ทกั ษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบน้ีปฏิเสธการแสวงหาไม่ได้เพราะการดารงชีวิตเพื่อความอยู่รอด
ปลอดภัยจากสรรพส่ิงตา่ งๆนัน้ ตอ้ งอาศยั การเรียนรู้และประสบการณเ์ พ่ือคลีค่ ลายปัญหาต่างๆให้เบาบาง
และสามารถการดาเนินชีวิตไปในสังคมได้อย่างปกติสุข เพราะมนุษย์คือสิงมีชีวิตที่ต้องสร้างสังคมอาศัย
สงั คมในการดารงชวี ิตและส่ิงสาคญั คอื ทุกสงั คมตอ้ งมกี ารสรา้ งและกาหนดขอบเขต ระเบียบวิถีปฏิบัติใน
การอยู่รว่ มกัน เชน่ ขนบ ธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรมและวัฒนธรรม เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ
โดยเฉพาะพื้นฐานท่ีทุกคนควรมีประดับติดตัวไว้ คือ มารยาททางสังคมซึ่งเป็นสิ่งท่ีแต่ละกลุ่มชนแสดง
ออกมาทางพฤตกิ รรมต่างๆสะท้อนให้เห็นแนวคิดและวิถีปฏิบัติ ซ่ึงสามรถคัดกรองชนช้ันทางสังคมให้มี
ความลดลนั่ แยกกนั เปน็ กลุ่มๆ ตามลาดับความสาคัญของกลุ่มคนในสังคมน้ันๆ ดังคากล่าวทีว่ า่ สาเนียงส่อ
ภาษา กิรยิ าสอ่ สกุล ดงั นัน้ การจัดระเบยี บสังคมและการสบื ทอดวัฒนธรรมต่างๆจึง้ป็นการกาหนดทิศทาง
วิวฒั นาการความเจริญของกลมุ่ ชน
พลวตั วัฒนธรรมการเรยี นเป่าแคน
สงั คมอสี านเปน็ สงั คมพหุวฒั นธรรม ซ่งึ มคี วามหลายหลายทางชาติพันธุ์ อาศยั อยู่ร่วมวฒั นธรรม
เดยี วกันระบบวิถแี หง่ การดารงชีวติ ทอ่ี ยู่ภายใต้แรงขบั เคล่อื นของกฎระเบยี บ ขนบ ธรรมเนียม ประเพณี
และวัฒนธรรม หรอื ทเี่ รียกวา่ กระบวนการขัดเกลาทางสังคม นัน้ มอี ยู่ 2 ลักษณะ คือ
1. การขัดเกลาทางสงั คมโดยตรง ไดแ้ กก่ ารอบรมสง่ั สอนขดั เกลาจากบิดามารดาทถี่ ่ายทอดใหก้ บั
ลกู 2) การขัดเกลาทางสงั คมโดยทางอ้อมไดแ้ ก่ ส่อื สง่ิ พิมพ์ แผน่ เสียง แถบบันทกึ เสียงการฟงั วิทยุ
โทรทัศน์ ซงึ่ มีตวั แทนทเ่ี ปน็ กระบวนการถา่ ยทอดทางวฒั นธรรมและค่านยิ มของกระบวนการขัดเกลาทาง
สังคมดงั น้ี
1.1. ครอบครัว เปน็ ตัวแทนสาคญั ทีสดุ ในการทาหนา้ ที่ขดั เกลาทางสงั คม เพราะเป็น
สถาบนั แรกที่เดก็ จะได้ระบบการอบรมสัง่ สอนและจะมคี วามผกู พันทางสายโลหิตอย่างลึกซึ้ง ซง่ึ จะมผี ลทาง
อารมณ์ ความประพฤติ เจตคติ ตลอดจนบคุ ลกิ ภาพองบุคคลมากทสี่ ุด เชน่ ถา้ ครอบครวั ไหนเป็น
ครอบครัวศลิ ปิน เมอื่ บดิ ามารดาไดเ้ หน็ แววศิลปิน กไ็ ด้ถา่ ยทอดความรู้ให้ ซง่ึ เปน็ การเรียนการสอนแบบบม่
เพาะ การอบรม และพรา่ สอน ในระบบทาญาติ
1.2. กลุ่มเพอื่ น เป็นตวั แทนทีทาหน้าทขี่ ัดเกลาทางสงั คมอกี หนว่ ยหนึง่ เนอื งจากกลุม่ แต่
ละกลุ่มย่อมมีระเบียบ ความเชือ่ และค่านยิ มเฉพาะกลมุ ตนเอง เชน่ การแสดงหมอลาหมอแคนในงานบญุ
ประเพณพี ธิ ีกรรมและการละเล่นเพอื่ ความบนั เทงิ ต่าง เช่น พิธีกรรมการเลี้ยงผกี ารรกั ษาคนป่วยด้วยหมอ
ลาผีฟ้า งานบุญประเพณฮี ีตสบิ สอง และการลงขว่ งของหนุ่มสาวชาวอสี านเปน็ ต้น
1.3. โรงเรยี น เป็นตวั แทนสงั คมท่ีทาหน้าท่โี ดยตรงในการขัดเกลาสมาชิกตง้ั แต่ในวยั เด็ก
จนถึงผใู้ หญ่ โดยอบรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีต่างๆของสงั คม ตลอดจนค่านิยม
และทักษะอนั จาเปน็ ใหแ้ กส่ มาชกิ ในสังคม
2001 211 3 Folk Music Skills 3 35 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
1.4. ศาสนา เป็นตัวแทนในการขัดเกลาจติ ใจของคนในสงั คมยึดม่ันในสงิ่ ทดี งี ามมศี ลี ธรรม
จรยิ ธรรม และความประพฤตใิ นทางท่ถี กู ท่คี วรโดยศาสนาจะมีอทิ ธพิ ลทางจิตวทิ ยาตอ่ บคุ คล ในการสรา้ ง
บคุ ลิกภาพเป็นอย่างมากเชน่ แสดงหมอลาหมอคนในงาบบญุ ประเพณี หมอลากจ็ ะขบั ร้องประกอบแคนโดย
การใชเ้ นื้อหาในการขบั รอ้ งอบรมสัง่ สอนเร่ืองคุณธรรม จริยธรรม วรรณกรรมท่ี ใหแ้ งค่ ดิ เกี่ยวกับการอยู่
ร่วมกันในสงั คมอย่างสงบสขุ
1.5. กล่มุ อาชพี อาชีพหมอแคนกจ็ ะมกี ารจัดระเบียบปฏิบตั เิ ฉพาะ เช่น การตัง้ ราคาใน
การเปา่ แคนใหห้ มอลาโดยมสี านกั งานคอยรบั งานให้ด้วยความสอ่ื สัตว์ไม่เอารดั เอาเปรยี บในการทางาน
รว่ มกันผทู้ ่เี ป็นสมาชิกใหมข่ องกลุ่มต่างๆกต็ ้องเรยี นรู้ประเพณขี องกลุ่มอาชีพทตี่ นเปน็ สมาชกิ อยู่
1.6. ส่อื มวลชน มีอทิ ธิพลตอ่ การเรยี นรขู้ อ้ มลู ขา่ วสารของสมาชกิ ในสังคมมีสว่ นในการขดั
เกลาทางสังคมแกม่ นษุ ย์ในด้านตา่ งๆ ทงั้ ด้านความคดิ ความเช่ือ แบบแผนการประพฤตปิ ฏิบตั ิ
จากแนวความคิดเกยี่ วกบั กระบวนการขดั เกลาทางสังคมท่ีกล่าวมานัน้ ผเู้ ขียนได้ลาดบั เหตุการ
ของการถ่ายทอดวฒั นธรรมดนตรีในภาคอีสาน ซง่ึ มีนกั ทฤษฎีคนสาคัญ คือ Edward B. Tylor (1832 -
1917) และ Lewis H. Morgan (1818 -1881) Tylor ทีไ่ ดร้ ับการยกย่องใหเ้ ป็นบดิ าแห่งมานษุ ยวทิ ยา
เจา้ ของผลงานทส่ี าคญั เรือ่ ง Anahuacและ Researches in the Early History of Mankind ซึ่งเขา
ช้ใี ห้เหน็ วา่ ในยุคด้งั เดมิ น้นั มนษุ ยจ์ ดั อยู่ในประเภทคนป่าเถอื่ นแต่เม่อื เวลาผ่านไปมนุษย์จะมวี วิ ฒั นาการ
ผา่ นกระบวนการทางสังคมจนกลายเปน็ สงั คมรงุ่ เรอื ง ดังน้นั ววิ ฒั นาการยอ่ มเริ่มจากง่ายไปสูย่ าก จาก
ความไม่เป็นระเบยี บไปส่คู วามเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยและโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พัฒนาการน้ยี ่อมเกย่ี วเนอ่ื ง
โดยตรงกบั “ความดขี ึ้น”(Betterment) ดว้ ยเหตุนี้ววิ ฒั นาการจึงหมายถงึ ความเจรญิ ก้าวหนา้ การก้าวเดนิ
ไปสูค่ วามเปน็ มนุษย์ทสี่ มบรู ณ์
แรงขบั เคลอ่ื นระบบวธิ ีคดิ และภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมทางดนตรีในภาคอีสานทสี่ ง่ ผ่านจากรุ่นสรู่ ุ่น
น้ัน ล้วนมีกระบวนการสัง่ สมสบื ทอดคติค่านิยมความเช่อื ประสบการณท์ ีแ่ ตกตา่ งกนั ไปตามหว้ งของเวลา
และ ปัจจยั แวดลอ้ มตา่ งๆ ซง่ึ ผเู้ ขียนจะขอกล่าวถงึ ลาดบั พฒั นาการสง่ ทอดวฒั นธรรมการเป่าแคน จากอดตี
จวบจนปัจจุบัน ซง่ึ เป็นสงิ่ ทผ่ี ้เู รียนเป่าแคนรุ่นปจั จบุ ันควรรู้และทราบไว้เปน็ แนวปฏบิ ตั อิ ย่างเคร่งครดั และ
ควรยืดถอื ไว้อยา่ งถาวร คือ ขนบธรรมเนียมในการเรียนและการแสดงแคนวง ซงึ ถ้าแม่นวา่ การแสดงไดๆก็
ตามทพี่ งึ มีและเกดิ ขน้ึ เพอ่ื รบั ใชส้ งั คมแล้ว ขาดซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณกี ็ถอื วา่ ไรซ้ ึ่งแก่นสารและทมี่ า
คุณปู ระการคณุ ค่าของครผู ู้ถา่ ยทอดก็จะไมเ่ หลือไวเ้ พอ่ื สกั การบูชา ถา้ หากผเู้ รยี นเป่าแคน ณ ปจั จบุ นั การนี้
ไม่รูจ้ ักธรรมเนียมแนวปฏบิ ตั ิตอ่ บิดามารดาครอู าจารยแ์ ละขนบขน้ั ตอนการแสดง เปา่ แคน คนผ้นู ้นั ถือว่า
เป็นบุคคลอักกตญั ญู ไม่ร้จู กั บญุ คณุ ไม่มคี วามเคารพ และเยยี บยา่ เกียรติของบพุ การบี รู พาจารย์ ผู้ใหก้ ่อน
โดยไม่หวงั สง่ิ ตอบแทน ถ้าหากศลิ ปินผู้ไดมีพฤตกิ รรมเชน่ ทกี่ ล่าวมาเบอ้ื งตน้ กจ็ กั หาความเจริญในทางดุริ
ยางคศาสตรไ์ ม่ได้เลย แมก้ ระทง้ั การประกอบสมั มาอาชีพในการดารงชีวติ ก็จะไมร่ าบรนื่ คดิ หรอื ปรารถนาสง่ิ
ไดกจ็ ะไมป่ ระสบผลสาเร็จจวบจนวันสุดทา้ ยของชีวิต
2001 211 3 Folk Music Skills 3 36 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กุล
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ขนบธรรมเนยี มการเรียนเป่าแคนแตโ่ บราณและพฒั นาการทางดา้ นศิลปะการเปา่ แคนทส่ี ง่ั สมมา
ต้ังแต่อดตี นน้ั ไม่ได้มีหลักฐานแนช่ ดั วา่ เริม่ มีวิธีการถา่ ยทอดการเปา่ แคนเมือ่ ไรแตผ่ ูเ้ ขียนไดล้ าดบั เหตกุ ารณ์
และกลวิธีการสอนของศิลปินที่ใหส้ มภาษณ์เป็นหลักในการอธบิ ายวิธกี ารถา่ ยทอดจากรนุ่ หนงึ่ ไปสอู่ กี รุน่
หนึง่ โดยจะสงั เกตพัฒนาการและการปรบั เปล่ยี นวิธีการสอนแล้วสรปุ เปน็ ข้ันตอนโดยใชท้ ฤษฎีและแนวคิด
ทางมานุษยวทิ ยาและสังคมวทิ ยา คือ ทฤษฏวี วิ ัฒนาการและแนวคิดการขดั เกลาทางสังคมวเิ คราะห์ขอ้ มลู
และอนุมารผลการค้นคว้าซงึ ผูว้ จิ ยั ได้สรปุ ในเชงิ พรรณนา วิเคราะห์ ดงั นี้
ในอดตี การสบื เนอ่ื งศลิ ปะการเปา่ แคนในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื นน้ั เป็นการถ่ายทอดโดยระบบ
วถิ ีการดารงชวี ิตภายใตก้ ฏระเบียบขนมธรรมเนียมประเพณแี ละวฒั นธรรม หรือทเ่ี รยี กวา่ การขัดเกลาทาง
สังคม ซงึ่ มอี ยู่ 2 ลกั ษณะ คือ
1. การขดั เกลาทางสงั คมโดยตรง ได้แก่การอบรมสงั่ สอนขัดเกลาจากบิดามารดาทีถ่ า่ ยทอดให้กบั
ลูก 2) การขดั เกลาทางสงั คมโดยทางออ้ มได้แก่ สอ่ื สงิ่ พมิ พ์ แผ่นเสียง แถบบนั ทกึ เสยี งการฟังวิทยุ
โทรทศั น์ ซง่ึ มีตวั แทนทเี่ ปน็ กระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและคา่ นยิ มของกระบวนการขัดเกลาทาง
สังคมดงั น้ี
1.1. ครอบครวั เปน็ ตัวแทนสาคญั ทีสดุ ในการทาหน้าท่ีขัดเกลาทางสังคม เพราะเปน็
สถาบนั แรกทเ่ี ดก็ จะไดร้ ะบบการอบรมสงั่ สอนและจะมคี วามผกู พนั ทางสายโลหิตอย่างลกึ ซึ้ง ซง่ึ จะมีผลทาง
อารมณ์ ความประพฤติ เจตคติ ตลอดจนบุคลกิ ภาพองบุคคลมากทสี่ ดุ เชน่ ถ้า ครอบครวั ไหนเปน็
ครอบครวั ศิลปิน เมอื่ บิดามารดาได้เหน็ แววศลิ ปนิ ก็ได้ถ่ายทอดความรใู้ ห้ ซงึ่ เปน็ การเรียนการสอนแบบบ่ม
เพาะ การอบรม และพรา่ สอน ในระบบทาญาติ
1.2. กลุม่ เพ่ือน เปน็ ตัวแทนทีทาหน้าทขี่ ัดเกลาทางสงั คมอีกหนว่ ยหนง่ึ เนืองจากกลุม่ แต่
ละกลุม่ ย่อมมีระเบยี บ ความเชอ่ื และค่านยิ มเฉพาะกลมุ ตนเอง เชน่ การแสดงหมอลาหมอแคนในงานบุญ
ประเพณพี ิธกี รรมและการละเลน่ เพอื่ ความบันเทงิ ต่าง เช่น พิธีกรรมการเลยี้ งผกี ารรักษาคนปว่ ยดว้ ยหมอ
ลาผีฟ้า งานบุญประเพณฮี ตี สิบสอง และการลงขว่ งของหนมุ่ สาวชาวอีสานเปน็ ต้น
1.3. โรงเรยี น เปน็ ตัวแทนสังคมท่ที าหนา้ ท่ีโดยตรงในการขัดเกลาสมาชิกต้ังแตใ่ นวัยเดก็
จนถึงผ้ใู หญ่ โดยอบรมดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณตี ่างๆของสงั คม ตลอดจนคา่ นิยม
และทกั ษะอนั จาเป็นให้แกส่ มาชกิ ในสงั คม
1.4. ศาสนา เป็นตัวแทนในการขดั เกลาจติ ใจของคนในสงั คมยดึ มั่นในสงิ่ ทีดีงามมศี ลี ธรรม
จริยธรรม และความประพฤตใิ นทางทีถ่ ูกท่ีควรโดยศาสนาจะมีอิทธิพลทางจิตวิทยาตอ่ บุคคล ในการสร้าง
บุคลกิ ภาพเปน็ อย่างมากเช่นแสดงหมอลาหมอคนในงาบบุญประเพณี หมอลากจ็ ะขับรอ้ งประกอบแคนโดย
การใชเ้ นอ้ื หาในการขบั ร้องอบรมส่ังสอนเรอื่ งคณุ ธรรม จรยิ ธรรม วรรณกรรมที่ ใหแ้ ง่คดิ เกีย่ วกบั การอยู่
ร่วมกันในสงั คมอยา่ งสงบสุข
2001 211 3 Folk Music Skills 3 37 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
1.5. กลุ่มอาชีพ อาชพี หมอแคนก็จะมกี ารจดั ระเบียบปฏบิ ัตเิ ฉพาะ เช่น การตง้ั ราคาใน
การเป่าแคนให้หมอลาโดยมีสานกั งานคอยรบั งานให้ดว้ ยความสื่อสตั วไ์ มเ่ อารัดเอาเปรียบในการทางาน
ร่วมกันผทู้ ่เี ปน็ สมาชกิ ใหมข่ องกลุ่มต่างๆกต็ อ้ งเรยี นร้ปู ระเพณขี องกล่มุ อาชพี ทีต่ นเป็นสมาชิกอยู่
1.6. สอ่ื มวลชน มอี ิทธพิ ลตอ่ การเรยี นรู้ขอ้ มลู ขา่ วสารของสมาชิกในสงั คมมีส่วนในการขดั
เกลาทางสงั คมแกม่ นษุ ยใ์ นดา้ นตา่ งๆ ทงั้ ดา้ นความคดิ ความเชือ่ แบบแผนการประพฤตปิ ฏบิ ัติ
จากแนวความคิดเก่ยี วกับกระบวนการขดั เกลาทางสังคมทีก่ ลา่ วมานั้น ผ้เู ขยี นได้ลาดบั เหตุการ
ของวิธกี ารถ่ายทอดการเป่าแคนโดยใช้ ทฤษฎีวิวฒั นาการทางวฒั นธรรม ในเชิงประวตั ิศาสตรซ์ ึ่งมีนกั ทฤษฎี
คนสาคญั คอื Edward B. Tylor (1832 - 1917) และ Lewis H. Morgan (1818 -1881) Tylor ทไี่ ดร้ ับ
การยกย่องใหเ้ ป็นบดิ าแหง่ มานุษยวทิ ยา เจ้าของผลงานทสี่ าคัญ เรอื่ ง Anahuacและ Researches in the
Early History of Mankind ซงึ่ เขาช้ใี ห้เห็นว่าในยคุ ดง้ั เดมิ นนั้ มนุษยจ์ ดั อยใู่ นประเภทคนปา่ เถ่อื นแตเ่ มอื่
เวลาผา่ นไปมนษุ ยจ์ ะมวี วิ ัฒนาการผา่ นกระบวนการทางสังคมจนกลายเปน็ สงั คมรงุ่ เรอื ง ดังนั้น วิวัฒนาการ
ย่อมเร่มิ จากงา่ ยไปส่ยู าก จากความไมเ่ ปน็ ระเบียบไปสู่ความเป็นระเบียบเรยี บร้อยและโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
พัฒนาการน้ยี อ่ มเกย่ี วเนอื่ งโดยตรงกบั “ความดีข้ึน”(Betterment) ดว้ ยเหตนุ ว้ี ิวฒั นาการจึงหมายถึงความ
เจรญิ ก้าวหนา้ การก้าวเดนิ ไปสู่ความเปน็ มนุษยท์ ส่ี มบรู ณ์ ฉะน้นั ประวตั ิความเปน็ มาของวธิ กี ารถา่ ยทอด
การเปา่ แคนนั้นจึงอธบิ ายโดยการพรรณนาลาดบั ขั้นตอนการสบื ทอดการเปา่ แคนดงั ต่อไปนค้ี นอสี าน
สว่ นมากนนั้ เร่ิมฝกึ เปา่ แคนโดยมีแรงบันดาลใจมาจากการไดเ้ หน็ ไดฟ้ ังสมาชิกในครอบครัวหรอื เพอ่ื นบ้าน
แสดงในงานบุญประเพณีพธิ ีกรรมและการละเลน่ เพื่อความบนั เทงิ
ต่าง เชน่ พธิ กี รรมการเล้ียงผี การรกั ษาคนป่วยดว้ ยหมอลาผฟี า้ งานบุญประเพณฮี ตี สบิ สอง และ
การลงข่วงของหนุ่มสาวชาวอสี าน ขว่ ง หมายถงึ บรเิ วณสนามยกพน้ื หรอื บรเิ วณลานบ้านเพอื่ ใหห้ ญิงสาว
ชาวอีสานนง่ั ปนั่ ไหมหรอื ปั่นฝา่ ยในเวลากลางคนื ฉะนั้นการลงขว่ งคอื การรวมกล่มุ กันของคนหนมุ่ สาว
ชาวทอ้ งถ่นิ อสี าน ในบริเวณลานบ้านทมี่ ียกพนื้ ใหห้ ญงิ สาวน่งั ทอเสือ้ ป่ันไหม ป่นั ฝา้ ย หรอื ทางาน
หตั ถกรรมในเวลากลางคืนมชี ายหนุม่ มาร่วมกจิ กรรมลงข่วง เพ่ือพดู คุยหยอกลอ้ ตลอดจนเก้ียวสาว ๆ
ท่ีตนชอบและพอใจการรวมกลมุ่ พบปะสังสรรคก์ ันโดยใช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ โดยใช้แคนเป็น
เครอ่ื งมือสอ่ื ใจระหวา่ งหนมุ่ สาวจงึ ทาให้กลมุ่ วัยรนุ่ ใหค้ วามสนใจในการเป่าแคนเปน็ อย่างมากและถา้ ใคร
