หน่วยที่ 6 การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่องานธุรกิจ 6.1 การใช้อินเทอร์เน็ตในงานธุรกิจ 6.2 วัตถุประสงค์ของการน าอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานอุกิจ 6.3 ลักษณะของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 6.4 ประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 6.5 การให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่องานธุรกิจ การน าอินเทอร์เน็ตเข้ามามีส่วนร่วมในงานธุรกิจจะช่วยสนับสนุนการท างานของพนักงานให้ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยให้การสื่อสารมีความสะดวกและรวดเร็ว และลดต้นทุนด้านการสื่อสาร การใช้อินเทอร์เน็ตในงานธุรกิจ เป็นสื่อกลางทางการค้าที่ทันสมัย ท าให้ธุรกิจสามารถแช่งชันกับธุรกิจอื่นได้โดย สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า ซึ่งสามารถเข้าถึงระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระบบเครือข่ายได้ โดยตรง ประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่องานธุรกิจ หัวข้อเรื่อง (Topics) แนวคิดส าคัญ (Main Idea) สมรรถนะย่อย (Element of Competency)
1. อธิบายการน าอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานธุรกิจได้ 2. บอกวัตถุประสงค์ของการน าอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานธุรกิจได้ 3. บอกลักษณะของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ 4. บอกประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ 5. ยกตัวอย่างการให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่องานธุรกิจได้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives)
6.1 การใช้อินเทอร์เน็ตในงานธุรกิจ 6.1.1 ความหมายของธุรกิจ ธุรกิจ (Business) หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ท าให้การผลิตสินค้าและบริการ มีการซื้อชายแลกเปลี่ยน มี การจ าหน่าย มีการกระจายสินค้า และมีประโยชน์ คือ ได้ก าไรจากสินค้านั้นการด าเนินธุรกิจ หมายถึง การท ากิจกรรม ใด ๆ ที่ท าให้เกิดสินค้าหรือบริการ แล้วมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน และมีวัตถุประสงค์ที่จะรับประโยชน์จากสินค้านั้น ๆ โดยผ่านช่องทางการจ าหน่าย ในรูปแบบของร้านค้า ฝากขาย และด าเนินธุรกิจผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รูปที่6.1 การด าเนินธุรกิจผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (ที่มา:http://5822011105.blogspot.com/2015/11/) 6.1.2 ความส าคัญองการน าอินเทอร์เน็ตมาใช้งานธุรกิจด้านต่างๆ มีดังนี้ 1.ด้านธุรกิจการศึกษา (Education) ได้แก่ 1.การเรียนรู้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 2.การรับสมัครนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียน 3.การดูผลการเรียน เนื้อหาสาระ
รูปที่ 6.2 การน าอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงาน (ที่มา : https:/www.google.com/search?9=การเรียนออนไลน์) 2. ด้านธุรกิจการเงินและการธนาคาร (Finance) ได้แก่ (1) การให้บริการกับลูกค้าด้านการเงิน (2) การฝากเงิน การโอนเงิน และการถอนเงิน (3) การช าระค่าบริการต่าง ๆ รูปที่ 6.3 การใช้อินเทอร์เน็ตด้านธุรกิจการเงินและการธนาคาร (Finance) (ที่มา : https://mgronline.com/onlinesectior/detail/9610000103639) 3. ด้านธุรกิจโรงแรม (Hotel) ได้แก่ (1) การเข้าไปดูรายละเอียดสถานที่พัก (2) การสั่งจองที่พัก (3) การบันทึกข้อมูลการเข้าพัก และการแจ้งเตือนห้องพักของลูกค้า (4) การช าระค่าห้อง
รูปที่ 6.4 การใช้อินเทอร์เน็ตด้านธุรกิจโรงแรม (Holel) (ที่มา : http://www.2madames.com/bookin) 4. ด้านธุรกิจสายการบิน (Airway) ได้แก่ (1) การตรวจดูตารางการบิน (2) การยกเลิกเที่ยวบิน (3) การจองตั๋วเครื่องบิน (4) การส ารองที่นั่งล่วงหน้า รูปที่ 6.5 การใช้อินเทอร์เน็ตด้านสายการบิน (Airway) (ที่มา : https:/wwww.traveloka.com/th-th/airasia?id=)
5. ด้านธุรกิจการแพทย์ (Medical Profession) ได้แก่ (1) การให้บริการทางด้านการแพทย์ (2) การค้นหาประวัติของคนไข้ (3) การวินิจฉัยโลก (4) การเอกซเรย์ (5) การช าระเงินค่ารักษาพยาบาล รูปที่ 6.6 การใช้อินเทอร์เน็ตด้านการแพทย์ (Medical Profession) (ที่มา : https:/www.google.com/search?a =อินเทอร์เน็ตด้านการแพทย์) 6. การน าอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานทางด้านธุรกิจบันเทิง ได้แก่ (1) การดูตารางการฉายภาพยนตร์ (2) การจองตัวชมภาพยนตร์ล่วงหน้า (3) การนายภาพยนตร์ตัวอย่าง (4) การฟังเพลงและการดูละครย้อนหลัง รูปที่ 6.7 การใช้อินเทอร์เน็ตจองตั๋วชมภาพยนตร์ (ที่มา : http://www.majorcineplex.com/news/how-to-buy)
รูปที่ 6.8 การใช้อินเทอร์เน็ตจองตั๋วชมคอนเสร์ต 7. ด้านธุรกิจการสื่อสาร (Communication) ได้แก่ (1) การรับ-สงจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (2) การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการสื่อสาร รูปที่ 6.9 การใช้อินเทอร์เน็ตด้านธุรกิจการสื่อสาร (Communication) (ที่มา : https/www.google.com/search?q=ธุรกิจด้านการสื่อสาร 8. ด้านธุรกิจตลาดหลักทรัพย์(Stock Exchange) ได้แก่ (1) การดูข้อมูลการซื้อ-ขายหุ้น (2) การดูสถิติการขึ้น-ลงของหุ้น
รูปที่ 6. 10 การใช้อินเทอร์เน็ตด้านธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ (Stock Exchange) (ที่มา : https://www.set.or.th/set/education/html.do?m=name{=stock&showTite=F) 9. ด้านธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ (Printing Media) ได้แก่ (1) การดูข้อมูลข่าวสารประจ าวัน (2) การส่งรูปภาพหรือข่าวสารให้ส านักงานข่าว รูปที่ 6.11 การใช้อินเทอร์เน็ตด้านธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ (Pinting Media) (ที่มา : https:/www.matichon.co.th/prachachuen/news_540120)
