส่ือสารวิงวอนร้องขอต่อ
อานาจเหนอื ธรรมชาติ คือผีบรรพชน โดยใช้ไม้ไผ่ขนาดต่างๆ ทาเคร่ืองมือ มีชื่อเรียกสมัยหลังว่า เกราะ ,
โกรง่ , กรับ แลว้ ยกยอ่ งเป็นเคร่ืองมือศักดิ์สิทธิ์ มี “ผี” สิงอยู่ในเคร่ืองมือไม้ไผ่ทาเกราะกับโกร่งน่ีเองเป็น
ต้นแบบของโปง ใช้แขวนตีบอกสัญญาณ แล้วพัฒนาเป็นกลองไม้ กระท่ังปัจจุบันคือกลองเพล ซึ่งมี
ววิ ัฒนาการในรปู แบบและประเภท ดดี สี ตี เปา่ เปน็ ตน้ เครือ่ งเป่าแรกสดุ คือใบไม้ เด็ดใบไม้ใบหนึ่ง คาบ
ใบไม้ดว้ ยรมิ ฝปี าก แล้วใชล้ มปากเปา่ ใบไม้ที่คาบไว้นั้นเป็นเสียงสงู ต่า ทานองตามต้องการ แขนงไม้ไผ่เล็กๆ
ทาให้กลวง หรือใชไ้ มต้ ระกลู ไมไ้ ผ่ เชน่ ไม้ซาง เอาด้านหนึ่งใส่ปากอมแลว้ เปา่ เรียก ปจ่ี ุ่ม เพราะจ่มุ เขา้ ปาก
เปา่ ยังมีในล้านนาและชาติพันธ์ุผู้ไทในเวียดนาม ถ้าเสียบกับลูกน้าเต้าแห้งแล้วเป่าได้เสียงเดียวเรียกช่ือ
ภายหลงั วา่ ป่ีนา้ เตา้ ใช้ไมไ้ ผ่, ไม้ออ้ , ไมซ้ าง เสียบเข้าไปในผลน้าเต้าแห้ง แล้วเป่าทางขั้วน้าเต้า เป็นเสียง
ไดเ้ สียงเดยี ว แต่เสียงเบา เลยเปน็ ต้นแบบให้มเี ครื่องเปา่ เสยี งดงั ในสมยั หลงั เรียก ปี่ ทาดว้ ยไม้เนือ้ แขง็ มลี ิ้น
เป่า มีพฒั นาการเป็น ปนี่ อก, ปี่ในต่อมาเอาไมไ้ ผ่, ไมอ้ อ้ หลายอันเสียบเรียงกัน เป่าได้หลายเสียง ( สุจิตต์
วงษ์เทศ, 2549 ) ซ่งึ เคร่ืองดนตรที ท่ี าจากไมไ้ ผ่ ดังท่ีกลา่ วมาเบื้องต้น มีปรากฎแพร่กระจ่ายในรูปลักษณะ
ตา่ งๆตามวัฒนธรรมความเชอ่ื ทสี่ อดคล้องสมั พนั ธก์ ับวถิ ีชวี ิตสังคมของชาวบา้ น เปน็ เคร่อื งหมายของ ความ
เจรญิ รุ่งเรอื ง ในอดีตมรี อ่ งรอยประวตั ิศาสตร์เกา่ แกห่ ลายพันปี บนหน้ากลองมโหระทึก (เส้นผ่าศูนย์กลาง
79.3 เซนติเมตร) มโหระทึก หง็อกหลู อายุมากกว่า 2,500 ปี มีจารึกปูมของชุมชน แต่ละวงรอบแสดง
ลายเสน้ วถิ ี ชวี ติ เชน่ การทานา มีกลุ่มคนตกี ลองและคนถอื แคนอยดู่ ้วย สาหรบั มโหระทกึ หงอื กหลู ( Ngoc
Lu bronze drum) เปน็ หนงึ่ ในกลองยุคสัมฤทธ์ิของวฒั นธรรมดองซอน (Dong Son Culture) ท่ขี ุดไดท้ าง
ตอนเหนอื ของเวียดนาม ซึ่งมอี ยปู่ ระมาณ 200 ใบ ( สกุ รี เจริญสขุ , 2561 ) ดังภาพท่ปี รากฏดงั นี้
2001 211 3 Folk Music Skills 3 83 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ลุ
ทักษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ภาพที่ 3 : ลายคนเป่าแคนบนกลองมโหระทกึ แสดงใหเ้ ห็นภาพแคนท่ีมหี ลายปลอ้ งกาเนดิ เสียง
ทีม่ า: http://oknation.nationtv.tv/blog/sunthornskulpone
สบื ค้นเม่ือ 1 เมษายน 2563
นอกจากทีก่ ลา่ วมาข้างต้นนยี้ ังมีนักคน้ คว้าชาวฝรัง่ เศสไดข้ ุดค้นทางโบราณคดีท่ีประเทศเวียดนาม
ต้ังแต่ปี พ.ศ.2467 ได้พบขวานสาริด (สาริด – สะกดแบบโบราณ) จาหลักรูปคนเป่าแคนน้าเต้า และ
อธิบายวา่ หมอแคน, หมอลา, หมอฟอ้ น ล้วนเป็นผ้หู ญงิ 2,500 ปมี าแล้ว รว่ มกนั ขับลาคาคลอ้ งจองทานอง
ง่ายๆ แลว้ เปา่ แคนคลอ พร้อมฟ้อนประกอบพิธีทาขวัญสู่โลกหลังความตาย (บน) ลายเส้นจาลองจากลาย
สลักบนขวานสาริด (ล่าง) ภาพสาเนาขวานสาริดมลี ายสลกั ขดุ พบในหลุมศพเมืองดงเซิน ริมแม่น้าซองมา
จ.ถั่นหัว เวียดนาม ทั้งลายเส้นและภาพสาเนาโดยได้รับความกรุณาหลายปีมาแล้วจากนักวิชาการกรม
ศิลปากร และนักศึกษาปริญญาเอก (ขณะน้ัน) มหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐ ช่วยตรวจสอบจากเอกสาร
ฝร่ังเศสจานวนหน่ึง เช่น Victor Goloubew : L’ Age Bronze au Tonkin et dans le Nord-Annam
ใน BEFEO : Tom XXIX 1929 – และ- Art Asiatique Numero Special:Les Nouvelles Recherches
Archeologiques au Vietnam par Nguyen Phuc Long. ( สุจติ ต์ วงษ์เทศ พ.ศ.2532 หน้า 113 ) ดัง
ภาพลายเส้นขวานสาฤทธ์ติ อ่ ไปนี้
ภาพที่ 4 ขวานสมั ฤทธ์ิ จาหลกั รปู คนเปา่ แคนนา้ เตา้
ทมี่ า: สจุ ิตต์ วงษ์เทศ, 2532
2001 211 3 Folk Music Skills 3 93 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ุล
ทักษะดนตรีพนื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีเครอ่ื งดนตรที ปี่ รากฎรูปลักษณ์ตระกูลเดียวกันกับแคน ท่ีนิยม
กันแพร่กระจายในประเทศต่างๆ แถบเอเชีย เช่น อินเดีย พม่า จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ลาว
ไทย กมั พูชา และหมชู่ วา แต่รูปทรงและระบบเสียงอาจแตกต่างกันไปบ้าง ( เจริญชัย ชนไพโรจน์,2526
:1-14) ซึ่งจะไดย้ กตัวอย่างรปู ภาพและเรือ่ งราวความเป็นมาพอสงั เขป ดงั น้ี
1. แคนจีน ในภาษาจนี เรียกวา่ เซนิ ( Sheng )
แคนจนี ในภาษาจีนเรยี กวา่ หลเู ซนิ เป็นเครอ่ื งดนตรขี องเผา่ เหมยี วจู๋ในจีน ซึง่ อาศยั อยใู่ น
มณฑลกวางสี เปน็ เครือ่ งดนตรที ม่ี ีชอ่ื เสียงมาตงั้ แตส่ มยั โบราณ ในสมัยโบราณทาด้วยหวายและถูก
พฒั นามาเปน็ ไม้ไผ่ มรี ูปรา่ งหลายอย่าง รูปรา่ งมาตรฐานทใี่ ชบ้ รรเลงในวงดนตรจี ีนปจั จบุ นั มลี ักษณะดงั
รปู มกั ถูกใชใ้ นการบรรเลงในเทศกาลต่างๆของเผา่ เหมยี วจู๋ เม่อื ก่อนมีตั้งแต่ 5 เสยี ง 10 เสียง ปจั จบุ นั
มี 16 เสยี งถงึ มากกว่า20 เสียง ตามแตข่ นาดใหญ่ เล็ก และสามารถแบ่งประเภทของหลเู ซนิ ได้ตาม
ลกั ษณะของเสียงทุ้มและเสยี งสูง ส่วนในภาพทเ่ี ห็นคือแคนเสยี งสงู 16 เสียง ซง่ึ เป็นมาตรฐานของแคน
ท่ีใชบ้ รรเลง ความโดดเด่นของเคร่ืองดนตรชี ้นิ น้ี คอื การผสานเสยี ง มเี สียงทสี่ ดใสกงั วานและสามารถ
บรรเลงเพลงเดย่ี วและบรรเลงในวงดนตรจี นี อื่นไดด้ ังภาพตอ่ ไปนี้
ภาพท่ี 5 : แคนจีน เซนิ ( Sheng )
ทีม่ า : https://sites.google.com/site/mrjisclassroom
สืบค้นเม่อื มนี าคม 2564
2. แคนชนเผ่าไท ในเอียนโจว์ ประเทศเวียดนาม
เรื่องราวของ แคนในเวยี ดนาม เป็นเร่อื งท่ีผูเ้ ขยี นได้มีโอกาสได้รบั ข่าวสารข้อมลู และรับฟงั
จากสถานีวิทยุเวียดนาม ส่วนกระจ่ายเสียงต่างประเทศแห่งชาติ ในเว็บไซต์ ของ สถานีวิทยุ
VOVworld ที่ได้เล่าถึงแคนเอียนโจว์ ซ่ึงเป็นเคร่ืองดนตรีท่ีใช้สื่อสัมพันธ์กับการดารงชีวิตสภาพ
จิตใจและวัฒนธรรมของชนเผา่ ไทในผืนดินเอียนโจว์ จังหวัดเซินลา ประเทศเวียดนาม มาแต่คร้ัง
อดตี นายหลื่อห่งเซือ ช่างศลิ ป์ทผ่ี ลิตและเปา่ แคนไดอ้ ย่างไพเราะท่ีหลงเหลือไม่กี่คนของหมู่บ้าน
ต่มุ ตาบลเชยี งคอย อาเภอเอียนโจว์เล่าว่า ในอดตี หนมุ่ ชนเผา่ ไทในหมบู่ ้านต่างๆของอาเภอเอียน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 10 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
ทักษะดนตรีพนื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
โจวจ์ ะเปา่ แคนส่ือความรักและมีคู่รักหลายคู่ได้แต่งงานกันเพราะเสียงแคน ในทุกวันน้ี แคนกับ
เคร่อื งดนตรอี ื่นๆของชนเผา่ ไทเช่น กลอง ฆอ้ ง พณิ ซึง ขลยุ่ และซอดว้ งไดร้ ับการใชอ้ ยา่ งแพร่หลาย
ในชีวิตและกิจกรรมวัฒนธรรมต่างๆของชุมชนและในงานเทศกาลต่างๆตลอดจนงานมหกรรม
ศลิ ปะชุมชนของอาเภอ ช่างศลิ ป์ หลือ่ ห่งเซือ เล่าต่อไปว่า “ แคนเปน็ เครื่องดนตรีที่ติดตัวชนเผ่า
ไทในเอียนโจว์มาตลอด พวกเขาชอบเปา่ แคนโดยเฉพาะในงานเทศกาลต่างๆเช่น เทศกาลตรุษเต็ต
งานขึ้นบา้ นใหม่ งานแต่งงานและการแสดงศิลปะตา่ งๆ ในโอกาสนี้ เรามกั จะเปา่ แคนประกอบให้
คนร้องเพลงเดี่ยว รอ้ งคู่หรอื ร้องโตต้ อบกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะในการรอ้ งเพลงทานองแสว่
ของชนเผา่ ไท ซึ่งเป็นมรดกอันล่าค่าของชนเผ่าไตในเวียดนาม และรปู ลักษณะแคนเอยี นโจว์ปราก
กฎดงั ภาพตอ่ ไปน้ี