เป่าแคนเพราะกจ็ ะมสี าวๆ มาชอบเยอะ จนมีคาพูดประชดประชันกนั วา่ ถา้ ใครเปา่ แคนไมเ่ ปน็ กไ็ มไ่ ด้
เมีย ดว้ ยเหตทุ เ่ี ยาวชนคนอีสานได้ มีโอกาสเรยี นรใู้ นระบบการดาเนนิ ชวี ิต แมใ้ นยามทางานหรือยาม
ว่างเว้นจากการทาไร่ไถนาก็ได้ยนิ ไดฟ้ งั การเสียงแคน อย่เู ปน็ ประจาจงึ เกดิ ความรักในเสียงแคนแล้วจงึ
เร่มิ เรยี นเปา่ แคน โดยวธิ กี ารเลียนแบบ ซงึ่ เรียกว่าเปน็ การเรยี นแบบ ครูพกั ลกั จา และถา้ ครอบครวั
ไหนเปน็ ครอบครวั ศลิ ปนิ เมือบิดามารดาไดเ้ ห็นแววศิลปินกไ็ ด้ถา่ ยทอดความรใู้ ห้ ซ่งึ เปน็ การเรยี นการ่
สอนแบบบม่ เพาะ การอบรม และพํร่าสอน ในระบบทาญาติ หรอื ถ้าครอบครวั ไหนไมใ่ ช้ครอบครัวศิลปนิ
บิดามารดากจ็ ะพาไปฝากกบั ครอบครัวศลิ ปนิ หมอแคนเพอื เรียนอยา่ งเปน็ จรงิ เป็นจงั แตก่ ็มหี มอแคนอีก่
ส่วนหนง่ึ ทีส่ ามารถเปา่ แคนไดเ้ องโดยการศกึ ษาจากการลกั จาศลิ ปนิ หมอแคนที่มีชือ่ เสยี งอื่นๆแลว้ นามา
2001 211 3 Folk Music Skills 3 38 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กุล
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ฝกึ หดั ด้วยตนเอง สาหรบั วิธกี ารถ่ายทอดการเปา่ แคนน้ันมีขัน้ ตอนในการเรยี นรู้ ดงั ต่อไปนี้
วิธีการถ่ายทอดการเปา่ แคนแบบโบราณ
1. การรบั ลูกศษิ ย์
การรับลกู ศษิ ย์เป็นขั้นตอนแรกผสู้ อนตอ้ งพจิ ารณาผเู้ รียนและในการคดั เลือกลูกศษิ ย์แตล่ ะคนนัน้ ผสู้ อน
จะต้องใหพ้ อ่ แม่ของผทู้ จี่ ะเรยี นน้นั มาเปน็ สกั ขีพยานในการรบั รู้ กล่าวคือ ต้องมีพ่อแม่นามาฝากเรยี นทบี่ า้ น
ของครบู างคนถงึ กบั ฝากเป็นลกู บญุ ธรรม ในการรบั เป็นลูกศษิ ย์กจ็ ะมกี ารจัดเตรยี ม ดอกไม้ธปู เทยี น ขันธ์ 5
บชู าในการขอเป็นลกู ศิษย์
2. พิธกี รรมความเชือ่ กับการเรียนเปา่ แคน
พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ใหค้ วามหมายของคาวา่ พิธีกรรม วา่ หมายถึง การบูชา
แบบอยา่ ง หรอื แบบแผนต่างๆทป่ี ฏิบตั ิในทางศาสนา จากความหมายของพธิ กี รรมดงั กลา่ วการสบื ทอดและ
ถา่ ยทอดความรู้เรอ่ื งแคนน้ี จงึ มีพธิ กี รรมทีเ่ กย่ี วขอ้ งเกิดขนึ้ จากความเชือ่ พน้ื ฐานของคนในทอ้ งถน่ิ อีสาน
พิธีกรรมดังกลา่ วคอื พธิ กี รรม “ยกคายอ้อ” ซง่ึ จากการสมั ภาษณ์ศลิ ปนิ หมอแคนทเ่ี ลือกศกึ ษา 8 ทา่ นพบว่า
การยกคายออ้ สามารถจดั ทาได้ 3 ลกั ษณะ ซึงขึน้ อยู่กบั โอกาสทจ่ี ะใช้ประกอบพิธกี รรม ดังน้ี
2.1 การยกคายออ้ ในพิธีไหว้ครูเพ่อื มอบตัวเป็นศษิ ย์
ขั้นตอนการยกคายอ้อนเี้ ป็นพธิ ีกรรมท่สี าคัญสาหรับผ้ทู ตี่ ้องการเรยี นเป่าแคนอยา่ งจรงิ จงั และถือวา่
เปน็ พิธีกรรมทศี่ กั ดส์ิ ทิ ธเิ พราะว่าจะต้องมกี ารจัดตรียมเคร่ืองบูชาครู หรือเรยี กว่าคายออ้ แล้วหาฤกษง์ าม
ยามดีทีค่ รูถอปฏบิ ัติมา ซ่ึงครูแคนแตล่ ะหมบู่ ้านแต่ละพ้นื ทก่ี จ็ ะมีวํิธีแตกตา่ งกันไปตามกระบวนการทไ่ี ด้
เรียนรมู้ า และการไหว้ครนู จ้ี ะจัดขน้ึ ตอนท่ีผเู้ รยี นสามารถเปา่ แคนลายพ้ืนฐานได้ เช่น ลายใหญ่ ลายผู้บา่ ว
เลาะบา้ น และตอ้ งผ่านขน้ั ตอนการทดสอบนสิ ัยใจคอของผเู้ รียนหลายอย่าง เช่น การมีสมั มาคารวะ รจู้ ัก
เคารพผใู้ หญ่ และเปน็ ผทู้ มจี ิตใจโอบอ้อมอารี รจู้ กั ชว่ ยเหลือผูอ้ ่ืน และทสี าคัญจะตอ้ งเปน็ ผทู้ ี่ใฝ่เรยี นใฝร่
ขยันหม่นั เพียร ครูแคน จึงเขา้ ทาพธิ กี ารยกคายออ้ เพอ่ื แสดงความเคารพครู และแสดงความตัง้ ใจว่าจะ
เรียนอย่างจรงิ จังเพื่อประกอบอาชีพเมอ่ื ครพู จิ ารณาวา่ ผเู้ รยี นมแี ววในการทจ่ี ะนาวชิ าความรไู้ ปประกอบ
อาชพี หมอแคนในอนาคตได้ ครูจึงรบั คายออ้ ท่ศี ิษยน์ ามามอบให้ แตก่ ็มผี ้เู รยี นเป่าแคนหลายท่านทีมีความ
เชอ่ื วา่ ต้องทาพิธกี รรมยกคายอ้อกอ่ นการเริ่มเรยี นเปา่ แคน เนอื่ งจากเปน็ ความเชอื่ ของครผู สู้ อนทรี่ บั สบื
ทอดมาวา่ หากไมป่ ฏบิ ตั ิการยกคายออ้ แล้วจะไมป่ ระสบความสาเร็จในการเรียนเพราะครทู ลี่ ่วงลบั ไปแล้ว
จะโกรธ และอาจทาใหเ้ กิดผลร้ายกับผ้ทู ไี่ มป่ ฏิบัติตาม
2.2 การยกคายออ้ ก่อนแสดง
การยกคายอ้อกอ่ นการแสดงการเปา่ แคนน้ันเป็นการทลี่ กู ศิษยร์ ะลกึ ถงึ ครบู าอาจารยท์ งั่ ทีม่ ชี วี ติ อยู่
และทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ รวมถงึ การบอกกล่าวเจ้าท่ีเจา้ ทาง ณ ทีต่ นไปแสดงเพ่ือให้ทง้ั ครแู ละเจา้ ที่รวมทัง้
วิญญาณทีอ่ ย่รู อบๆ บรเิ วณน้ันไดร้ บั ทราบอีกทั้งยงั ขอใหส้ งศักดส์ิ ทิ ํธ์ิทั้งหลายทห่ี มอแคนนับถอื ช่วยอานวย
พรใหก้ ารแสดงเป็นไปได้ความราบรืน่ ไม่มีอปุ สรรคปญั หาใดๆให้เปน็ ที่ช่ืนชอบของผู้ชม ณ ที่น้ัน หมอแคน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 39 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
สว่ นมากให้ความสาคญั ของการทาพิธีการยกคายออ้ กอ่ นการแสดงเป็นอยา่ งยิง่ และเป็นทห่ี นา้ สังเกตว่าผทู้ ี่
เปน็ เจ้าภาพในการแสดงมกั จะรบู้ ทบาทหนา้ ทขี่ องตนในการชว่ ยเตรยี มคายออ้ ให้แก่ศลิ ปนิ ตามทศี ิลปิน
กาหนดกอ่ นการแสดง เน่อื งจากความเชอ่ื ในพธิ กี รรมยกคายอ้อกอ่ นแสดงนีไ้ ด้ถกู ถ่ายทอดสบื ต่อกันมาจาก
รนุ่ หน่งึ ไปยงั อกี รุ่นหนึ่ง จากบา้ นหนงึ่ ไปสู่อกี บา้ นหนงึ่ จนเปน็ ท่รี ู้และเข้าใจในชมุ ชนน้นั แม้วาพวกเขามิไดม้ ี
ความรูด้ ้านการเรยี นเป่าแคนมากอ่ น ทเ่ี ปน็ เช่นนกี้ เ็ พราะวา่ แคนได้เขา้ ไปมีบทบาทในวิถชีวติ ของชาวอีสาน
จนชาวบา้ นเกดิ ความคุ้นเคยกบั วฒั นธรรมการเป่าแคน
2.3 การไหวค้ รูประจําปี
การทาพิธไี หวค้ รปู ระจาปี เป็นพิธกี รรมทสี่ าคัญมาก เพราะวา่ จะตอ้ งจดั ใหญก่ ว่า 2 ครง้ั ทก่ี ลา่ วมา
เคร่ือง เซ้นไหว้กจ็ ะจดั เตรียมใหเ้ ตรียมครบทกุ อย่างหา้ มขาด สถานท่ปี ระกอบพิธีกรรมนนั้ สว่ นมากจะจัดที่
บา้ นของครผู ูส้ อน ส่วนลกู ศิษย์กจ็ ะนาเครอ่ื งบูชามาจดั รวมกนั ท่บี า้ นครู เพราะว่า ถอื ว่าเป็นการพบปะ และ
ถือว่าเป็นวันรวมลกู ศิษยท์ ่ีเรียนเปา่ แคนซึ่งได้มากราบไหว้ครเู ป็นประจาทุกปี และทาให้ลกศษิ ยท์ ่ีมาเรียน
แคนไดป้ รึกษาแลกเปลย่ี นเรียนรเู้ กย่ี วกับการเปา่ แคนซง่ึ ทาใหผ้ ู้มาเรียนแคนนั้นรจู้ ักกนั เป็นรนุ่ ๆไป
สาหรบั คายอ้อทีต่ ้องจัดเตรยี มในแตล่ ะปแี ละการกาหนดฤกษ์ยามก็จะมลี ักษณะแตกตา่ งกนั ตามที่
ครูสอนแคน ซง่ึ สว่ นมากกจ็ ะกาหนดวันเวลาในการจัดพธิ ีตามหลกั โหราศาสตรโ์ บราณอสี าน เชน่ จัดพธิ ีใน
วันอังคารขา้ งขึ้นเป็นวันประกอบพธิ กี รรม ซงึ มีความเชื่อวนั องั คารเป็นวนั ทม่ี กี่ าลงั แรง หากทากจิ ที่เปน็
มงคลกจ็ ะประสบความสาเรจ็ ส่วนการถือเอาวันข้างขึ้นเป็นวนั ประกอยพธิ ีน้นั สนั นิษฐานว่าเนื่องมาจาก
ความเช่ือทางพุทธศาสนาท่มี กั จะปฏบิ ัติกจิ ในช่วงข้างข้ึนเพอ่ื ความเปน็ สริ ิมงคลดังน้ัน หมอแคนส่วนมากจะ
กาหนดเอาวันองั คารขา้ งข้ึนเป็นวันไหว้ครูประจาปีดว้ ยเชอื่ วา่ การไหวค้ รเู ปน็ การประกอบกจิ อนั เปน็ มงคล
ซ่งึ สงิ่ ศักด์ิสทิ ธิท์ ัง้ หลายจะใหค้ วามรว่ มมอื เปน็ อยา่ งดี หรอื จดั ขึน้ ในวนั สาคญั ทางศาสนา เชน่ จดั พิธตี รงกับ
วนั ข้ึนสามํคา่ เดือนสาม หรอื วนั มาฆบชู า ซึ่งอาจจะไม่ตรงกบั วนั องั คาร แต่ยืดถอื เอาฤกษท์ ม่ี ีความเชอ่ื ตาม
พระพทุ ธศาสนาวา่ วนั ทพ่ี ระสมั มาสมั พุทธเจ้าไดท้ รงแสดงโอวาทปฎิโมกข์ แกพ่ ระสงฆส์ าวกเปน็ ครงั้ แรก ณ
เวฬวุ นั วหิ าร กรุงราชคฤห์ เพอื่ ใหพ้ ระสงฆ์นาไปประพฤติปฏบิ ัติ เพ่ือจะยังพระพทุ ธศาสนาให้เจรญิ รงุ่ เรอื ง
ตอ่ ไป และเหตกุ ารณ์พเิ ศษทเี่ กดิ ขึ้นพรอ้ มกนั ในวันน้ี คอื
1. เป็นวนั ที่ พระสงฆส์ าวกของพระพทุ ธเจ้า จานวน ๑,๒๕๐ รปู มาประชุมพรอ้ มกนั ท่ีเวฬุววั หิ าร
ในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นดั หมาย
2. พระภิกษุสงฆ์เหลา่ นลี้ ว้ นเปน็ "เอหภิ ิกขุอุปสัมปทา" คือเปน็ ผทู้ ไี่ ดร้ บั การ
อปุ สมบทโดยตรงจากพระพทุ ธเจา้ ท้ังสน้ิ
3. พระภกิ ษสุ งฆท์ กุ องคท์ ไ่ี ด้มาประชุมในคร้ังน้ี ล้วนแตเ่ ปน็ ผุ้ได้บรรลุ
พระอรหนั ตแ์ ลว้ ทุกๆ องค์
4. เปน็ วนั ที่พระจันทร์เตม็ ดวงกาลงั เสวยมาฆฤกษ์
2001 211 3 Folk Music Skills 3 40 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
จากปัจจยั และเหตุการณอ์ ันเป็น ศิรมิ งคลทกี ล่าวมานจี้ งึ ทาใหห้ มอแคนสว่ นหนง่ึ จัดพิธกี รรมไหว้ครูแคน
ตรงกบั วนั ขึ้นสามํคา่ เดือนสามเปน็ ประจาทกุ ปเี ครื่องสัการะบูชา หรือคายอ้อ ซงึ่ เปน็ วสั ดอุ ุปกรณท์ ตี่ อ้ ง
จัดหาใหค้ รบตามจานวนท่คี รูให้จัดหา ห้ามขาด ด่งั น้ี
1. เงิน 20 บาท
2. ผ้าโสรง 1 ผืน
3. เหล้าขาว 1 ขวด
4. แปง้ 1 กระป๋อง
5. ขนั ธ์ 5 ขนั ธ์ 8 (ดอกไมข้ าว)
6. ธูป 9 ดอก
7. กระจกเงา 1 บาน
8 หวี 1 อัน
9. น้ามันทาผม 1 ขวด
10. พาข้าวคาวหวานอยา่ งละ 1 พา
2.4 การคะลาํ ในการเรยี นเปา่ แคน
ความหมายของคาวา่ คะลาคา “คะลา” หรือ “กะลา” หรือบางทอ้ งถ่ินเรียก ขะลา ซง่ึ มคี วามหมาย
ตามพจนานุกรมภาษาถิ่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ของสานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ ฉบบั
พมิ พ์ครง้ั ที่ 2 พ.ศ. 2537 หน้า 16 ว่าไว้ดงั น้ี กะลา 1 เป็นคานาม แปลวา่ สงิ่ ตอ้ งหา้ มกะลา 2 เป็นคากริ ยิ า
แปลว่า เวน้ (อยา่ งว่า อันไหนเหน็ ว่าบด่ ีก็ กะลา ซะ)กะลาซาซอย เปน็ คาวเิ ศษณ์ แปลว่า นอกรีตนอกรอย
ทาตามใจชอบ ตามอาเภอใจ มะลาซาแซะมะลามะลอย ก็ว่า พจนานกุ รมภาษาลาว โดย ดร.ทองคา ออ่ น
มะนีสอน หน้า 24 ใหค้ วามหมายไวด้ งั น้ี“กะลา น.ส่ิงใดทเ่ี ฮด็ ลงไปแลว้ บ่ดบี ง่ าม เกิดโทษเกิดภยั เกิดเสนยี ด
จญั ไรแกต่ นและผอู้ ื่นโบราณเอ้นิ กะลา คะลา ขะลา ก็ว่าอยา่ งวา่ “หัวโลน้ อยากลา หวั ดาอยากเทศน์ คะลา
(ภาษติ ) สรุปความได้วา่ “กะลา” เปน็ สง่ิ ต้องหา้ มทท่ี าลงไปแล้วไมด่ ีไม่งาม เกิดโทษภัย เกดิ เสนยี ดจญั ไรแก่
ตนและผู้อื่นโบราณเรยี กว่า กะลา, คะลา ขะลา ก็ว่า ตัวอย่าง หัวโล้นอยากลา หัวดาอยากเทศน์ คะลา
(ภาษติ )การเรียนแคนนนั้ กม็ ขี อ้ คะลาในการปฏบิ ัตติ วั สาหรบั ผเู้ รียน ซึงกจ็ ะมคี วามแตกต่างกนั ไปตามขอ้ คะ
ลาของครูแตล่ ะคน เช่น
2.4.1 หา้ มใช้คาพูดทีไ่ มส่ ภุ าพเก่ยี วกบั แม่ หรอื ห้ามพูดคาว่า แม่ในทางทไี่ มด่ ี
2.4.2 ห้ามท่องจาทานองแคนเวลาเขา้ หอ้ งํนา้ หรอื เวลาปลดทุก
2.4.3 หา้ มน่ังขวางบนั ได
2.4.4 หา้ มลบหลบู่ ิดามารดา
2.4.5 หา้ มลบหล่คู รอู าจารย์
2001 211 3 Folk Music Skills 3 41 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ซึง่ มคี วามเชื่อว่าถ้าไม่ปฏิบตั ติ ามแลว้ การเรียนลาการดาเนินชีวติ จะไมป่ ระสบผลสาเรจ็ และจะทา
การสงิ่ ไดกไ็ รผ่ ลและถา้ ปฏบิ ตั ติ ามแล้วชวี ติ ก็ขะมีความรุ่งเรืองวิชาเรยี นเป่าแคนกป็ ระสบสาเรจ็ ในการเรยี นรู้
ซงึ เหตุผลทกี่ ลา่ วมาน้ี อาจทาใหผ้ ้เู รียนมีความมงุ่ หมนั่ ในการเรียนและมีความหมันใจในการศึกษาการเรียน
เปา่ แคน ( ทองคา ไทยกล้า. 2550 : สมั ภาษณ์ )่
3. กระบวนการถา่ ยทอดการเป่าแคน
การท่คี รสู อนแคนจะไดถ้ ่ายทอดองคค์ วามรอู้ ยา่ งเป็นจริงเปน็ จงั นัน้ ผเุ้ รยี น กต็ ้องเริ่มจากความสนใจใน
การเปา่ แคนของผเู้ รยี นเปน็ อบั ดบั แรก ลกั ษณะการเรียนรู้การเปา่ แคนน้ันเร่มิ ฝกึ โดยการเลียนแบบ สงั เกต
และจดจาแลว้ ก็ทาตามสง่ิ ท่เี ห็นครูอาจารยป์ ฏิบัติ ซงึ่ เรยี กว่า การเรียนรแู้ บบ มุขปาฐะ เปน็ ระบบการเรยี น
แบบครูพกั ลกั จา ซึง่ ครูผสู้ อนไดส้ ันหาวธิ ีการต่างๆมาทดลอง โดยลองผิดลองถูกสงิ่ ในสามารถทาใหผ้ เู้ รียน
จาไดง้ ่ายที่สดุ กจ็ ะจดจาไวแ้ ลว้ สอนลกู ศษิ ยเ์ ป็นรุ่นๆไป ซงึ่ เทคนิควธิ กี ารถา่ ยทอดจะมลี าดบั พฒั นาการการ
เรียนรูด้ งั ตอ่ ไปนี้
การทอ่ งจาลายแคนเปน็ สง่ิ ทีทาใหผ้ เู้ รียนตอ้ งปฏบิ ัติเรมิ่ แรกในการเรยี นแคน ซ่ึงเป็นบทเรยี นท่ี
สาคญั มากหากผูเ้ รยี นมีความจาดกี ส็ ามารถสรา้ งสรรคล์ ายแคนไดไ้ พเราะเกดิ ความสนุ ทรยี ์ดงน้นั ครสู อน
เปา่ แคนจึงใหผ้ ู้ รียนฝกึ ฟังลายแคน ซึงการท่องจานนั้ จะทาโดยวธิ ีการ พดู เลยี นเสยี งทานองลายแคนท่ีได้ยิน
ครแู คนเป่า ซึ่งครแู คนจะคาพดู สอนบ่อยๆว่า เป็นหมอแคนกะตอ้ งจอ่ื ความแคน ถา้ บจ่ ือความแคนกะเป่า
แคนบได้ ซ่ึงเป็นคาพดู ท่ใี ห้ผเู้ รียนกะตอื ลอื ล้นในการเรียนลกั ษณะการท่องจานนั้ กระทาไดโ้ ดยวธิ ีการ
ดงั ต่อไปน้ี
การผิวปากเปน็ วิธกี ารหนึ่งทผ่ี เู้ รียนเปา่ แคนสมัยกอ่ นใช้ฝกึ เพือ่ ใหจ้ าทานองลายแคน ซ่ึงการผิวปากนี้
เป็นการผอ่ นคลายอารมณใ์ นเวลาที่เดินเล่นหรือเดนิ ไปทาไรท่ านาดังน้ันการผวิ ปากจึงเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง
ท่ผี เู้ รยี นแคนใชใ้ นการจดจาลายแคน ซึ่ง กระทาได้โดยการฮอ่ รมิ ฝปี ากแล้วเปา่ ลมออกกจ็ ะเกิดเสยี งสาหรบั
การผิวปากใหเ้ กดิ เสยี งคล้ายเสยี งแคนเป็นเรือ่ งที่ต้องฝกึ ฝนโดยการฟังเสียงแคนทไ่ี ด้ยนิ แลว้ จานองที่ได้ยนิ
ใหข้ ้นึ ใจแลว้ จงึ ฮอ่ รมิ ฝีปากเปา่ ลมออกโดยใชป้ ลายล้ินกะดิกกาหนดลมเข้าออกจากปากเป็นจงั หวะ วิธีการน้ี
ก็เปน็ วิธกี ารทห่ี มอแคนใชใ้ นการฝกึ ทอ่ งจาเพลงแคนเพ่ือให้เกิดทักษะในการจดจาลายแคน
ภาษาพูดของคนอีสานเปน็ ภาษาที่ใช้สื่อสารกนั ในภาคอสี านแตส่ าเนียงในการพูดนนั้ ก็แตกต่างกนั
ตามพืน้ ที่ ซงึ่ ระบบระบบเสียงวรรณยุกตใ์ นภาษาไทยถน่ิ อสี าน สาหรบั การพดู เลยี นแบบเสียงแคนนัน้ คน
