The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อินเทอร์เน็ตในงานธุรกิจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ซา' ลันน, 2023-01-30 06:50:31

อินเทอร์เน็ตในงานธุรกิจ

อินเทอร์เน็ตในงานธุรกิจ

รูปที่ 3.5 แสดงการเชื่อมต่อแบบวงแหวน 3.3.3 แบบดาว (Star) การเชื่อมต่อแบบดาวนี้จะใช้อุปกรณ์ Hub/Switch เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทุก เครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิลที่ใช้ส่วนมากจะเป็น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือน ตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ปัจจุบันมีการใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อซึ่งมีประสิทธิภาพการท างานสูง กว่า รูปที่ 3.6 แสดงการเชื่อมต่อแบบดาว


3.3.4 แบบไฮบริด (Hybrid) แบบไฮบริดเป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อย ๆ หลายส่วนมารวมเช้าด้วยกันอย่างเช่น น าเอา เครือข่ายระบบ Bus ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะส าหรับขางหน่วยงานที่มีเครือข่าย เก่าและใหม่ให้สามารถท างานร่วมกันได้ ซึ่งระบบ Hybrid Network จะมีโครงสร้างแบบ Hierarchical หรือ Tree ที่ มีล าดับชั้นในการท างาน รูปที่ 3.7 แสดงการเชื่อมต่อแบบไฮบริด 3.4 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3.4.1 โมเต็ม (Modem) โมเต็มเป็นฮาร์ดแวร์ที่ท าหน้าที่แปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็น สัญญาณดิจิทัล เมื่อข้อมูลถูกส่งมายังผู้รับและ แปลงสัญญาณดิจิหัลให้เป็นแอนะล็อก เมื่อต้องการส่งข้อมูลไปบนช่องสื่อสาร กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณติจิทัลให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก เรียกว่า มอดูเลซัน (Modulation) โมเค็มท าหน้ าพี่ มอดูเลเตอ ร์ (Modulator) รูปที่ 3.8 โมเต็ม (Modem)


กระบวนการที่โมเค็มแปลงสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณดิจิทัล เรียกว่า ดีมอดูเลชัน (Demodulation) โมเต็มที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมี 2 ประเภท โมเค็มที่ท างานเป็นทั้งโมเต็มและ เครื่องโทรสาร เรียกว่า Faxmodem 3.4.2 การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) หรือ การ์ด LAN (ก) การ์ดเครือข่ายแบบมีสาย (ข) การ์ดเครือข่ายแบบไม่มีสาย รูปที่ 3.9 การ์ดเครือร่าย (ที่มา : http:/www.buycoms.com) การ์ดเครือข่ายเป็นอุปกรณ์ท าหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่อง ต่างกันได้ ไม่จ าเป็นต้องเป็นรุ่นหรือแบบเดียวกันควรเป็นการ์ดแบบ PCI เนื่องจากสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ IS4 และเมนบอร์ดรุ่น ใหม่ ๆ มักจะไม่มี Slot ISA ควรเป็นการ์ดที่มีความเร็วเป็น 100 Mbps ซึ่งจะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไม่มากนัก แต่ส่ง ข้อมูลได้เร็วกว่า นอกจากนี้ควรค านึงถึงขั้วต่อหรือคอนเนกเตอร์ของ การ์ดด้วย โดยทั่วไปคอนเนกเตอร์ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เช่น BNC. R.-45เป็นต้น ซึ่งคอนเนกเตรร์แต่ละแบบก็จะใช้สายที่ แตกต่างกัน การ์ดเครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless Lan) เป็นเครือข่ายที่ อาศัยคลื่นวิทยุ (RE Radio Frequency) โดยคอมพิวเตอร์แต่ละ เครื่องที่ได้รับการติดตั้งตัวส่ง (การ์ดWireless ส าหรับเครื่องพีซีหรือ การ์ดเน็ตเวิร์คแบบU PCMCIAส าหรับเครื่องโน็ตบุ๊ค) ไว้ จะส่ง สัญญาณคลื่นวิทยุไปในอากาศหาตัวรับที่เรียกว่า Wireless Access Point ซึ้งต่อเข้ากับสายLAN ธรดา โดยเชื่อมต่อเข้ากับระบบ เครือข่ายตามปกติอีกทอดหนึ่ง


3.4.3 เกตเวย์ (Gateway) เกตเวย์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยในการสื่อสาร ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักคือช่วยให้ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2 เครือข่ายหรือมากกว่า ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกัน สามารถติดต่อสื่อสารกันได้เหมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน 3.4.4 เราเตอร์ (Router) เราเตอร์เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายที่ท าหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายที่มีขนาดหรือมาตรฐานใน การส่งข้อมูลต่างกัน สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ เราเตอร์จะท างานอยู่ชั้นNetwork หน้าที่ของเรา เตอร์ก็คือ ปรับโพรโทคอล (Protocol) (โพรโทคอลเป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ ต่างกันให้สามารถสื่อสารกันได้ รูปที่ 3.11 เราเตอร์ 3.4.5 บริดจ์ (Bridge) บริดจ์มีลักษณะคล้ายเครื่องขยายสัญญาณบริดจ์จะท างานอยู่ในชั้น Data Link บริดจ์ท างานคล้ายเครื่องตรวจต าแหน่งของข้อมูล โดยบริดจ์จะรับข้อมูลจาก ต้นทางและส่งให้กับปลายทาง โดยที่บริดจ์จะไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่ข้อมูล บริดจ์ท าให้การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายมีประสิทธิภาพ ลดการชนกัน ของข้อมูลลง บริดจ์จึงเป็นสะพานส าหรับข้อมูลสองเครือข่าย รูปท่ี3.10เกตเวย์ รูปที่ 3.12 บริดจ์


3.4.6 รีพีตเทอร์ (Repeater) รีพีตเทอร์เป็นเครื่องทบทวนสัญญาณข้อมูลในการส่งสัญญาณร้อมูลในระยะ ทางไกลๆ ส าหรับสัญญาณแอนะล็อกจะต้องมีการย้ายสัญญาณข้อมูลที่เริ่มเบาบางลง เนื่องจากระยะทาง และส าหรับสัญญาณดิจิทักจะต้องมีการทบทวนสัญญาณเพื่อป้อง กันการขาดหายของสัญญาณเนื่องจากการส่งระยะทางไกล ๆ เช่นกัน รีพีตเทอร์จะท า งานอยู่ในชั้น Prysical 3.4.7 สายสัญญาณ สายสัญญาณเป็นสายส าหรับเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบเข้าด้วยกันหากเป็นระบบที่มี จ านวนเครื่องมากกว่า 2 เครื่อง ก็จะต้องต่อผ่านฮับอีกทีหนึ่ง โดยสายสัญญาณส าหรับเชื่อมต่อเครื่องในระบบเครือ ข่าย มี 2 ประเภท ได้แก่ 1. สาย Coaxia มีลักษณะเป็นสายกลม คล้ายสายโทรทัศน์ ส่วนมากจะเป็นสีด าสายชนิดนี้จะใช้กับการ์ด LAN ที่ใช้คอนเนกเตอร์แบบ BNC สมารถส่งสัญญาณได้ไกลประมาณ 200 เมตรสายประเภทนี้จะต้องใช้ตัว 1 Connector ส าหรับเชื่อมต่อสายสัญญาณกับการ์ด LAN ต่าง ๆ ในระบบ และต้องใช้ตัว Terminator ขนาด 50 โอห์ม ส าหรับปิด หัวและท้ายของสาย รูปที่ 3.14 สายสัณญาณ Coax (ที่มา https:/igrgo.page.link/yek4T) รูปที่ 3.13 รีพีตเทอร์


2. สาย UTP สายแลน ชนิด Category 5e แบบ Unshielded twisted pair (UTP) cables เป็นสายที่ไม่มีขนวน ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกหรือ Shielded (ส่วนที่มี Shielded จะกล่าวในภายหลัง)ลายนิดนี้ เป็นสายที่มี จ านวน 4 คู่สาย 8 เส้น และมีขนาดของแกนทองแดงขนาดที่ 24 AWG (0.5 Squmm) ซึ่งมีการผลิตแกนทองแดง แบบแกนเดี่ยว (Solid conductor) ที่เหมาะกับการติดตั้งแบบทั่วไปและ แบบ แกนทองแดงแบบฝอย (stranded conductor) ที่เหมาะกับสายเชื่อมต่อภายในตู้สื่อสาร หรือที่เรียกว่าสาย Palch cord ซึ่งจะสามารถบิดโค้ง ง ได้ มากกว่าสายชนิด แกนเดี่ยว (Solid) สายชนิดนี้จะมีBandwidh สูงสุด 350 MH2 ในบางยี่ห้อมาตรฐานที่ 100 MH2 และ ความเร็วในการส่งสัญญาณที่ 100-1000 Mbps หรือ Gigabit รูปที่ 3.15 สายแลน ชนิด Category 5e (ที่มา : https://argo.page.link/z9gHK) สายแลนชนิด Category 6 แบบ Unshielded twisted pair (UTP) cables เป็นสายที่ไม่มีชนวนป้องกัน สัญญาณรบกวนจากภายนอกหรือ Shielded สายชนิดนี้ เป็นสายที่มี แกนกลางส าหรับแบ่งแยกช่องสัญญาณทั้ง 4 คู่สายและมี จ านวน 4 คู่สาย 8 เส้น เหมือนกับ Cat 5e แต่จะมีขนาดของแกนทองแดงที่ใหญ่กว่า ชนิด Cat5e อยู่ที่ ขนาด 23AWG(0.65SQUMM) ซึ่งมีการผลิตแกนทองแดงทั้งแบบแกนเดี่ยว (Solid conductor) ที่เหมาะกับการ ติดตั้งแบบทั่วไป และ แบบแกนทองแดงแบบฝอย(strandedconductor) ที่เหมาะกับสายเชื่อมต่อภายในตู้สื่อสาร หรือที่เรียกว่าสาย Patch cord ซึ่งจะสามารถบิดโค้งงอ ได้มากกว่าสายชนิด แกนเดี่ยว (Solid) ส าหรับสาย Cat.6