6.2 วัตถุประสงค์ของการน าอินเทอร์เน็ตมาใช้ในงานธุรกิจ 6.2.1 เพื่อให้ธุรกิจของตนเองพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าทางอินเทอร์เน็ต อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตจากผู้คนนับหลายล้านทั่วโลก และนับวันจะเพิ่มปริมาณขึ้นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ ประกอบธุรกิจทังหลายไม่ควรมองข้าม เนื่องจากช่องทางอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางขนาดใหญ่ที่สมารถเข้าถึงผู้บริโภค ได้โดยตรง มีต้นทุนประหยัด ที่ส าจ ากัดเรื่องสถานที่และเวลา ดังนั้น บริษัทต่าง ๆ ที่รู้จักคุณประโยชน์ข้อนี้ในการ พัฒนาธุรกิจของตนเองย่อมจะได้เปรียบคู่แข่งทางธุรกิจ 6.2.2 เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเครือข่ายของธุรกิจ ในการด าเนินธุรกิจการค้า การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจของตนเอง ไม่ว่าลูกค้า ผู้ขาย วัตถุดิบ หรือผู้ให้บริการด้านต่าง ๆ แก่บริษัท เป็นสิ่งที่มีความส าคัญมากวิวิหนึ่งที่นักธุรกิจใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ และเครือข่ายทางธุรกิจของตนเองข้องคือ การให้นามบัตรแบบทั่วไป (Business Card) โดยให้ข้อมูลว่าตนเองเป็นได้ ขายสินค้า/ให้บริการอะไร แต่ในนามบัตรของนักธุรกิจที่มีเว็บไซต์ของตนเองนั้นจะบอกที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตท าให้ผู้ที่มี ความสนใจในบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในของบริษัท คือ www.company-name.comต่างประเทศ สามารถดู ข้อมูลของบริษัท สินค้า หรือบริการได้อย่างสะดวก และติดต่อสื่อสารกับบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถติดต่อ ได้ทุกวันทุกเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะท าให้บริษัทมีโอกาสขยายเครือข่ายของธุรกิจได้มากขึ้นอีกด้วย 6.2.3เพื่อให้ข้อมูลของบริษัทพร้อมให้ลูกค้าเข้ามาค้นหาได้ การเผยแพร่ข้อมูลธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลบริษัทได้และท าธุรกิจกับตนเองโดยทั่วไป มักจะ ลงโฆษณาในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง หรือ Directoryต่าง ๆ ซึ่งให้ข้อมูลของบริษัท อาทิชื่อ ที่อยู่ เวลา ด าเนินการ สินค้า หรือบริการ ในพื้นที่โฆษณาที่จ ากัด และข้อมูลอาจไม่ทันสมัย ตามสถานการณ์ของบริษัท แต่ในระบบ อินเทอร์เน็ตธุรกิจลูกค้าสามารถเข้ามาคันหาข้อมูลของบริษัทได้อย่างจ าหน่ายดาย สามารถโฆษณา สินค้าหรือบริการ ได้มากเท่าที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังสามารถปรับปรุงข้อมูลให้อาทิการเสนอลดพิเศษส าหรับ ลูกค้าวันนี้ หรือสัปดาห์นี้ การจัดรายการพิเศษเพื่อส่งการขาย เช่น การตอบปัญหา หรือการร่วมเล่นเกมต่าง ๆ ที่จูงใจลูกค้า ซึ่งหากบริษัทมี โอกาสให้ข้อมูลล่านี้แก่ลูกค้า จะมีส่วนช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ของบริษัทได้มากขึ้น
6.2.4 เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้า ด้วยคุณสมบัติของระบบคอมพิวเตอร์ (Hardware & Software) และคุณสมบัติของเครือข่ายท าให้หลาย ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบที่ให้ลูกค้าหาสินค้าและข้อมูลของ สินค้าทีต้องการจาก ฐานข้อมูลสินค้าของธุรกิจ รวมทั้งวิธีการและเงื่อนไขต่าง ๆ ด้วยตนเองตลอดเวลา ท าให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการ ตัดสินใจเลือกซื้อบริการที่ตรงตามความต้องการ เช่น สินค้าราคาเท่าไหร่มีจ านวน มากน้อยเพียงใด จะจัดส่งให้โดยใช้ จ่ายในการจัดส่งเท่าไร จะได้รับสินค้าเมื่อไร จะช าระเงินโดยวิธีใด มีข้อควรระวังลูกค้ายังสามารถตรวจสอบได้อีกว่า สินค้าที่สั่งซื้ออย่างไร มีเงื่อนไขและส่วนลดพิเศษหรือไม่ ? นอกจากนั้นจะได้รับการจัดส่งเมื่อไหร่ อย่างนี้ เป็นต้น 6.2.5 ขยายผลและขอบเขตการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น ในยุคของการสื่อสารแบบไร้พรมแดน ท าให้ข้อมูลการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ของบริษัทจ่ายไปได้ทั่ว โลกภายในระยะเวลาอันสั้น ในขณะที่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วย สื่อๆ อาทินิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ จะจ ากัดอยู่ ในวงของผู้ที่เป็นสมาชิก หรือเครือข่ายการรับส่งของวิทยุ (จังหวัด) "โทรทัศน์ (ประเทศ) และยังถูก จ ากัดด้วยขนาด ของคอลัมน์ เวลาออกอากาศ (30 วินาที หรือ 1 นาที)ค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การใช้สื่อ อินเทอร์เน็ตจะท าให้ธุรกิจ สามารถเข้าสู่ตลาดและเจาะตลาดได้อย่างรวดง าและยังท าให้ผู้สนใจหรือลูกค้า สามารถเข้าไปดูข้อมูลรายละเอียด เพิ่มเติมจากเว็บไซด์ของบริษัทได้โดยตรงและหากมีข้อสงสัยหรือมีค าถามก็ สามารถติดต่อผ่านเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในต่างประเทศที่เห็นข้อความโฆษณาในนิตยสาร สมารถดูรายละเอียดจากเว็บไซต์ของบริษัท ได้ตามสะดวก 6.2.6 ขจัดปัญหาด้านเวลาด าเนินการของธุรกิจ เนื่องจากเวลาด าเนินการของส านักงานของบริษัททั่วไป คือ 8.00 - 17.00 น. แต่ในความเป็นจริง ยัง ไม่ เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ที่บางครั้งต้องการติดต่อ และขอบริการจากบริษัทนอกเวลาเปิดท ากา โดยเฉพาะ อย่างยิ่งบริษัทที่ท าธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่มีปัญหาเรื่องของเวลาท างานที่แตกต่างกัน ซึ่ง ระบบอินเทอร์เน็ต สามารถขจัดปัญหาดังกล่าวได้ โดยสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าผ่านระบบ อินเทอร์เน็ต อาทิ การตอบ ปัญหาเกี่ยวกับการใช้สินค้า การรับเรื่องร้องเรียนของลูกค้า (Electronic Mai) การสงเอกสารการซื้อ-ขายสินค้า เป็น ต้น ซึ่งระบบการแจ้งเตือนอีเมลผ่านโทรศัพท์มือถือจะท าไม่พลาดการ ติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหรือผู้ร่วมธุรกิจเลย โดย มีเว็บไซด์ของบริษัทเป็นศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารทั้งภายใน และภายนอกบริษัท