ภาพที่ 6 นายหล่อื ห่งเซอื และนายหลอื่ วันแบง๊ ชา่ งผลิตและเปา่ แคนเอียนโจว์ ประเทศเวยี ดนาม
ทีม่ า : https://vovworld.vn/th- 343878.vov
สืบค้นเมอ่ื มกราคม 2564
3.แซงฮวังเกาหลี ( 생황 )
แซงฮวงั ( 생황 ) เดมิ ทเี ปน็ เครอ่ื งดนตรจี นี โบราณ มีปรากฏในเกาหลีอยา่ งชัดเจนใน
จดหมายเหตเุ รอ่ื งราวพงศาวดารของกษตั ริยเ์ ซจอง จนถึงรชั สมัยของกษัตริยย์ องโจซึง่ ได้สง่ นัก
2001 211 3 Folk Music Skills 3 11 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ดนตรีเกาหลีไปยงั ประเทศจีนเพือ่ ศกึ ษา เชงิ ซึ่งเปน็ เครอื่ งดนตรขี องประเทศจีน โดยเริ่มเรียนร้จู าก
วิธีการเลน่ เบือ้ งต้นแลว้ นามาปฏบิ ตั ิการบรรเลงในราชสานกั เกาหลี และเลน่ สืบทอดมาจนถงึ
ปัจจบุ ัน แซงฮ วงั เป็นเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเปา่ ลมเกาหลี สร้างข้ึนจากท่อไมไ้ ผ่ 17 ทอ่ น วาง
รวมกนั ในกระโลกโลหะหอื ไม้ ช่วงเสียงมีต้งั แต่ Hwangjong (黃: E ♭ ) ถึง Cheongnamryeo
(湳: C) ยกเวน้ Uigwan 16 หลอดสรา้ ง 4 คอร์ด 12 จงั หวะแตม่ ีช่วงกว้างกว่าเน่อื งจากใช้สาหรบั
hyanga ดังภาพตอ่ ไปน้ี
ภาพท่ี 7 แซงฮวงั เกาหลี ( 생황 )
ทีม่ า : https://translate.google.co.th/translate?hl=th&sl=ko&u
สบื ค้นเมอื่ 26 กุมภาพันธ์ 2564
3. ขลยุ่ นา้ํ เตา้ หรอื หหู ลซู ือ ( 葫芦丝 )
หูหลซู อื ( 葫芦丝 ) เปน็ เครอ่ื งดนตรขี องกลมุ่ ชนชาตสิ ว่ นน้อยทางตะวนั ตกเฉียงไตข้ อง
ประเทศจนี มหี ลกั ฐานในจดหมายเหตุจนี กลา่ ววา่ ขลุ่ยน้าเตา้ มปี รากฏกอ่ น ปี 221 ก่อนครสิ ต์กาล
มาถึงสมัยราชวงศ์ฉนิ เชน่ ชนชาติไต่ ชนชาตอิ าซาง ชนชาติหวา่ และยงั เปน็ ขลุย่ ประจาชาติของ
มณฑลยูนนาน ส่วนใหญ่จะนิยมใชเ้ ลน่ เพลงพ้นื บา้ น ซ่งึ มรี ูปลักษณะดังน้ี
ภาพที่ 8 หหู ลซู อื ( 葫芦丝 )มณฑลยนู นาน
ที่มา : https://writer.dek-d.com
สบื ค้นเมอ่ื มกราคม 2564
2001 211 3 Folk Music Skills 3 12 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ุล
ทักษะดนตรีพนื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
4. แคนลาว
แคนในประเทศลาว นนั้ เหมือนกนั กบั แคนท่ใี ชใ้ นภาคอีสานของประเทศไทย ซงึ่ มภี าพ
กจิ กรรม พิธีกรรม ราผฟี ้า เมื่อ พ.ศ. 2470 ท่ีเวียงจนั ในลาว ซ่ึงเปน็ การขบั ลาคาคล้องจองคลอ
แคนไล่ผจี ากคนป่วย โดยปรากฎดังภาพจาก ขุมทรพั ยอ์ นั ลา้ ค่าของลาวซึง่ เป็นเอกเอกสารทาง
รูปภาพ, Patrick Gay, บรรณาธิการ.พมิ พโ์ ดย A.C.R.S. / L.R.C.LAO, 1997.) อ้างอิงจาก (สจุ ติ ต์
วงษเ์ ทศ.2545:79-90 )
ภาพที่ 9 ลาผีฟ้ารกั ษาคนปว่ ยในเวียงจนั ทร์ และการเป่าแคนกบั ฟ้อนลาในราชสานกั จาปาสกั สปป.ลาว
ท่ีมา : หนงั สือพลังลาวชาวอสี าน สจุ ิตต์ วงษเ์ ทศ.2545:79-90
สบื ค้นเม่ือ ตลุ าคม 2563
แคนในประเทศไทย
ดังทไี่ ดก้ ลา่ วมาเบ้ืองต้น ประเทศไทยมีบรรพบุรษุ เคร่อื งญาติวฒั นธรรมร่วมในดินแดนสุวรรณภมู ซิ งึ่
มีความหลากหลายทางชีวภาพ ประวัติศาสตร์ ภาษาและวัฒนธรรมของประชาชนในชาติ ซ่ึงรวมถึงกลุ่ม
ชาตพิ ันธ์แุ ละชนเผ่าต่าง ๆ ทีม่ ีวิถีชวี ติ แตกต่างกันไป ฉะนัน้ ประเทศไทยจงึ ใหค้ วามสาคัญกับแนวคิด “ความ
มน่ั คงของมนษุ ย์” โดยยึดหลักพ้ืนฐานศักดิศ์ รีของความเป็นมนษุ ยแ์ ละได้ดาเนินงานดา้ นสิทธิมนษุ ยชน การ
จดั บริการให้เกิดความเสมอภาค เป็นธรรมแกป่ ระชาชน การลดความเหลอ่ื มล้าในสงั คม สาหรบั ความหมาย
ของความม่ันคงของมนุษย์ตามคาจัดกัดความของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) อธิบายว่า
หมายถึงการทีป่ ระชาชนสามารถแสดงออกในทางเลือกของตนอยา่ งปลอดภยั และเปน็ อิสระ ประชาชนควร
จะมศี ักยภาพและได้รับอานาจมากพอท่ีจะดูแลรับผิดชอบตัวเอง มีโอกาสท่ีจะแสวงหาความต้องการของ
ตนเอง ชนกลุ่มนอ้ ยทีม่ ีความเหนียวแน่นสานึกในชาติพนั ธ์ตุ นเอง ทาใหป้ ระเทศไทยมคี วามหลากหลายทาง
วฒั นธรรมความเชือ่ ประเพณพี ธิ กี รรมและวัฒนธรรมความบันเทงิ ทีแ่ สดงให้เห็นถงึ อัตลักษณ์อันโดนเด่น ใน
แต่ละกุ่มชาติพันธุ์ การละเล่นส่วนใหญม่ รี ากฐานและความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับพิธีกรรมความเช่ือ
สว่ นการละเลน่ นัน้ เปน็ ขน้ั ตอนหน่งึ ของพิธีกรรม ซงึ่ มักจะเร่ิมดว้ ยการเซน่ สรวง บชู า หรอื การทาบญุ การกิน
เลยี้ ง การละเลน่ รน่ื เรงิ ประเพณพี ธิ ีกรรมและการละเลน่ นีม้ ีความหมายตอ่ บุคคลและชุมชน โดยเกี่ยวข้อง
2001 211 3 Folk Music Skills 3 13 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐก์ ลุ
ทักษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
กับการทามาหากนิ ความอุดมสมบูรณแ์ ละความสงบสุขของสงั คม เปน็ เครือ่ งยึดเหนี่ยวจติ ใจ และสรา้ งความ
เป็นอันหน่ึงอันเดยี วกนั (ปรานี วงษเ์ ทศ 2525:225-234 ) ในด้านวัฒนธรรมดนตรีเครื่องเป่าประเภท แคน
และบทเพลงแคนอมตะสีสันแห่งเสียงสุนทรียะศาสตร์ อานาจแห่งความเช่ือ ขนบธรรมเนียม ประเพณี
พิธีกรรม สะท้อนให้เห็นความโดดเด่นทางวัฒนธรรมของชนชาวอีสานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ
ประเทศไทย ผเู้ ขียนพอจะลาดบั เหตกุ ารณ์ความเปน็ มาของแคนพอสงั เขป ดงั รายละเอียดตอ่ ไปน้ี
ในรัชสมัยแผ่นดินพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยู่หัว รัชกาลที่ 3 เมื่อเจา้ อนวุ งศ์เวียงจันทน์เป็น
กบฏ และไดท้ าการปราบปรามจนสามารถจับเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ได้ในปี พ.ศ. 2370 ก็ได้มีการกวาด
ต้อนครอบครัวชาวเวียงจันทน์และชาวเมืองอื่น ๆ ทางฝั่งขวาแม่น้าโขง เข้ามาอีกเป็นจานวนมาก ดัง
ขอ้ ความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 3 ความว่า "ครอบครัวเวียงจันทน์ครั้งน้ัน
โปรดเกลา้ ใหอ้ ยูเ่ มอื งลพบุรี เมอื งสระบรุ ี เมืองสพุ รรณบรุ ี บา้ ง เมืองนครชยั ศรีบ้าง เมอ่ื สน้ิ รัชกาลท่ี 3 แล้ว
พอมาถึงรชั กาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั อทิ ธพิ ลของการละเล่นหมอลา หมอแคนย่ิงทวี
ความเข้มขน้ มากยงิ่ ขึน้ กว่าเดิม ข้าราชบริพารของ พระมหากษัตริย์หลายท่านก็มีความนิยมในการละเล่น
และสนบั สนุนเป็นอย่างมาก แมแ้ ต่พระบาท สมเด็จพระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชอนชุ าในรชั กาลท่ี 4 กไ็ ด้
ทรงโปรดการแสดงหมอลาหมอแคน มาก จนถงึ กบั ทรงลาและเปา่ แคนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ดงั ปรากฏในพระราช
พงศาวดาร รัชกาลท่ี 4 หน้า 315 มีความตอนหน่ึงได้กล่าวถึงสมเด็จพระปิ่นเกล้าว่า "พระองค์ทรงโปรด
แคน ไปเทย่ี วทรงตามเมืองพนัสนิคมบ้าง ลาวบ้านลาประทวน เมือง นครชัยศรีบ้าง บ้านศรีทา แขวงเมือง
สระบุรบี ้าง พระองค์ฟ้อนและแอ่วได้ชานิชานาญ ถ้าไม่ได้เห็น พระองค์ก็สาคัญว่า ลาว เพ่ือให้ผู้อ่านได้
อรรถรสผเู้ ขยี นจงึ ขออนั เชญิ พระบรมฉายาลกั ษณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทรราเมศร มหิศเรศรรังสรร
มหันตตวรเดโช ไชยมโหฬารคณุ อดุลยพเิ สศ สรรพเทเวศรานรุ กั ษ์ บวรธรรมิกราช บวรนาถบพิตร พระปิ่น
เกลา้ เจ้าอย่หู ัว ขึน้ ปรากฏในเอกสารเล่มนี้
ภาพท่ี 10 พระบรมฉายาลกั ษณบ์ พระบาทสมเดจ็ พระปิน่ เกล้าเจา้ อย่หู วั และแคนใหญ่
ท่ีมา : https://www.silpa-mag.com/history/article_52130
สืบค้นเมอื่ กรกฎาคม 2564
2001 211 3 Folk Music Skills 3 14 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
รฐั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รชั กาลที่ 4 แหง่ กรงุ รตั นโกสินทร์ (พ.ศ. 2393 –