จะมี Bandwidth สูงสุดที่ 650 MHz หรือมาตรฐานอยู่ที่ 250Mnz และ ส่วนความเร็วสูงสุดในการส่งสัญญาณที่ Full speed 1000Mbps หรือ Full Gigabit วิธีการดูและตังเกตว่าสายเส้นไหนเป็น Cat.5e หรือ Cat.6 จุดสังเกต ขันดับแรก คือ สายชนิด Cat5e ขนาดของเส้นรอบนอก จะเล็กกว่าสายชนิด Catg.6 สีของตัวสาย โดยส่วนใหญ่ในประเทศไทย สายชนิด cat.5e จะมีสีเทาและสีขาว ส่วนสายชนิด Cat 6 จะมีสี ฟ้าหรือ น้ าเงินในบางยี่ห้อ แกนทองแดง ของสายชนิด Cat.5e จะมีแกนทองแดงที่เล็กกว่า ชนิด Cat.6 สาย Cม จะมีพลาสติกแกนกลาง ที่ขั้นระหว่างสายทั้ง 4 คู่ ส่วน สายชนิด Cat5e ไม่มี อีกจุดสังเกตด้านหน้าตัดของหัวคอนเน็คเตอร์ R.45 Plug ตัวผู้จะมีวิธีสังเกต ดังนี้ - Cat.5e หน้าตัด แกนกลางของสายจะเรียงกันแบบแนวนอน เสมอกัน - Cat6 หน าตัดจะ สลับฟันปลา ขึ้นลง ไม่เสมอกัน ดังแสดงที่รูปภาพ ด้านล่าง รูปที่ 3.16 สายแลนชนิด Category 6 (ที่มา : https://argo.page.linkz9Hk)


รูปที่ 3.17 ความแตกต่างของหัวคอนเน็ดเตอร์ R.J45 Plug (male) (ที่มา : htps:/kgrgo .page link/z9gHk) สายสัญญาณ UTP Cat.5e จะผลิตตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA-568-A โตยมี ความกว้างของช่องสัญญาณ (bandwidtn) ที่ 100 MHz หรือ 350 MHz และ จะมีโค้ดสีในการเข้าสายแลน ตามมาดรฐาน TWEA-568-AB ซึ่ง ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแต่ละพื้นที่หรือตามมาตรฐานของแต่ละองค์กรนั้น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้รหัสสีแบบ TIAEIA-568-B รูปที่ 3.18 โค้ดสีในการเข้าสายแลน ตามมาตรฐาน TIVJEIA-568-A/B (ที่มา : https:/argo .page.link/29gHk)


เพราะการเข้า Code สีผิด ก็จะไม่สามารถใช้งาน ร่วมกับสายที่มีโค้ดสีแบบชื่นได้ ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน ภายในอาคารทั่วไป เช่น การน าไปใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์, เชื่อมต่อ Wireless หลายๆ ตัว ระบบกล้อง IP camera., CCTV, Access control, PLC, BAS, Telephone หรือระบบที่เกี่ยวข้องกันการเชื่อมต่อผ่านระบบ เครือข่าย Ethemet LAN newonk ตามมาตรฐาน IEEE 802.3x ในทุกระคับของมาตรฐานการส่งสัญญาณ โดยจะ แบ่งการใช้งานในย่านความถี่และความเร็วดังต่อไปนี้ ㆍความเร็วในการส่งสัญญาณที่ 10Mbps, 100Mbps, 1000Mbps, 10000Mbps ㆍ ความถี่ในการส่งสัญญาณ 100MHz, 250MHz, 350MHz, 500MHz, 600MHz การเลือกใช้สาย Cat.5e และ Cat6 กับ Application ให้เหมาะสม ทั้งคุณภาพและราคา รูปที่3.19 อุปกรณ์ที่มีการเชื่อมกับสายแลน (ที่มา : https://qrgo.page.link/z9gHk) 1. สาย Cat5e ในระบบแลน(Ethernet LAN)เครือข่ายคอมพิวเตอร์ และ WF ในปัจจุบันไมนิยมใช้กันมาก นัก เนื่องจากข้อจ ากัด เช่น ความเร็ว (Speed) อัตราการส่งผ่านข้อมูล ที่ได้สูงสุดที่ 1000Mcps หรือ Gigabit และ ช่องของสัญญาณ Bandwidth ที่ได้สูงสุดที่ 350 MH2 โดยคณะที่สายชนิด Cat 6ท าได้ดีกว่ามาก ถึง 650 MHz และ ความเร็วระดับ 10 Gbs และปัจจุบันมีถึง Cat 8 ที่ความเร็ว support25 Gbps/ 40 Gbs ที่ Bandwidth 2000Mnz สายชนิด Cat5e ตามส านักงาน หรือตามบ้าน หรือองค์กรบางแห่ง ก็ยังคงสามารถใช้งานได้ทั่วไป เพราะความเร็วก็ยัง สามารถใช้งานแบบธรรมดาได้อยู่ดี ไม่ถึงกับช้าแต่ระดับองศ์กรที่เน้นระดับความเร็วสูง จะต้องเปลี่ยนไปใช้สายแบบ UTP Cat.6 แทน เพราะสามารถใช้งานได้มากกว่า เช่น การส่งภาพวีดีระดับ Full HDหรือองค์กรที่เน้น ตัดต่อ ภาพยนตร์ หรือหนัง หรือที่ท ากราฟิกดีไซด์ องค์กรที่เน้นระบบเกม ที่ต้องการความเร็ว และ หรือ ระบบ Data


center ที่ให้บริการ โครงข่ายต่าง ๆ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น จึงสมควรใช้งานสายเคเบิ้ลชนิด Cat. 6 แต่ก็จะมี ราคาที่สูงกว่า Cat.5e ตามไปด้วยนั่นเอง รูปที่ 3.20 สาย Cat5e ในระบบแลน(Ethernet LAN) (ที่มา : https://argo.page.link/29gHk) 2. สาย UTP Cat5e และ Cat.6 ในระบบ โทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) จะมีอยู่ 2 ระบบแบบแรก คือ ระบบอนาล็อคธรรมดา แบบที่สอง คือ ระบบ HD-Analog TVI, AHD, CVI ช่างหรือผู้ใช้งาน ก็สามารถเลือกใช้ สายสัญญาณ ชนิด UTP cable Cat5e ทั้งชนิด ภายในอาคาร (Indoor) และ ภายนอกอาคาร (Outdoor) แทนสาย Coaxial cable ชนิด RG6 เพราะสามารถใช้ตัวแปลงสัญญาณ Balun ในการแปลงเพื่อต่อใช้งาน กับกล้องและตัว บันทึก (DVRNVR) แถมใช้สายแลน Cat.5e ก็ยังสามารถน าไปประยุกต์ใช้งานกับกล้อง IP ได้อีก หรือระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ได้ เพียงแต่แค่เปลี่ยนคอนเน็คเตอร์ปลายทางใหม่ ก็สามารถใช้งานได้แล้ว ประหยัดราคาได้มาก ส่วนจะเลือกใช้สาย Cal5e หรือ Cat.6 นั้นก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ของแต่ละหน่วยงานและ ประโยชน์ที่จะ ได้รับ เมื่อใช้สายที่แพงขึ้น ให้คุ้มค่าเงินที่ลงทุนไป หรือเหมาะสมที่สุดกับการใช้งานถ้าเป็นกล้องระบบ IP Camera จึง เหมาะสมกว่าที่จะใช้งานสาย Cat.6 เพราะระบบนี้ต้องการความเร็วที่สูงมาก เนื่องจากความละเอียดของภาพมากขึ้น


รูปที่ 3.21 สาย UTP Cat5e และ Cat.6 ในระบบ โทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) (ที่มา : https://@rgo.page.link/z9gHk) 3. สายแลน (UTP Cable) ทั้งชนิด Cat.5e และ Cat.6 สามารถใช้งานได้ในระบบ PLC(Programmable Logic Control) ที่ปัจจุบันท าได้ถึงระดับ PAC (Programmable Automation Control)เช่น Modicon ต้นต ารับผู้ คิดค้น การเชื่อมต่อแบบ Modbus ที่ยังคงสามารถใช้งานร่วมกับสายเคเบิ้ลCat. 5e และ Cat.6 ได้ ทุกระดับความเร็ว 10/100/1000 Mbps ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบระบบที่ต้องการความเร็วเท่าไร ในการส่งผ่านข้อมูล ให้กับอุปกรณ์ ปลายทางและต้นทางและระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายเคเบิ้ล (Ethernet cable) ชนิดนี้ ขึ้นอยู่กับการน าไป ประยุกต์ใช้งาน เช่น Access control, Audiosystem, Lighting control เป็นต้น 3.4.8 สวิตช์ (Switch) Switch เป็นอุปกรณ์ในระบบ computer network เช่นเดียวกับ Hนb ท าหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่น ๆ เข้าด้วยกันในระบบ โดยอาศัยการท า packet switching ซึ่งจะ รับ ประมวลผล และส่งข้อมูลต่อไปยังปลายทาง เพียงแค่หนึ่ง หรือ หลาย port ไม่ใช่การ broadcast ไปทุก port เหมือนกับ hub Switch จะมีด้วยกันหลาย port มีการระบุที่อยู่ (address) ประมวลผลก่อนที่จะ ส่งข้อมูลต่อไปในระดับ data link layer (layer 2) ใน OSI mode! บาswitch สามารถประมวลผลในระดับ network