สมยั กอ่ นน้ีใช้พูดเปน็ ทานองมเี สยี งสงู ํตา่ ตามเสียงทไี่ ดย้ นิ จากการเปา่ แคนของผู้สอน เช่น ลายเซงิ้ บั้งไป ก็จะ
ท่องว่า แต แล่น แตแ่ ลน่ แต่ แลน่ แต่ แต แล่น แต่ แล่น แต่ แล่น แต่ และ ลายสงั ข์สนิ ชัย จะทอ่ งว่า ต่ี ต่ี
ต่ี ตี่น้องต่ี ตีน่ อ้ งตี่ ตน่ี ้องตี่ ต่ไี ว้ถ้าพ่ี ตบ่ี ส่ ี่ ต่ีไว้เฮ็ดหยัง ฯลฯ ซง่ึ นอกจากนีแ้ ล้วยงั มกี ารทอ่ งจาเสียงเครอื่ ง
เล่นตา่ งๆของชาวอีสานทีม่ ีเสยี งดงั เหมือนเสียงดนตรี ซง่ึ ในบรเิ วณท่องไรท่ ้องนาของชาวอสี านจะนิยมเล่น
ว่าวในยามฤดหู นาว แล้วก็ทาสะนมู ดั ตดิ กบั วา่ วแลว้ ปลอ่ ยขน้ึ ฟ้า เมอื สะนูว่าวปะถะกับลมอยบู่ ฟ่ า้ แลว้ เกิด
เสยี งซง่ึ ดงั ข่ น้ึ ในเวลากลางคือทัว่ ทั่งบรเิ วณหมบู่ า้ น หมอแคนก็จะนาทานองของสะนวู ่าวมาเปา่ เปน็ ลายแคน
ซ่งึ มีทานองว่า ตื่อ ด่ือ ตือ่ หดอื ต่ือ ดอื ตื่อ ด่ือ หรอื ทอ่ งเปน็ คาคล้องจอง วา่ ฮม่ แต้ ฮ่มดู่ บอ่ ยู่ บ่เซา
2001 211 3 Folk Music Skills 3 42 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กลุ
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
วิธกี ารทอ่ งจาลายแคนน้นั นอกจากวธิ ที กี่ ลา่ วมาแลว้ นน้ั ยังมวี ิธกี ารทผี่ เู้ รียนเป่าแคนต้องฝกึ อย่าง
หนึ่ง กค็ อื การฝึกท่องจาลายแคนเลียนแบบเสยี งทานองลาตา่ งๆท่ไี ดย้ นิ ซึ่งบางคนน้ันทอ่ งจากลอนลาได้ ถึง
กลบั ลาไดจ้ นกลายเปน็ หมอลาก็มี การฝึกแบบนจ้ี ะทาใหผ้ เู้ รยี นเปา่ แคนสามารถเขา้ ใจทานองสาเนยี งเสยี ง
แคนไดด้ แี ละไม่ผดิ เผยี้ นเพราะการเรียนเปา่ แคนนน้ั จุดประหลกั อยา่ งก็คอื เป่าประกอบหมอลา เชน่ การเป่า
แคนเลียนแบบเสยี งลาทางสั้นทานองอุบล ดังนี้
แมน่ ว่าเดอ้ นางพอคาวแล้วสเิ ดินดงดัน้ ป่า อุปมาใส่เรอ่ื งนทิ านท้าวข่าวสาร
สาหรับภาษาทใี่ ช่ท่องน้นั กจ็ ะใชค้ าพูดคล้ายเสียงแคนท่เี ปา่ ซงึ่ เสยี งที่ ทอ่ งนนั้ กจ็ ะมจี ังหวะและเสียง
สูงต่าตามทานองกลอนลา เชน่
แตน แตน แตน่ แต้นแตน แตน่ แตน้ แตน แตน่ แต้น แตน่
แตน ต่ี แตน แต่น แต้น แตน่ แต้น แตน แต่น
เมอ่ื ผู้เรียนสามารถทอ่ งจาลายแคนได้แลว้ นนั้ อันดบั ตอ่ มาครูสอนแคนกจ็ ะฝึกใหร้ จู้ กั วธิ ีการเป่าแลว้ ใช้
นิว้ มือกดเปดิ ปดิ ในตาแหน่งเสยี งตา่ งๆ ทล่ี ะค่เู สยี ง เช่น สอนให้ร้จู กั การเปา่ ลายใหญ่ กจ็ ะสอนใหร้ เู้ ฉพาะ
กลมุ่ เสียงลายใหญ่ ตอ้ งการ ซึง่ จะใช้เทคนิคการสอนโดยการใช้ปลอกสวมนวิ้ มอื จะทาโดยการนาเอาต้น
หวายหรือตน้ ผอื มาแลว้ ใชม้ ีดจักเปน็ เสน้ เลก็ ทกั เปน็ ปลอกหา้ ทาใหเ้ ปน็ วงกลมเหมือนแหวนใชส้ วมนิวมือ
ครผู สู้ อนและน้ิวมอื ผเุ้ รยี น้นอกจากนย้ี งั ใช้หนังยางลัดน้วิ มอื ซ่งึ เมือ่ สวมปลอกหรอื ใชย้ างลดั ท่นี ิว้ มือเสร็จ
เรยี บร้อยแล้วครูกจ็ ะเปน็ คนเปา่ แคนให้ดทู ีป่ ระโยค แล้วใหผ้ เุ้ รียนสังเกตการใชล้ มและลิน้ ในการสร้างสรรค์
เสยี งแคน และครกู จะสลับกันเปา่ กบั ผเู้ รียนไปมา ถ้าผู้เรยี นเป็นคนเปา่ ครกู ็จะเปน็ คนบงั คับน้วิ ให้กดตาม
ตาแหนง่ คเู่ สียงแคนสลบั กนั ไปมาอย่างน้จี นกว่าผเู้ รยี นสามารถสงั เกตและจดจาไดค้ รกู จ็ ะใหผ้ ้เู รียนปฏบิ ัติ
เองตามที่ผเู้ รยี นเข้าใจอย่างอิสระเมื่อครฟู งั แลว้ ใช้นิว้ กดไม่ถกู ต้องครูกจ็ ะปรบั ใหผ้ ุเ้ รียนทาได้ไปทเี่ ลก็ ละนอ้ ย
ตามความสามารถของผเู้ รยี นเมือ่ ผเู้ รยี นสามารถจาคเู่ สียงแคนได้ครูกจ็ ะสอนใหเ้ ป่าเปาทานองลานแคนไปที่
ประโยค แลว้ ใหผ้ เู้ รยี นฝกึ เอง ซงึ จะเหน็ รูปภาพการสอน
สาหรับการเรียนโดยวธิ การนี้จะใชส้ อนก็ต่อเมอื่ ผู้เรยี นสอนยากจรงิ ๆถึงจะใชว้ ิธกี ารสวมปลอกท่ีนิ้ว
มอื เหตทุ ส่ี อนยากน้นั กเ็ พราะวา่ ผเู้ รียนฟงั ลายแคนไม่รเู้ รอื่ งหรอื เรยี กวา่ ผเู้ รยี นไม่มี Sensitive ในรับรเู้ รอื่ ง
เสยี ง และส่วนมากนัน้ ผเู้ รียนกจ็ ะปฏบิ ัติเองทกุ อยา่ ง ซ่ึงการสอนของครกู ม็ เี พยี งแตเ่ ปา่ แคนให้ฟงั เท่านน้ั
ตอ่ มาเมอ่ื ผเู้ รียนสามารถเปา่ แคนแลว้ รจู้ กั ตาแหนง่ น้วิ ทใี่ ช้ปดิ เปิดรนู บั คเู่ สียงแคนไดแ้ ลว้ กจ็ ะเร่มิ ฝึกเปา่ เปน็
ลายต่างๆ เช่น ลายสุดสะแนน ลายใหญ่ ลายนอ้ ย ลายสร้อยหรอื ลายเพลงท่วั ไปทผี่ เู้ ป่าจดจาทานองได้ ซ่งึ ก็
แล้วแตค่ รจู ะพจิ ารณาวา่ ใหฝ้ ึกเป่าลายไหนก่อนหรอื ไมก่ ใ็ หผ้ เู้ รียนเลอื กเอง เชน่ ถา้ ฝกึ เปา่ ลายใหญ่กจ็ ะสอน
เฉพาะกลุ่มเสียงของลายใหญ่ เป็นคูๆไปคือ คู่ที่ 1 น้ิวโป้ขวากบั น้วิ กลางด้านขวา ตอ่ มากเ็ ปน็ คนู่ า้ นางดา้ น
ขาวคกู่ ับนิ้วกลางด้านซา้ ย นิว้ นางด้านขาวคู่กบั นว้ิ ช้ีดา้ นซา้ ย นว้ิ โปด้ า้ นซา้ ยคู่กับน้วิ ช่ดี า้ นขวา ตอ่ มาเมือ่
ผเู้ รียนจาไดแ้ ล้วกจ็ ะท่องทานองตามครูวา่ แตน่ แดน่ แตน แดน่ แตน่ แดน่ แตน แด่น แตน แดน แต่น แด่น
ฯลฯ เมื่อทอ่ งจาไดก้ ็จะเป่าจดคล่องเมอื่ เป่าคลอ่ งแล้วครูกจ็ ะเป่าใหผ้ เู้ รียนฟงั เป็นยาวๆแลว้ ใหผ้ เู้ รียนจดจา
เอาทานองวันละนดิ แลว้ ทานองเหล่านน้ั มาฝกึ เองตามลาพงั เม่อื สง่ ใสก็ชักถามครไู ปเร่ือยๆ และนอกจากการ
2001 211 3 Folk Music Skills 3 43 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ฟงั จากครูแลว้ ยังอาศัยการฟงั จากวทิ ยหุ รอื แผน่ เสียงที่ใชเ้ ปดิ ในงานเทศการตา่ งๆ ทจ่ี ดขนึ้ ตามหมูบ่ า้ น
ฉะนัน้ จะเห็นไดว้ ่าการเั รยี นแบบนเี้ ป็นการเรียนทค่ี อยๆซมึ ซับทแี ละเลก็ ละน้อยและทาความเขา้ ใจโดยการ
สังเกตสอบถามคํรู่และสภาวะแวดล้อมในหมบู่ ้านหรอื ชุมชนคนใกลต้ ัวจะเป็นแรงผกั ดนั ในการให้กาลงั ใจ
การฝกึ ฝนกับผเู้ รยี น เช่น พอ่ แมค่ วามเอาใจใสล่ กู ในเวลาฝกึ แคนกช็ อบยกยอใหล้ ูกเป่าแคนให้ฟงั อยู่บอ่ ย
หรือครอบครัวไหนเป็นครอบครวั หมอลากจ็ ะให้ลกู เป่าแคนแล้วพ่อแม่หรือญาตๆิ กจ็ ะร้องลา ซงึ เป็นการ
สร้างความรักความอบอุน่ สาหรบั ครอบครวั ศิลปิน และสถานการเหลา่ นเ่ี ปน็ แรงผักดันใหผ้ ู้เรียนประสบ
ผลสาเร็จ สาหรบั ผ้ทู ีไ่ ม่ประสบผลสาเรจ็ ในการเป่าแคนน้ันสว่ นมากกจ็ ะเปน็ เพราะว่าไมม่ ีเวลาที่จะเรยี น
อย่างเปน็ จรงิ เป็นจงั เหมอื นกับครอบครวั ทเ่ี ปน็ ศลิ ปนิ อยู่แล้ว ซ่ึงบางคนกต็ อ้ งทามาหากนิ ทาไรท่ าสวนทานา
พอว่างเว้นจากงานคอ่ ยไดเ้ รียนรกู้ บั หมอแคนร่นุ พเ่ี พราะจงึ่ มที ัง่ หมอแคนสมคั เลน่ และหมอแคนอาชีพแล้ว
คนอีสานกช็ อบพดู อยเู่ สมอๆว่า คนั บม่ หี นอ่ มแี นวมันเปา่ บ่เป็นดอกแคน ซึง่ หมายความวา่ คนท่มี ีเชื่อสายเป็น
หมอลาหมอแคน ถึงจะมเี ป่าไดค้ นทีไ่ มม่ เี ชอ่ื สายหมอลาหมอแคนก็จะเป่าแคนไมเ่ ปน็ ถงึ จะตงั้ ใจเรยี นกไ็ ม่
ประสพผลสาเร็จหรอื ถ้าเปา่ กเ็ พยี งแค่เป่าเลน่ ๆในหมบู่ า้ นไมไ่ ด้เป่าใหห้ มอลาเป็นอาชีพนอกจากระบบการ
เรยี นทกี่ ลา่ วมาแล้วนน้ั ยงั มีการเรียนโดยใช้สญั ลักษณต์ วั เลข อารบิก คือ 1 2 3 4 5 6 7เขียนลงบนลกู แคน
แต่ละตาแหน่งคเู่ สียง ซ่ึงเปน็ วธิ ีท่ีทาใหจ้ าคู่เสียงแคนไดง้ า่ ยขน้ึ มาอกี ซึง่ เป็นพฒั นาการของการสอนเป่าแคน
ทคี่ น้ พบลาดบั ตอ่ มาซงึ่ ทาใหผ้ เู้ รยี นเป่าแคนเขา้ ใจง่ายข้นึ มาอีกลาดบั หน่ึง
สาหรับวิธีการเรียนโดยใชต้ ัวเลขชว่ ยในการจาจดตาแหนง่ เสยี งแคนน้นั เปน็ เพยี งเครอื่ งชว่ ยเตอื น
ความจาเท่านน้ั ซง่ึ วิธีการนท้ี าใหผ้ ้เู รยี นจดจาตาแหนง่ เสยี งแคนได้เร็วขึ้นมาอีกกจ็ รงิ แตก่ ็ยังอาศัยการฟัง
ทานองลายแคนจากครู จากส่อื ต่างๆเช่น จากแผน่ เสยี ง จากวิทยุ การละเลน่ ในงานประเพณีพธิ กรรม แลว้ ก็
นามาทอ่ งจาใหข้ ้นึ ใจ แล้วผู้เรียนกค็ อ่ ยๆฝกึ เปา่ ทลี ะ 2 - 3 เสียงเท่าทจี่ าไดน้ ามาประตดิ ประต่อกันเป็น
ประโยคเมือ่ เปา่ ได้ 2 - 4 ประโยคแล้วกน็ ามาเปา่ ให้ครฟู งั แล้วกป็ รบั ปรงุ่ ไปทลี ะเล็กละนอ้ ยจนกว่าจะเปา่
เปน็ ลายแคน ส่วนลายทเ่ี รียนน้ันกไ็ ม่ได้กาหนดวา่ ต้องเปน็ ลายอะไรซ่งึ แลว้ แตผ่ เู้ รียนจะเลือกเรียนส่วนมาก
วยั รุน่ ในทั่วไปในภาคอีสานน้ันก็จะชอบลายที่ใชเ้ ปา่ จบี สาว คือลายผบู้ า่ วเลาะบ้าน หรือลายใหญ่น้ันเอง
สาหรบั ประวตั คิ วามเป็นมาของวธิ ีการถา่ ยทอดการเปา่ แคนทกี่ ล่าวมานเี ป็นระบบการเรยี นรู้
ท่ีศลปินหมอแคนใช้สบื ทอดกันมารุน่ ตอ่ รนุ่ ต้งั แต่ครงั่ บรรพบรุ ษุ ซง่ึ สภาพการเรยี นน้ันคิ รผู ู้สอนจะเปน็ ผู้
ช้ีแนะแนวทางเทา่ น้ัน ไมไ่ ด้สอนใหเ้ ป่าแคนได้ทุกลาย ผ้ตู ้องเรยี นรแู้ ละคน้ หาด้วยตวั เอง ซง่ึ เป็นการสืบทอด
โยการเลียนแบบ การสังเกต จดจา แล้วกท็ าตาม สง่ิ ทไี่ ด้เหน็ ไดย้ ิน และเป็นการเรยี นที่เน้นการซมึ ซบั เอา
วัฒนธรรมโดยผ่านกระบวนการดาเนนิ ชวี ิตของคนอสี านทแ่ี ทจ้ รงิ
วิธีการถ่ายทอดการเปา่ แคนในปจั จุบัน
เมือ่ มีการปฏริ ูปการศกึ ษา ในรชั สมัยของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ไดเ้ กดิ
โรงเรียน ตามความหมายในปัจจุบนั ซงึ่ แตก่ อ่ นนั้นเดก็ ได้เรยี นหนังสือจากวดั และจากผปู้ กครองทบี่ า้ น
มาตรฐานและหลักสตู รวชิ าต่างๆ มิไดก้ าหนดไว้และจากการเสดจ็ ทอดพระเนตรการจัดระบบการศึกษา
2001 211 3 Folk Music Skills 3 44 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐ์กุล
ทกั ษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ระบบโรงเรียนในตา่ งประเทศของของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พระองคท์ รงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ใหส้ ่งนกั เรยี นไทยไปศกึ ษาต่อตา่ งประเทศ เชน่ องั กฤษ และฝรั่งเศส ซงึ่ ภายหลกั กอ่ ให้เกดิ การ
เปล่ยี นแปลงระบบการศกึ ษาของไทยเป็นอยา่ งมาก แรงผกั ดันทส่ี าคญั อกี ประการหน่งึ อนั สง่ ผลใหเ้ กิดการ
เปลี่ยนในระบบการศึกษา คือ อิทธิพลของชาวตะวนั ตกทีเ่ ดนิ ทางเขา้ มาในประเทศไทย ในชว่ งเวลาเดียวกัน
น้ีวัฒนธรรมโนต้ แบบตะวันตกเรมิ่ เข้ามามบี ทบาทในสงั คมไทยมาขึน้ การปฏสิ มั พันธท์ เี่ กดิ ข้ึนระหว่างทง่ั
สองวัฒนธรรมจึงเปนส่ิงท่มี ิอาจหลกี เหลียงได้ จากธรรมชาตขิ องดนตร่ตี ะวนั ตกทม่ี ีการกระบวนการจด
บันทกึ โน้ต และสามารถถา่ ยทอดไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพน้นั เองไดก้ ใ็ หเ้ กิดการพัฒนาระบบโนต้ ดนตรไี ทยข้ึน
หลายระบบในระยะเวลาตอ่ มา เชน่ การกาหนดให้ใช้สัญลักษณ์เลยี นชอื่ ระดับเสยี งต่างๆตามแบบดนตรี
ตะวันตกโดยใช้อักษรไทย 7 ตวั เปน็ ตัวยอ่ แทนระดับเสยี ง คอื โดร ม ฟ ซ ล ท ซ่งึ นกั ดนตรเี รียกกันทัว่ ไปว่า
ดอ รอ มอ ฟอ โนต้ ระบบอกั ษร ( เฉลมิ ศักดิ์ พิกลุ ศร,ี 2550 : 4 ) และวฒั นธรรมเหล่านี้ไดแ้ พร่ขยายมาถึง
ระดับภูมิภาภาคสง่ ผลใหร้ ะบบการศกึ ษาในละภูมิภาคเปลีย่ นแปลงไปตามวัฒนธรรมตะวันตก และการ
เรยี นรู้ดนตรีพ้นื บ้านกไ็ ดป้ รับเปลย่ี นการเรยี นไปตามกระแสนยิ มตะวันตก แลว้ การเรยี นรดู้ นตรแี บบฝรงั่ ก็
คอยๆสรา้ งปฏสิ ัมพันธก์ บั ระบบการเรยี นํรดู้ นตรีพ้ืนบา้ นในแตล่ ะประเภทและเกิดการแสดงในรูปแบบใหม่
จนกระทง่ั การดารงชวี ติ ของผ้คู นในแต่
ละภูมภิ าของประเทศไทย
ภาคอสี านเปน็ ภมู ภาคหนง่ึ ทีไ่ ด้รับเอาวฒั นธรรมตะวนั ตกซงึ่ สง่ ผลใหร้ ะการเรยี นดนตรพี ้นื บา้ น
เปลยี่ นไปตามกระแสนิยม กลา่ วคือมกี ารเรยี นรู้ระบบโนต้ มกี ารบนั ทึกโนต้ ดนตรพี น้ื บา้ นในแต่ละประเภท
เช่น แคน ซ่ึงมีหลกั ฐานในการจดบนั ทกึ เป็นหนงั สอ่ื เมอ่ื ราว พ.ศ. 2515 ชื่อหนังสอื คือแคนวง เขียนโดย
อาจารย์ ดร. เจรญิ ชัย ชนไพรโรจน์ ซง่ึ เป็นหนังสือทกี่ ล่าวถงึ วิธีการเปา่ แคน และเพลงที่ใช้แคนบรรเลง
ตลอดจนประเภทของแคนและการเลน่ ประสมวง ท่ีเรยี กว่า แคนวง ซงึ หนงั สอื มรี ปู ร่างในหนังสือไดอ้ ธิบาย
ถงึ การเรียนเปา่ แคนวา่ วิธีการเป่าแคนนัน้ ผูเ้ ปา่ ตอ้ งใชอ้ งุ้ มอื ซา้ ย- ขวา บบี เต้าแคนไว้เบาๆ เป็นการพยงุ
แคนไวไ้ มใ่ ห้หลุดมอื โดยหันปากเตา้ แคนเข้าหาผเู้ ปา่ ใหร้ นู บั อยูเ่ หนือเตา้ แคน ใชร้ ิมฝีปากแนบลงที่รองบุ๋ม
ของเตา้ แคนให้สนทิ ทงั นีไ้ ม่ถงึ กบั แน่นหรือบบี รมิ ฝีปาํก่แตใ่ ห้แนบชดิ ไว้ตามสบายเพอื่ สะดวกในการสูดลม
เช้าและเปา่ ออกการกดนิว้ ตอ้ งกดทลี่ ะคูต่ ามตาแหนง่ ของเสยี งคู่แปดตามแผนผังซงึ ได้แสดงไว้ในหนงั สอื แลว้
กลา่ วคอื ถ้าตอ้ งการคเู่ สียงไดกใ็ หส้ ูดลมเข้าหรอื เ่ ป่าออกก็ไดพ้ รอ้ มกนั น้ีก็ใชน้ วกดเฉพาะคูเ่ สยี งนั้น กจ็ ะได้ตู่
เสียงนน้ั ตามต้องการ้ิ
โน้ตท่ที ่ีใชส้ าหรบั บนั ทกึ แทนเสียงดนตรีนน้ั มหี ลายแบบมที ัง่ ที่เป็นแบบสากลและแบบไทย
ยิง่ กวา่ นน้ั โน้ตแบบไทยยงั แบง่ ออกเป็นหลายชนดิ คอื ชนดิ ท่ใี ชต้ วั เลข 0 1 2 3 4 พวกหนงึ่ ชนิดทใี่ ช้ตัวเลข
1 2 3 4 5 6 7 8 9 พวกหน่งึ และชนดิ ท่ใี ชอ้ กั ษรย่อ ด ร ม ฟ ซ ล ท อีพวกหนึ่งซง่ึ จะขออธบิ ายเฉพาะ
อกั ษรที่ใช้แทนเสยี งอยา่ งที่ใชก้ ันอยา่ งแพรห่ ลายในปจั บุ ัน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 45 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐ์กุล
ทักษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท
คําสง่ั : ใหน้ ิสิตตอบคาถามตอ่ ไปนีโ้ ดยใช้หลักการเขยี นเชิงพรรณนาและวิเคราะห์พรอ้ มยกตัวอย่าง
ในประเดน็ คาถามต่อไปนี้
1. ใหน้ สิ ิตเขยี นเล่าถึงความสาคญั ของพลวัตวฒั นธรรมดนตรีในสงั คมอีสานพรอ้ มเขียนอธบิ าย
ยกตวั อย่างประกอบ
............................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................................................... ..........
