The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน - จิราภรณ์ จำเนียรผล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anu Kimoji, 2023-02-19 00:36:59

วิจัยในชั้นเรียน - จิราภรณ์ จำเนียรผล

วิจัยในชั้นเรียน - จิราภรณ์ จำเนียรผล

วิจัยในชั้นเรียน สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ นางสาว จิราภรณ์ จำ เนียรผล รหัสประจำ ตัว 62031050104 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ เรื่อรื่ง การพัฒพันาผลสัมสัฤทธิ์ทธิ์างการเรียรีน เรื่อรื่ง การดำ รงชีวิชีตวิของพืชพื ของนักนัเรียรีนชั้นชั้มัธมัยมศึกษาปีที่ปี ที่ 1/1โดยการจัดจัการเรียรีนรู้ แบบร่วร่มมือมื โดยใช้เช้ทคนิคนิจิกจิซอร์


บทที่ 1 บทน ำ ที่มำและควำมส ำคัญ วิทยาศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิต ของทุกคนทั้งในการด ารงชีวิตประจ าวันและในงานอาชีพต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนผลผลิตต่างๆ เพื่อ ใช้อ านวยความสะดวกในชีวิตและการท างาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิด สร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก พร้อมกันนั้น เทคโนโลยีก็มีส่วนส าคัญมากที่จะให้การศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง วิทยาศาสตร์ท าให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีทักษะส าคัญใน การค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล หลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสังคมแห่ง ความรู้ ทุกคนจึงจ าเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและ เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น และน าความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ มีคุณธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ ไม่เพียงแต่น ามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ ประโยชน์ การดูแลรักษา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน และที่ ส าคัญยิ่งคือความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันกับนานา ประเทศและด าเนินชีวิตร่วมกันในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข (สุกัญญา ค าวัน, 2558) การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับทั้งความรู้ กระบวนการเจตคติผู้เรียนทุกคน ควรได้รับการกระตุ้น ส่งเสริม ให้สนใจและกระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีความสงสัย เกิดค าถามในสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับ โลกธรรมชาติรอบตัว มีความมุ่งมั่น และมีความสุขที่จะศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้เพื่อรวบรวม ข้อมูล วิเคราะห์ผล น าไปสู่ค าตอบของค าถาม สามารถตัดสินใจด้วยการใช้ข้อมูลอย่างมีเหตุผล สามารถ สื่อสารค าถาม ค าตอบ ข้อมูลและสิ่งที่ค้นพบจากการเรียนรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้ (Gotoknow, 2555) การออกแบบการจัดการเรียนเป็นสิ่งส าคัญที่ผู้สอนต้องค านึงถึงและให้ความส าคัญ โดยผู้สอนควร พิจารณารายวิชาและหัวข้อที่ตนเองจะสอน เพื่อน าไปสู่การพัฒนาผู้เรียนว่าต้องการพัฒนาผู้เรียนด้วยเทคนิค อะไร อย่างไร เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนตั้งไว้ และพบว่าในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ผู้สอนมีการออกแบบการจัดการเรียนการสนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สอดคล้องกับยุคศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการกระบนการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองและน าไปสู่การเรียนรู้ตลอด ชีวิต ซึ่งวิธีการออกแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนี้มีหลากหลายวิธีให้ผู้สอนเลือก เช่น การเรียนที่ใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning),การเรียนแบบโครงงาน (Project-based Leamning), การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative/Collaborative Learning), การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (CAI) หรือสื่อเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง, เทคนิคการใช้ Concept Mapping และเทคนิคบทบาท สมมติ(Role Playing Mode) เป็นต้น (เรวดี ศรีสุข, พย.ม, 2562) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning ) คือ การจัดการเรียนรู้ โดยจัดผู้เรียน ออกเป็นกลุ่มย่อย ที่มีความสามารถแตกต่างกัน และใช้กระบวนการท างานเป็นทีมเพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยน เรียนรู้จากความรู้ที่ได้รับมอบหมายตามหัวข้อที่ก าหนดให้ พร้อมน าความรู้มาสรุปสาระการเรียนรู้และน าไปสู่ เป้าหมายที่ก าหนดไว้ร่วมกัน โดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้ค าปรึกษา ให้ความช่วยเหลือจัดหาและชี้แนะแหล่งค้นคว้า ข้อมูลเพิ่มเดิม ซึ่งมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบให้ผู้สอนเลือกใช้ตามความเหมาะสมของ


เนื้อหา (เรวดี ศรีสุข, พย.ม, 2562) การเรียนแบบร่วมมือมีทั้งเทคนิคที่น ามาใช้ได้ไม่ต้องปรับ และเทคนิคที่ต้อง ปรับเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเนื้อหาวิชา ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อประเภทกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ อย่างไรก็ตามการเรียนแบบร่วมมือจัดเป็นวิธีการสอนอย่างหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้เป็น อย่างดี(ธนิตย์ สุวรรณเจริญ, 2563) รูปแบบจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ สามารถจัดได้อย่างหลากหลาย แต่ทุก แบบมีลักษณะร่วมกัน คือ แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ประมาณ 2-6 คน โดยสมาชิกทุกคนช่วยเหลือกัน มีการฝึกฝนการท างานกลุ่ม กระบวนการกลุ่ม และการประเมินผลเป็นรายบุคคล รูปแบบการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ (ไสว ฟักขาว, 2544 อ้างถึงใน เรวดี ศรีสุข, พย.ม, 2562) รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิด การต่อภาพ ซึ่งบางครั้งเรียกรูปแบบนี้ว่า การเรียนแบบต่อชิ้นส่วน หรือการศึกษาเฉพาะส่วน วิธีการเรียนด้วย รูปแบบนี้ ผู้สอนจะแบ่งกลุ่มผู้เรียนโดยการคละ ตามความสามารถ พร้อมกับมอบหมายให้ทุกกลุ่มท ากิจกรรม ในหัวข้อเดียวกัน หลังจากนั้นในกลุ่มหลัก (Home Groups) ที่แบ่งไว้ให้แบ่งสมาชิกภายในกลุ่มศึกษาเพียงส่วน หนึ่งหรือหัวข้อย่อยของเนื้อหาทั้งหมดโดยขณะศึกษาหัวข้อย่อยนั้น ผู้เรียนจะท างานเป็นกลุ่มกับเพื่อนกลุ่มอื่น ที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกันเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group) และ เตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มหลักของตนเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าว ท าให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะใช้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ ด ารงชีวิตของพืช 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิก ซอร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนท างานร่วมกันโดยในกลุ่มประกอบด้วย สมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมี ความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความส าเร็จ ตามเป้าหมายที่วางไว้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช 2 ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ให้สูงขึ้น และระดับความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอร์เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช อยู่ในระดับ ดี ขึ้นไป ค ำถำมกำรวิจัย 1. การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้ เทคนิคจิกซอร์ เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียน ท่าปลาประชา อุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ท าอย่างไร 2. ผลการทดลองใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช กับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียน ท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่า ปลา จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นอย่างไร วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ก่อนและหลังการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียน ท่าปลาประชา อุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ มีต่อการทดลองใช้ การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช


ผลและประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1. ได้พัฒนาวิธีการการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการ ใช้เทคนิคจิกซอร์ 2. นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ทั้งชั้นเรียน โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์มีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ที่หลังเรียนมากกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญ 0.5 เมื่อใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ 3. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ทั้งชั้นเรียน โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ มีต่อการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์จัด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช อยู่ในระดับ ดี ขึ้นไป สมมติฐำนของกำรวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ที่ได้เรียนโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การด ารงชีวิตของพืช หลังเรียนมากกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ 0.5 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ที่ได้เรียนโดยการจัดการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช โดยใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์มีระดับความพึงพอใจในระดับ ดี ขึ้นไป ขอบเขตกำรวิจัย 1. ขอบเขตด้ำนแหล่งข้อมูล 1.1 ประชำกร นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนท่า ปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จ านวน 135 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่ำง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 แผนการ เรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จ านวน 40 คน เป็นนักเรียนชาย 17 คน นักเรียนหญิง 23 คน ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 2.ขอบเขตด้ำนตัวแปร 2.1 ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับ การใช้เทคนิคจิกซอร์ 2.2 ตัวแปรตำม 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การด ารงชีวิตของพืช จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัด อุตรดิตถ์การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ 2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียน ท่าปลาประชา อุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ มีต่อการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช


3.ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ เนื้อหาในหนังสือเรียนสาระการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐาน รหัสวิชา ว21101 วิชา วิทยาศาสตร์ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนท่าปลาประชา อุทิศ ตามเนื้อหาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การด ารงชีวิตของ พืช 4.ขอบเขตด้ำนระยะเวลำและสถำนที่ ด าเนินการวิจัยระหว่างเดือน กรกฏาคม ถึง เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ณ โรงเรียน ท่าปลาประชา อุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ นิยำมศัพท์เฉพำะ 1. กำรเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Leaning) หมายถึง การเรียนรู้ในรูปแบบการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม โดยสมาชิกในแต่ละกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน ประกอบด้วย นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลาง นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนต่ า ในการด าเนินกิจกรรม นักเรียนแต่ละกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นซึ่งกันและกัน มีการช่วยเหลือพึ่งพากันเพื่อให้กลุ่มตนเองประสบความส าเร็จตามเป้าหมาย มีการฝึกฝน กระบวนการกลุ่ม และการประเมินผลรายบุคคล 2.กำรจัดกำรเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอร์หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ มีการแบ่งสมาชิกออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 4 คน โดยสมาชิกในแต่ละกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน ประกอบด้วย นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลาง นักเรียนที่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ า โดยสมาชิกในแต่ละกลุ่มต้องมีความสามารถใกล้เคียงกัน ครูจัดแบ่งเนื้อหาที่จะ เรียนเป็นเนื้อหาย่อย ๆ เท่ากับจ านวนสมาชิกในกลุ่มของนักเรียน สมาชิกจะได้รับให้ศึกษาค าตอบในประเด็น ปัญหาคนละ 1 ส่วน โดนนักเรียนที่ได้ศึกษาในประเด็นปัญหาเดียวกันจะท าการศึกษาร่วมกัน เมื่อแต่ละคน ศึกษาประเด็นปัญหาจนเข้าใจจะต้องน าสาระความรู้ที่ได้มาสอนเพื่อนในกลุ่มตัวเองให้เข้าใจ จนสมาชิกทุกคน เกิดการเรียนรู้ในภาพรวมของสาระทั้งหมด จากนั้นท าการทดสอบและประเมินผลเป็นรายบุคคล 3. ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ ด ารงชีวิตของพืช ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 4. กำรพัฒนำผลสัมฤทธิ์กำรเรียนรู้หมายถึง ค่าคะแนนเฉลี่ยทั้งชั้นเรียนของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ α = 0.05 เมื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอร์ 5. สำระกำรเรียนรู้เรื่อง กำรด ำรงชีวิตของพืช 2 หมายถึง สาระการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยเรื่อง เนื้อเยื่อล าเลียงในพืช การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศของพืชดอก โครงสร้างของดอก และการ ถ่ายเรณูการถ่ายเรณูของพืชดอก ธาตุอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และการด ารงชีวิตของพืช ธาตุอาหาร เหมาะสมกับพืช การขยายพันธุ์พืช เทคโนโลยีชีวภาพ ประโยชน์ของการขยายพันธุ์พืช 6. ควำมพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจด้านเอกสาร กิจกรรม ตัวครู บรรยากาศ และด้านความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ ที่มีต่อการจัด


กิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิกซอร์ 7. ระดับควำมพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอร์เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช โดยระดับความพึงพอใจแต่ละด้านดังกล่าว จะอ้างอิง ตามเกณฑ์ระดับคะแนนเฉลี่ยของ ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2549 : 39 - 43)ดังนี้ ค่าเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอร์ในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและ งานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้ 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.2 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.4 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.5 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.6 ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี 2.2 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.2.2 องค์ประกอบส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.2.3 เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.2.4 ขั้นตอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.2.5 ประโยชน์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.3 การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ 2.2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ 2.2.2 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ 2.2.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ 2.2.4 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ 2.4 ความพึงพอใจ 2.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ 2.4.2 องค์ประกอบทีท าให้เกิดความพึงพอใจ 2.4.3 การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.5.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.5.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ 2.6 กรอบแนวคิด


2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียน ได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547, หน้า 53) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึงความสามารถ ความส าเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจาก การเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการ ต่างๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548, หน้า 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหมายถึงขนาดของความส าเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549,หน้า 42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรือผลส าเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จ าแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน พวงรัตน ทวีรัตน (2530) ใหความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวา หมายถึง ความรู ความสามารถของบุคคล อันเปนผลมาจากการเรียนการสอน มวลประสบการณทั้งปวงของบุคคลที่ไดรับจาก กิจกรรมการเรียน การสอนท าใหบุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางดานตาง ๆ เกตุสุดา มนิระพงค (2537) ให ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว า คือ ความสามารถของบุคคลที่จะเขาถึงความรูซึ่งเกิดจากการท างานที่ประสานกัน และตองอาศัยความพยายามอย างมาก รวมทั้งองคประกอบที่เกี่ยวของกับสติปญญา และองคประกอบที่ไมใชสติปญญา แสดงออกมาในรูปของ ความส าเร็จซึ่งสามารถสังเกตและวัดไดดวยเครื่องมือทางจิตวิทยา หรือแบบทดสอบความสามารถทั่วไป กูด (Good : 1973) กลาววา ผลสัมฤทธิ์หมายถึง การท าใหส าเร็จมีประสิทธิภาพในดาน การกระท าในลักษณะที่ก าหนดให หรือในดานความรูสวนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การเขาถึงความรู หรือการพัฒนาทักษะทางการเรียน โดยปกติก็จะพิจารณาจากคะแนนทดสอบที่ก าหนดให หรือคะแนนที่ได จากงานที่ครูมอบหมายใหท า หรือทั้งสองอยาง เทพวรรณ สิงหบุตร (2539) กลาววา ความหมายโดยทั่วไปของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ขนาดของความส าเร็จที่ไดจากการท างานที่ตองอาศัยความพยายาม อาจเปนผลจากการกระท า ที่ อาศัยความสามารถทางดานรางกาย หรือสมอง สุรชัย ขวัญเมือง (2522) ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง ความรูหรือทักษะที่ไดรับจากการเรียนการ สอน ที่ไดพัฒนาขึ้นมาเปนล าดับขั้นในวิชาตาง ๆ ที่เรียนมา กระทรวงศึกษาธิการ (2525) ไดบัญญัติศัพทผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวา หมายถึง ความสามารถหรือความส าเร็จในการกระท าใด ๆ ที่ตองอาศัยทักษะ หรือมิฉะนั้นก็ตองอาศัยความรอบรูในวิชา ใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ


วิภาดา เกิดพิทักษ (2539) ไดสรุปความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไววา หมายถึง ความรูทักษะ หรือความสามารถที่ไดรับหลังจากการเรียนการสอน ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้ค าจ ากัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทั้งปวงที่ บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ท าให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของสมรรถภาพ ทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ ต่างๆ ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่างๆ ก็เป็นผลมาจาก การฝึกฝนด้วย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2546) ให้ความหมายว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดความส าเร็จทางการเรียน หรือวัดประสบการณ์ทางการเรียนที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน โดยวัดตามจุดมุ่งหมายของการสอนหรือวัดผลส าเร็จจากการศึกษาอบรมในโปรแกรมต่าง ๆ สุภาภรณ์ อุ้ยนอง (2561) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียน การสอนที่จะท าให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดความส าเร็จทางการเรียน หรือวัด ประสบการณ์ทางการเรียนที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและ ประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จ าแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน 2.1.2 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความจ าเป็นต่อการเรียนการสอน หรือการตัดสินผลการ เรียน เพราะเป็นการวัดระดับความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลหลังจากที่ได้รับการฝึกฝน โดยอาศัย เครื่องมือประเภทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมมากที่สุด Bloom (1982) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของ Bloom กล่าวว่า ถือว่าสิ่ง ใดก็ตาม ที่มีปริมาณอยู่จริงสิ่งนั้นสามารถวัดได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็อยู่ภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว ซึ่ง ผลการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะทราบและประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคติของนักเรียน และ ระดับความรู้ความสามารถตามแนวคิดของ Bloom มี 6 ระดับ ดังนี้ 1) ความจ า คือ สามารถจ าเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น ค าจ ากัดความสูตรต่าง ๆ วิธีการ เช่น นักเรียนสามารถบอกชื่อสารอาหาร 5 ชนิดได้ นักเรียนสามารถบอกชื่อธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนได้ ครบถ้วน 2) ความเข้าใจ คือ สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความส าคัญได้ 3) การน าไปใช้ คือ สามารถน าความรู้ ซึ่งเป็นหลักการ ทฤษฎี ฯลฯ ไปใช้ในสภาพการณ์ที่ ต่างออกไปได้


4) การวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อยเช่น วิเคราะห์องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ หลักการด าเนินการ 5) การสังเคราะห์ คือ สามารถน าองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่ อย่างมีความหมาย 6) การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณาและตัดสินจากข้อมูล คุณค่าของ หลักการโดยใช้ มาตรการที่ผู้อื่นก าหนดไว้หรือตัวเองก าหนดขึ้น นันทนา ส าเภา (มกป) กล่าวว่า การวัดและประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่า การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นการพิจารณาผลที่เกิดจากการวัด การเรียนรู้ใน ภาพรวม การประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงประกอบด้วย การประเมินความเข้าใจ กระบวนการวิทยาศาสตร์ เจตคติวิทยาศาสตร์ ทักษะการใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และความ รับผิดชอบในการปฏิบัติงานวิทยาศาสตร์ซึ่งความก้าวหน้าด้านต่างๆ ของผู้เรียนจะส่งผลต่อจุดประสงค์ของ รายวิชา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และมาตรฐานการเรียนรู้ที่สถานศึกษาก าหนดไว้ การวัดและประเมินผล ตัว ผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงวัดและประเมิน 2 แนวทางคือการวัดและประเมินผลตามคู่มือ Taxonomy of educational objectives ของ Bloom และ การประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment) พฤติกรรมที่ต้องการท าการวัดประเมินผู้เรียนดังนี้ 1. ด้านความรู้ความจ า หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้วเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง ศัพท์นิยาม มโนทัศน์ ข้อตกลง การจัดประเภท เทคนิควิธีการ หลักการ กฎ ทฤษฎี และแนวคิดที่ ส าคัญทางด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนที่มีความสามารถในด้านนี้ จะแสดงออกโดยสามารถให้ค าจ ากัดความหรือ นิยาม เล่าเหตุการณ์ จดบันทึก เรียกชื่อ อ่านสัญลักษณ์ และระลึกข้อสรุปได้ การวัดพฤติกรรมด้านความรู้ ความจ าลักษณะของข้อสอบจะถามเกี่ยวกับความรู้ความจ าไม่เกินร้อยละยี่สิบของข้อสอบทั้งหมด 2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การแปลความ การตีความสร้าง ข้อสรุป ขยายความ นักเรียนมีความสามารถในด้านนี้จะแสดงออกโดยสามารถเปรียบเทียบแสดงความสัมพันธ์ การอธิบายชี้แนะ การจ าแนกเข้าหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความเขียนภาพประกอบ ตัดสินเลือก แสดงความเห็น อ่านกราฟแผนภูมิและแผนภาพได้ 2.1 พฤติกรรมความเข้าใจ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 2.1.1 ความสามารถอธิบายความเข้าใจต่างๆได้ด้วยตนเอง 2.1.2 ความสามารถจ าแนกหรือระบุความรู้ได้เมื่อปรากฏในรูป สถานการณ์ใหม่ 2.1.3 ความสามารถแปลความรู้จากสัญลักษณ์หนึ่งไปสู่อีกสัญลักษณ์ หนึ่ง 2.2 การวัดพฤติกรรมความเข้าใจ ลักษณะของข้อสอบจะถามให้นักเรียนอธิบายหรือ บรรยายความรู้ต่างๆ ด้วยค าพูดของตัวหรือให้ระบุข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง กับสถานการณ์ที่ก าหนดให้ หรือให้แปลความหมายสถานการณ์ ที่ก าหนดให้ซึ่งอาจอยู่ในรูปของข้อความ สัญลักษณ์ รูปภาพ หรือแผนภาพ เป็นต้น 3. ด้านการน าไปใช้ เป็นการวัดความสามารถด้านการน าเอาความรู้ความเข้าใจ มา ประยุกต์ใช้ หรือแก้ปัญหาในเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใหม่ได้อย่างเหมาะสม การเขียนค าถามในระดับนี้อาจ


