The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ นายอนุพงศ์ พิมแสน 62031050130

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anu Kimoji, 2021-12-20 00:59:57

แผนการจัดการเรียนรู้ นายอนุพงศ์ พิมแสน

แผนการจัดการเรียนรู้ นายอนุพงศ์ พิมแสน 62031050130

s4u

uu?lflva{ur,tu

{g{a n 1 Tii'ail :E du n 1 :flin'l :rBuu
U

z. dtufrnw/n:vurunr: (P) )*

* 'J-ol 6v;ol*) "o o.norlorr,^o-#*aw K)*2e 6Ot

e. riruqrudnuarsdufi.rrJrud.td (A)

flqrar/qila::n

{amuo uuv,z uuru1{suritfl

"""".'"12""" ....'....f .-.t.....-'.."..

..'fl {y*{ 7J Tfror_l-.oqq ail.i"/?u-;-t vj.nt}Lt7ut9{n'rAonr-r a-r

a!rBo frn

.....2..t ....F.,. h -...../ .... 1.4...

rli fi n a':rsr r#ut a.r cuf m'os? sI6 au i[E{ rJ n r c{n n 1 g rEfl u 6

(4'm:rt)

Jf,

Ft:14tAU{

... 2...t .....fi.,,.a......./ ....b.0.....

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 4

รหสั -ช่อื รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หน่วยการเรียนรูเ้ รอื่ ง ระบบสรุ ิยะและการปรากฏของดวงจนั ทร์ ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4

ภาคเรยี นที่ 2 จำนวน 2 คาบ/สัปดาห์

เรอื่ ง ระบบสรุ ยิ ะ (3) เวลา 2 คาบ

ชื่อผู้สอน นาย อนุพงศ์ พมิ แสน วันที.่ ..7,9...เดอื น ธนั วาคม พ.ศ. 2564

โรงเรยี นบา้ นหาดสองแคว ตำบล หาดสองแคว อำเภอ ตรอน จงั หวัด อตุ รดิตถ์ คะแนนเกบ็ .........คะแนน

1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์

และระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั ปฏิสมั พันธ์ภายในระบบสุรยิ ะท่ีส่งผลตอ่ สิ่งมีชีวติ และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ
2. ตัวชว้ี ดั

ป.4/3 สรา้ งแบบจำลองแสดงองค์ประกอบของระบบสรุ ิยะ และอธิบายเปรียบเทียบคาบการโคจรของ
ดาวเคราะหต์ ่าง ๆ จากแบบจำลอง
3. สาระสำคัญ

- แบบจำลองระบบสุริยะเป็นแผนภาพแสดงแนวคิดของนกั ดาราศาสตร์ท่ีสร้างขึ้นเพื่อแสดงตำแหน่ง
ของดวงอาทติ ย์ ดาวเคราะห์ และวตั ถทุ อ้ งฟา้ อืน่ ๆ ทโี่ ดจรรอบโลก
4. สาระการเรียนรู้ (เน้ือหา)

- แบบจำลองระบบสุริยะ
5. จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. ดา้ นความรู้ (K) นักเรียนสามารถ :
1.1 อธบิ ายเปรยี บเทยี บคาบการโคจรของดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในระบบสรุ ยิ ะได้

2. ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) นักเรียนสามารถ :
2.1 สร้างแบบจำลองเพ่อื แสดงองค์ประกอบของระบบสุรยิ ะได้

3. ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) เพอ่ื ให้นักเรียนเปน็ ผ้ทู ่ี :
3.1 มีนิสัยใฝ่เรียนรู้

6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต

7. รูปแบบวิธีการจัดประสบการณ์เรียนรู้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 5Es Instructional Model

ลำดับขั้นการจดั ประสบการณเ์ รียนรู้ 5 Es

กิจกรรมก่อนเรยี น : นนั ทนาการฝกึ สมาธิก่อนเรียน (ปรบมือลบ 1)

1. ขัน้ สร้างความสนใจ (10 นาที)

1.1 ครูต้ังคำถามเพือ่ สรา้ งความสนใจ

- ขนาดของดาวเคราะห์แตล่ ะดวงเท่ากันหรือไม่

(แนวคำตอบ ไม่เท่ากัน)

- ถ้าตอ้ งการศกึ ษาเกยี่ วกับขนาดของดาวเคราะห์สามารถศกึ ษาไดโ้ ดยวิธกี ารใด

(แนวคำตอบศกึ ษาไดโ้ ดยการสรา้ งแบบจำลองระบบสรุ ิยะ)

1.2 นักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกยี่ วกับคำตอบจากคำถามของครตู ามประสบการณ์ของนักเรยี น

1.3 ครูแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ให้นักเรียนทราบ

2. ขัน้ ข้นั สำรวจและคน้ หา (50 นาท)ี

2.1 ครแู บ่งกลมุ่ นกั เรยี นเพ่ือนสรา้ งแบบจำลอง

2.2 ครูใหน้ กั เรียนศึกษาข้อมูลและสรา้ งแบบจำลองโดยมขี ั้นตอนดังนี้

- ใช้ข้อมูลในตารางแสดงเสน้ ผา่ นศูนย์กลางของดาวเคราะหแ์ ละเส้นผ่านศูนย์กลางของแบบจำลองสร้าง

แบบจำลองของดาวเคราะห์ โดยใชข้ ้อมูลเส้นผา่ นศูนยก์ ลางของดาวเคราะห์หาขนาด เพอื่ สรา้ งแบบจำลองของ

ดาวเคราะห์แตล่ ะดวง

ตารางแสดงเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางของดาวเคราะห์และเส้นผ่านศูนยก์ ลางของแบบจำลอง

ข่อื ดาวเคราะห์ เสน้ ผ่านศูนย์กลางดาวเคราะห์ เส้นผา่ นศูนย์กลางของแบบจำลอง

(กิโลเมตร) (มิลลเิ มตร)

ดาวพุธ 4,900 5

ดาวศกุ ร์ 12,100 12

โลก 12,800 13

ดาวอังคาร 6,800 7

ดาวพฤหัสบดี 143,000 143

ดาวเสาร์ 120,500 121

ดาวยูเรนสั 51,100 51

ดาวเนปจูน 49,500 50

หมายเหตุ กำหนดให้ 1 มลิ ลเิ มตร มีค่าประมาณ 1,000 กิโลเมตร

- สรา้ งแบบจำลองของดาวเคราะห์แต่ละดวงลงบนกระดาษ วัดขนาดดาวเคราะหแ์ ตล่ ะดวงด้วย

ไม้บรรทัด เพื่อให้แน่ใจว่ามีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางถูกต้อง ตัดดาวเคราะห์แต่ละดวงออกมาและ

ระบายสีบันทกี ลำดบั ขนาดของดาวเคราะหใ์ นตาราง

- นำดาวเคราะหท์ ่ีตัดแล้วมาจัดเรียงเปน็ แบบจำลองตามลำดับทีแ่ สดงในตาราง โดยให้ดาวพธุ อยู่ใกล้ดวง
อาทิตย์มากทส่ี ุด พึงระลึกไว้เสมอวา่ แบบจำลองนีช้ ่วยใหน้ ักเรียนเปรียบเทียบขนาดไม่ใช่ระยะทางบันทีกลำดับ
ขนาดของดาวเคราะหใ์ นตาราง

2.3 ครูคอยแนะนำชว่ ยเหลอื นกั เรยี นขณะปฏิบัติกจิ กรรม โดยครเู ดนิ ดูรอบๆ ห้องเรยี นและเปดิ โอกาสให้
นกั เรยี นทกุ คนซักถามเมอ่ื มีปัญหา

3. ขัน้ อธิบายและลงสรุป (30 นาที)
3.1 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอแบบจำลองของตนเอง
3.2 นกั เรียนและครรู ่วมกันแสดงความคดิ เห็นอภิปรายหาสรปุ จากการทำกิจกรรมโดยใช้คำถาม ดงั น้ี
- นักดาราศาสตรใ์ ชแ้ บบจำลองเพอื่ อธิบายระบบสุริยะเพราะเหตุใด
(แนวคำตอบ เพราะแบบจำลองแสดงใหเ้ ห็นวา่ ดาวเคราะหแ์ ละเทหวัตถุต่าง ๆ เดนิ ทางในเสน้ ทางที่เป็น
วงรี)
- จากการสร้างแบบจำลองระบบสุรยิ ะ โลกของเราเปน็ ดาวเคราะหท์ ม่ี ขี นาดใหญเ่ ปน็ ลำดับท่ีเท่าใด
(แนวคำตอบ โลกมีขนาดใหญ่เป็นลำดบั ที่ 5)
3.3 ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม โดยครูเนน้ ใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า แบบจำลองระบบ
สุริยะทำให้เราสามารถเปรยี บเทยี บขนาดของดาวเคราะหจ์ ริงในระบบสุริยะได้มากข้นึ
4. ข้ันขยายความรู้ (20 นาท)ี
1. นักเรียนลองประดิษฐ์แบบจำลองระบบสุริยะเป็นแบบ 3 มิติ จากการประกอบจากทรางเรขาคณติ
5. ขนั้ ประเมินผล (10 นาที)
1. ครูตรวจผลงานของนักเรียน
8. สอ่ื การเรียนรู้
1. หนังสอื เรยี นรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เลม่ 2

9. การวัดและประเมินผล

จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการ เครอื่ งมอื เกณฑ์การผา่ น
คำถาม จดุ ประสงค์
1. อธบิ ายเปรยี บเทยี บคาบการ ถาม – ตอบ รอ้ ยละ 60 ขนึ้ ไป
แบบจำลอง
โคจรของดาวเคราะหต์ ่าง ๆ ใน แบบสงั เกต คะแนน Rubric ระดับ
2 ขึน้ ไปจาก 4 ระดบั
ระบบสรุ ยิ ะได้ (K) คะแนน Rubric ระดบั
2 ขนึ้ ไปจาก 4 ระดับ
2. สร้างแบบจำลองเพอื่ แสดง ตรวจแบบจำลอง

องค์ประกอบของระบบสรุ ิยะได้ (P)

3. มนี ิสยั ใฝ่เรียนรู้ สังเกตพฤติกรรม

10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผล (รูบริคส)์ 4 (ดมี าก) ระดับคณุ ภาพ
3 (ด)ี 2 (พอใช้) 1 (ปรบั ปรุง)
ประเด็นการประเมนิ
ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 60
1. อธิบายเปรียบเทียบคาบการโคจรของ
ดาวเคราะห์ตา่ ง ๆ ในระบบสุรยิ ะได้ (K) - มคี ุณสมบตั ิ - มคี ณุ สมบตั ิ 3 - มีคุณสมบัติ - มี
2. สร้างแบบจำลองเพื่อแสดง
องคป์ ระกอบของระบบสรุ ยิ ะได้ (P) 4 ใน 4 ของ ใน 4 ของระดบั 2 ใน 4 ของ คณุ สมบัติ 1
คุณภาพ
- สรา้ งแบบจำลองจากข้อมูลท่มี ีได้ ระดบั คุณภาพ คณุ ภาพ ระดับคุณภาพ ใน 4 ของ
- ชนิ้ งานมคี วามสมบูรณ์
- มคี วามคดิ สร้างสรรค์ ระดบั
- ชิน้ งานสะอาดไม่เลอะเถอะ
4. มนี ิสยั ใฝ่เรยี นรู้ (A) คณุ ภาพ
คุณภาพ
- สนใจร่วมกจิ กรรมในชนั้ เรียนและ - มคี ณุ สมบตั ิ - มีคุณสมบัติ 3 - มคี ุณสมบตั ิ - มี
ค้นควา้ หาความรู้
- รบั ผิดชอบต่องานได้รบั มอบหมาย 4 ใน 4 ของ ใน 4 ของระดบั 2 ใน 4 ของ คุณสมบัติ 1
- รบั ฟงั ความคิดเห็นของผูอ้ ่นื
- ส่งงานครบตรงตามเวลากำหนด ระดบั คณุ ภาพ คุณภาพ ระดบั คุณภาพ ใน 4 ของ