2. ใหน้ ิสติ เขียนอธิบายถึงวธิ กี ารถ่ายทอดการเป่าแคนแบบโบราณพรอ้ มยกตวั อย่างในการอธิบาย
................................................................................................................................................................. ........
.......................................................................................................................... ...............................................
3. ใหน้ ิสติ เขยี นอธิบายถึงวิธกี ารถ่ายทอดการเป่าแคนในปจั จบุ นั พรอ้ มยกตัวอยา่ งในการอธิบาย
.......................................................................................................................... ...............................................
............................................................................................................................. ............................................
4.ให้ผเู้ รียนเขียนสรปุ เนอื้ หาบทที่ 2 ตามทัศนะของผเู้ รียนพร้อมเสนอแนะแนวทางการปรบั ปรุง
แกไ้ ขรายละเอียดเพือ่ ใหม้ คี วามสอดคลอ้ งสง่ เสรมิ ปจั จัยตา่ งๆใหผ้ เู้ รียนไดอ้ งค์ความรู้
............................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................. ............................................
หมายเหตุ** ให้นสิ ิตตอบคาถามโดยการพมิ พใ์ นกระดาษ A4 แลว้ เย็บมมุ ส่งตามวนั เวลาที่กาหนด
ในเวลา เรยี น และให้นิสใิ ช้ ฟอนด์ TH Sarabun PSK ขนาด ตัวอกั ษร 16 พอยท์ พิมพเ์ อกสารเทา่ น้นั
2001 211 3 Folk Music Skills 3 46 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
เอกสารอ้างอิง
กิตติวัฒน์ สัตนาโค. ศิลปะการเปา่ แคนทานองพืน้ บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, 2535
เจริญชยั ชนไพโรจน์. แคนวง. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ มหาสารคาม,
2515.
________. ดนตรแี ละการละเล่นพ้นื บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ
เฉลมิ ศกั ดิ์ พกิ ลศร.ี อักษราดุริยางคท์ างฆ้องวงใหญ่ ฉบบั เพลงไมน้ วม. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์ 2550.
ดารตั น์ ผุสดี. การพัฒนาหลกั สูตรทอ้ งถน่ิ ดนตรพี ื้นเมืองลา้ นนาเร่อื ง ซงึ . วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. เชยี งใหม่ :
มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม,่ 2541.
เติม วภิ าคย์พจนกิจ. ประวตั ิศาสตรอ์ สี าน. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2521.
ยศ สันตสมบัต.ิ มนุษยก์ บวฒั นธรรม. พิมพค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ั
2548.
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และคณะ. ดนตรแี ละนาฏศลิ ปก์ ับเศษฐกจิ และสงั คมสยาม. กรงุ เทพฯ :
ธนาคารกรงุ เทพ, 2535.
สุกรี เจรญิ สขุ . ดนตรีชาวสยาม. กรงุ เทพฯ : วทิ ยาลยั ดรุ ิยางคศิลป์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, 2538.
________. “ดุริยางคศาสตร์ชาติพันธ์ุ,” วารสารถนนดนตร.ี 1(12) : 38-41 ; ตุลาคม, 2530
สจุ ิตต์ วงษ์เทศ. พลังลาวชาวอีสานมาจากไหน. กรงุ เทพฯ : มติชน, 2549
อเนก นาวิกมูล. เพลงนอกศตวรรษ. พมิ พค์ ร่ังท่ี 3. กรงุ เทพฯ : เมืองโบราณ, 2527.
2001 211 3 Folk Music Skills 3 47 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ุล
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
บทท่ี 3
แคน : ประดษิ ฐกรรมสาเนียงอีสาน
เนือ้ หาประจาบทเรียน
1. บรมครชู า่ งทาแคนแห่งเมืองศรีแกว้
2. องคป์ ระกอบของแคน
3. วสั ดทุ ใี่ ช้ทาแคน
4. ประเภทของแคน
5 ระบบเสยี งแคน
จดุ มุ่งหมายการเรียนการสอน
1. เข้าใจและสามารถอธบิ ายบรมครชู า่ งทาแคนแหง่ เมืองศรแี กว้ ได้
2. เข้าใจและสามารถอธบิ ายองค์ประกอบของแคนได้
3. เข้าใจและสามารถอธบิ ายวสั ดุทใ่ี ช้ทาแคนได้
4. เข้าใจและสามารถอธิบายประเภทของแคนได่
5. เข้าใจและสามารถอธบิ ายระบบเสียงแคนได้
กิจกรรมการเรียนการสอน
1. ผเู้ รยี นแคน : ประดษิ ฐกรรมสาเนยี งอสี านจากเอกสารประกอบการเรียนการสอน
2. ผสู้ อนอธิบายความสาคัญองคป์ ระกอบของแคนและเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นซกั ถาม
3. ผสู้ อนอธบิ ายวสั ดุทีใ่ ชท้ าแคนและเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซกั ถาม
4. ผู้สอนอธบิ ายประเภทของแคนและเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซกั ถาม
5. ผสู้ อนอธบิ ายระบบเสยี งแคนและเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นซกั ถาม
ส่อื การสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. Powerpoint คลปิ วดี ีโอ
3. สอ่ื multimedia, Social Network
การวดั ผลและประเมนิ ผล
1. พจิ ารณาการซกั ถามสรปุ บทเรยี น
2. พจิ ารณาการอภิปรายการแสดงความคิดเห็นพฤตกิ รรมการปฏิบตั ติ ัวในคาบเรียน
3. การมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
4. ตอบคาถามท้ายบท
2001 211 3 Folk Music Skills 3 48 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 49 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
บรมครูชา่ งทาแคนแหง่ เมอื งศรแี กว้
แคน เป็นเครื่องดนตรที อี่ ยคู่ กู่ บั คนอสี านมาตงั้ แต่อดีตจวบจนปจั จบุ นั ฉะนั้น จะขาดไม่ไดเ้ ลยคือ
ผ้สู ร้างเครือ่ งดนตรี แคน ช่างทาแคนในภาคอีสานมกี ระจดั กระจา่ ยท่วั ภูมภิ าค แตช่ า่ งแคนท่มี ีฝีมือและ
ได้รับความนิยมและไดร้ ับการการนั ตีจากปราชญห์ มอแคนเรอื่ งคณุ ภาพทดี่ ขี องแคนน้ันคงมีไมก่ คี่ น สาหรบั
ช่างที่ผู้เขยี นจะได้กลา่ วถึงตอ่ ไปนีเ้ ปน็ ปราชญ์ ชา่ งแคนผทู้ ีไ่ ด้รบั เกียรตจิ ากคนอสี านทัว่ ทกุ ภูมภิ าคเชิดชใู ห้
เข้ารบั พระราชทานปรญิ ญา ปรชั ญาดษุ ฎบี ัณฑิตกติ ติมศกั ดิ์ สาขาดรุ ยิ างคศ์ าสตร์ แหง่ มหาสิทยาลยั ศรีนคริ
นทรวิโรฒ มหาสารคาม ปี พทุ ธศักราช 2530 คอื นายชา่ งทุย เรือ่ งศรอี รัญ หรอื ดร.ทุย เรืองศรอี รญั ถอื
ไดว้ า่ เปน็ เกยี รติประวัติแห่งวงการหมอลาหมอแคน แหง่ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ซึง่ ผูเ้ ขยี นจะขอยิบยก
ประวัตคิ วามเปน็ มาของ ดร.ทยุ เรอ่ื งศรีอรญั ใหผ้ อู้ า่ นได้ทราบเบอ้ื งต้นพอสงั เขปดงั น้ี
ภาพท่ี 21 : นายช่างทาแคน ทุย เรือ่ งศรอี รัญ เขา้ รบั พระราชทานปริญญา ปรัชญาดุษฎบี ณั ฑติ
กติ ตมิ ศกั ด์ิ จาก สมเดจ็ พระเทพพระรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ดารงพระอิสรยิ ศ ชว่ ง พ.ศ. 2530
ทีม่ า : วารสาร มศว.มหาสารคาม มกราคม 2530
ประวตั ิ ดร.ทยุ เรืองศรอี รัญ
นายทุย เรอื งศรีอรัญ เกิดในพทุ ธศตวรรษที่ 25 ปที ่ี 135 แหง่ กรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นปีท่ี 7 ใน
รัชสมยั ของพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี นายทุย เรือองศรีอรัญ
เกิดเมอ่ื วันองั คารท่ี 14 พฤศจกิ ายน 2459 แรม 5 คา่ เดอื น 12 มมี ะโรง สถานที่เกิด คือ บ้านเหลา่ ขาม ม.
7 ต.สีแก้ว อ.เมือง จ.รอ้ ยเอ็ด จบการศึกษาชนั้ ประถมจากโรงเรียนบ้านปอภาร อาเภอเมอื ง จงั หวัดรอ้ ยเอด็
ภรรยาช่ือนางไข่ เรอื งศรอี รญั ปัจจุบันนายทุย นางไข่ เรืองศรีอรญั ถงึ แก่กรรม
นายทุย เรอื งศรอี รญั ศกึ ษาวิชาการทาแคน ต้งั แต่ อายุเพยี ง 18 ปี จากครชู าวบ้าน และพ่ีเขยซึ่งมี
อาชีพเปน็ ช่างทาแคน ฝกึ ได้ไมน่ านก็ สามารถทาแคนขายไดช้ นิ้ แรกขายได้เตา้ ละ 25 สตางค์ และประกอบ
2001 211 3 Folk Music Skills 3 50 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐ์กุล
ทักษะดนตรีพนื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
อาชพี เป็นช่างทาแคนและ ทามาตลอด ไดเ้ คยนาแคนไปจาหน่ายและแพรห่ ลายทว่ั ไปท้ังในภาค อีสาน ภาค
กลาง และประเทศลาว แคนของนายทยุ เรอื งศรีอรัญ มีคณุ ภาพยอดเย่ียมยากที่จะหาใครเทยี บได้ กล่าวคอื
เป็นแคนท่ีสร้างด้วย ฝีมือประณีต รูปทรงของแคนได้สัดส่วน เสียงไพเราะจับใจ เป่าง่าย ไม่กินลมมาก
ทนทานใช้ไดเ้ ปน็ เวลานาน เปน็ ที่ยอมรับและนิยมใช้ ในหมหู่ มอลาหมอแคนทมี่ ีชื่อเสยี งทัว่ ไป
วสั ดแุ ละอุปกรณ์ท่ีใช้ทาแคน
วัตถุดิบ ที่ใช้ในการทาแคนคือไม้เหี้ยน้ัน จะต้องส่ังซ้ือจากพ่อค้าของ สาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว กับมีในบางพ้นื ที่ ของจังหวัดนครพนมและจังหวัด สกลนคร วัตถุดิบที่หาได้ใน ท้องถ่ินคือ
เครอื ย่านาง ข้สี ูด เต้าแคน ล้นิ แคน ( ทาดว้ ยเงินหรือทองแดง)ส่วนเคร่อื งมือในการท่าแคนได้แก่ ส่ิวสับเต้า
สิว่ สับลิน้ มีดตอก กระดกู ช้าง ทงั่ ฆ้อน ไม้มอื ลิง เหล็กแหลม
ทุย เรืองศรีอรัญ “เป็นครูชาวบ้าน” คนหน่ึงท่ีให้การสนับสนุนงานการศึกษานอกโรงเรียนเป็น
อยา่ งดพี ร้อมท่จี ะถา่ ยทอดความรูห้ รือเทคนิคการการทาแคนอันลือช่ือและเป็นที่รู้จักแพร่หลายในบรรดา
เหล่าศิลปินท้งั ในประเทศและต่างประเทศเป็นจานวนมากโดยไม่ปิดบังท่านเล่าว่าผู้ที่จะยึดอาชีพการทา
แคนขายน้ันจะตอ้ งผา่ นกระบวนการและขั้นตอนของทา่ นกอ่ น กลา่ วคอื จะต้องสามารถตีหลาบหรือลิ้นให้มี
ความเรียบบางเสมอกันก่อน จึงจะถือว่ามีความสามารถท่ีจะรบั รูห้ รอื ผ่านกระบวนการขน้ั แรกซึง่ ยากกว่าสงิ่
อื่น ๆ ไดแ้ ล้วจึงจะถา่ ยทอดความรู้หรอื เทคนคิ ต่าง ๆ ใหไ้ ดว้ ธิ ีการทาแคนมีกระบวนการดังน้ี
ภาพที่ 22 : นายชา่ งทาแคน ทุย เร่ืองศรีอรญั กาลงั ทาแคน
วารสาร มศว.มหาสารคาม มกราคม 2530
1. น่าไมเ้ หี้ยท่ีคดั ได้ขนาดท่ตี ้องการมาลนไฟโดยใช้ไมม้ อี ลิงดดั ใหต้ รง
2. ทาเตา้ แคนดว้ ยไมป้ ระดู่ เจาะรูให้เรียบร้อย
3. นาโลหะมาตเี ป็นหลาบให้เรียบบางเสมอกนั ( หลาบคือแผ่นโลหะทีใ่ ชท้ าลน้ิ แคน ทา
จากทองแดงหรอื เงิน )
4. นา่ ล้นิ แคนมาเสียบตรึงเข้ากบั รลู ิ้นแคนทเ่ี จาะเตรยี มไว้ ใชป้ นู ขาวหรือปนู แดงอดุ ไม่ให้
ลมร่วั
2001 211 3 Folk Music Skills 3 51 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
5. สอดเรยี งลูกแคนเขา้ ไปในเตา้ แคนทเี่ ตรยี มไวแ้ ลว้ เป็นคู่ ๆ ตามลาดบั ใช้ข้ีสูดปดิ เพื่อ
ยึดเต้าแคนใหแ้ น่น
6. การเจาะรูนบั ( รูที่ใชน้ ิว้ ปิดและเปดิ ) เจาะดว้ ยเหลก็ แหลมลนไฟ
7. เมอ่ื ประกอบแคนเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้ว ทดลองเป่าฟังความถูกตอ้ งของเสียงกอ่ นนาไป
จาหน่ายหรือใช้
8. แคน 1 เต้า จะใช้เวลาทาอยปู่ ระมาณ 1 วนั เป็นอย่างนอ้ ย
ภาพที่ 23 : แคน เป็นเครอื่ งดนตรีทผี่ า่ นการทาฝีมอื การทานายช่างทาแคน ทุย เร่อื งศรีอรัญ วารสาร
ที่มา : มศว.มหาสารคาม มกราคม 2530
ทุย เรืองศรีอรัญ ได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษในการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเยาวชนและ
ประชาชนท่วั ไปท่ีมีความสนใจท่ีจะฝึกสบื ทอดศลิ ปะ ทั้งเคยได้รบั เชิญไปบรรยายและสาธิตการทาแคนเป่า
ให้กับนิสิตมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยครูต่างๆเกือบทั่วประเทศ ตลอดจนเป็นวิทยากรได้ข้อมูลเพ่ือนาไป
เขียนสารานกุ รมไทยฉบับราชบณั ฑิตยสถาน
ทยุ เรืองศรีอรัญ มฐี านะม่ังคงสารมารถสรา้ งรายได้ใหก้ ับครอบครัวได้เป็นอย่างดีและพัฒนาการ
ทาแคนให้มีประสทิ ธภิ าพจนเป็นทรี่ ู้จักของคนทวั่ ไปโดยเฉพราะเหลา่ ศิลปปนิ หมอลาหมอแคนและแคนของ
ทา่ นนอกจากจะจาหนา่ ยในประเทศแล้ว ชาวต่างประเทศกย็ ังสั่งซ้ือด้วย ด้วยความเด่นความดีงามของท่าน
จึงได้รับคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒให้เป็นศิลปินดีเด่นในสาขาดุริยางคศิลป์เข้ารับ
พระราชทานปริญญาดษุ ฎกี ติ ตมิ ศกั ดิ์ เปน็ ดร.ทุย เรืองศรีอรัญ
2001 211 3 Folk Music Skills 3 52 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ทกั ษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
องค์ประกอบของแคนแปด
2.ไมก้ ่แู คน 1.เครอื หญา้ นาง
3.ล้ินแคน 4. ข้ีสูต
5. เต้าแคน
ภาพที่ 24 : องค์ประกอบของแคน
ทีม่ า : นายชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐ์กลุ บนั ทกึ เมื่อ วนั ท่ี 18 เมษายน 2562 อา้ งองิ จาก หนงั สอื ศลิ ปะการ
เปา่ แคน ของอาจารย์กิตติวฒั น์ สตั นาโค
1. เครอื หญา้ นาง ตามนทิ านเร่อื งกาเนดิ แคน กล่าวว่า พระราชาเป็นผู้พระราชทานช่ือให้แก่
เครอื ไมท้ ่ีใช้มดั แคน เพ่ือเปน็ เกียรติแกห่ ญงิ หมา้ ยทีท่ าแคนขน้ึ เป็นคนแรก โดยปกติแลว้ ช่างแคนจะไม่ใช้
อยา่ งอ่ืนท่มี คี วามเชอ่ื ว่า มีธาตทุ ีแ่ ข็งกวา่ แคนมดั แคน เชน่ ลวดหรอื หวาย ทีใ่ ชม้ ัดแคน นอกจากเครือ
หญา้ นางแลว้ ในปจั จุบนั ยงั พบวา่ มกี ารใชเ้ ชอื กฟาง พลาสตกิ และขา่ ซ่ึงนิยมใชก้ นั ในถน่ิ ผู้ไทยดว้ ย
2001 211 3 Folk Music Skills 3 53 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
2. ไม้กแู่ คน ทาจากไม้ไผเ่ ฮยี่ ทะลวงปลอ้ งโดยตลอด ซ฿งกู่แคนแตล่ ะกจู่ ะให้เสยี งต่างกนั ท้งั น้ี
เพราะระยะความหา่ งของรแู พ แต่ละกแู่ คนหส่ งจากโคนลิน้ เป็นระยะทางไม่เทา่ กนั หากรูแพหา่ งจากโคน
ลนิ้ มาก เสยี งกจ็ ะทมุ้ ต่า แต่ถา้ หากห่างนอ้ ยเสยี งก็จะแหลมสงู โดยแตล่ ะกแู่ คน รแู พดา้ นบนจะห่างจาก
โคนลนิ้ เป็นระยะ 3 เท่าของรูแพดา้ นลา่ ง
3. ลิน้ แคน ทาจากโลหะเงินหรือทองแดง โดยช่างจะหลอมโลหะ ถ้าหากเปน็ โลหะเงนิ ก็จะผสม
ทองแดงเลก็ นอ้ ยเพอื่ ใหโ้ ลหะเงนิ นั้นมีความแข็งและทนทานขน้ึ ในการผสมโลหะเงินกบั ทองแดงนั้นจะถอื
เปน็ เทคนิคเฉพาะชา่ ง หลงั จากหลอมแลว้ ชา่ งก็จะตีให้เปน็ แผน่ บางๆ ซึง่ คุณภาพของลนิ้ แคนส่วนหนึ่ง
ขึน้ อยู่กับการตใี นข้นั ตอนนี้ด้วย เม่ือทาลิ้นแคนซึ่งเป็นรปู ร่างคลา้ ยตวั วี (v) ในภาษาองั กฤษแลว้ ช่างกจ็ ะ
นาเข้าไปสอด ใหแ้ นบติดกบั ช่องทบ่ี ากเตรยี มไว้ การปรับเสยี ง หากช่างวบากรแู พไดต้ ามสตู รการทาแคน
แลว้ ถ้าเสียงยงั ไม่เขา้ ที่ช่างจะขดู ลิ้น โดยหากขูดทีส่ ่วนโคนเสยี งจะทมุ้ ต่าลงไป แต่หากขดู ที่สว่ นปลายลนิ้
เสียงจะเลก็ แหลมขึน้
4. ขสี้ ดู หรือชันนะรง เป็นผลท่ไี ด้จากแมลงตัวเล็ก สีดา มปี สี ขี าว โคนขาหลังโตมาก ให้
น้าหวาน ชอบทารงั อย่ใู นดินจอมปลวกหรือโคนตน้ ไม้ ชาวบ้านมักจะขดุ พบเวลาทาไร่ ข้ีสดู ใช้เชือ่ ม
ประสานระหวา่ งกกู่ บั เต้าแคนไมใ่ ห้เคลอื่ นไหว มีคณุ สมบัตเิ หนยี วแตไ่ ม่ตดิ มือ และไม่แขง็ อยา่ งปนู
ปลาสเตอร์ หากตอ้ งการถอดก่แู คนเพอ่ื ซอ่ มบารงุ กท็ าได้โดยง่าย
5. เต้าแคน นยิ มทาจากรากแก้วไม้ประดู่ เพราะเจาะบากและถากได้ง่าย สวยงามและยงั เป็น
สว่ นหน่ึงท่ที าใหเ้ สยี งแคนดงั กงั วาล ช่างแคนบางคนอาจจะใช้ไม้อื่นทาแทนรากแกว้ ไมป้ ระดู่ เช่น ไมส้ กั
ไมน้ ้าเกลยี้ ง เป็นตน้ ซึง่ เต้าแคนประกอบดว้ ยส่วนดว้ นหนา้ สดุ ยื่นออกไปเรยี กวา่ “นมแคน” ส่วนนี้ผูเ้ ป่า
อาจใชเ้ ชือกเสน้ เลก็ ๆมัดโดยทอ้ งปมไวเ้ ปน็ 2 เส้นสว่ นปลายเชือกติดด้วยขี้สดู ใชส้ าหรบั ปิดเสียงเสริ ์ฟ
ประสาน เพ่อื จะไดไ้ ม่ต้องแกะขส้ี ดู จากเตา้ แคนบอ่ ยๆ นอกจากนส้ี ่วนหนา้ สุด และนมแคนยงั ใช้เป็น
ลักษณะสาคัญท่ีสดุ ที่จะสังเกตไุ ดว้ า่ แคนน้ีเปน็ ของชา่ งแคนคนใด เพราะแต่ละช่างจะทาส่วนนใี้ หแ้ ตกตา่ ง
กัน แคนในตระกลู หรือกลุม่ ช่างเดยี วกันจะคล้ายคลงึ กนั มาก แตส่ ่วนนไี้ ม่มที างทจี่ ะเหมือนกัน
ภาพที่ 25 : เตา้ แคน
ท่ีมา : นายชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ บนั ทึกเม่อื วนั ที่ 18 เมษายน 2562
2001 211 3 Folk Music Skills 3 54 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
วสั ดแุ ละอุปกรณท์ ใี่ ช้ทาแคน
1 สวิ่ มีอยู่หลายขนาด ตาละขนาดจะใช้หนา้ ท่ีแตกตา่ งกนั คอื
1.1 สิ่วกาน เปน็ สิว่ ที่ใชส้ บั แผ่นโลหะเป็นชิน้ เล็ก เพ่ือทาเป็นลิ้นแคน แผ่น
โลหะอาจเปน็ ทองแดง หรือเงนิ หลอมและตีเป็นแผน่ บางๆ ไวแ้ ล้ว
1.2 ส่ิวสับล้ิน เปน็ ส่วิ ที่ใช้ตกแตง่ แคนใหเ้ หมาะเจาะพอดีทส่ี อดเข้าไม้กแู่ คน
2. เหล็กแซน้ เป็นโลหะบางๆ โดยมากนิยมทาจากแผน่ ทองแดงทน่ี ามาทาลน้ิ แคน มี
ความกว้าง 0.5 เซนติเมตร ยาว 4.5 เซนตเิ มตร และหนาประมาณ 0.45 มลิ ลเิ มตร ใหส้ อด
ใต้ลิ้นแคนซึ่งจะหนุนให้ล้นิ สงู ขนึ้ ทาใหก้ ารขดู ลิน้ หรือการตกแตง่ แคนสะดวกข้นึ
3. ค้อน ใช้ตีโลหะท่หี ลอมแลว้ ให้แผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ เพอ่ื เตรยี มในการสบั ลนิ้ ในขน้ั
ตอ่ ไป
4. เขียงทง่ั ใช้รองรบั การตโี ลหะทองแดง หรือเงิน ในข้นั ตอนการทาลิน้ แคน
ภาพที่ 26 ทงั่ ตีล้ินแคน
ที่มา : นายชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ลุ บนั ทึกเมือ่ วนั ท่ี 18 เมษายน 2562 อ้างองิ จาก
หนังสอื ศลิ ปะการ
5. มดี ตอกใช้ในการบาก ตดั ไมก้ แู่ คนและขดู ลิ้นแคน เปน็ มดี ปลายแหลมบรเิ วณกลาง
ใหญ่หนาและมดี ้ามทาด้วยไม้ ดา้ มมีดตอกมีความยาวประมาณ 5.-60 เซนตเิ มตร บรเิ วณกวา้ ง
สุดของมีดตอกประมาณ 4.5 เซนตเิ มตรและมคี วามหนาดา้ นสนั มดี ประมาณ 4 มลิ ลิเมตร
6. ขนั น้า ใชต้ กั นา้ มาใชเ้ พ่อื จุ่ม ลา้ ง ทาความสะอาด ในขนั้ ตอนการทาลนิ้ แคนและ
แช่เถาย่านางใหน้ ่มุ ก่อนใช้รดั แคน
7. กระดูกช้างใชใ้ นการรองรบั ล้นิ แคนในขณะท่ตี ี กระดกู ช้างเปน็ กระดกู ช้างจรงิ
กระดูกช้างที่เติบโตเต็มที่จะแข็งพอเหมาะ เนอ่ื งจากการสบั ล้ินตอ้ งการวสั ดรุ องรับทแ่ี ข็งและ
เหนียว แต่ไม่แกรง่ จนจนทาให้สิ่วทส่ี บั ลงไปหมดความคมหรือออ่ นจนทาใหส้ ว่ิ จมลง สบั ล้ินแคน
ไม่ขาดหรือไมไ่ ด้รปู ทรงตามต้องการ
2001 211 3 Folk Music Skills 3 55 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐก์ ุล
ทักษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ภาพที่ 26 กระดกู ช่างใช้รองสบั ลิ้นแคน
ทม่ี า : นายชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ บันทึกเมือ่ วนั ท่ี 18 เมษายน 2562
8. ไมม้ อื ลงิ เป็นไมท้ ใ่ี ชส้ าหรับดัดกู่แคนทล่ี นไฟแล้วให้ตรง
9. เหลก็ ซี เป็นเหลก็ ปลายแหลมท่ีนามาเจาะทะลปุ ล้องของกู่แคน โดยการเผาแคนให้
ร้อนแดงก่อนนามาเจาะทะลุปล้อง ชา่ งทาแคนจะมเี หล็กซีไมต่ า่ ๔ อัน และมขี นาดเลก็ สุดถึง
ใหญ่สดุ
10. โลหะทองแดง หรือโลหะเงนิ ใช้ทาลิน้ แคนได้ดี แต่กอ่ นลนิ้ แคนทาจากกาไลเงนิ
เข็มขดั เงินเหรียญกษาปณเ์ งนิ เหรียญรชั กาลท่ี 5 แต่ปัจจบุ ัน ลิน้ แคน จะซอ้ื จากชา่ งท่ีหลอม
เงิน ทองแดง ตาบลปอภาร อยูห่ า่ งจากบา้ นสแี กว้ ประมาณ 3 กโิ ลเมตร
ภาพท่ี 27 : หลาบโลหะใช้ทาล้ินแคน
ทม่ี า : นายชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐ์กุล บนั ทึกเมอื่ วันท่ี 18 เมษายน 2562
2001 211 3 Folk Music Skills 3 56 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรีพนื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
11. ปนู ขาว เป็นปูนขาวทไ่ี ดจ้ าก เปลอื กหอยนา้ จดื ซึง่ มชี ื่อพ้ืนบา้ นว่า “หอยจีบจ”้ี
ปูนขาวไดม้ าโดยนาเอาหอยกาบมาฝนกบั หินจนไดป้ ูนขาวข้น แลว้ เอาปูนขาวที่ได้ไปอุดรูร่ัว
ระหว่างลิ้นแคนกบั ก่แู คนเพอื่ ไมใ่ ห้ลมทเี่ ป่าเข้าไปผ่านรรู ัว่ บรเิ วณขอบ โดยม่งุ ใหล้ มผ่านลนิ้ แคน
เพียงอยา่ งเดยี ว
ภาพที่ 28 : ปูนขาวใชท้ าล้ินแคน
ทม่ี า : นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กุล บนั ทกึ เมอ่ื วันที่ 18 เมษายน 2562
12. ไมค้ นั่ แคน เป็นไม้ทท่ี าจากไม้ไผ่ ซง่ึ มหี นา้ ที่คั่นกลางระหว่างกแู่ คนทั้ง 2 ดา้ น มใิ ห้
ชดิ กัน
ประเภทของแคน
ส่วนประกอบต่างๆ ดังท่กี ล่าวมาได้ถูกนามาประกอบกันขึ้นเป็นแคนโดยความสามารถของ
ช่างแคนศิลปินพ้ืนบ้าน แคนทีอยู่กลายประเภทด้วยกันหากจะพูดถึงความแตกต่างของแคนแล้ว คงต้อง
กล่าวไปถึงแคนของชาวเขาในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย แคนของคนจีนหรือแคนของคน
ญ่ปี ุ่น เพราะแคนไม่ได้อยู่เฉพาะที่อีสานเพียงแห่งเดียวและแคนในแต่ละท่ีดังกล่าวก็มีรูปร่างแตกต่างกัน
ออกไป แต่ถงึ กระนั้นเฉพาะแคนของชาวอีสานเองกม็ ีอยหู่ ลายประเภทด้วยกัน โดยการแบ่งประเภทได้ยึด
ตามแบบท่ีมมี าแต่โบราณ ดังน้ี
1.
2.