เขียนค าถามความสอดคล้องระหว่างวิชาและการปฏิบัติ ถามให้อธิบาย หลักวิชา ถามให้แก้ปัญหา ถามเหตุผล ของภาคปฏิบัติ 4. ด้านการวิเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะหรือแจกแจง รายละเอียด ของเรื่องราว ความคิด การปฏิบัติออกเป็นระดับย่อยๆ โดยอาศัยหลักการหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อค้นพบ ข้อเท็จจริงและคุณสมบัติบางประการ ค าถามระดับการวิเคราะห์ แบ่งออก 3 ประเภท คือ การวิเคราะห์ ความส าคัญ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์หลักการ 5. ด้านการสังเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการรวบรวมและผสมผสานในด้าน รายละเอียดหรือเรื่องราวปลีกย่อย ของข้อมูลสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ความสามารถดังกล่าวเป็น พื้นฐานของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ค าถามระดับนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์แผนงาน การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ 6. ด้านการวัดและประเมินค่า เป็นการวัดความสามารถในด้านการสรุปค่าหรือตีราคา เกี่ยวกับเรื่องราว ความคิด พฤติกรรมว่าดี-เลว เหมาะสม-ไม่เหมาะสม เพื่อหาจุดประสงค์บางประการมาอ้าง โดยใช้เกณฑ์ภายในและการประเมินโดยใช้เกณฑ์ภายนอก สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของ Bloom ซึ่งผลการวัดจะเป็น ประโยชน์ในลักษณะทราบและประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคติของนักเรียน มี 6 ระดับระดับ ดังนี้ 1) ความจ า 2) ความเข้าใจ 3) การน าไปใช้ 4) การวิเคราะห์ 5) การสังเคราะห์ 6) ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการวิจัยครั้งนี้ หมายถึงผลของการ เรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของการเรียน ที่ผู้เรียนสามารถพัฒนาขึ้นอันเกิด จากการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ซึ่งวัดได้จากการตอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นโดยวัดความสามารถ 3 ด้าน 1) ความจ า 2) ความเข้าใจ 3) การน าไปใช้ ความรู้ความจ า หมายถึง เป็นความสามารถในการระลึกได้ถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้ว และ สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้อง ความเข้าใจ หมายถึง ความเข้าใจในที่มาที่ไปเกี่ยวข้องกับความรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งท าให้ สามารถครุ่นคิดถึงสิ่งนั้นได้และสามารถจ าแนกความรู้ได้ ประกอบด้วย การแปลความ การตีความ และการ ขยายความ การน าความรู้ไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการน าความรู้ไปใช้ ในสถานการณ์เดิม และ สถานการณ์ที่แปลกใหม่ได้ 2.1.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ สมบูรณ์ ตันยะ (2545) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็น แบบทดสอบที่ใช้ส าหรับวัดพฤติกรรมทางสมองของผู้เรียนว่ามีความรู้ ความสามารถใน เรื่องที่เรียนรู้มาแล้ว หรือได้รับการฝึกฝนอบรมมาแล้วมากน้อยเพียงใด


พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลส าเร็จ ตามจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้เพียงใด สิริพร ทิพย์คง (2545) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงชุด ค าถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่างๆ ในเรื่อง ที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2547) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความส าเร็จหรือความสามารถในการท ากิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ที่เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด สุภาภรณ์ อุ้ยนอง (2561) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือแบบทดสอบที่ใช้วัด ความรู้ และทักษะความสามารถจากการเรียนรู้ในอดีตหรือในสภาพปัจจุบันของแต่ละบุคคล สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบที่ใช้ส าหรับวัด พฤติกรรมทางสมองของผู้เรียนว่ามีความรู้ ความสามารถใน เรื่องที่เรียนรู้มาแล้ว หรือได้รับการฝึกฝนอบรม มาแล้วมากน้อยเพียงใด ใช้วัดความส าเร็จหรือความสามารถในการท ากิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็น ผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด 2.1.4 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher made tests) และแบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะถามเนื้อหาเหมือนกัน คือถามสิ่งที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการ สอนซึ่งจัดกลุ่มพฤติกรรมได้ 6 ประเภท คือ ความรู้ ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ และการประเมิน 1 แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองเพื่อใช้ในการทดสอบผู้เรียน ในชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ได้แก่ แบบถูก – ผิด (True-false) แบบจับคู่ (Matching) แบบเติมค าให้สมบูรณ์ (Completion) หรือแบบค าตอบสั้น (Short answer) และแบบเลือกตอบ (Multiple choice) 1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่ แบบจ ากัดค าตอบ (Restricted response items) และแบบไม่จ ากัดความตอบ หรือ ตอบอย่างเสรี (Extended response items) 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้าง โดยผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ในเนื้อหา และมีทักษะการสร้างแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ มีค าชี้แจง เกี่ยวกับการด าเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็นปรนัย (Objective) มีความเที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) แบบทดสอบมาตรฐาน ได้แก่ California Achievement Test,


Iowa Test of Basic Skills, Standford Achievement Test และ the Metropolitan Achievement tests เป็นต้น พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543) ได้จัดประเภทแบบทดสอบไว้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. แบบปากเปล่า เป็นการทดสอบที่อาศัยการซักถามเป็นรายบุคคล ใช้ได้ผลดีถ้ามีผู้เข้าสอบ จ านวนน้อย เพราะต้องใช้เวลามาก ถามได้ละเอียด เพราะสามารถโต้ตอบกันได้ 2. แบบเขียนตอบ เป็นการทดสอบที่เปลี่ยนแปลงมาจากการสอบแบบปากเปล่า เนื่องจาก จ านวนผู้เข้าสอบมากและมีจ านวนจ ากัด แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ 2.1 แบบความเรียง หรืออัตนัย เป็นการสอบที่ให้ผู้ตอบได้รวบรวมเรียบเรียงค าพูดของ ตนเองในการแสดงทัศนคติ ความรู้สึก และความคิดได้อย่างอิสระภายใต้หัวเรื่องที่ก าหนดให้ เป็นข้อสอบที่ สามารถ วัดพฤติกรรมด้านการสังเคราะห์ได้อย่างดี แต่มีข้อเสียที่การให้คะแนน ซึ่งอาจไม่เที่ยงตรง ท าให้มี ความเป็นปรนัยได้ยาก 2.2 แบบจ ากัดค าตอบ เป็นข้อสอบ ที่มีค าตอบถูกใต้เงื่อนไขที่ก าหนดให้อย่างจ ากัด ข้อสอบแบบนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบถูกผิด แบบเติมค า แบบจับคู่ และแบบเลือกตอบ 3. แบบปฏิบัติ เป็นการทดสอบที่ผู้สอบได้แสดงพฤติกรรมออกมาโดยการกระท าหรือลงมือ ปฏิบัติจริงๆ เช่น การทดสอบทางดนตรี ช่างกล พลศึกษา เป็นต้น สุภาภรณ์ อุ้ยนอง (2561) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบมาตรฐาน ซึ่งสร้างจากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านวัดผลการศึกษา มีการหา คุณภาพเป็นอย่างดี ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบในชั้นเรียน ในการ ออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค าศัพท์เพื่อการสื่อสาร ผู้วิจัยได้เลือกแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบปฏิบัติ ในการวัดความสามารถในการน าค าศัพท์ไปใช้ในการสื่อสารด้านการการพูดและการเขียน และ เลือกแบบทดสอบแบบเขียนตอบที่จ ากัดค าตอบโดยการเลือกตอบจากตัวเลือกที่ก าหนดให้ ในการวัดความรู้ ความเข้าใจความหมายของค าศัพท์ และการน าค าศัพท์ไปใช้ในการฟังและการอ่าน สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 59) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภทที่ครูสร้างมี หลายแบบ แต่ที่นิยมใช้มี 6 แบบดังนี้ 1. ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essey test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และเขียนข้อคิดเห็นของแต่ละคน 2. ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false test) คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือกแต่ ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกันต่างกัน เป็นต้น 3. ข้อสอบแบบเติมค า (Completion test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือ ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเติมค าหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้นเพื่อให้มีใจความ สมบูรณ์และถูกต้อง 4. ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ (Short answer test) เป็นข้อสอบที่คล้ายกับข้อสอบ แบบเติมค า แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้นๆเขียนเป็นประโยคค าถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมค าเป็นประโยคหรือ


ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเขียนตอบ ค าตอบที่ต้องการจะสั้นและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่ เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีค่าหรือ ข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ดแล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งจะคู่กับค าหรือข้อความใด ในอีกชุดหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบก าหนดไว้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice test) ค าถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไปจะ ประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนน าหรือค าถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้นจะประกอบด้วย ตัวเลือกที่เป็นค าตอบถูกและตัวเลือกลวง ปกติจะมีค าถามที่ก าหนดให้พิจารณา แล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมาก ที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่นๆและค าถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน สุทธิวรรณ พีรศักดิ์โสภณ (มกป) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมี หลายแบบแตกต่างกันไป จะใช้รูปแบบใดก็ควรพิจารณาถึงจุดประสงค์ในการวัดเป็นส าคัญ ส าหรับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พอจ าแนกได้ 2 แบบ ดังนี้ 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ครูสร้างขึ้นเอง 2. แบบทดสอบมาตรฐาน ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ครูสร้างขึ้นเอง เพื่อใช้วัดความรู้ความ สามารถของนักเรียน พอจ าแนกออกได้ ดังนี้ 1. ชนิดที่ผู้สอบเป็นผู้ให้ค าตอบ ได้แก่ 1.1 แบบทดสอบแบบอัตนัย หรือความเรียง (Subjective Test or Essay Test) จ าแนกออกเป็น 1.1.1 แบบจ ากัดค าตอบ (Restricted – response type) 1.1.2 แบบไม่จ ากัดค าตอบ (Unrestricted – response type) 1.2 แบบทดสอบแบบเติมค าหรือตอบสั้น (Completion or Short-Answer Test) 2. แบบทดสอบชนิดที่ให้ผู้สอบเลือกค าตอบ ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบแบบถูกผิด (True – False Test) 2.2 แบบทดสอบแบบจับคู่ (Matching Test) 2.3 แบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) เพชราวดี จงประดับเกียรติ(2551) แบบทดสอบแบ่งตามลักษณะการเขียนตอบ ได้หลาย ประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติในการวัดแตกต่างกัน ดังนี้ 1. แบบทดสอบแบบถูก-ผิด (True-false test) เป็นแบบทดสอบที่ก าหนดข้อความให้นักเรียน พิจารณาว่า ถูก หรือ ผิด จริง หรือ เท็จ ใช่ หรือ ไม่ใช่ อาจให้เขียนเครื่องหมาย / หรือ X หรืออาจให้ตอบ โดย ใช้อักษรย่อ ถ - ผ หรือ T - F ก็ได้ มีข้อดี คือ สร้างง่ายและรวดเร็ว เขียนค าถามได้คลอบคลุมเนื้อหา ใช้วัด ความจ าได้ดี ตรวจง่ายและรวดเร็ว มีความเป็นปรนัยในการตรวจ แต่มีข้อเสีย คือ วัดพฤติกรรมพุทธิพิสัยขั้นน สูงไม่ได้ เดาถูกได้มากกว่าข้อสอบแบบอื่นๆ ไม่สามารถใช้วินิจฉัยข้อบกพร่องทางการเรียนได้ 2. แบบทดสอบแบบจับคู่ (Matching test) เป็นแบบทดสอบที่ประกอบด้วย 2 คอลัมน์ ในแต่ ละคอลัมน์จะประกอบด้วย ค า ข้อความ ประโยค หรือวลีที่มีความสัมพันธ์กัน วิธีการตอบจะให้ผู้สอบจับคู่


ระหว่าง 2 คอลัมน์ให้สัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง มีข้อดี คือ ใช้วัดความจ าเกี่ยวกับข้อเท็จจริงระหว่างสิ่งที่มี ความสัมพันธ์กันได้ดี สร้างง่าย ตรวจง่ายและรวดเร็ว เดาค าตอบได้น้อยกว่าข้อสอบแบบถูกผิด การให้คะแนน เป็นปรนัย ส่วนข้อเสีย คือ วัดพฤติกรรมสูงกว่าความจ าได้ยาก นักเรียนอาจเดาข้อหลังได้เนื่องจากเหลือ ตัวเลือกให้เลือกน้อยลง ถ้าค าชี้แจงไม่ชัดเจนอาจท าให้นักเรียนไม่เข้าใจวิธีการตอบ 3. แบบทดสอบแบบ เติมค า (Completion test) เป็นแบบทดสอบที่มีลักษณะเป็นโจทย์ ข้อความที่ถามให้นักเรียนเขียนค าตอบตอบโดยใช้ค า หรือประโยคสั้น ๆ เติมลงในช่องว่าง มีข้อดี คือ สร้างง่าย และรวดเร็ว เขียนค าถามให้คลอบคลุมเนื้อหาได้ ใช้วัดความจ าได้ดี เดาค าตอบได้ถูกยากกว่าข้อสอบปรนัยอื่นๆ แต่มีข้อเสีย คือ วัดพฤติกรรมสูงกว่าความจ าไม่ได้ ตรวจยาก 4. แบบสอบแบบปรนัยเลือกตอบ (Multiple Choices test) เป็นแบบทดสอบที่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนค าถามและ ส่วนของตัวเลือก ซึ่งประกอบด้วยตัวเลือกถูก กับตัวลวง ปกติจะมีประมาณ 3 – 5 ตัวเลือก มีข้อดี คือ วัดพฤติกรรมพุทธิพิสัยได้ครบทั้ง 6 ขั้น ตรวจง่าย เขียนข้อสอบได้คลุมเนื้อหา แต่มีข้อเสีย คือ สร้างยากโดยเฉพาะค าถามที่วัดพฤติกรรมขั้นสูง ใช้เวลาในการเขียนข้อสอบนาน วัดการแสดงวิธีท า ทักษะ การเขียน การวิพากษ์วิจารณ์ การอภิปรายแสดงความคิดเห็นไม่ได้ 5. แบบทดสอบแบบเขียนตอบ (Essay Test) เป็นแบบทดสอบที่ให้นักเรียนเขียนบรรยาย ค าตอบลงในกระดาษค าตอบ มีข้อดี คือ เดาไม่ได้ วัดการแสดงวิธีท า ทักษะการเขียน การวิพากษ์วิจารณ์ การ อภิปรายแสดงความคิดเห็น การแสดงเหตุผล การวิพากษ์วิจารณ์ ได้ดี แต่ข้อเสีย คือ ตรวจยากมาก ใช้เวลาใน การตรวจนาน ไม่สามารถออกข้อสอบหลายข้อได้ แบบทดสอบในข้อ 1 - 4 คือแบบถูกผิด จับคู่ เติมค า เลือกตอบ มีลักษณะค าถามที่มุ่งให้ นักเรียนเขียนตอบสั้น ๆ หรือตอบโดยใช้สัญลักษณ์ เช่น กากบาท โยงเส้น หรือวงกลม เรียกว่าแบบทดสอบ ปรนัย (objective test) ส่วนแบบทดสอบในข้อ 5 เป็นแบบทดสอบที่มุงให้นักเรียนเขียนตอบหลาย ๆ บรรทัด บางครั้งเรียกว่าแบบทดสอบอัตนัย (subjective test) สรุปได้ว่า ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการวิจัยครั้งนี้ เป็น แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher made tests) โดยใช้เป็นแบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ได้แก่ แบบถูก – ผิด (True-false) ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice test) ค าถามแบบเลือกตอบ โดยทั่วไปจะประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนน าหรือค าถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้นจะ ประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นค าตอบถูกและตัวเลือกลวง ปกติจะมีค าถามที่ก าหนดให้พิจารณา แล้วหาตัวเลือกที่ ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่นๆและค าถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน 2.1.5 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักวิชาการศึกษา ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ สุทธิวรรณ พีรศักดิ์โสภณ (มกป) เนื่องจากแบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัดผลชนิดหนึ่งที่มี ความส าคัญอันจะท าให้ครูได้ทราบถึงพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียน และทราบถึงประสิทธิภาพในการจัดการ เรียนการสอน การสร้างแบบทดสอบที่ดีมีคุณภาพจึงไม่ใช่ของง่ายนักส าหรับครูผู้ออกข้อสอบ ดังนั้นจึงควรมี ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบ ดังนี้


1. ก าหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้แน่ชัดว่าจะสอบเพื่ออะไร สอบกับใคร ในระดับชั้นใด 2. ก าหนดลักษณะของสิ่งที่จะวัด ในการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผู้วัดต้อง รู้ว่าสิ่งที่ต้องการจะวัดนั้นคืออะไร เช่น ต้องการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วัดจะต้องรู้ว่าในสาระของกลุ่มวิชาคณิตศาสตร์นี้มีจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน อย่างไร ประกอบด้วยเนื้อหาใดบ้างต้องการให้ผู้เรียนบรรลุพฤติกรรมใดบ้างพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นอย่างไร ต้องก าหนดให้ชัดเจน ซึ่งอาจศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ต าราและทฤษฎีต่างๆ ได้ในขั้นตอนนี้เราอาจพิจารณา จากตารางวิเคราะห์หลักสูตรที่ได้ท าไว้แล้ว 3. ก าหนดชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการวัดในการก าหนดชนิดของเครื่องมือที่ใช้วัดนั้น พิจารณาจากคุณลักษณะของสิ่งที่เราจะวัดว่าคืออะไร ซึ่งดูได้จากตารางวิเคราะห์หลักสูตร และต้องดูด้วยว่าวัด พฤติกรรมใด จะวัดกับใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรด้วย เพราะเครื่องมือที่ใช้วัดมีหลายชนิด แต่ละชนิดก็เหมาะ กับคุณลักษณะที่จะวัดต่างกัน ดังนั้นผู้สร้างต้องรู้ลักษณะของเครื่องมือแต่ละชนิดด้วย 4. เขียนข้อสอบเมื่อก าหนดได้แล้วถึงชนิดของเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ก็เริ่มลงมือเขียน ข้อสอบ โดยเขียนให้สอดคล้องกับคุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด และให้ถูกต้องตามหลักวิชาของ การเขียนข้อสอบแต่ละชนิดด้วย 5. ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบแก้ไขเมื่อเขียนข้อสอบเสร็จแล้ว ควรให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบเครื่องมือ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญควรประกอบด้วยบุคคล 2 ฝาย คือ ผู้เชี่ยวชาญ ในเนื้อหาสาระวิชาและ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ทางด้านวัดผลเป็นผู้พิจารณาค าถามและค าตอบว่าถูกต้องตามหลักวิชาหรือไม่ ข้อสอบ วัดได้ตรงตามจุดประสงค์หรือไม่ อีกทั้งภาษาที่ใช้ในการเขียนข้อสอบถูกต้องตามหลักวิชาหรือไม่ 6. การทดลองใช้ข้อสอบหลังจากที่ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบแก้ไขแล้ว ก็น า แบบทดสอบไปทดลองใช้แล้วน าผลจากการทดลองมาวิเคราะห์เพื่อหาคุณภาพ และพัฒนาแบบทดสอบต่อไป ในการทดลองใช้อาจต้องท าหลาย ๆ ครั้งจนสามารถพัฒนาแบบทดสอบได้มีคุณภาพเป็นที่พอใจจึงน าไปใช้จริง ในการสอบต่อไป 7. สร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนนการสร้างเกณฑ์ในการแปลความหมาย คะแนนก็เพื่อต้องการบอกให้ทราบว่า ถ้าบุคคลใดสอบได้คะแนนเท่าไร เขาจะเป็นผู้ที่มีความสามารถหรือมี ลักษณะพฤติกรรมอย่างไร 8. การเขียนรายงานและคู่มือการใช้การเขียนรายงานและคู่มือการใช้จะท าให้ผู้น าไปใช้ได้ รู้ถึงขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบนั้น และรายละเอียดเกี่ยวกับการด าเนินกาสอบว่าจะปฏิบัติอย่างไร คะแนนที่แต่ละคนสอบได้จะแปลความหมายอย่างไร ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้ผู้ใช้เลือกใช้แบบทดสอบได้เหมาะสม กับจุดมุ่งหมายในการสอบด้วย พรเพ็ญ ฤทธิลัน (2554) กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีขั้นตอนการสร้างแบ่งได้ 3 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ ขั้นที่ 1 ขั้นวางแผนการสร้างแบบทดสอบ ประกอบด้วย 1) ก าหนดจุดมุ่งหมายของการทดสอบ สิ่งส าคัญประการแรกที่ผู้สร้างข้อสอบ จะต้องรู้ คือ อะไรคือจุดมุ่งหมายของการทดสอบ ท าไมจึงต้องมีการสอบ และจะน าผลการสอบไปใช้อย่างไร


2) ก าหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด เนื้อหาที่ต้องการวัดได้จาก จุดมุ่งหมายของการทดสอบ ผู้สร้างข้อสอบจะต้องวิเคราะห์จ าแนกเนื้อหาที่ต้องการวัดให้ครอบคลุมเนื้อหา ทั้งหมด ส าหรับพฤติกรรมที่ต้องการวัดนั้นอาจจ าแนกตามทฤษฎีใด ทฤษฎีหนึ่ง เช่น ทฤษฎีของบลูม (Benjamin S. Bloom) ซึ่งจ าแนกพฤติกรรมเป็น 6 ระดับ คือ ความรู้ ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การ วิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า เป็นต้น 3) ก าหนดลักษณะหรือรูปแบบของแบบทดสอบ อาจเลือกแบบทดสอบประเภท ความเรียงหรือแบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) แบบตอบสั้นและเลือกตอบหรือแบบทดสอบปรนัย (Objective Test) ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการทดสอบเช่นกัน 4) การจัดท าตารางวิเคราะห์เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด เป็นการวางแผนผัง การสร้างข้อสอบ ท าให้ผู้สร้างข้อสอบรู้ว่าในแต่ละเนื้อหาจะต้องสร้างข้อสอบในพฤติกรรมใดบ้าง พฤติกรรมละ กี่ข้อ 5) ก าหนดส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอบ เช่น คะแนน ระยะเวลาการสอบ ขั้นที่ 2 ขั้นด าเนินการสร้างแบบทดสอบ เป็นการเขียนข้อสอบ ตามเนื้อหา พฤติกรรมและ รูปแบบของแบบทดสอบที่ก าหนดไว้ โดยจัดท าเป็นแบบทดสอบฉบับร่าง ขั้นที่ 3 ขั้นตรวจสอบคุณภาพข้อสอบก่อนน าไปใช้ เมื่อสร้างแบบทดสอบแล้วจึงน า แบบทดสอบไปทดลองใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งคุณภาพของแบบทดสอบอาจพิจารณาทั้งคุณภาพของ แบบทดสอบรายข้อ ได้แก่ ความยาก (difficulty) และอ านาจจ าแนก (discrimination) และคุณภาพของ แบบทดสอบทั้งฉบับ ได้แก่ ความเที่ยงตรง (validity) และความเชื่อมั่น (reliability) การตรวจสอบสามารถท าได้ทั้งตรวจสอบเองและให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจ การตรวจเองเป็นการ ตรวจสอบคุณภาพของข้อค าถาม - ค าตอบตามหลักการสร้างข้อสอบที่ดี ส าหรับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญจะ เป็นการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เพื่อดูว่าข้อค าถามแต่ละข้อสัมพันธ์สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ การวัดหรือไม่ ครอบคลุมเนื้อหาและเป็นตัวแทนของเนื้อหาที่ก าหนดหรือไม่ พรเพ็ญ ฤทธิลัน (2554) กล่าวถึง การสร้างแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ ไว้ว่า การสร้างแบบทดสอบชนิดเลือกตอบโดยยึดหลักการจัดจ าแนกระดับพฤติกรรมของ Bloom คือ ความรู้ ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า รายละเอียดดังนี้ 1. การเขียนข้อค าถาม การเขียนข้อค าถามเป็นการเลือกสถานการณ์ที่เป็นตัวแทนของ เนื้อหา มาสร้างเป็นสิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นให้ผู้ตอบได้สนองตอบและแสดงพฤติกรรมออกมา การวัดพฤติกรรม ความรู้แต่ละระดับจะมีลักษณะการใช้ข้อค าถามต่างกัน ดังนี้ 1.1 ความรู้ ความจ า เป็นการวัดสมรรถภาพสมองด้านการระลึกออกของความจ า เป็น การวัดสิ่งที่เคยเรียน เคยมีประสบการณ์หรือเคยรู้เห็นมาก่อนแล้ว สามารถถามได้ 3 แบบ คือ 1.1.1 ถามความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง - ถามเกี่ยวกับค าศัพท์และนิยาม ได้แก่ การถามชื่อ ค าแปล ความหมาย ตัวอย่าง ค าตรงข้ามของค าศัพท์ นิยาม สัญลักษณ์ - ถามเกี่ยวกับสูตร กฎ ความจริง และความส าคัญ


ถามสูตร กฎ เป็นการถามถึงความหมายของสูตร หลักการ ทฤษฎีหรือ กฎเกณฑ์ที่ได้พิสูจน์หรือยอมรับกันแล้ว ถามความจริง เป็นการถามเนื้อเรื่อง ใจความส าคัญจากเรื่องที่อ่าน ขนาด จ านวนสิ่งของ สถานที่เกิดเหตุการณ์ เวลา ถามความส าคัญของเรื่อง คุณสมบัติเด่น – ด้อย วัตถุประสงค์ของเรื่อง ประโยชน์ – โทษ สิทธิ - หน้าที่ 1.1.2 ถามความรู้เกี่ยวกับวิธีด าเนินการ เป็นการถามวิธีประพฤติปฏิบัติและ วิธีด าเนินการ - ถามวิธีประพฤติปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน ธรรมเนียมประเพณี - ถามล าดับขั้นและแนวโน้ม ล าดับที่ - ถามการจ าแนกประเภท จัดหมวดหมู่ - ถามเกณฑ์ คตินิยมในการวินิจฉัย เกณฑ์ในการตรวจสอบ - ถามวิธีการหรือวิธีด าเนินงาน ขบวนการที่ใช้ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง โดยเฉพาะ 1.1.3 ถามความรู้เกี่ยวกับความรู้รวบยอด - ถามหลักวิชาและสรุปสาระส าคัญของเรื่องราว - ถามทฤษฎีและโครงสร้างของหลักวิชา 1.2 ความเข้าใจ เป็นการวัดความสามารถในการน าความรู้ที่มีอยู่แล้วไปแก้ปัญหาใหม่ที่ คล้ายกับของเดิม 1.2.1 การแปลความ - ถามการแปลความหมายของค า กลุ่มค า ประโยคหรือข้อความ ภาพ สูตร กฎ กราฟ หรือสัญลักษณ์ ให้ยกตัวอย่างค าหรือข้อความ - ถามให้แปลถอดความจากภาษาส านวนโวหาร โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เป็นภาษาสามัญ หรือจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง 1.2.2 การตีความ มีรูปแบบค าถามที่ส าคัญ 2 แบบ คือ ให้ตีความหมายของเรื่อง และให้ตีความหมายของข้อเท็จจริง - ถามให้นักเรียนสรุปหรือย่อความหมายของเรื่องราวทั้งหมดใหม่ให้สั้นลงแต่ ยังคงความหมายเดิม - ถามให้ตีความหมายของข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถ พิสูจน์และเชื่อถือได้ 1.2.3 การขยายความ เป็นความสามารถในการขยายความคิดให้ลึก กว้างออกไป จากข้อเท็จจริงที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล การเขียนค าถามประเภทนี้จะต้องมีข้อมูลหรือแนวโน้มเพียงพอที่จะน ามา ขยายความได้อย่างสมเหตุสมผล มีแนวการถาม 3 แบบ คือ ถามให้ขยายไปข้างหน้า ถามให้ขยายย้อนไปข้าง หลัง และถามให้ขยายในระหว่าง


1.3 การน าไปใช้ เป็นความสามารถในการน าเอาความรู้และความเข้าใจที่มีไปแก้ปัญหา แปลกใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคย ไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยเรียนมาแล้ว - ถามความสอดคล้องระหว่างหลักวิชากับการปฏิบัติ - ถามขอบเขตของการใช้หลักวิชาและการปฏิบัติ - ถามให้อธิบายหลักวิชา - ถามให้แก้ปัญหา - ถามเหตุผลของการปฏิบัติ 1.4 การวิเคราะห์ เป็นความสามารถในการแยกแยะสิ่งต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อยตาม หลักและกฎเกณฑ์ที่ก าหนด เพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ 1.4.1 การวิเคราะห์ความส าคัญ เป็นความสามารถในการค้นหาส่วนประกอบว่า ส่วนใดส าคัญ ส่วนใดเป็นสาเหตุหรือผลลัพธ์ - ถามให้ค้นหาชนิด เพื่อดูว่าสิ่งนั้น เรื่องนั้นจัดอยู่ในประเภทใด พวกใด ใน แง่มุมใหม่ ค ากล่าวนี้เป็นค ากล่าวประเภทใด - ถามให้วิเคราะห์สิ่งส าคัญ จุดเด่น จุดด้อย - ถามให้วิเคราะห์เลศนัย เจตนา ความคิดที่แฝงอยู่ 1.4.2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการค้นหาความสัมพันธ์ เกี่ยวข้อง ระหว่างคุณลักษณะของเรื่องราว เหตุการณ์ - ถามให้หาความสัมพันธ์แบบตามกัน - ถามให้หาความสัมพันธ์แบบกลับกัน - ถามให้หาความไม่สัมพันธ์กัน - ถามให้หาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับส่วนย่อย - ถามให้หาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับเรื่องทั้งหมด 1.4.3 การวิเคราะห์หลักการ เป็นความสามารถในการค้นหาโครงสร้าง ระบบของ เรื่องราว เหตุการณ์ - ถามให้หาโครงสร้างของเรื่อง - ถามให้หาหลักการของเรื่องราว เหตุการณ์ 1.5 การสังเคราะห์ เป็นความสามารถในการรวมสิ่งต่างๆ ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปเข้า ด้วยกัน เพื่อให้เป็นสิ่งใหม่ที่คุณลักษณะเปลี่ยนไปจากเดิม 1.5.1 การสังเคราะห์ข้อความ เป็นความสามารถในการน าเอาความรู้และ ประสบการณ์มาผสมกันเพื่อให้เกิดเป็นผลผลิตใหม่ 1.5.2 การสังเคราะห์แผนงาน เป็นความสามารถในการสร้างแผนงาน เค้าโครงของ โครงการ 1.5.3 การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการน าเอาความส าคัญและ หลักการมาผสมให้เป็นเรื่องเดียวกัน จนท าให้เกิดสิ่งส าเร็จชิ้นใหม่


1.6 การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตีราคาสิ่งต่างๆ โดยการสรุปอย่างมี หลักเกณฑ์ว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า ดี เลว เหมาะสมอย่างไร 1.6.1 ประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายใน เป็นการใช้เนื้อหาของเรื่องราวนั้นๆ เป็น เกณฑ์ - ถามให้ประเมินความถูกต้อง เที่ยงตรงของเรื่อง - ถามให้ประเมินความเป็นเอกพันธ์ของเรื่อง - ถามให้ประเมินความเหมาะสม ประสิทธิภาพของวิธีการ - ถามให้ประเมินความสมเหตุสมผลของผลลัพธ์ 1.6.2 ประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก เป็นการใช้ค่านิยม คุณธรรม หรือเกณฑ์ ที่สังคมยอมรับมาวินิจฉัย - ถามให้ประเมินสรุปตามเกณฑ์ที่ก าหนดให้ - ถามให้ประเมินความเด่นด้อยระหว่างของสองสิ่ง - ถามให้ประเมินความเด่นด้อยกับสิ่งที่ถือว่าเป็นมาตรฐาน 2. การเขียนตัวเลือก ตัวเลือกที่ดีต้องมีความเป็นเอกพันธ์ คือ มีคุณค่าเท่ากัน ไม่แตกต่าง จากตัวเลือกอื่นอย่างเด่นชัด สามารถลวงผู้ที่ไม่มีความรู้จริงและป้องกันการเดาได้ การเขียนตัวเลือกให้มีความ เป็นเอกพันธ์มีวิธีการดังนี้ 2.1 ตัวเลือกทุกตัวเป็นประเภทเดียวกัน พวกเดียวกัน 2.2 ตัวเลือกทุกตัวมีโครงสร้างของข้อความและถ้อยค าเป็นแบบเดียวกัน 2.3 ตัวเลือกทุกตัวมีความหมายและนัยไปในทิศทางเดียวกัน เพชราวดี จงประดับเกียรติ(2551) กล่าวถึง การวางแผนสร้างแบบทดสอบไว้ว่า เป็นการเตรียมการ ก าหนดแนวทางในการสร้างแบบทดสอบอย่างเป็นระบบ ก่อนลงมือเขียนข้อสอบ เพื่อให้ครูมีความชัดเจน เกี่ยวกับเนื้อหา และพฤติกรรมที่ต้องการวัด โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ก าหนดจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบทดสอบ เป็นการก าหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่า ต้องการสร้างแบบทดสอบเพื่อวัดผลอะไร จะน าไปวัดผลใคร และจะวัดผลไปท าไม 2. ก าหนดเนื้อหาที่จะสร้างแบบทดสอบ เป็นการก าหนดขอบเขตของเนื้อหาที่จะสร้าง แบบทดสอบให้ชัดเจนว่าจะออกข้อสอบทั้งหมด กี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง โดยครูต้องก าหนดให้ครอบคลุมเนื้อหา ทั้งหมดที่ ได้ท าการสอน 3. ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละเนื้อหา เป็นการ ก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังให้ครอบคลุมทุกเนื้อหาที่จะสร้างแบบทดสอบ โดย น าจุดประสงค์การเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในแผนการสอนหรือแผนการ จัดการเรียนรู้มาเขียนนั่นเอง 4. สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรหรือตารางก าหนดลักษณะของแบบทดสอบ การ วิเคราะห์หลักสูตรเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้รวมทั้งพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง เนื้อหากับพฤติกรรมในจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการออกข้อสอบ 4.1 ช่วยให้ครูทราบว่าในการจัดการเรียนรู้รายวิชานั้น ๆ มีเนื้อหาอะไรบ้าง และแต่ละ เนื้อหามุ่งให้นักเรียนเกิดพฤติกรรมอะไร อย่างละเท่าไร


4.2 ช่วยให้การจัดการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผลสอดคล้องกัน 4.3 ช่วยให้ครูวัดผลได้ครอบคลุมเนื้อหาและพฤติกรรมตามที่หลักสูตรก าหนด เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรค านึงถึงในการสร้างแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ไว้ดังนี้ 1. เนื้อหา หรือทักษะภายในขอบเขตที่ครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์นั้น จะต้อง สามารถจ ากัดอยู่ในรูปของพฤติกรรม ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงในลักษณะที่จะสื่อสารไปยังบุคคลอื่นได้ ถ้า เป้าหมายทางการศึกษาไม่สามารถจ ากัดอยู่ในรูปของพฤติกรรมแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะวัดได้ในลักษณะของ ผลสัมฤทธิ์ได้อย่างชัดเจน 2. ผลิตผลที่แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์วัดนั้น จะต้องเป็นผลิตผลเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการ เรียนการสอนตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการเท่านั้น จะวัดผลผลิตผลอย่างอื่นไม่ได้ 3. ผลสัมฤทธิ์หรือความรู้ต่าง ๆ ที่แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์วัดได้นั้น ถ้าจะน าไปเปรียบเทียบ กันแล้ว ผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องมีโอกาสได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ เท่าเทียมกัน สรุปได้ว่า ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในงานวิจัยในครั้งนี้ โดย เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ มีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 1. ก าหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้แน่ชัด 2. ก าหนดลักษณะของสิ่งที่จะวัด 3. ก าหนดชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการวัด 4. เขียนข้อสอบเมื่อก าหนดได้แล้ว ถึงชนิดของเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ ก็เริ่มลงมือเขียนข้อสอบ 5. ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบแก้ไขเมื่อ เขียนข้อสอบเสร็จแล้ว ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ ในการเขียนข้อค าถาม การเขียนข้อค าถามเป็น การเลือกสถานการณ์ที่เป็นตัวแทนของเนื้อหา มาสร้างเป็นสิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นให้ผู้ตอบได้สนองตอบและแสดง พฤติกรรมออกมา การวัดพฤติกรรมความรู้แต่ละระดับจะมีลักษณะการใช้ข้อค าถามต่างกัน โดยจะวัด 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความรู้ความจ า ด้านความเข้าใจ และด้านการน าไปใช้ การเขียนตัวเลือก ตัวเลือกที่ดีต้องมี ความเป็นเอกพันธ์ คือ มีคุณค่าเท่ากัน ไม่แตกต่างจากตัวเลือกอื่นอย่างเด่นชัด สามารถลวงผู้ที่ไม่มีความรู้จริง และป้องกันการเดาได้ 6. การทดลองใช้ข้อสอบหลังจากที่ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบแก้ไขแล้ว ก็น า แบบทดสอบไปทดลองใช้แล้วน าผลจากการทดลองมาวิเคราะห์เพื่อหาคุณภาพ และพัฒนาแบบทดสอบต่อไป 7. สร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนนการสร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนน 8. การเขียน รายงานและคู่มือการใช้การเขียนรายงานและคู่มือการใช้ 2.1.6 ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดีไว้ดังนี้ (สิริพร ทิพย์คง. 2545 : 195 ; พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2545 : 135 – 161) 1. ความเที่ยงตรง เป็นแบบทดสอบที่สามารถน าไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้อย่าง ถูกต้อง ครบถ้วน ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการวัด 2. ความเชื่อมั่น แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่น คือ สามารถวัดได้คงที่ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้งก็ ตาม เช่น ถ้าน าแบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิมคะแนนจากการสอบทั้งสองครั้งควรมีความสัมพันธ์กันดี เมื่อสอบได้คะแนนสูงในครั้งแรกก็ควรได้คะแนนสูงในการสอบครั้งที่สอง


3. ความเป็นปรนัย เป็นแบบทดสอบที่มีค าถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ความถูกต้องตาม หลักวิชา และเข้าใจตรงกัน เมื่อนักเรียนอ่านค าถามจะเข้าใจตรงกัน ข้อค าถามต้องชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจ ตรงกัน 4. การถามลึก หมายถึง ไม่ถามเพียงพฤติกรรมขั้นความรู้ความจ า โดยถามตามต าราหรือ ถามตามที่ครูสอน แต่พยายามถามพฤติกรรมขั้นสูงกว่าขั้นความรู้ความจ าได้แก่ ความเข้าใจการน าไปใช้ การ วิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า 5. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนั้นมีคนตอบถูก มากหรือตอบถูกน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบข้อนั้นก็ง่ายและถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบข้อนั้นก็ยาก ข้อสอบที่ยากเกินความสามารถของนักเรียนจะตอบได้นั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถจ าแนกนักเรียน ได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ในทางตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไปนักเรียนตอบได้หมด ก็ไม่สามารถจ าแนกได้ เช่นกัน ฉะนั้นข้อสอบที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากเกินไปไม่ง่ายเกินไป 6. อ านาจจ าแนก หมายถึง แบบทดสอบนี้สามารถแยกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อนโดย สามารถจ าแนกนักเรียนออกเป็นประเภทๆ ได้ทุกระดับอย่างละเอียดตั่งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด 7. ความยุติธรรม ค าถามของแบบทดสอบต้องไม่มีช่องทางชี้แนะให้นักเรียนที่ฉลาดใช้ไหว พริบในการเดาได้ถูกต้องและไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เกียจคร้านซึ่งดูต าราอย่างคร่าวๆตอบได้ และต้องเป็น แบบทดสอบที่ไม่ล าเอียงต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สุทธิวรรณ พีรศักดิ์โสภณ (มกป) กล่าวว่า แบบทดสอบที่ดีมีคุณภาพย่อมท าให้ผลการวัด ที่ได้มีความถูกต้อง แต่ถ้าแบบทดสอบมีคุณภาพไม่ดีย่อมท าให้ผลการวัดมีความผิดพลาด ดังนั้นในการวัดผล การศึกษาคุณภาพของเครื่องมือ ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ลักษณะของเครื่องมือวัดผลที่ดีมี หลายประการดังนี้ 1. ความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง การวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดได้อย่างถูกต้อง 2. ความเชื่อมั่น (Reliability) หมายถึง การวัดที่ให้ผลแน่นอน สม่ าเสมอ คงเส้นคงวา (Consistency) เป็นที่มั่นใจหรือเชื่อถือในผลที่วัดได้จริง ถึงแม้จะมีการวัดซ้ าอีกผลที่ได้ก็ย่อมแน่นอนไม่ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึง ความแจ่มชัดของค าถามที่ท าให้ผู้ตอบเข้าใจ ความหมายได้ถูกต้องตรงกัน ข้อค าถามที่มีความเป็นปรนัยต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ 3.1 ข้อค าถามมีความชัดเจนว่าต้องการถามอะไร 3.2 การตรวจให้คะแนนได้ตรงกันไม่ว่าจะให้ใครตรวจก็ตาม 3.3 คะแนนที่ได้สามารถแปลความหมายได้ตรงกัน 4. อ านาจจ าแนก (Discrimination) เป็นความสามารถในการแยกหรือจ าแนกบุคคลที่มี คุณลักษณะหรือความสามารถแตกต่างกันออกจากกันได้ 5. ความยากพอเหมาะ (Difficulty) เป็นคุณลักษณะของข้อสอบที่ไม่ยากเกินไปหรือง่าย เกินไป 6. วัดอย่างลึกซึ้ง (Searching) หมายความว่า ลักษณะของค าถามวัดได้ครอบคลุม พฤติกรรมที่ต้องการวัด และไม่เป็นค าถามที่วัดแต่เพียงความรู้ความจ าอย่างเดียว


7. ยุติธรรม (Fair) เป็นลักษณะของค าถามที่ไม่ถามเพื่อเปิดโอกาสให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้เปรียบในการตอบมากกว่าคนในกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลหนึ่ง 8. มีความจ าเพาะเจาะจง (Definite) ไม่ถามหลายแง่หลายมุมในข้อเดียวกัน ควรถาม ค าถามเดียวในแต่ละข้อ 9. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) ในแง่ของการน าไปใช้ ประหยัดเวลาและงบประมาณ 10. มีการจูงใจให้ตอบ (Examplary) อาจท าได้โดยเรียงข้อสอบข้อง่ายๆ ไว้ตอนแรกๆ แล้วค่อยๆ ยากขึ้นตามล าดับ หรืออาจใช้รูปภาพประกอบค าถามเพื่อดึงดูดความสนใจให้ผู้ตอบอยากตอบ นอกจากนี้รูปแบบการจัดพิมพ์ข้อสอบควรให้ดูสวยงาม น่าตอบ สรุปได้ว่า ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดีในงานวิจัยในครั้งนี้ มีลักษณะดังนี้1) มีความเที่ยงตรง เป็นแบบทดสอบที่สามารถน าไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตรงตาม จุดประสงค์ที่ต้องการวัด 2) มีความเชื่อมั่น แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่น คือ สามารถวัดได้คงที่ไม่ว่าจะวัดกี่ ครั้งก็ตาม 3) มีความเป็นปรนัย เป็นแบบทดสอบที่มีค าถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ความถูกต้องตามหลักวิชา และเข้าใจตรงกัน 4) อ านาจจ าแนก เป็นความสามารถในการแยกหรือจ าแนกบุคคลที่มีคุณลักษณะหรือ ความสามารถแตกต่างกันออกจากกันได้5) ความยากพอเหมาะ เป็นคุณลักษณะของข้อสอบที่ไม่ยากเกินไป หรือง่ายเกินไป 6) ยุติธรรม เป็นลักษณะของค าถามที่ไม่ถามเพื่อเปิดโอกาสให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลใด บุคคลหนึ่งได้เปรียบในการตอบมากกว่าคนในกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลหนึ่ง 8) มีความจ าเพาะเจาะจง (Definite) ไม่ถามหลายแง่หลายมุมในข้อเดียวกัน ควรถามค าถามเดียวในแต่ละข้อ 2.2 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักวิชาการศึกษา ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้ ลาวิน (Slavin. 1990) อธิบายไว้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง วิธีการแบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อช่วยเหลือกันและกันในการเรียนรู้ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่แล้ว สมาชิกในกลุ่มจะมี 4 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการติดต่อสื่อสารกันและกันในกลุ่มเป็นเวลาหลาย สัปดาห์หรือนานเป็นเดือน ทุกคนจะเรียนรู้ทักษะต่างๆ ในการท างานร่วมกันเพื่อให้งานของกลุ่มด าเนินไป ด้วยดี ทักษะดังกล่าวได้แก่ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด หรืออธิบายทักษะการหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้ง และทักษะ การอยู่ร่วมกับผู้อื่น แบล็คคอม (Balkcom. 1992) สรุปว่า การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือคือ การจัดการสอนที่ ประสบความส าเร็จในกลุ่มเล็กๆ กันนักเรียนที่มีระดับความสามารถแตกต่างกัน กิจกรรมการเรียนรู้จะส่งเสริม ให้เข้าใจประโยชน์จากเนื้อหารายวิชาที่ก าหนดให้ สมาชิกทุกคนในทีมไม่เพียงแต่รับผิดชอบการเรียนของ ตนเองเท่านั้นแต่จะต้องช่วยเหลือสมาชิกในทีมด้วย จอร์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 2993) แสดงความคิดเห็นไว้ว่าการ เรียนแบบร่วมมือเป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 2-3 คน ท างานร่วมกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกันแบบปฏิสัมพันธ์ทางบวกเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของสมาชิกกลุ่มให้มากที่สุด ส าหรับ ความส าเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับความพยายามและความสามารถของสมาชิกทุกคนภายในกลุ่ม


อาลูเซลลีก Abuseileek (2007) ได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการ เรียนที่จัดสมาชิกกลุ่มเล็กๆ แล้วร่วมกันแก้ปัญหาหรือท างานที่ได้รับมอบหมายให้ส าเร็จ สมาชิกในกลุ่มทุกคน เป็นส่วนส าคัญของกลุ่มที่จะต้องมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการท างาน ความส าเร็จหรือความ ล้มเหลวของกลุ่มล้วนเป็นของทุกคนในกลุ่ม วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545) และวัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545) ที่ให้ความหมายสอดคล้อง กันว่า การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือคือวิธีการจัดการเรียนการสอที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทั้งทางการ เรียนให้แก่ผู้เรียนได้รู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และในการส าเร็จแต่ละกลุ่ม ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้รวมทั้งการเป็นก าลังใจแก่กัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยคนที่เรียนอ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเท่านั้น หากแต่จะต้องรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของ เพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความส าเร็จของแต่ละบุคคลคือความส าเร็จของกลุ่ม อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) และทิศนา แขมมณี (2551) ได้ให้แนวคิดว่า การเรียนรู้แบบ ร่วมมือหรือแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกัน ได้ ร่วมกันท างานกลุ่มด้วยความตั้งใจและความเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ท าให้งานของ กลุ่มด าเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ เป็นการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน ประมาณ 3-6 คน ช่วยกันเรียนรู้ เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์(2555) การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่ง ผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการ ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตน และส่วนรวม เพื่อให้กลุ่มได้รับ ความส าเร็จตามเป้าหมายที่ก าหนด สุวิทย์ มูลค า และอรทัย มูลค า (2552) ได้กล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ว่า กระบวนการเรียนรู้ได้ร่วมมือกัลป์และช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถ ต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะการร่วมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างอย่างชัดเจน มีการท างานร่วมกัน มี การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพากันและกัน มีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งตนเองและส่วนร่วม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกในกลุ่มประสบผลส าเร็จตามเป้าหมายที่ก าหนด สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2554) ได้กล่าวว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นวิธีการเรียนที่มีการ จัดกลุ่มการท างาน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนแรงจูงใจทางการเรียน การเรียนแบบร่วมมือไม่ใช่วิธีการ จัดนักเรียนเข้ากลุ่มรวมกันแบบธรรมดา แต่เป็นการร่วมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างอย่างชัดเจน จากการที่สมาชิก แต่ละคนในทีมมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้ และสมาชิกทุกคนจะได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะ ช่วยเหลือและเพิ่มพูนการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม ดังนั้นการจัดผู้การเรียนเข้ากลุ่มท างานโดยทั่วๆไปจึงอาจ ไม่ใช่การเรียนแบบร่วมมือ เพราะมักพบนักเรียนที่เก่งเท่านั้นจะเป็นผู้จัดการให้เกิดผลงานในทีม สมาชิกอื่นๆ อาจไม่มีโอกาสในการแสดออก สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การเรียนรู้แบบการแบ่งกลุ่ม โดยสมาชก ภายในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน ในการร่วมท ากิจกรรม สมาชิกภายในกลุ่มจะมีส่วนร่วมในการ


ช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ รับผิดชอบร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้ ตนเองและสมาชิกในกลุ่มประสบความส าเร็จ 2.2.2 องค์ประกอบส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักวิชาการศึกษา ได้กล่าวถึง องค์ประกอบส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้ ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์ (2555) กล่าวถึง องค์ประกอบที่ส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ดังนี้ 1. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การที่ สมาชิกในกลุ่มท างานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการท างานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการท างาน นั้น มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลต่างๆ ในการท างาน ทุกคนมีบทบาท หน้าที่และประสบความส าเร็จ ร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนประสบความส าเร็จได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบ ความส าเร็จด้วย สมาชิกทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงานกลุ่มโดยเท่าเทียมกัน เช่น ถ้าสมาชิกทุก คนช่วยกัน ท าให้กลุ่มได้คะแนน 90% แล้ว สมาชิกแต่ละคนจะได้คะแนนพิเศษเพิ่มอีก 5 คะแนน เป็นรางวัล เป็นต้น 2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face To Face Promotive Interaction) เป็นการติดต่อสัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็น ลักษณะส าคัญของการติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบร่วมมือ ดังนั้น จึงควรมีการแลกเปลี่ยน ให้ ข้อมูลย้อนกลับ เปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวความคิดใหม่ๆ เพื่อเลือกในสิ่งที่เหมาะสมที่สุด 3. ความ รับผิดชอบของสม าชิกแต่ละบุคคล ( Individual Accountability) ความ รับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล โดยมีการ ช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความส าเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความ มั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล 4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการท างานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการท างานกลุ่มย่อย นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะ เหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะส าคัญที่จะช่วยให้การท างานกลุ่มประสบผลส าเร็จ นักเรียนควรได้รับการฝึก ทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้น า การไว้วางใจผู้อื่น การตัดสินใจ การ แก้ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะ ส่งเสริมให้นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปี ค.ศ. 1991 จอห์นสัน และ จอห์นสัน ได้เพิ่มองค์ประกอบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ขึ้น อีก 1 องค์ประกอบ ได้แก่ 5. กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นกระบวนการท างานที่มีขั้นตอนหรือวิธีการที่ จะช่วยให้การด าเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ สมาชิกทุกคนต้องท าความเข้าใจในเป้าหมาย การท างาน วางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ด าเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและปรับปรุงงาน องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ ต่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกัน และกัน ในอันที่จะช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือด าเนินไปด้วยดี และบรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่มก าหนด โดยเฉพาะทักษะทางสังคม ทักษะการท างานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่มซึ่งจ าเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกฝน


ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกกลุ่มเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถน าทักษะเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ จากองค์ประกอบส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ซึ่งได้แก่ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กันในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกันและกัน ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล การใช้ทักษะ ระหว่างบุคคล การท างานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่ม องค์ประกอบเหล่านี้ท าให้การเรียนรู้แบบร่วมมือ แตกต่างออกไปจากการเรียนรู้เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การเรียนเป็นกลุ่มแบบ ดั้งเดิมนั้น เป็นเพียงการแบ่งกลุ่มการเรียน เพื่อให้นักเรียนปฏิบัติงานร่วมกัน แบ่งงานกันท า สมาชิกในกลุ่มต่าง ท างานเพื่อให้งานส าเร็จ เน้นที่ผลงานมากกว่ากระบวนการในการท างาน ดังนั้นสมาชิกบางคนอาจมีความ รับผิดชอบในตนเองสูง แต่สมาชิกบางคนอาจไม่มีความรับผิดชอบ ขอเพียงมีชื่อในกลุ่ม มีผลงานออกมาเพื่อส่ง ครูเท่านั้น ซึ่งต่างจากการเรียนเป็นกลุ่มแบบร่วมมือที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและ ต่อเพื่อนสมาชิกในกลุ่มด้วย จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 1994) อธิบายว่าการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบที่ส าคัญ 5 ประการดังนี้ 1. การพึ่งพาและช่วยเหลือกัน (Positive Interdependence) การเรียนรู้แบบร่วมมือ จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าสมาชิกกลุ่มทุกคนมีความส าคัญเท่ากันเพราะความส าเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิก ทุกคนในกลุ่มใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ในขณะเดียวกนสมาชิกแต่ละคนจะประสบความส าเร็จได้เมื่อกลุ่ม ประสบความส าเร็จเท่านั้น และความส าเร็จของบุคคลรวมทั้งของกลุ่มนั้นขึ้นอยู่กับกันและกัน ดังนั้นในแต่ละ คนจึงต้องมีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนและในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นๆ ด้วย เพื่อประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม 2. การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด (Face –to-face Promotion Interaction) เป็นการ มีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ด้วยการพึ่งพากันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ท าให้ผู้เรียน มีแนวทางด าเนินการให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีการอธิบายความรู้ ให้แก่เพื่อนในกลุ่ม จนในที่สุดสมาชิกกลุ่มจะเกิดความรู้สึกไว้วางใจกัน ส่งเสริมและช่วยเหลือกันและกันในการ ท างานต่างๆ ร่วมกันส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกันจึงควรมีการให้ข้อมูลย้อนกลับและเปิดโอกาสให้สมาชิก เสนอแนวคิดใหม่ๆเพื่อเลือกในสิ่งที่เหมาะสมที่สุด 3. ความรับผิดชอบของแต่ละคนที่สามารถตรวจสอบได้ (Individual Accountability) สมาชิกกลุ่มการเรียนรู้ทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละ บุคคลที่จะต้องมีการช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความส าเร็จตามเป้าหมายของกลุ่ม โดยที่ สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมั่นใจและพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล ดังนั้นทุกคนจะต้องพยายาม ท างานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถเพราะไม่มีใครที่จะได้รับประโยชน์โดยไม่ท าหน้าที่ของตน กลุ่ม จ าเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบผลงานที่เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ส าหรับวิธีการที่สามารถส่งเสริมให้ทุกคน ท าหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่มีหลายวิธี เช่น การจัดกลุ่มให้เล็กเพื่อจะได้มีการเอาใจใส่กันและกันอย่างทั่วถึง การทดสอบเป็นรายบุคคล การสุ่มเรียกชื่อให้รายงาน ครูสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในกลุ่ม การจัดให้กลุ่มมีผู้ สังเกตการณ์ หรือการให้ผู้เรียนสอนซึ่งกันและกัน เป็นต้น 4. การใช้ทักษะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการท างานกลุ่มย่อย (Interpersonal and Small-group Skills) การเรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบผลส าเร็จได้ต้องอาศัยทักษะที่ส าคัญหลาย


ประการ เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการท างานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร และ ทักษะการแก้ปัญหาขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพยอมรับและไว้วางใจกันและกัน ดังนั้นครูต้องฝึกทักษะผู้เรียน เพื่อให้เกิดทักษะต่างๆ ดังกล่าวเพราะเป็นทักษะส าคัญที่จะช่วยให้การท างานกลุ่มประสบผลส าเร็จได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 5. การใช้กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) กระบวนการกลุ่มเป็นกระบวนการ ท างานที่มีขั้นตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้มีการด าเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีงานร่วมกัน และด าเนินงานตาม แผน ตลอดจนมีการประเมินผลและปรับปรุงงาน นอกจากนี้จะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการท างานของกลุ่ม เพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการท างานให้ดีขึ้น การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มครอบคลุมการ วิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการท างานกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มและผลงานกลุ่ม การวิเคราะห์การเรียนรู้นี้อาจ ท าได้โดยครู หรือผู้เรียน หรือทั้งสองฝ่าย การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มนี้เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้กลุ่ม ตั้งใจท างาน เพราะรู้ว่าจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ และช่วยฝึกทักษะการรู้คิด (Metacognition) คือ สามารถที่ จะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนที่ได้ท าไป โอสเสน และคาแกน (Olsen and Kagan. 1992) ได้อธิบายองค์ประกอบการเรียนแบบ ร่วมมือไว้ดังนี้ 1. การพึ่งพาอาศัยกันในทางที่ดี (Positive Interdependent) การพึ่งพากันในทางที่ดีจะ เกิดขึ้นเมื่อผลประโยชน์แต่ละคนที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของบุคคลอื่นๆ กล่าวคือ เมื่อผู้เรียนคนหนึ่งได้รับ ผลส าเร็จ ผู้เรียนคนอื่นก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ซึ่งจะต้องมีการจัดโครงสร้างภาระงาน ก าหนดโครงสร้าง วิชาการและโครงสร้างทางผลลัพธ์ดังนี้ 1) การพึ่งพาอาศัยโดยใช้โครงสร้างทางผลลัพธ์ อาจก าหนดให้ผู้เรียนมีเป้าหมาย เดียวกัน โดยมอบหมายภาระงานให้เพียง 1ชิ้น เขียนบรรยายภาพส่ง 1ชิ้น หรืออาจก าหนดให้รางวัลกลุ่มโดย น าคะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมาแปลเป็นคะแนนของลุ่มก็ได้ 2) การพึงพาอาศัยโดยใช้โครงสร้างทางวิชาการ สมาชิกแต่ละคนจะได้รับมอบหมาย บทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน เช่น อธิบายหรือผู้ตรวจสอบซึ่งทุกคนจะรับผิดชอบในหน้าที่ของตนและปฏิบัติตาม บทบาทนั้น ครูจะใช้วัสดุอุปกรณ์หรือใบงานให้เสร็จทุกคนก่อนจะเริ่มท างานต่อไป 2. การสร้างทีมงาน (Team Formation) การจัดลุ่มหรือทีมงานสามารถท าได้โดยครู ก าหนดให้หรือนักเรียนจัดกลุ่มกันเอง หัวหน้ากลุ่มด้วยจากการคัดเลือกของสมาชิกและมีการผลัดเปลี่ยน ต าแหน่งกัน แต่อย่างไรตามการจัดกลุ่มอย่างเป็นทางการมีความเหมาะสมกว่าซึ่งสามารถท าได้ 4 วิธีดังนี้ 1) การจัดกลุ่มตามความแตกต่างด้านทางเพศ เชื้อชาติ ภาษา และระดับความสามารถ 2) การจัดกลุ่มแบบกลุ่มโดยใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์บางอย่าง เช่น กระดาษสี ผู้เรียนที่ได้สัญลักษณ์สีเดียวกันจะได้อยู่กลุ่มเดียวกัน 3) การจัดกลุ่มตามความแตกต่างและระดับความสามารถทางภาษา 4) การจัดกลุ่มตามความสนใจ ความชอบ และลักษณะนิสัย 3 ความรับผิดชอบ (Accountability) ความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อกลุ่มมีความส าคัญ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบร่วมมือ และเป็นลักษณะเด่นของการเรียนแบบนี้ผู้เรียนจะได้รับหมอบ หมายความรับผิดชอบเป็นรายบุคคล มีการให้คะแนนในส่วนรวมที่ตนเองร่วมท างานของกลุ่ม ซึ่งสามารถ


ตรวจสอบความรับผิดชอบได้ด้วยการทดสอบเรื่องทักษะทางสังคม และโครงสร้างการเรียนรู้และวิธจัด โครงสร้าง 4 ทักษะกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพนักเรียนจ าเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลและกลุ่มย่อย 5 การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม เพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการท างานให้ ดีขึ้น เช่น การวิเคราะห์เกี่ยวกับวิธีการท างานของกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกในกลุ่ม และผลงานของกลุ่มเป็น ต้น สรุปได้ว่า องค์ประกอบส าคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ประกอบด้วย 1)การที่สมาชิกใน กลุ่มท างานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการท างานร่วมกัน 2) พึ่งพาอาศัยกันในทางที่ดีเมื่อผู้เรียนคนหนึ่งได้รับ ผลส าเร็จ ผู้เรียนคนอื่นก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย 3) ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคลสมาชิกกลุ่ม การเรียนรู้ทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคลที่จะต้องมี การช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน 4) การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการท างานกลุ่มย่อย การเรียนรู้ แบบร่วมมือจะประสบผลส าเร็จได้ต้องอาศัยทักษะที่ส าคัญหลายประการ เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะการ ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการท างานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร และทักษะการแก้ปัญหาขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพ ยอมรับและไว้วางใจกันและกัน และ 5) การใช้กระบวนการกลุ่ม กระบวนการกลุ่มเป็นกระบวนการท างานที่มี ขั้นตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้มีการด าเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีงานร่วมกัน และด าเนินงานตามแผน ตลอดจนมีการประเมินผลและปรับปรุงงาน 2.2.3 เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักวิชาการศึกษา ได้กล่าวถึงเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ ดังนี้ ทิศนา แขมมณี (2550) ได้อธิบายเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือดังต่อไปนี้ 1. เทคนิคการต่อเรื่องราว (Jigsaw) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้มีการ ร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่มและมีการถ่ายทอดความรู้กันระหว่างกลุ่ม 2. เทคนิคการจัดทีมแข่งขัน (TGT : Team Games Tournament) เหมาะส าหรับการ เรียนการสอนที่ต้องการให้กลุ่มผู้เรียนได้ศึกษาประเด็น หรือปัญหาที่มีค าตอบที่ถูกต้องเพียงค าตอบเดียวซึ่งเป็น ค าตอบที่ชัดเจน เช่น คณิตศาสตร์ การใช้ภาษา สังคมศึกษา เป็นต้น 3. เทคนิคแบ่งปันความส าเร็จ (STAD : Student Teams Achievement Division) เป็น การร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม โดยทุกคนจะต้องพัฒนาความรู้ของตนเองในเรื่องผู้สอนก าหนดซึ่งจะมี การช่วยเหลือทบทวนความรู้ให้แก่กัน มีการทดสอบเป็นรายบุคคลแทนการแข่งขัน และรวมคะแนนเป็นกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนมากที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ เหมาะส าหรับใช้ในการเรียนการสอนในบทเรียนที่มีเนื้อหาไม่ยาก เกินไป 4. เทคนิคกลุ่มสืบค้น (GI : Group Investigation) เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือที่จัด ผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเพื่อเตรียมท างานหรือท าโครงงานที่ผู้มอบหมายมอบหมายให้ เทคนิคนี้เหมาะส าหรับฝึก ผู้เรียนรู้จักสืบค้นความรู้หรือวางแผนสืบสวนเพื่อแก้ปัญหาหรือหาค าตอบในประเด็นที่สนใจ ดังนั้นก่อนการ


ด าเนินการด าเนินกิจกรรมทุกครั้งผู้สอนควรฝึกทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด ตลอดจนทักษะทางสังคมให้แก่ ผู้เรียนก่อน 5. เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนใช้คู่กับวิธีสอนแบบอื่นเรียกว่า เทคนิคคู่คิด เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งค าถามหรือก าหนดปัญหาให้แก่ผู้เรียน ซึ่งอาจจะเป็นใบงานหรือแบบฝึกหัด ก็ได้ และให้ผู้เรียนแต่ละคนคิดหาค าตอบของตนก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปรายค าตอบ เมื่อมั่นใจว่าค าตอบ ของคนถูกต้องแล้วจึงน าค าตอบไปอธิบายให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง 6. เทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย (Think Pair Square) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตอบค าถามหรือ ก าหนดปัญหาให้แก่ผู้เรียน ซึ่งผู้สอนอาจท าเป็นใบงานหรือแบบฝึกหัดก็ได้ ให้ผู้เรียนแต่ละคนตอบค าถามหรือ ตอบปัญหาด้วยตนเองก่อนแล้วจับคู่กับเพื่อน น าค าตอบไปผลัดกันอธิบายค าตอบด้วยความมั่นใจ 7. เทคนิคคู่ตรวจสอบ (Pairs Check) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตอบค าถามหรือก าหนดปัญหา (โจทย์) ให้กับผู้เรียน โดยจัดท าเป็นใบงานหรือแบบฝึกหัดที่มีค าตอบหรือโจทย์หลายข้อจ านวนข้อจะเป็นเลขคู่ ผู้เรียนจะจับคู่กันเมื่อได้รับโจทย์หรือปัญหาจากผู้สอน คนหนึ่งจะท าหน้าที่ตอบค าถามหรือแก้ปัญหาโจทย์ครบ 2 ข้อ แล้วให้สมาชิกทั้งคู่ (ซึ่งจัดในกลุ่มเดียวกัน) เปรียบเทียบค าตอบซึ่งกันและกันเหมาะสมกับใบงานหรือ แบบฝึกหัดที่ไม่ยากและไม่ซับซ้อน 8. เทคนิคการสัมภาษณ์ 3 ขั้นตอน (Three-Step Interview) เป็นเทคนิคที่ฝึกให้ผู้เรียนแต่ ละคนได้มีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์บุคคลและเก็บใจความส าคัญ หรืออาจจะเป็นการสรุปความคิดรวบ ยอดในเรื่องที่เรียน 9. เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เหมาะสมกับการทบทวนความรู้ หรือตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ผู้สอนใช้ค าถามถามผู้เรียนและให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหาค าตอบ แล้วผู้สอนสุ่มเรียกสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาตอบค าถาม 10. เทคนิคเล่าเรื่องรอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้ผลัดกัน เล่าประสบการณ์ ความรู้ที่ตนเองได้ศึกษาตลอดจนสิ่งที่ตนประทับใจให้แก่เพื่อนๆในกลุ่มฟังทีละคน หรือ อาจจะเป็นเรื่องสมาชิกในกลุ่มต้องการจะเสนอแนะแสดงความคิดเห็น แนะน าตนเอง พูดถึงส่วนดีของเพื่อน ยกตัวอย่างการกระท าของบุคคลที่สอดคล้องกับเรื่องที่เรียนไปแล้วหรือที่ก าลังจะเรียน เป็นต้น โดยสมาชิกทุก คนได้ใช้เวลาในการเล่าเท่าๆกัน หรือใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเป็นการฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมีความรู้และเทคนิคการเล่า เรื่องเป็นอย่างดี ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์(2555) กล่าวว่า รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่ใช้กันในปัจจุบัน มี หลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น 1. รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ Aronson et.al (1978 ,pp. 22-25) ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติมขั้นตอนให้มากขึ้น แต่วิธีการหลัก ยังคงเดิม การสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหนึ่งหรือหัวข้อย่อยของเนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษา เรื่องนั้นๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้ ในตอนที่ศึกษาหัวข้อย่อยนั้น นักเรียนจะท างานเป็นกลุ่มกับ เพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกัน และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิก ในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง 2. รูปแบบ STAD (Student Teams-Achievement Division)


Slavin ได้เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีม (Student Teams Learning Method) ซึ่ง มี 4 รูปแบบ คือ Student Teams-Achievement Divisions (STAD) และ Teams-Games-Tournaments (TGT) ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถปรับใช้กับทุกวิชาและระดับชั้น Team Assisted Individualization (TAI) เป็น รูปแบบที่เหม า ะ กับก า ร สอน วิ ช าคณิตศ า สต ร์ แ ละ Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) ซึ่งเป็นรูปแบบในการสอนอ่านและ การเขียน 3. รูปแบบ LT (Learning Together) รูปแบบ LT (Learning Together) นี้ Johnson & Johnson เป็นผู้เสนอในปี ค.ศ. 1975 ต่อมาในปี ค.ศ. 1984 เขาเรียกรูปแบบนี้ว่า วัฏจักรการเรียนรู้ (Circles of Learning) รูปแบบนี้มีการก าหนด สถานการณ์และเงื่อนไขให้นักเรียนท าผลงานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร การแบ่งงานที่เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม ซึ่งจอห์นสันและจอห์นสันได้เสนอหลักการจัดกิจกรรมการ เรียนแบบร่วมมือ ทัศนวรรณ รามณรงค์(2556) กล่าวถึง เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ ดังนี้ 1. เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Team – Games – Tournament หรือ TGT) คือ การจัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มละ 4 คน ระดับความสามารถต่างกัน (Heterogeneous teams) คือ นักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ครูก าหนดบทเรียนและการท างาน ของกลุ่มเอาไว้ ครูท าการสอนบทเรียนให้นักเรียนทั้งชั้นแล้วให้กลุ่มท างานตามที่ก าหนด นักเรียนในกลุ่ม ช่วยเหลือกัน เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพื่อนให้ถูกต้องก่อนน าส่งครู แล้วจัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่มแข่งขันที่มี ความสามารถเท่า ๆ กัน (Homogeneous tournament teams) มาแข่งขันตอบปัญหาซึ่งจะมีการจัดกลุ่ม ใหม่ทุกสัปดาห์ โดยพิจารณาจากความสามารถของแต่ละบุคคล คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของ สมาชิกที่เข้าแข่งขันร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ร่วมกัน แล้วมีการมอบรางวัลให้แก่กลุ่มที่ได้คะแนนสูงถึงเกณฑ์ที่ ก าหนดไว้ 2. เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (Student Teams Achievement Divisions หรือ STAD) คือ การจัดกลุ่มเหมือน TGT แต่ไม่มีการแข่งขัน โดยให้นักเรียนทุกคนต่างคนต่างท าข้อสอบ แล้วน าคะแนนพัฒนาการ (คะแนนที่ดีกว่าเดิมในการสอบครั้งก่อน) ของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม และมีการให้รางวัล 3. เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ TA) เทคนิคนี้เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์ ใช้ส าหรับระดับประถมปีที่ 3 – 6 วิธีนี้สมาชิกกลุ่มมี 4 คน มี ระดับความรู้ต่างกัน ครูเรียกเด็กที่มีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอนตามความยากง่ายของเนื้อหา วิธีที่สอนจะแตกต่างกัน เด็กกลับไปยังกลุ่มของตน และต่างคนต่างท างานที่ได้รับมอบหมายแต่ช่วยเหลือซึ่ง กันและกัน มีการให้รางวัลกลุ่มที่ท าคะแนนได้ดีกว่าเดิม 4. เทคนิคโปรแกรมการร่วมมือในการอ่านและเขียน ( Cooperative Integrated Reading and Composition หรือ CIRC) เทคนิคนี้ใช้ส าหรับวิชา อ่าน เขียน และทักษะอื่น ๆ ทาง ภาษา สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพื้นความรู้เท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากัน แต่ต่างระดับความรู้กับ 2 คนแรก ครูจะเรียกคู่ที่มีความรู้ระดับเท่ากันจากกลุ่มทุกกลุ่มมาสอน ให้กับเข้ากลุ่ม แล้วเรียกคู่ต่อไปจากทุก กลุ่มมาสอน คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลุ่มเป็นรายบุคคล


5. เทคนิคการต่อภาพ (Jigsaw) เทคนิคนี้ใช้ส าหรับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 3 - 6 สมาชิก ในกลุ่มมี 6 คน ความรู้ต่างระดับกัน สมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกันกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ ในหัวข้อที่ ต่างกันออกไป แล้วทุกคนกลับมากลุ่มของตน สอนเพื่อนในสิ่งที่ตนไปเรียนร่วมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นๆ มา การประเมินผลเป็นรายบุคคลแล้วรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม 6. เทคนิคการต่อภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคนี้สมาชิกในกลุ่ม 4 – 5 คน นักเรียนทุกคน สนใจเรียนบทเรียนเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยของบทเรียนต่างกัน ใครที่ สนใจหัวข้อเดียวกันจะไปประชุมกัน ค้นคว้าและอภิปราย แล้วกลับมาที่กลุ่มเดิมของตนสอนเพื่อนในเรื่องที่ ตนเองไปประชุมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นมา ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ท าคะแนน รวมได้ดีกว่าครั้งก่อน (คิดคะแนนเหมือน STAD) จะได้รับรางวัล ขั้นตอนการเรียนมีดังนี้ 6.1 ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อย ๆ ให้เท่ากับจ านวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม 6.2 จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็นกลุ่มบ้าน (Home group) สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น โดยใช้เวลาตามที่ครู ก าหนด 6.3 จากนั้นนักเรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อท างาน ซักถามและท า กิจกรรม ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert group) สมาชิกทุก ๆ คน ร่วมมือกันอภิปรายหรือท างาน อย่างเท่าเทียมกัน โดยใช้เวลาตามที่ครูก าหนด 6.4 นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน (Home group) ของตน จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากหัวข้อย่อยที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นต้น 6.5 ท าการทดสอบหัวข้อย่อย 1 – 4 กับนักเรียนทั้งห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคน ในกลุ่มรวมเป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ 7. เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) เทคนิคนี้สมาชิกในกลุ่มมี 2 – 6 คน เป็นรูปแบบที่ซับซ้อน แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้า สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานกัน ทั้งกลุ่มมีการวางแผนการด าเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานที่ท า การน าเสนอผลงานหรือ รายงานต่อหน้าชั้น การให้รางวัลหรือให้คะแนนเป็นกลุ่ม 8. เทคนิคการเรียนร่วมกัน (Learning Together) วิธีนี้สมาชิกในกลุ่มมี 4 – 5 คน ระดับความรู้ความสามารถต่างกัน ใช้ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 – 6 โดยครูท าการสอนทั้งชั้น เด็ก แต่ละกลุ่มท างานตามที่ครูมอบหมาย คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากผลงานของกลุ่ม 9. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมกลุ่ม (Co – op – Co - op) ซึ่งเทคนิคนี้ประกอบด้วย ขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้คือ นักเรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษา แบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อย แล้วจัด นักเรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม กลุ่ม แบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นหัวข้อเล็ก ๆ เพื่อนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษา และมีการก าหนดบทบาท และหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่ม แล้วนักเรียนเลือกศึกษาเรื่องที่ตนเลือกและน าเสนอต่อกลุ่ม กลุ่ม รวบรวมหัวข้อต่าง ๆ จากนักเรียนทุกคนภายในกลุ่ม แล้วรายงานผลงานต่อชั้นและมีการประเมินผลงานของ กลุ่ม


สรุปได้ว่า เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือที่น ามาใช้ในงานวิจัยในครั้งนี้ เทคนิคการต่อ เรื่องราว (Jigsaw) เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ เป็นเทคนิคที่ใช้ในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้มีการ ร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่มและมีการถ่ายทอดความรู้กันระหว่างกลุ่ม นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วน หนึ่งหรือหัวข้อย่อยของเนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษาเรื่องนั้นๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้ ในตอนที่ ศึกษาหัวข้อย่อยนั้น นักเรียนจะท างานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกัน และ เตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง 2.2.4 ขั้นตอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กันโดยมี เป้าหมาย คือเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่มร่วมกันตั้งไว้ ดังนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวจึงต้องมีขั้น ตอนหรือกระบวนต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ ในขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเรียน เริ่มด้วยผู้สอนชี้แจง จุดประสงค์ของบทเรียน หลังจากนั้นผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย โดยคละผู้เรียนในกลุ่มให้แตกต่างกันใน ด้านสติปัญญา ความถนัด และภูมิหลัง แบ่งจ านวนสมาชิกในกลุ่มละประมาณไม่เกิน 6 คนหลังจากนั้นผู้สอน แนะน าวิธีการท างานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม 2. ขั้นสอน ในขั้นตอนนี้ผู้สอนเริ่มน าเข้าสู่บทเรียน โดยการสอนหรือบรรยายเนื้อหาตาม บทเรียนหลังจากนั้นมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่ม ซึ่งผู้สอนจะอธิบายถึงปัญหาหรืองานที่ต้องการให้กลุ่มแก้ไข หรือคิดวิเคราะห์ หาค าตอบ พร้อมแนะน าแหล่งข้อมูล ค้นคว้า หรือให้ข้อมูลพื้นฐานส าหรับการคิดวิเคราะห์ อย่าง 3. ขั้นท ากิจกรรมกลุ่ม เป็นขั้นตอนที่สมาชิกภายในกลุ่มจะ ได้ฝึกทักษะการเรียนรู้ร่วมกัน การท างานเป็นทีมการร่วมกันรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ร่วมกันแสดงความคิดเห็น ร่วมกันท างาน ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ โดยผู้สอนอาจใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจที่น่าสนใจและเหมาะสมกับ ผู้เรียน เข่น การเล่าเรื่องรอบวง มุมสนทนา คู่ตรวจสอบ คู่คิด ฯลฯ ผู้สอนสังเกตการณ์ท างานของกลุ่ม เป็นผู้ อ านวยความสะดวกให้ความกระจ่างในกรณีที่ผู้เรียนสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือ 4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นตอนนี้สมาชิกภายในกลุ่มจะรายงานผลการ ด าเนินงานกลุ่ม โดยผู้สอนและเพื่อนกลุ่มอื่นสามารถชักถามหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดความชัดเจนมาก ขึ้น เน้นการตรวจผลงานกลุ่มและผลงานรายบุคคล ในบางกรณีผู้เรียนอาจต้องซ่อมเสริมสิ่งที่ยังต้องปรับปรุง แล้วจึงท าการทดสอบผลงานอีกครั้ง 5. ขั้นสรูปบทเรียนและประเมินผลการท างานกลุ่ม ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุป บทเรียนผู้สอนช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้ที่จ าเป็นหรือไม่ครอบคลุม เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการเรียนที่ ก าหนดไว้และช่วยกันประเมินผลการท างานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและ ส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไข ให้การเสริมแรง โดยการชมเชย หรือมอบรางวัลกลุ่มที่ท าคะแนนได้ตามเกณฑ์ และการให้ก าลังใจกับสมาชิกในกลุ่มที่ยังไม่ สามารถท างานผ่านเกณฑ์ได้


จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson. 2003) ได้เสนอขั้นตอนของการเรียนรู้ แบบร่วมมือ ดังนี้ 1. ขั้นเตรียม ประกอบด้วยครูเป็นที่ปรึกษาให้ค าแนะน าเกี่ยวกับบทบาทของนักเรียน การ แบ่งกลุ่มการเรียน แจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนในแต่ละบทเรียน แต่ละคาบ และฝึกฝนทักษะพื้นฐานที่ จ าเป็นส าหรับการท ากิจกรรมกลุ่ม 2. ขั้นสอน ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ประกอบด้วยการเข้าสู่บทเรียน แนะน า เนื้อหา แนะน าแหล่งข้อมูล และมอบหมายงานให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มได้รับงานเป็นชุด เพื่อฝึกความ รับผิดชอบในการคิดตัดสินใจแบ่งปันงานให้สมาชิกในกลุ่ม 3. ขั้นท ากิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ในการท ากิจกรรมกลุ่มตามที่ได้รับ มอบหมาย และจะช่วยเหลือกันเพื่อให้งานนั้นส าเร็จ เป็นการเสริมแรงและสนับสนุนกัน ให้ก าลังใจกัน และ พึ่งพาอาศัยกัน 4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบเป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน หรือไม่ ผลการปฏิบัติเป็นอย่างไร เน้นการตรวจสอบผลงานกลุ่มและรายบุคคล และต่อจากนั้นเป็นการทดสอบ 5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการท างานกลุ่ม ครู และนักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน ถ้ามีสิ่งที่ผู้เรียนยังไม่เข้าใจครูควรอธิบายเพิ่มเติมและช่วยกันประเมินผลการท างานกลุ่มหาจุดเด่นและสิ่งที่ควร ปรับปรุงแก้ไข สรุปได้ว่า ขั้นตอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือในงานวิจัยในครั้งนี้ประกอบด้วย 5 ขั้น เริ่ม จาก 1) ขั้นเตรียมการเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเรียน เริ่มด้วยผู้สอนชี้แจงจุดประสงค์ของบทเรียน หลังจากนั้นผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย และแนะน าวิธีการท างานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม 2) ขั้นสอน ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยร่วมกับเทคนิคจิ๊กซอว์ 3) ขั้นท ากิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละคนมี บทบาทหน้าที่ในการท ากิจกรรมกลุ่มตามที่ได้รับมอบหมาย 4) ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นตอนนี้ สมาชิกภายในกลุ่มจะรายงานผลการด าเนินงานกลุ่ม 5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการท างานกลุ่ม ครู และนักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียน 2.2.5 ประโยชน์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ วันเพ็ญ จันเจริญ (2542 : 119) กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ มีดังนี้ 1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก เพราะทุก ๆ คนร่วมมือในการท างานกลุ่ม ทุก ๆ คนมีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน 2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูดแสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือกระท า อย่างเท่า เทียมกัน 3. เสริมให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรียนไม่เก่ง ท าให้เด็กเก่ง ภาคภูมิใจ รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้ าใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน 4. ร่วมกันคิดทุกคน ท าให้เกิดการระดมความคิด น าข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อ ประเมินค าตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มาก และวิเคราะห์และตัดสินใจ เลือก


5. ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เข้าใจกัน และกัน อีกทั้งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการท างานเป็นกลุ่ม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนให้สูงขึ้น จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson, D. W., & Johnson, R T., 1987) กล่าวถึงประโยชน์ ของการเรียนแบบร่วมมือ ไว้ 9 ประการ ดังนี้ 1. ผู้เรียนเก่งที่เข้าใจค าสอนของผู้สอนได้ดี สามารถเปลี่ยนค าสอนของผู้สอนเป็นภาษาพูด ของผู้เรียนแล้วอธิบายให้เพื่อนฟังได้ และท าให้เพื่อนเข้าใจได้ดีขึ้น 2. ผู้เรียนที่ท าหน้าที่อธิบายบทเรียนให้เพื่อนฟัง จะเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น 3. การสอนเพื่อนเป็นการสอนแบบตัวต่อตัวท าให้ผู้เรียน ได้รับความเอาใจใส่และมีความ สนใจมากยิ่งขึ้น 4. ผู้เรียนทุกคนต่างก็พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะผู้สอนคิดคะแนนเฉลี่ยของทั้ง กลุ่มด้วย 5. ผู้เรียนทุกคนเข้าใจดีว่าคะแนนของตน มีส่วนช่วยเพิ่มหรือลดค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ดังนั้น ทุกคนต้องพยายามปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้กลุ่มประสบความส าเร็จ 6. ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสฝึกทักษะทางสังคมมีเพื่อนร่วมกลุ่ม และเป็นการเรียนรู้วิธีการ ท างานเป็นกลุ่ม ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากเมื่อเข้าสู่ระบบการท างานอันแท้จริง 7. ผู้เรียนได้มี โอกาสเรียนรู้กระบวนการกลุ่ม เพราะในการปฏิบัติงานร่วมกันนั้นก็ต้องมี การทบทวนกระบวนการท างานของกลุ่มเพื่อให้ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน หรือคะแนนของกลุ่มดีขึ้น 8. ผู้เรียนเก่งจะมีบทบาททางสังคมในชั้นมากขึ้น เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้เรียนหรือหลบไป ท่องหนังสือเฉพาะตน เพราะเขาต้องมีหน้าที่ต่อสังคมด้วย นั่นคือ เขาต้องอธิบายให้เพื่อนฟังอย่างเข้าใจ 9. ในการตอบค าถามในห้องเรียน หากตอบผิดเพื่อนจะหัวเราะเมื่อเป็นการตอบค าถาม รายบุคคล แต่เมื่อท างานเป็นกลุ่ม ผู้เรียนจะช่วยเหลือซึ่งกันและ กัน ถ้าหากตอบผิดก็ถือว่าผิดทั้งกลุ่ม คนอื่น ๆ อาจจะให้ความช่วยเหลือบ้าง ท าให้ผู้เรียนในกลุ่มมีความผูกพันกันมากขึ้น การเรียนรู้แบบร่วมมือมี ประโยชน์หลายประการ ในการพัฒนาผู้เรียน นั่นคือ ช่วยพัฒนาความเชื่อมั่นของผู้เรียน พัฒนาความคิดของ ผู้เรียน เกิดเจตคติที่ดีในการเรียน ช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ส่งเสริมทักษะในการท างานร่วมกัน ฝึกให้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ท าให้นักเรียนมีวิสัยทัศน์ หรือ มุมมองกว้างขึ้น ส่งเสริมทักษะทางสังคม ตลอดจนช่วยให้ผู้เรียนมีการปรับตัวในสังคมได้ดีขึ้น Thirteen Organization (2004) ได้สรุปข้อดีของสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้แบบร่วมมือ จากการเรียนของนักเรียนในกลุ่มเล็ก ซึ่งรวมถึงเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1. ใคร่ครวญในความหลากหลาย : นักเรียนได้เรียนรู้การท างานกับคนที่มีหลายแบบมี ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเล็ก นักเรียนได้ค้นพบโอกาสจากการสะท้อนกลับ และการตอบกลับต่อการตอบสนอง ที่หลากหลายของผู้เรียนแต่ละคน น ามาซึ่งการเพิ่มค าถาม กลุ่มเล็กได้อนุญาตให้นักเรียนเพิ่มมุมมองใน ประเด็นที่มีฐานบนความแตกต่างด้านวัฒนธรรม จึงเป็นการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือต่อนักเรียนที่ดีกว่าการ เข้าใจวัฒนธรรมอื่นๆ และการชี้มุมมองเท่านั้น


2. ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล : เมื่อมีค าถามเพิ่มขึ้น นักเรียนที่มีความแตกต่าง กันจะมีการตอบสนองที่หลากหลาย อย่างน้อยนักเรียนคนหนึ่งสามารถช่วยกลุ่มในการสร้างผลผลิตที่สะท้อน กลับในพิสัยอันกว้างของมุมมอง และมีความสมบูรณ์และกว้างขวางครอบคลุม 3. การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล : นักเรียนจะสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนและ ผู้เรียนคนอื่นๆ จากการท างานร่วมกันในกลุ่มกิจการ โครงการต่างๆ เหล่านี้สามารถช่วยเหลือเป็นการเฉพาะ ต่อนักเรียนที่ประสบอุปสรรคในด้านทักษะทางสังคม ซึ่งพวกเขาสามารถได้รับผลประโยชน์จากโครงสร้างการมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 4. การรวมนักเรียนที่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ : สมาชิกแต่ละคนมีโอกาสได้รับ การช่วยเหลือในกลุ่มเล็ก นักเรียนมีแนวโน้มในการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของต่อวัสดุอุปกรณ์ และการคิด เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ เมื่อพวกเขาได้ท างานเป็นทีม 5. มีโอกาสมากกว่าส าหรับการป้อนกลับส่วนบุคคล : ด้วยเหตุที่มีการแลกเปลี่ยนใน นักเรียนกลุ่มเล็กมากกว่าการป้อนกลับส่วนบุคคล ที่นักเรียนได้รับเป็นส่วนตัว กับแนวคิดและการตอบสนอง ของหลายคน ซึ่งการป้อนกลับ ไม่สามารถพบได้ในการเรียนการสอนแบบกลุ่มใหญ่ ซึ่งมีนักเรียนหนึ่งหรือสอง คนที่ได้แลกเปลี่ยนแนวคิด ส่วนนักเรียนคนอื่นๆในห้องเรียนได้แต่หยุดเงียบเพื่อฟัง เป็นผู้ฟังเท่านั้น สรุปได้ว่า ประโยชน์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ คือ นักเรียนสมาชิกทุกคนได้สร้าง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิก มีโอกาสแสดงออกทางความคิด ลงมือท า อย่างเท่าเทียมกัน ท าให้เกิดการ ระดมความคิด น าข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เป็นการส่งเสริมให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พัฒนา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นการส่งเสริมทักษะทางสังคม นักเรียนได้ค้นพบโอกาสจากการสะท้อนกลับ และ การตอบกลับต่อการตอบสนองที่หลากหลายของผู้เรียนแต่ละคน ช่วยพัฒนาความเชื่อมั่นของผู้เรียน พัฒนา ความคิดของผู้เรียน เกิดเจตคติที่ดีในการเรียน ช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สร้างความสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อน ส่งเสริมทักษะในการท างานร่วมกัน ฝึกให้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ท าให้นักเรียนมี วิสัยทัศน์ หรือมุมมองกว้างขึ้น ส่งเสริมทักษะทางสังคม ตลอดจนช่วยให้ผู้เรียนมีการปรับตัวในสังคมได้ดีขึ้น 2.3 การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ 2.2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ กรมวิชาการ (2544: 15) ได้ให้ความหมายของปริศนาความรู้ (Jigsaw) เป็นการจัดการ เรียนการสอนที่แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ทุกกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ท ากิจกรรมเดียวกันโดยครูผู้สอนแบ่ง เนื้อหาของเรื่องที่จะเรียนออกเป็นหัวข้อย่อยเท่าจ านวนสมาชิกแต่ละกลุ่ม และมอบหมายให้นักเรียนแต่ละ กลุ่มค้นคว้าคนละหัวข้อ โดยนักเรียนแต่ละคนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายจากกลุ่ม สมาชิกต่างกลุ่มที่ได้รับมอบหมายในหัวข้อเดียวกันจะร่วมกันศึกษา จากนั้นแต่ละคนจะกลับเข้ากลุ่มเดิมของ ตน เพื่ออธิบายหัวข้อที่ตนศึกษาให้เพื่อนร่วมกลุ่มฟัง เพื่อให้เพื่อนทั้งกลุ่มได้รู้เนื้อหาครบทุกหัวข้อ ท าให้เพื่อน ทั้งกลุ่มได้รับเนื้อหาครบทุกหัวข้อ เอรอนสัน และคณะ (Aronson; et al. 2009: Online) กล่าวว่าห้องเรียนแบบจิ๊กซอว์เป็น วิธีการเรียนร่วมมือแบบต่อภาพ ที่นักเรียนแต่ละคนเป็นเหมือนตัวต่อหรือแต่ละชิ้นของจิ๊กซอว์ที่จะต่อเติมภาพ ให้สมบูรณ์ นักเรียนในห้องเรียนจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละ 5 หรือ 6 คนสมาชิกแต่ละคนจะได้รับ


มอบหมายให้ศึกษา ค้นคว้าหัวข้องานคนละหัวข้อ โดยที่สมาชิกแต่ละคนจะไปศึกษา ค้นคว้าหัวข้อที่ตนได้รับ มอบหมายกับสมาชิกกลุ่มอื่นๆในหัวข้อเดียวกัน เรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ หลังจากนั้นสมาชิกแต่ละคนจากกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญจะกลับมาที่กลุ่มเดิม เพื่อน าเสนองานหรือเล่าเรื่องของตนที่ได้ศึกษาให้เพื่อนในกลุ่มฟังจนครบทุก หัวข้อ และนักเรียนทุกคนได้รับการทดสอบในเรื่องที่ทุกคนได้ศึกษา ดังนั้นนักเรียนทุกคนจึงมีความส าคัญที่จะ ท าให้งานส าเร็จตามเป้าหมายที่ก าหนด Pralong Krutnoi (2555) วิธีสอนแบบจิ๊กซอร์ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริม การเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบหนึ่ง มีวิธีการหลัก ๆ ได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัล เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งใช้หลักการ เรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษา อย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ และวิธีการเสริมแรงและการ ให้รางวัลเป็นประการส าคัญ ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์(2555) กล่าวว่า รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อ ภาพ ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ Aronson et.al (1978 ,pp. 22-25) ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติมขั้นตอนให้ มากขึ้น แต่วิธีการหลัก ยังคงเดิม การสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหนึ่งหรือหัวข้อย่อยของ เนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษาเรื่องนั้นๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้ ในตอนที่ศึกษาหัวข้อย่อยนั้น นักเรียนจะท างานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกัน และเตรียมพร้อมที่จะ กลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง เรวดี ศรีสุข, พย.ม (2562) กล่าวว่า 1. รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อ ภาพ ซึ่งบางครั้งเรียกรูปแบบนี้ว่า การเรียนแบบต่อชิ้นส่วน หรือการศึกษาเฉพาะส่วน วิธีการเรียนด้วยรูปแบบ นี้ ผู้สอนจะแบ่งกลุ่มผู้เรียน โดยการคละตามความสามารถ พร้อมกับมอบหมายให้ทุกกลุ่มท ากิจกรรมในหัวข้อ เดียวกัน หลังจากนั้นในกลุ่มหลัก (Home Groups) ที่แบ่งไว้ให้แบ่งสมาชิกภายในกลุ่มศึกษาเพียงส่วนหนึ่ง หรือหัวข้อย่อยของเนื้อหาทั้งหมดโดยขณะศึกษาหัวข้อย่อยนั้น ผู้เรียนจะท างานเป็นกลุ่มกับเพื่อนกลุ่มอื่นที่ ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกันเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group) และเตรียมพร้อม ที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มหลักของตนเอง สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์หมายถึง รูปแบบการสอนที่อาศัยแนวคิด การต่อภาพ เป็นการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยมีการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย เรียกว่า กลุ่มหลัก (Home Groups) โดยสมาชิกภายในกลุ่มจะคละความสามารถ สมาชิกภายในกลุ่มแต่ละคนจะศึกษาเพียงส่วนหนึ่งของ หัวข้อ และจะศึกษากับเพื่อนกลุ่มอื่นที่ศึกษาในหัวข้อเดียวกัน เรียกว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group) และ เมื่อศึกษาจนเข้าใจ ก็น าไปสอนสมาชิกภายในกลุ่มของตนเองให้เข้าใจ ซึ่งสมาชิกทุกคนจะเข้าใจในภาพรวม 2.2.2 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ นักวิชาการศึกษาได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ดังนี้ ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์(2555) กล่าวว่า Jigsaw มีองค์ประกอบที่ส าคัญ 3 ส่วน คือ


1. การเตรียมสื่อการเรียนการสอน (Preparation Of Materials) ครูสร้างใบงานให้ ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนของกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบย่อยในแต่ละหน่วยการเรียน แต่ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่แล้ว ยิ่งท าให้ง่ายขึ้นได้ โดยแบ่งเนื้อหาในแต่ละหัวข้อเรื่องที่จะสอนเพื่อท าใบงานส าหรับผู้เชี่ยวชาญ ในใบงานควร บอกว่านักเรียนต้องท าอะไร เช่น ให้อ่านหนังสือหน้าอะไร อ่านหัวข้ออะไร จากหนังสือหน้าไหนถึงหน้าไหน หรือให้ดูวิดีทัศน์ หรือให้ลงมือปฏิบัติการทดลอง พร้อมกับมีค าถามให้ตอบตอนท้ายของกิจกรรมที่ท าด้วย 2. การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Teams And Expert Groups) ครูจะ แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ (Home Groups) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบงานที่ครูสร้างขึ้น ครูแจกใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนในกลุ่ม และให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนศึกษาใบงานของตนก่อนที่จะแยกไป ตามกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) เพื่อท างานตามใบงานนั้นๆ เมื่อนักเรียนพร้อมที่จะท ากิจกรรม ครู แยกกลุ่มนักเรียนใหม่ตามใบงาน กิจกรรมในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มอาจแตกต่างกัน ครูพยายามกระตุ้นให้ นักเรียนศึกษาหัวข้อตามใบงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นใบงานที่ครูสร้างขึ้นจึงมีความส าคัญมาก เพราะในใบงาน จะน าเสนอด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลองศึกษาเกี่ยวกับ สิ่งที่ได้รับมอบหมาย พร้อมกับเตรียมการน าเสนอสิ่งนั้นอย่างสั้นๆ เพื่อว่าเขาจะได้น ากลับไปสอนสมาชิกคน อื่นๆ ในกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาในหัวข้อดังกล่าว 3. การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports And Quizzes) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ละ กลุ่มท างานเสร็จแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนก็จะกลับไปยังกลุ่มเดิมของตัวเอง (Home Group) แล้วสอนเรื่องที่ ตัวเองท าให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม ครูกระตุ้นให้นักเรียนใช้วิธีการต่างๆ ในการน าเสนอสิ่งที่จะสอน นักเรียนอาจใช้วิธีการสาธิต อ่านรายงาน ใช้คอมพิวเตอร์ รูปถ่าย ไดอะแกรม แผนภูมิหรือภาพวาดในการ น าเสนอความคิดเห็น ครูกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มได้มีการอภิปรายและซักถามปัญหาต่างๆ โดยที่สมาชิกแต่ละ คนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้แต่ละเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนน าเสนอ เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้รายงาน ผลงานกับกลุ่มของตัวเองแล้ว ควรมีการอภิปรายร่วมกันทั้งห้องเรียนอีกครั้งหนึ่ง หรือมีการถามค าถามและ ตอบค าถามในหัวข้อเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนได้ศึกษา การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์(Jigsaw) มีองค์ประกอบส าคัญ 3 ส่วน คือ 1. การเตรียมสื่อการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องเตรียมใบงาน ใบความรู้ สื่อการเรียนรู้อื่นๆ ส าหรับผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มและสร้างแบบทดสอบย่อยในแต่ละหน่วยการเรียน 2. การจัดสมาชิกของกลุ่ม ผู้สอนจะต้องแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆเรียกว่า “กลุ่มบ้าน” (Home Groups) แต่ละกลุ่มจะมี “ผู้เชี่ยวชาญ” (Expert Groups) ศึกษาแต่ละเรื่องตามใบงานที่ผู้สอนสร้าง ขึ้น 3. การรายงานและทดสอบย่อย เมื่อผู้เชี่ยวชาญกลับเข้ากลุ่มตัวเองและสอนเรื่องที่ตนเอง ได้เรียนรู้มาหรือรายงานให้กับสมาชิกในกลุ่มแล้ว ควรมีการอภิปรายกันทั้งห้องเรียนอีกครั้งหรือมีการถาม-ตอบ ในหัวข้อเรื่องที่เรียนรู้หลังจากนั้นผู้สอนท าการทดสอบย่อยและประเมินให้คะแนน (สุวิทย์ และอรทัย มูลค า, 2550: 178) สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ประกอบด้วย 1) การ เตรียมสื่อการเรียนรู้ เป็นการเตรียมสื่อการเรียนรู้ ใบงานส าหรับผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบ


ย่อย 2) การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ และ 3) การรายงานและการทดสอบย่อย ผู้เชี่ยวชาญ กลับเข้ากลุ่ม มาสอน อธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟังจนเข้าใจ จากนั้นผู้สอนท าการทดสอบย่อย และประเมินผล 2.2.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ นักวิชาการศึกษาหลายท่าน ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ดังนี้ ทิศนา แขมมณี, (2545, 2547, 2548, 2550, 2551) กล่าวว่า กระบวนการเรียนการสอน ของรูปแบบจิ๊กซอร์ มีกระบวนการดังนี้ 1. จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ ( เก่ง-กลาง-อ่อน ) กลุ่มละ 4 คนและเรียกกลุ่มนี้ ว่า กลุ่มบ้านของเรา (Home Group) 2. สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน (เปรียบเสมือนได้ชิ้นส่วนของภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้น) และหาค าตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้ 3. สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่นซึ่งได้รับเนื้อหาเดียวกัน ตั้งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (expert group) ขึ้นมา และร่วมกันท าความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นอย่างละเอียด และร่วมกันอภิปรายหาค าตอบประเด็นที่ผู้สอนมอบหมายให้ 4. สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา แต่ละกลุ่มช่วยสอนเพื่อนในกลุ่ม ให้ เข้าใจสาระที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของสาระทั้งหมด 5. ผู้เรียนทุกคนท าแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล และน าคะแนนของ ทุกคนในกลุ่มบ้านของเรามารวมกัน (หรือหาค่าเฉลี่ย ) เป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล ผ่องฉวี มณีรัตนพันธุ์(2555) กล่าวว่า ขั้นตอนการสอนแบบ Jigsaw มีดังนี้ ขั้นที่ 1 ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยเท่าจ านวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม ถ้ากลุ่ม ขนาด 3 คน ให้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน ขั้นที่ 2 จัดกลุ่มนักเรียนให้มีสมาชิกที่มีความสามารถคละกัน เป็นกลุ่มพื้นฐานหรือ Home Groups จ านวนสมาชิกในกลุ่มอาจเป็น 3 หรือ 4 คนก็ได้ จากนั้นแจกเอกสารหรืออุปกรณ์การสอนให้กลุ่มละ 1 ชุด หรือให้คนละชุดก็ได้ ก าหนดให้สมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบอ่านเอกสารเพียง 1 ส่วนที่ได้รับมอบหมาย เท่านั้น หากแต่ละกลุ่มได้รับเอกสารเพียงชุดเดียว ให้นักเรียนแยกเอกสารออกเป็นส่วนๆ ตามหัวข้อย่อย ดังนี้ ในแต่ละกลุ่ม นักเรียนคนที่ 1 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1 นักเรียนคนที่ 2 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2 นักเรียนคนที่ 3 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3 ขั้นที่ 3 เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) นักเรียนจะแยกย้ายจากกลุ่มพื้นฐาน (Home Group) ไปจับกลุ่มใหม่เพื่อท าการศึกษา เอกสารส่วนที่ได้รับมอบหมาย โดยคนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเอกสารหัวข้อย่อยเดียวกัน จะไปนั่งเป็นกลุ่ม ด้วยกัน กลุ่มละ 3 หรือ 4 คน แล้วแต่จ านวนสมาชิกของกลุ่มที่ครูก าหนด ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกจะอ่านเอกสาร สรุปเนื้อหาสาระ จัดล าดับขั้นตอนการน าเสนอ เพื่อเตรียมทุกคนให้พร้อมที่จะไปสอนหัวข้อนั้น ที่กลุ่มเดิมของตนเอง


ขั้นที่ 4 นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับกลุ่มเดิมของตน แล้วผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันอธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟังทีละหัวข้อ มีการซักถามข้อสงสัย ตอบปัญหา ทบทวนให้เข้าใจชัดเจน ขั้นที่ 5 นักเรียนแต่ละคนท าแบบทดสอบเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดทุกหัวข้อ แล้วน าคะแนน ของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม ขั้นที่ 6 กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัล หรือการชมเชย การสอนแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาจน าไปใช้ในการทบทวนเนื้อหาที่มีหลายๆ หัวข้อ หรือใช้กับ บทเรียนที่เนื้อหาแบ่งแยกเป็นส่วนๆ ได้ และเป็นเนื้อหาที่นักเรียนศึกษาจากเอกสารและสื่อการสอนได้ สนอง อินละคร (2544 : 122) ได้น าเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค Jigsaw ไว้ดังนี้ 1. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มคละความสามารถ กลุ่มละ 4-6 คน แต่ละกลุ่มประกอบด้วยคนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2-4 คน และอ่อน 1 คน แต่ละกลุ่มเลือกประธาน และเลขานุการกลุ่ม เรียกว่า กลุ่มบ้าน (Home group) 2. กลุ่มบ้าน (Home group) แต่ละกลุ่มมอบหมายภาระงานให้สมาชิกรับผิดชอบดังนี้ คนที่ 1 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรือบัตรกิจกรรมที่ 1 คนที่ 2 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรือบัตรกิจกรรมที่ 2 คนที่ 3 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรือบัตรกิจกรรมที่ 3 คนที่ 4 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรือบัตรกิจกรรมที่ 4 คนที่ 5 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรือบัตรกิจกรรมที่ 5 คนที่ 6 รับผิดชอบเนื้อหา หรือใบงานหรือบัตรกิจกรรมที่ 6 3. จัดกลุ่มเชี่ยวชาญ (Expert group) โดยให้นักเรียนกลุ่มบ้านของแต่ละกลุ่มที่รับผิดชอบ เรื่องเดียวกันไปรวมกลุ่มใหม่ แล้วศึกษา ฝึกฝน ท าความเข้าใจเนื้อหา ท าใบงาน หรือท ากิจกรรมร่วมกันจนมี ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างดี 4. กลับกลุ่มบ้าน (Home group) โดยนักเรียนแต่ละคนกลับกลุ่มเดิม แล้วผลัดกันอธิบาย ให้สมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากเรื่องที่ 1 2 3 ไปจนครบทุกคน สมาชิกในกลุ่มซักถามจนเป็นที่เข้าใจ 5. แต่ละกลุ่มเตรียมตัวทดสอบรายบุคคล แล้วรวมคะแนน หรือเฉลี่ยคะแนนเป็นคะแนน ของกลุ่ม 6. มอบรางวัลหรือประกาศเกียรติคุณแก่กลุ่มที่ได้คะแนน รวมหรือคะแนนเฉลี่ยสูงสุด สรุปได้ว่า ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์แบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อย เท่าจ านวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม ขั้นตอนที่ 2แบ่งนักเรียนออกเป็น กลุ่ม แบบคละความสามารถ เรียกว่า สมาชิกกลุ่มบ้าน จากนั้นมอบหมายภาระ หัวข้อที่จะให้นักเรียนแต่ละคน ในกลุ่มบ้านได้ศึกษา ขั้นตอนที่ 3 นักเรียนที่ได้ภาระ หัวข้อเดียวกัน มาศึกษาร่วมกันเรียกว่า กลุ่มเชี่ยวชาญ ขั้น ตอนี่ 4 เมื่อศึกษาจนเข้าใจแล้ว ผู้เชี่ยวชาญกลับไปยังกลุ่มของตน สอน อธิบายในหัวข้อที่เราศึกษาให้สมาชิก ในกลุ่มฟังจนเข้าใจ ขั้นตอนที่ 5 สมาชิกแต่ละกลุ่มท าการทดสอบรายบุคคล จากนั้นน าคะแนนมารวมกัน ขั้นตอนที่ 6 มอบรางวัลให้กับกลุ่มที่มีคะแนนรวมกันสูงที่สุด


2.2.4 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ นักวิชาการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึง ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์ ดังนี้ สุวิทย์ มูลค า และอรทัย มูลค า (2545: 181) สรุปข้อดีของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค จิกซอว์ ดังนี้ 1. ผู้เรียนมีความเอาใจใส่ รับผิดชอบต่อตนเองและกลุ่มร่วมกับสมาชิกอื่น 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถต่างกันได้เรียนรู้ร่วมกัน 3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดกันเป็นผู้น า 4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคมโดยตรง ฆนัท ธาตุทอง (2551: 185) ได้สรุปข้อดีของเทคนิคต่อเต็ม (Jigsaw) ไว้ดังนี้ 1. ผู้เรียนเอาใจใส่รับผิดชอบตนเอง 2. ส่งเสริมผู้ที่มีความรู้ความสามารถต่างกัน เรียนรู้ร่วมกันได้ 3. ฝึก เรียนรู้ทักษะทางสังคม 4. มีความตื่นเต้น สนุกสนานกับการเรียน สรุปได้ว่า ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์เป็นการส่งเสริมทักษะทาง สังคมในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ส่งเสริมการเป็นผู้น า ผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ได้เรียนรู้ร่วมกัน ท า ให้มีความสนุกสนานกับการเรียน และส่งเสริมให้มีความเอาใจใส่ และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน 2.4 ความพึงพอใจ 2.4.1 ความหมายของความพึงพอใจ นักการศึกษากล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจไว้ ดังนี้ ประสาท อิศรปรีคา (2547 : 321) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบหรือ พอใจที่มีต่อองค์ประกอบหรือสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ ของงาน และเขาได้รับการตอบสนองความต้องการของเขา ได้ มนต์ชัย เทียนทอง (2548 : 318 - 319) ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพความรู้สึกของ บุคคลที่มีความสุข ความอิ่มเอมใจ ความยินดี เมื่อความต้องการหรือแรงจูงใจของตนได้รับการตอบสนอง ความหมายทางค้านจิตวิทยา หมายถึง ความรู้สึกในขั้นแรกเมื่อบรรลุวัตถุประสงค์และความรู้สึกขั้นสุดท้ายเมื่อ บรรลุถึงจุดมุ่งหมายโดยมีแรงกระตุ้น และความหมายทั่ว ๆ ไปหมายถึง ความชื่นชม ความนิยม หรือความรู้สึก ยอมรับในสิ่งที่เห็นหรือได้สัมผัส อเนก สุวรรณบัณฑิต และคณะ (2548 : 145) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง กระบวนการที่กระตุ้นให้บุคคลเคลื่อนไหวหรือแสดงพฤติกรรมไปยังจุดหมายหรือเป้าหมายที่ก าหนดไว้ โดยมี แรงจูงใจเป็นตัวผลักดัน ซึ่งมีความต้องการสิ่งจูงใจและแรงขับเข้ามาเกี่ยวข้องโดยมีกระบวนการในการจูงใจ อย่างเป็นล าดับขั้น สุทธา อารีราษฎร์ (2550 : 176) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของที่มีต่อสิ่ง หนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ ความรู้สึกนั้นท าให้บุคคลเอาใจใส่และบรรลุถึงความมุ่งหมายที่บุคคลมีต่อสิ่งนั้น


สรุปได้ว่า ความพึงพอใจหมายถึง ความรู้สึกชอบ พอใจ ต่อสิ่งในสิ่งหนึ่ง ท าให้บุคคลเอาใจ ใส่ และบรรลุถึงความมุ่งหมายที่บุคคลมีความรู้สึก ชอบ พอใจ ต่อสิ่งนั้น 2.4.3 องค์ประกอบที่ท าให้เกิดความพึงพอใจ นักการศึกษากล่าวถึงองค์ประกอบที่ท าให้เกิดความพึงพอใจไว้ ดังนี้ ประสาท อิศรปรีดา (2547 : 177) กล่าวถึง องค์ประกอบที่ท าให้เกิดความพึงพอใจมีดังนี้ 1. องค์ประ กอบด้านความรู้ ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาข้อเท็จจริงหรือ สังเขปเกี่ยวกับสิ่งนั้น 2. องค์ประกอบด้านอารมณ์ ได้แก่ ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ รู้สึกชอบ ไม่ชอบ 3. องค์ประกอบด้านแนวโน้มการกระท า เป็นความพร้อมที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นในทางใด ทางหนึ่ง คือ พร้อมที่จะช่วยเหลือหรือท าลายขัดขวาง เป็นต้น สุเทพ (2541) ได้สรุปว่า สิ่งจูงใจที่ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ มี ด้วยกัน 4 ประการ คือ 1. สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ (material inducement) ได้แก่ เงิน สิ่งของ หรือสภาวะทางกายที่ ให้แก่ผู้ประกอบกิจกรรมต่างๆ 2. สภาพทางกายที่พึงปรารถนา (desirable physical condition ) คือ สิ่งแวดล้อมในการ ประกอบกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งส าคัญอย่างหนึ่งอันก่อให้เกิดความสุขทางกาย 3. ผลประโยชน์ทางอุดมคติ (ideal benefaction) หมายถึง สิ่งต่างๆที่สนองความต้องการ ของบุคคล 4. ผลประโยชน์ทางสังคม (association attractiveness) หมายถึง ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร กับผู้ร่วมกิจกรรม อันจะท าให้เกิดความผูกพัน ความพึงพอใจและสภาพการร่วมกัน อันเป็นความพึงพอใจของ บุคคลในด้านสังคมหรือความมั่นคงในสังคม ซึ่งจะท าให้รู้สึกมีหลักประกันและมีความมั่นคงในการประกอบ กิจกรรม สรุปได้ว่า องค์ประกอบที่ท าให้เกิดความพึงพอใจ คือ สิ่งจูงใจ วัตถุ สิ่งแวดล้อม หรือ ผลประโยชน์ทางอุดมคติที่ส่งผลต่อ การรับรู้ข้อเท็จจริง อารมณ์ จนไปถึงแนวโน้มของกระท าที่ท าให้บุคคลเกิด การตอบสนอง จนเกิดความรู้สึก พอใจ ไม่พอใจ 2.4.4 การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ นักวิชาการศึกษาได้กล่าวถึง การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ กรรณิการ์ อาภาภัสร์(2559) กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจ ดังนี้ 1. ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจเพื่อเป็นกรอบในการสร้างค าถาม 2. สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจโดยใช้ข้อค าถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ก าหนดค่าคะแนนเป็น 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) และก าหนดเกณฑ์มาท าข้อมูล ในการประเมินดังนี้


ค่าเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจ ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจมาก ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน้อยที่สุด จ านวน 15 ข้อค าถาม ซึ่งประกอบด้วยความคิดเห็นเกี่ยวกับด้านการออกแบบและการ จัดรูปแบบ ด้านคุณภาพของเนื้อหา ระดับความพึงพอใจโดยภาพรวม 3. น าแบบสอบถามความพึงพอใจเสนอผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจความถูกต้องและเหมาะสม ของแบบสอบถาม แล้วปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญ ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2549 : 39 - 43) กล่าวถึง การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ การแปล ความหมาย การวัดความพอใจ มีดังนี้ ขั้นที่ 1 การก าหนดเนื้อหาความพึงพอใจ คือ ให้เขียนนิยามซึ่งสามารถกระท าโดย 1. การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และก าหนดนิยาม 2. สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 5 คน ขั้นที่ 2 เลือกประเด็นที่วัดความพอใจ และก าหนดวิธีการวัด 1. ประเด็นที่วัดความพอใจให้เลือกมาจากกรอบเนื้อหาที่ก าหนดไว้ในขั้นที่ 1 2. วิธีวัดความพอใจ โดยทั่วไปนิยมใช้วิธี จัดอันดับคุณภาพ ร ระดับ และประเด็นวัด ความพอใจเป็นทางบวก คือ พอใจอย่างยิ่ง พอใจมาก พอใจสมควร พอใจน้อย หรือค่อนข้างไม่พอใจ พอใจ น้อยเป็นอย่างยิ่งหรือไม่พอใจค่อนข้างมาก ถ้าความพอใจทางลบคะแนนระดับ ความพอใจ จะเป็นตรงข้ามกับ ที่ก าหนดไว้ ขั้นที่ 3 จัดท าความพอใจฉบับร่าง ขั้นที่ 4 ทดลองกลุ่มย่อยประมาณ 3 - 5 คน เพื่อตรวจสอบความมั่นคงเฉพาะหน้า ขั้นที่ 5 ให้ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 3 - 5 ท่าน ตรวจสอบความแม่นตรงเฉพาะหน้าและความ แม่นตรงเชิงเนื้อหา ขั้นที่ 6 ทดลองภาคสนาม เพื่อการวิเคราะห์ปรับปรุงคุณภาพแบบวัดความพอใจโดยการหา ค่าอ านาจจ าแนก (rxx) และความเชื่อมั่น (Rtt) ด้วยวิธีการของคอนบราค (Cronbach) ขั้นที่ 7 น าไปใช้จริง การแปลความหมายการวัดความพอใจ กรณีความพอใจด้วยการจัด อันดับคุณภาพ 5 อันดับ สามารถแปลความหมายได้ดังนี้ 1 - 1.50 หมายถึง พอใจน้อยที่สุด, 1 51 -2.25 หมายถึง พอใจน้อย, 2.26 - 2.50 หมายถึง ค่อนข้างพอใจ, 2.51 - 3.50 หมายถึง พอใจพอสมควร 3.51-3.75 หมายถึง พอใจค่อนข้างมาก 3.76 - 4.50 หมายถึง พอใจมาก, 4.51 - 5.00 หมายถึง พอใจเป็นอย่างยิ่ง/มาก ที่สุด การปรับปรุงแบบวัดความพอใจ 1. พยายามให้มีข้อค าถามวัดความพอใจให้มากพอสมควร อยู่ระหว่าง 10 - 20 ข้อ 2. ควรตัดข้อค าถามที่มีค่า rxx < 0 ออกไป


3. ปรับปรุงขัอค าถามที่ rxx < 0.20 แต่ไม่เท่ากับศูนย์หรือติดลบ 4. ควรสร้างแบบความพอใจให้มีค าถามเผื่อไว้ เพื่อตัดข้อค าถามที่ไม่ดีออกไป แบบวัดความพอใจมีคุณภาพถึงระดับที่ต้องการ สมนึก ภัททิยธนี (2553 : 37 - 43) กล่าวถึง การสร้างแบบวัดความพึงพอใจมีดังนี้ 1. ค าชี้แจง ระบุถึงจุดประสงค์และวิธีการตอบแบบสอบถาม พร้อมตัวอย่าง 2. ข้อค าถามส่วนตัวผู้ตอบแบบสอบถาม เช่น ชื่อ-สกุล เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ ฯลฯ 3. ข้อค าถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง และความคิดเห็น เป็นส่วนส าคัญที่สุดที่จะช่วยให้ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการศึกษา เพื่อให้แบบสอบถามมีคุณภาพสูง สรุปได้ว่า การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ มีขั้นตอน ดังนี้ 1) การก าหนดเนื้อหาความพึง พอใจ 2) ก าหนด เลือกประเด็นที่ต้องการจะวัดความพอใจ และก าหนดวิธีการวัด 3) สร้างแบบวัดความพึง พอใจฉบับร่าง 4) ทดลองกับกลุ่มย่อย 5) น าไปให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน 6) ทดลองภาคสนาม เพื่อปรับปรุง คุณภาพ 7) น าไปใช้จริง 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.5.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ จินตนา เชื่อปัญญา และคณะ (2562) ได้ศึกษา การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มเกมแข่งขัน การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่ม เกมแข่งขัน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อ วิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มเกมแข่งขัน และ การจัดการเรียนรู้แบบปกติ (5E)กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแห่ง หนึ่งในจังหวัดชลบุรี ด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่มโดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 1 ห้อง จ านวน 45 คน และกลุ่มควบคุม 1ห้อง จ านวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิค กลุ่มเกมแข่งขัน แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ(5E)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และแบบวัดเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันหลังเรียนสูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สวยสม ปันเกตุและคณะ (2561) ได้ศึกษา ผลการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง หน่วย ของสิ่งมีชีวิตส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT กับ


เทคนิค TGT การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ1)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เรื่องหน่วยของ สิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคLT กับเทคนิค TGT 2)ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT กับเทคนิค TGT3) ความพึงพอใจต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT กับเทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ วิจัย ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จ านวน 89 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา2559โรงเรียนสิงห์บุรี อ าเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT 3) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าความเชื่อมั่น 0.843 4) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีค่าความ เชื่อมั่น 0.741 5) แบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติทดสอบทีผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องหน่วยของสิ่งมีชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT สูงกว่านักเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .012) ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิคTGT สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคLT อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .013) ความพึงพอใจต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGTสูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคLTอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 วรางคณา เจริญรักษา (2565) ได้ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อวิชา วิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 การวิจัยครั้ง นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนประชาบ ารุง ส านักงานเขตหนองแขม จังหวัด กรุงเทพมหานคร ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 1 ห้องเรียน รวมนักเรียน 31 คน ได้มาโดยการใช้ห้องเรียนเป็นการสุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1)แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD จ านวน 2 เรื่อง แสง กับสิ่งมีชีวิต และ ดินรอบตัว 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง แสงกับสิ่งมีชีวิต และดินรอบตัว 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ เทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการ วิเคราะห์คะแนนความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด นราวดี จอยรุง (2561) ได้ศึกษา การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาและทักษะ กระบวนการกลุมของนักเรียนสายวิทยาศาสตรพิเศษชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวม


มือเทคนิคTGT การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาพัฒนาการดานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาและ ทักษะกระบวนการกลุมของนักเรียนสายวิทยาศาสตรพิเศษ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ที่ไดรับการจัดการเรียนรู แบบรวมมือเทคนิค TGT งานวิจัยนี้ใชรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ประกอบดวย 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน (Plan) การปฏิบัติตามแผน (Act) การสังเกตผล (Observe) และการสะทอนผล (Reflect) โดยก ลุมเปาหมายที่ใชในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่4/3ภาคเรียนที่1ปการศึกษา2558โรงเรียนแหงหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรีจ านวน 31 คน ซึ่งเปนหองเรียนสายวิทยาศาสตรพิเศษ เก็บรวบรวมขอมูลโดยใช แผนการ จัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโตของสัตว จ านวน 5 แผน แบบ ทดสอบยอยทายวงจร แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา และแบบสังเกตพฤติกรรมทักษะ กระบวนการกลุม สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก รอยละ คาเฉลี่ยเลขคณิต (X̅) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) วิเคราะหขอมูลเชิงบรรยายและใชการวิเคราะหคะแนนพัฒนาการสัมพัทธเพื่อตอบค าถามงานวิจัย ซึ่ง ผลการวิจัยสรุปได ดังนี้1. การจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT สงผลใหนักเรียนมีพัฒนาการดาน ผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนวิชาชีววิทยาสูงขึ้นโดยมีคะแนนพัฒนาการ รอยละ 65.44 ซึ่งอยูในระดับสูง 2. การ จัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT สงผลใหนักเรียนมีพัฒนาการดานทักษะกระบวน การกลุมสูงขึ้นโดยมี คะแนนพัฒนาการ รอยละ 81.96 ซึ่งอยูในระดับสูงมาก ปวีณา ตระหนี่ และศุภชัย ทวี (2557) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้นมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาจ านวนนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนแบบ ร่วมมือ ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ และ 3) เพื่อ เปรียบเทียบเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ ด้วยเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการสอนเรื่อง เสียงและการได้ยิน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง เสียงและการได้ยิน ซึ่งเป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก มีความยากง่ายระหว่าง .20 - .75 อ านาจจ าแนกระหว่าง .31-.69 และความเที่ยง 0.92 และ 3) แบบวัดเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านวังกระโดนใหญ่ จ านวน 21 คน ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย สถิติที่ ใช้ คือ การทดสอบไคสแควร์ และการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายก ากับของวิลคอกสันผลการวิจัยมีดังนี้ 1. นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือมี คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม มีจ านวนนักเรียนผ่านเกณฑ์จ านวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 80.95 ของจ านวนนักเรียนทั้งหมด 2. นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือมีเจต คติต่อวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.5.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอร์


กัญญารัตน์ นามสว่าง และคณะ (2564) ได้ศึกษา ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค จิ๊กซอว์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงคเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการคิดวิเคราะห เรื่องระบบตาง ๆ ในรางกาย มนุษยและสัตวกอนเรียนและหลังเรียนของการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคจิ๊กซอว(Jigsaw)2)เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะหเรื่องระบบตางๆในรางกายมนุษยและสัตวระหวางการจัดการเรียน รูแบบรวมมือเทคนิคจิ๊กซอวและการจัดการเรียนรูแบบปกติกลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัยคือนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่2โรงเรียนเมืองตลุงพิทยาสรรพ จังหวัดบุรีรัมย ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2561 จ านวน 2 หอง เรียน ไดมาโดยวิธีการสุมแบบกลุม (Cluster random sampling ) และสุมอยางงายหนึ่งครั้ง (Simple random sampling) โดยวิธีการจับฉลากเพื่อก าหนดเปนกลุมทดลอง1หองเรียนและกลุมควบคุม1หองเรียน เครื่องมือที่ใชในงานวิจัยประกอบดวยแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคจิ๊กซอว ที่ผานการประเมิน ความสอดคลอง (IOC) จากผูเชี่ยวชาญ แสดงคาระหวาง 4.80 - 4.84 แผนการจัดการเรียนรูแบบปกติ ที่ผาน การประเมินความสอดคลอง(IOC)จากผูเชี่ยวชาญแสดงคาระหวาง4.76-4.84แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนแสดงคาความยากงายระหวาง0.37-0.67แสดงคาอ านาจจ าแนกระหวาง0.27-0.53และแสดงค าความเชื่อมั่นเทากับ0.89และแบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห แสดงคาความยากงายระหวาง 0.37 - 0.67 แสดง คาอ านาจจ าแนกระหวาง 0.20 - 0.60 และแสดงคาความเชื่อมั่นเทากับ 0.81 วิเคราะหขอมูลโดยใชค าเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบคาทีแบบกลุมตัวอยางไมเปนอิสระตอกันและการทดสอบคาที แบบกลุมตัวอยางแบบอิสระตอกันผลการวิจัยพบวา1)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะหเรื่องระบบต างๆในรางกายมนุษยและสัตวหลังเรียนสูงกวากอนเรียนดวยการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคจิ๊กซอว อยาง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะหเรื่องระบบตางๆในรางกาย มนุษยและสัตวหลังเรียนดวยการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคจิ๊กซอว สูงกวาหลังเรียนดวยการจัดการเรียน รูแบบปกติ อยางมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เปี่ยมสุข ไชยผา (2554) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ นักเรียนที่เรียนเคมี เรื่องกรดเบส 4 เรื่อง ได้แก่ 1)สารละลายอิเล็กโทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ 2) อิอินใน สารละลายกรดและสารละลายเบส 3)ทฤษฎีกรดเบส 4)การแตกตัวของกรดเบสและการแตกตัวเป็นไอออน ของน้ า โดยแต่ละเรื่องจะแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อย่อย นอกจากนี้ยังศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบ การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 31 คน ที่ เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 นักเรียนในกลุ่มตัวอย่างนี้จะถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกว่ากลุ่มบ้าน ในแต่ละกลุ่มบ้านจะมีการแบ่งหน้าที่สมาชิกในกลุ่ม ให้ศึกษาหัวข้อย่อยที่แตกต่างกัน นักเรียนต่างกลุ่มบ้าน ที่มารวมกลุ่มศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเดียวกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนมีหน้าที่ศึกษา หัวข้อย่อยที่ได้รับมอบหมายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเพื่อน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กลุ่มบ้านของตัวเองต่อไป และท าเช่นนี้จนครบทุกเรื่อง ด้วยวิธีการดังกล่าว สมาชิกในกลุ่มบ้านแต่ละคนต้องท างานร่วมกันเป็นทีมเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ในแต่ละหัวข้อ การวัดแนวคิดและความเข้าใจของนักเรียนใช้แบบทดสอบแบบ เลือกตอบสองขั้นวิชาเคมีเรื่องกรดเบสจ านวน 20 ข้อ ประกอบการสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่านักเรียนมีผล การทดสอบหลังเรียนมากกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ (p<.05) และมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องกรดเบส


ลดลง นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ พบว่า นักเรียนเรียนเคมีอย่างสนุกสนานและชื่น ชอบรูปแบบการสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ในระดับมาก อารีวรรณ ธาตุดี (2557) ได้ศึกษา ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) เรื่อง ระบบการล าเลียงของพืชดอก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการชัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทศนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง ระบบการ ล าเลียงของพืชดอก ที่มีประสิทธิภาพ E1/E2 ก าหนดเกณฑ์ 80/80 ศึกษาดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน และศึกษาความพึงหอใจของมักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/11 จ านวน 50 คน โรงเรียนสารคามพิทยาคม อ าเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ปีการศึกษา2555 เครื่องมือที่ใช้ในการวิชัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 5 แผน รวม 15 ชั่วโมง 2) ชุดการสอน 5 ชุด 3) แบบทดสอบแบบเลือกตอบ 40 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความ พึงพอใจของนักเรียน จ านวน 1 ข้อ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และ การทดสอบทีt-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมกับเทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง ระบบการล าเสียงของพืชดอก มี ประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 84.53/83.85 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ 2. ดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมกับเทค นิกจิ๊กชอว์ มีค่าเท่ากับ 0.7100 3. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ ด้วยการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก จริยา ขุนเศรษฐ์ (2551) ได้ศึกษา ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ ร่วมกับแผนภูมิมโนทัศน์ที่มีต่อทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้ เทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับแผนภูมิมโนทัศน์ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิดจิ๊กซอว์ร่วมกับแผนภูมิ มโนทัศน์ การวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีแบบแผนการวิจัยแบบทดลองหนึ่งกลุ่มโดยการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน (One-Group Pretest - Posttest Design)กลุ่มประชากรเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนบางแก้วพิทยาคม อ าเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง จ านวน 1 ห้องเรียน รวม 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊ก ซอว์ร่วมกับแผนภูมิมโนทัศน์จ านวน 12 แผน 2) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็น แบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 2 ฉบับ ฉบับละ 40 ข้อ เป็นแบบทดสอบคู่ขนาน ส าหรับทดสอบก่อนและหลังเรียน มีค่าความเชื่อมั่น 0.86 และ 0.79 ตามล าดับ เละ3) แบบทดสอบวัค ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเกมี ซึ่งเป็นแบบทศสอบ ปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 2 ฉบับ ฉบับละ


40 ข้อ เป็นแบบทดสอบคู่ขนาน ส าหรับทดสอบก่อนและหลังเรียน มีค่าความเชื่อมั่น 0.77 และ 0.79 ตามล าดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับแผนภูมิมโน ทัศน์ มีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับแผนภูมิมโน ทัศน์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน พระบุญเพ็ง สิทธิวงษา และคณะ (2561) ได้ศึกษา การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการคือ 1) เพื่อพัฒนา และหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 บรรยากาศ ตามเกณฑ์ 80 / 80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค จิ๊กซอว์ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนก่อนและ หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ และ 4) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5/1 ที่ก าลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนป่าไม้อุทิศ 15 (บ้านม่วงเฒ่า) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จ านวน 28 คน ผลการวิจัยเป็นดังนี้ (1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิคจิ๊กซอว์ มีค่าเป็น 84.10 / 84.08; (2) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์มีค่าเท่ากับ 0.6044 (หรือ 60.44%); (3) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 และ (4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัด การเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิคจิ๊กซอว์ ในภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับมากที่สุด


บทที่ 3 วิธีการด าเนินงาน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และศึกษาระดับความพึง พอใจของนักเรียน เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ โดยมีรายละเอียดของวิธีการศึกษา ดังต่อไปนี้ 1. การเลือกกลุ่มที่ศึกษาในงานวิจัย 2. ขั้นตอนการด าเนินการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูลในงานวิจัย 5. การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัย 6. การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากร นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนท่า ปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จ านวน 135 คน 3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จ านวน 40 คน เป็นนักเรียนชาย 17 คน นักเรียนหญิง 23 คน ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 3.2 ตัวแปรที่ศึกษา 3.2.1 ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับ การใช้เทคนิคจิกซอร์ 3.2.2 ตัวแปรตาม 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การด ารงชีวิตของพืช จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์ 2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียน ท่าปลาประชา อุทิศ อ าเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ มีต่อการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการใช้เทคนิคจิกซอร์จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) โดยอิงจากโครงสร้างหลักสูตรรายวิชาวิทยาศาสตร์ 1 (ว 21101) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีตามหลักสูตรโรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช โดยเป็นเนื้อหาในหน่วยที่ 4


แบ่งสาระการเรียนรู้ย่อยออกเป็น 4 สาระการเรียนรู้ดังตารางที่ 3.1 และแบ่งแผนการจัดการเรียนรู้ออกเป็น 9 แผนการจัดการเรียนรู้ ดังตารางที่ 3.1 ตารางที่ 3.1 หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การด ารงชีวิตของพืช 2 ในการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือร่วมกับ การใช้เทคนิคจิกซอร์ ล าดับที่ หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานและ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ย่อย เวลา ชั่วโมง 1 การด ารงชีวิตของพืช 2 ว 1.2 ม.1/9 ว 1.2 ม.1/10 ว 1.2 ม.1/11 ว 1.2 ม.1/12 ว 1.2 ม.1/13 ว 1.2 ม.1/14 ว 1.2 ม.1/15 ว 1.2 ม.1/16 ว 1.2 ม.1/17 ว 1.2 ม.1/18 1. การล าเลียงสารในพืช 2. การเจริญเติบโตของพืช 3. การสืบพันธุ์ของพืช 4. เทคโนโลยีชีวภาพของพืช 13 ตารางที่ 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ในการจัดกิจกรรมการเรียนแบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิค Jigsaw ล าดับที่ แผนที่ สาระการเรียนรู้(หัวเรื่อง) เวลา ชั่วโมง 1 32 เนื้อเยื่อล าเลียงในพืช 1 2 33 การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศของพืชดอก 2 3 34 โครงสร้างของดอก และการถ่ายเรณู 1 4 35 การถ่ายเรณูของพืชดอก 2 5 36 ธาตุอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และการด ารงชีวิตของพืช 1 6 37 ธาตุอาหารเหมาะสมกับพืช 2 7 38 การขยายพันธุ์พืช 1 8 39 เทคโนโลยีชีวภาพ 2 9 40 ประโยชน์ของการขยายพันธุ์พืช 1 รวมเวลาเรียน 13 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการใช้เทคนิค Jigsaw 3.3.1.1 ขั้นที่ 1 จัดเตรียมเนื้อหา ผู้สอนเตรียมเนื้อหาที่จะใช้ในการจัดการเรียนการสอน จากนั้นแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยเท่าจ านวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 4-6 คน โดยเนื้อหาแบ่งออกดังตารางที่ 3.3


Click to View FlipBook Version