ระดบั

คุณภาพ

แบบประเมนิ ผลการจดั การเรยี นรู้

(K) (P) (A)
ผ่านร้อยละ 60 ผา่ นระดับ 2 ขน้ึ ไป ผ่านระดับ 2 ข้ึนไป คะแนน
เลขท่ี ช่อื - สกุล เก็บ
คะแนน ผ/ 1 2 3 4 ผ/ 1 2 3 4 ผ/ (10)
1 ด.ช.กรวชิ ญ์ เกตุสวุ รรณ์ (10) มผ มผ มผ
2 ด.ช.ธนภมู ิ เมน่ ตน้ สาย
3 ด.ช.ธีรภทั ร ฉายยา
4 ด.ช.ปยิ ะ ศรีสงวน
5 ด.ช.วฒุ กิ ร บญุ ทะเล
6 ด.ญ.กวนิ ธิดา ธรรมรัชพมิ ล
7 ด.ญ.ขวัญเรอื น ผันเขียว
8 ด.ญ.คณุ ติ า ศรสี นธิ์
9 ด.ญ.จรรยาภรณ์ คงนวล
10 ด.ญ.พรประภา ลนิ ศรี
11 ด.ญ.ไอยรา นมิ่ นอ้ ย
12 ด.ญ.นาราชา เกตกุ อ

u4{lv

uuvtflua{ur.lu

am nr:ihil?udu nltsrirlr : Gu uf,

2. ilrurfrnwa/n:surunr: (P)
e. 6'ruq rudnueuvd'ufi .:r.J:yar d (n)

flnrurlorla::n

ria raua uuu .z uurmrr ufi'lt

nd{ta ya 4

.zuuuun

-.,

...3....t...Z.. n,....../ ...b. 10....

u-uu=f-l4-it-f-f- ?'tc.l lf4fil{Jat qU9ltnOS?06au a n q5tdltejil5rt

$$lunt3tfl

i!

NTflLNU{
U

....3...t ...2 ;.9,......../ ...hL....

แผนการจดั การเรียนรู้
วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1

รหัส-ช่ือรายวิชา วิทยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หน่วยการเรียนรู้เรื่อง ลกั ษณะทางพันธกุ รรม ระดับชั้น ประถมศึกษาปที ่ี 5

ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 2 คาบ/สัปดาห์

เรอ่ื ง การถ่ายทอดลักษณะทางพันุกรรม (1) เวลา 2 คาบ

ชอ่ื ผ้สู อน นาย อนพุ งศ์ พิมแสน วันท.่ี .....18.......เดอื น พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2564

โรงเรียนบ้านหาดสองแคว ตำบล หาดสองแคว อำเภอ ตรอน จงั หวัด อตุ รดติ ถ์ คะแนนเก็บ.........คะแนน

1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การ

เปลย่ี นแปลงทางพันกุ รรมที่มผี ลตอ่ ส่ิงมีชวี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ัฒนาการของสิง่ มีชวี ิต รวมทั้ง
นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
2. ตัวชว้ี ัด

ป.5/1 อธบิ ายลักษณะทางพันกุ รรมท่มี กี ารถา่ ยทอดจากพ่อสู่ลกู ของพืช สัตว์ และมนษุ ย์

3. สาระสำคญั
- ส่ิงมชี ีวิตทงั้ พืช สัตว์ และมนุษย์ เมอื่ โตเตม็ ที่จะมกี ารสืบพนั ธุ์เพ่ือเพิม่ จำนวนและดำรงพันธ์ุ โดยลูกท่ี

เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ทำให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกต่าง
จากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น โดยลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจะอยู่ในยีน ซึ่งยีน คือ หน่วยพันธุกรรมที่ทำ

หน้าท่ีควบคุมและถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของส่ิงมชี วี ิต

- พชื จะมกี ารถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น ลักษณะของใบ สดี อก
- สตั ว์จะมีการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม เชน่ สขี น ลักษณะของขน ลักษณะใบหู

- มนษุ ยม์ ีการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม เช่น เชิงผมที่หนา้ ผาก ลักยม้ิ

4. สาระการเรยี นร(ู้ เนือ้ หา)
- การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมของ พชื สัตว์ และมนษุ ย์

5. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ด้านความรู้ (K) นกั เรียนสามารถ:
1.1 อธิบายลักษณะทางพนั ุกรรมทมี่ ีการถ่ายทอดจากพ่อส่ลู กู ของพืช สัตว์ และมนุษย์ ได้

2. ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) นกั เรียนสามารถ:
2.1 สังเกตลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของมนุษย์ได้

3. ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) ส่งเสริมให้นกั เรยี น:
3.1 มุ่งมั่นในการทำงาน

6. สมรรถนะนกั เรยี น
1. ด้านการสอื่ สาร
2. ดา้ นการคิด
3. ด้านการแก้ปัญหา
4. ดา้ นทักษะชวี ติ

7. รปู แบบวิธีการจดั ประสบการเรยี นรู้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5Es Instructional Model
ลำดบั ขน้ั การจัดประสบการณ์เรียนรู้

1. ขนั้ สรา้ งความสนใจ (10 นาท)ี
1.1 ครูแนะนำตัว และให้นักเรยี นทุกคนคนแนะนำตวั เอง และทำกจิ กรรมนทั นาการละลายพฤติกรรม
1.2 ครเู ปดิ ภาพการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม

1.3 ครูถามนักเรยี นเพือ่ กระต้นุ ความคิดวา่ จากภาพมลี ักษณะใดบา้ งที่เปน็ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม
(แนวคำตอบ พืช ได้แก่ ลักษณะสีของดอก รูปร่างของใบ มนุษย์ ได้แก่ ลักษณะสีผม สีผิว ดวงตา สัตว์
ได้แก่ ลกั ษณะของสีขน หาง ใบห)ู
2. ขัน้ ขนั้ สำรวจและค้นหา (60 นาที)
2.1 ครอู ธิบาย ความหมายของลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของ พชื สัตว์ และมนุษย์ให้นกั เรยี น
2.2 ครูตั้งคำถาม “นักเรียนคิดว่า ลักษณะทางพันธกุ รรมใดบา้ งที่สามารถ ถ่ายถอดจากรุ่นหน่ึงไปยงั อกี
ร่นุ หนึง่ ”
(แนวคำตอบ พืช ได้แก่ สีดอก ลำต้น ลักษณะของใบ ฯลฯ สัตว์ ได้แก่ สีขน ลักษณะของหาง ใบหู ฯลฯ
มนุษย์ ได้แก่ ลักษณะเส้นผม สีผม สดี วงตา ติง่ หู ฯลฯ ข้ึนอยู่กบั ความคดิ เหน็ ของนกั เรยี น)
2.3 ใหน้ ักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น

2.4 เปิดแผนภาพการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของสนุ ขั

2.5 ครตู ัง้ คำถาม “นักเรียนคิดว่า สนุ ัขรนุ่ ลูกจะมลี กั ษณะใดได้บา้ ง”
(แนวคำตอบ สนี ำ้ ตาล สีขาว ขาวปนนำ้ ตาล ขึ้นอย่กู ับความคิดเหน็ ของนกั เรยี น)
2.6 ครูให้นักเรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็น จากน้ันครอู ธบิ ายคำตอบ
2.7 ครูให้นักเรียนศึกษาลักษณะทางพนั ธุกรรมของมนษุ ย์จากหนังสือเรยี น

2.8 ครูกิจกรรมการสังเกตลักษณะทางพันุกรรมของเพือ่ น และตารางการบันทึกผลการสังเกต และให้

นักเรียนบนั ทึกตารางลงในสมดุ

ตารางการบนั ทึกผลการสงั เกต

ช่ือเพอ่ื น ลักษณะทางพนั กุ รรมทสี่ ังเกตได้

1.

2.

3.

4.

5.

2.9 ครใู หน้ ักเรียนทำกิจกรรมสังเกตลักษณะทางพันธกุ รรมของเพอ่ื น 5 คน และบันทกึ ผลการสังเกตลง

ในตารางตารางการบันทกึ ผลการสังเกต

3. ข้ันอธบิ ายและลงสรุป (20 นาที)

3.1 ครใู ห้นักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลการสังเกตหน้าชั้นเรยี น

3.2 สรปุ ลกั ษณะทางพันกุ รรมของเพอ่ื นในหอ้ งทกุ คนทส่ี ังเกตได้

4. ขัน้ ขยายความรู้ (10 นาที)

4.1 ครตู ง้ั คำถาม “หากเราตอ้ งการสังเกตลักษณะทางพันุกรรมของตวั เราเอง ตอ้ งทำอยา่ งไร”

(แนวคำตอบ ส่องกระจกแลว้ สงั เกต)

4.2 ครมู อบหมายงานใหน้ ักเรียนกลับไปสงั เกตลักษณะทางพันธกุ รรมของคนในครอบครัว และบันทึกผล

การสงั เกตลงในตาราง

ความสัมพนั ธ์ ลกั ษณะทางพนั กุ รรมท่สี งั เกตได้

1. พ่อ

2. แม่

3. ตัวฉัน

4. พ/ี่ นอ้ ง

5. ป่/ู ตา

6. ยา่ /ยาย

....

5. ข้ันประเมนิ ผล (10 นาที)

5.1 ตรวจตารางบนั ทึกผลการสงั เกตลักษณะทางพนั ธุกรรมของเพ่อื น

5.2 ตง้ั คำถาม “ชว่ ยกันยกตัวอยา่ งลักษณะทางพันธกุ รรม นอกเหนอื จากทีส่ ังเกตของเพ่อื นได้”

(แนวคำตอบ ขึ้นอยู่กบั ความคดิ เห็นของนักเรยี น)

8. ส่ือ/ แหลง่ การเรยี นรู้
1. หนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 เลม่ 1
2. PowerPoint การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม

9. การวดั และประเมนิ ผล

จดุ ประสงค์ วธิ กี าร เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารผา่ น
คำถาม จดุ ประสงค์
1.1 อธิบายลักษณะทางพนั กุ รรมทีม่ ี ถาม – ตอบ รอ้ ยละ 60 ข้นึ ไป
การถ่ายทอดจากพ่อสลู่ ูกของพืช สตั ว์ ใบกจิ กรรม
และมนษุ ยไ์ ด้ (K) กจิ กรรมสงั เกตลักษณะ แบบประเมิน คะแนน Rubric ระดับ
2.1 สงั เกตลักษณะทางพนั ธกุ รรมของ ทางพันธุกรรม พฤตกิ รรม 2 ข้ึนไปจาก 4 ระดบั
มนษุ ยไ์ ด้ (P) สังเกตพฤติกรรมการ คะแนน Rubric ระดบั
3.1 มุง่ มัน่ ในการทำงาน (A) ทำงานกลุ่ม 2 ขน้ึ ไปจาก 4 ระดับ

10. เกณฑก์ ารประเมนิ

ประเด็นการประเมิน 4 (ดีมาก) ระดับคณุ ภาพ
3 (ดี) 2 (พอใช้) 1 (ปรบั ปรุง)