2453) การเลน่ แคนซ่ึงมชี ่ือเรียกในสมัยน้ันว่าการเลน่ “ลาวแคน” เปน็ ท่นี ิยมเล่นกันในประเทศไทยอย่าง
กวา้ งขวาง สาเหตุเปน็ เพราะพระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกล้าเจ้าอยูห่ วั (พระราชอนุชา)ทรงโปรดการเล่นแคน
และการละเล่นแอ่วลาวมาก จนถึงกบั ไดท้ รงพระราชนพิ นธบ์ ทแอ่วลาว (หมอลาเรื่อง) เรื่อง “นิทานนาย
คาสอน” ข้ึน ท่พี ระองคม์ คี วามสามารถเชน่ นั้น อาจเปน็ เพราะมเี จ้าจอมจากสระบุรี นครราชสีมาหลาย
คนและหลายร่นุ ทาใหว้ ังหนา้ ของพระองค์มีผ้คู นเปน็ ชาวลาวจากหัวเมืองลาวเป็นจานวนมาก เม่ือวังหน้า
ทรงโปรดการเล่นแอ่วลาวเช่นน้นั พลอยทาใหว้ ังอ่ืนนอยมเล่นตาม หลกั ฐานจากบนั ทึกประจาวนั จากเซอร์
จอร์น เบาริง (Sir John Bowring) นักภาษาศาสตร์และรัฐบุรุษชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งประนางวิคตอเรีย
(Queen Victoria) พระราชินีของประเทศองั กฤษ ส่งเขา้ มาทาสัญญาทางพระรชั ไมตรกี บั พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ระหว่าง ปี พ.ศ. 1792 – 1872 บันทึกเกี่ยวกับเรอ่ื งการเล่นลาวแคนไว้ เมื่อวันที่
20 เมษายน พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) ว่าที่วงั ของกรมหลวงวงษาธิราชสนิทซงึ่ เป็นเจา้ นายพระองคห์ นึ่งก็
นิยมเล่นลาวแคนเช่นกัน (อเนก นาวิกมูล 2527 : 16 – 19) ในช่วงนี้เป็นเวลาของแคนที่มีความ
เจรญิ รุ่งเรืองมากทั้งในรปู แบบการสรา้ งสรรคเ์ พลงแคนประเภทเด่ียวและประเภทรวมวงบรรเลง เช่น แคน
วง แคนประกอบการขับรอ้ งและนาไปบรรเลงรว่ มกับระนาดและเครื่องดนตรีอน่ื ๆในราชสานัก มกี ารละเลน่
ในรูปตา่ งๆตามวถิ ชี นชาวสยามและชาวลาวท่ีถูกกวาดตอ้ นมาจากเวียงจันทรต์ ลอดจนข้าราชการเจ้านายชน้ั
ผูใ้ หญก่ ไ็ ด้ให้ความสนใจละเล่นแคน แอ่นลาวเป่าแคนกันเตม็ กรุงสยามทกุ หัวเมือง ณ เวลานน้ั
การที่เจา้ นายช้นั ผใู้ หญ่ กระทั่งวา่ สมเดจ็ พระราชอนชุ าโปรดปรานการเล่นแคนมากเช่นน้ันทาให้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ทรงเป็นห่วงว่าแคนจะกลนื เอาศลิ ปะการดนตรอี ืน่ ๆ ของไทยไป
เสยี อีกหนอ่ ยจะไม่มีผเู้ ลน่ ละครฟ้อนรา ป่ีพาทย์มโหรี เสภา สักวา เพลงเก่ียวข้าว และอ่ืน ๆ เป็นแน่
อกี ประการหน่ึง ในสมัยนั้นไทยยังถือว่าดินแดนภาคอีสานถือว่าเป็นหัวเมืองประเทศราช เรียกว่า “หัว
เมืองลาว” โดยเรียกเปน็ มณฑลลาวต่าง ๆ เพิ่งยกเลิกการแบ่งภาคอีสานเป็นมณฑลในสมัยเปล่ียนแปลง
การปกครอง เมือ่ พ.ศ. 2475 นี้เอง (ศรศี กั ดิ์ วลั ลิโภดม 2534 : 271) จากข้อความที่กล่าวมาเบื้องต้น
แสดงใหเ้ หน็ ว่าแคน มอี ทิ ธพิ ลกับประชาชนชาวไทยจนเป็นท่ีหวั่นเกรงว่าแคนจะกลืนเอาวัฒนธรรมท่ีเป็น
ของชาวไทย เพราะ แคนสาหรบั ชาวไทยแล้วมองวา่ เป็นเครื่องดนตรี ชนชาติ ลาว
จากที่กลา่ วมา แคน จงึ ถูกมองว่าเป็นเครอื่ งดนตรขี องชาวตา่ งชาติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยหู่ วั ทรงเก็บความหว่ งใยในเร่ืองแคนน้ไี ว้จนกระทงั่ พระอนชุ าคอื สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
สวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2409 จึงทรงให้ออกห้ามมิให้เล่นลาวแคนหรือแอ่วแคน ดังข้อความในพระราช
กจิ จานุเบกษาต่อไปนีป้ ระกาศหา้ มมใิ ห้เลน่ แอว่ ลาว วนั ศุกร์ เดือน 12 แรม 14 ค่า ปีฉลู สัปตศก มี
พระบรมราชโองการดารสั แก่ราชการผู้ใหญผ่ ู้นอ้ ย และทวยราษฎร์ชาวสยาม ทุกหมเู่ หล่า ในกรุงและหัว
เมืองใหท้ ราบกระแสพระราชดาริดังภาพประกาศห้ามมิให้เล่นแอ่วลาวดังภาพต่อไปน้ี (ประชุมประกาศ
รัชกาลท่ี 4 พ.ศ. 2505 – 2441 หรอื 192) (อเนก นาวกิ มลู 2527 : 17 – 19)
2001 211 3 Folk Music Skills 3 15 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ภาพที่ 11 แอว่ ลาวท่ไี ดร้ บั ความนิยมสมัยต้นกรงุ รัตนโกสินทร์
ท่ีมา : ภาพจากกองจดหมายเหตุแหง่ ชาติ อา้ งองิ จาก อเนก นาวกิ มูล, 2527
2001 211 3 Folk Music Skills 3 16 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ในเวลาต่อมาเม่ือส้นิ ราชการที่ 4 ในบันทึกจดหมายเหตกุ ารณเ์ สดจ็ ประภาสมณฑลลาวกาว มีภาพ
หลกั ฐานปรากฏชัดเจนเมือ่ สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานภุ าพเสดจ็ ตรวจราชการเมืองยโสธร พ.ศ.2449 มี
การแสดงแคนวงใหญ่ โดยข้าราชการทหาร เม่ือคร้ังรบั เสดจ็ ฯ ( สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ.2549 : 45 ) ดงั ภาพต่อไปน้ี
ภาพท่ี 12 แคนวงโดนขา้ ราชทหาร
ทม่ี า : สจุ ิตต์ วงศ์เทศ 2549, หนา้ ที่ 45
จากภาพทีป่ รากฏแสดงให้เหน็ ถึงพฒั นาการของแคนหลายขนาด จนสามารถทจี่ ะบรรเลงรวมวงกัน
ได้ ซง่ึ ซื่อได้วา่ ในชว่ งนี้แคนได้วิวัฒนาการครบทงั้ 4 ประเภท คอื แคน หก แคนเจด็ แคนแปด แคนเก้า
และกล่าวไดว้ า่ เปน็ ยุคท่แี คนร่งุ เรื่องมากไดร้ ับความนยิ มอย่างมาก เชน่ จากเดิมแคน เป่าในพิธีกรรม และ
การรอ้ งหมอลา จนพฒั นาสามารถเลน่ รวมวงได้โดยใชเ้ พลงบรรเลงที่ไดร้ ับอทิ ธิพลจากเพลงไทย เพลง
สาเนยี งมอญ เพลงสาเนียงเขมร ซง่ึ เปน็ เพลงสัน้ ๆและงา่ ยแกก่ ารจดจาเล่นสบื ทอดจากรนุ่ สรู่ นุ่ จนถงึ ปจั จบุ ัน
นอกจากที่กล่าวในข้างต้นแล้วความเป็นมาของแคนน้ัน ยังมีภาพจิตรกรรมเป็นภาพคนเป่าแคน
และคนฟ้อนราฝ่ายละ 1 คน (น่าจะเปน็ การแสดงหมอลากลอน) วาดไวบ้ นคอสองของศาลการเปรยี ญวัดซีว์
ประเสรฐิ ในเมอื งเพชรบรุ ี บอกให้ทราบว่าในเขตจังหวัดเพชรบุรีมีชนกลุ่มไทย-ลาว ใช้แคนเป็นเครื่อง
มหรสพอยู่แลว้ ในชว่ งก่อนสมยั รัชกาลท่ี 7 แหง่ กรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2468-2477) เพราะวัดซีว์ประเสริฐ
น้ันเปน็ วดั โบราณ ส่วนศาลาการเปรยี ญท่ีมภี าพจติ รกรรมนั้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี 7 ( ล้อม เพ็งแก้ว
2533 ) การพบภาพการเปา่ แคนในเขตจังหวัดเพชรบุรีนั้นเป็นเร่ืองปกติเพราะคนเช้ือสายไทย-ลาว จาก
ประเทศลาวถูกกวาดต้อนเป็นเชลยเข้ามาอยู่ในเขตภาคกลางของประเทศไทยหลายครั้งหลายครา
ระยะแรกๆ คือในสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. 2322 สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ยก
กองทพั ไปตีล้านชา้ งกวาดตอ้ นลาวทรงดา (โซง่ ดา) และลาวอน่ื ๆ ลงมาเปน็ อันมาก และสง่ พวกลาวทรงดา
นนั้ ไปอยูเ่ พชรบรุ ี ต่อมาในสมัยรชั กาลท่ี 1 แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ เจา้ เมอื งเวียงจนั ทร์ (เวียงจันทร์) แต่ง
กองทพั ไปตีเมอื งแถนและเมอื งพวน ซ่งึ แขง็ ขอ้ กวาดต้อนพวกลาวทรงดาและลาวพวนสง่ ลงมายงั กรุงเทพฯ
2001 211 3 Folk Music Skills 3 17 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรีพนื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
และทางกรงุ เทพฯ ไดส้ ่งลาวทรงดาไปยงั เพชรบรุ ี เพิม่ เติมอีกครั้งถึงสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
(ราวปี พ.ศ. 2368) พระบาทสมเด็จพระพระนง่ั เกลา้ เจ้าอยูห่ วั ไดโ้ ปรดให้พระยาธรรมเปน็ แม่ทพั ยกขน้ึ ไป
ขบั ไล่กองทัพญวนออกจากประเทศลาว แลว้ กวาดต้อนเอาครอบครัวลาวเวียง ลาวโซ่ และลาวพวนเข้า
มาในภาคกลางของประเทศไทยอกี ชาวลาวพวกนีเ้ ป็นพลเมอื งอนั สาคัญของกรงุ รัตนโกสินทร์ส่วนหนง่ึ ดัง
จะเห็นไดว้ า่ ในสมยั รชั กาลที่ 5 เมือ่ จอมพลเจา้ พระยาสุรศักด์ิ มนตรียกทัพไปปราบฮ่อในดินแดนลาวนั้น