6.2.7 การขายสินค้าหรือบริการ อินเทอร์เน็ต นอกจากจะเป็นสื่อในการติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าแล้วช่องทางการตลาด และเป็น วิธีการในการขายสินค้าแก่ลูกค้าที่ครบทุกชั้นตอน ตั้งแต่การให้ค าแนะน าและให้ข้อมูลสินค้าแก่ลูกค้า การตกลง เงื่อนไขทางการค้า การต่อรองราคาสินค้า การเลือกวิธีการชนส่ง จนกระทั่วการช าระเงินสินค้าผ่าน ทางอินเทอร์เน็ต ด้วยบัตรเครดิตหรือระบบ Telebanking ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตถึงแม้ว่าการขายสินค้าสามารถจะกระท าได้โดยวิซีอื่น ๆ อาทิ การขายหน้าร้าน การขายผ่านไปรษณีย์ขายทางโทรศัพท์ การขาย แบบ Direct Sales ก็ตาม แต่วิธีการขาย ผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่น้อยที่สุด และมี โอกาสในการขยายตลาดได้มากที่สุด ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในการสื่อสารข้อมูลการค้าซึ่งกันและกัน 6.2.8 การน าเสนอข้อมูลของธุรกิจแบบ Multi-media ข้อดีของระบบอินเทอร์เน็ต ส าหรับบริษัทที่มีเว็บไซต์เป็นของตนเองสามารถน าเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ บริษัท สินค้า หรือบริการของบริษัทที่เตรียมพร้อมไว้ส าหรับลูกค้าที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของบริษัทที่เป็นตัวหนังสือ ภาพนิ่ง เสียง และภาพเคลื่อนไหวประกอบเสียงได้ตามสะดวก ท าให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลในส่วนที่ตัวเองสนใจเพื่อ เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกสินค้า หรือใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงตามความต้องการ อาทิ วีดีทัศน์น าเสนอคุณสมบัติของสินค้า ข้อมูล Multi-mediaแบบ Interactive ที่ช่วยลูกค้าเลือกซื้อสินค้าอย่าง เสื้อผ้า เพลง หนังสือ ของประดับตกแต่งบ้าน เป็นต้น 6.2.9 การเข้าสู่ตลาดที่ลูกค้ามีความต้องการบริโภคสินค้าสูง ( Highy Desirable Demographic Market) โดยส่วนใหญ่แล้วกลุ่มคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตจะเป็นกลุ่มคนที่มีเงินเดือนรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่มีอ านาจใน การซื้อ/บริโภคสินค้าค่อนข้างสูง และในอนาคตกลุ่มคนดังกล่าวจะเป็นผู้บริโภคที่มีความส าคัญมาก อีกทั้งยังมี พฤติกรรมการบริโภคที่จะใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางอย่างหนึ่งในการบริโภคสินค้า ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลของสินค้า บริการ การเปรียบเทียบ คุณสมบัติ ราคาสินค้าบริการของแต่ละบริษัท การซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต รวมถึงการ บริการหลังการขายทางอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆควรตระเตรียมความพร้อมและปรับปรุงช่องทางการท าธุรกิจ ประเภทนี้ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพื่อรักษาและ ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มสมรรถภาพการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคตต่อไป
6.2.10 การตอบค าถามของลูกค้าที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ (Frequently Asked Questions) ลูกค้าหรือผู้ท าธุรกิจร่วมกันของบริษัทต่าง ๆ มักจะมีค าถามเกี่ยวกับบริษัทหรือสินค้าที่เหมือนกัน เช่น บริษัทก่อตั้งเมื่อไร ใครเป็นผู้บริหาร/เจ้าของ มีวัตถุประสงค์ของบริษัทอย่างไร สินค้ามีคุณสมบัติอย่างไร มีวิธีใช้สินค้า อย่างไร เมื่อสินค้าเสียหายจะติดต่อใคร จะซ่อมแซมสินค้าได้ที่ไหน สินค้ามีอายุการใช้งานนานเท่าไร จะซื้อสินค้าได้ที่ ไหนบ้าง ฯลฯ ซึ่งพนักงานที่มีหน้าที่ตอบค าถามเหล่านี้ จะต้องใช้ลามากกับการตบค าถามประเภทเดียวกันนี้ และ บางครั้งท าให้ไม่สามารถท างานอื่นที่ได้รับไปได้ ดังนั้น บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต บริษัทสามารถสร้างระบบส าหรับการ ตอบค าถามบ่อย 1 อย่างนี้ เอาไว้คอยให้บริการลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดเวลาในการตอบค าถามดังกล่าวของ พนักงานและประหยัดค่าใช้จ่าย และที่ส าคัญคือสามารถให้บริการได้ตลอดเวลา ไม่มีการเบื่อหน่ายในการตอบค าถาม ดังกล่าว และยังจะช่วยรวบรวมค าถามดังกล่าว หรือค าถามใหม่ ๆ เพื่อน ามาปรับปรุงการให้บริการของบริษัทได้อีก ด้วย รูปที่ 6.12 ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีข้อมูลครบถ้วน (ที่มา : https:/www.egov.go.th/th/index.php)
6.3 ลักษณะของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 6.3.1 การขายตรงไปยังผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก หรือธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business: B-to-B) การขายตรงไปยังผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก หรือธุรกิจกับธุรกิจ เป็นการค้าขนาดใหญ่ระหว่างองค์การกับองค์การ ผู้ผลิตกับผู้ผลิต ผู้ผลิตกับผู้ส่งออก เป็นต้น จะมีการสั่งซื้อสินค้าจ านวนมากและมีมูลค่าสูงในการซื้อขายแต่ละครั้ง ซึ่ง การช าระเงินจะผ่านระบบธนาคาร เช่น T/T L/C ฯลฯ รูปที่ 6.13 ตัวอย่าง Business to Business : (ที่มา : https://www.tesco.com/) 6.3.2 การขายตรงไปยังผู้บริโภค หรือธุรกิจกับผู้บริโภค (Business to Consumer: B-to-C) การขายตรงไปยังผู้บริโภค หรือธุรกิจกับผู้บริโภคเป็นการค้าปลีกไปยังผู้บริโภคทั่วโลก หรือภายในท้องถิ่น ของตนจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค จากพ่อค้าขายส่งไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งปริมาณการขายจะมีปานกลาง หรือพอประมาณ ใน ส่วนนี้รวมการค้าแบบล็อตใหญ่ หรือเหมาโหล หรือการค้าส่งขนาดย่อยไว้ด้วย ซึ่งการช าระเงินโดยส่วนใหญ่จะเป็น การช าระผ่านทางระบบบัตรเครดิต อย่างไรก็ตาม การค้าแบบ B-to-B) นี้ก็มักท าให้เกิดการค้าแบบ B-t0-8 ในอนาคต ได้ และหลายบริษัทมักท ากิจกรรมสองอย่างนี้ในคราวเดียวกัน
รูปที่ 6.14 ตัวอย่าง Business to Consumer : B-to-C (ที่มา : https://www.1112.com/) 6.3.3 การขายตรงสู่ผู้บริโภคด้วยกันเอง หรือผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer Consumer : C-to-C) การขายตรงสู่ผู้บริโภคด้วยกันเอง หรือผู้บริโภคกับผู้บริโภค เป็นการค้าปลีกระหว่างบุคคลทั่วไป หรือ ระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตด้วยกัน อาจจะเป็นการขายสินค้าหรือเครื่องใช้ที่ใช้งานแล้ว เช่น การขายการขายตรงสู่ ผู้บริโภคด้วยกันเอง หรือผู้บริโภคกับผู้บริโภคเป็นการค้าปลีกระหว่างบุคคลโทรศัพท์ การขายแสตมป์ การขายของที่ ระลึก เป็นต้น รวมทั้งการขายชอฟต์แวร์ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีหลายแห่งที่เปิดเว็บไซต์มาเพื่อขายชอฟต์แวร์ที่ตนเอง พัฒนาขึ้น รูปที่ 6.15 ตัวอย่าง Consumer to Consumer : C-to-C (ที่มา : https://www.ebay.com/)