1. อธบิ ายลักษณะทางพันุกรรมท่ีมีการ

ถา่ ยทอดจากพอ่ สู่ลูกของพืช สัตว์ และ ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 60 ขึน้ ไป

มนุษย์ได้ (K)

2. สงั เกตลักษณะทางพนั ธุกรรมของ - มคี ณุ สมบัติ - มีคุณสมบตั ิ 3 - มีคณุ สมบัติ - มี

มนุษยไ์ ด้ (P) 4 ใน 4 ของ ใน 4 ของระดับ 2 ใน 4 ของ คุณสมบัติ 1

คุณภาพ ระดับคุณภาพ คุณภาพ ระดบั คณุ ภาพ ใน 4 ของ

- สงั เกตลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของเพอื่ น ระดบั

ได้ครบทง้ั 5 คน คณุ ภาพ

- ลักษณะทางพนั ธกุ รรมของเพอื่ นสังเกต

ได้ ต้องสอดคลอ้ งกบั เพอื่ นคนอ่นื

- บอกลักษณะทางพนั ธกุ รรมของเพอ่ื นได้

ครบทกุ คนในหอ้ ง

- ร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นกับคำตอบของ

เพ่ือน

4. มีนิสยั ใฝเ่ รยี นรู้ (A) - มีคุณสมบตั ิ - มคี ณุ สมบัติ 3 - มีคณุ สมบตั ิ - มี

คุณภาพ 4 ใน 4 ของ ใน 4 ของระดบั 2 ใน 4 ของ คุณสมบัติ 1

- สนใจร่วมกิจกรรมในช้ันเรยี นและ ระดับคุณภาพ คณุ ภาพ ระดับคณุ ภาพ ใน 4 ของ

ค้นคว้าหาความรู้ ระดบั

- รบั ผดิ ชอบตอ่ งานไดร้ ับมอบหมาย คณุ ภาพ

- รบั ฟงั ความคิดเห็นของผู้อนื่

- ส่งงานครบตรงตามเวลากำหนด

แบบประเมินผลการจดั การเรียนรู้

เลขที่ ชอื่ - สกุล (K) (P) (A) คะแนน
ผา่ นรอ้ ยละ ผ่านระดับ 2 ขึ้นไป ผ่านระดบั 2 ขนึ้ ไป เกบ็
1 ด.ช.กันตพล ช่วยคมุ้ (10)
2 ด.ช.กติ ตกิ นั ย์ อ้นเชียง 60 1 2 3 4 ผ/ 1 2 3 4 ผ/
3 ด.ช.กิตตพิ งษ์ ทองคพสขุ ราช มผ มผ
4 ด.ช.กิติศักด์ิ หวงั ทรพั ย์ คะแนน ผ/
5 ด.ช.วรชติ นกเขียว (10) มผ
6 ด.ช.สรุ พศ พุทธา
7 ด.ช.อิทธกิ ร นาคสุข 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
8 ด.ญ.กันยารัตน์ สายสุรยิ ์ 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
9 ด.ญ.กฤติยา อยู่จนี 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
10 ด.ญ.อจั ฉริยา ม่วงเอม 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
11 ด.ช.ธนากร ชีวะรัตน์
12 ด.ญ.ณฎั ฐพร คล้ายนคร 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
13 ด.ญ.ภคพร เอมกมล 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
14 ด.ช.ไนยชน คลา้ ยนคร 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
15 ด.ญ.ณัฐนชิ า ไกแ่ กว้ 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
6 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 6
7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

uvu4vilflua{lur.lu

ar a m :doil EU6u n1 rnifl 1 : rEo uff

t. drunrruf, 0<)

""""'T" """"

z. rirufrnuy/n:vurunrr (p)

s. #ruqatdnurusdufi .rU:yarri (n)

f,aUnq ar/aila::n

uuidlliClt,nufdig?)1ei lifitJta{E{Um$ 5?oaau uNufl.l50fi n13 lsutJ5

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2

รหสั -ชื่อรายวชิ า วิทยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หน่วยการเรยี นรู้เรือ่ ง ลักษณะทางพนั ธุกรรม ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5

ภาคเรยี นที่ 2 จำนวน 2 คาบ/สปั ดาห์

เร่อื ง การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ุกรรม (2) เวลา 2 คาบ

ชอ่ื ผู้สอน นาย อนุพงศ์ พมิ แสน วนั ท่.ี .....25.......เดอื น พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2564

โรงเรยี น บ้านหาดสองแคว ตำบล หาดสองแคว อำเภอ ตรอน จังหวัด อุตรดิตถ์ คะแนนเกบ็ ...10...คะแนน

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การ

เปล่ยี นแปลงทางพนั ุกรรมท่ีมผี ลตอ่ สงิ่ มีชวี ติ ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิง่ มีชวี ติ รวมทั้ง
นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ตวั ชวี้ ัด

ป.5/2 แสดงความอยากรอู้ ยากเหน็ โดยการถามคำถามเก่ยี วกบั ลกั ษณะที่คล้ายคลึงกนั ของตนกับพ่อแม่

3. สาระสำคัญ

- สงิ่ มชี วี ติ ทั้งพชื สตั ว์ และมนษุ ย์ เมอ่ื โตเตม็ ท่ีจะมกี ารสืบพันธุ์เพอ่ื เพิ่มจำนวนและดำรงพันธ์ุ โดยลูกท่ี

เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ทำให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกต่าง

จากส่งิ มชี ีวติ ชนิดอ่นื โดยคนเราจะมลี ักษณะคล้ายคลงึ กับคนในครอบครวั ของเรา ลกั ษณะต่าง ๆ ที่คล้ายคลึง

กันนี้เป็นการถ่ายทอดลักษณะบางลักษณะจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน เรียกว่า การถ่ายทอดลักษณะทาง

พันธกุ รรม ซ่ึงบางลักษณะจะเหมอื นพอ่ หรอื เหมือนแม่ หรอื อาจมลี ักษณะเหมือนปู่ ย่า ตา ยาย

4. สาระการเรียนร้(ู เนอื้ หา)
- ลกั ษณะของตนเองจะคลา้ ยคลงึ กบั คนในครอบครวั

5. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. ดา้ นความรู้ (K) นกั เรียนสามารถ:
1.1 บอกลักษณะทางพันธกุ รรมของตนเองทคี่ ล้ายคลึงกบั คนในครอบครวั ได้

2. ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) นักเรียนสามารถ:
2.1 สังเกตลักษณะทางพนั ธุกรรมของตนเองและคนในครอบครวั ได้

3. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) ส่งเสริมให้นักเรยี น:
3.1 แสดงความอยากรู้อยากเห็น

6. สมรรถนะนักเรยี น
1. ด้านการสอ่ื สาร
2. ด้านการคดิ
3. ด้านการแก้ปัญหา
4. ด้านทักษะชีวิต

7. รูปแบบวิธีการจัดประสบการเรียนรู้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 5Es Instructional Model
ลำดบั ข้นั การจัดประสบการณ์เรยี นรู้

1. ข้ันสร้างความสนใจ (10 นาที)
1.1 ครูในนักเรียนทำกิจกรรมนัทนาการละลายพฤตกิ รรม
1.2 ครูสุ่มเลือกนักเรียนชายและหญิง อย่างละ 1 คู่ ให้ออกมาหน้าชั้นเรียน จากนั้นให้นักเรียนร่วมกัน
สงั เกตเพือ่ นที่ยนื อย่หู น้าห้อง
1.3 ครกู ระตนุ้ ความสนใจของนักเรียนกอ่ นทจ่ี ะเข้าสู่บทเรยี น โดยตัง้ คำถามกระต้นุ ความคดิ ดังนี้
- นักเรียนคดิ ว่า เพ่ือนทีย่ นื อย่หู นา้ ช้นั มีรูปร่างหนา้ ตาคล้ายคลงึ กันหรอื ไม่ เพราะเหตุใด
(แนวตอบ ไมค่ ลา้ ยคลงึ กนั เพราะเพื่อนไม่ใช่ลกู ท่มี ีพอ่ แมเ่ ดยี วกัน)
- นกั เรยี นคดิ วา่ ถา้ เพือ่ นท่ยี ืนอยู่หน้าหอ้ งมพี ่อแม่คนเดียวกัน เพ่ือนที่ยืนอยูห่ นา้ ห้องจะมีรูปร่างหน้าตา
คล้ายคลึงกันหรอื ไม่
(แนวตอบ เหมือนกนั )
- นกั เรยี นคิดว่า ถ้าคนท่เี ปน็ พอ่ แม่คนเดียวกัน จะมรี ปู รา่ งหน้าตาแตกตา่ งกันไดห้ รือไม่ เพราะอะไร
(แนวตอบ ได้ เพราะอาจไดร้ บั ลักษณะทางพันธกุ รรมบางอย่างมาจากปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ปา้ นา้ อา หรือ
คนในรนุ่ อ่นื ๆ)
1.4 ครแู จ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ และตรวจสอบการบา้ น
2. ขัน้ ขัน้ สำรวจและค้นหา (60 นาท)ี
2.1 ครูสุ่มใหน้ ักเรียนนำเสนอผลการสงั เกตลักษณะทางพนั ธุกรรมของคนในครอบครวั จากการบา้ น
2.2 ครูสุ่มถาม “จากการสังเกตลกั ษณะทางพันธุกรรมของคนในครอบครวั นักเรียนมี ลกั ษณะใดเหมือน
หรือคล้ายคลึงกบั คนในครอบครวั และใครบา้ ง”
(แนวคำตอบ แลว้ แต่ส่ิงทีน่ ักเรยี นสงั เกตมา)
2.3 ครูสรุปความรูเ้ พิ่มเตมิ ให้นักเรียนเขา้ ใจเกีย่ วกับการทำกิจกรรมว่า จากการทำกิจกรรมนักเรียนจะ
เห็นได้ว่าตัวเองและพี่น้องมีลักษณะบางลักษณะเหมือนพ่อ และมีบางลักษณะเหมือนแม่บางลักษณะอาจไม่
เหมือนพ่อเหมอื นแม่ แตอ่ าจเปน็ ลักษณะท่ีเหมอื นปู่ ย่า ตา ยาย ซงึ่ ลักษณะทถี่ ่ายทอดจากพ่อแมส่ ู่ลูกหลานได้
นนั้ เป็นลกั ษณะทางพันธุกรรม
2.4 ครูอธิบายความรู้เพิ่มเติมใหก้ ับนักเรียนเกี่ยวกับกฎของเมนเดล ในการถ่ายลักษณะทางพนั ธุกรรม
ของสงิ่ มีชีวิต

2.5 ครูยกตัวอย่างการหาลักษณะทางพันธกุ รรมจากรุ่นสู่นรุ่น ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
จากเซลลส์ บื พนั ธข์ องกระตา่ ย และพชื

3. ขนั้ อธิบายและลงสรปุ (10 นาท)ี
3.1 ครอู ธบิ ายเพ่มิ เติมให้นักเรยี นเขา้ ใจวา่ แม้ว่าเรากบั สมาชิกในครอบครัวของเราจะมีลกั ษณะบางอย่าง
เหมือนกัน แต่ทุกคนก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากคนอื่นที่ทำให้เรารู้ว่า เราเป็นใคร และมีลักษณะ
อย่างไร เช่น ตัวเราและพนี่ ้องของเรามีลักษณะบางอยา่ งที่คล้ายกับพ่อแม่ แต่จะมีบางอยา่ งทแ่ี ตกต่างกัน ท้งั ๆ
ที่เปน็ พนี่ อ้ งจากพอ่ แมเ่ ดยี วกนั ความแตกต่างน้ีเรียกวา่ ความแปรผนั ทางพันธกุ รรม
4. ขน้ั ขยายความรู้ (20 นาท)ี
4.1 ครูตั้งโจทย์ “พ่อสุนขั ขนสีน้ำตาล ผสมพนั ธ์ุกับ แม่สนุ ขั ขนสีขาว ในรุน่ ลกู และรนุ่ หลานจะมีโอกาสมี
ขนเป็นสใี ดได้บ้าง”
4.2 ใหน้ ักเรียนทำลงในสมุดบันทึก
5. ขน้ั ประเมินผล (10 นาท)ี
5.1 ตรวจตารางบันทกึ ผลการสงั เกตลักษณะทางพนั ธุกรรมของคนในครอบครวั

8. สือ่ / แหลง่ การเรียนรู้
1. หนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 เล่ม 1

9. การวัดและประเมนิ ผล

จุดประสงค์ วิธีการ เครือ่ งมอื เกณฑ์การผา่ น
จุดประสงค์

1.1 บอกลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของตนเอง ถาม - ตอบ คำถาม รอ้ ยละ 60 ข้ึนไป

ทค่ี ล้ายคลงึ กบั คนในครอบครัวได้ (K)

2.1 สงั เกตลักษณะทางพนั ธกุ รรมของ สังเกตลักษณะทาง ใบงาน คะแนน Rubric ระดบั

ตนเองและคนในครอบครัวได้ (P) พันธุกรรรม 2 ขนึ้ ไปจาก 4 ระดบั

3.1 แสดงความอยากรอู้ ยากเหน็ (A) สงั เกตพฤตกิ รรมการ แบบประเมิน คะแนน Rubric ระดับ

ทำงานกลมุ่ พฤติกรรม 2 ขน้ึ ไปจาก 4 ระดับ

10. เกณฑ์การประเมิน

ระดับคณุ ภาพ

ประเด็นการประเมนิ 4 3 21

(ดีมาก) (ดี) (พอใช)้ (ปรับปรุง)

1. บอกลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของตนเองท่ีคลา้ ยคลึงกบั ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 60 ขึ้นไป
คนในครอบครวั ได้ (K)

2. สังเกตลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของตนเองและคนใน - มี - มีคณุ สมบตั ิ - มี - มี

ครอบครวั ได้ (P) คณุ สมบตั ิ 4 3 ใน 4 ของ คุณสมบั คณุ สมบตั ิ

คณุ ภาพ ใน 4 ของ ระดับคณุ ภาพ ติ 2 ใน 4 1 ใน 4

- สงั เกตลักษณะทางพนั ธกุ รรมของคนในครอบครวั ได้ ระดบั ของ ของระดบั

- ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมขอคนในครอบครัวทส่ี งั เกตได้ คุณภาพ ระดบั คณุ ภาพ

ต้องมีความคลา้ ยคลงึ กบั ตนเอง คณุ ภาพ

- บอกลักษณะทางพันธกุ รรมของคนในครอบครับที่

เหมือนและแตกตา่ งจากตนเองได้

- ร่วมกันแสดงความคิดเห็นกับคำตอบของเพื่อน

3. แสดงความอยากรอู้ ยากเหน็ (A) - มี - มคี ณุ สมบัติ - มี - มี

คณุ ภาพ คุณสมบตั ิ 4 3 ใน 4 ของ คณุ สมบั คณุ สมบตั ิ

- มีความเพยี รท่ีจะสำรวจส่ิงรอบตวั ใน 4 ของ ระดับคุณภาพ ติ 2 ใน 4 1 ใน 4

- ตอบสนองต่อเหตุการณ์ใหม่ ระดับ ของ ของระดับ

- มีความอดทนทจ่ี ะเรียนรู้ คณุ ภาพ ระดับ คุณภาพ

- มคี วามสงสยั กล้าตั้งคำถาม คุณภาพ

แบบประเมินผลการจดั การเรียนรู้

เลขที่ ชอื่ - สกุล (K) (P) (A) คะแนน
ผา่ นรอ้ ยละ ผ่านระดับ 2 ขึ้นไป ผ่านระดบั 2 ขนึ้ ไป เกบ็
1 ด.ช.กันตพล ช่วยคมุ้ (10)
2 ด.ช.กติ ตกิ นั ย์ อ้นเชียง 60 1 2 3 4 ผ/ 1 2 3 4 ผ/
3 ด.ช.กิตตพิ งษ์ ทองคพสขุ ราช มผ มผ
4 ด.ช.กิติศักด์ิ หวงั ทรพั ย์ คะแนน ผ/
5 ด.ช.วรชติ นกเขียว (10) มผ
6 ด.ช.สรุ พศ พุทธา
7 ด.ช.อิทธกิ ร นาคสุข 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
8 ด.ญ.กันยารัตน์ สายสุรยิ ์ 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
9 ด.ญ.กฤติยา อยู่จนี 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
10 ด.ญ.อจั ฉริยา ม่วงเอม 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
11 ด.ช.ธนากร ชีวะรัตน์
12 ด.ญ.ณฎั ฐพร คล้ายนคร 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
13 ด.ญ.ภคพร เอมกมล 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
14 ด.ช.ไนยชน คลา้ ยนคร 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
15 ด.ญ.ณัฐนชิ า ไกแ่ กว้ 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8

uuduil flnffia{$flu

? rirufrnus/n :su'lunr: (P) NaTtscls lG)
s4ao6t-d 9*r,ro,u
3. frrun ardnuruud'ufi {il :sa.rr{ (e)
q

flruur,zoila::a

ria rauo uur / urururt urfr'tt

... 2.6./.....T., .H.,....../ ....h +....

s<dTtva94

ulJvl fl ff ?.t&r [uuta.iftum5t86au ug,itJf].I5-t0f't15 --t-5-uu-O5

atdfr0........... ..............({n:ro)

JJ
nI?lrau{
....2p..t ......=.,.1 ;..../ .....?..+....

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3

รหสั -ช่ือรายวิชา วิทยาศาสตร์ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หน่วยการเรียนรู้เรือ่ ง แรงในชีวติ ประจำวัน ระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

ภาคเรยี นท่ี 2 จำนวน 2 คาบ/สัปดาห์

เรอ่ื ง แรงลพั ธ์ เวลา 2 คาบ

ชอื่ ผู้สอน นาย อนพุ งศ์ พิมแสน วนั ที่......2.......เดอื น ธันวาคม พ.ศ. 2564

โรงเรียน บ้านหาดสองแคว ตำบล หาดสองแคว อำเภอ ตรอน จังหวัด อุตรดิตถ์ คะแนนเก็บ.........คะแนน

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ติ ประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุลักษณะการเคล่ือนท่ีแบบ

ต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระประโยชน์
2. ตวั ช้ีวัด

ป.5/1 อธบิ ายวิธีการหาแรงลพั ธข์ องแรงหลายแรงในแนวเดียวกนั ท่กี ระทำตอ่ วัตถุในกรณีที่วัตถุหยุดน่ิง
จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์

ป.5/2 เขยี นแผนภาพแสดงแรงท่กี ระทำตอ่ วัตถุท่ีอยใู่ นแนวเดียวกนั และแรงลพั ธท์ ี่กระทำต่อวัตถุ
3. สาระสำคัญ

- แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงทก่ี ระทำต่อวตั ถุ โดยแรงลพั ธข์ องแรง ๒ แรงที่กระทำต่อวัตถเุ ดียวกันจะมี
ขนาดเท่ากบั ผลรวมของแรงทั้งสองเมือ่ แรงทัง้ สองอย่ใู นแนวเดยี วกนั และมีทิศทางเดียวกันแต่จะมขี นาดเท่ากับ
ผลต่างของแรงท้งั สองเมือ่ แรงทัง้ สองอยู่ในแนวเดียวกนั แตม่ ีทิศทางตรงข้ามกัน สำหรับวัตถุที่อยู่น่ิงแรงลัพธ์ท่ี
กระทำต่อวตั ถมุ ีคา่ เป็นศูนย์

- การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุสามารถเขียนได้โดยใช้ลูกศร โดยหัวลูกศรแสดงทิศทาง
ของแรง และความยาวของลูกศรแสดงขนาดของแรงทกี่ ระทำต่อวัตถุ
4. สาระการเรียนรู(้ เนอื้ หา)

- การหาแรงลัพธ์
- แผนภาพของแรงทกี่ ระทำตอ่ วัตถุ

5. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. ดา้ นความรู้ (Knowledge) นักเรียนสามารถ:
1.1 อธบิ ายวธิ ีการหาแรงลพั ธข์ องแรงหลายแรงในแนวเดยี วกนั ทกี่ ระทำตอ่ วัตถุในกรณที วี่ ตั ถุอยู่นิ่ง

2. ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (Process/Products) นกั เรยี นสามารถ:
2.1 เขยี นแผนภาพแสดงแรงที่กระทำต่อวัตถุทอี่ ยู่ในแนวเดยี วกันและแรงลพั ธ์ที่กระทำตอ่ วตั ถุ

3. ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) สง่ เสริมใหน้ ักเรยี น:
3.1 ม่งุ มัน่ ในการทำงาน

6. สมรรถนะนักเรียน
1. ด้านการสื่อสาร
2. ดา้ นการคิด
3. ด้านการแกป้ ัญหา
4. ดา้ นทกั ษะชวี ติ

7. รปู แบบวิธีการจัดประสบการเรยี นรู้ การสอนแบบ CIPA
ลำดับข้นั การจัดประสบการณ์เรยี นรู้
ขัน้ ท่ี 1 ทบทวนความรู้เดมิ
1.1 ครูกล่าวทักทายนักเรียนและแนะนำตัว พร้อมให้นักเรียนเรียนแนะนำตนเองเพื่อทำความรู้จักกัน

ครูชแ้ี จง้ คำอธบิ ายรายวิชา
1.2 ครูตั้งคำถาม “หากมีตู้ 1 หลังอยู่ในห้องเรียน และนักเรียนต้องการเคลื่อนที่ให้ตู้ออกจากห้องไปที่

หนา้ เสาธง นกั เรยี นจะมีวธิ กี ารเคลื่อนยา้ ยอยา่ งไรใหส้ ะดวกและรวดเร็วทสี่ ุด” จากนน้ั ให้นักเรียนรว่ มกันแสดง
ความคิดเหน็ โดยครูตง้ั คำถามดงั นี้

- ถ้านักเรียนพาเพื่อนๆ ไปย้ายตู้นักเรียนจะให้เพื่อนช่วยดำเนินการอย่างไร (แนวตอบ ช่วยกันออก
แรงผลัก ดันและดึง ตู้ใหเ้ คลอ่ื นที่)

- นักเรียนจะมีวิธีการออกแรงอย่างไรให้เคลื่อนตู้ได้เร็วขึ้น (แนวตอบ ช่วยกันออกแรงผลักหรือดึงไป
ในทางเดียวกัน)

- นักเรียนสังเกตเห็นการออกแรงและการเคลื่อนที่ของตู้นั้นเป็นอย่างไร (แนวตอบ แรงที่กระทำและทิศ
ทางการเคล่ือนท่ขี องตู้ไปในทิศทางเดยี วกัน)

1.3 ให้นักเรียนอภปิ รายร่วมกันภายในหอ้ ง หลงั จากน้ันครสู รุปคำตอบเพม่ิ เตมิ
1.4 ครูเปิดคลิป VDO หรือ ส่อื PowerPoint (Presentation Multimedia) เก่ียวกบั แรงลพั ธ์
ขั้นท่ี 2 ข้ันแสวงหาความรใู้ หม่
1.4 ครูตง้ั คำถาม “ทำไมเวลานกั เรียนเล่นชกั เย่อเชือกท่ีนกั เรยี นดงึ ถงึ เล่ือนไปอกี ฝงั่ หนึ่งไปมา”
2.2 ครแู บ่งกลุ่มใหน้ ักเรยี น โดยใชอ้ ตั ราสว่ น 1:2:1 เกง่ :กลาง:อ่อน
2.1 ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวางแผนและแบ่งหน้าที่ ค้นคว้าหาความรู้เรื่อง แรงลัพธ์ จากหนังสือเรียน
อินเทอร์เนต็ และ ใบความรู้

ขัน้ ท่ี 3 การศกึ ษาทำความเข้าใจขอ้ มูล/ความรู้ใหม่ และเชอื่ มโยงความรู้ใหมก่ บั ความเดมิ
3.1 ให้นกั เรียนแตล่ ะคน จดบันทึกขอ้ มูลที่ตนเองหามาได้จากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ ลงในสมุด
ขน้ั ท่ี 4 การแลกเปลีย่ นความรเู้ ขา้ ใจกับกลมุ่
4.1 ให้นักเรียนแต่ละคนผลัดกันเลา่ เรอ่ื งทีต่ นเองคน้ ควา้ มาได้ใหส้ มาชิกในกลุม่ ฟงั เพ่อื แลกเปลย่ี นข้อมลู
4.2 ใหน้ กั เรยี นรว่ มกันอภิปรายภายในกลุ่มเพือ่ หาขอสรุปของกลมุ่ ตนเอง
ขัน้ ที่ 5 การสรปุ และจดั ระเบยี บความรู้
5.1 ครูแจกกระดาษใหก้ บั นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่
5.2 ให้นักเรียนนำข้อสรุปของกลุ่มตนเองจัดกระทำลงในกระดาษในรูปแบบต่าง ๆ โดยให้นักเรียนเขียน
แผนภาพแสดงแรงที่กระทำตอ่ วตั ถุที่อย่ใู นแนวเดียวกันและแรงลพั ธ์ที่กระทำต่อวตั ถุ
ขั้นท่ี 6 การแสดงผลงาน
6.1 ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มนำผลงาน ออกมานำเสนอหน้าช้ันเรียน
6.2 เมอ่ื นำเสนอครบทุกกล่มุ ครูอธบิ ายเพม่ิ เติมในสว่ นท่ีเขา้ ใจคลาดเคลอ่ื น
ขนั้ ที่ 7 การประยุกตใ์ ชค้ วามรู้
7.1 ครูสอบถามนักเรียนว่า “ในชีวิตประจำวันนักเรียนสามารถนำความรู้เรื่องแรงลัพธ์ไปประยุกต์ใช้
อะไรได้บา้ ง” (แนวคำตอบ เช่น การปั่นจักรยานพ่วง ซึ่งเกิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทำทำให้วัตถุเคลื่อนท่ไี ป
ตามทศิ ทางของแรงและถ้าผลของแรงลพั ธท์ ีม่ คี า่ เป็นศนู ย์ก็จะทำให้สิง่ ต่างๆ เกิดการหยดุ นงิ่ อยูก่ บั ทไ่ี ดเ้ ช่นกัน)

8. สอ่ื / แหล่งการเรยี นรู้
1. หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 เล่ม 1

9. การวัดและประเมินผล

จุดประสงค์ วธิ กี าร เคร่ืองมอื เกณฑก์ ารผา่ น
คำถาม จุดประสงค์
1.1 อธบิ ายวธิ กี ารหาแรงลัพธข์ องแรง ถาม - ตอบ รอ้ ยละ 60 ขึน้ ไป
หลายแรงในแนวเดียวกนั ทีก่ ระทำต่อวัตถุ ใบงาน
ในกรณีที่วัตถอุ ยนู่ ิ่ง (K) ตรวจแผนภาพ คะแนน Rubric ระดบั
2.1 เขยี นแผนภาพแสดงแรงทก่ี ระทำตอ่ แบบประเมิน 2 ข้ึนไปจาก 4 ระดบั
วัตถทุ อี่ ยู่ในแนวเดียวกนั และแรงลัพธท์ ี่ สังเกตพฤตกิ รรมการ พฤติกรรม
กระทำตอ่ วัตถุ (P) ทำงานกลุ่ม คะแนน Rubric ระดับ
3.1 มุง่ มน่ั ในการทำงาน (A) 2 ขน้ึ ไปจาก 4 ระดับ

10. เกณฑก์ ารประเมิน ระดบั คณุ ภาพ
4 3 21
ประเดน็ การประเมนิ (ดมี าก) (ดี) (พอใช)้ (ปรบั ปรงุ )

1. อธิบายวธิ ีการหาแรงลพั ธข์ องแรงหลายแรงในแนว ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 60 ขน้ึ ไป
เดยี วกันท่กี ระทำต่อวัตถุในกรณีทีว่ ัตถุอยู่น่งิ (K)
2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงที่กระทำตอ่ วัตถุทอ่ี ยใู่ นแนว - มี - มีคณุ สมบัติ - มี - มี
เดียวกันและแรงลัพธท์ ีก่ ระทำต่อวัตถุ (P)
คณุ ภาพ คณุ สมบัติ 4 3 ใน 4 ของ คุณสมบั คุณสมบัติ
- ระบุขนาดของแรงไดถ้ กู ตอ้ ง
- ใช้สัญลักษณ์แสดงทศิ ทางของแรงไดถ้ กู ต้อง ใน 4 ของ ระดับคณุ ภาพ ติ 2 ใน 4 1 ใน 4
- ผลงานมีความถูกตอ้ ง
- อธิบายผลของแรงลพั ธไ์ ด้ ระดบั ของ ของระดบั
3. มุ่งมั่นในการทำงาน (A)
คุณภาพ คุณภาพ ระดบั คุณภาพ
- สนใจรว่ มกิจกรรมในชน้ั เรียน
- คน้ คว้าหาความรู้ดว้ ยตนเอง คุณภาพ
- ช้ินงานมีความสมบรู ณ์
- สง่ งานครบตรงตามเวลากำหนด - มี - มีคณุ สมบัติ - มี - มี

คุณสมบัติ 4 3 ใน 4 ของ คุณสมบั คุณสมบตั ิ

ใน 4 ของ ระดับคุณภาพ ติ 2 ใน 4 1 ใน 4

ระดับ ของ ของระดับ

คณุ ภาพ ระดบั คุณภาพ

คณุ ภาพ

แบบประเมนิ ผลการจัดการเรียนรู้

เลขที่ ชอื่ - สกุล (K) (P) (A) คะแนน
ผ่านร้อยละ ผา่ นระดับ 2 ข้นึ ไป ผ่านระดบั 2 ขนึ้ ไป เกบ็
1 ด.ช.กันตพล ช่วยคมุ้ (10)
2 ด.ช.กติ ตกิ นั ย์ อ้นเชียง 60 1 2 3 4 ผ/ 1 2 3 4 ผ/
3 ด.ช.กิตตพิ งษ์ ทองคพสขุ ราช มผ มผ
4 ด.ช.กิติศักด์ิ หวงั ทรพั ย์ คะแนน ผ/
5 ด.ช.วรชติ นกเขียว (10) มผ
6 ด.ช.สรุ พศ พุทธา
7 ด.ช.อิทธกิ ร นาคสุข 7 ผ ✓✓✓ - ผ ✓✓✓✓ ผ 7
8 ด.ญ.กันยารัตน์ สายสุรยิ ์ 8 ผ ✓ - ✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
9 ด.ญ.กฤติยา อยู่จนี 8 ผ ✓ - ✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
10 ด.ญ.อจั ฉริยา ม่วงเอม 7 ผ ✓✓✓ - ผ ✓✓✓✓ ผ 7
11 ด.ช.ธนากร ชีวะรัตน์
12 ด.ญ.ณฎั ฐพร คล้ายนคร 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
13 ด.ญ.ภคพร เอมกมล 7 ผ ✓ - ✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
14 ด.ช.ไนยชน คลา้ ยนคร 8 ผ ✓ - ✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
15 ด.ญ.ณัฐนชิ า ไกแ่ กว้ 7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7
8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 8
8 ผ ✓ - ✓ - ผ ✓✓✓✓ ผ 8
7 ผ ✓ - ✓ - ผ ✓✓✓✓ ผ 7
6 ผ ✓✓✓ - ผ ✓✓✓✓ ผ 6
7 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

u44

uuunfia.ittr.ru

p,i an 1 :{oil :u6ru n 1 T6f n''r t rEuuf
r. ffruneTuf; {r)

z. oiruflnuu/fl :uu?unr: (p)

s. frT uqard'nueusdufirtJ:sa.rd (R)

- >u{n tsJa, .ru C'/r-,ro- nrrr t x

Js

....2...t .....n.,. n...../ ......b. *...
L-uJ=1zJf$-4fl9n,v.qt9.l,silt1ilfl a€ftuf-,rsi?ofl au uHilfl ,]58fl m3tstju5

a{dt0 .(4'n:ro)

.ij

Fl51!tAU.t
U

....2...t ....fr ....b..*....
'..q.,.....t

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 4

รหสั -ชือ่ รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หนว่ ยการเรยี นรูเ้ รอ่ื ง แรงในชีวติ ประจำวนั ระดบั ช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี 5

ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 2 คาบ/สัปดาห์

เรือ่ ง แรงเสียดทาน เวลา 2 คาบ

ช่อื ผูส้ อน นาย อนพุ งศ์ พิมแสน วันที่......9.......เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2564

โรงเรยี น บา้ นหาดสองแคว ตำบล หาดสองแคว อำเภอ ตรอน จงั หวัด อุตรดิตถ์ คะแนนเก็บ.........คะแนน

1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวนั ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุลกั ษณะการเคลื่อนท่ีแบบ

ตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระประโยชน์
2. ตัวชี้วัด

ป.5/4 ระบุผลของแรงเสยี ดทานทม่ี ีตอ่ การเปลี่ยนแปลงการเคลอื่ นท่ีของวัตถุจากหลักฐานเชิประจักษ์
ป.5/5 เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงที่อยู่ในแนวเดียวกันท่กี ระทำตอ่ วตั ถุ
3. สาระสำคัญ

- แรงเสียดทานเปน็ แรงทีเ่ กิดข้ึนระหว่างผวิ สมั ผัส ของวัตถุเพอื่ ตา้ นการเคลอื่ นทขี่ องวัตถุน้ันโดย ถา้ ออก
แรงกระทำตอ่ วตั ถทุ อ่ี ย่นู ิง่ บนพื้นผิวหนง่ึ ให้เคลอ่ื นที่ แรงเสยี ดทานจากพน้ื ผิวนนั้ กจ็ ะต้านการเคลอ่ื นท่ีของวัตถุ
แตถ่ า้ วตั ถุกำลังเคล่ือนทีแ่ รงเสยี ดทานกจ็ ะทำให้วัตถนุ นั้ เคล่ือนที่ช้าลงหรอื หยุดนงิ่

4. สาระการเรยี นรู(้ เนอ้ื หา)
- แรงเสียดทาน

5. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ด้านความรู้ (Knowledge) นักเรียนสามารถ:
1.1 ระบุผลของแรงเสียดทานทีม่ ีต่อการเปลย่ี นแปลงการเคลอ่ื นท่ีของวัตถุ

2. ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (Process/Products) นกั เรียนสามารถ:
2.1 เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานและแรงท่ีอยใู่ นแนวเดยี วกนั ทีก่ ระทำต่อวัตถุ

3. ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) ส่งเสรมิ ให้นกั เรยี น:
3.1 มุ่งมั่นในการทำงาน

6. สมรรถนะนกั เรยี น
1. ด้านการส่อื สาร
2. ดา้ นการคดิ
3. ดา้ นการแกป้ ัญหา
4. ดา้ นทกั ษะชีวติ

7. รูปแบบวิธกี ารจัดประสบการเรียนรู้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ E5s
ลำดบั ขนั้ การจัดประสบการณ์เรียนรู้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ E5s
1. ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครนู ำเข้าสบู่ ทเรียนโดยเลอื กตัวแทนนักเรยี น 2 คน ใหค้ นหน่งึ นง่ั ยอง ๆ นกั เรียนอกี คนหนึ่งลากเพอ่ื น

ทนี่ งั่ ยอง ๆ ใหเ้ คลอื่ นทไ่ี ปบนพืน้ จากนัน้ ครูอาจใช้คำถามดังน้ี
- ขณะท่ีนกั เรียนลากเพ่ือนให้เคลื่อนท่ี มแี รงเสียดทานเกิดขึน้ หรือไม่ ถ้ามี แรงเสยี ดทานมีทศิ ทางอย่างไร

(มแี รงเสียดทานเกดิ ข้นึ โดยแรงเสยี ดทานมีทิศทางตรงกันข้ามกับทศิ ทางที่ตัวเพ่ือนเคลอื่ นที่ไป)
- แรงเสยี ดทานเกิดข้ึนบรเิ วณใด (ระหวา่ งพ้ืนกับเทา้ ของนักเรยี นที่นงั่ ยอง ๆ)
-เมือ่ นักเรยี นลากเพอ่ื น แล้วเพอ่ื นยังไม่เคลือ่ นที่ นกั เรยี นคิดวา่ มีแรงเสยี ดทานเกิดข้นึ หรือไม่ ถ้ามี คิดว่า

แรงนั้นมคี ่าเปน็ เท่าใด (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ)
2. ข้นั ข้ันสำรวจและคน้ หา
2.1 ครแู บง่ กลุม่ ใหน้ ักเรียน โดยใช้อตั ราส่วน 1:2:1 เก่ง:กลาง:อ่อน ใหไ้ ด้กลุ่มละเท่า ๆ กัน
2.2 ครูให้นักเรียนศึกษาวิธีการปฏิบัติกิจกรรม จากใบกิจกรรมที่ 2 แรงเสียดทานมีผลต่อวัตถุอย่างไร

จากหนังสือแบบฝกึ หัดวิชาวทิ ยาศาสตร์ชันประถมศกึ ษาปที ่ี 5
2.3 ใหน้ ักเรยี นลงมอื ปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยครคู อยชว่ ยเหลอื ให้คำแนะนำให้กับนกั เรยี นขณะปฏบิ ัติกิจกรรม

และเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนซักถามปญั หาขณะทำกจิ กรรม โดยให้นกั เรียนปฏบิ ัติดงั น้ี
1) ให้แตล่ ะกลมุ่ นำดินน้ำมนั ใส่ถงุ พลาสตกิ หหู ว้ิ แลว้ นำมาเกย่ี วท่ตี ะขอของเครื่องชั่งสปริง
2) ออกแรงดึงถุงพลาสติกหูห้ิวด้วยเคร่ืองช่ังสปริงในแนวราบโดยท่ีถงุ พลาสตกิ หหู ้ิวยงั คงอยู่น่ิง และอ่าน

คา่ แรงบนเคร่อื งชง่ั สปริง ทำซ้ำ 3 คร้ัง
3) จดบนั ทกึ ขอ้ มลู การสังเกตลงในใบกิจกรรมที่ 2
3. ขนั้ อธิบายและลงสรปุ
3.1 นักเรยี นและครูรว่ มกันอภปิ รายและหาข้อสรุปจากการปฏิบตั กิ จิ กรรม ในประเด็น
- มีแรงใดบา้ งกระทำตอ่ ถุงพลาสตกิ หูห้วิ ในแนวราบ ซ่งึ เปน็ ผลทำใหถ้ งุ พลาสตกิ หหู ้ิวอยนู่ ่งิ
- นกั เรยี นจะนำเสนอผลการอภิปรายด้วยการ (เขียนแผนภาพแสดงทศิ ทางของแรง)
3.2 นักเรียนและครูรว่ มกันอภปิ รายและหาข้อสรปุ จากการปฏบิ ัติกจิ กรรม
3.3 ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ ความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรมจนได้ข้อสรุป ดงั นีแ้ รงเสยี ดทานเป็นแรงท่ี

ต้านทานการเคล่ือนที่ของวัตถจุ งึ มีผลต่อการเคล่อื นท่ีของวัตถุ แรงเสยี ดทานจะเกิดขน้ึ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
น้ำหนกั ของวัตถแุ ละลักษณะพื้นผวิ สมั ผสั ของวตั ถุ

4. ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครูตงั้ คำถามเพอ่ื ขายายความรู้
- แรงเสียดทานจะมีค่ามากหรือมีน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งใด เพราะอะไร (แนวตอบ ลักษณะของพื้นผิวสัมผัส
เพราะถ้าพื้นผิวเรียบก็จะเกิดแรงเสียดทานน้อย แต่ถ้าพื้นผิวไม่เรยี บก็จะเกิดแรงเสียดทานมาก และน้ำหนัก

ของวัตถุ เพราะวัตถุมีน้ำหนักน้อย แรงกดที่กระทำต่อพื้นผิวจะมีน้อย ทำให้แรงเสียดทานน้อย แต่ถ้าวัตถุมี
น้ำหนักมาก แรงกดท่ีกระทำตอ่ พื้นผวิ จะมมี าก ทำให้แรงเสยี ดทานมาก)

- ยกตัวอย่างกจิ กรรมที่เกยี่ วขอ้ งกับแรงเสียดทานมา 2 กจิ กรรม (แนวตอบ เช่น เด็กเตะฟุตบอล เด็กเข็น
รถของเลน่ เด็กเลน่ สไลเดอรเ์ ดก็ เลน่ สเกตบอรด์ เด็กเลน่ สก)ี

- การเคลือ่ นที่ของวัตถุมีความสัมพนั ธ์กับพ้ืนผิวสัมผัสหรือไม่ อย่างไร (แนวตอบ มีเพราะถ้าพ้ืนผิวสัมผัส
เรยี บ การเคลื่อนที่ของวัตถุจะเคล่ือนท่ีได้ดีแต่ถ้าพืน้ ผิวสมั ผสั ไม่เรียบ การเคลื่อนท่ีของวัตถุจะเคลอ่ื นทชี่ า้ ลง)

- นักเรียนคิดว่า การแตะลูกบอลด้วยแรงที่เท่ากนั บนพื้นซเี มนต์กับสนามหญ้าที่แห้ง การเตะ ลูกบอลท่ี
บรเิ วณใดจะทำใหล้ ูกบอลเคลอื่ นทไี่ ปได้ไกลทีส่ ดุ เพราะอะไร (แนวตอบ เดก็ เตะฟุตบอลไปบนพ้ืนซีเมนตเ์ พราะ
บนพ้นื ซีเมนต์เปน็ พื้นผวิ เรยี บทำใหพ้ ื้นผิวลกู บอลที่มาสัมผัสเกิดแรงเสียดทานน้อย จึงทำให้ลูกบอลไปไกลกว่า
การเตะลกู บอลที่สนามหญ้าทแี่ หง้ เพราะพื้นผวิ ไม่เรยี บกจ็ ะเกดิ แรงเสยี ดทานมาก)

5. ขั้นประเมนิ ผล
5.1 ครูและนักเรยี นร่วมกนั กนั แสดงความคดิ เห็นเกีย่ วกับประโยชนใ์ นการปฏิบัติกิจกรรมและนำความรู้ท่ี
ได้ไปใช้ประโยชน์

8. สือ่ / แหล่งการเรยี นรู้
1. หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 เลม่ 1

9. การวดั และประเมนิ ผล วธิ กี าร เครอื่ งมือ เกณฑ์การผา่ น
ถาม - ตอบ คำถาม จดุ ประสงค์
จดุ ประสงค์ ตรวจแผนภาพ ใบงาน รอ้ ยละ 60 ขึ้นไป

1.1 ระบุผลของแรงเสยี ดทานทม่ี ีตอ่ การ สงั เกตพฤตกิ รรมการ แบบประเมนิ คะแนน Rubric ระดบั
เปลีย่ นแปลงการเคล่ือนท่ีของวัตถุ (K) ทำงานกลุ่ม พฤตกิ รรม 2 ขึน้ ไปจาก 4 ระดบั
2.1 เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทาน
และแรงทอี่ ยูใ่ นแนวเดียวกันที่กระทำตอ่ คะแนน Rubric ระดับ
วัตถุ (P) 2 ขึ้นไปจาก 4 ระดับ
3.1 มุ่งม่นั ในการทำงาน (A)

10. เกณฑ์การประเมิน ระดับคณุ ภาพ
4 3 21
ประเด็นการประเมิน (ดีมาก) (ดี) (พอใช้) (ปรบั ปรุง)

1. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงทอ่ี ย่ใู นแนว ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 60 ข้นึ ไป
เดียวกนั ทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ (K)
2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงทีก่ ระทำตอ่ วัตถุทอ่ี ยู่ในแนว - มี - มคี ุณสมบตั ิ - มี - มี
เดียวกนั และแรงลพั ธ์ทกี่ ระทำตอ่ วัตถุ (P)
คณุ ภาพ คณุ สมบัติ 4 3 ใน 4 ของ คุณสมบั คุณสมบตั ิ
- ระบุขนาดของแรงเสียดทานได้ถกู ต้อง
- ใช้สัญลกั ษณ์แสดงทิศทางของแรงเสยี ดทานได้ถูกตอ้ ง ใน 4 ของ ระดับคณุ ภาพ ติ 2 ใน 4 1 ใน 4
- ผลงานมีความถูกต้อง
- อธบิ ายผลของแรงเสียดทานได้ ระดับ ของ ของระดบั
3. มุ่งมน่ั ในการทำงาน (A)
คณุ ภาพ คณุ ภาพ ระดับ คุณภาพ
- สนใจรว่ มกจิ กรรมในชั้นเรียน
- ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง คุณภาพ
- ชิ้นงานมคี วามสมบูรณ์
- ส่งงานครบตรงตามเวลากำหนด - มี - มคี ุณสมบัติ - มี - มี

คุณสมบัติ 4 3 ใน 4 ของ คณุ สมบั คณุ สมบตั ิ

ใน 4 ของ ระดบั คุณภาพ ติ 2 ใน 4 1 ใน 4

ระดบั ของ ของระดับ

คณุ ภาพ ระดบั คณุ ภาพ

คณุ ภาพ

แบบประเมนิ ผลการจัดการเรยี นรู้

(K) (P) (A)
ผา่ นร้อยละ 60 ผ่านระดับ 2 ขึ้นไป ผ่านระดบั 2 ขึน้ ไป คะแนน
เลขท่ี ชอ่ื - สกลุ เกบ็
คะแนน ผ/ 1 2 3 4 ผ/ 1 2 3 4 ผ/ (10)
1 ด.ช.กนั ตพล ช่วยคมุ้ (10) มผ มผ มผ
2 ด.ช.กิตติกันย์ อ้นเชียง
3 ด.ช.กติ ตพิ งษ์ ทองคพสขุ ราช
4 ด.ช.กติ ศิ ักด์ิ หวงั ทรพั ย์
5 ด.ช.วรชิต นกเขยี ว
6 ด.ช.สุรพศ พุทธา
7 ด.ช.อทิ ธกิ ร นาคสุข
8 ด.ญ.กนั ยารตั น์ สายสรุ ิย์
9 ด.ญ.กฤติยา อย่จู นี
10 ด.ญ.อจั ฉริยา ม่วงเอม
11 ด.ช.ธนากร ชีวะรัตน์
12 ด.ญ.ณัฎฐพร คล้ายนคร
13 ด.ญ.ภคพร เอมกมล
14 ด.ช.ไนยชน คล้ายนคร
15 ด.ญ.ณฐั นชิ า ไกแ่ ก้ว

uuunua{[[9Ju

o{afl 1?,i'gil TU6u n1 Tflin''r :rEu uff

r. firun.rruf; tr)

z. 6T u$'nus/n*ueuarr (P)

a. frruq rudnueusdufi 'rrJxa.rr{ (R)

tlarrar,zoila::n

{arauouus / uurmtuffts

u-dil4E44l,tndftf ?.t&r wtuga {aUinU5?efl au uEtufl 15a9n't5t5uus

nTl"\l:tau{
U

....1.... / ...F.,,.q.,....... / ..b. t#.......