ก็ไดเ้ กณฑ์พวกลาวพวนและลาวทรงดา (ลาวโซ่) จากเมืองเพชรบุรีและเมืองราชบุรีไปเป็นทหารซ้าย (
ศรีศักร วัลลโิ ภดม 2534 : 273 – 276 ) ปจั จบุ ันนคี้ นไทยเชื้อสายลาวเหล่าน้ัน ยังคงอยู่กันเป็นปึกแผ่น
ในเขตจงั หวดั เพชรบุรี และจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง เฉพาะในเขตจังหวัดเพชรบุรีน้ันมีหนาแน่นในเขต 3 อาเภอ
คอื ลาวเวยี ง อยูอ่ าเภอทา่ ยาง ลาวพวนอยูอ่ าเภอเมือง และลาวโซง่ หรอื ลาวทรงดาอยู่อาเภอย้อย คน
เหลา่ น้ันยังรกั ษาขนบธรรมเนยี มประเพณเี ดมิ ของเผา่ พันธุข์ องตนเอาไว้อย่างเหนยี วแน่น โดยเฉพาะอย่าง
ย่งิ มกี ารเล่นแคนและลาอยูเ่ ชน่ เดิม (นายเท้มิ เลิศล้า ชาวอาเภอขาวยอ้ ย จังหวัดเพชรบุรี ให้สัมภาษณ์
อา้ งองิ มาจาก สาเรจ็ คาโมง, 2530 )
ภาพที่ 12 : จิตรกรรม คนเป่าแคน ท่ีผนงั ศาลาการเปรียญ วดั ซีวป์ ระเสรฐิ จังหวัดเพชรบรุ ี
ท่มี า : สาเร็จ คาโมง, 2530
ในส่วนของตานานเรื่องความเป็นมาของแคนนั้นได้มีปรากฏในวรรณกรรมอีสานหลายเร่ือง เช่น
เร่อื ง สินซัย เรื่องท้าวกากาดา ขูลูนางอ้ัว ผาแดงนางไอ่ เป็นต้น และมีตานาน หญิงหม้ายสร้างแคน ใน
หนังสอื ศิลปะการเป่าแคนทานองพนื้ บ้านอสี าน ของอาจารยก์ ติ ตวิ ฒั น์ สตั นาโค กลา่ วไวว้ า่ แคนเป็นเครื่อง
ดนตรที ี่เก่าแก่ มปี ระวตั คิ วามเป็นมาอนั ยาวนาน เรอื่ งราวของแคนทม่ี ีผู้เลา่ ประวัติตอ่ ๆกันมาหลายกระแส
ดว้ ยกนั แต่กระแสทม่ี ีผู้เล่าและน่าเชือ่ ถือมากท่สี ุด กค็ งเปน็ กระแสท่ีวา่ หญิงหมา้ ยสร้างข้นึ เพอื่ เลยี นเสียง
ของนกการะเวก ซง่ึ มคี วามขยายดังนี้ คร้ังน้นั มีนายพรานนายหน่ึง เข้าป่าเพ่ือล่าสัตว์ซ่ึงไกลออกไปจาก
เดมิ และคร้ังนนั้ กบ็ ังเอิญได้ยินเสยี งนกชนดิ หนึง่ รอ้ งไพเราะจบั ใจเป็นท่ีสุด ซง่ึ ทราบภายหลังว่า นกนั้นคือ
นกการะเวก คร้ันออกจากป่าจึงไดเ้ ลา่ ใหค้ นในหมูบ่ า้ นฟงั ด้วยความตนื่ เต้น หญิงหม้ายคนหน่ึงในหมู่บ้าน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 18 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
ไดร้ ับฟงั เรอื่ งราวทนี่ ายพรานเล่า ก็เกดิ กระหายใคร่จะฟังเสียงนกการะเวกร้องยิ่งนัก ในวันต่อมานางจึง
ขอร้องติดตามนายพรานไปด้วย เพ่ือที่จะได้ฟังนกนั้นร้องคร้ันเม่ือไปถึงท่ีซึ่งนกนั้นอยู่ ฝูงนกเหล่าน้ันก็
กาลงั ขับร้องประสานเสยี งกนั อย่างไพเราะเชน่ เคย พรานกเ็ ตือนสตหิ ญงิ หม้ายให้ฟงั วา่ นกการะเวกกาลัง
รอ้ งเพลงน่นั ฟังซิ ไพเราะน่าฟังจริงไหม หญิงหม้ายผู้นั้นก็ฟังด้วยความเพลิดเพลิน และติดอกติดใจใน
เสยี งอนั ไพเราะของนกน้ันยง่ิ นกั ถึงกบั คล่งั ไคลห้ ลงใหลวา่ ทาอย่างไรเราจงึ จะได้ยนิ เสยี งอันไพเราะจับใจ
อยา่ งนอี้ ยเู่ สมอ ครน้ั จะเฝ้าฟังอย่ใู นถ่นิ ของมนั ก็แสนลาบากขดั สนดว้ ยประการทัง้ ปวงนางจงึ เกิดความคิดว่า
ตอ้ งทาเคร่ืองให้เกิดเสียงท่ีไพเราะเสนาะหดู ุจดงั เสียงของนกการะเวกนี้ใหจ้ งได้
เมือ่ หญงิ หม้ายเดินทางกลบั บ้าน นางกค็ ิดประดิษฐเ์ ครอื่ งตา่ งๆขึ้นเพื่อให้เกิดเสียงเช่นนกการะเว
กร้อง ท้ังเคร่ืองดีด เครื่องสี เครื่องตี และเคร่ืองเป่าหลายอย่าง แต่ก็ยังไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดท่ี
สามารถให้เสยี งไดไ้ พเราะเหมือนเสียงนกการะเวก จนในทสี่ ดุ นางจงึ ไดไ้ ปตัดไมไ้ ผ่ชนิดหนงึ่ มาทาเปน็ เครอื่ ง
เป่า แล้วทดลองเปา่ ดกู ็รสู้ ึกวา่ ไพเราะ เหมอื นเสียงนกการะเวกร้องทีเดียว เมื่อนางได้แก้ไขและทดลอง
เป่าฟังเสียงดเู ปน็ ครง้ั สุดทา้ ย กร็ ู้สึกปลื้มอกปล้ืมใจ และดีใจสุดที่จะประมาณในความสาเร็จของตน จึง
ใคร่จะได้นาเครื่องดนตรีอันท่ีตนประดิษฐ์ข้ึนได้เป็นคนแรกของโลก ไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระ
เจา้ ปเสนทิโกศลพระเปน็ เจา้ จงึ เทีย่ วหาคนท่ีสามารถจะพานางเขา้ เฝ้ากราบทลู เจ้ามหาชีวิตได้ให้เป็นผู้พา
ไป คร้นั หาคนพาไปเขา้ เฝา้ ได้ นางก็พยายามทาแคนขึ้นใหม่อีหลายเต้า ทั้งยังดัดแปลงแก้ไขรูปร่างและ
เสยี งให้ดยี งิ่ กว่าเกา่ จนชานาญในการทาและหัดเป่าเป็นเพลงต่างๆเป็นอันดี เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ
แล้วนางก็ไดอ้ อกเดินทางไปคร้นั ถึงค้มุ วัง พระเป็นเจ้าก็เข้าหาขุนหม่ืนผู้ใหญ่ให้นาความเข้ากราบทูลพระ
กรุณา ขอพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้า เม่ือได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ทั้งสองก็เข้าไปในข่วงหอคา
ครงั้ ถงึ สนามเฝา้ ก็พากนั คลานเขา้ ไปซ่องพระพักตร์ พระผู้เป็นเจ้าและหยดุ อยใู่ นระยะอนั สมควร แล้วทง้ั
สองกก็ ้มกราบถวายบังคมตามธรรมเนยี ม แลว้ นงั่ อย่ดู ว้ ยอาการเคารพเปน็ อันดีขณะน้ันพระผู้เป็นเจ้าจึงมี
พระราชดาริตรัสถามวา่ สองเขอื มาหาเฮาเทือน่ี เพอ่ื ความประสงค์หยงั ผู้นาจึงกราบทูลวา่ ขอพระบารมี
ปกเกลา้ ปกขม่อม ผู้ขา้ ได้พาหญิงผ้นู ่มี าเฝา้ เพอื ว่าจักทูลถวายเครอื่ งดนตรี อนั เพนิ ไดแ้ ตง่ แปลงได้เปน็ หัว
แรกหวั ที ยงั บเ่ คยมีไผในโลกน้ีไดค้ ดิ ทาไดม้ ากอ่ นมาทูลเกลา้ ทูลขมอ่ มถวายด้วยความภคั ดีเคารพกตัญญูใน
พระเจา้ เหนือหัวผู้ข้าแล
เมอื่ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล ได้ทรงฟังทูลคดีท่ีผู้ชายผ้นู าไดก้ ราบทูลดังน้ัน กท็ รงพระโสมนัสย่งิ นัก จึง
ทรงมพี ระราชดารสั สัง่ ให้หญิงชา่ งดนตรนี ้ันทดลองเปา่ ถวาย นางกม้ กราบแลว้ กเ็ ปา่ ดนตรีนั้นถวาย เมื่อจบ
เพลงลงก็กราบทลู วา่ เปน็ จังใด๋ ม่วนพระทยั บ่ มีรับส่ังตอบวา่ เออ พอฟัง และมีประสงค์ใคร่จะฟังหลายๆ
เพลงจึงมีพระดารัสสั่งให้เป่าถวายอีก นางก็เป่าถวายอีกหลายเพลง เทื่อจบเพลงสุดท้าย จึงกราบทูลว่า
เปน็ จังใด๋ ม่วนพระทัยบ่ มรี ับสง่ั วา่ เท่อื น่ีแคนแด่ นางผเู้ ป็นช่างจึงกราบทลู ว่า คันซั่นเคร่อื งอันนี้ ควรซิ
เอ้นิ ว่าจังใด๋ ข้านอ้ ย พระผู้เป็นเจ้ามีพระกระแสรบั สัง่ ว่า “สูงจงเอิน้ เครอ่ื งดนตรีน่ีว่า “แคน” ตามคาเว้า
คาจาของเฮาอันทา้ ยน้สี บื ไปเมื่อหนา้ เทอญ”
ดังนน้ั คาว่า “แคน” จงึ ไดเ้ กิดเปน็ ชื่อของเครอื่ งดนตรีชนดิ นี้ สืบตอ่ มาตราบตอ่ เท่ากาละบัดน้ี
2001 211 3 Folk Music Skills 3 19 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
เม่อื นางได้เป่าแคนถวายพระเป็นเจ้าแล้ว ก็ได้ทูลเกล้าทูลขม่อมถวายแคนแด่พระองค์หลายเต้า
พระเปน็ เจา้ พอพระทัยราชหฤทยั จงึ พระราชทานรางวลั แกน่ างและผู้นาเฝ้าตามสมควร นางช่างแคนและ
ผนู้ าเฝา้ กก็ ราบถวายบงั คมลากลับไปยังบ้านเมืองของตน ภายหลังจากน้ัน นางก็ได้ทาเองท้ังยังได้ส่ังให้
ลกู หลานทาตามแบบอย่างสืบตอ่ มา และแผผ่ ายขยายไปหลายบ้านหลายเมืองแล ( กิตติวัฒน์ สัตนาโค.
2535 : 1-4 ) นกการเวก หรือ ปักษาวายุภกั ษ์ แปลวา่ นกกินลม สันสกฤต: कलविङ्क; ṅ ) เป็น
นกในเทพปกรณมั ของตะวนั ออก ปรากฏในป่าหิมพานต์ เรียกกันอีกชื่อหน่ึงในวรรณคดีเรื่อง ไตรภูมิพระ
รว่ งว่า นกกรวคิ อธิบายวา่ บนิ ไดส้ งู เหนอื เมฆ มเี สียงไพเราะยิ่งนัก สัตว์ทุกชนิดเมื่อได้ยินแล้วจะต้องหยุด
ฟังนอกจากนี้ยังปรากฏมีมาในพระบาลีว่าเสียงของพระพุทธเจ้านั้นเหมือนเสียงพรหม แจ่มใสชัดเจน
ออ่ นหวาน สาเนยี งเสนาะ ลกึ ซ้ึง ส่วนอาหารของนกการเวกนน้ั มีกลา่ วไว้ในคมั ภีร์ปญั จสุทนี ว่า นกการเวก
กินนา้ มะม่วงสกุ เป็นอาหาร แต่โดยที่นกชนิดน้ีหายากหลงเข้าใจกันแต่ว่าอยู่บนท้องฟ้ากินลมเป็นอาหาร
ตามวรรณคดีไตรภมู ิพระรว่ งซงึ่ มรี ูปลกั ษณด์ งั ภาพต่อไปน้ี
ภาพท่ี 13 ปกั ษาสวรรค์ หรอื นกการเวก หรอื นกวายภุ กั ษ์ ( Bird-of-paradise)...