6.3.4 การขายตรงให้หน่วยงานราชการ หรือธุรกิจกับรัฐบาล (Business to Government : B-to-G) การขายตรงให้หน่วยงานราชการหรือธุรกิจกับรัฐบาลเป็นการค้าระหว่างธุรกิจกับหน่วยงานรอง รัฐบาล เช่น กระทรวง กรม กอง ซึ่งเป็นการค้าที่มีมูลค่าสูง รูปที่ 6.16 ตัวอย่าง Business to Government : B-to-G (ที่มา : http:/www.gprocurement.go.th/new_index.htm) 6.3.5 การขายตรงระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล (Government to Goverment: GIo-G) การขายตรงระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลเป็นการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันค้าระหว่าง การไฟฟ้านครหลวงกับกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ในประเทศเดียวกัน หรือรัฐบาลต่อรัฐบาล เช่น รัฐบาลไทยสงข้าว ไปขายให้รัฐบาลของประเทศอิหร่าน หรือรัฐบาลขายน้ ามันดิบให้รัฐบาลไทย เป็นต้น รูปที่ 6.17 ตัวอย่าง Government to Government : G-to-G (ที่มา : http:/www.dft.go.th/th-th/index)
6.4 ประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 6.4.1 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ได้แก่ การรับจดทะเบียนโดเมนเนม ตั้งเว็บไชอีเมล บริการ เคาน์เตอร์ หรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง รูปที่ 6.18 ตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง (ที่มา : https:/www.ksc.net/th/products-domainname.aspx) 6.4.2 ธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ ธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ ได้แก่ การขายซอฟต์แวร์ต่าง ๆ รวมทั้งฮาร์ดแวร์ด้วย โดยเฉพาะด้านซอฟต์แวร์ จะได้เปรียบอย่างมากในการส่งมอบสินค้า เพราะสามารถดาวน์โหลดผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง รูปที่ 6.19 ตัวอย่างธุรกิจการขายชอฟต์แวร์ (ที่มา : https:/www.aripfan.com/bil-gates-technology-advisor)
6.4.3 ธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยวถือเป็นธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ธุรกิจแรกที่เติบโต อย่างรวดเร็วบนระบบอินเทอร์เน็ต ได้แก่ การจองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน จองแพ็กเกจทัวร์ต่าง ๆ เป็นต้น รูปที่ 6.20 ตัวอย่างธุรกิจด้านการท่องเที่ยว การจองโรงแรมที่พัก (ที่มา : https:/www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1469) 6.4.4 ธุรกิจด้านการส่งออก ธุรกิจต้นการส่งออกเป็นกากเปลี่ยนสีกางค าแบบเดิมซึ้งเคยต้องส่งแคดตาล็อกสินค้าไปให้คู่ค้าทั่วโลกก็หัน มาใช้การท าเว็บเพจ หรือการโฆษณาผ่านระบบอินเทอร์เน็ต รูปที่ 6.21 ตัวอย่างธุรกิจด้านการส่งออก
6.4.5 ธุรกิจค้าปลีกสินค้าทั่วไป ผู้บริโภคในอีกโลกตะวันตกสามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบการค้าปลีกบนเว็บได้โดยไม่ยากนักเพราคุ้นเคยกับการ สั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบไปรษณีย์ หรือแคตตาล็อกอยู่แล้ว แต่จะมีความตื่นตาตื่นใจมากกว่าแต่ก่อน เพราะเป็น สินค้าที่มีการเสนอขายมาจากตั๋วโลก เทียรแต่ผู้ชายผ่านเว็บจะต้องปรับตัวสินค้าและราคาให้สอดคล้องกับความ ต้องการของผู้บริโภคท่านั้น รูปที่ 6.22 ตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกสินค้าชั่วไป (ที่มา: https/www.81ada.co.ch) 6.5 การให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่องานธุรกิจ ความส าคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือที่เรียกว่า ไอที (IT: Information Technology) หมายถึงความรู้ ในการประมวลผล การจัดเก็บรวบรวมเรียกใช้และน าเสนอข้อมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิคคอมพิวเตอร์และ อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการสื่อสาร อาทิลายโทรศัพท์ ดาวเทียม หรือเคเบิลใย แก้วน าแสง เครือข่ายอินเทอร์เน็ต นับเป็นเครื่องมือที่ส าคัญในการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็น ช่องทางที่เข้าถึง ข้อมูลที่ต้องการภายในเวลาอันรวดเร็ว อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งใหญ่ที่สุของ โลก เป็นศูนย์รวมการ ให้บริการและเครื่องมือที่ส าคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนทศ ทั้งในระดับบุคคล และองค์กรจากการ ให้บริการระบบเครือข่ายที่มุ่งหวังให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุดหนทางหนึ่งก็คือ การเปิดบริการให้ผู้อื่นใช้ งานร่วมด้วย อินเทอร์เน็ตจึงมีศูนย์ให้บริการข้อมูลและข่าวสารหลากหลายชนิดซึ่ง หากจะแยกประเภทของการ ให้บริการในอินเทอร์เน็ตสามารถแบ่งได้ ดังนี้
6.5.1 จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail or E-Mail) จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือที่เรียกย่อๆว่า E-Mail เป็นวิธีติดต่อสื่อสารกันบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ท าหน้าที่ ในการส่งเอกสารที่เป็นข้อความธรรมดา จนถึงการส่งเอกสารแบบมัลติมิเดียที่มีทั้งภาพและเสียง โดยผู้ใช้จะต้องมี Domain name ที่แน่นอน รูปที่ 6.23 ตัวอย่างผู้ให้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mai) (ที่มา : https//sites.google.com/site/wannapornnnnnn/kar-chi) 6.5.2 การใช้โปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น Telnet, RemoteLogin.rlogin การให้ใช้โปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นเป็นบริการอีกประเภทหนึ่งของอินเทอร์เน็ตเครือข่าย หลาย แห่งเปิดบริการสาธารณะ ให้ผู้ใช้ภายนอกสามารถถ่ายโอนข้อมูล โดยไม่ต้องป้อนรหัสผ่านและถ่ายโอนได้โดยไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่าย แฟ้มข้อมูลที่ถ่ายโอนมีทั้งข้อมูลทั่วไป ข่าวสารประจ าวัน บทความรวมถึงโปรแกรม Telnet เป็นแอป พลิเคชันที่อนุญาตให้ User สามารถ Login เข้าไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีบริการ Telnet ที่อยู่ ห่างไกลออกไป ซึ่งสามารถใช้บริการของเครื่องนั้น ๆ ผ่านทางเครื่องของ User เพื่อใช้งาน หรือตั้งค าต่าง ๆ ผ่าน Command Line เป็นการให้บริการที่มีประโยชน์ และประหยัดค่าใช้จ่าย โปรแกรม Telnetท าให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ อยู่ห่างไกลออกไปโดยเสมือนก าลังใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นโดยตรง ซึ่งโปรแกรม Telnet อนุญาตให้ท างานบน เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตได้ เช่น โปรแกรมที่มีความซับช้อนมาก 1 ในการค านวณไม่สามารถที่จะใช้ เครื่องอยู่บนโต๊ะ PCหรือ (Work Station แบบปกติ) ได้ โดยจะต้องส่งโปรแกรมไปท างานบนเครื่อง Super Computer ที่โปรแกรม Telnet เชื่อมต่อเข้ากับเครื่อง Super Computer การถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล หรือ FTP และ โปรแกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่ในศูนย์บริการ