Iayer (ayer 3) ซึ่งจะเป็นความสามารถในการท า outng ซึ่งมักจะใช้งานกับ IP address เพื่อท า packetforwarting เรียกว่า L3-Switch หรืe multiater switch รูปที่ 3.22 สวิตซ์ (Switch) (ที่มา : htps://sail.comwhat-is-switch) คุณสมบัติของ Switch เป็นอุปกรณ์อิเด็กทรอนิกส์ที่เชื่อมอุปกรณ์ netwonk เข้าด้วยกัน โดยอาศัยสาย cable ต่อเข้ากับ por แต่ละ อุปกรณ์ และยังสามารถจัดการเชื่อมต่อระหว่าง netพork ได้ อุปกรณ์แต่ละตัวที่ต่อเข้ากับswich จะได้รัu notwork address เป็นตัวบอกตัวตนของแต่ละอุปกรณ์ เพื่อให้การส่งข้อมูล packet ไปถึงได้ถูกตัองและเจาะจง อีกทั้งยังเป็น การเพิ่มความปลอดภัยให้กับ network 1. การท างานของ switch Switch ท างานในระดับ data link layer (layer 2) มีการแบ่ง collision domain ของแต่ละ port เพื่อให้ สามารถส่งช่อมูลหากันได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่ชนกันได้ แต่ด้วยคุณสมบัติ half duplex mod ท าให้ port เดียวกัน ท าหน้าที่ ส่ง หรือ รับ ข้อมูลได้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นในช่วงเวลานั้น แต่ถ้าqlnnuierneh/ fulo จะเห็นได้ว่าถ้ า เทียบกับ rpeater hub แล้ว การส่งชัยมูลท าได้เพียงแต่ port เดียวในช่วงเวลานั้น จากคุณสมบัติที่ต้อง broudcaat รวมถึงท างานแบบ hil duplex ท าให้ bandwiaเn ที่ได้ค่อนข้างต่ า จากการซนกันของ packet และต้อง retransmit ปอยครั้ง 2. การใช้งาน switch Network switch มีบทบาทใน Ethernet local area networks (LANs) อย่างมาก ตั้งแต่ระบบ ขนาด กลางจนถึงขนาดใหญ่ LAN จะประกอบด้วย switch จ านวนหนึ่ง ที่ท าหน้าที่จัดการระบบnetwork เช่นSmall office/home office (SOHO) อาจจะใช้ switch เพียงตัวเตียว รวมถึง office ขนาดเล็กหรือ ที่พักอาศัย ซึ่งสุดท้าย แล้วอาจจะน าไปเชื่อมต่อกับ เouter เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อ ineternet หรือท า Voice over IP (VolP)


3. Microsegmentation การแบ่ง segment ที่ใช้ใน bridge หรือ switch (router) เพื่อแบ่ง cllision domainขนาดใหญ่ออกเป็น ขนาดเล็ก เพื่อลดการซนกันของ packet รวมถึงเพิ่ม throughput ให้กับ network ในการท างานขั้นสูง อุปกรณ์แต่ ละตัวจะได้รับการเชื่อมต่อ port ของตัวเอง ซึ่งแต่ละ port จะแยก cillisindomain เป็นของตัวเอง ซึ่งท าให้แต่ละ อุปกรณ์สามารถใช้งาน bandwidth ต่างกันตามการรองรับได้อีกทั้งยังท า Full-duplex mode ได้ ประเภทของ Switch ㆍL1-Switch : ท างานระดับ Physical layer ท าหน้าที่เช่นเดียวกับ hub เป็นเหมือนrepeater ท าหน้าที่ broadcast ข้อมูลไปทุก ๆ port ท าให้ติดข้อจ ากันเรื่องความเร็ว ㆍ L2-Switch : ท างานระดับ Data link later ท าหน้าที่เป็น network bridge ซึ่ง switchส่วนใหญ่จะเป็น แบบนี้ มีประสิทธิภาพสูงกว่า hub หรือ L1-switch ㆍL3 Switch : ท างานระดับ Network layer ท าหน้าที่ เป็น router มีคุณสมบัติ IP multicast ส่งข้อมูล ให้เป็น group ได้ 3.5 ระบบเครือข่ายไร้สาย ระบบเครือข่ายไร้สาย หรือ ระบบเครือข่ายแบบ Wireless LAN หรือ WLAN เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เป็นเครือข่ายแบบไร้สาย (ไม่จ าเป็นต้องเดินสายเคเบิล) เหมาะส าหรับการติดตั้งในสถานที่ที่ไม่สะดวกในการเดินสาย หรือในสถานที่ที่ต้องการความสวยงาม เรียบร้อย และเป็นระเบียบ เช่นสนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้นหลักการ ท างานของระบบ Wireless LAN การท างานจะมีอุปกรณ์ในการส่งสัญญาณ และกระจายสัญญาณ หรือเรียกว่า Access Point และมี PC Card ที่เป็น LAN Cardส าหรับในการเชื่อมกับ Access Point โดยเฉพาะการท างานจะใช้ คลื่นวิทยุเป็นการรับส่งสัญญาณ โดยมีให้เลือกใช้ตั้งแต่ 2.4 to 2.4897 GH2 และสามารถเลือกคอนฟิก (config) ใน Wireless LAN (ภายในระบบเครือข่าย Wireless LAN ควรเลือกช่องสัญญาณเดียวกัน)


3.5.1 ระยะทางการเชื่อมต่อของระบบ Wireless LAN ภายในอาคาร ภายนอกอาคาร ระยะ 50 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 11 Mbps ระยะ 80 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 5.5 Mbps ระยะ 120 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 2 Mbps ระยะ 150 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 1 Mbps ระยะ 250 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 11 Mbps ระยะ 350 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 5.5 Mbps ระยะ 400 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 2 Mbps ระยะ 500 เมตร ได้ความเร็วประมาณ 1 Mbps 3.5.2 ลักษณะการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย Wireless LAN มี 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. การเชื่อมโยงระบบแบบ Ad-hoc (Per o Peer) โครงสร้างการเชื่อมโยงระบบแบบ Aenoc หรืe Peer to Poer เป็นการสื่อสารข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ไร้สายและอุปกรณ์ต่าง ๆตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป โดยที่ไม่มี ศูนย์กลางควบคุมอุปกรณ์ทุกเครื่องสามารถสื่อสารซ้อมูลถึงกันได้เองตัวส่งจะใช้วิธีการแพร่กระจายคลื่นออกไปในทุก ทิศทุกทางโดยไม่ทราบจุดหนทางของตัวรับว่าอยู่ที่ใด ซึ่งตัวรับจะต้องอยู่ในชอบเขตตื้นที่ให้บริการที่คลื่นสมารถ เดินทางมาถึงแล้วคอยเช็คข้อมูลว่าระจายออกมาใช่ของตนหรือไม่? ด้วยการตรวจสอบค่า Mac Address ก็จะน า ข้อมูลเหล่านั้นไปประมวลตรวจสอบค่า Mac Address ผู้รับปลายทางในเฟรมข้อมูลที่แพร่กระทบผลต่อไป การ เชื่อมโยงเครือข่ายไวร์เลสแลนที่ใช้โครงสร้างการเชื่อมโยงแบบ Adาoง ไม่สามารถเชื่อมโยงเช้าสู่ระบบเครือข่ายอีเธอร์ เน็ตได้เนื่องจากบนระบบไม่มีการใช้สัญญาณเลย 2. การเชื่อมโยงระบบแบบ Intadncture (CientServer) โครงสร้างการเชื่อมโยงระบบศูนย์กลางการเชื่อมโยง (ท าหน้าที่คล้ายฮับ) และเป็นสะทานเชื่อมเครื่อง คอมพิวเตอร์ไลยอุปกรณ์ไวร์เลสแลนเข้าสู่เครือข่ายอีเธอร์เน็ตแลนหลัก รวมถึงการควบคุมการสื่อสารข้อมูลอุปกรณ์ ไวร์เลสแลน


แบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 3 ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ค าชี้แจง ให้นักเรียนท าเครื่องหมายกากบาท (X) ทับข้อที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. การน าเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาต่อเชื่อมกันเรียกว่าอะไร ก. การต่อเชื่อม ข. อินเทอร์เน็ต ค.เครื่องเครือข่าย ง.เครือข่ายท้องถิ่นหรือเครือข่ายแลน 2. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลสมัยใหม่ ก. มีรากฐานมาจากความพยายามในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ ข. การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์จะอาศัยระบบสื่อสารที่มีอยู่แล้ว เช่น โทรศัพท์ ค. การสื่อสารข้อมูลสมัยใหม่สามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้ 2 ตัวเท่านั้น ง. การติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์เรียกว่าระบบเครือข่าย (Network) สแกนเพื่อท าแบบทดสอบ


3. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการส่งข้อมูลแบบสองทิศทางสลับกัน ก. โทรทัศน์ ข. โทรศัพท์ ค. วิทยุ FM ง. วิทยุสื่อสาร 4. ตัวกลางสื่อชนิดใดมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงที่สุด ก. สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนหุ้ม ข. สายคู่บิดเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม ค. สายใยแก้วน าแสง ง. สายโคแอ็กเชียล 5. ข้อใดเป็นหน่วยที่ใช้วัดความเร็วของการส่งข้อมูล ก. bits per second (bps) ง. data per minute (lpm) ค. pages per second (pps) ง. lines per minute (lpm) 6. เครือข่ายท้องถิ่นคือข้อใด ก. WAN ข.AP ค. LAN ง.MAN


7. เครือข่ายระดับเมืองคือข้อใด ก. WAN ข.AP ค. LAN ง.MAN 8. เครือข่ายระดับประเทศคือข้อใด ก. WAN ข.AP ค. LAN ง.MAN 9. ข้อใดคือสายสัญญาณ ก.ISP ข.PCI ค.Coax ง.IP 10. สาย UTP เป็นสายส าหรับการ์ดอะไร ก. การ์ด WAN ข.การ์ด LAN ค. การ์ด MAN ง. การ์ด BNC


หน่วยที่ 4 การใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล 4.1 ความหมายของการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ 4.2 ประเภทการสืบคั้นข้อมูลสารสนเทศ 4.3 หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Engine 4.4 ประโยชน์ของ Search Engine 4.5 การสืบค้นข้อมูลด้วย Google โลกยุคอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนี้มีข้อมูลมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจ านวนมากมายอย่างนี้อาจจะกดคลิก เพื่อคันหาข้อมูลได้ไม่ง่าย จ าเป็นจะต้องอาศัยการคันหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหา ที่เรียกว่าSearch Engine เข้ามา ช่วย เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซด์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมาย ทั้งที่เป็นของคนไทย และต่างประเทศ ความหมาย/ประเภท ของ Search Engine การค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เป็นจ านวนมาก ถ้าเปิด ไปที่ละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการคันหา และอาจหาข้อมูลที่ต้องการไม่พบ การที่จะค้นหาข้อมูลให้พบอย่าง รวดเร็ว จะต้องใช้เว็บไซต์ส าหรับการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Search Engine site ซึ่งท าหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ ต่าง ๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อนค า หรือข้อความของ หัวข้อเรื่อง (Topies) แนวคิดส าคัญ (Main Idea)


หัวข้อนั้น ๆ ลงไปในช่องที่ก าหนดSearch Engine แต่ละแห่งมีวิธีการ และการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตาม ประเภท ของ SearchEngine ที่แต่ละเว็บไซต์น ามาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล (Search Engine) 1. บอกความหมายของการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศได้ 2. บอกประเภทการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศได้ 3. อธิบายหลักการค้นหาข้อมูล Search Engine ได้ 4. บอกประโยชน์ของ Search Engineได้ 5. บอกวิธีการสืบค้นข้อมูลด้วย Googleได้ สมรรถนะย่อย (Element of Competency) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives)


4.1 ความหมายของการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ (Information retieval) หมายถึง กระบวนการคันหาสารสนเทศที่ต้องการโดย ใช้เครื่องมือสืบคั่นสารสนเทศที่สถาบันบริการสารสนเทศจัดเตรียมข้อมูลไว้ให้บริการ การสืบค้นสารสนเทศ แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ 4.1.1 การสืบคันสารสนเทศด้วยระบบมือ (Manual System) การสืบคันสารสนเทศด้วยระบบมือ สามารถกระท าได้โดยผ่านเครื่องมือหลายประเภท เช่นบัตรรายการ บัตร ดรรชนีวารสาร บรรณานุกรม เป็นตัน รูปที่ 4.1 แสดงการสืบค้นสารสนเทศด้วยระบบมือ 4.1.2 การสืบค้นสารสนเทศด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) ค้นสารสนทศด้วยระบบคอมพิวเตอร์สามารถท าได้โดยผ่านอุปกรณ์คอมในการค้นหาข้อมูลจาก ฐานข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ ฐานข้อมูลโอแพ็ก ฐานข้อมูลซีดีรอม ฐานข้อมูลออนไลน์ฐานข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เนื้อหาสาระ (Content)


รูปที่ 4.2 แสดงฐานข้อมูลโอแพ็ก 4.2 ประเภทการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต สามารถแบ่งตามลักษณะการท างานได้ 3 ประเภท ดังนี้ 4.2.1 Crawler Based Search Engines Crawler Based Search Engines เป็นเครื่องมือการค้นหาบนอินเทอร์เน็ตแบบอาศัยการบันทึข้อมูล และจัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นจ าพวก Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุดเนื่องจากให้ผลการค้นหาแม่นย า ที่สุด และการประมวลผลการค้นหาสามารถท าได้อย่างรวดเร็ว จึงท าให้มีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดใน ปัจจุบัน โดยมีองค์ประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกัน คือ 1. ฐานข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็นของตัวเองที่ มีระบบการประมวลผล และการจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก 2. ซอฟต์แวร์คือ เครื่องมือหลักส าคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งส าหรับ Search Engine ประเภทนี้เนื่องจากต้อง อาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ ท าหน้าที่ในการตรวจหาและท าการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบของ การท าส าเนาข้อมูลเหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งจะรู้จักกันในชื่อ Spider หรือWebCrawler หรือ Search Engine Robots ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ได้แก่ Google, Yahoo, MSN, Live, Search,Technorati (ส าหรับ Blog) ส่วน ลักษณะการท างาน และการเก็บข้อมูลของ Web Crawler หรือ Robot หรือSpider นั้น แต่ละแห่งจะมีวิธีการเก็บ ข้อมูล และการจัดอันดับข้อมูลที่ต่างกัน


4.2.2 Web Directory หรือ Blog Directory Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ให้สามารถค้นหาข่าวด้วยหมวดหมู่ข่าวสารข้อมูล ที่เกี่ยวช้องกัน ในปริมาณมาก ๆ คล้ายกับสมุดหน้าเหลือง โดยจะมีการสร้างดรรชนี ระบุหมวดหมู่อย่างชัดเจน ซึ่งจะ ช่วยให้การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่นั้น ๆ ได้รับการเปรียบเทียบอ้างอิง เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ในขณะที่หันหาข้อมูล เพราะว่าจะมีเว็บไชต์มากมาย หรือ BI0g มากมายที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหมวดหมู่เดียวกัน ให้เลือกที่จะหาข้อมูลได้ ตรงประเด็นที่สุด ได้แก่ 1. ODP หรือ Dmoz เป็น Web Directory ที่ใหญ่ที่สุดในโลn Search Engine หลายแห่งเลือกใช้ข้อมูล จากที่แห่งนี้เกือบทั้งสิ้น เช่น Google, AOL, Yahoo, Netscape และอื่น ๆ มากมาย ODP มีการบันทึกข้อมูล ประมาณ 80 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยด้วย (URL : http:/www.dmoz.org) 2. สารบัญเว็บไทย SANOOK เป็น Web Directory ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในเมืองไทย (URL: http://webindex.sanook.com ) 3. Blog Directory หรือ BlogFlux Directory ส าหรับการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกตามหมวดหมู่ต่าง ๆ หรือ Blog Directory อื่น ๆ ที่สามารถค้นหาข้อมูล 4.2.3 Meta Search Engine Meta Search Engine คือ Search Engine ที่สามารถสืบค้นข้อมูลจาก Search Engineและหรือ Web Directories ได้มากกว่า 1 ตัวในเวลาเดียวกัน และแสดงผลการสืบคันที่ได้รับจาก SearchEngine เหล่านั้นในเวลา เดียวกัน โดยเสนอผลการสืบคันในรูปแบบที่สะดวก ซึ่งบางครั้งจะมีการปรับแต่งผลการสืบคันที่ได้รับทั้งหมดให้อยู่ใน รูปแบบเดียวกัน และบูรณาการผลการสืบค้นเหล่านี้เช้าเป็นชุดเดียวกัน ลักษณะของ Meta Search Engine เป็นเครื่องมือส าหรับใช้สืบค้นข้อมูลบนเว็บ โดยจะประกอบด้วย Search Engine และหรือ Web Directories หลายตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะรวม Search Engine ที่ส าคัญ ๆ เหล่านี้ไว้ ได้แก่ Yahoo, Goto, Northern Light, Google, Direct Hit, Alta Vista, Lycos, Excit,Infoseek, Hot Bot, Web Crawler และอื่น ๆ Meta Search Engine เหมาะส าหรับการด าเนินการสืบค้นข้อมูลแบบง่าย (Simple Search)การสืบค้น ข้อมูลด้วยค าค้นที่เป็นค าหรือวลีที่มีลักษณะเฉพาะ หรือการสืบคันที่ต้องการทดสอบค าคัน(เพียง 1 หรือ 2 ค าคัน) ว่า จะให้ผลการสืบคันเป็นอย่างไร Meta Search Engine ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ส าหรับการสืบค้นข้อมูลใน


กรณีที่รีบเร่ง และต้องการดูผลลัพธ์โดยภาพรวมอย่างรวดเร็วในหัวข้อเรื่องหรือค าคันที่มีความเฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ ยังมีค่าส าหรับกาข้อค าถามไปยังการสืบคันหลายแห่งในครั้งแรกอีกด้วย ส าหรับจุดเด่นของ Meta Search Engine มีดังนี้ คือ ยอมให้มีการเข้าถึง Search Engineหลายตัวในเวลา เดียวกัน มีความเร็วในการสืบค้นข้อมูลสูง และมีการเสนอผลการสืบค้นในรูปบูรณาการและเป็นรูปแบบเดียวกัน ส่วน จุดด้อยของ Meta Search Engine อาจสรุปได้ดังนี้ 1. มี Meta Search Engine จ านวนน้อยที่ไปค้นข้อมูลจาก Search Engine ตัวที่มีประโยชน์มากที่สุด และ Search Engine ที่มีขนาดใหญ่ เช่น Northern Light และ Fast Search เป็นต้น 2. Meta Search Engine ไม่ได้ให้ทางเลือกในการสืบค้นมากเท่ากับที่ Search Engine 3. การที่ Meta Search Engine ส่งข้อค าถามที่มีกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ (Syntax) และการเชื่อมประสาน ในรูปแบบเดียวกันไปยัง Search Engine แต่ละตัวซึ่งมีความแตกต่างกันนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ Meta Search Engine จะได้รับประโยชน์จากลักษณะทั้งหมดที่ Search Engine แต่ละตัวมี ดังนั้นผลการสืบค้นที่ได้รับจึงอาจผันแปรไป 4. Meta Search Engine มีข้อจ ากัดในการใช้เทคนิคการสืบค้น กล่าวคือ ส่วนใหญ่จะยอมรับการใช้ เครื่องหมายอัญประกาศ (" ' แต่มีส่วนน้อยที่ยอมรับการใช้ตรรกะบูลีน และมีเพียงบางตัวเท่านั้นที่ยอมรับการใช้ เครื่องหมายต่างเหล่านี้ คือ เครื่องหมาย ( ) เครื่องหมายบวก+ ( OR) เครื่องหมายลบ – (AND) และเครื่องหมายดอก จัน * (Trucate ) เป็นต้น 5 . Meta Search Engine จะไม่น าผลการสืบค้นที่ Search Engine แต่ละตัวสืบค้นได้ทั้งหมดมาแสดง ปกติจะน าเอาเฉพาะผลการสืบค้นที่ปรากฏในล าดับต้น ๆ ของรายการผลการสืบค้นของแต่ละ Search Engine มา แสดงเท่านั้น ตัวอย่างของ Meta Search Engine AskJeeves (htt://askjeeves.com Beaucooup Search Engines (http://www.beaucoup.com/engines.html) Cyber411 (http://cyer411.com) Debriefing (http://www.debriefing.com) Mamma (http://www.mamma.com) MetaCrawler (http://www.metaclawlawler.com) Metafind (http://www.metafind.com MetaGopher (http://www.metagophe.com)