ทมี่ า : https://th.wikipedia.org/wiki
สืบคน้ เม่ือ พฤษภาคม 2563
แคนในภาคอีสาน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดินแดนศิลปวัฒนธรรม ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดาเนินชีวิตทาง
สงั คมและวัฒนธรรมที่มีระเบยี บแบบแบบแผน ในการประพฤติปฏิบัติและการแสดงออกซ่ึงความรู้สึกนึก
คิดในสถานการณ์ต่างๆ ท่ีสมาชิกในสังคมเดียวกันสามารถเข้าใจและซาบซ้ึงร่วมกันได้ ( สานัก
คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. 2529 : 4 ) ในแต่ละกลุม่ ชาตพิ ันธจ์ งึ มวี ัฒนธรรมของตนเอง อันแสดงถึง
สิ่งท่ีไดร้ บั สบื ทอดจากบรรพบรุ ษุ มีการปรับปรงุ หรือสร้างขน้ึ ใหม่รวมทัง้ ผลผลติ ของส่วนรวมท่ีได้เรียนรู้จาก
2001 211 3 Folk Music Skills 3 20 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
บรรพบุรุษสืบต่อกนั มาเป็นประเพณีตลอดจนความรู้ ความคิด ความรู้สกึ ความประพฤติและกิริยาอาการ
หรอื การกระทาใด ๆ ในสังคม ซ่ึงชนหลายเผ่าหลายภาษาที่เข้ามาต้ังถิ่นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เผ่าต่าง ๆ เหล่านไ้ี ดอ้ พยพหนีภยั มาจากถ่ินอ่นื และมาต้งั รากฐานถนิ่ ฐานในประเทศไทยเป็นเวลานานหลาย
ช่วั อายคุ นมาแล้ว แตเ่ นือ่ งจากความจาเปน็ ของระบบเครอื ญาติและการพ่ึงพาอาศัยกันในการดารงชีวิตจึง
ทาใหค้ นเผา่ ต่างๆ เหลา่ น้ียงั สามารถรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา ศิลปวัฒนธรรมแต่ละเผ่าพันธ์ุ
เอาไวไ้ ด้ เช่น ผูไ้ ทย ไทยย้อ ไทยโซ่ ไทยแสก ไทยลาว ไทยเขมร และไทยโคราช เป็นต้น ซึ่งเป็นชน
เผ่าที่มีศิลปวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต ทุกเผ่าพันธุ์ ก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นของ
ตนเอง ( ยส ธสาร. 2529 : 26 ) ซึ่งลกั ษณะการแสดงออกที่เกี่ยวข้องกับการดารงชีวิตของชนกลุ่มน้อยใน
ภาคอสี าน วัฒนธรรมทางดนตรีแบง่ ได้ 3 กล่มุ คอื กลมุ่ เพลงโคราช กลมุ่ เจรียงกนั ตรมึ และหมอลาหมอ
แคน ในจานวนน้ีมกี ลมุ่ หมอลาหมอแคนเป็นกลุม่ ใหญท่ ี่สดุ เครอ่ื งดนตรีแคนจงึ ถือไดว้ ่าเป็นสัญลักษณ์และ
เปน็ เอกลกั ษณท์ ผี่ ูค้ นส่วนใหญร่ ้จู ัก และเครื่องดนตรชี นิดนมี้ ีบทบาทหลายดา้ น เช่น ด้านประวัติศาสตร์
สังคมและวฒั นธรรม ดนตรศี ิลปะและการแสดง นอกจากนย้ี งั สร้างสรรคส์ ่งิ ต่างๆด้วยความรสู้ ึกและความ
เชื่อ โดยเพราะงานวจิ ติ รศิลป์ จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม นาฏกรรม ดุริยะศิลป์ เป็นต้น ชาว
อสี านมคี า่ นยิ มในการใช้แคนอยา่ งแพรห่ ลาย ซึ่งปรากฏใหเ้ หน็ เด่นชัดเป็นท่ีประจักรต่อชนชาติไทย นั้นคือ
หมอแคน ซง่ึ เป็นผู้ถา่ ยทอดเพลงแคน หรอื เรียก ลายแคน ตามภาษาท้องถน่ิ อสี าน หมอแคน เป็นปราชญ์ผู้
รอบร้เู รือ่ งการเป่าแคนสร้างสีสันมนตเ์ สน่หใ์ หภ้ ูมภิ าคอีสานเป็นทีช่ ่ืนชอบสาหรับประเทศเพื่อบ้านทั่วทวีป
เอเชียหรือแม้กระท้ังชาวตะวันตก ความงดงามความสุนทรียะศาสตร์ในลายแคนท่ีแฝงด้วยความเช่ือ
ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี พธิ ีกรรม ทปี่ ราชญ์หมอแคนส่ือแสดงออกมาจากห้วงท่ีลึกท่ีสุดของจิตวิญญาณ
แห่งชาติพันธ์ุ นน้ั พบหลกั ฐานจากวรรณกรรมอีสานหลายเรือ่ งและภาพเขยี นฝาผนังอโุ บสถสถานตามวดั ใน
ภาคอสี าน ซง่ึ พอสรุปใหเ้ ห็นภาพดังนี้
วรรณกรรมของชาวอสี านท่ีเลา่ สืบต่อกันในเรือ่ งของการพรรณนาความไพเราะของเสียงแคนที่ไม่
เคยเหอื ดแห้งไปจากแผ่นดินอสี านในครง้ั อดดี จวบจนปัจจุบนั นน้ั ได้กลา่ วถึงความไพเราะของเสยี งแคนไว้อยู่
หลายเรอ่ื งซอื่ ผเู้ ขียนขอยกตวั อยา่ งเปน็ เรือ่ งๆไป ดงั น้ี
1. เรือ่ ง ขลู นู างอ้วั
หลังจากการทาพิธีเส่ียงสายแนน ซ่ึงเปน็ ลางบอกเหตวุ ่าไมใ่ ช่เน้ือคู่กัน พระแม่เมืองกาสีจึงยกทัพ
พรอ้ มดว้ ยขูลู พร้อมกันนล้ี นุ ลงไดโ้ อกาสจึงได้สู่ขอนางอ้ัวทนั ที พระแมเ่ มอื งการตอบตกลงและกาหนดวัน
อภิเษกในอีกหนึ่งเดือน นางอ้ัวโศกเศร้ายิ่งนักนางจึงให้สาวใช้เชิญขูลูมายังเมืองการอีกคร้ังเพ่ือปรึกษา
ปัญหา ขูลูไดล้ ักลอบเข้าหานางใปราสารท นางอวั้ ได้เล่าเรื่องท่ีพระมารดาบังคับตนให้อภิเษกกับลุนลาง
ขูลไู ดป้ ลอบใจนางอั้วว่าไมม่ ีใครท่ีจะแยกเราจากกัน ถ้าอย่างไรเราก็จะตายตามกันโดยขูลูจะไปก่อน ไป
พรอ้ มกบั ป่ีและแคน แล้วนางอั้วตามไปทหี ลังพร้อมด้วยแหวนและป่นิ ปกั ผม เพอ่ื ทจี ะเอาไปแตง่ ประดบั ตวั
แล้วขลู ูจะเปา่ ปีแ่ ละแคนเกีย่ วกนั ในสวรรค์ชนั้ ฟ้า ดงั คาประพันธ์
2001 211 3 Folk Music Skills 3 21 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
อวั้ เอย อา้ ยไปก่อน ซเิ อาปีก่ บั แคน
น้องไปลุนให้เอาแหวนกับซอ้ ง
ให้เอา ไปเอย้ ้อง เทงิ ฟ้ามา่ ยกัน พีเ่ นอ
คอ้ มว่า เสนาบอกแลว้ ทา้ วแต่งสงั วาลย์
บอระบวนเลย ออกไปมชี า้
แต่นั้นพระก็ เตินป่าวฆ้อง ทง้ั กลองแลป่ี ( ปรชี า พณิ ทอง , 2524 : 76- 87 )
2. เรอื่ ง นางนกกระจอกนอ้ ย
นางนกกระจอกน้อย ตอนตฆี ้องกลองเสียงระงม ทา้ ววรกิตได้เรียนวิชาถอดดวงใจกับพระฤาษีได้
สาเรจ็ จึงใชว้ ชิ าทีเ่ รยี นรับอาสารบั อาสาถอดดวงใจวก้ ับหมอนแลว้ พดู กับหมอน ไดเ้ ล่าถึงเรอื่ งต่าง ๆ จนถงึ
เรือ่ งนกกระจอก แต่ตอนจบแกลง้ เลา่ ใหผ้ ดิ ไปวา่ เมยี บินหนีกอ่ น งนั ทะจรได้ยินดังนั้นโกรธมาก จึงพูดว่า
ไมเ่ ปน็ ความจริงฝายทีค่ อยตกี ลองฆ้อง เมอ่ื ได้ยินเสยี งนางพูดจาเขาก็ตีท้ังกลอง ฆ้องที่ท้ังเป่าปี่ เป่าขลุ่ย
เปา่ แคน เป็นตน้ เสยี งดนตรดี ังกอ้ งไปหมด ดงั คาประพันธ์
แต่นน้ั ไทกลองฆ้อง ได้ยินนางตา้ นปาก
เขาก็ ตีฟาดฆ้อง ท้งั ซ้าย่ากลอง
ทง้ั ปไ่ี ด้ สรไนแกมขลยุ่
ทั้งปแี ก้ว แคนไคเ้ สพระงม ( ปรชี า พิณทอง , 2524 : 101 )
3.เร่อื งผาแดงนางไอ่
ผาแดงนางไอ่ ตอนจุดบง้ั ไฟ ขบวนแหบ่ ้ังไฟของพระยาขอมได้แห่นาขบวนแห่ของท้าวผา
แดง และมขี บวนแห่ ของหลานชายตามมา พวกทรี่ ่วมขบวนแห่บ้งั ไฟมีการเล่นดนตรีและฟ้อนรากันด้วย
ความสนุกสนานดังคาประพันธ์
ฝงู หมู่ เสนาท้าว ตามหลงั แหนแห่
เขาก็ ตบแสง่ ฆอ้ ง กลอนเข้ากลอ่ มแคน
เหลยี วเบ่งิ แขนแฟนฟอ้ น ตามหลงั ย้ายยา่ ง
บางพอ่ ง ฟอ้ นแยง่ ย้อง เย่ยี วย้ือหยอกสาว
ฟงั ยนิ ฮ่นื ฮน่ื กอ้ ง เสยี งแหไ่ ฟหาง
บ่อาจ คณานับ ตา่ งเชงิ เขา้ เหล้น
แคนขล่ยุ มีฆ้องพ่องพิณ ( ปรชี า พณิ ทอง , 2524 : 76- 87 )
4.เรื่อง สงั สนิ ชยั
สงั สนิ ชยั ตอนศิลป์ชัยสอนศิลธรรม กล่าวถึงศิลป์ชัยได้สั่งสอนไห้พญากุมภัณฑ์ตั้งอยู่ใน
ศีลธรรม ให้ถือศีลห้า และให้ยึดหลักทศพิธราชธรรมปกครองบ้านเมือง พญากุมภัณฑ์ก็น้อม
รบั คาศิลป์ชัยเตรยี มทจี่ ะไปส่งนางสุมุณฑาและยักษ์กุมภณั ฑ์ ดังคาประพันธ์
2001 211 3 Folk Music Skills 3 22 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล
ทักษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
ไดย้ นิ ครืน่ ครื่นก้อง เสียงเสบสะบัดชัย พุ้นเย้อ
โพนพิณสังข์ ขลุ่ยซอแคนไค้
เสนาพรอ้ ม ชาวเมอื งขา้ ไพร่
สาวบ่าวได้ หลายลา้ นแห่เมอื ( ปรีชา พณิ ทอง , 2524 : 300 – 333)
5.เรอื่ งกาฬเกษ
กาฬเกษ ตอน สรุ วิ งศ์ต้อนกาฬะเกษ กล่าวถงึ กาเกษ เมือ่ กลับถงึ พาราณสีแล้ว ท้าวสุริ
วงศท์ ราบข่าวก็จัดพิธีต้อนรับอย่างใหญ่โตมโหฬาร มีโขน ละคร ฉลองครึกครื้น และมีดนตรี
ประกอบดว้ ย ทา้ วสุรวิ งศ์ใหก้ ารต้อนรับโดอให้จัดหาอาหารคาวหวาน ตลอดจนเหล้าให้แก่ไพร่
พลเป็นอยา่ งดี จนกระทัง่ มดื สนทิ เสียงสากดงั กอ้ งและเสียงกลองตบี อกเวลา ดังคาประพันธ์
ถดั นน้ั หอกก่านปอ้ ง ทวายเปงเป็นแสน
ทวนคนั คา คาดยองโดอตื้อ
ไทรเมง็ หลนิ้ สิงโขนขบั ขว่ ง
พวกป่ีแต้ แคนไค้คิง่ ซอ
( ปรีชา พิณทอง , 2524 : 366 – 367)
6 .เร่อื ง ทา้ วกาํ่ กาดาํ
เร่อื งยอ่ ) ทา้ วก่า มีรปู รา่ งอปั ลักษณเ์ ป็นท่รี ังเกียจของคนท่วั ไป แม้กระท่งั มารดาของตน
ก็เกลยี ดชัง จึงเอาไปลอยแพล่องน้า พระอินทร์บนสวรรค์มีความสงสารจึงเนรมิตส่งกาดาลงมา
เป็นแมน่ ม คอยเลี้ยงดจู นเตบิ ใหญ่ ท้าวก่าจึงได้การขนานนามว่า “ท้าวก่ากาดา” นับต้ังแต่น้ัน
เป็นตน้ มาเมือ่ ท้าวก่ากาดาเตบิ โตข้ึน กไ็ ดอ้ าศัยอยู่กับย่าจานวน คนเฝา้ สวนของกษัตริย์ วันหน่ึง
ธิดาทงั้ เจ็ดของกษตั รยิ ์มาเที่ยวชมสวน ท้าวก่ากาดาแอบดูนางท้ังเจ็ด แล้วเกิดผูกสมัครรักใคร่
นางลุน ธิดาคนสดุ ทอ้ ง ท้าวกา่ กาดามีความสามารถพเิ ศษในการร้อยดอกไม้และเป่าแคน จึงได้
รอ้ ยมาลยั เปน็ สือ่ ความในใจแล้วมอบให้ย่าจานวนไปถวายนางลุน พอถงึ เวลากลางคนื ก็เปา่ แคนไป
เท่ยี วใน เมือง เสียงแคนอนั แสนไพเราะของทา้ วกา่ กาดาในเวลากลางคืนที่เงียบสงัดนั้น ลอยลม