2001 211 3 Folk Music Skills 3 57 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพนื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
3. แคนโก่
ภาพที่ 29 : แคนโก่
ทม่ี า : นายชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐ์กลุ บนั ทึกเมื่อ วนั ที่ 18 เมษายน 2562
แคนหกหรือแคนโก่ (โก่ หมายถงึ เล็กหรือเยาว์วยั )หรอื มีชื่อเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ แคนศอก (เพราะ
มีความยาวประมาณไม่เกนิ หน่งึ ช่วงศอก) แคนหก เปน็ แคนขนาดเล็ก มีข้างละ 3 ลูก นิยมทาเป็นของเล่น
สาหรับเดก็ แตก่ ระนัน้ ไม่ได้หมายความวา่ จะห้ามผ้ใู หญ่เลน่ เสียทีเดยี ว ทราบวา่ ในสมยั ก่อนแคนประเภทน้ี
ก็เปน็ ท่ีนยิ มเล่นของหนุ่มๆ ด้วย นิยมเป่าไปเลน่ สาวในเวลากลางคนื แคนหกนีถ้ งึ แมจ้ ะมเี พียงแค่ 6 ลูก แต่
กส็ ามารถเปา่ เพลงพื้นบ้านอสี านได้หลายลายด้วยกนั เช่น ลายทางส้ัน สามารถเป่าลายโป้ซ้าย และแมงภู่
ตอมดอก ซ่ึงเป็นลายแม่บทของลายแคนท่ีมีอยู่ได้ ส่วนในลายทางยาวสามารถเป่าลายน้อยต่างๆ ได้ เช่น
ลายผไู้ ทยเลาะตบู ลายลมพัดพร้าว ลายไล่งัวขึ้นภู ลายแข้แก่งหาง ลายตงั หวาย ลายสาวหยิกแม่ ลายเต้ย
ตา่ งๆ ได้ ทง้ั นีเ้ พราะแคนหกมรี ะบบการจดั เรียงเสยี งเปน็ แบบเพนทาโทนิค ซง่ึ มีห้าเสียงสาคัญ คือ โด เร
มี ฟา ซอล ลา ราคาโดยเฉล่ียท่ัวไป เตา้ ละ 20 – 30 บาท
4. แคนเจ็ด
ภาพที่ 31 : แคนเจด็
ทีม่ า : นายชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กุล บันทกึ เมอ่ื วนั ที่ 18 เมษายน 2562
2001 211 3 Folk Music Skills 3 58 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ
ทักษะดนตรพี นื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
แคนเจ็ดเปน็ คนทม่ี ขี า้ งละ 7 ลกู ซง่ึ หากรวมทั่งสองขา้ งกเ็ ปน็ 14 ลกู มคี รบเจ็ดเสียง คือ โด เร มี
ฟา ซอล ลา ที ซึง่ เปน็ การเรยี งเสยี งครบตามสเกลเสยี งแบบ ไดอาโทนคิ ซึง่ มีการจัดระบบเสียงเป็นแบบคู่
แฝดด้วยกล่าวคือสาหรับหน่ึงเสียงจะมีทั้งเสียงที่เป็นเสียงสูงและเสียงท่ีเป็นเสียงต่าเช่น เสียงเรต่ากับ
เสยี งเรสงู เป็นตน้ เสยี งแตล่ ะคจู่ ะไมไ่ ด้ถกู จัดให้อย่ตู รงกัน แตจ่ ะจดั สลบั ท่กี ันไปตามแบบช่างโบราณทั้งน้ี
เพอ่ื ความสะดวกและเหมาะสมในการบรรเลงเพลงพน้ื บา้ นและลกั ษณะการเล่นประสานเสยี งทางดนตรขี อง
ชนแตล่ ะกล่มุ แคนเจ็ดนอกจากจะสามารถเป่าลายแคนพ้ืนบ้านอีสานได้ทุกลายแล้วยังสามารถเป่าได้ทุก
เพลง ทุกทานองที่มกี ารใชเ้ สียงอยูใ่ น 7 เสยี งดังกลา่ วอยา่ งไพเราะเพราะพรง้ิ ดว้ ย
5. แคนแปด
ภาพท่ี 31 : แคนแปด
ทม่ี า : นายชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐก์ ุล บันทกึ เมอื่ วนั ท่ี 18 เมษายน 2562
แคนแปด ทีทัง้ หมด16 ลกู โดยแบง่ เปน็ ข้างละ 8 ด้วยเหตนุ ้ีเองจึงเรยี กชื่อว่าแคนแปด แคนแปดมี
ครบท้งั 7 เสียงและจดั ระบบเสียงคู่แปดเชน่ เดียวกนั กบั แคนเจ็ด มีคู่พิเศษเพิ่มข้ึนจากแคน 7 คือคู่ที่ 8 ซ่ึง
เปน็ เสียงท่ีใช้เสิรฟ์ ประสานหมอแคนเรยี กคูท่ ี่ 8 นว้ี า่ “คเู่ ศษก้อย”ซึ่งด้านซ้ายมือเป็นเสียงซอลด้านขวามือ
เปน็ เสยี งลาแคนแปดเป็นท่นี ิยมโดยทัว่ ไปไม่ว่าจะเป็นการเป่าเด่ียวประกอบหมอลาหรือวงดนตรีอย่างอ่ืน
เพราะแคนแปดมีคเู่ สยี งเสิรฟ์ ประสานดไี มม่ ากเกนิ ไปและเป็นแคนขนาดกลางไมเ่ ลก็ ไมใ่ หญจ่ นเกนิ ไป
6. แคนเกา้
ภาพที่ 32 : แคนเกา้
ทีม่ า : นายชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐก์ ลุ
บันทกึ เมือ่ วนั ที่ 18 เมษายน 2562
2001 211 3 Folk Music Skills 3 59 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
แคนเก้า มีทง้ั หมด 18 ลกู แบ่งออกเป็นขา้ งละ 9 ด้วยเหตุน้ีจึงเรียกว่าแคนเก้า ระบบการจัดเรียง
เสียงของแคนเก้าเปน็ ระบบค่แู ปดเช่นเดียวกันกบั คู่ที่ 8 ของแคนแปดมีครบทั้ง 7 เสียง เช่นเดยี วกัน สาหรบั
ในคู่ท่ี 9 นนั้ เปน็ เสียงเดียวกนั กบั คู่ท่ี 8 ของแคนแปด แคนเก้าจึงมีระบบเสียงเสิร์ฟประสานท่ีมากมายอยู่
พอสมควรทาให้ได้เสียงท่ีไพเราะเป็นที่สุด โดยปกติแล้วแคนเก้าช่างมักจะทาแคนขนาดใหญ่ท้ังน้ีเพื่อให้
สว่ นสูงกับความกวา้ งซึง่ มคี วามกวา้ งถงึ 9 ลกู ได้สดั ส่วนกันความไพเราะของแคนเก้าว่ากันวา่ ถงึ กบั ทาให้ผูท้ ี่
กาลังอาบน้าลืมนุ่งผ้าว่ิงมาฟังเสียงแคน ในปัจจุบันการคมนาคมการเดินทางไปมาสะดวกขึ้น แคนเก้ามี
ขนาดใหญ่เกนิ กว่าทีจ่ ะนาติดตัวไปด้วย ความนิยมจึงค่อยๆ ลดลง จนกระท่ังปัจจุบันหลายคนไม่เคยเห็น
รูปร่างหนา้ ตาของแคนเกา้ เลย เป็นทีน่ ่าเสยี ดายยิ่งนกั
ระบบเสียงแคนแปด
แคนเปน็ เครื่องดนตรีที่เป็นระบบเสียงที่เปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะตวั การกาเนดิ เสยี งแคน และลายแคน
น้ัน ประการทแ่ี รกเกดิ จากการเป่าประกอบตามทานองคาร้องของหมอลา ประการที่สองเกิดจากสาเนียง
ภาษาพูดท่ีแตกต่างกันทาให้ความเข้าใจในทานองของหมอแคนในแต่ละท้องถ่ิมมีเอกลักษณ์ท่ีโดดเด่น
เฉพาะตวั เกิดความหลากหลาย ซ่งึ ตาแหนง่ ของเสียงของแคนนั้นจะมีชอเรียกเป็นภาษาท้องถ่ินอีสานที่ใช้
เรียกช่ือกแู่ คนมาแต่โบราณ และพัฒนาการตอ่ มาได้ใช้อกั ษรเป็นสัญลักษณ์แทนเสียงของแคน 7 ตัว คือ ด
ร ม ฟ ซ ล ท เทียบช่ือตาแหน่งเสียงแคนการเทียบช่ือกู่แคนแบบโบราณกับอักษรแทนเสียงแคนที่ใช้ใน
ปจั จบุ ัน ตวั อกั ษรจะมีอยู่ 7 ตวั ซ่ึงมรี ะบบเสียงเป็นระยะช่วงคู่แปด 1 Octave 6 ตัวอักษร คือ ด ต่า ด สูง
, รตา่ ร สงู , ม ต่า ม สูง , ฟ ตา่ ฟ สูง , ซ ต่า ซ สูง , ท ต ท สูง และเสียงที่มีระยะช่วงคู่แปด 2 Octave
คอื เสยี ง ล ต่า ล ไม่สู่ไมต่ า่ ล สงู และระดบั เสยี งทเ่ี ท่ากนั ตวั อักษรเหมือนกันคือ ซ ทางด้านซ้าย-ขวาที่ช่ือ
สะแนน เปน็ เสยี งท่ีอยู่ในระดับเสียงเดยี วกนั หรือมชี ่ือเรียกตามทฤษฏีฝรัง่ วา่ ข้นั คู่ 1 Perfect หรอื เรยี กวา่ คู่
ยนู ิซน ( Unison ) ตัวอยา่ งแผนผังตาแหนง่ เสียงแคน ต่อไปนี้
ตาแหนง่ เสยี งแคน
ภาพท่ี 32 : ตาแหน่งเสียงแคน
ท่มี า : นายชาติอาชา พาลลี ะพ
สษิ ฐก์ ุล บนั ทกึ เมือ่ วนั ที่ 18
เมษายน 2562
2001 211 3 Folk Music Skills 3 60 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
องค์ประกอบของโน้ตแคน
การใช้สญั ลกั ษณเ์ พอื่ บันทึกเสียงดนตรี ไม่วา่ จะอย่ใู นวัฒนธรรมใดก็ตามไม่สามารถที่จะใช้แทนใน
ทกุ ลลี าของดนตรี ไดค้ รบทุกกระบวนความ อย่างไรก็ตามการบันทกึ โนต้ ของแคนนั้นยอ่ มต้องมีการกาหนด
กฎเกณฑ์ในการเรยี นรู้เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นได้เขา้ ใจและง่ายต่อการศกึ ษา ซึงมสี ว่ นประกอบดว้ ยกนั ดังนี้
1.สัญลกั ษณ์แทนเสยี งสญั ลักษณแ์ ทนเสียงแคนน้ันกาหนดให้ใชต้ วั อักษร 7 ตัว แทนเสียแคน คือ
ด อา่ นว่า โด
ร อา่ นว่า เร
ม อา่ นวา่ มี
ฟ อา่ นวา่ ฟา
ซ อ่านวา่ ซอล
ล อ่านวา่ ลา
ท อา่ นวา่ ที
2.ห้องเพลง หอ้ งเพลงของแคนนัน้ กาหนดให้มีตารางบรรทัดละ 8 ห้อง ซ่ึงจานวนของห้องเพลง
นัน้ ขึ้นอยกู่ ับเพลงแคนหรอื ลายแคนดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
3.สัญลักษณ์แทนความส้ันยาวของเสียงแคนนั้นกาหนดให้มีเคร่ืองหมาย ( - ) แทนความส้ันยาว
ของเสียงแคน โดยกาหนดให้ 1 หอ้ งเพลงมีเครอ่ื งหมาย ( - ) 4 ตัว ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี
---- ---- ---- ---- ---- ---- ---- ----
---- ---- ---- ---- ---- ---- ---- ----
ในแตล่ ะห้องเพลงนน้ั จะมีความยาวเท่ากับหน่ึงจงั หวะ โดยใน 1 ห้องเพลงจะมี
ส่วนย่อย 4 ส่วนเท่าๆกัน สว่ นยอ่ ยแตล่ ะสว่ นจะมคี วามยาวเท่ากบั ¼ จังหวะ และแต่ละสว่ นแทน
คา่ ความยาวโดยใชเ้ คร่อื งหมาย ( - ) 1 เครอ่ื งหมาย หรอื ใชต้ วั โน้ต 1 ตวั เช่น
---- ---- ---- ---- ---- ---- ---- ----
4.การจดั เรียงตัวโน้ต เนอื่ งจากสญั ลักษณล์ ักษณ์ ด ร ม ฟ ซ ล ท สามารถแยกอตั ราความ
สั้น – ยาวของเสียง ทแ่ี ตกต่างกนั ดงั นั้น จงึ ต้องอาศยั การจดั เรยี งตวั โนต้ เพอ่ื ส่อื สารถึงความสน้ั – ยาว ของ
เสยี ง ส่ิงทจี่ าเป็นในการจดั เรียงตัวโนต้ เพือ่ ใหเ้ กิดเป็นท่วงทานองลลี าจงั หวะ นอกเหนือจากตัวอักษร ด ร
ม ฟ ซ ล ท แล้วจาเปน็ อย่างยงิ่ ทจ่ี ะต้องมีสญั ลกั ษณเ์ พิ่มคา่ ความยาวของเสยี ง โดยอาศัยเครอ่ื งหมาย ( )
ตามหลักพ้ืนฐานของการจัดเรียงตัวโน้ต ในแต่ละห้องจังหวะเคาะจะบรรจุไปด้วยหน่วยย่อยของ
เวลามคี ่าเทา่ กบั 4 หน่วยเคาะย่อยดังนี้
2001 211 3 Folk Music Skills 3 61 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐ์กลุ
ทกั ษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
หนว่ ยเคาะยอ่ ย
เคาะ เคาะ เคาะ เคาะ เคาะ เคาะ เคาะ เคาะ
1234 1234 1234 1234 1234 1234 1234 1234
ในการบันทึกตามระบบโน้ตตัวอกั ษร ด ร ม ฟ ซ ล ท แตล่ ะตัวและเคร่ืองหมาย ( - ) แต่ละอันก็
จะมคี า่ ความยาวเท่ากับ 1 หนว่ ยเคาะยอ่ ยเท่ากนั ทงั้ หมด ซึง่ จะทาความเขา้ ใจได้งา่ ยขนึ้ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
- ด มีคา่ เทา่ กับ - - - - ร มีค่าเท่ากบั ม ร -
ร ด มคี ่าเทา่ กับ – ด - - - ด มีคา้ เท่ากับ ดร – ม
- ล - ด มีคา่ เทา่ กบั - ด ร ม - - ม ด มคี ่าเท่ากบั ร ม - -
สัญลักษณเ์ ครือ่ งหมาย ( - ) แต่ละอันเมื่อปรากฏต่อท้ายตัวอักษรไดแล้วจะสามารถยืด
เสยี งของโน้ตตัวน้นั ให้ยาวออกไปอีกอันละ 1 หนว่ ยเคาะยอ่ ย ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
1 2 345
---ด ---ร ---ม - ร-ม
1. มคี วามยาวเท่ากับ 4 หนว่ ยเคาะยอ่ ย ประกอบดว้ ยตัวอักษร ด 1 เคาะย่อยและ
เคร่ืองหมาย ( - ) อีก 3 เคาะย่อย
2. มคี วามยาวเท่ากบั ขอ้ 1
3. มีความยาวเท่ากบั 2 หน่วยเคาะย่อยประกอบด้วยตัวอักษร ม 1 เคาะย่อยและเครือ่ งหมาย
( - ) อกี 1 เคาะยอ่ ย
4. มีความยาวเท่ากับขอ้ 3
5. มคี วามยาวเท่ากับ 1 หนว่ ยเคาะยอ่ ยซงึ่ เป็นอัตราความยาวของอกั ษร ม
สัญลักษณ์ทีใ่ ช้แทนเสยี งโน้ต ด ร ม ฟ ซ ล ท และสญั ลกั ษณ์ยืดเสียงทเ่ี ป็นเครือ่ งหมาย( - ) จะ
สลบั สบั เปลีย่ นตาแหนง่ กนั ไปมาตามท่วงทานองของลายแคนดังนั้นการจัดเรยี งโนต้ จึงสามารถพบเห็นใน
หลายรูปแบบ ตามตวั อยา่ งที่ยกมาดังน้ี
1.กรณีที่มโี น้ตหอ้ งละ 1 ตวั
---ซ ---ม ---ร ---ด -ซ-- -ม-- -ร-- -ด--
2.กรณมี โี นต้ ห้องละ 2 ตวั
2001 211 3 Folk Music Skills 3 62 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพนื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
---- -ม-ล -ล-ซ -ม-ล -ล-ซ -ด-ล -ล-ซ -ม-ล
---- --มล --ลซ --มล --ลซ -- ดล -- ลซ --มล
- - ซ ด ร ม- - - - ซ ม ร ด- - - - ร ด ล ด - - - - ร ด ร ม - -
3.กรณีมีโน้ตห้องละ 3 ตวั
-ลซล -ลดล -ลรล -ลดร -รดล -ลดล -ลรล -ลซล
-มซม รด- ร - รมร ดล- ด -รดล ดร- ด -ลดล ดร- ด
4.กรณมี ีโน้ตหอ้ งละ 4 ตัว
มลดร ดรฟซ ฟซลด ลดลซ ลซฟร ดรฟซ ลซฟร ซฟรด
มลดร ดรฟซ ฟซลด ลดลซ ลซฟร ดรฟซ ลซฟร ซฟรด
จังหวะและทานองลายแคน
การกาหนดจงั หวะของลายแคนน้ันได้อาศัยการนับจังหวะของดนตรีไทย ซ่ึงนั้น จังหวะหมายถึง
มาตราสว่ นของระบบดนตรีท่ีดาเนนิ ไปในช่วงของการบรรเลงเพลงอย่างสม่าเสมอ เป็นตัวกาหนดให้หมอ
แคนใช้เป็นหลักในการเป่าแคน ซงึ่ จะใช้จงั หวะสามญั ในการกาหนดจังหวะ จังหวะสามัญ หมายถงึ จังหวะ
ทั่วไปท่ีนักดนตรียึดเป็นหลักสาคัญในการบรรเลงดนตรีโดยปกติจังหวะสามัญที่ใช้กันในวงดนตรีจะมี 3
ระดบั คือ
1.จังหวะช้า ใช้กับเพลงทม่ี ีอัตราจังหวะ สามชน้ั
2.จังหวะปานกลาง ใช้กบั เพลงท่ีมีอัตราจงั หวะ สองชน้ั
3.จงั หวะเร็ว ใช้กบั เพลงทมี่ ีอัตราจงั หวะ ชน้ั เดียว ( เฉลิมศักด์ิ พิกลุ ศร,ี 2550:7-10 ) โดย
กาหนดใหเ้ ครอื่ งหมาย - เป็นเสยี งฉ่ิง เครื่องหมาย + เป็นเสยี งฉบั ดงั ตัวอยา่ ง
6.สัญลักษณแ์ ทนความสงู -ตา่ ของเสยี งแคนนน้ั กาหนดให้ มี จุด (.) ข้างล่างตัวอักษร เป็นเสียงต่า
จดุ (.) ข้างบนตวั อักษร เป็นเสียงสงู และตวั อักษรทไ่ี มม่ ีจุดเป็นเสยี งธรรมดาไมส่ ูงไม่ต่า
7. เครื่องหมายสเลอ (Slur) เครอื่ งหมายสเลอเปน็ เส้นโคง้ ( ) ซึง่ จะมไี ว้สาหรับเชื่อมโยง
กลุ่มตวั โน้ตท่ีต่างระดบั กนั หรือคนละเสียงเพ่ือต้องการให้เล่นโน้ตที่มีเคร่ืองหมายสเลอคล่อม อยู่น้ีให้เล่น
เสียงต่อเน่อื งกัน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 63 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ุล
ทักษะดนตรีพนื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
8. เครือ่ งหมาย ( Ties) คือการใช้เสยี งโยงเสียงทมี่ ลี ักษณะเป็นเสน้ โคง้ ใชก้ บั ตวั โน้ต
ที่มรี ะดบั เสียงเดียวกันเดียวกนั เทา่ นน้ั ใชไ้ ด้ 2 กรณี คือ ใช้โยงเสียงตวั โน้ตภายในหอ้ งเดียวกนั หรอื โยงเสียง
ต่างห้องก็ได้ การเขียนเส้นโยงเสียงให้เขียนเส้นโยงท่ีตาแหน่งหัวตัวโน้ต เพื่อให้ผู้เป่าแคนทาให้เสียงท่ีมี
ระดบั เสียงเดียวกนั ดงั อยา่ งต่อเนอื่ ง ดงั ตวั อย่างต่อไปนี้
ลายสุดสะแนน
---- ---ซ ---ซ -มซด ---ร ลด– ซ มซดล ซมซร
- ร - ด ร ม ล ซ ม ซ ด ล ซ ม ซ ร ม ซ ม ซ ล ม – ซ ร ซ – ร ล ด ดร
- ร - ม ร ด ร ด ล ด ล ร ม ซ ดร ด ล ด ร ร ม ร ซ ม ซ ด ซ ล ม ร ด
- ซ ม ซ ร ม ซ ล ด ร ม ล ซ ม ด ร ม ซ ม ซ ล ม - ซ ล ซ ม ร ล ด ดร
-ร- ฟ รฟซฟ รฟลฟ ซฟรฟ ดมดร ซมซร มซ-ร ลดซซ
มซดล ซมรด ล–มด รมดล ดรมล ซมดร มซมซ ลม - ซ
ม ซ ม ร ล ด – ร มซ – ด ล ซ – ซ - - - ฟ ล ซ – ซ ล ด ร ด ล ซ – ซ
ฟรดล ดซ– ซ -มซม ลซ–ซ มซมซ ดลซม --ดร ดลซม
-- ดล ดลซม ซมมด รมรด ล ซลซ รมซล ดรมซ ลมดร
- ด ล ซ ร ม ซ ล ด ล ร ด ล ด – ดร ม ร ดล ล ร ดล ล ม ดร ซ ร ม ซ
มซลซ ลม–ซ รซ–ร ลดดร ซ--ฟ - ซ-ฟ ซลซฟ -ม–ร
---ฟ - ซ–ฟ ซลซฟ -ม–ร ซมซด รมซม รดลซ รมซร
การใช้น้วิ เครอื่ งหมาย ( Ties ) เคร่ืองหมาย ( Slur )
การใชน้ ิ้วหรือการวางนว้ิ ท่ีถูกต้องและสะดวกในการเรียนเปา่ แคนตอ้ งใช้ทง้ั 10 น้ิวจงึ จะมีความ
คล่องตวั ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
มอื ซา้ ย นิว้ หัวแม่มอื สาหรบั ปดิ รูนบั โป้ซา้ ย ลกู ที่ 1 หรอื ตาแหน่งเสียง โด สงู
นิว้ ชี้ สาหรบั ปดิ รูนบั ลกู ท่ี 2 และ 3 หรือ ตาแหนง่ เสยี ง ที เร
น้ิวกลาง สาหรบั ปิดรูนบั ลกู ที่ 4 และ 5 หรอื ตาแหน่งเสยี ง มี ฟา
นวิ้ นาง สาหรบั ปิดรูนบั ลกู ที่ 6 และ 7 หรอื ตาแหนง่ เสียง ซอล ฟา
นว้ิ กอ้ ย สาหรบั ปดิ รูนับลกู ที่ 8 หรอื ตาแหนง่ เสียง ซอลสูง
มือขวา น้วิ หัวแม่มอื สาหรับปดิ รูนบั โป้ขวาลกู ท่ี 1 หรอื ตาแหน่งเสียง ลา
นิ้วช้ี สาหรบั ปดิ รูนับลกู ที่ 2 และ 3 หรือ ตาแหนง่ เสยี ง โด ซอล
น้ิวกลาง สาหรบั ปิดรูนับลกู ท่ี 4 และ 5 หรอื ตาแหน่งเสยี ง ลา ที
นว้ิ นาง สาหรบั ปิดรูนับลูกท่ี 6 และ 7 หรือ ตาแหนง่ เสยี ง เร มี
น้วิ กอ้ ย สาหรับปดิ นับรลู กู ที่ 8 หรือ ตาแหน่งเสยี ง ลาสูง
2001 211 3 Folk Music Skills 3 64 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐก์ ลุ
ทักษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
วิธกี ารใช้นิว้ แบบนีเ้ ป็นวธิ ีทง่ี า่ ยตอ่ การฝึกเปา่ แคนและใชน้ ว้ิ ปดิ นบั รแู คนได้คลอ่ งตวั ตาม
ลักษณะการเป่าแคน
การติดสดู
การติดสดู หมายถงึ การทาใหเ้ สียงเสริ พ์ ประสานหลักของแตล่ ะลาย ดงั อย่ตู ลอดเวลาไม่ขาดหาย
ในช่วงขณะที่เป่า ทาใหเ้ สยี งแคนไพเราะกลมกลนื วิธกี ารคือ นาเอาขี้สดู ท่ตี ดิ อยูเ่ ตา้ แคนไปปิดรูนบั เสียง
เสริ พ์ ประสานทต่ี อ้ งการใช้
ซ่ึงการตดิ สดู น้ีไดย้ ดึ หลกั ที่วา่ ใชเ้ สยี งต่าสุด ในแตล่ ะระดับเสียง สาหรบั แตล่ ะกลมุ่ ลายเปน็ หลกั
ซ่งึ ถึงแม้วา่ จะเปน็ ระดบั เสียงเดยี วกนั แตถ่ ้าหากตา่ งกลมุ่ ลายเดยี วกนั เสียงทมุ่ ต่าที่ใชเ้ ป็นหลกั ในการติดสูด
กจ็ ะแตกตา่ งกันดังนี้
1. ลายสดุ สะแนนติดสูดทเี่ สยี ง ซอล (เสพซ้าย) เปน็ เสียงประสานหลกั ทาให้เสยี งแคนในขณะท่ี
เปา่ ไมข่ าดหายไปและเสยี ง ซอล เป็นเสยี งท่ีทมุ่ ตา่ ที่สุด ซงึ่ สงั เกตไดจ้ ากการทเี่ สยี งหมอลาเปล่งออกมา
เปน็ คาสดุ ท้ายของชว่ งโอล่ าเป็นคร้ังแรก ซึ่งเป็นเสียงทที่ ุม่ ตา่ ทสี่ ดุ ของการขับลาทางสน้ั ในระดับเสียงนีต้ ะ
ตรงกบั เสียง ซอล ดังนั้นเสียง ซอล จงึ เปน็ หลักในการติดสูด
การใช้ลม
ลมสะบัด คุณลักษณะของลมชนิดนี้ คือ เสียงแคนที่เปล่งออกมาน้ัน ฟังดูคล้ายกับกระแสน้า
เคล่อื นไหลไปขา้ งหน้า และมคี ล่ืนใหญ่น้อยสลับขึ้นลงไปกับกระแสนั้น ลมชนิดเป็นลมที่มีเสน่ห์อย่างย่ิง
และเปน็ ลมทีฝ่ กึ ได้ยากกว่าบรรดาลมทงั้ หลายทก่ี ล่าวมา และลมชนดิ น้ีก็เป็นลมท่ีให้คุณภาพเสียงที่มีพลัง
เขม้ แข็ง สง่างาม เป็นความรู้สกึ วา่ เคล่ือนท่อี ย่างสุขมุ และนุ่มนวลมากเป็นลมที่ไดรบั ความนยิ มสูงสุดในยคุ
ศลิ ปะสงู สุดของแคนเลยทเี่ ดยี ว
การใช้ลน้ิ ในการสรา้ งสาเนียงเสยี งแคน
หากผู้ฝกึ เปา่ แคนด้วยการสูดลม เข้า-ออก จากเตา้ แคนเพียงอย่างเดียวความไพเราะเพราะพริ้งก็คง
ไมเ่ กิดมา สาเนียงลลี ากค็ งไมเ่ กิดขนึ้ เพราะฉะนั้น ล้นิ จึงเปน็ เครื่องมอื อีกอยา่ งหน่งึ ที่ใชใ้ นการสรา้ งสรรค์
สาเนียงแคน เสยี งทเี่ ป่าจะมีเสียงยาว สัน้ หรือห้วน ก็ขนึ้ อยู่กับการใช้ล้ินของผู้เป่ากาหนดลมหายใจเข้า-
ออก ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใดซ่งึ ลักษณะและวธิ กี ารใชล้ น้ิ พอสรปุ ได้เป็น 2 ขนั้ ตอนดงั ต่อไปน้ี
1.วิธีการใช้ล้ินขั้นพ้ืนฐาน การใช้ลิ้นลักษณะนี้ทาให้ผู้เป่าไม่เหน่ือย จะช่วยให้เสียงแคนไม่ขาด
ตอน ซ่ึงเปน็ วิธีทท่ี าได้งา่ ย โดยผู้ฝกึ จะต้องเร่มิ ต้นจาก การสังเกตเสียงแคนท่ีผู้ฟังได้ยินเสียงที่ถูกต้องจะ
เป็นเสียงท่ีไม่ขาดตอน เม่ือสังเกตแล้ว เวลาเป่าหรือระบายลมเข้า – ออกเต้าแคนให้ใช้ปลายล้ินตัดลม
ขณะท่ีเปา่ เปน็ จงั หวะหลงั จากท่ีฝึกจนชานานแล้ว เสียงแคนที่เป่าออกมาจะเกิดความไพเราะได้สาเนียง
ลายแคนโดยแทจ้ ริง
2. เม่ือฝึกตามข้อที่ 1 ได้แล้วให้ฝึกท่องทานองลายแคนตามตัวโน้ตโดยใช้ลิ้นกระดกข้ึนลงเป็น
จงั หวะทานองท่ีทอ่ ง เม่อื ฝึกตามขอ้ และขอ้ 2 ได้คล่องแล้วเราก็จะใช้ล้ินในการสร้างสาเนียงลายแคนได้
ตามที่ตอ้ งการและเสยี งแคนทีเ่ ป่าออกมากจ็ ะไพเราะ ( กรี ติวจน์ ธนภทั รธุวานันท์. 2535 : 9 – 15 )
2001 211 3 Folk Music Skills 3 65 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ุล
ทักษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
แบบฝึกหัดทา้ ยบท
แบบฝกึ หักท้ายบทที่ 3
คาสั่ง : ใหน้ สิ ติ ตอบคาถามตอ่ ไปน้โี ดยใช้หลักการเขียนเชงิ พรรณนาและวเิ คราะห์พร้อม
ยกตวั อย่างในประเด็นคาถามตอ่ ไปนี้
1. ใหน้ ิสิตอธิบายระบบเสียงแคนพร้อมยกตัวอย่าง
.............................................................................................. .................................................................
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................................................. ..
...
2. ให้นิสติ เขียนแผนผังเปรยี บเทียบซื่อตาแหน่งเสยี งแคนแบบโบราณและแบบปัจจบุ ัน
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................. ..................................
...
3. ใหน้ สิ ิตอธบิ ายกลวธิ กี ารใชน้ ้วิ ในการเปา่ แคนพร้อมยกตวั อยา่ ง
...................................................................................................................................................... .........
.......................................................................................................................... .....................................
............................................................................................................................. ..................................
..
4. ให้นิสติ อธิบายลักษณะลมทดี่ ีในการเปา่ แคนโดยละเอยี ด
.................................................................................................................................... ...........................
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
..
หมายเหตุ** ใหน้ สิ ิตตอบคาถามโดยการพมิ พใ์ นกระดาษ A4 แล้วเย็บมุมส่งตามวนั เวลาทก่ี าหนดในเวลา
เรียนโดยใช้ ฟอนด์ TH Sarabun PSK ขนาด ตัวอักษร 16 พอยท์
2001 211 3 Folk Music Skills 3 66 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
เอกสารอ้างอิง
กิตติวัฒน์ สัตนาโค. ศิลปะการเปา่ แคนทานองพืน้ บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, 2535
เจริญชยั ชนไพโรจน์. แคนวง. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ มหาสารคาม,
2515.
________. ดนตรแี ละการละเล่นพ้นื บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ
เฉลมิ ศกั ดิ์ พกิ ลศร.ี อักษราดุริยางคท์ างฆ้องวงใหญ่ ฉบบั เพลงไมน้ วม. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์ 2550.
ดารตั น์ ผสุ ด.ี การพัฒนาหลกั สูตรทอ้ งถน่ิ ดนตรพี ื้นเมืองลา้ นนาเร่อื ง ซงึ . วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. เชยี งใหม่ :
มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม,่ 2541.
เติม วภิ าคย์พจนกิจ. ประวตั ิศาสตรอ์ สี าน. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2521.
ยศ สันตสมบัต.ิ มนุษยก์ บวฒั นธรรม. พิมพค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ั
2548.
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และคณะ. ดนตรแี ละนาฏศลิ ปก์ ับเศษฐกจิ และสงั คมสยาม. กรงุ เทพฯ :
ธนาคารกรงุ เทพ, 2535.
สุกรี เจรญิ สขุ . ดนตรีชาวสยาม. กรงุ เทพฯ : วทิ ยาลยั ดรุ ิยางคศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, 2538.
________. “ดุริยางคศาสตร์ชาติพันธ์ุ,” วารสารถนนดนตร.ี 1(12) : 38-41 ; ตุลาคม, 2530
สจุ ิตต์ วงษ์เทศ. พลังลาวชาวอีสานมาจากไหน. กรงุ เทพฯ : มติชน, 2549
อเนก นาวิกมูล. เพลงนอกศตวรรษ. พมิ พค์ ร่ังท่ี 3. กรงุ เทพฯ : เมืองโบราณ, 2527.
2001 211 3 Folk Music Skills 3 67 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
บทท่ี 4
วิธกี ารเป่าแคนลายสดุ สะแนน
การฝกึ เป่าแคนลายสุดสะแนน ต้องอาศัยความเขา้ ใจในสาเนยี งภาษาการสือ่ สารภาษาถิ่นอีสาน
เป็นพนื้ ฐานและทกั ษะการฟงั ลายแคนจากศลิ ปนิ หมอแคน การฝกึ หัดเป่าแคน เบือ้ งต้นสาหรบั ลายสุด
สะแนน มขี ั้นตอนในการเปา่ ดังนี้
การตดิ สตู ร
ลายสุดสะแนนติดสูดท่ีเสยี ง ซอล (เสพซ้าย) เปน็ เสยี งประสานหลกั ทาใหเ้ สียงแคนในขณะที่เปา่ ไม่
ขาดหายไปและเสยี ง ซอล เป็นเสียงทท่ี มุ่ ต่าทส่ี ุด ซงึ่ สงั เกตได้จากการที่เสยี งหมอลาเปลง่ ออกมาเปน็ คา
สดุ ท้ายของช่วงโอล่ าเป็นครงั้ แรก ซึง่ เปน็ เสยี งทที่ มุ่ ตา่ ทสี่ ุดของการขบั ลาทางส้นั ในระดบั เสียงนต้ี ะตรงกบั
เสยี ง ซอล ดงั นัน้ เสยี ง ซอล จงึ เปน็ หลกั ในการตดิ สูด
2001 211 3 Folk Music Skills 3 68 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรีพนื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
การใชน้ ้ิว
การใช้นิ้ว
การใช้นว้ิ หรอื การวางนว้ิ ท่ถี กู ตอ้ งและสะดวกในการเรียนเปา่ แคนตอ้ งใช้ทั้ง 10 น้วิ จงึ จะมคี วาม
คล่องตัว ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี
มือซ้าย น้วิ หัวแม่มอื สาหรบั ปดิ รนู บั โป้ซ้าย ลกู ท่ี 1 หรือตาแหนง่ เสยี ง โด สูง
นว้ิ ชี้ สาหรับปิดรนู บั ลกู ที่ 2 และ 3 หรอื ตาแหน่งเสียง ที เร
นิ้วกลาง สาหรบั ปิดรนู บั ลกู ท่ี 4 และ 5 หรอื ตาแหนง่ เสียง มี ฟา
น้ิวนาง สาหรบั ปิดรนู บั ลูกท่ี 6 และ 7 หรอื ตาแหนง่ เสียง ซอล ฟา
นิ้วกอ้ ย สาหรับปดิ รูนบั ลกู ที่ 8 หรอื ตาแหนง่ เสยี ง ซอลสูง
มือขวา นว้ิ หัวแม่มอื สาหรบั ปิดรนู บั โป้ขวาลูกท่ี 1 หรอื ตาแหนง่ เสียง ลา
นิว้ ชี้ สาหรบั ปิดรนู ับลกู ที่ 2 และ 3 หรือ ตาแหน่งเสยี ง โด ซอล
นวิ้ กลาง สาหรบั ปดิ รนู ับลกู ที่ 4 และ 5 หรือ ตาแหน่งเสยี ง ลา ที
นิ้วนาง สาหรับปิดรนู ับลกู ที่ 6 และ 7 หรอื ตาแหนง่ เสียง เร มี
นิ้วก้อย สาหรบั ปดิ นบั รลู กู ที่ 8 หรือ ตาแหนง่ เสยี ง ลาสงู
วิธีการใชน้ ้ิวแบบน้เี ป็นวธิ ีที่ง่ายตอ่ การฝึกเปา่ แคนและใชน้ วิ้ ปิดนบั รูแคนได้คลอ่ งตัวตาม
ลกั ษณะการเปา่ แคน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 69 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐ์กลุ
ทกั ษะดนตรีพนื้ บ้าน 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
การใช้ลม
ลมสะบัด คุณลักษณะของลมชนิดนี้ คือ เสียงแคนท่ีเปล่งออกมานั้น ฟังดูคล้ายกับกระแสน้า
เคล่อื นไหลไปขา้ งหน้า และมีคลนื่ ใหญ่นอ้ ยสลับขึ้นลงไปกับกระแสนั้น ลมชนิดเป็นลมท่ีมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
และเป็นลมทฝ่ี ึกไดย้ ากกว่าบรรดาลมทงั้ หลายที่กลา่ วมา และลมชนดิ นี้ก็เป็นลมท่ีให้คุณภาพเสียงท่ีมีพลัง
เข้มแขง็ สงา่ งาม เปน็ ความรสู้ กึ ว่าเคลื่อนทอี่ ย่างสุขุม และนุม่ นวลมากเปน็ ลมทีไ่ ดรับความนิยมสูงสดุ ในยุค
ศิลปะสงู สุดของแคนเลยทเ่ี ดียว
การใช้ลนิ้
หากผฝู้ กึ เป่าแคนดว้ ยการสดู ลม เข้า-ออก จากเต้าแคนเพียงอย่างเดียวความไพเราะเพราะพริ้งก็คง
ไม่เกิดมา สาเนียงลีลากค็ งไมเ่ กดิ ข้ึน เพราะฉะนัน้ ล้นิ จงึ เปน็ เครอ่ื งมอื อีกอยา่ งหนงึ่ ทใี่ ชใ้ นการสร้างสรรค์
สาเนยี งแคน เสียงท่เี ป่าจะมีเสยี งยาว สั้น หรอื หว้ น กข็ ึน้ อยูก่ บั การใช้ล้ินของผู้เป่ากาหนดลมหายใจเข้า-
ออก ว่ามปี ระสิทธิภาพเพยี งใดซง่ึ ลักษณะและวธิ กี ารใชล้ ้ินพอสรุปไดเ้ ปน็ 2 ขัน้ ตอนดงั ต่อไปน้ี
1.วิธีการใช้ลิ้นขั้นพื้นฐาน การใช้ลิ้นลักษณะนี้ทาให้ผู้เป่าไม่เหนื่อย จะช่วยให้เสียงแคนไม่ขาด
ตอน ซึ่งเป็นวิธที ที่ าได้ง่าย โดยผู้ฝึกจะต้องเริ่มต้นจาก การสังเกตเสียงแคนท่ีผู้ฟังได้ยินเสียงท่ีถูกต้องจะ
เป็นเสียงท่ีไม่ขาดตอน เม่ือสังเกตแล้ว เวลาเป่าหรือระบายลมเข้า – ออกเต้าแคนให้ใช้ปลายลิ้นตัดลม
ขณะทเ่ี ปา่ เป็นจังหวะหลงั จากท่ีฝึกจนชานานแล้ว เสียงแคนที่เป่าออกมาจะเกิดความไพเราะได้สาเนียง
ลายแคนโดยแท้จริง
2. เมื่อฝึกตามข้อท่ี 1 ได้แล้วให้ฝึกท่องทานองลายแคนตามตัวโน้ตโดยใช้ลิ้นกระดกขึ้นลงเป็น
จงั หวะทานองท่ีท่อง เมอ่ื ฝึกตามข้อ และขอ้ 2 ได้คล่องแล้วเราก็จะใช้ล้ินในการสร้างสาเนียงลายแคนได้
ตามที่ตอ้ งการและเสียงแคนทเ่ี ป่าออกมากจ็ ะไพเราะ ( กีรตวิ จน์ ธนภัทรธุวานันท์. 2535 : 9 – 15 )
วิธีการเป่าลายสดุ สะแนน
เม่ือเข้าใจการใชน้ ้วิ การใช้ลมและการใช้ลิ้นแลว้ ทนี ้ีกเ็ ปน็ การฝกึ เปา่ ลายสุดสะแนน เนื้อหาของลาย
สุดสะแนนในบทนม้ี ที ้งั หมด 7 ทอ่ น 41 บรรทดั 328 หอ้ ง ซงึ่ ในการฝึกเปา่ ใหผ้ เู้ รยี นค่อยเป่าช้าๆ โดยการ
ฝกึ เปา่ ทลี ะ 4หอ้ ง ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้
ทอ่ นท่ี 1 ขนึ้ สร้อย
เน้ือหาของทอ่ นน้ีมที ง้ั หมด 2 บรรทัด 16 หอ้ ง
_ _ _ _ _ _ _ ซ _ ซ _ ม ด ม ดม ด ม ร ด ร ด ล ด ล ด ร ด ล ด ร ม
ด ม ดม ด ม ร ด ร ด ล ร _ ด ล ร _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ท่อนที่ 2 เดินกลอน
เน้อื หาของท่อนน้มี ที งั้ หมด 12 บรรทัด 96 ห้อง
2001 211 3 Folk Music Skills 3 70 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสิษฐ์กลุ
ทกั ษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
_ _ _ _ _ _ _ ซ _ _ _ ซ _ ม ซ ด _ _ _ ร ล ด _ ซ ม ซ ดล ซ ม ซ ร
_ ร _ ด ร ม ล ซ ม ซ ด ล ซ ม ซ ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ ร ซ _ ร ล ด _ ดร
_ ร _ ม ร ด ร ด ล ด ล ร ม ซ _ดร ด ล _ดร ร ม ร ซ ม ซ ด ซ ล ม รดล
_ ซ ม ซ ร ม ซ ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ ล ซ ม ร ล ด _ดร
_ ร _ ฟ ร ฟ ซฟ ร ฟ ลฟ ซ ฟ รฟ ด ม ด ร ซ ม ซ ร ม ซ _ ร ล ด ซซ
ม ซ ด ล ซ ม รดล _ _ ม ด ร ม ด ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ
มซมร ลด_ร มซ_ด ลซ_ซ ___ฟ ลซ_ซ ลดรด ลซ_ซ
ฟํ ร ด ล ด ซ _ ซ _ ม ซ ม ล ซ _ ซ ม ซ ม ซ ด ล ซ ม _ _ ด ร ด ล ซ ม
_ _ ด ล ด ล ซ ม ซ ม ม ด ร ม รดล _ ซ ม ซ ร ม ซ ลฺ ด ร ม ซ ล ม ด ร
_ ด ลฺ ซ ร ม ซ ลฺ ด ลฺ ร ด ล ด _ดร _ ม ร ดล _ ล รดล ล ม ด ร ซ ร ม ซ
ม ซ ล ซ ล ม _ ซ ร ซ _ ร ล ด _ดร ซ _ _ ฟ _ ซ _ ฟ ซ ล ซ ฟ _ ม _ ร
_ _ _ ฟ _ ซ _ ฟ ซ ล ซฟ _ ม _ ร ซ ม ซด ร ม ซ ม ร ด ล ซ ร ม ซ ร
ทอ่ นท่ี 3 ลาวงลาว
เนอ้ื หาของทอ่ นนีม้ ที ง้ั หมด 6 บรรทดั 48 ห้อง
_ _ _ _ _ ด รดล _ ล ม ซ _ ม ซ ม _ _ _ _ _ ด _ดล ล ด ร ซ ร ม ซ ม
_ซมซ _มซม รดมร ดลรด ____ _ซลม ลซมร ดลรด
_ _ _ _ _ _ _ ซ _ ม ล ซ ม ซ ลด _ _ _ _ _ ร ด ล _ ล ซ ม ซ ร ม ซ
____ _ลดร _รดล ดมดร ____ _ฟมร _รดล ดมดร
_ _ _ _ _ ฟ _ม ฟ ม ฟซ ด ล ดซ _ _ _ _ _ ฟ _ม ฟ ม ฟซ ด ล ดซ
รดลด _ซลม ลซมร ดลรด ___ร _มซม ลซมร ดลรด
ท่อนที่ 4 เดนิ กลอน
เนอ้ื หาของท่อนนี้มที งั้ หมด 8 บรรทัด 64 หอ้ ง
_ _ _ ร ล ด ม ซ ซ ด ซ ล ซ ม ซ ร ซ ม ร ซ ร ม ซ ลฺ ด ลฺ ร ด ล ด _ ดร
ล ด ล ด ล ซ _ ซ ม ซ ม ซ ด ล ซ ม ซ ม ซ ล ด ล ซ ม ซ ม ซ ด ร ม รดล
_ ซ ม ซ ร ม ซ ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ซ ม ซ ร ซ ม ซ ลฺ ด ม ด ร ล ด _ดร
_ ฟ ร ด ร ฟ ซฟ ร ด ร ฟ ซ ล ซฟ ด ม ด ร ซ ม ซ ร ม ซ _ ร ล ด ซ ซ
ม ซ ด ล ซ ม รดล _ _ ม ด ร ม ด ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ
ด ม ด ร ล ด _ดร _ ด ลฺ ซ ร _ ฟ ฟ ด ม ด ร ม ซ ดร _ ฟ ร ฟ ซ ล ด ซ
ร ร _ ม ซ ม รดล _ ม _ ด ร ม ด ล ด ร ม ซ ล ม ด ร _ ด ล ซ ร ม ซ ลฺ
ด ม ร ด ล ด _ดร ซ _ _ _
2001 211 3 Folk Music Skills 3 71 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสิษฐ์กลุ
ทักษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
ทอ่ นที่ 5 ลาวงลาว
เนื้อหาของทอ่ นนมี้ ที ั้งหมด 6 บรรทัด 48 หอ้ ง
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ ซ _ ม _ ซ _ ร ม ร ด ลฺ _ _ _ _ _ ด ล ด
_ _ _ ร ม ล ซม _ _ _ _ _ ม ซ ล ด ร ด ล ซ ล ดซ _ _ _ _ _ ม ซ ล
ด ร ด ล ซ ล ดซ _ _ _ ร _ ม ซ ม _ ซ ม ร _ ม ร ด _ _ _ _ _ ซ _ ด
_ _ _ ร ซ ม ร ด _ _ _ _ _ ซ _ ด _ _ _ ร ซ ม ร ด _ _ _ _ _ ฟ _ฟ
_ ม ฟม _ ฟ _ ซ _ _ _ _ _ ฟ _ฟ _ ม ฟม _ ฟ _ ซ _ ล ด ล _ _ ซ ม
_ซมร _มรด ___ร _มซม _มซร _มรด
ทอ่ นท่ี 6 เดนิ
เน้ือหาของท่อนนี้มที ้งั หมด 5 บรรทดั 40 หอ้ ง
_ _ _ ร ล ด ล ซ ม ด ซ ล ซ ม ซ ร ซ ม ซ ร ซ ม ซ ลฺ ด ม ร ด ล ด _ดร
_ ฟ ร ด ร _ ฟฟ ด ม ด ร _ ล ม ซ _ ฟ ร ซ ร _ ฟฟ ด ม ด ร _ ล ม ซ
_ ฟ ร ฟ ซ ล ม ซ ม ม ซล ด ม ร ดล _ ม _ ด ร ม ด ล ด ร ม ซ ล ม ด ร
ม ซ ม ซ ล ม - ซ ร ซ _ ร ล ด _ ดร - ร -ฟ ร ล ซ ฟ -ด ร ฟ ซ ฟ ม ร
- - - ฟ ร ล ซ ฟ -ด ร ฟ ซ ฟ ม ร ซ ม ร ด ร ม ซ ม ร ด ล ซ ร ม ซ ร
ทอนท่ี 7 ทอ่ นจบ
เน้ือหาของทอ่ นนมี้ ที ้ังหมด 2 บรรทัด 16 หอ้ ง
- - - ร ล ด ม ซ ซ ด ซ ล ซ ม ซ ร ล ด ล ด -ล ซซ ซ ม ร ด ด ม ร ซ
- - - ด รมรซ ซมรด -รดล -ร-ด -ล-ซ - - - ซ - - - ซ
เม่อื ผู้เรียนฝกึ เปา่ และทาความเข้าใจโนต้ ในรายละเอยี ดเบ้ืองต้นแล้วให้เข้าฟังทานอง ลายสุด
สะแนนโยการสแกนคิวอาโคต๊ น้ี เพือ่ ฟงั สาเนียงทานองจังหวะของ
ลายสุดสะแนน
2001 211 3 Folk Music Skills 3 72 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
ทักษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
แบบฝกึ หัดทา้ ยบท
แบบฝึกหกั ท้ายบทท่ี 4
คาสัง่ : ใหน้ สิ ิตฝกึ เป่าแคนและตอบคาถามต่อไปนี้โดยการปฏิบัติและใชห้ ลักการเขยี นเชิง
พรรณนาและวิเคราะหพ์ ร้อมยกตวั อยา่ งในคาถามตอ่ ไปนี้
1. ใหน้ สิ ิตเป่าแคนทอ่ นท่ี 1 และ 2 พร้อมบันทกึ คลิปวีดโี อ และอธบิ ายถงึ ความประทบั ใจและ
เสนอแนะทานองระบบเสียงแคนทานองของลายสดุ สะแนนตามความคิดของผเู้ รียนพร้อม
ยกตวั อยา่ งโนต๊
.................................................................................................. .............................................................
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
2. ใหน้ สิ ิตเป่าแคนท่อนท่ี 3 พรอ้ มบันทึกคลปิ วีดีโอ และอธบิ ายถึงความประทับใจและ
เสนอแนะทานองระบบเสียงแคนทานองของลายสุดสะแนนตามความคดิ ของผูเ้ รยี นพร้อม
ยกตัวอยา่ งโนต๊
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
3. ให้นิสติ เปา่ แคนท่อนท่ี 4 พร้อมบันทกึ คลิปวดี โี อ และอธิบายถงึ ความประทบั ใจและ
เสนอแนะทานองระบบเสยี งแคนทานองของลายสดุ สะแนนตามความคิดของผู้เรยี นพร้อม
ยกตวั อย่างโนต๊
.................................................................................................... ...........................................................
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
4. ให้นสิ ติ เปา่ แคนท่อนที่ 5 พรอ้ มบันทกึ คลิปวีดโี อ และอธบิ ายถึงความประทับใจและ
เสนอแนะทานองระบบเสียงแคนทานองของลายสุดสะแนนตามความคิดของผู้เรยี นพร้อม
ยกตัวอยา่ งโน๊ต
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
2001 211 3 Folk Music Skills 3 73 3 ชาตอิ าชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรพี น้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
5. ให้นิสิตเป่าแคนทอ่ นท่ี 6และ 7 พร้อมบันทึกคลปิ วีดีโอ และอธบิ ายถึงความประทบั ใจและ
เสนอแนะทานองระบบเสยี งแคนทานองของลายสดุ สะแนนตามความคิดของผ้เู รียนพร้อม
ยกตวั อย่างโนต๊
................................................................................................ ...............................................................
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
..
หมายเหตุ** ใหน้ สิ ิตตอบคาถามโดยการพิมพใ์ นกระดาษ A4 แล้วเยบ็ มุมส่งตามวันเวลาที่กาหนดในเวลา
เรียนโดยใช้ ฟอนด์ TH Sarabun PSK ขนาด ตัวอักษร 16 พอยท์
2001 211 3 Folk Music Skills 3 74 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
เอกสารอ้างอิง
กิตติวัฒน์ สัตนาโค. ศิลปะการเปา่ แคนทานองพืน้ บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, 2535
เจริญชยั ชนไพโรจน์. แคนวง. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ มหาสารคาม,
2515.
________. ดนตรแี ละการละเล่นพ้นื บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ
เฉลมิ ศกั ดิ์ พิกลศร.ี อักษราดุริยางคท์ างฆ้องวงใหญ่ ฉบบั เพลงไมน้ วม. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์ 2550.
ดารตั น์ ผุสดี. การพัฒนาหลกั สูตรทอ้ งถน่ิ ดนตรพี ื้นเมืองลา้ นนาเร่อื ง ซงึ . วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. เชยี งใหม่ :
มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม,่ 2541.
เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวตั ิศาสตรอ์ สี าน. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2521.
ยศ สันตสมบัต.ิ มนุษยก์ บวฒั นธรรม. พิมพค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ั
2548.
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และคณะ. ดนตรแี ละนาฏศลิ ปก์ ับเศษฐกจิ และสงั คมสยาม. กรงุ เทพฯ :
ธนาคารกรงุ เทพ, 2535.
สุกรี เจรญิ สขุ . ดนตรีชาวสยาม. กรงุ เทพฯ : วทิ ยาลยั ดรุ ิยางคศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, 2538.
________. “ดุริยางคศาสตร์ชาติพันธ์ุ,” วารสารถนนดนตร.ี 1(12) : 38-41 ; ตุลาคม, 2530
สจุ ิตต์ วงษ์เทศ. พลังลาวชาวอีสานมาจากไหน. กรงุ เทพฯ : มติชน, 2549
อเนก นาวิกมูล. เพลงนอกศตวรรษ. พมิ พค์ ร่ังท่ี 3. กรงุ เทพฯ : เมืองโบราณ, 2527.
2001 211 3 Folk Music Skills 3 75 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
บทที่ 5
โนต๊ ลายสดุ สะแนน
เน้ือหาประจําบทเรยี น
1. ลายสดุ สะแนน
2. ทอ่ นข้ึนสรอ้ ย
3. ท่อนเดินกลอน
4. ท่อนลาวงลาว
5 ทอ่ นจบ
จดุ ม่งุ หมายการเรยี นการสอน
1. เข้าใจและสามารถอธบิ ายลายสุดสะแนนได้
2. เขา้ ใจและสามารถอธบิ ายองคป์ ระกอบของท่อนข้ึนสร้อยได้
3. เขา้ ใจและสามารถอธบิ ายองค์ประกอบของทอ่ นเดนิ กลอนได้
4. เข้าใจและสามารถอธิบายองคป์ ระกอบของทอ่ นลาวงลาวได้
5. เข้าใจและสามารถอธบิ ายองค์ประกอบของท่อนจบได้
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
1. ผ้เู รยี นศกุ ษา ลายสดุ สะแนนจากเอกสารประกอบการเรยี นการสอน
2. ผสู้ อนอธบิ ายความสาคัญองคป์ ระกอบของท่อนขนึ้ สรอ้ ยและเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียน
ซกั ถาม
3. ผูส้ อนอธิบายทอ่ นเดินกลอนและเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนซักถาม
4. ผู้สอนอธิบายทอ่ นลาวงลาวและเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นซักถาม
5. ผสู้ อนอธบิ ายทอ่ นจบและเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนซักถาม
ส่อื การสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. Powerpoint คลิปวดี โี อ
3. ส่ือ multimedia, Social Network
การวดั ผลและประเมินผล
1. พิจารณาการซักถามสรปุ บทเรยี น
2. พิจารณาการอภปิ รายการแสดงความคดิ เหน็ พฤติกรรมการปฏบิ ตั ิตวั ในคาบเรียน
3. การมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
4. ตอบคาถามทา้ ยบท
2001 211 3 Folk Music Skills 3 76 3 ชาตอิ าชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ทักษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสุดสะแนน
บทท่ี 5
โนต๊ ลายสดุ สะแนน
สาหรบั ลายสุดสะแนนทป่ี รากฏในดนิ แดนภาคอสี านและเลน่ สบื ทอดกันมาสว่ นมากจะนิยมเปา่
ประกอบการขับรอ้ งหมอลาและเป่าเดี่ยว ซงึ มลี ักษณะดังน้ี
ท่อนที่ 1 ขน้ึ สร้อย
_ _ _ _ _ _ _ ซ _ ซ _ ม ด ม ดม ด ม ร ด ร ด ล ด ล ด ร ด ล ด ร ม
ด ม ดม ด ม ร ด ร ด ล ร _ ด ล ร _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ทอ่ นที่ 2 เดินกลอน
_ _ _ _ _ _ _ ซ _ _ _ ซ _ ม ซ ด _ _ _ ร ล ด _ ซ ม ซ ดล ซ ม ซ ร
_ ร _ ด ร ม ล ซ ม ซ ด ล ซ ม ซ ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ ร ซ _ ร ล ด _ ดร
_ ร _ ม ร ด ร ด ล ด ล ร ม ซ _ดร ด ล _ดร ร ม ร ซ ม ซ ด ซ ล ม รดล
_ ซ ม ซ ร ม ซ ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ ล ซ ม ร ล ด _ดร
_ ร _ ฟ ร ฟ ซฟ ร ฟ ลฟ ซ ฟ รฟ ด ม ด ร ซ ม ซ ร ม ซ _ ร ล ด ซซ
ม ซ ด ล ซ ม รดล _ _ ม ด ร ม ด ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ
มซมร ลด_ร มซ_ด ลซ_ซ ___ฟ ลซ_ซ ลดรด ลซ_ซ
ฟํ ร ด ล ด ซ _ ซ _ ม ซ ม ล ซ _ ซ ม ซ ม ซ ด ล ซ ม _ _ ด ร ด ล ซ ม
_ _ ด ล ด ล ซ ม ซ ม ม ด ร ม รดล _ ซ ม ซ ร ม ซ ลฺ ด ร ม ซ ล ม ด ร
_ ด ลฺ ซ ร ม ซ ลฺ ด ลฺ ร ด ล ด _ดร _ ม ร ดล _ ล รดล ล ม ด ร ซ ร ม ซ
ม ซ ล ซ ล ม _ ซ ร ซ _ ร ล ด _ดร ซ _ _ ฟ _ ซ _ ฟ ซ ล ซ ฟ _ ม _ ร
_ _ _ ฟ _ ซ _ ฟ ซ ล ซฟ _ ม _ ร ซ ม ซด ร ม ซ ม ร ด ล ซ ร ม ซ ร
ท่อนท่ี 3 ลําวงลาว
____ _ ด รดล _ลมซ _ ม ซม ____ _ ด _ดล ล ด ร ซ รมซม
_ซมซ _มซม รดมร ดลรด ____ _ซลม ลซมร ดลรด
____ ___ซ _มลซ ม ซ ลด ____ _รดล _ลซม ซรมซ
____ _ลดร _รดล ดมดร ____ _ฟมร _รดล ดมดร
____ _ ฟ _ม ฟ ม ฟซ ด ล ดซ ____ _ ฟ _ม ฟ ม ฟซ ด ล ดซ
รดลด _ซลม ลซมร ดลรด ___ร _มซม ลซมร ดลรด
2001 211 3 Folk Music Skills 3 77 3 ชาติอาชา พาลลี ะพสษิ ฐก์ ุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
ทอ่ นที่ 4 เดินกลอน
_ _ _ ร ล ด ม ซ ซ ด ซ ล ซ ม ซ ร ซ ม ร ซ ร ม ซ ลฺ ด ลฺ ร ด ล ด _ ดร
ล ด ล ด ล ซ _ ซ ม ซ ม ซ ด ล ซ ม ซ ม ซ ล ด ล ซ ม ซ ม ซ ด ร ม รดล
_ ซ ม ซ ร ม ซ ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ซ ม ซ ร ซ ม ซ ลฺ ด ม ด ร ล ด _ดร
_ ฟ ร ด ร ฟ ซฟ ร ด ร ฟ ซ ล ซฟ ด ม ด ร ซ ม ซ ร ม ซ _ ร ล ด ซ ซ
ม ซ ด ล ซ ม รดล _ _ ม ด ร ม ด ลฺ ด ร ม ล ซ ม ด ร ม ซ ม ซ ล ม _ ซ
ด ม ด ร ล ด _ดร _ ด ลฺ ซ ร _ ฟ ฟ ด ม ด ร ม ซ ดร _ ฟ ร ฟ ซ ล ด ซ
ร ร _ ม ซ ม รดล _ ม _ ด ร ม ด ล ด ร ม ซ ล ม ด ร _ ด ล ซ ร ม ซ ลฺ
ด ม ร ด ล ด _ดร ซ _ _ _
ท่อนที่ 5 ลาวงลาว
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ ซ _ ม _ ซ _ ร ม ร ด ลฺ _ _ _ _ _ ด ล ด
_ _ _ ร ม ล ซม _ _ _ _ _ ม ซ ล ด ร ด ล ซ ล ดซ _ _ _ _ _ ม ซ ล
ด ร ด ล ซ ล ดซ _ _ _ ร _ ม ซ ม _ ซ ม ร _ ม ร ด _ _ _ _ _ ซ _ ด
_ _ _ ร ซ ม ร ด _ _ _ _ _ ซ _ ด _ _ _ ร ซ ม ร ด _ _ _ _ _ ฟ _ฟ
_ ม ฟม _ ฟ _ ซ _ _ _ _ _ ฟ _ฟ _ ม ฟม _ ฟ _ ซ _ ล ด ล _ _ ซ ม
_ซมร _มรด ___ร _มซม _มซร _มรด
ท่อนท่ี 6 เดนิ
_ _ _ ร ล ด ล ซ ม ด ซ ล ซ ม ซ ร ซ ม ซ ร ซ ม ซ ลฺ ด ม ร ด ล ด _ดร
_ ฟ ร ด ร _ ฟฟ ด ม ด ร _ ล ม ซ _ ฟ ร ซ ร _ ฟฟ ด ม ด ร _ ล ม ซ
_ ฟ ร ฟ ซ ล ม ซ ม ม ซล ด ม ร ดล _ ม _ ด ร ม ด ล ด ร ม ซ ล ม ด ร
ม ซ ม ซ ล ม - ซ ร ซ _ ร ล ด _ ดร - ร -ฟ ร ล ซ ฟ -ด ร ฟ ซ ฟ ม ร
- - - ฟ ร ล ซ ฟ -ด ร ฟ ซ ฟ ม ร ซ ม ร ด ร ม ซ ม ร ด ล ซ ร ม ซ ร
ทอนที่ 7 ทอ่ นจบ
- - - ร ล ด ม ซ ซ ด ซ ล ซ ม ซ ร ล ด ล ด -ล ซซ ซ ม ร ด ด ม ร ซ
- - - ด รมรซ ซมรด -รดล -ร-ด -ล-ซ - - - ซ - - - ซ
2001 211 3 Folk Music Skills 3 78 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ลุ
ทักษะดนตรพี น้ื บ้าน 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
แบบฝกึ หัดท้ายบท
แบบฝึกหักท้ายบทที่ 5
คาํ ส่ัง : ให้นิสิตตอบคาํ ถามต่อไปน้ีโดยการปฏิบตั แิ ละใช้หลกั การเขยี นเชงิ พรรณนาและ
วิเคราะหพ์ ร้อมยกตวั อยา่ งในคาํ ถามต่อไปน้ี
1. ใหน้ สิ ติ ประพันธ์ ลายสุดสะแนนขึน้ ใหม่นาํ เสอนความคดิ สรา้ งสรรค์ ทอ่ นท่ี 1 จาํ นวน 3
บรรทดั และ ทอ่ นท่ี 2 จาํ นวน 6 บรรทดั พรอ้ มบันทกึ คลิปวดี ีโอ และอธบิ ายถึงความ
ประทับใจและเสนอแนะทํานองระบบเสียงแคนทาํ นองของลายสดุ สะแนนตามความคิดของ
ผเู้ รยี นพรอ้ มยกตวั อย่างโนต๊
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................. ..................................
..............................................................................................................................................................
2. ใหน้ สิ ติ ประพันธ์ ลายสดุ สะแนนข้ึนใหม่นาํ เสอนความคดิ สร้างสรรค์ ท่อนที่ 3 จาํ นวน 8
บรรทัด พรอ้ มบันทกึ คลิปวีดโี อ และอธบิ ายถงึ ความประทับใจและเสนอแนะทํานองระบบ
เสยี งแคนทํานองของลายสุดสะแนนตามความคดิ ของผูเ้ รียนพรอ้ มยกตวั อย่างโน๊ต
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
3. ให้นิสติ ประพันธ์ ลายสดุ สะแนนข้นึ ใหม่นาํ เสอนความคดิ สร้างสรรค์ ทอ่ นท่ี 4 จาํ นวน 5
บรรทดั พร้อมบันทึกคลปิ วีดีโอ และอธบิ ายถงึ ความประทับใจและเสนอแนะทาํ นองระบบ
เสียงแคนทํานองของลายสดุ สะแนนตามความคิดของผู้เรียนพร้อมยกตัวอย่างโน๊ต
................................................................................................................................................ ...............
.................................................................................................................... ...........................................
............................................................................................................................. ..................................
4. ใหน้ ิสติ ประพันธ์ ลายสดุ สะแนนขน้ึ ใหม่นําเสอนความคดิ สร้างสรรค์ ท่อนที่ 5 จาํ นวน 8
บรรทัดพร้อมบันทกึ คลิปวีดโี อ และอธิบายถงึ ความประทับใจและเสนอแนะทาํ นองระบบ
เสยี งแคนทาํ นองของลายสุดสะแนนตามความคิดของผู้เรียนพรอ้ มยกตวั อย่างโนต๊
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
.......................................................................................................................................................... .....
2001 211 3 Folk Music Skills 3 79 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐ์กุล
ทกั ษะดนตรพี นื้ บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
5. ให้นิสิตประพันธ์ ลายสุดสะแนนขึ้นใหม่นาํ เสอนความคดิ สร้างสรรค์ ท่อนท่ี 6 จาํ นวน 5
บรรทดั และ ทอ่ นที่ 7 จํานวน 2 บรรทัด พรอ้ มบันทกึ คลิปวีดีโอ และอธิบายถงึ ความ
ประทบั ใจและเสนอแนะทาํ นองระบบเสยี งแคนทํานองของลายสดุ สะแนนตามความคดิ ของ
ผูเ้ รียนพร้อมยกตัวอยา่ งโน๊ต
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................
หมายเหตุ** ใหน้ สิ ติ ตอบคาถามโดยการพมิ พใ์ นกระดาษ A4 แล้วเยบ็ มุมสง่ ตามวันเวลาท่ีกาหนดในเวลา
เรียนโดยใช้ ฟอนด์ TH Sarabun PSK ขนาด ตวั อักษร 16 พอยท์
2001 211 3 Folk Music Skills 3 80 3 ชาติอาชา พาลีละพสษิ ฐ์กุล
ทกั ษะดนตรีพน้ื บา้ น 3 : แคน : ลายสดุ สะแนน
เอกสารอ้างอิง
กิตติวัฒน์ สัตนาโค. ศิลปะการเปา่ แคนทานองพืน้ บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, 2535
เจริญชยั ชนไพโรจน์. แคนวง. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ มหาสารคาม,
2515.
________. ดนตรแี ละการละเล่นพ้นื บา้ นอสี าน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ
เฉลมิ ศกั ดิ์ พกิ ลศร.ี อักษราดุริยางคท์ างฆ้องวงใหญ่ ฉบบั เพลงไมน้ วม. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์ 2550.
ดารตั น์ ผุสดี. การพัฒนาหลกั สูตรทอ้ งถน่ิ ดนตรพี ื้นเมืองลา้ นนาเร่อื ง ซงึ . วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. เชยี งใหม่ :
มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม,่ 2541.
เติม วภิ าคย์พจนกิจ. ประวตั ิศาสตรอ์ สี าน. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2521.
ยศ สันตสมบัต.ิ มนุษยก์ บวฒั นธรรม. พิมพค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ั
2548.
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม และคณะ. ดนตรแี ละนาฏศลิ ปก์ ับเศษฐกจิ และสงั คมสยาม. กรงุ เทพฯ :
ธนาคารกรงุ เทพ, 2535.
สุกรี เจรญิ สขุ . ดนตรีชาวสยาม. กรงุ เทพฯ : วทิ ยาลยั ดรุ ิยางคศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, 2538.
________. “ดุริยางคศาสตร์ชาติพันธ์ุ,” วารสารถนนดนตร.ี 1(12) : 38-41 ; ตุลาคม, 2530
สจุ ิตต์ วงษ์เทศ. พลังลาวชาวอีสานมาจากไหน. กรงุ เทพฯ : มติชน, 2549
อเนก นาวิกมูล. เพลงนอกศตวรรษ. พมิ พค์ ร่ังท่ี 3. กรงุ เทพฯ : เมืองโบราณ, 2527.
2001 211 3 Folk Music Skills 3 81 3 ชาติอาชา พาลีละพสิษฐก์ ุล