แผนการจดั การเรียนรู้
วชิ าวทิ ยาศาสตรช์ ้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1

รหสั -ชอ่ื รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หน่วยการเรียนรเู้ รอ่ื ง หนิ และซากดกึ ดำบรรพ์ ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6

ภาคเรียนท่ี 2 จำนวน 2 คาบ/สัปดาห์

เร่อื ง กระบวนการเกดิ หิน เวลา 2 คาบ

ชอื่ ผู้สอน นาย อนุพงศ์ พมิ แสน วนั ที่......15,17.......เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

โรงเรยี นบา้ นหาดสองแคว ตำบล หาดสองแคว อำเภอ ตรอน จังหวัด อตุ รดิตถ์ คะแนนเก็บ............คะแนน

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและ

บนผิวโลก รณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและ
ส่งิ แวดลอ้ ม
2. ตวั ช้ีวัด

ป.6/1 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร และอธิบายวัฏจักรหินจาก

แบบจำลอง

3. สาระสำคัญ

- หินอัคนีเกดิ มาจากการเย็นตวั ของแมกมา หินตะกอนเกิดมาจากการทับถมของตะกอนเมื่อถูกแรงกด

ทับและมีสารเชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหิน หินแปรเกิดมาจากการแปรสภาพของหินเดิม ซึ่งอาจเป็นหินอัคนี

หนิ ตะกอน หรอื หนิ แปร โดยการกระทำของความร้อน ความดัน และปฏิกริ ยิ าเคมี

4. สาระการเรยี นร(ู้ เนอ้ื หา)
- กระบวนการเกดิ หนิ อัคนี หินตะกอน หินแปร

5. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ดา้ นความรู้ (K) นกั เรยี นสามารถ:
1.1 เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ หินอคั นี หนิ ตะกอน และหนิ แปรได้

2. ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) นักเรยี นสามารถ:
2.1 สังเกตลกั ษณะของหินและสำรวจแหล่งหนิ ในทอ้ งถน่ิ /ชุมชน/โรงเรียนของตนเองได้

3. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A) ส่งเสรมิ ให้นกั เรยี น:
3.1 มงุ่ มัน่ ในการทำงาน

6. สมรรถนะนกั เรยี น
1. ด้านการสือ่ สาร
2. ด้านการคิด

3. ด้านการแกป้ ญั หา
4. ด้านทกั ษะชวี ิต
7. รูปแบบวธิ ีการจดั ประสบการเรยี นรู้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 5Es Instructional Model
ลำดับข้ันการจัดประสบการณ์เรยี นรู้ (ชัว่ โมงท่ี 1)
1. ขัน้ สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูแนะนำตัว และให้นักเรยี นทกุ คนคนแนะนำตัวเอง และทำกิจกรรมนทั นาการละลายพฤติกรรม
1.2 ทดสอบก่อนเรียนเพื่อประเมินความรเู้ ดิมของนกั เรียน
1.3 นักเรียนสังเกตลกั ษณะความเหมือนและความแตกตา่ งของหนิ แตล่ ะชนดิ จากตัวอย่างหินที่ครูเตรียม
1.4 ต้งั คำถามให้นักเรยี นตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
- หินแต่ละก้อนมีลักษณะอยา่ งไร
(แนวคำตอบ ขึ้นอยูก่ บั ลกั ษณะของหินท่คี รูนำมาให้นักเรยี นสงั เกต)
- เพราะเหตใุ ดหนิ จึงมลี ักษณะแตกต่างกนั
(แนวคำตอบ เพราะหนิ แตล่ ะชนิดมีกระบวนการเกดิ แตกต่างกัน)
- หนิ เกดิ ขนึ้ ได้อย่างไร
(แนวคำตอบ ตอบตามความคิดเหน็ ของนกั เรยี น เชน่ เกดิ จากการทับถม)
1.5 นักเรียนอา่ นสาระสำคัญและดภู าพจากหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 2 จากนั้นครถู ามคำถาม
ว่า นกั เรียนคิดวา่ หนิ ในภาพสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้หรือไม่ อย่างไร แลว้ รว่ มกนั ตอบอย่างอิสระ
(แนวคำตอบ สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เชน่ ใชต้ กแต่งบรเิ วณสวนหย่อม)
1.6 นกั เรียนดูภาพในหนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 2 หนา้ 25 และตอบคำถามวา่ ลาวาทเี่ กดิ จาก
การปะทขุ องภเู ขาไฟเก่ยี วขอ้ งกบั การเกดิ หนิ หรือไม่ อยา่ งไร
(แนวคำตอบ เก่ยี วข้อง เพราะลาวาทีเ่ กิดจากการปะทขุ องภูเขาไฟเมือ่ เย็นตัวลงจะกลายเปน็ หนิ อคั นพี ุ)
1.7 นกั เรียนอา่ นกิจกรรมชวนอ่าน ชวนคิดก่อนเรียน ตอน ประโยชนข์ องหิน ในหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์
ป.6 เลม่ 2 หน้า 26 และตอบคำถามชวนตอบต่อไปนี้
- หนิ คอื อะไร และเราสามารถนำหนิ ชนิดต่างๆ มาใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจำวนั ไดอ้ ยา่ งไร
(แนวคำตอบ หิน คือ วัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยแร่ตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไป สามารถ
นำมาใช้ประโยชน์ไดห้ ลายด้าน เชน่ สรา้ งผนังบา้ น ทำครกหนิ ปพู ้นื )
1.8 ครสู นทนากบั นกั เรียนเพื่อโยงเข้าสกู่ จิ กรรมว่า หินเปน็ ทรพั ยากรทีเ่ กิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หินเป็น
สว่ นประกอบของเปลอื กโลกที่มีลักษณะเปน็ ก้อนแขง็ มรี ูปรา่ ง และปริมาณท่ีแน่นอน นกั วิทยาศาสตร์จำแนก
หินตามกระบวนการเกดิ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอคั นี หนิ ตะกอน และหนิ แปร วันน้ีเราจะมาเรียนรู้ว่าหิน
เกิดข้ึนได้อย่างไร จากกจิ กรรมต่อไปน้ี

2. ขนั้ ข้นั สำรวจและค้นหา
2.1 ครเู ปิดภาพ ตวั อยา่ งหิน แต่ชนิดใหน้ กั เรยี นดู (หนิ อคั นี หนิ ตะกอน และหินแปร)
2.2 ครูให้นักเรียนศกึ ษาค้นควา้ เรือ่ ง กระบวนการเกิดหิน จากหนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตร์
2.3 ครูตั้งคำถาม “จากภาพที่ครูเปิดให้ดูเมื่อต้นชั่วโมง นักเรียนสามารถจำแนกหินได้กี่ประเภท
อะไรบ้าง และหินแต่ละชนดิ จดั อยู่ในประเภทใด”
2.4 ใหน้ ักเรยี นชว่ ยกนั แสดงความคิดเห็นภายในชั้นเรียน
3. ขน้ั อธบิ ายและลงสรุป
3.1 ครชู ว่ ยอธบิ ายกระบวนการเกิดหินแต่ละชนดิ โดยสรุปไดว้ า่ (หินอัคนีเกิดมาจากการเย็นตัวของแมก
มา หินตะกอนเกิดมาจากการทับถมของตะกอนเมื่อถูกแรงกดทับและมีสารเชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหิน หิน
แปรเกิดมาจากการแปรสภาพของหินเดิม ซึ่งอาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปร โดยการกระทำของ
ความรอ้ น ความดนั และปฏิกริ ยิ าเคมี)
4. ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครูมอบหมายงาน ให้นกั เรียนกลับไปสำรวจแหล่งหินทบี่ ริเวณบา้ น/ชุมชน/โรงเรยี น แลว้ เกบ็ ตัวอย่าง
หนิ แตล่ ะชนดิ ท่พี บเจอ คนละ 3 ก้อน แล้วใหไ้ ปศกึ ษาค้นคว้าเพิม่ เติมเกย่ี วกับกระบวนการเกดิ หนิ
4.2 ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคำถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คำถาม เพ่ือนำมาอภิปรายร่วมกัน
ในห้องเรยี นคร้ังตอ่ ไป
5. ขั้นประเมินผล
5.1 ครตู ้งั คำถามเพื่อประเมนิ ความเขา้ ใจของนักเรยี นเกี่ยวกบั กระบวนการเกิดหนิ
- หนิ แบ่งออกเปน็ กปี่ ระเภท อะไรบา้ ง
(แนวคำตอบ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. หินอัคนี ยังสามารถแบ่งออกไดอ้ ก 2 กลุ่มคือ หินอัคนีพุ และ
อคั นีแทรกซอน 2. หนิ ตะกอน 3. หินแปร)
- หนิ อัคนพี ุ และหนิ อคั นีแทรกซอน แตกต่างกนั อยา่ งไร
(แนวคำตอบ หินอัคนีแทรกซอน คือ หินอัคนีที่เย็นตัวใต้เปือกโลก เกิดขึ้นจากแมกมา (หินหนืด) จะเยน็
ตัวลงอย่างช้า ๆ ทำใหแ้ ร่ต่าง ๆ มเี วลาตกผลกึ นาน หินจงึ มเี น้อื หยาบและแขง็ หนิ อัคนีพุ คือ หินอัคนีท่ีแข็งตัว
บนเปลือกโลก เกดิ จาการปะทุของแมกมา (หินหนืด) พงุ่ ข้นึ มายูบนผวิ โลก เรียกวา่ ลาวา เมือ่ ลาวา เย็นตัวลง
อย่างรวดเร็วหรือแบพลันจงึ ทำใหแ้ ร่ตา่ ง ๆ มีเวลาตกผลกึ น้อย เนอ้ื หินจงึ เปน็ รพู รนุ บางชนดิ มีเนอ้ื ละเอยี ด)
- หินตะกอน และหินแปร เกดิ ขน้ึ ได้อยา่ งไร
(แนวคำตอบ หินตะกอน เกิดจากการทับถมของเศษหินที่ผุพังจากหนิ ตา่ ง ๆ รวมทั้งซากสิ่งมีชีวติ โคลน
ดิน ทราย หรือสารอื่นที่สึกกร่อน ที่ตะกอนถูกบีบอัด กดทับ และเกิดการเชื่อมประสานเม็ดตะกอนหรือการ
เการตกผลกึ จนทำใหเ้ ปน็ ช้นั ตะกอนกลายเป็นหนิ ตะกอนต่าง ๆ หนิ แปร คอื หินทเี่ กดิ จากการแปรสภาพของ
หิน อัคนี หินตะกอน หรือหินแปร โดยมีการตกผลึกใหม่ของแร่ในสภาวะที่เป็นของแข็ง เนื่องจากความร้อน
ความดันภายในโลก หรือเกิดจากกระบวนการทางเคมีมาเกี่ยวข้อง ทำให้โครงสร้างของหนิ แปรสภาพเป็นหิน
ชนิดใหม)่