ไปไกล จนกษตรยิ ์และนางลนุ ไดย้ นิ ทุกคนื ด้วยเสียงอนั ไพเราะนี้ กษัตริยไ์ ดร้ ับสง่ั ให้เท้าก่ากาดา
เขา้ เฝา้ เพื่อถวายการเปา่ แคนท้าวกา่ การดามีความภมู ิใจมากได้ต้ังใจเป่าแคนอย่างสุดฝีมือ เป็นที่
โปรดปรานของกษตั รยิ แ์ ละนางลนุ ซงึ่ เปน็ อานิสงสส์ ่งให้ท้าวกาดาพ้นเคราะห์ การดาได้ชุบร่างขน้ึ
ใหมเ่ ป็นชายรูปรา่ งงดงาม และในทีส่ ดุ ก็ไดน้ างลุนเปน็ คชู่ วี ติ สมดังปรารถนาเพ่อื ให้เหน็ จริงเห็นจัง
ถึงเสียงแคนที่ท้าวก่ากาดาได้เป่าถวายกษัตริย์และนางลุนฟัง จึงขอนาคากลอนลาอีสานท่ีได้
พรรณนาถงึ ความไพเราะของเสยี งแคนมาบันทึกไว้ ดังน้ี
ท้าวก็เป่า จอ้ ย จ้อย ออ้ ยองิ่ กินนะรี
บญุ มี เลยเปา่ แถลง ดงั ก้อง
2001 211 3 Folk Music Skills 3 23 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
ทักษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
เสยี งแคนดังมว่ นแมง่ พอลามหลดู ตายไปนนั้
ท้าวก็เป่า จอ้ ย จ้อย คือเสียงเสพ เมืองสวรรค์
ปรากฏดัง ม่วนกอ้ ง ในเมือง ออ้ ยอ่ิน
เปน็ ท่ใี จ ม่วนดิ้น ดอมท้าว เปา่ แคน
สาว ฮามนอ้ ย วางหลามาเบิง่
เขากป็ บ ฝ่ังฟ้าว ตีนต้อง ถกื ตอ
บางผอ่ ง ป๋าหลาไว้ วางไป ทงั้ แลน่ กม็ ี
บางผ่อง เสือ้ ผา้ หลดุ ออกซ้า เลยเต้นแล่นไปก็มี
ฝงู คนเฒา่ เหงานอน หายส่วง
สาวแมฮ่ า่ ง คะนงิ โอ้ อ่าวผัว
ฝงู พอ่ ฮา่ ง คิดฮา่ คะนิงเมยี
เหลอื ทน ทกุ ข์อยู่ ผเู้ ดียว นอนแลง้
เป็นที่ อศั จรรย์แท้ เสียงแคน ทา้ วก่า
ไผได้ฟัง ม่วนแม่ง ใจสล่าง หว่างเว
ฝูง (คน) กนิ เข่า คาคอ ค้างอยู่
ฝูง (คน) อาบน้าป๋าผา แล่นมา.... (น่นั ละนา) ( ไพบูรณ์ แพงเงนิ ,2534 183 )
จากหลักฐานตามประวัติศาสตร์โบราณคดแี ละวรรณคดตี านานภาพเขยี นพงศวดาร ทป่ี รากฏแคน
เป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ท่ีอยู่คู่อีสานเป็นเวลาหลายพันปี และแคนคือดนตรีอมตะอีสาน จากตานานสู่
ภาพวาดตามโบสถ์ในภาคอสี านกม็ ีภาพแคนปรากฎเป็นฮปู แต้มฝาผนังดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี
1.สิม วัดสระบัวแก้ว บ้านวังคูณ อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น ก่อตั้งเม่ือวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.
2460 และไดร้ บั พระราชทานวิสุงคามสีมา เม่ือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2475 เดิมเป็นสิมน้าสร้างด้วยไม้อยู่ใน
หนองบรเิ วณด้านใตข้ องวัด ตอ่ มาในสมยั พระครพู บิ ูลย์พฒั นายตุ เป็นเจา้ อาวาส ได้คดิ สร้างสิมบกขึ้นแทน
สมิ น้าทเ่ี ริ่มชารุดและไดร้ ่วมกับชาวบา้ นวังคณู ขุดลอกสระนาดนิ มาถมปรับที่ สาหรับต่อต้ังสิมเป็นสิมแบบ
ก่อผนัง ประมาณปี พ.ศ. 2474-2477 โดยนาแบบมาจากวัดบ้านยาง อาเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
โดยเป็นสมิ ทึบ แปลนรปู ส่ีเหล่ยี มผืนผา้ ราวบันไดปน้ั รูปสิงห์หมอบ 1 คู่ หน้าสิงห์มีรูปปั้นชายหญิง ต่อมา
หลงั คาเกิดรอยรั่วหลายจุด จึงสร้างหลังคาครอบใหม่ ในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งในฝาผนังสิมได้มีภาพเร่ืองราว
วรรณกรรมอีสานปรากฏ ช่วงหน่ึงเป็นภาพกิจกรรมขบวนแห่มีเคร่ืองดนตรีแคนเป่าในขบวนดังภาพที่
ปรากฏดังน้ี
2001 211 3 Folk Music Skills 3 24 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ
ทักษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ภาพท่ี 14 : ขบวนแหน่ างคาซาวและนางแอกไค้ ไปสง่ ใหพ้ ระลกั พระลาม
ทมี่ า : https://pantip.com/topic/36047460?
สบื คน้ เม่ือ พฤษภาคม 2563
2. สิม วัดบึงแก้ว อาเภอชนบท จ.ขอนแก่น เป็น สิม ทึบแบบพ้ืนบ้านอีสานอิทธิพลช่างญวณ
ลักษณะกอ่ อฐิ ถือปนู ฐานสูงอายุมากกว่า 150 ปี ผนังด้านนอกประดับลวดลายปูนปั้นนูนตาแล้วระบายสี
ทบั ทาเป็นลวดลวยพญานาค ชา้ ง การเดนิ ทัพ และภาพชีวิตประจาวัน เช่น คนเปา่ แคน ทอดแหหาปลา ดงั
ภาพทีป่ รากฏดังน้ี
ภาพท่ี 15 ภาพเป่าแคนลากลอน
ทีม่ า https://pantip.com/topic/36047460
สบื คน้ เมือ่ พฤษภาคม 2563
3. วัดสนวนวารีพัฒนาราม ต.หัวหนอง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่นวัดตั้งเม่ือ พ.ศ.2465 เดิมชาวบ้าน
เรยี กว่า "วัดบ้านหัวหนอง" เป็นวัดเก่าแก่ มีสิม(โบสถ์) สร้างข้ึนในปี พ.ศ.2466 โดยช่างก่อสร้าง คือ นาย
2001 211 3 Folk Music Skills 3 25 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
แกว ทองผา มขี นาดความกว้าง 5เมตร ยาว 7.30 เมตร เป็นสถาปตั ยกรรมอีสานมุงหลงั คาใหม่ด้วยสังกะสี
ตรงบันใดจะมรี ปู ปั้นพญานาคอยู่ 2 ตัวชา่ งแตม้ คือ นายหยวก และนายแดง เขียนภาพฝาผนังเมื่อ ปี พ.ศ.
2469 เขยี นภาพท้งั ด้านในและดา้ นนอกดว้ ยสีฝุ่น เป็นเรื่องราววรรณกรรมพื้นบ้าน ด้านในเขียนเรื่องพระ
เวสสนั ดรชาดก สินไซ ด้านนอกเขียนเร่ืองสินไซ และนรกภูมิ รูปแบบหน้าต่างทาเป็นวงโค้ง 2 ชั้น เขียน
ลวดลายเครอื เถาประดบั อยา่ งสวยงามผนังดา้ นนอกมีเสาติดผนงั เขยี นลายเครือเถา และลวดลายพญานาค
เกยี่ วพันกัน ภายในสิม หรอื โบสถ์ มีพระพุทธรูปเป็นพระประธาน มีลักษณะผอมสูง แต่องค์อื่นมีลักษณะ
ได้รับวสิ ุงคามสีมา เม่อื วนั ท่ี 13 เมษายน 2466
ภาพท่ี 16 ภาพเป่าแคน การแสดขบั รอ้ งประกอบแคน
ท่ีมา https://pantip.com/topic/36047460
สืบคน้ เมื่อ พฤษภาคม 2563
4.วัดไชยศรี บ้านสาวะถี ขอนแก่น
วดั ไชยศรี มีเน้อื ที่ทง้ั สิ้นประมาณ 8 ไร่เศษ ตามหลักฐานทราบวา่ ต้งั วัดเมือ่ ประมาณ พ.ศ.
2408 สว่ นโบสถห์ รือสิมนี้ ตามคาบอกเลา่ ของคนเฒ่าคนแกค่ งสร้างประมาณ ปีพ.ศ. 2443 ได้รับ
วิสุงคามสีมา เมอ่ื ปี พ.ศ. 2460 โดยมีหลวงปู่อ่อนสา เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนี้ เป็นผู้ออกแบบ
และพาญาตโิ ยมสร้างขึ้น สาหรับลักษณะของโบสถ์น้ี ฐานส่วนลา่ งและผนังเป็นแบบก่ออิฐฉาบปูน
ชว่ งบนเดมิ เป็นแบบไม้ทัง้ หมด รวมทั้งหลังคาด้วย บานประตูและหน้าต่างแกะสลัก ส่วนภาพฝา
ผนังเป็นฝีมือช่างเขียนภาพพื้นบ้านช่ือ นายทอง ทิพย์ชา เป็นคนชาวอาเภอบรบือ จังหวัด
มหาสารคาม โดยการเขยี นภาพนี้ เขยี นตามที่หลวงปู่ออ่ นสา ทา่ นกาหนด ให้ผนังด้านในส่วนมาก
เปน็ ภาพอดตี พุทธะมหาเวสสนั ดร สงั ข์สินไชย ภาพเทพและภาพสตั ว์ตา่ ง ๆ ผนงั ด้านนอกเป็นภาพ
นรก 8 ขมุ (หลุม) และวรรณกรรมพื้นบ้านเร่ืองสงั ข์สินไชย ลกั ษณะเดน่ คือ เป็น้ การเขียนแบบช่าง
2001 211 3 Folk Music Skills 3 26 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐก์ ลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
พ้ืนบ้านและเขียนด้วยสีฝุ่นซ่ึงหามาจากธรรมชาติ ซ่ึงมีช่วงหนึ่งท่ีมีภาพกิจกรรมคนเป่าแคนดัง
ตัวอยา่ งภาพตอ่ ไปน้ี
ภาพท่ี 17 : ภาพกิจกรรมคนเปา่ แคนในวรรณกรรมเรื่อง สินชยั
ทมี่ า : https://www.m-culture.go.th/
สบื คน้ เมอื่ กนั ยายน 2563
5. วดั ป่าเลไลย์ บา้ นหนองพอก หมู่ 7 ตาบลดงบัง อาเภอนาดนู จงั หวัดมหาสารคาม
วัดป่าเรไร เดิมช่ือวัดบ้านหนองพอก ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ พระครูพิสัยนวการเป็นผู้ริเร่ิม
เปล่ียนชอ่ื เป็นวดั ปา่ เรไร สร้างข้ึนเม่ือคร้ังพระอธิการเหยวเป็นเจ้าอาวาส โดยมีพระครูจันทรสรี
รัตนคุณ เจ้าคณะอาเภอนาดูนเป็นผู้ดาริให้สร้าง ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ.๒๒๒๔ ได้รับพระราชทาน
วสิ ุงคามสมี า เม่ือวันที่ ๔ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นอุโบสถ หรือเรียกตามภาษาถ่ินอีสานว่าสิม
ลักษณะเป็นสิมทึบขนาดเล็กก่ออิฐถือปูน แผนผังรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า มีประตูด้านหน้าด้านเดียว
หลังคาทรงจว่ั ชั้นเดียวมีปกี นกคลุมโดยรอบ เครื่องบนประดับด้วย โหง่ ( ภาคกลางเรียกช่อฟ้า )
และหางหงสไ์ ม้ อาคารสมิ ตั้งบนฐานปทั ม์ยกสูง ๘๐ เซนติเมตรจากพื้น เจาะช่องหน้าต่าง ( ป่อง
เอ้ียม ) ท่ีผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้ โดยทาเป็นช่องแคบๆ ไม่มีบานหน้าต่าง บันไดปูนป้ันรูป
พญานาคแบบศิลปะพื้นบ้านอีสานเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรือฮูปแต้มท้ังผนังด้านนอกและ
ดา้ นใน เขยี นด้วยสฝี ุ่นวรรณะสเี ยน็ คอื สฟี ้าคราม นา้ เงิน เขียว ขาว ท่ีผนังด้านในเขียนเร่ืองพุทธ
ประวัติ พระมาลัย ผนังดา้ นนอกเขียนเรื่องพระลัก-พระลาม ( รามเกียรตฉ์ิ บับลาว ) และเวสสนั ดร
ชาดก ฝมี อื ช่างแบบศิลปกรรมพ้นื ถน่ิ อสี านและในช่วงหนง่ึ มภี าพวาดกิจกรรมคนเปา่ แคนสวยงามม
กาดังภาพตวี อยา่ งตอ่ ไปน้ี
2001 211 3 Folk Music Skills 3 27 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐ์กลุ
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