รูปที่ 6.24 การใช้โปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น (ที่มา : https:/www.google.com/search?q =โปรแกรม+Telnet&rlz=1c1chzl) 6.5.3 บริการสืบค้นข้อมูลข้ามเครือข่าย เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้นเป็นเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์ต่อเชื่อมกันแบบขนาดการโอนถ่าย แฟ้มข้อมูลจึงท าได้ง่าย แต่เมื่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตขยายตัวขึ้นมาก การค้นหาแฟ้มข้อมูลยุ่งยากตามมา ดังนั้น จึงมี การพัฒนาระบบ ARCHIE อ านวยความสะดวกช่วยในการค้นหาแฟ้มฐานข้อมูลเครื่องใด เพื่อจะใช้ FTP ขอถ่ายโอนได้ ซึ่งการบริการจะต้องใช้โปรแกรม Archine, Gopher, VERONICA และ WAIS รูปที่ 6.25 การใช้โปรแกรมบริการสืบค้นข้อมูลข้ามเครือข่าย (ที่มา : http://hk.king-may.com.cn/HK/Index.php/Adultindex)
6.5.4 กลุ่มสนทนาและข่าวสาร (Usenet User News Network) Usenet รวยให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างระบบกันสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเรื่อง7 เช่น การ เสนอข้อคิดเห็น อภิปรายต้องตอบตามกลุ่มย่อย เรียกว่า กลุ่มข่าว (News Group) โดยเลือกค าสั่ง RTIN ก็จะได้รับ การแจ้งเตือน (Subscribe) ทันที 6.5.5 ระบบบริการสถานี (World Wide Web) เพื่อส่งระบบ Multimedia ข้ามเครือข่ายเนื่องจากระบบสืบคันข้อมูลแบบเดิมสามารถส่งได้เฉพาะข้อมูลมูล อักษร และตัวเลข เนื่องจากการเชื่อมโยงข้อมูลแบบใหม่ ๆ ที่เป็นข้อมูล Multimedia และการเชื่อมโยงของโมเด็มเป็นข้อมูล แบบ Hypertext/Hypermedia ซึ่งเชื่อมโยงแบบกราฟิกที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ โดยใช้โปรแกรม Lynx, Mosaic และ Netscape โปรแกรมดังกล่าวสามารถท างานผ่านระบบ Windows และระบบ Xwindows ของ Unix 6.5.7 สนทนาทางเครือข่าย Talk เป็นบริการสนทนาทางเครือข่ายระหว่างผู้ใช้สองคนโดยไม่จ ากัดว่า ผู้ใช้ทั้งสองก าลังท างานภายใน ระบบเดียวกัน หรือต่างระบบกัน สามารถพิมพ์ข้อความโต้ตอบกันแบบทันทีทันใดพร้อมกันแบบทันทีความที่พิมพ์ผ่าน แป้นพิมพ์จะไปปรากฏบนหน้าจอของคู่สนทนา และการสนทนาบนเครือข่ายที่ก าลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือ IRC (Internet Relay Chart) ซึ่งเป็นการสนทนาทางเครือข่ายเป็นกลุ่มได้พร้อมกันหลายคน 6.5.8 ตรวจข้อมูลผู้ใช้ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในมีปัจจุบันก าลังขยายตัวในวงกว้าง ท าให้มีผู้ใช้รายใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มี ฐานข้อมูลกลางเก็บรายชื่อผู้ใช้ทั้งหมดนี้ใช้ จึงไม่มีวิธีส าเร็จรูปแบบใดที่รับประการคันหาผู้ที่เราต้องการติดต่อด้วย โปรแกรมเบื้องต้นใน ที่ใช้ตรวจหาผู้ใช้ในระบบ คือ Finger 6.5.9 กระดานข่าว BBS BBS หรือ Bulletin Board System เป็นบริการข้อมูลรูปแบบหนึ่งที่ผู้ใช้ PC โดยทั่วไปอยู่ก่อนภายใน อินเทอร์เน็ต ก็มีศูนย์บริการหลายแห่งที่ให้บริการ BBS แบบเดียวกันต่อเชื่อมไปหาศูนย์ BBS ได้โดยใช้โปรแกรม Telnet
สรุป การด าเนินการทางธุรกิจโดยการน าอินเทอร์เน็ตใช้ในการสร้างข้อได้เปรียบในการสร้าง(Core Competencies) หรือข้อได้เปรียบท าให้ได้เปรียบในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงอยู่ดลอดเวลา เมื่อ องค์กรมีการน าเทคโนโลยีเข้ามาใช้ก็ท าให้การด าเนินการขององค์กรเปลี่ยนไป พนักงานสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ ง่าย วับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็ว ส่งผลให้การท างานและความสัมพันธ์ภายในองค์กรมีการเปลี่ยนแปลง การจัด โครงสร้างองค์กรที่เน้นการจัดโครงสร้างองค์กรเป็นล าดับชั้น (Hierarchy Structure) มีจ านวนชั้นไม่มาก เพื่อความ สะดวกในการบริหาร และลดระยะเวลาในกระบวนการตามต าราวิชาการต่าง ๆ อาจต้องเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับ องค์กรที่มีเทคโนโลยีเครือข่ายภายในองค์กร เช่น การจัดรูปแบบโครงสร้างองค์กรแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext Structure) เพื่อรองรับความสัมพันธ์ภายในองค์กรที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยผู้ให้บริการการเชื่อมต่อ (Media Service Provider) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider ผู้ ให้บริการเว็บ (Web hosting) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายบ่อย (Internet Cafe) รวมถึงบริษัทที่ผลิตโทรศัพท์มือถือ ที่สมารถเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต เนื่องจากอินเทอร์เน็ตสามารถเป็นได้ทั้งธุรกิจและเครื่องมือในการส่งเสริมการท า ธุรกิจ แต่ความส าเร็จนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโดยีเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น กลยุทธ์การ ท าธุรกิจ รูปแบบและความเหมาะสมในการน าเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ เป็นต้น
แบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 6 การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่องานธุรกิจ ค าชี้แจง ให้นักเรียนท าเครื่องหมายกากบาท (X) ทับข้อที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. การเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-earning) แสดงถึงความส าคัญของคอมพิวเตอร์ในข้อใด ก. การศึกษา ข. การสื่อสาร ค. ความบันเทิง ง. การสืบค้นข้อมูล 2. การจองตั๋วเครื่องบินผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นบทบาทของคอมพิวเตอร์ในด้านใด ก. ด้านงานธุรกิจ ข. ด้านงานวิศวกรรม ค. ด้านงานวิทยาศาสตร์ ง. ด้านงานสื่อสารโทรคมนาคม 3. การใช้บริการ KT C เป็นการใช้บริการอินเทอร์เน็ตด้านใด ก.ด้านธุรกิจการเงินและการธนาคาร ข.ด้านธุรกิจโรงแรม ค.ด้านธุรกิจสายการบิน ง.ด้านธุรกิจบันเทิง สแกนเพื่อท าแบบทดสอบ
4. เว็บไซต์ Major Cineplex เป็นการให้บริการอินเทอร์เน็ตด้านใด ก. ด้านธุรกิจการเงินและการธนาคาร ข. ด้านธุรกิจโรงแรม ค. ด้านธุรกิจสายการบิน ง. ด้านธุรกิจบันเทิง 5. เว็บไซต์ HotelThailand.com เป็นการให้บริการอินเทอร์เน็ตด้านใด ก. ด้านธุรกิจการเงินและการธนาคาร ข. ด้านธุรกิจโรงแรม ค. ด้านธุรกิจสายการบิน ง. ด้านธุรกิจบันเทิง 6. ข้อใดหมายถึงอินเทอร์เน็ตสามารถติดต่อกับทุกคนได้ทั่วโลก ก. Anywhere ข. Anyplace ค.Anybody ง. Anyone 7. ข้อใดเป็นการติดต่อเรื่องการเงินผ่านธนาคาร ก. Banking Service ข. Account Bank ค. Telebanking ง. Internet Banking
8. ข้อใดคือความหมายของนามสกุลเว็บไซต์ .go.th ก. บริษัทหรือองค์กรที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ข. มหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ค. เกี่ยวกับทางรัฐบาลไทย ง. องค์กรไม่หวังผลก าไรที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย 9. ข้อใดเป็นนามสกุลเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับด้านการศึกษาไทย ก. ac.th ข. .or.th ค. .co.th ง. .go.th 10. www.google.co.th ในที่นี้.th มีความหมายคืออะไร ก. ตัวย่อของเมือง ข. ตัวย่อขององค์กร ค. ตัวย่อของประเทศ ง. ตัวย่อประเภทบริษัท
7.1 ความหมายของธุรกิจออนไลน์ 7.2 ประเภทของธุรกิจออนไลน์ 7.3 ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ 7.4 การใช้โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ในงานธุรกิจออนไลน์ 7.5 ด้วยอย่างเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ มีความคล้ายคลึงกับการท าธุรกิจทั่วไปอย่างมาก ต่างกันตรงที่เจ้าของธุรกิจออนไลน์สามารถ ประหยัดงบประมาณในการลงทุนเพื่อเริ่มก่อตั้งธุรกิจลงไปได้ค่อนข้างสูง ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเปิดร้านขาย เสื้อผ้าจะต้องจ่ายค่าเช่าที่เพื่อวางขายเสื้อผ้า รวมถึงค่าเฟอร์นิเจอร์และค าน้ าค่าไฟ ซึ่งเป็นรายจ่ายประจ าที่หลีกเสี่ยง ไม่ได้ เพราะจะนั้นการท าธุรกิจออนไลน์จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่หวังต้องการจะมีธุรกิจสามารถใช้พื้นที่บนสื่อ ออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อด าเนินธุรกิจนั้น โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าที่หรือค่าน้ าค าไฟ ดังนั้น การท าธุรกิจออนไลน์จึงเป็น ทางเลือกที่ตีในการช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายของการประกอบธุรกิจได้อย่างน่าพอใจ หน่วยที่ 7 การท าธุรกิจออนไลน์ หัวข้อเรื่อง (Topics) แนวคิดส าคัญ (Main Idea)
แสดงความรู้เกี่ยวกับการท าธุรกิจออนไลน์ 1. บอกความหมายของธุรกิจออนไลน์ได้ 2. บอกประเภทของธุรกิจออนไลน์ได้ 3. บอกปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ได้ 4. ประยุกต์ใช้โปรแกรมการสร้างเว็บไซต์ในธุรกิจออนไลน์ได้ 5. ยกตัวอย่างธุรกิจออนไลน์ได้อย่างน้อย 5 ตัวอย่างได้ สมรรถนะย่อย (Element of Competency) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives)
7.1 ความหมายของธุรกิจออนไลน์ การท าธุรกิจออนไลน์ หมายถึง การขายสินค้าบริการบนเว็บไซต์ไม่ว่าจะขายสินค้าบนเว็บไซต์ที่ต้อง ลงทุนเอง หรือ ขายบนเว็บฟรี เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) ไลน์ (Line) หรือการน าสินค้าไปโพสต์ไว้กับเว็บที่ ให้บริการลงโฆษณาฟรี การท าธุรกิจออนไลน์เป็นการขยายตลาดให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เช่น ผู้ซื้อสามารถเลือกชมสินค้าได้จาก ทั่วทุกมุมโลก และเลือกซื้อได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกันกับผู้ขายที่สามารถขยายตลาดของผู้ซื้อของตนให้ กว้างขวางขึ้นจากขอบเขตเดิมที่มีอยู่ ธุรกิจออนไลน์มีมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเสริมความงาม ธุรกิจเกี่ยวกับหุ้นหรือตรา สารหนี้ ธุรกิจเกี่ยวกับอาหารที่ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้ออาหารได้ทางเว็บไซต์ออนไลน์ที่มีบริการส่งถึงบ้านแบบเร็ว ทันใจ และรวมไปถึงธุรกิจอื่น ๆ เช่น เว็บไซต์ขายสินค้าชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่าE-Bay และ Amazon ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถลงรูปสินค้าที่ตนต้องการจะขาย และติดต่อกับผู้ที่มีความต้องการซื้อ สินค้านั้น ๆ ได้อย่างง่าย ๆ รองลงมาเป็นการท าธุรกิจออนไลน์ที่ไม่ได้เน้นเพื่อแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายสินค้า เพียงอย่างเดียว เช่น Instagram และ Facebook page ที่ผู้ใช้สามารถอัพเดท (Update) ข่าวสารเรื่องราว ต่าง ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ตามต้องการ ข้อดีของธุรกิจออนไลน์ 1. ไม่จ าเป็นต้องมีหน้าร้านเนื่องจากเป็นธุรกิจที่เปิดกว้าง เพียงแค่สร้างแฟนเพจเว็บไซต์ หรือเปิด ร้านค้าออนไลน์ขึ้นมา ก็สามารถน าสินค้ามาขายได้ทันที ซึ่งในส่วนของสินค้าที่น ามาขายนั้น ก็อาจจะเป็น สินค้ าที่มีสต็อกจ ริง ๆ ห รือเป็นก า รข ายใน รูปแบบตั วแทน และยังส าม า รถท า SEO (Search EngineOptmization) ให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Search Engine ต่าง ๆ เช่น Google, Bing, Yahoo เพื่อให้ ธุรกิจเป็นที่รู้จัก หรือเข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างรวดเร็วด้วยนั่นเอง 2. ประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากไม่ต้องมีค่าเช่าร้าน ค่าเช่าพื้นที่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหา ลูกค้า ท าให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงมาก เนื้อหาสาระ (Content)
3. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลก การท าธุรกิจบนโลกออนไลน์ท าให้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลกเพียง แค่มีความรู้ในด้านภาษา ก็สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้ง่าย ๆ โดยผ่านทางสื่อโซเชียลต่าง ๆ เช่นLine, Facebook และ IG 4. สามารถท าการขายท าได้ทุกที่ทุกเวลา (anywhere) ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือหรือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ก็สามารถท าได้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างรายได้เสริมสร้าง 5. สามารถท าได้ทุกสายอาชีพ ธุรกิจออนไลน์เป็นงานที่เปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถท าได้และมี ผู้คนจ านวนไม่น้อยที่ประสบความส าเร็จกับการท าธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการจะมีรายได้เสริม 6. สามารถสร้างรายได้ประจ าให้กับผู้ที่มุ่งมั่นตั้งใจท าอย่างจริงจัง เป็นการสร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ นักการตลาดจ านวนไม่น้อยได้ท าการวิเคราะห์และสรุปผลภาพรวมของธุรกิจออนไลน์ว่ามีแนวโน้มในทิศทางใด เพื่อใช้ ส าหรับวางแผนธุรกิจในอนาคต รูปที่ 7.1 การท ากิจออนไลน์ท าได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere) (ที่มา : https://www.branddoodee.com) 7.2 ประเภทของธุรกิจออนไลน์ 7.2.1 เว็บไซต์ขายสินค้า เว็บไซต์ขายสินค้าเป็นรูปแบบธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถท าได้ง่าย และสร้างรายได้ ได้อย่างรวดเร็ว โดยน าสินค้าของตนมาแสดงบนเว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย (Social Media)พร้อมระบุรายละเอียด ต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ก็สามารถขายสินค้าได้แล้ว ยกตัวอย่างร้านค้าออนไลน์ขายของสินค้าฟรีส าหรับคนไทย มีดังนี้
1. Inwshop.com ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่จ ากัดจ านวนสินค้า8พื้นที่ ออกแบบรองรับการรอเสดงผลบนจอมือถือ (Responsive Design) 2. makewebeasy.com ร้านค้าออนไลน์ฟรี ไม่มีค่าบริการรายปี รองรับสต็อกสินค้าพร้อมพื้นที่เว็บไซด์ 100 เมกะไบต์ และมีตะกร้าสินค้าขายงานการสั่งซื้อสินค้า สะดวกด้วยการเข้าสู่ระบบ Log in ผ่านเฟซบุ๊กและ เว็บไซต์เปิดใช้งานได้ทุกจอ รองรับมือถือ 3. tarad.com เว็บไซต์ตลาด.com เปิดร้านค้าออนไลน์ฟรีและครอบคลุมการช าระเงินของลูกค้าแบบ 360 องศาเช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต ตู้ ATM และเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นต้น 4. weloveshopping.com เปิดร้านค้าออนไลน์ฟรี ไม่มีค่าบริการรายเดือน ลงสินค้าได้ไม่จ ากัด ออกแบบระบบรองรับเรื่อง SE0 พร้อมการช าระเงินหลายช่องทาง อ านวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ 5. shopup.com เว็บไซร้านค้าออนไลน์ฟรี และสามารถปรับแต่งเองได้ หรือมีแพ็กเกจให้เลือก (เสีย ค่าใช้จ่าย) ส าหรับแพ็กเกจฟรีสามารถลงสินค้าได้ไม่จ ากัด พื้นที่ไม่จ ากัด และมีธีมรูปแบบเว็บไซแต์ร้านค้าให้เลือก มากกว่า 300 แบบ กรณีที่ต้องการแบ่งหมวดหมู่สินค้าจะต้องสมัครแพ็กเกจ 7.2.2 เว็บไซต์เพื่อการโฆษณา รูปแบบกาท าธุรกิจออนไลน์ที่ไม่ใช่การขายสินค้าบนเว็บ เเต่การรับท าโฆษณาให้กับธุรกิจขอนไลน์ชื่น ๆ ให้ เป็นที่รู้จัก เช่นการับท า SEO เพื่อเพิ่มอันคับการคันหาเว็บไซต์ของ G๔๐ge รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนชัดมูลของ เว็บไซต์ด้วย ตัวย่างเว็บไซต์เพื่อการโฆษณา เช่น บริษัท เน็ตทูเดย์ จ ากัด เป็นผู้ดูแลและบริหารสื่อโฆษณาบนเว็บไซต์ ที่มีผู้เข้าชมมากกว่า 120,00 คนต่อวัน เป็นสื่อโฆษณาที่มีความฟันสมัยและสมารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปโพสต์โฆษณาต่าง ๆ ได้ฟรี และยังมีรูปแบนการโฆษณาแบบ Textnk หรืe Banner ท าให้ ธุรกิจโดเด่นและสะดุดตา 7.2.3 เว็บไซด์ข่าวสาร เว็บไซต์ข่าวสารเป็นการท าธุรกิจออนไลน์ด้วยการเผยแพร่ข่าวสารต่าง ๆ ที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการติด โฆษณากับ Google AdSense ซึ่งสามารถสร้างรายได้ เท่ากับการขายสินค้าโดยจะต้องอัพเดตข่าวสาร หรือบทความ ต่าง ๆ อย่างสม่ าเสมอและต่อเนื่อง
7.2.4 การท า Blog บล็อก (Blog) หรือ "Weblog" เริ่มน ามาใช้งานเป็นครั้งแรกโดย Jorm Barger ในเดือนธันวาคม ปี 1997 ต่อมา Peter Merholz ใช้เรียกง่าย ๆ ว่า "Blog" ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1999 และจนถึงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2003 Oxford English Dictionary จึงได้บรรจุค าว่า Blog ในพจนานุกรมประกาศได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ บล็อก (Bl0g) กลายเป็นศัพท์ยอดฮิตอันดับหนึ่งซึ่งถูกแสวงหาความหมายทางพจนานุกรมออนไลน์มากที่สุด ประจ าปี 2004 ส านักข่าวเอพีรายงานว่า เว็บไซต์ ดิกชันนารีหรือพจนานุกรมออนไลน์ "เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์" ได้ประกาศ รายชื่อ ค าศัพท์ซึ่งถูกคลิก เข้าไปค้นหายผ่าน ระบบออนไลน์มากที่สุด ค าว่า "บล็อก" (blog) ซึ่งเป็นค าย่อของ "เว็บ บล็อก" (Web Lโดยนายอาเธอร์ บิคเนล โฆษกส านักพิมพ์พจนานุกรมฉบับเมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ กล่าวว่า ส านักพิมพ์ ได้เตรียมที่จะน าค าว่า "บล็อก" บรรจุลงในพจนานุกรมฉบับล่าสุด ทั้งที่เป็นเล่มและฉบับออนไลน์แล้วแต่จากความ ต้องการของผู้ใช้เป็นจ านวนมาก ท าให้เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ตัดสินใจบรรจุค าว่า "บล็อก"ลงในเว็บไซต์ในสังกัดบาง แห่งไปก่อน โดยให้ค าจ ากัดความไว้ว่า "เว็บไซด์ที่บรรจุ เรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกส่วนตัวประจ าวัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมอง ความคิดเห็นของบุคคล โดยอาจรวมลิงค์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่น ตามความประสงค์ของเจ้าของเว็บบล็อกเองด้วย" โดยทั่วไป ค าศัพท์ที่ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมนั้นจะต้องผ่านการใช้งานอย่างแพร่หลายมาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งหมายความว่าค าค านั้นจะต้องถูกน ามาใช้โดยทั่วไปในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตามปัจจุบันค าศัพท์ทาง เทคโนโลยีรวมไปถึงโรคภัยใช้เจ็บใหม่ ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดซาร์ถูกบรรจุลงในพจน านุกรมภายใน ระยะเวลาอันสั้น ค าว่า "บล็อก" เริ่มใช้เป็นครั้งแรกผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารเมื่อปี พ.ศ. 2542แต่ผู้รวบรวม พจนานุกรมตั้งข้อสังเกตว่าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการประชุมใหญ่ของ พรรคเดโม แครตและพรรครีพับสิกันเพื่อรับรองชื่อ ผู้สมัครเข้าชิงต าแหน่งประธานาธิบดีที่ผ่านมาท าให้ประชาชนชาวสหรัฐฯ ผู้ติดตามข่าวสารส่วนใหญ่สนใจ และต้องการทราบความหมายที่แท้จริงของค าดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อค าศัพท์ เหล่านั้นปรากฏเป็นข่าวพาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป 1. ความหมายของบล็อก (Blog) บล็อกเกอร์ (Blogger) เป็นอีกหนึ่งบริการของ Google ที่จะช่วยให้มีพื้นที่ส าหรับเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ ต้องการในลักษณะของเว็บบล็อก บริการเหล่านี้สามารถใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าส าหรับผู้ที่ต้องการมีเว็บไซต์ส่วนตัว แต่ไม่ต้องการมีค่าใช้จ่าย ซึ่งบล็อกเกอร์สามารถช่วยได้ หากต้องการใช้บล็อกเกอร์เพียงแค่สมัคร Gmail ก็สามารถ
สร้างบล็อกได้แล้ว นอกจากนี้ การสร้างบล็อกด้วยบล็อกเกอร์นั้นยังเชื่อมโยงพื้นที่เก็บรูปภาพเข้ากับ picasa ซึ่งเป็น บริการด้านภาพถ่าย ท าให้มีพื้นที่เขียนบล็อก และพื้นที่เก็บรูปภาพที่สัมพันธ์กันอีกด้วย 2. หน้าที่ของบล็อก (Blog) บล็อก (Blog) ท าหน้าที่เหมือนเป็นสมุดบันทึกสวนตัวหรือเอกสารแนะน าตัวสื่อสารไปถึงแหล่งต่าง ทั่วโลกได้ บล็อกระมีลักษณะคล้ายกับเว็บ และยังมีส่วนที่ใช้ในความคิดนั้นหรือสาระที่ส าคัญที่ได้เรียนรู้หรือบค้นมาได้ สามารถ จัดท าเป็นสมุดพกส่วนตัวสิงค์ไปที่เว็บต่าง ๆ ที่ต้องการทั่วโลก บล็อกจึงเรียบเสมือนแหล่งความรู้ส่วนตัวก็ว่าได้ 3. ความสามารถของ Webblog (1) สางเป็นเว็บไซด์ส่วนตัว (2) สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง (3) เขียนเรื่องราวต่าง ๆ และแบ่งปันให้กับผู้อื่น (4) หารายได้กับ google เช่น การเขียนบทความ และน าโฆษณาของ google มาติดลง (5) ท าธุรกิจที่เรียกว่า E-commerce ได้พอสมควร 4. ความแตกต่างระหว่าง Webblog กับ Website เว็บไซต์ต้องมีโดเมนเนมและโฮสติ้ง (Hosting) เป็นของตนเอง และเสียค่าใช้จ่ายส่วนเว็บบล็อกสามารถสมัคร ใช้บริการได้ฟรี แต่ต้องใช้โดเมนของผู้ให้บริการเว็บบล็อกนั้นๆ อยู่ในชื่อใดเมนเช่น http://ninetechno.blogspot. com เป็นต้น เว็บไซต์สามารถสร้างรูปแบบของเว็บไซต์ได้เอง มีความยึดหยุ่น ส่วนเว็บบล็อกนั้นมีเทมเพลต (Template) ให้ เลือก! โดยการเชียนบล็อกจะมีรูปแบบโครงสร้างไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้มากนัก เว็บไซต์หากต้องการเขียนเองต้องเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์หลายภาษา แต่เว็บบล็อกเพียงแค่เรียนรู้การใช้งาน เล็กน้อยก็สามารถใช้งานได้ 5. ข้อดีของการท าบล็อก (1) ง่ายต่อการสร้างเว็บบล็อก ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังไม่มี ค่าใช้จ่ายในการเช้าพื้นที่บนอินเทอร์เน็ต
(2) เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เพื่อเสนอให้บุคคล สาธารณะได้รับรู้ (3) เป็นเครื่องมือช่วยในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวขององค์กร เป็นต้น (4) เป็นแหล่งความรู้ใหม่ ๆ ที่ถูกต้องและชัดเจน เนื่องจากผู้เขียนบล็อกมักจะเขียนถึงเรื่องที่ตัวเอง ถนัด ชอบ และมีความรู้เฉพาะด้าน มีความรู้สึกในเรื่องนั้น 1 การคันหาข้อมูลเฉพาะด้านในบล็อกต่าง ๆ จึงท า ให้ค้นพบ ความรู้ และผู้มีความรู้ความช านาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น (5) ท าให้ทันต่อเหตุการณ์บนโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย(ทั่วโลก) และมักจะ เปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ (6) เจ้าของบล็อกมีอิสระที่จะน าเสนออะไรก็ได้ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น ที่ไม่ผิดกติกา ของผู้ให้บริการบล็อก ที่ท าอยู่ ที่ไม่ผิดกฎหมาย และศีลธรรมประเพณีที่ดีงาม (7) เปิดโอกาสให้บล็อกเกอร์ได้รับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้โดยอิสระ (8) ผู้ที่สร้างบล็อกสามารถปรับแต่งบล็อกให้เป็นรูปแบบที่ตนต้องการได้โดยไม่ต้องมีความรู้ในเรื่องภาษา ค าสั่งของโปรแกรมมากมาย (9) หากพบเพื่อนใหม่ สามารถสร้างเครือข่ายชุมชนสัมพันธ์ระหว่างบล็อกเกอร์ที่มีความคิด ความสนใจ ความรู้สึก ร่วมกันได้ (10) เปรียบเสมือนบันทึกประจ าวัน เป็นที่เก็บข้อมูลขององค์กรข้อด้อยของการท าบล็อก 6. ข้อด้อยของการท าบล็อก (1) เจ้าของบล็อกมีอิสระในการน าเสนอบทความโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบ อาจโพสต์เรื่องที่ไม่เหมาะสมได้ ซึ่งเจ้าของบล็อกต้องมีกติกาให้ตัวเอง หรือใช้จริยธรรมของแต่บุคคล ความมีเหตุมีผลความระมัดระวัง รอบคอบในการ โพสต์ข้อความต่าง ๆ (2) เนื้อหาที่อยู่ในบล็อก หากไม่ใช่ผลงานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ที่ท าตามหลักวิชาการเครือ ตัวบท กฎหมาย ก็ อาจมีความน่าเชื่อถือน้อย หากเกิดความผิดพลาดใด ๆ ผู้ที่น าข้อมูลไปใช้อ้างอิงอาจประสบปัญหา ได้
(3) ปิดโอกาสให้พวกที่ไม่หวังดี เข้ามาเปิดบล็อก ก่อกวน หรือผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน มาอยู่ร่วมในชุมชน เดียวกัน เพิ่มโอกาสให้มีการแสดงออกถึงการชัดแย้งอย่างไม่มีเหตุผลคาดความบาดหมางและอาจน าไปสู่การทะเลาะ กันให้ ตัวอย่างเว็บบล็อก (Webblog) https://www.blogger.com https://medium.com 7.2.5 เว็บตลาดประกาศขาย เว็บตลาดประกาศขายเป็นการท าธุรกิจออนไลน์ในรูปแบบของการเป็นสื่อกลางเพื่อให้ผู้คนได้มาท าการ ซื้อชายแลกเปลี่ยนหรือแสตงความคิดเห็นกัน ตัวอย่างเว็บไซด์ประเภทนี้ เช่นLazada และเว็บประกาศฟรี เป็นผู้ ประกาศขาย ด้วยการน าสินค้าของตัวเองเข้าไปเมื่อเริ่มมีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย จึงสร้างตลาด ออนไลน์เป็นของตนเองพร้อมกับขายสินค้าไปด้วย
https://pages.lazada.co.th 7.3 ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ 7.3.1 การสนับสนุนจากภาครัฐ ภาครัฐบาลได้มีบทบาทเข้ามาสนับสนุน และเร่งพัฒนาให้ผู้ประกอบการฐานราก ทั้งด้าน เกษตรกรและ ผู้ประกอบการท้องถิ่น สามารถน าผลิตภัณฑ์และผลผลิต มาขายบนพื้นที่ออนไลน์ได้โดย หน่วยงานของรัฐที่ให้การ สนับสนุน ได้แก่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส านักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ส านักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ สังคม