Dogpile (http://www.dogpil.com) Finder Seeker (http://www.profusion.com) Highway61 (http://www.highway61.com) lnference Find (http://www.infind.com) lnternet Sleuth (http://www.isleuth.com) lxquick(http://ixquick.com) (1)Google: https://www.google.com (2)YAHOO!: http://search.yahoo.com รูปที่ 4.3 Search engineที่มีผุ้คนเข้าไปสืบค้นข้อมูลเป็นจ านวนมาก ProFusion (http://www.finderseeker.com SavvySearch (http://www.savvysearch.com) Search Spaniel (http://www.searchspaniel.com) Starting Point (http://www.stpt.com) SurfWax (http://www.aurfwax.com)


(3) Yandex:https://yandex.com (4)Aol:http://search.aol.com (5) Ask:http://www.ask.com รูปที่ 4.3 (ต่อ)search Engine ที่มีผู้คนเข้าไปสืบค้นข้อมูลเป็นจ านวนมาก


4.3 หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Engine หลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับศูนย์บริการ ต้องการจะเก็บข้อมูลแบบได โดยมีหลักการค้นหาข้อมูล ดังนี้ 1. การค้นหาจากชื่อของต าแหน่ง URL ในเว็บไซต์ต่าง ๆ 2. การค้นหาจากค าที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้านซ้ายบนของหน้าต่างที่ แสดง 3. การคันหาจากค าส าคัญหรือค าสั่ง keyword (อยู่ใน ลg ค าสั่งใน htm! ที่มีชื่อว่า mอta) 4. การคันหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ 5. คันหาค าในหน้าเว็บเพจด้วยบราวเซอร์ ซึ่งการค้นหาค าในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้ในกรณีที่เข้าไปค้นหาข้อมูลที่ เว็บเพจใดเว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีชัดความปรากฏอยู่เต็มไปหมด การที่จะมาคุรายละเอียดทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้ให้ใช้บราวเซอร์ช่วยคันหา โดยชั้นแรกให้น าเมาส์ไปคลิกที่ Menu Edit แล้วเลือกบรรทัดค าสั่ง Find In Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ Keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่ค าที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็ จะวิ่งหาค าดังกล่าว หากพบข้อมูลมันก็จะกระโดดไปแสคงค านั้น ๆซึ่งสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อไห้ อีก จนกว่าจะพบข้อมูลที่ต้องการ เทคนิคในการค้นหาข้อมูล 11 ประการ 1. เลือกรูปแบบการหันหาให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการมากที่สุด เชน ถ้าต้องการจะคันหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ เฉพาะเจาะจง ควรเลือกบริการสืบคันข้อมูลแบ Index ของ yahoo เพราะโอกาสที่จะคันพบนั้นมีมากกว่าการสุ่มหา โดใช้วิชีแบU Search Engine 2. ใช้ค ามากกว่า 1 ค าที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยหันหา เพราะจะได้ผลลัพธ์ที่มีขนาดแคบลงและชี้เฉพาะมาก ขึ้น 3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะดัน เช่น การคันหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของภาพยนตร์ก็ควรเลือกใช้ Search Engine ที่ให้บริการใกล้เคียง เพื่อผลลัพธ์ที่ได้จะน่าเชื่อถือมากกว่า 4. ใส่เครื่องหมายค าพูดครอบคลุมกลุ่มค าที่ต้องการ เพื่อบอกกับ Search Engino ว่าต้องการผลการหันหาที่มีค า ในกลุ่มนั้นครบและตรงตามล าดับพี่พิมพ์ทุกค า เช่น "ree sharoware" เป็นตัน


5. การขึ้นตันของตัวอักษรตัวเด็กเท่ากันหมด Sarch Engne จะเข้าใจว่าต้องการให้ค้นหาค าดังกล่าวแบบไม่ต้อง สนใจว่าตัวชักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้น หากต้องการค้นหาค าตรงคามแบบที่เขียนไว้ ควรพิมพ์ด้วยอักษร ตัวใหญ่แทน 6. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยคันหา ได้แก่ (1) AND ค าสั่งคันหาโดยจะต้องมีค านั้น ๆ มาแสดงด้วยเท่านั้นโดยไม่จ าเป็นว่าจะต้องคิดกัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น (2) OR ค าสั่งคันหาโดยจะต้องน าค าใดค าหนึ่งที่พิมพ์ตงไปมาแสดง (3) NOT ค าสั่งไม่ให้เลือกค านั้น ๆ มาแสคง เชน food and cheese not butter คือ ให้ท าการหาเว็บที่เที่ยว ข้องกับ food และ cheese แต่ต้องไม่มี butter เป็นตัน 7. ให้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกค า + หน้าค าที่ต้องการจริง ๆ - (ลบ) ใช้น าหน้าค าที่ไม่ต้องการช่วยแยกกลุ่มค า เช่น (pentium +computer) cpu 8. ให้เป็นตัวร่วม เช่น com* เป็นการบอกให้หาค าที่มีค าว่า com ขึ้นหน้า ส่วนด้านท้ายจะเป็นอะไรไม่สนใจ "r เป็นการให้หาค าที่ลงท้ายด้วย 0r ด้านหน้าจะเป็นอะไรไม่สนใจ 9. หลีเสี่ยงการใช้ตัวเลข พยายามเสี่ยงการใช้ค าคันหาที่เป็นค าเดี่ยว ๆ หรือเป็นค าที่มีตัวเลขเป็นแต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ อย่าลืมใส่เครื่องหมายค าพูด (") ลงไปด้วย เช่น "windows 10" 10. หลีกเสี่ยงภาษาพูด หลีกเสี่ยงค าประเกท Natural Language หรือเรียกง่าย ๆ ว่าค าหรือข้อความที่เป็นภาษา พูด หรือเป็นประโยค ควรสรุปเป็นเพียงกลุ่มค าหรือวสี ที่มีความหมายรวมทั้งหมดใช้Advanced Search อย่าลืมพี่ จะใช้ Advanced Search เพราะจะมีส่วนช่วยได้มากในการบีบประเด็นหัวข้อให้แคบลง ซึ่งจะท าให้ได้รายชื่อเว็บไซต์ ที่ตรงกับความต้องการของมากขึ้น 11. เลือกใช้ Help แต่ละเว็บจะมีปุ่ม help หรือ Site map ไว้คอยช่วยเหลือ แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักมองข้าม help/site ที่ช่วยในการอธิบายออปชัน หรือการใช้งาน/แผนผังปลีกย่อยของแต่ละเว็บไซด์


4.4 ประโยชน์ของ Search Engine เครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา (Search Engine มีประโยชน์อย่างมากต่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วไปเนื่องจาก ข้อมูลข่าวสารบนโลกอินเทอร์เน็ตมีมหาศาล และเมื่อผู้ใช้ต้องการข้อมูลสารสนเทศใด ๆ จ าเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วย ในการคันหา เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศที่ผู้ใช้งานต้องการ Search Engine มีประโยชน์ ดังนี้ 1. คันหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว 2. สามารถคันหาแบบเจาะสึกได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ข่าว MP3 และอื่น ๆ 3. สมารถคันหาจากเว็บไซต์เฉพาะทางที่จัดท าไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูล และซอฟต์แวร์ เป็นต้น 4. มีความหลากหลายในการคันหาข้อมูล 5. รองรับการคันหาภาษาไทย 4.5 การสืบค้นข้อมูลด้วย Google Google search Engine เป็นเว็บไซด์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ต โดยการข้อความ หรือ ตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไป แล้วท าการค้นหาข้อมูล รูปภาพ หรือเว็บไซเกี่ยวช้องน ามาแสดงผล 4.5.1 Google Search Google Search เป็นเครื่องมือที่ให้บริการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต (Search Engine)ของเว็บไซต์ Google.com โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าเว็บไซต์www.go0gle.com จากนั้นพิมพ์ค าหรือข้อความ(Keyword) เกี่ยวกับ เรื่องที่ต้องการค้นหา แล้วกดJม Enter เพียงเท่านี้ Google Search ก็จะแสดงเว็บไซต์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ Keyword เหล่านั้นทันที ไม่เฉพาะแต่เพียงการค้นหาข้อมูลในรูปของเว็บไซต์ เท่านั้นแต่ Google search ยังสามารถ ค้นหาข้อมูลที่เป็นไฟล์รูปภาพ (Images) กลุ่มข่าว (News Groups) และสารบนเว็บ (Web Directory) ให้อีกด้วย


รูปที่ 4.4 Google Search (ที่มา : www.google.com) 4.5.2 รูปแบบการค้นหาข้อมูลด้วย Google ที่ควรทราบ การค้นหาโดยทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะใช้ Keyword เป็นเครื่องมือในการน าทางการค้นหาย่างเดียว แต่ถ้าผู้ให้ รู้จักใช้เครื่องหมายบางตัวร่วมด้วย จะท าให้ขอบเขตการค้นหาของ Google แคบลงท าให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความ ต้องการมากขึ้น เครื่องหมายที่สมารถน ามาช่วยในการคันหาได้มีดังนี้ 1. การใช้เครื่องหมายบวก (+) เชื่อมค า โดยปกติ Google จะไม่ใส่ใจในการค้นหาข้อมูลจากการพิมพ์ Keyword ประเภท Common Word (ค าง่าย ๆ) เซ่น at, with, on, what, when, where,e, to, of แต่เนื่องจาก เป็นบางครั้งค าเหล่านี้เป็นค าส าคัญของประโยคที่ผู้ใช้จ าเป็นต้องเครื่องหมาย + จะช่วยเชื่อมค า โดยมีเงื่อนไขว่า ก่อน หน้าเครื่องหมาย + ต้องมีการเว้นวรรค 1 เคาะด้วยเช่น หากต้องการค้นหาเว็บไซต์เกี่ยวกับเกมที่มีชื่อว่า Age of Empire ถ้าผู้ใช้พิมพ์ Keyword Age ofEmpire Google ก็จะท าการค้นหาแยกค าโดยไม่สนใจค าว่า of และจะค้นหา ค าว่า Age หรือ Empire เพียงสองค า แต่ถ้าผู้ใช้ระบุว่า Age+of Empire แบบนี้ Google จะท าการค้นหาทั้งค าว่า Age., of และ Empire รูปที่ 4.5 ผลการค้นหาค าว่า Agetof Empire


2. ตัดบางค าที่ไม่ต้องการคันหาด้วยเครื่องหมายลบ (-) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดเรื่องที่ผู้ใช้ไม่ต้องการ หรือไม่เกี่ยวข้องออกไปได้ เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการค้นหาเว็บไชต์ที่เกี่ยวกับการล่องแก่งแต่ไม่ต้องการการล่องแก่งที่ เกี่ยวข้องกับจังหวัดตาก ให้ผู้ใช้พิมพ์ Keyword ว่าล่องแก่งจังหวัดตาก(เช่นเดียวกับเครื่องหมาย + ต้องเว้นวรรคก่อน หน้าเครื่องหมายด้วย) Google จะท าการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการล่องแก่ง แต่ไม่มีจังหวัดตากเข้ามาเกี่ยวข้อง รูปที่ 4.6 ผลการค้นหาค าว่า ล่องแก่ง –จังหวัดตาก 3. การค้นหาด้วยเครื่องหมายค าพูด (“...") ส าหรับการคันหาค า Keyword ที่มีลักษณะเป็นประโยควลี หรือกลุ่มค าที่ผู้ใช้ต้องการให้แสดงผลทุกค าในประโยค โดยไม่แยกค า เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการหาเว็บไซต์เกี่ยวกับเพลง ที่มี ชื่อว่า If I Let You Go ให้พิมพ์ว่า "f I Let You Go จากนั้น Google จะท าการค้นหาประโยค " If I Let You G๐" ทั้งประโยคโดยไม่แยกค าคันหามาให้ รูปที่ 4.7 ผลการค้นหาค าว่า "f I Let You Go"


แบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่4 การใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล ค าชี้แจง ให้นักเรียนท าเครื่องหมายกากบาท X พับข้อที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ค าว่า "การสืบค้น" หมายถึงข้อใด ก. การคันหาข้อมูล ข. การค้นหาข้อเท็จจริง ค. การหาผลลัพธ์จากอินเทอร์เน็ต ง. การสืบเสาะค้นหาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะได้รับค าตอบในรูปของบรรณานุกรม 2. ค าว่า "การสืบคันข้อมูล" หมายถึงข้อใด ก. เครื่องคอมพิวเตอร์ ข. เครื่องมือช่วยคัน ค. เครื่องมือหรือเว็บไซต์ที่อ านวยความสะดวกในการสืบคัน ง. เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ สแกนเพื่อท าแบบทดสอบ


3. โปรแกรมค้นหาข้อมูล (Search Engine) หมายถึงข้อใด ก. เครื่องมือช่วยค้น ข. การค้นหาข้อเท็จจริง ค. เครื่องมือหรือเว็บไซต์ที่อ านวยความสะดวกในการสืบต้น ง. การหาผลลัพธ์จากอินเทอร์เน็ต 4. โปรแกรมค้นหาข้อมูล (Search Engine) แบ่งออกเป็นกี่ประเภท ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท 5. วิธีการใช้งานโปรแกรมค้นหาข้อมูล (Search Engine) ก. 6 วิธี ข. 5 วิธี ค. 4 วิธี ง. 2 วิธี 6.ข้อใดคือเทคนิคในการค้นหาข้อมูล ก. การค้นหาจากเว็บไซด์ ข. ปีบประเด็นให้แคบลง ค. การน าเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ง. การใช้เว็บไซด์ที่ทันสมัย


7.เครื่องมือช่วยค้นแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ก. 3 ประเภท ข. 5 ประเภท ค. 6 ประเภท ง. 4 ประเภท 8. Meta Search Engine คือข้อใด ก. การใช้เว็บไซด์ที่ทันสมัย ข. การค้นหาจากเว็บไซด์ ค. การน าเทคโนโลยีมาใช้ ง. เป็นเครื่องมือสืบคันที่ไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง 9. ข้อใดคือเทคนิคพื้นฐานในการคันหาสารสนเทศ ก. การน าเทศโนโดยีมาใช้ ข. สิ่งที่ก าลังคันคืออะไร ค. การค้นหาจากเว็บไซด์ ง. การใช้เว็บไซต์ที่ทันสมัย 10. การสืบค้นชั้นสูง (Advanced Search) เป็นการสืบค้นแบบใด ก. การน าเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ข. การค้นหาข้อเท็จจริง ค. การสืบคันข้อมูลที่เจาะจงมากขึ้น ง. การคิดว่าสิ่งที่ก าลังค้นคืออะไร


หน่วยที่ 5 การขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 5.1 ความหมายของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 5.2 ประเภทของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 5.3 กระบวนการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 5.4 ประโยชน์และข้อจ ากัดของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 5.5 สินค้าที่เหมาะกับการขายบนอินเทอร์เน็ต การด าเนินกิจการการค้าชาย ที่ใช้เครื่องมือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วย ทั้งในรูปแบบข้อความ ภาพและ เสียง รวมถึงการค าขายสินค าและบริการ การชนส่งผลิตภัณฑ์หรือการผลิตที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลการท า ธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมาตั้งแต่ยุค ATM เพียงน าบัตร ATM ไปท าธุรกรรมในจุดที่ให้บริการก็สามารถโอน เงินเพื่อช าระสินค าบริการต่าง ๆ ได้ และในปัจจุบัน มีการช าระเงินผ่านบัตรเงินสด บัตรเครดิตหรือช าระเงินผ่าน โทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะที่นิยมมากในขณะนี้คือการซื้อขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตซึ่งผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มี อ านาจในการเลือกตัดสินใจซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก แสดงความรู้เกี่ยวกับการขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ต (E-commerce) หัวข้อเรื่อง (Topies) แนวคิดส าคัญ (Main Idea) สมรรถนะย่อย (Element of Competency)


1. บอกความหมายของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตได้ 2. บอกประเภทรองการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตได้ 3. บอกประโยชน์ของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตให้ 4. บอกข้อดีและข้อเสียของการขายสินค าและบริการบนอินเทอร์เน็ตได้ 5.1 ความหมายของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต E-Commerce หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การด าเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้วางไว้ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะ เป็นโทรศัพท์ โททัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพ ขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ท าเลที่ตั้งอาคาร สถานประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะน าสินค้าพนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น ท าให้สามารถประหยัดค า ใช้จ่ายการเดินทาง ลดข้อจ ากัดของระยะทาง และเวลาลงได้ E-Commerce เริ่มขึ้นบนโลกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2513 ซึ่งได้มีการเริ่มใช้ระบบโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ อีเอฟที (EFT = Electronic Fund Transfer) ขณะนั้นมีเพียงบริษัทขนาดใหญ่และสถาบันการเงินที่ได้ใช้งาน ต่อมามี ระบบการส่งเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีดีไอ (EDI = Electronic Data Interchange) สามารถช่วยขยายการ ส่งข้อมูลจากเดิมที่เป็นข้อมูลทางการเงินอย่างเดียว เป็นการส่งข้อมูลแบบอื่นเพิ่มขึ้น เช่น การส่งข้อมูลระหว่างสถาบัน การเงินกับผู้ผลิต หรือผู้ค้าส่งกับผู้ค้าปลีก จากนั้นก็มีการซื้อขายหุ้นจนไปถึงระบบที่ช่วยในการส ารองที่พัก และมาถึง พ.ศ. 2533 เป็นปีที่เริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเพราะคนส่วนใหญ่เริ่มใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้นและเริ่ม แพร่หลายจนถึงปัจจุบัน E-Commerce ช่วยอ านวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน ดังนี้ 1. ไม่ต้องจ้างพนักงานขาย โดยสามารถท าการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) เนื้อหาสาระ (Content)


2. สามารถเปิดหน้าร้านขายของให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด24 ชั่วโมง เช่น การขายโดยใช้ระบบ Shopping Cart ท าให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เองตลอดเวลาผ่านเว็บไซต์ 3. สามารถเก็บเงิน และน าฝากเข้าบัญชีให้เจ้าของธุรกิจได้โดยอัตโนมัติ 4. ท าให้ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยไม่ต้องจัดท าเอกสารแนะน าสินค้าในการจัดส่งข้อมูล ข่าวสารไปยังลูกค้าทาง ไปรษณีย์ รูปที่ 5.1 E-Commerce กับการท าธุรกิจ 5. สามารถออกแบบและเปิดหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Boot) แสดงสินค้าของที่มีคนทั่วโลกมองเห็น โดยไม่ต้องเสียค าเครื่องบินไปออกงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ 6.เป็นการสร้างศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจภายในของสถานประกอบการได้อีกมากมาย รูปที่ 5.2 E-Commerce ช่วยอ านวยความสะดวกให้นักธุรกิจ (ที่มา : https:/www.chiangmainews.co.th)


5.2 ประเภทของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 5.2.1 แบ่งตามลักษณะประเภทผู้ซื้อและผู้ขายสินค้า ได้แก่ 1. ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีกหรือบีทูซี(8-10-C = Business-to-Consumer) คือ ประเภทที่ผู้ซื้อปลีกใช้อินเทอร์เน็ต ในการซื้อสินค้าจากธุรกิจที่โฆษณาอยู่ในอินเทอร์เน็ต 2. ธุรกิจกับธุรกิจหรือบีทูบี(8-1o-B = Business-to-Business) คือ ประเภทที่ธุรกิจกับธุรกิจติดต่อซื้อขาย สินค้ากันผ่านอินเทอร์เน็ต 3. ธุรกิจกับรัฐบาลหรือบีทูจี่ (B-to-G = Business-to-Govemment) คือ ประเภทที่ธุรกิจติดต่อกับหน่วย ราชการ 4. รัฐบาลกับรัฐบาลหรือจีทูจี(G-to-G = Government to Government) คือ ประเภทที่หน่วยงาน รัฐบาลหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลอีกหน่วยงานหนึ่ง 5. ผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือซีทูซี(C-to-C = Consumer-to-Consumer) คือ ประเภทที่ผู้บริโภคประกาศ ขายสินค้าแล้วผู้บริโภคอีกรายหนึ่งก็ซื้อไป เช่น ที่อีเบย์ดอทคอม (Ebay.com) เป็นต้นซึ่งผู้บริโภคสามารถจ่ายเงินให้ กันทางบัตรเครดิตได้ 5.2.2 แบ่งตามประเภทสินค้า ได้แก่ 1. สินค้าดิจิทัล เช่น ซอฟต์แวร์ เพลง วิดีโอ หนังสือดิจิทัล เป็นต้น ซึ่งสามารถส่งสินค้าได้โดยผ่าน อินเทอร์เน็ต 2. สินค้าที่ไม่ใช่ดิจิทัล เช่น สินค้าหัตถกรรม สินค้าศิลปะชีพ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มเครื่องหนัง เครื่องประดับ เครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งต้องส่งสินค้าทางพัสดุภัณฑ์ ผ่านไปรษณีย์หรือบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์


5.3 กระบวนการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต กระบวนการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต มีขั้นตอนส าคัญ ดังนี้ 5.3.1 การค้นหาข้อมูล ขั้นตอนแรกของการซื้อสินค้าเป็นการค้นหาข้อมูลสินค้าที่ต้องการ แล้วน าข้อมูลแต่ละร้านมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบกัน โดยใช้เว็บไซต์ที่นิยม หรือ Search Engines เช่น http:/www.google.com เป็นต้น 5.3.2 การสั่งซื้อสินค้า เมื่อลูกค้าเลือกสินค้าที่ต้องการแล้ว จะน ารายการที่ต้องการเข้าสู่ระบบตะกร้า และจะมีการค านวณ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนรายการและปริมาณที่สั่งได้ 5.3.3 การช าระเงิน เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าที่ต้องการแล้ว ในขั้นถัดมาจะเป็นการก าหนดวิธีการช าระเงิน โดยขึ้นอยู่กับ ความสะดวกของลูกค้าว่าจะเลือกวิธีไหน 5.3.4 การส่งมอบสินค้า เมื่อลูกค้าก าหนดวิธีการช าระเงินเรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่วิธีเลือกส่งสินค้า ซึ่งการส่งมอบสินค้าอาจจะจัดส่ง ให้ลูกค้าโดยตรง การใช้บริการบริษัทขนส่งสินค้า หรือส่งผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่นการดาวน์โหลดเพลง เป็นต้น 5.3.5 การให้บริการหลังการขาย หลังจากเสร็จสิ้นการสั่งสินซื้อแต่ละครั้ง ร้านค้าต้องมีบริการหลังการขายให้กับลูกค้าซึ่งอาจจะเป็นการ ติดต่อกับลูกค้าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น อีเมล์ เว็บบอร์ด รูปที่ 5.3 กระบวนการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต


5.4 ประโยชน์และข้อจ ากัดของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 5.4.1 ประโยชน์ของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต 1. ประโยชน์ของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตต่อบุคคล (1) มีสินค้าและบริการราคาถูกจ าหน่าย (2) ท าให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น สามารถท าธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง (3) ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว (4) ท าให้ลูกค้าสมารถเลือกสินค าตรงตามความต้องการมากที่สุด (5) สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง (6) ท าให้ลูกค้าสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกค ารายอื่นได้ (7) ท าให้เกิดการเชื่อมโยงการค าเงินงานภายในโซมูลค่า (Valve Chain Integration) 2. ประโยชน์ของการขายสินค าและบริการบนอินเทอร์เน็ตต่อองค์กรธุรกิจ (1) ขยายตลาดในระดับประเทศและระดับโลก (2) ท าให้ปริการถูกค้าได้จ านวนมากทั่วโลกด้วยตันทุนที่ต่ า (3) ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวล การกระจ่าย การเก็บ และการดึงข้อมูลได้ถึงร้อย ละ 90 (5) ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถแข่งชันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้ (6) ท าให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 3. ประโยชน์ของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตต่อสังคม (1) หลายอาชีพสามารถท างานที่บ้านได้ ท าให้มีการเดินทางน้อยลง ลดการจราจรที่ติดรัดให้น้อยลง ลดปัญหามลพิษทางอากาศ


(2) ท าให้มีการซื้อขายสินค้าราคาถูกลง เพราะทุกคนสามารถยกระดับมาตรฐานการขายสินค้าและ บริการได้ 4. ประโยชน์ของการขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตต่อระบบเศรษฐกิจ (1) กิจการ SMES ในประเทศก าลังพัฒนา ท าให้ได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางในระดับ โลก (2) ท าให้กิจการในประเทศก าลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ (3) บทบาทของพ่อค้าคนกลางสดลง ตันทุนการซื้อข่ายลดลง ผู้ขายสามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น (4) ท าให้ประชาชนในชนบทสามารถหาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับคนในเมือง (5) เพิ่มความเข้มชันของการแช่งชัน เกิดความหลากหลาย เกิดประโยชน์ศอผู้ปริโภค สรุปประโยชน์ของ E-Commerce 1. เป็นการค าที่ไว้พรมแดน ไม่มีการแบ่งทวีปหรือประเทศ ไม่มีข้อจ ากัดในเรื่องระยะทางและการเดินทางทุก คนสามารถที่จะซื้อสินค าจากร้านหนึ่ง และเดินทางไปซื้อสินค้าจากร้านอีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่คนละทวีปได้ในเวลาเพียง ไม่กี่นาที 2. เข้าถึงกลุ่มลูกค าเป้หมายขนาดใหญ่ทั่วโลก ฐานผู้ซื้อขยายกว้างขึ้น 3. สามารถท าการค้าได้คลอด 24 ชั่วโมง และเปิดได้ทุกวันโดยไม่วันหยุด 4. ไม่มีความจ าเป็นต้องจ้างพนักงานขาย เพราะ E Commerco จะท าการค้าให้อัตโนมัติโดยไม่ต้องมีสินค้า คงคลังเก็บไว้มาก หรือมีส าหรับไว้ขายเท่านั้น 5. ไม่ต้องเสียค าใช้จ่ายในการสร้างตึกแถวหรืออาคาร เพื่อใช้เป็นร้นค้า เพียงแค่สร้างเว็บไซต์ก็เปรียบเสมือน ค้า และสามารถท าการค้าได้แล้ว ไม่ต้องเสี่ยงกับท าเลที่ตั้งของร้านค้าอีกด้วย 6. E-Commerce สามารถเก็บเงิน และน าเงินฝากเข้าบัญชีให้โดยอัตโนมัติ


5.4.2 ข้อจ ากัดของ E-Commerce 1. ข้อจ ากัดต้านเทคนิค (1) ชาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้นภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ (2) ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจ ากัด (3) ซอฟต์แวร์ยังก าลังอยู่ระหว่างการพัฒนา (4) ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ของ E-Commerce กับแอปพลิเคชัน (5) ต้องการเว็บเซิร์ฟเวอร์ และเน็ตเวิร์กเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ (6) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาแพงและไม่สะดวก 2. ข้อจ ากัดด้านกฎหมาย (1) กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการท าธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน และมี ลักษณะที่แตกต่างกัน (2) การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์หรือลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่ (3) ปัญหาเกิดจากการทางธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะแตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่ 3. ข้อจ ากัดต้านธุรกิจ (1) วงจรผลิตภัณฑ์ (Product Lifte Cycle) จะสั้นลง เพราะการเข้าถึงข้อมูลท าได้ง่ายและรวดเร็ว การ ลอกเลียนผลิตภัณฑ์จึงท าได้รวดเร็วเช่นกัน เกิดคู่แข่งเข้ามาในตลาดได้ง่าย จึงต้องมีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เสมอ (2) ความพร้อมของภูมิภาคต่าง ๆ ในการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของE-Commerce มี ไม่เท่ากันภาษีและค่าธรรมเนียม จาก E-Commerce จัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมาย (3) ต้นทุนในการสร้าง E-Commerce ครบวงจรค่อนข้างสูง ทั้งค่าฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ การจัดการระบบเครือข่าย ตลอดจนค่าจ้างบุคลากร


(4) ประเทศก าลังพัฒนาต้องลงทุนทางค้านเทคโนโลยีสูงมากในโครงสร้างพื้นฐาน (5) เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ท าให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย เนื่องจากการใช้เงินสดอิเล็กทรอนิกส์จะท าให้การ ตรวจสอบที่มาของเงินท าได้ยาก 4.ข้อจ ากัดอื่นๆ (1) การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ตมีมากมาย และมีการขยายตัวเร็วมากกว่าการพัฒนาของ อินเทอร์เน็ตเสียอีก (2) สิทธิส่วนบุคคล (Privacy) ระบบการจ่ายเงิน หรือการให้ข้อมูลของลูกค้าทางอินเทอร์เน็ตท าให้ผู้ขาย ทราบว่าผู้ซื้อเป็นใคร และสามารถใช้ซอฟต์แวร์ติดตามกิจกรรมต่าง ๆ หรือส่ง Spam ไปรบกวน (3) E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเอถือไว้ใจได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย รวมทั้งหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง (4) ยังไม่มีการประเมินผลการด าเนินงานหรือวิธีการที่ดีของ E-Commerce เช่น การโฆษณาผ่านทาง ECommerce ว่าได้ผลเป็นอย่างไร (5) จ านวนผู้ซื้อ/ขาย ที่ได้ก าไรหรือประโยชน์จาก E-Commerce ยังมีจ ากัด โดยเฉพาะ ในประเทศไทย และการใช้ E-Commerce ในการซื้อ/ขายสินค้ายังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก สรุปข้อจ ากัดของ E-Commerce 1. ความเสี่ยงจากการที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับการค้าแบบ E-Commerce เพราะฉะนั้นควรเขียนค า บรรยายถึงขอบเขตในการรับผิดชอบของที่มีต่อลูกค้าให้ชัดเจน เช่น ซื้อสินค้าแล้วไม่รับคืนจะต้องแจ้งลูกค้าให้เข้าใจ ชัดเจน 2. ไม่มีการก าหนดมาตรฐานในด้านภาษีเนื่องจากยังไม่มีกฎหมายมารองรับ ปัญหาในการจัดส่งสินค้าที่ไม่ สะดวกรวดเร็ว หรือสินค้าช ารุดเสียหาย ซึ่งได้แก่ พวกสินค้าที่เป็นของสด เช่น อาหาร หรือ ดอกไม้ สินค้าเหล่านี้อาจ เสียหาย หรือเสื่อมสภาพ เน่าเสีย จากระยะเวลาในการขนส่งได้ 3. ปัญหาจากการขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อัญมณีต่าง ๆ บริษัทขนส่งส่วนใหญ่ไม่ยินดีที่จะรับส่งของ เหล่านี้ เนื่องจากมีโอกาสสูญหายได้ง่าย 4. ปัญหาการทุจริตฉ้อโกง เช่น การปลอมแปลงบัตรเครดิต


5. ไม่สามารถตรวจสอบผู้ขายได้ว่าเป็นผู้ประกอบการที่ปฏิบัติธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และ น่าเชื่อถือเพียงใด 6. ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าการท าสัญญาซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ 7. ไม่สามารถตรวจสอบลูกค้าได้ว่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกับที่แจ้งสั่งซื้อสินค้าหรือไม่ นั่นคือผู้ขายไม่มั่นใจ ว่า ผู้ซื้อมีความสามารถจ่ายเงินค าสินค้าหรือบริการหรือไม่ รูปที่ 5.4 แสดงตัวอย่างเว็บไซต์ E-Commerce ในไทย (ที่มา : https://www.tarad.com) 5.5 สินค้าที่เหมาะกับการขายบนอินเทอร์เน็ต 5.5.1 สินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาด หากสามารถหาแหล่งสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาด นั่นหมายถึงความได้เปรียบการขายเพราะด้วยราคาที่ ถูกกว่า นั่นจะช่วยท าให้ผู้ซื้อสนใจและจดจ าร้านค้าได้ รวมถึงการบอกต่อไปยังคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย แต่หากขายสินค้า ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์เป็นหลัก ก็สามารถลดต้นทุนไปได้มาก 5.5.2 สินค้าเฉพาะกลุ่ม สินค้าเฉพาะกลุ่ม อย่างเช่น สินค้าส าหรับคนอ้วน สินค้าส าหรับคนท้อง สินค้าส าหรับแม่สินค้าส าหรับ เจ้าสาว-คู่แต่งงาน สินค้าส าหรับเพศที่สาม เป็นต้น การจับกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่ม จะท าให้สามารถเจาะและเข้าถึง ลูกค้าเฉพาะได้ง่ายมาก โอกาสการขายก็มีมากกว่าการที่ไปเปิดเว็บไซต์ขายของเลียนแบบคนอื่น


5.5.3 สินค้า "ไม่" ยอดนิยม สินค้าที่ "ไม่ค่อยนิยม" ลองมาขายดู เช่น เปิดเว็บไซด์ ขายเทปเพลงเก่า พระเครื่อง รุ่นที่ไม่ค่อยมีคนนิยม อาจจะท าให้เว็บไซต์เป็นของเด่น หรือแปลก เป็นที่รู้จักได้ง่าย 5.5.4 สินค้าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน บางอย่างผู้ซื้อไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เพราะอาจจะมีความอาย หรือไม่ต้องหรือเห็นหน้า ดังนั้น การซื้อ ผ่านเว็บไซต์ หรืออินเทอร์เน็ต ดูจะเป็นช่องทางที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ในการสื่อสินค้าลักษณะนี้ เช่น ถุงยางอนามัย อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ ชุดชั้นใน Sexy เป็นตัน 5.5.5 สินค้ามีสไตล์เฉพาะตัว (Unique) ผ้า ลายผ้า ที่มีดีไซน์เฉพาะตัว สินค้าแฮนด์เมดประเภทต่าง ๆ แต่ต้องสร้างความมั่นให้กับลูกค้าว่าสินค้า ของเป็นของดี มีคุณภาพ เพราะสินค้าลักษณะนี้ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะไม่รู้จักมาก่อนหรือไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ควรให้ รายละเอียดสินค้าที่เพียงพอ ครบถ้วน 5.5.6 สินค้าที่มีน้ าหนักเบา การขายสินค้าที่มีน้ าหนักเบา จะได้มีความได้เปรียบในด้านการส่งสินค้าให้ลูกค้า เพราะจะส่งได้ง่ายกว่า ประหยัดกว่า เช่น ขายแสตมป์เป็นชุด บางชุดมีราคาหลายพันบาท ส่งง่ายเพราะแค่สอดเข้าของจดหมายก็ส่งได้แล้ว ดังนั้น สินค้าบางอย่างที่มีน้ าหนักเบา มีราคาสูง ก็อาจจะช่วยท าให้การค้าขายก าไรได้มาก แต่ต้องให้ความส าคัญกับ การขนส่งสินค้าที่มีการลงทะเบียนช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ 5.5.7 สินค้าที่มีเรื่องราว สินค้าหรือของที่มีเรื่องราว มีประวัติประกอบด้วย จะท าให้สินค้าชิ้นนั้น ๆ มีความน่าสนใจมากขึ้น เช่น เครื่อง ปั้นดินผา แต่ต้องให้ข้อมูลและประวัติของเครื่องปั้นดินเผาแต่ละชุดที่ขาย ซึ่งจะท าให้เครื่องปั้นดินเผาอันนี้มีมูลค า มากกว่าเครื่องปั้นดินเผาธรรมดาที่ขายอยู่ทั่วไป 5.5.8 สินค้าที่หายาก สินค้าที่หายาก เช่น พระเครื่องเก่า ๆของเก่า-ของสะสม เหรียญเก่า ๆ หนังสือพิมพ์เก่านิตยสารเก่า ประเภท ต่าง ๆ เป็นต้น


การสั่งซื้อสินค าและบริการ จากการส ารวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ประจ าปีพ.ศ. 2560 โดย ส านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ. หรือ ETDA) จากรายงานผลการส ารวจพฤติกรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2560 ในเรื่องการซื้อสินค าและ บริการที่สั่งซื้อฝานทางอินเทอร์เน็ต ปรากฏว่ามีการสั่งซื้อสินค าแฟชั่นเครื่องแต่งกายผ่านทาง ออนไลน์สูงถึง 44% ในขณะที่สุขภาพและความงาม 33. 7% มีการสั่งซื้ออุปกรณ์ไอทีถึง 26.5% นอกจากนี้ ยังมีสินค าที่สั่งซื้อทางออนไลน์อื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ภายในบ้าน สั่งอาหารออนไลน์ การเดินทางท่องเที่ยว ความบันเทิงต่าง ๆ การดาวน์โหลด ซุปโภคบริโภค อัญมณี เครื่องประดับ การเงินการลงทุน เป็นต้น รูปที่ 5.5 ร้อยล่ะของผู้ที่เคยซื้อสินค้า/บริการทางออนไลน์ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เปรียบเทียบตามประเภทของสินค้า/บริการ (ที่มา : ส านักยุทธศาสตร์ ส านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, 2560 : 89) และจากรายงานผลการส ารวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 เกี่ยวกับการซื้อสินค้า และบริการผ่านอินเทอร์เน็ต ในปี พ.ศ. 2561 คิดเป็น 51.3% เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2560 ที่มีการซื้อสินค้าและบริการ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต คิดเป็น 50.8%


แบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 5 การขายสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต ค าชี้แจง ให้นักเรียนท าเครื่องหมายกากบาท (X ทับข้อที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึงข้อใด ก.การพาณิชย์ที่ใช้การสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ข. การพาณิชย์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลยุทธ์การซื้อเท่านั้น ค. การพาณิชย์ที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์กระจายสินค้าในตลาดอุตสาหกรรม ง. การพาณิชย์ที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์กระจายสินค้าในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค 2. สื่อกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในข้อใดที่ส าคัญในปัจจุบัน ก. จานรับดาวเทียม ข. โทรศัพท์มือถือ ค. โทรทัศน์ ง.อินเทอร์เน็ต 3. ข้อใดเป็นขั้นตอนแรกของการซื้อขายแบU E - Commerce ก. เลือกผู้จ าหน่ายสินค้า ข. เลือกสินค้า ค. เลือกราคา ง.เลือกความต้องการของผู้ขาย สแกนเพื่อท าแบบทดสอบ


4. นายวิษณุขายรถยนต์ให้นายวิรัตน์ไปใช้ขับเอง โดยขายผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นลักษณะการค้าในข้อใด ก.. B to B ข. B to C ค.c to c ง. C to B 5. ข้อใดเป็นพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบ G to C ก. การเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต ข. การเสียภาษีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ค. การเสียภาษีที่เขตบึงกุ่ม ง. การฝากเพื่อนเสียภาษีที่กรมสรรพากร 6. การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบใด ก.B to B ข. B to C ค. B to G ง. G to C 7. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการท าธุรกิจ Electronic Commerce ก. B2B ข. b-to-C ค. Business to Government ง. เกี่ยวข้องทุกข้อ 8. Electronic Commerce ถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งของข้อใด ก. Electronic Business ข. IGN ค.Electronic Marketing ง. Electronic Book


9. การออกแบบเว็บไซไม่จ าเป็นต้องค านึงถึงปัจจัยใด ก.เนื้อหามีประโยชน์ ข. แสดงผลได้รวดเร็ว ค. มีผลตอบแทนค่อนข้างสูง ง. มีความชัดเจน 10. ข้อใดเป็นการช าระเงินผ่านทางระบบออนไลน์ ก. True Wallet ข. Payza ค. Paypal ง. ถูกทุกข้อ


Click to View FlipBook Version