ภาพท่ี 18 : กิจกรรมคนเปา่ แคนทผี่ นังสมิ วัดป่าเลไล ต.ดงบัง จงั หวัดมหาสารคาม
ท่มี า : https://www.m-culture.go.th/mahasarakham/ewt_news.php?nid=2210
สบื ค้นเม่ือ ตุลาคม 2563
6. วัดโพธ์ิธาราม
วัดโพธิ์ธาราม เป็นวัดเก่าแก่สร้างข้ึนตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี ๓ โดยชาวลาวท่ีอพยพมาจาก
เวียงจนั ท์ บา้ นดงบงั ต้งั อยู่บนโพนสงู ล้อมรอบด้วยป่าไม้หนาทึบจึงชื่อว่า "ดงบัง” ประชากรเป็น
ชาวไทยลาว ตงั้ บ้านครง้ั แรกท่ีบ้านเก่าน้อย โดยต้ังพร้อมกับบ้านตาบางเขต อ.ปทุมรัตต์ บริเวณ
ทตี่ ัง้ บา้ นดงบัง สันนิษฐานวา่ เหน็ เมืองของเก่า เนื่องจากมีคนู า้ ล้อมรอบ มีแทง่ ศิลาแลงและขดุ วัตถุ
โบราณ กระปกุ รปู ช้าง และโครงกระดกู จานวนมาก แตเ่ ดิมมหี อไตรและโบสถ์เกา่ สรา้ งอยู่กลางน้า
เปน็ อทุ กกฺ ขเขปสีมา (หรือทเี่ รยี กกนั โดยภาษาพ้ืนถิ่นว่า "สิมน้า”) อยู่ทางทิศเหนือของโบสถ์หลัง
ปจั จุบนั ซง่ึ เมื่อชารดุ แล้วจึงไดส้ ร้างสิมบกขึ้น โดยพระครูจันดี เจา้ อาวาสองค์ที่ ๔ เป็นผู้ออกแบบ
เดมิ มีชอื่ วา่ "วัดโพธ์ทิ อง” มาเปลีย่ นเปน็ "วดั โพธาราม” เมือ่ พ.ศ. ๒๔๘๕ ภายในวัดมี สิมสถาปัต
ยกรรมแบบพ้นื บ้านอีสาน มีลักษณะฐานสิมยกสูงต้ังอยู่บนฐานประทักษิณซ่ึงบกสูงอยู่โดยรอบมี
เสานางเรียงรองรับชายคาปกี นกตลอด หลังคาเป็นเครอ่ื งไมม้ ุงกระเบ้ืองไม้ (แดเ่ ดมิ ) มลี ายอง หาง
หงสเ์ ปน็ หวั นาค มีโหง และชอ่ ฟา้ อยูก่ ลางสนั หลงั คา เป็นไม้แกะสลักแบบศลิ ปกรรมอสี านพน้ื บ้าน
ที่สวยงามมาก ผนังกอ่ ทบึ ตลอด เจาะช่องหนา้ ตา่ งขา้ งละ ๒ ช่อง เพ่ือต้องการแสงสว่างโดยไม่ทา
เป็น บานปิดเปิด พระประธานใช้ พระไม้ ที่แกะสลักอย่างสวยงามตามฝีมือช่างพื้นถ่ินซึ่งให้
เอกลักษณ์ทางพุทธศลิ ป์อย่างเต็มเปย่ี ม ส่วนเพิงด้านหน้าน้ันน่าจะทาข้ึนภายหลังเพื่อป้องกันฝน
ไม่ให้ทาลายตัวนาคที่เฝ้าบันไดท้ังคู่ ซึ่งนับเป็นงานประติมากรรมที่มีคุณค่าสูงเช่นเดียวกัน มีฮู
ปแต้มทง้ั ภายในและภายนอกช่างเขียนคือ อาจารย์ซาลาย และนายสิงห์ เป็นชาวบ้านดงบังทั้งคู่
เขยี นสีฝนุ่ ผสมกาวไม่มีรองพน้ื ใช้สีของพน้ื ผนงั สิมเปน็ สพี ื้นของฮูปแต้ม สที ีใ่ ช้มสี ีฟา้ เขยี ว แดง ดา
2001 211 3 Folk Music Skills 3 28 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
ทักษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ขาว วรรณะสีสว่ นรวมเป็นสีอ่อนไม่ฉูดฉาด ภาพที่ต้องการเน้นให้เป็นจุดเด่นสะดุดตา จะเขียนสี
ตรงข้ามตดั กนั เชน่ สคี รามตดั เส้นด้วยสีน้าตาล สม้ และดา เป็นตน้ เน้ือหาเป็นเร่ืองพระเวสสันดร
พระพทุ ธประวัต พระปา่ เลไลยก์ รามสูร-เมขลา และเรื่องสังข์ศลิ ป์ชยั นอกจากนยี้ ังสะท้อนให้เห็น
เหตุการณใ์ นอดีต อาทเิ ช่น การแตง่ กาย การไว้ผม สภาพสงั คม การทาบุญ ความเปน็ อยู่ประจาวัน
การเล้ียงดบู ตุ ร การประกอบอาชพี การคา้ ขาย การล่าสตั ว์ ขบั รอ้ งฟอ้ นรา เปน็ ต้น นับเป็นแหล่งที่
ใหท้ ้ังความงามและความรสู้ ึกเก่ียวกบั วิถีชวี ติ ผู้คนอสี านในอดีตอย่างดีย่ิง ดังภาพวาดชว่ งหน่ึงในฝา
ผนังสมิ ท่ีมรี ปู กิจกรรมคนเปา่ แคนดงั ตัวอย่าต่อไปนี้
ภาพท่ี 19 : กิจกรรมคนเป่าแคนท่ีผนงั สมิ วดั โพธิ์ธาราม ต.ดงบงั จังหวัดมหาสารคาม
ทมี่ า : https://www.m-culture.go.th/mahasarakham/ewt_news.php?nid=2211
สืบคน้ เมื่อ ตุลาคม 2563
7. วดั ประตูชยั จงั หวัดร้อยเอ็ด
การแสดงหมอลาผญาและหมอลากลอน วัดประตชู ัย (บ้านคาไฮ) จงั หวดั ร้อยเอ็ด สรา้ งใน
ปี พ.ศ. 2464 (บุรินทร์ เปลง่ ดีสกุล, 2554) ฮูปแต้มผนงั สิมเนน้ เนือ้ หาวรรณกรรมสนิ ไซและพระเว
สนั ดรชาดก เป็นหลกั และมีการแต้มฮูปวิถีชีวีชาวบ้านด้วยซ่ึงในช่วงนี้รัฐสยามได้เข้ามาปกครอง
พื้นท่ชี ุมชนอสี านแล้ว (ศุภชัย สงิ หย์ ะบศุ ยแ์ ละคณะ, 2559) ส่วนฮูปแต้มของหมอลาที่ปรากฏ คือ
มีหมอลาแคน 1 คน มีชายหญงิ ราเกย้ี วคกู่ นั 1 คู่ และมชี ายหนมุ่ 3 คน ฟอ้ นรากันอยา่ งสนกุ สนาน
ซึ่งแสดงลกั ษณะน้ีสว่ นใหญ่มักเปน็ การแสดงหมอลาผญาและหมอลeกลอน ดังภาพต่อไปนี้
2001 211 3 Folk Music Skills 3 29 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
ภาพท่ี 20 : กจิ กรรมการแสดงหมอลาผญาและหมอลากลอน วดั ประตชู ัย (บ้านคาไฮ) จงั หวัดร้อยเอด็
ทมี่ า : https://www.m-culture.go.th/mahasarakham/ewt_news.php?nid=2211
สืบคน้ เม่ือ ตุลาคม 2563
จากเรื่องราวท่ีกล่าวมาในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า แคน น้ันมีบทบาทสาคัญในสังคมและวัฒนธรรม
อีสานท้ังด้าน ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีกรรมต่างๆ กล่าวคือ แคนเป็นเคร่ืองดนตรีที่ใช้จิตวิญญาณ
สื่อสารกับผบี รรพบุรษุ ส่ิงศักด์ิเหนือธรรมชาติเพ่อื ปกปอ้ งคมุ้ ครองกีดกนั ภยันตรายต่างๆท้ังในรูปธรรมและ
นามธรรม สร้างพลงั ปลอบขวัญกาลงั ใจในยามสขุ และยามทุกขค์ ลอเคลา้ กันไปและยดึ เหนี่ยวฝงั รากลกึ ลงไป
ในห้วงที่ลึกท่ีสุดของหัวใจของชนชาวอีสาน อย่างมหัศจรรย์ ฉะน้ัน แคน จึงมีบทบาทในการขับเคล่ือน
พลวัตและกระบวนทัศน์ทางสังคมวัฒนธรรมอีสานซ่ึงสามารถแบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ วัฒนธรรมทางด้าน
พธิ ีกรรมความเชอ่ื และวัฒนธรรมความบันเทงิ สบื ทอดกันมาจากอดตี รุ่นสู่รนุ่ จวบจนปัจจุบัน
บทสรุป
ความเป็นมาของแคนที่ผู้เขียนได้อรัมภบทมาในบทท่ี 1 ซึ่งจะขอกล่าวสรุปส่งท้าย ว่า แคนเป็น
เคร่อื งดนตรปี ระเภทเปา่ ท่ใี ช้บรรเลงในระบบสังคมวัฒนธรรมอีสาน และเปน็ เครื่องดนตรีท่ีมีความเป็นมา
เก่ียวเน่อื งวัฒนธรรมรว่ มในอุษาอาคเนย์ ดังหลักฐานที่ผ้เู ขียนยกมาประกอบ เช่น หลักฐานลายเส้นคนเป่า
แคนในขวานสัมฤทธ์ิที่ขุดพบในหลุมศพเมืองดงเซนิ รมิ แมน่ ้าซองมา จ.ถน่ั หวั เวยี ดนาม และลานเสน้ จาลัก
ภาพคนเป่าแคนในกลอง มะโหระทกึ หงอ็ กหลู อายุมากกว่า 2,500 ปี มีจารึกปูมของชุมชน แต่ละวงรอบ
แสดงลายเสน้ วิถี ชีวิต เช่น การทานา มีกลุ่มคนตีกลองและคนถือแคนอยดู่ ว้ ย สาหรบั มโหระทึกหงือกหลู (
Ngoc Lu bronze drum) เป็นหนง่ึ ในกลองยุคสัมฤทธ์ิของวฒั นธรรมดองซอน (Dong Son Culture) ที่ขุด
ไดท้ างตอนเหนอื ของเวยี ดนาม ตลอดจนเครื่องดนตรีของ จีน เวียดนาม ลาว พม่า หรืออ่ืนๆในแถบเอเชีย
ท่ีมีความคล้ายคลึงกันกับแคนในภาคอีสาน และการใช้เคร่ืองดนตรีในวิถึชุมชนชั้นปฐมภูมิน้ันก็ใช้ใน
กจิ กรรมพิธกี รรม ยกยอ่ งเคร่อื งดนตรแี คนเป็นสิ่งศักดิ์ เพื่อใช้สอ่ื สารกับ สงิ่ ทอ่ี ย่เู หนอื ธรรมชาติ เช่น ผี เจ้า
ป่า เจา้ เขา เทพผู้ดูแลปกป้องกลุ่มคนในสังคมนั้นๆ เช่น นั้นก็ใช้เพ่ือพิธืกรรมความเช่ือแล้วต่อวัฒนธรรม
ความบนั เทงิ
2001 211 3 Folk Music Skills 3 30 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ุล
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
เคร่ืองดนตรีตระกูลเดียวกันกับ แคน เป็นเครื่องมือของปราชญ์แห่งอุษาอาคเนย์และ แคนใน
ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคอีสาน ผู้เป่าแคนได้อย่างชานาญนั้น เรียกหมอแคน หรือนักปราชญ์แคนผู้มี
ความรอบรู้ทง้ั ทางด้าน ขนบธรรมเนยี มประเพณี ในสังคมภาคอีสาน นอกจากน้ีในทัศนของผู้เขียน มองว่า
แคน น้ัน เปน็ เครอื่ งดนตรีที่มคี วามผกู พนั ธ์กุ ับคนอสี าน ในทกุ บรบิ ท และเป็นลกั ษณะเดน่ ของชนชาวอีสาน
ทีไ่ ดร้ ับการยอมรบั จากภูมภิ าคอนื่ ๆในประเทศไทย ตลอดถึงภูมิเอเชีย ซึ่งเป็นที่ปรากฏชัดเจว่า แคน คือ
เครื่องดนตรีท่ีมีบทบาทในการขับเคลื่อนวิถีการดารงชีวิตของคนพ้ืนถ่ินอีสานซึ่งดาเนินไปพร้อมกระแส
สังคมสังคมและวฒั นธรรมทุกยุคสมยั ตลอดจนโลกยคุ โลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรม ไปสู่
สงั คมอุตสาหกรรม ยุคเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการส่ือสาร การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค เรื่อยมาจนถึง
โลกยุคดิจิทัล จวบจนปัจจุบัน คือ โลก Digital 4.0 ยุค Machine-to-Machine เป็นยุคที่การพัฒนา
เทคโนโลยีทาใหอ้ ปุ กรณอ์ เิ ล็กทรอนิกสต์ ่างๆ มคี วามฉลาดสามารถติดตอ่ สือ่ สารและส่งั การให้ทางานเองได้
อยา่ งอัตโนมตั สิ ามารถเปิด-ปิด หรือส่ังงานผ่านแอพลิเคช่ันได้โดยไม่ต้องกดสวิตช์ท่ีตัวอุปกรณ์การส่ังงาน
ดว้ ยคาพดู ในโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน ให้ถ่ายภาพหรือเขยี นข้อความโดยอตั โนมัติในยุคนี้เทคโนโลยีดิจิทัล
เช่น Mobile Platform, AI หรือปญั ญาประดษิ ฐ์, 3D Printing,Internet of Things, Fintech จะมาเขา้ มา
เป็นส่วนหนึง่ ของการใช้ชวี ิตประจาวันของคนในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ องค์กรต่างๆจึง