ลำดับขัน้ การจดั ประสบการณเ์ รียนรู้ (ชัว่ โมงท่ี 2)
1. ข้นั สร้างความสนใจ
1.1 ใหน้ ักเรียนนำตวั อย่างหินที่ พบเจอบริเวณบ้านของตนเอง มาใหเ้ พอื่ นสมาชิกดทู ่หี น้าห้องเรยี น
1.2 ครตู ง้ั คำถามใหน้ ักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น

- หนิ แต่ละชนิดท่ีเพ่อื นเกบ็ ตวั อยา่ งมามคี วามแตกตา่ งกนั หรอื ไม่ อย่างไร
(แนวคำตอบ แตกตา่ งกนั มสี ตี า่ งกัน ลกั ษณะพ้ืนผิวต่างกัน ฯลฯ)
1.3 ครแู จ้งจุดประสงค์การเรยี นรู้
2. ขนั้ ขั้นสำรวจและคน้ หา
2.1 ครูแบง่ กลุม่ นักเรยี น คละกัน เก่ง : กลาง : ออ่ น 1 : 2 : 1
2.2 ครูอธิบายใบกิจกรรมสงั เกตลกั ษณะหนิ

2.3 ใหน้ กั เรียนจดบันทึกลงสมุด
2.4 ครูนำตัวอย่างหนิ แตล่ ะชนิดให้นักเรยี นแตล่ ะกลุ่ม โดยตวั อย่างหนิ มี 12 ชนดิ ได้แก่
- หินแกรนิต - หนิ ไดออไรต์ - หนิ บะซอลต์ - หนิ พัมมชิ - หนิ กรวดมน - หนิ ทราย - หนิ ดนิ ดาน - หนิ ปนู
- หนิ ไนส์ - หนิ ควอร์ตไซตฺ - หนิ ชนวน - หินอ่อน
2.5 ให้นักเรยี นสังเกตุลกั ษณะของหินตวั อย่าง
3. ขน้ั อธบิ ายและลงสรปุ
3.1 ครใู ห้นกั เรยี นนำเสนอผลการสงั เกตหนา้ ชน้ั เรียน

- ใหน้ ักเรียนอธิบายลกั ษณะของหิน
- หินตัวอย่างทีส่ ังเกตจดั อยูใ่ นหินประเภทใด เพราะเหตใุ ด
3.2 ครูใหน้ ักเรยี นรว่ มกันวิจารณ์คำตอบของเพ่ือนกลุ่มท่ีนำเสนอ
3.3 ครอู ธิบายเพ่ิมเติมในสว่ นทนี่ กั เรียนเขา้ ใจคลาดเคลื่อนไป

4. ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูสมุ่ หยบิ หินทน่ี กั เรยี นเกบ็ ตัวอย่างมา สอบถามนักเรียนว่า

- หนิ น้จี ดั อยู่ประเภทใด
- ยกตัวอยา่ งหนิ ประเภทนี้มา 1-2 ชนดิ
4.2 ให้นกั เรียนร่วมกันตอบแสดงความคิดเห็น
5. ขนั้ ประเมินผล
5.1 ครสุ ุ่มตัวอย่างหิน และให้นักเรยี นชว่ ยกนั ตอบ
- หินตัวอย่างนีค้ ือหนิ อะไร
- จดั อยใู่ นประเภทใด และมีลกั ษณะอยา่ งไร
8. สอ่ื / แหลง่ การเรียนรู้
1. หนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 เลม่ 2
2. ตวั อย่างหนิ 12 ชนิด
- หนิ แกรนิต - หนิ ไดออไรต์ - หินบะซอลต์ - หนิ พัมมชิ - หินกรวดมน - หนิ ทราย - หินดินดาน - หนิ ปนู
- หนิ ไนส์ - หนิ ควอรต์ ไซตฺ - หนิ ชนวน - หนิ อ่อน

9. การวดั และประเมนิ ผล

จดุ ประสงค์ วธิ กี าร เครอื่ งมอื เกณฑ์การผ่าน
จดุ ประสงค์
1.1 เปรยี บเทียบกระบวนการเกิดหิน ถาม - ตอบ คำถาม ร้อยละ 60 ขึ้นไป
อคั นี หินตะกอน และหินแปรได้ (K)
2.1 สังเกตลกั ษณะของหนิ และสำรวจ กจิ กรรมสงั เกตหนิ ตวั อย่าง ใบกิจกรรม คะแนน Rubric ระดับ
แหลง่ หนิ ในท้องถน่ิ /ชุมชน/โรงเรียน 2 ขึ้นไปจาก 4 ระดบั
ของตนเองได้ (P) สงั เกตพฤติกรรมการ แบบประเมิน
3.1 มุ่งม่นั ในการทำงาน (A) ทำงานกลุ่ม พฤตกิ รรม คะแนน Rubric ระดับ
2 ขน้ึ ไปจาก 4 ระดับ

10. เกณฑก์ ารประเมนิ
พทุ ธพิ สิ ยั (K)

ระดับคุณภาพ ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรุง นำ้ หนัก คะแนน
ความสำคัญ เต็ม
องค์ประกอบ 43 2 1 4
1
ยกตัวอย่าง ยกตวั อย่างได้ ยกตัวอย่างได้อยา่ ง ยกตวั อย่างไดอ้ ย่าง ไม่สามารถ 8
ครบทุกชนิด นอ้ ย 2 ใน 3 ชนดิ น้อย 1 ใน 3 ชนดิ ยกตวั อย่างได้ 2
12
บอกลักษณะ บอกลกั ษณะหินได้ บอกลกั ษณะหินได้ ไม่สามารถบอก 3

ลกั ษณะ ไดค้ รบถ้วน บางชนิดท่ี บางชนดิ ที่ ลักษณะของหินท่ี
ยกตวั อยา่ งได้
ทุกชนดิ ท่ี ยกตัวอยา่ ง อยา่ ง ยกตวั อย่าง อย่าง

ยกตวั อยา่ ง น้อย 2 ใน 3 ชนิด น้อย 1 ใน 3 ชนดิ

รวมคะแนน

คะแนนรวมทเ่ี ปน็ ไปได้ คะแนนตำ่ สุด ...3.... คะแนน คะแนนสูงสุด ....12... คะแนน

ผลการประเมนิ ผ่าน ไม่ผา่ น

ชว่ งคะแนน 7 – 12 1–6

ทักษะ/กระบวนการ (P)

ระดับคะแนน เกณฑก์ ารประเมิน

4 สังเกตตัวอย่างหินได้ครบทุกชนิดที่กำหนดให้ และสามารถสำรวจแหล่งหินแหล่งหินที่บริเวณบ้าน/
ชมุ ชน/โรงเรียน และเกบ็ ตวั อย่างหินแต่ละประเภท ท่แี ตกต่างกันได้ ในแต่ละแหลง่ ทส่ี ำรวจ

สังเกตตัวอย่างหนิ ไดจ้ ำนวน 2 ใน 3 ชนดิ ขนึ้ ไป จากตวั อย่างท่กี ำนหดให้ และสามารถสำรวจแหล่งหิน

3 แหล่งหินที่บริเวณบ้าน/ชุมชน/โรงเรียน และเก็บตัวอย่างหินแต่ละประเภท ที่แตกต่างกันได้ ในแต่ละ

แหล่งทสี่ ำรวจ

สงั เกตตัวอย่างหินได้จำนวน 1 ใน 3 ชนิด ขึน้ ไป จากตัวอยา่ งท่ีกำนหดให้ และสามารถสำรวจแหล่งหิน

2 แหล่งหินที่บริเวณบ้าน/ชุมชน/โรงเรียน และเก็บตัวอย่างหินแต่ละประเภท ที่แตกต่างกันได้ ในแต่ละ

แหล่งท่ีสำรวจ

สังเกตตัวอยา่ งหินได้จำนวนน้อยกวา่ 1 ใน 3 ชนดิ จากตวั อย่างท่กี ำนหดให้ และไมส่ ามารถสำรวจแหล่ง

1 หินแหล่งหนิ ที่บริเวณบ้าน/ชุมชน/โรงเรยี น และเกบ็ ตัวอย่างหินแตล่ ะประเภท ท่แี ตกต่างกนั ไม่ได้ ในแต่

ละแหล่งท่สี ำรวจ

ดา้ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) การใหค้ ะแนน
องค์ประกอบของความมงุ่ มน่ั ในการทำงาน 1. หากมอี งคป์ ระกอบครบถ้วนทุกข้อ ได้ระดับ 4
2. หากมอี งคป์ ระกอบ 3 ใน 4 ขอ้ ได้ระดบั 3
1. ร่วมด้วยช่วยกนั ทำงานกลุ่ม 3. หากมอี งคป์ ระกอบ 2 ใน 4 ข้อ ไดร้ ะดบั 2
2. ตง้ั ใจทำงานกลุม่ 4. หากมอี งคป์ ระกอบ 1 ใน 4 ขอ้ ได้ระดบั 1
3. ทำงานเสรจ็ ตามเวลาทกี่ ำหนด
4. ช้ินงานมีความสมบรู ณ์ครบถว้ นตรงประเด็น

แบบประเมนิ ผลการจัดการเรียนรู้

เลขที่ ชอื่ - สกุล (K) (P) (A) คะแนน
ผา่ นร้อยละ ผา่ นระดบั 2 ข้นึ ไป ผ่านระดับ 2 ขน้ึ ไป เกบ็

60

คะแนน ผ/ 1 2 3 4 ผ/ 1 2 3 4 ผ/ (10)
(12) มผ มผ มผ

1 ด.ช.ศริ มิ งคล ศรกี ุล 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

2 ด.ช.สุกฤษฎิ์ พอสม 10 ผ ✓ ✓ ✓ ✓ ผ ✓ ✓ ✓ ✓ ผ 8

3 ด.ญ.กฤติกานต์ สมทอง 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

4 ด.ญ.นันทณา ยิม้ มี 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

5 ด.ญ.ศศิวมิ ล มีทว้ ม 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

6 ด.ญ.ศิรขิ วัญ มขุ วฒั น์ 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

7 ด.ช.อัครวินท์ ศรีคนธมาส 8 ผ ✓ ✓ ✓ ✓ ผ ✓ ✓ ✓ ✓ ผ 7

8 ด.ญ.โชตกิ า บญุ กลบั พวง 10 ผ ✓ ✓ ✓ ✓ ผ ✓ ✓ ✓ ✓ ผ 8

9 ด.ช.มนสั พงษ์ สทุ ธิกลุ 8 ผ ✓✓✓✓ ผ ✓✓✓✓ ผ 7

U4

uuunfiaitur.tu

Era fi 1 To'fl il :ufi u n1? nin'l :rBu u ff
U

z. d'rufrnwvtn:surunr: (p)
a. frruq rud'nuaryo-ufi ril:sa.: ri (n)

rlqrarZqrJa::n

.:....

tioraua uur / rrurm,tturfflu

...1)..2 ..x :7!. . r...Q..e . .

t-juu4vdtltfetdffg,.t,t8Jtl4ilta{fi.tufrt! 5?t€lou t[NtJfl 15afl f|15t$utJ5

.(4'n:ro)

Jt

Ft;ylrau{

..11....t ....:c.,.?.,..../ ....h i.....


Click to View FlipBook Version