ตอ้ งปรับตวั ใหท้ นั กบั การพัฒนานวตั กรรมตา่ งๆ บนโลกดจิ ทิ ัล เพอื่ นมาพัฒนาปรบั ปรงุ การดาเนินกิจกรรม
ต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องโดยไม่ให้เกิดผลกระทบและสร้างความเสียหายอย่าง
รุนแรงต่อไปยุด 4.0 (พลตรี ปัณณทัต กาญจนะวสิต,2564: 1-5 ) ซึ่งเป็นปรากฏการทางสังคมที่ทุกคน
สามารถเรียนรู้และการนาเสนอผลงานทางด้านวิถีการดารงชีวิตในทุกแง่มมุมตลอดจนกิจกรรมทางด้าน
ศิลปะและวัฒนธรรมได้อย่างเสรี ภายไต้กฎหมาย พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทาความผิด
เก่ียวกบั คอมพวิ เตอร์ ซงึ ปัจจุบันนจี้ ะเห็นผลงานการแสดงและการนาเสนอดนตรตี ่างๆตลอดจนผลงานการ
แสดงหมอลาหมอแคนซงึ่ ได้รบั ความนิยมเป็นอย่างมาก ในปจั จบุ ัน
อดีต มีไวเ้ พื่อละลกึ ถึงทมี่ า คือ การแสดงถงึ ความกตญั ญู
การพฒั นาตัวเองเพือ่ นาพาซีวติ ไปสู่ความสาเรจ็ คือ การเชิดชูบพุ การี
การมีคุณธรรม จรยิ ะธรรม และศิลธรรม คือ การเทิดทลู พระคุณอาจารย์
การยดึ มั่น ถอื มนั่
อดีต ความสาเร็จ ละเลย คณุ ธรรม จริยะธรรม และศิลธรรม
คือการไมก่ ตัญญูต่อบุพการีและอาจารย์
2001 211 3ซF่งึ oเlkปMน็ usกic าSkรillนs 3าพาชวี ิตไปสู่หว้ 3ง1เ3หวอเวจแี ละความหชาาตยอิ านชาะพาลีละพสิษฐก์ ลุ
******************** ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
คําส่งั : ให้นิสิตตอบคาถามตอ่ ไปนี้โดยใชห้ ลักการเขยี นเชิงพรรณนาและวเิ คราะหพ์ รอ้ มยกตวั อยา่ ง
ในประเด็นคาถามตอ่ ไปนี้
1. ใหน้ ิสติ เขียนเล่าถึงความสาคญั ของผู้ทจี่ ะประสอบผลสาเร็จในด้านการเรียนดรตรีพรอ้ มเขียน
อธิบายยกตัวอยา่ งประกอบ
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
2. ให้นิสิตเขยี นอธบิ ายถงึ ความสาคญั ของวฒั นธรรมดนตรีพรอ้ มยกตวั อย่างในการอธบิ าย
............................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................. ............................................
3. ให้นสิ ติ เขียนอธบิ ายถึงความเป็นมาของแคนในวฒั นธรรมรว่ มอษุ าอาคเนย์พรอ้ มยกตัวอยา่ งใน
การอธิบาย
............................................................................................................................. ............................................
.........................................................................................................................................................................
4. ใหน้ สิ ิตเขยี นอธิบายถึงความเป็นมาของแคนในวฒั นธรรมไทยพรอ้ มยกตัวอย่างในการอธบิ าย
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
5. ให้นสิ ิตเขียนอธบิ ายถึงความเป็นมาของแคนในวัฒนธรรมอีสานพรอ้ มยกตัวอย่างในการอธบิ าย
............................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................. ............................................
6.ให้ผเู้ รยี นเขยี นสรุปเนอ้ื หาบทท่ี 1 ตามทศั นะของผู้เรียนพร้อมเสนอแนะแนวทางการปรบั ปรุง
แกไ้ ขรายละเอยี ดเพือ่ ให้มคี วามสอดคล้องสง่ เสรมิ ปจั จยั ตา่ งๆให้ผเู้ รยี นไดอ้ งคค์ วามรู้
............................................................................................................................. ............................................
.........................................................................................................................................................................
หมายเหตุ** ให้นสิ ิตตอบคาถามโดยการพมิ พ์ในกระดาษ A4 แลว้ เยบ็ มมุ สง่ ตามวนั เวลาทกี่ าหนด
ในเวลา เรียน และให้นสิ ใิ ช้ ฟอนด์ TH Sarabun PSK ขนาด ตัวอกั ษร 16 พอยท์ พิมพ์เอกสารเท่านั้น
2001 211 3 Folk Music Skills 3 32 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐ์กุล
ทักษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
เอกสารอ้างอิง
กิตตวิ ัฒน์ สัตนาโค. ศิลปะการเป่าแคนทานองพนื้ บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัย
ศรนี ครินทรวิโรฒ, 2535
เจรญิ ชัย ชนไพโรจน์. ดนตรแี ละการละเลน่ พื้นบ้านอสี าน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
ศรนี ครนิ ทรวิโรฒมหาสารคาม, 2526
ปรานี วงษ์เทศ. “พธิ กี รรมของชาวไทยภาคเหนือ” ใน พนื้ บ้านเมอื ง. หน้า 225-234.กรงุ เทพฯ
:เจา้ พระยา, 2525.
ปรีชา พณิ ทอง,วรรณคดอี ีสานเรอื่ ง ขูลู นางอว้ั กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ศิรธิ รรม, 2524
ปรีชา พณิ ทอง. วรรณกรรมพืน้ เมอื ง.ผาแดงนางไอ,่ กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ศริ ธรรม, 2524
ปรีชา พณิ ทอง. วรรณกรรมพนื้ เมือง.นางนกกระจอกนอ้ ย,กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พ์ศิรธรรม, 2524
ปรีชา พณิ ทอง. วรรณกรรมพน้ื เมอื ง.สงั ขศ์ ลิ ป์ชัย,กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พศ์ ิรธรรม, 2524
ไพบูลย์ แพงเงนิ . กลอนลา – ภูมปิ ัญญาของอสี าน. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร,์ 2534.
ศภุ ชยั สิงหย์ ะบศุ ย์ และคณะ. (2559). สารานุกรมศลิ ปวัฒนธรรมอสี าน“จติ รกรรมฝาผนงั พทุ ธ
อโุ บสถแบบดัง้ เดิมในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ”มหาสารคาม. มหาสารคาม: [ม.ป.ท.].
สกุ รี เจริญสุข. ดนตรชี าวสยาม. กรงุ เทพฯ : วิทยาลัยดรุ ิยางคศิลป์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล, 2538.
สจุ ิตต์ วงษเ์ ทศ. พลังลาวชาวอสี านมาจากไหน. กรงุ เทพฯ : มติชน, 2549.
ลลี า วีรวงศ์. ฮตี สบิ สอง. แปลโดย อุดม พระประเสรฐิ และพิชยั ศรภี ูไพ. อบุ ลราชธานี :
วิทยาการพิมพ,์ 2529.
สานักงานคณะกรรมการสง่ เสริมวทิ ยาศาสตร์ วิจัยและนวตั กรรม.กล่มุ ชาตพิ นั ธุใ์ นประเทศไทย
งานวิจัยและความท้าทาย กรุงเทพมหานคร.2564 .
อเนก นาวกิ มลู . เพลงนอกศตวรรษ. พิมพ์ครั่งท่ี 3. กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ, 2527.
"การเวก ๑". พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑติ ยสถาน. สืบคน้ เม่ือ 27 September 2014.
"นกการเวก". สนกุ ดอตคอม. 26 November 2013. สบื คน้ เมอื่ 27 September 2014.
Roger Blench.Why are Aslian-speakers Austronesian in culture?, Paper presented at
the Preparatory meeting for ICAL, Paper presented at the Preparatory
meeting for ICAL-3 EFEO, SIEM REAP, 28-29th JUNE 2006
Laurent Sagart , The Roots of Old Chinese, John Benjamins Publishing, 1999 p.13
Shinchosha (1985). 新潮世界美術事典 (Shincho Encyclopedia of World Art).
Shinchosha. ISBN 4-10-730206-7.
2001 211 3 Folk Music Skills 3 33 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ทักษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
บทท่ี 2
พลวัตวัฒนธรรมการเรียนเปา่ แคน
เน้ือหาประจาํ บทเรียน
1. พลวัตวัฒนธรรมการเรยี นเป่าแคน
2. วธิ ีการถ่ายทอดการเปา่ แคนแบบโบราณ
3. วิธกี ารถา่ ยทอดการเป่าแคนในปัจจุบัน
จดุ มุ่งหมายการเรยี นการสอน
1. เข้าใจและสามารถพลวัตพลวัตวัฒนธรรมการเรยี นเป่าแคนได้
2. เข้าใจและสามารถอธิบายวิธกี ารถ่ายทอดการเปา่ แคนแบบโบราณได้
3. เข้าใจและสามารถอธิบายวิธกี ารถ่ายทอดการเป่าแคนในปจั จบุ ันได้
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
1. ผเู้ รียนพลวัตพลวัตวัฒนธรรมการเรยี นเป่าแคน
2. ผู้สอนอธบิ ายความสาคัญของพลวัตการถา่ ยวฒั นธรรมดนตรีในสังคมอีสานเปิดโอกาส
ใหผ้ เู้ รยี นซกั ถาม
3. ผ้สู อนอธิบายวธิ ีการถ่ายทอดการเป่าแคนแบบโบราณและเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซักถาม
4. ผสู้ อนอธบิ ายวิธกี ารถา่ ยทอดการเป่าแคนในปจั จบุ นั และเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนซักถาม
ส่ือการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. Powerpoint คลปิ วดี ีโอ
3. สอื่ multimedia, Social Network
การวดั ผลและประเมนิ ผล
1. พิจารณาการซักถามสรปุ บทเรยี น
2. พิจารณาการอภิปรายการแสดงความคิดเหน็ พฤตกิ รรมการปฏิบัตติ ัวในคาบเรียน
3. การมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรียนการสอน
4. ตอบคาถามท้ายบท
2001 211 3 Folk Music Skills 3 34 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล