The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วีรภัทร ช่วงชาญ รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anu Kimoji, 2023-02-19 00:37:21

วีรภัทร ช่วงชาญ รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

วีรภัทร ช่วงชาญ รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

44 งานวิจัย เพื่อให้ผู้อ่านทราบและตระหนักว่าผลการวิจัยที่ได้เป็นผลผลิตมาจากนักวิจัยที่ยึดกรอบแนวคิดทฤษฎี ใดในการตีความหมายข้อมูล


บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล การวิจัยนี้มีวัตุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เรื่อง แสง ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการ โต้แย้ง และเพื่อศึกษารูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งที่ส่งเสริม ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ว่าควรมี ลักษณะอย่างไร โดยผลการวิจัยจะรายงานตามคำถามวิจัย ดังนี้ คำถามวิจัยข้อที่ 1 ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งจะเป็นได้อย่างไร คำถามวิจัยข้อที่ 2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ที่ส่งเสริม ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ควรมีลักษณะ อย่างไร คำถามวิจัยข้อที่ 1 ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งจะ เป็นได้อย่างไร ผลการวิจัยคำถามวิจัยข้อที่ 1 ในการตอบคำถามวิจัยข้อที่ 1 ผู้วิจัยทำการทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน ของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งสังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ในเรื่อง แสง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้แบบทดสอบกาสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ก่อนและหลังเรียน จำนวน 1 ฉบับ จากนั้นทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอ่าน คำตอบของนักเรียนอย่างละเอียดแปลผลออกมาในรูปของคะแนน และนำมาจำแนกเป็นระดับความสามารถ เป็นราชบุคคลเพื่อหาค่าความถี่และร้อยละ ตอนที่ 1 ความถี่และร้อยละของนักเรียนจำแนกตามระดับคะแนนความสามารถในการสร้างคำอธิบาย เชิงวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบทดสอบเรื่อง แสง จำนวน 3 ข้อ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบเรื่อง แสง แสดงเป็นความถี่และร้อยละของนักเรียน ก่อนและ หลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง เรื่องแสง ข้อที่ 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง แสดงดังตารางที่ 6


46 ตารางที่ 6 ความถี่และร้อยละของนักเรียนจำแนกตามระดับคะแนนความสารถมารถในการสร้างคำอธิบาย เชิงวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบทดสอบเรื่อง แสง ข้อที่ 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง (N=30) องค์ประกอบของ คำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ ก่อนการจัดการเรียนรู้ หลังการจัดการเรียนรู้ ดีมาก ดี ปรับปรุง ดีมาก ดี ปรับปรุง จำนวน (ร้อยละ) จำนวน (ร้อยละ) ข้อกล่าวอ้าง 2 (6.66) 5 (16.66) 23 (76.66) 24 (80.00) 4 (13.33) 2 (6.66) หลักฐาน 0 (0.00) 5 (16.66) 25 (83.33) 20 (66.66) 7 (23.33) 3 (10.00) เหตุผล 0 (0.00) 6 (20) 24 (80.00) 17 (56.66) 9 (30.00) 4 (13.33) จากตารางที่ 6 เมื่อสํารวจความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบ ไปด้วย ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล จากคําถามที่ว่า “เมื่อฉายลำแสงเล็ก ๆ ให้ตกกระทบกระจกเงาราบ โดยรังสีตกกระทบทำมุมกับกระจกเงาราบ ดังภาพ จะเขียนเส้นแนวฉากและรังสีสะท้อนเมื่อแสงกระทบ กระจกแต่ละบานได้อย่างไร และมุมตกกระทบ และมุมสะท้อนของกระจกแต่ละบานมีค่าเท่าใด” พบว่าก่อน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการสร้างข้อกล่าวอ้าง อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง จำนวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 76.66 และรองลงมาคือระดับ ดี จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 16.66 ยังพบว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการสร้างแสดงหลักฐาน อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 และรองลงมาคือระดับ ดี จำนวน 5 คน คิด เป็นร้อยละ 16.66 และการให้เหตุผลพบว่านักเรียนก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถใน การให้เหตุผล อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 และรองลงมาคือระดับ ดี จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 20.00 ในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 และได้วัดความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ผ่านการเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบเกี่ยวกับการสะท้อนของแสง โดยในแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ 1 ผู้วิจัย ให้นักเรียน พิจารณาภาพสะท้อนบนผิวน้ำเพื่อศึกษากฎการสะท้อนของแสง เพื่อนําเข้าสู่ ความหมายของกฎการสะท้อนของแสง และให้ทำกิจกรรมกลุ่มเพื่อศึกษากฎการสะท้อนของแสง ซึ่งในแต่ละ ขั้น ผู้วิจัยกระตุ้นให้นักเรียนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ แสดงความคิดเห็น และเน้นย้ำให้นักเรียนเห็น ความสำคัญของการใช้หลักฐานและการให้เหตุผลในการสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง แล้วนำเสนอผลการสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ โดยผู้วิจัยเป็นผู้นำการโต้แย้งและให้สมาชิกของทุกกลุ่มมีโอกาสในการโต้แย้ง โดย


47 แผนการจัดการเรียนรู้นี้ นักเรียนจะได้ความรู้ คำอธิบายและความหมายของกฎการสะท้อนของแสง เพื่อ นำไปสู่การสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ในแบบทดสอบหลังเรียนที่ประกอบไปด้วย ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล ภายหลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยนักเรียนสามารถสร้างข้อกล่าวอ้าง อยู่ในระดับ ดีมาก จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 เพิ่มขึ้นจากก่อนการจัดการเรียนรู้ เพราะนักเรียนสามารถตอบได้ตรงคำถาม ซึ่งแตกต่างจากก่อนการ จัดการเรียนรู้ ในส่วนของการแสดงหลักฐาน อยู่ในระดับ ดีมาก จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 66.66 ซึ่งแตกต่าง จากก่อบการจัดการเรียนรู้เพราะนักเรียนสามารถแสดงหลักฐานได้เหมาะสมและมีจำนวนเพียงพอต่อการ สนับสนุนข้อกล่าวอ้าง และการให้เหตุผล อยู่ในระดับดีมาก จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 56.66 ซึ่งแตกต่างจากก่อนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ไม่มีนักเรียนได้คะแนนอยู่ในระดับนี้เลย เพราะนักเรียนสามาระแสดงเหตุผลที่เชื่อมโยง หลักฐานไปสู่ข้อกล่าวอ้างรวมถึงใช้หลักการเชิงวิทยาศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบเรื่อง แสง แสดงเป็นความถี่และร้อยละของนักเรียน ก่อนและ หลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง เรื่องแสง ข้อที่ 2 เรื่อง การเกิดภาพจากกระจกเงา แสดงดังตารางที่ 7 ตารางที่ 7 ความถี่และร้อยละของนักเรียนจำแนกตามระดับคะแนนความสารถมารถในการสร้างคำอธิบาย เชิงวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบทดสอบเรื่อง แสง ข้อที่ 2 เรื่อง การเกิดภาพจากกระจก (N=30) องค์ประกอบของ คำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ ก่อนการจัดการเรียนรู้ หลังการจัดการเรียนรู้ ดีมาก ดี ปรับปรุง ดีมาก ดี ปรับปรุง จำนวน (ร้อยละ) จำนวน (ร้อยละ) ข้อกล่าวอ้าง 0 (0.00) 6 (20.00) 24 (80.00) 20 (66.66) 8 (26.66) 2 (6.66) หลักฐาน 0 (0.00) 4 (13.33) 26 (86.66) 23 (76.66) 7 (23.33) 0 (0.00) เหตุผล 0 (0.00) 0 (0.00) 30 (100.00) 19 (63.33) 9 (30.00) 2 (6.66) จากตารางที่ 7 เมื่อสำรวจความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล จากคำถามที่ว่า “จงเขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการ เกิดภาพจากกระจกเงาราบ กระจกโค้งเว้า และจากกระจกโค้งนูน พร้อมทั้งอธิบายการเกิดภาพจากกระจกแต่


48 ละชนิดว่ามีลักษณะอย่างไร” พบว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการ สร้างข้อกล่าวอ้าง อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 และรองลงมาคือระดับ ดี จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 20.00 นอกจากนี้ยังพบว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการแสดง หลักฐาน อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง จำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 86.66 และรองลงมาคือระดับ ดี จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 13.33 และการให้เหตุผลพบว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนส่วนใหญ่มีความในการให้เหตุผล อยู่ ในระดับควรปรับปรุง จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 และได้วัดความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ผ่านการเขียนรายงานผลการสํารวจตรวจสอบเกี่ยวกับการเกิดภาพจากกระจกเงา โดยใน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ผู้วิจัยให้ตัวแทนนักเรียน 1 คนออกมาส่องกระจกโดยใช้กระจกแต่ละแบบ แล้วให้ เพื่อน ๆ มองภาพที่เกิดจากกระจกแต่ละแบบ และให้ทำกิจกรรมกลุ่ม เรื่อง การเกิดภาพจากกระจกเงา เพื่อ ศึกษาว่าภาพที่เกิดจากกระจกเงาแต่ละชนิดมาลักษณะเป็นอย่างไร ผ่านการทำกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งในแต่ละขั้น ผู้วิจัยกระตุ้นให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการทดลอง อภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ แสดงความคิดเห็น และเน้นย้ำให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการใช้หลักฐานและการให้เหตุผลในการสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง แล้ว นำเสนอผลการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ โดยผู้วิจัยเป็นผู้นำการโต้แย้งและให้สมาชิกของทุกกลุ่มมี โอกาสในการโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่การเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ โดยในแผนการจัดการเรียนรู้นี้ นักเรียนจะได้คำอธิบายจากการทดลองว่า ว่า ภาพของวัตถุจากกระจกเงาเว้ามีทั้งภาพหัวตั้งและหัวกลับ ขนาด ใหญ่กว่า เท่ากับ หรือเล็กกว่าวัตถุและมีทั้งที่ปรากฏบนฉากและไม่ปรากฏบนฉาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของ วัตถุ ส่วนภาพจากกระจกเงานูนเป็นภาพหัวตั้งในกระจกซึ่งมีขนาดเล็กกว่าวัตถุเสมอและไม่ปรากฏบนฉาก เรา สามารถหาตำแหน่งและลักษณะของภาพจากการเขียนแผนภาพรังสีของแสง โดยรังสีสะท้อนตัดกันจะเกิดภาพ ถ้ารังสีสะท้อนตัดกันจริงจะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัดกันจะเกิดภาพเสมือน เพื่อนำไปสู่การ สร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์จากแบบทดสอบหลังเรียนที่ประกอบไปด้วย ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้ เหตุผล หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้น โดยนักเรียนสามารถสร้างข้อกล่าวอ้าง อยู่ในระดับ ดีมาก จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อย ละ 66.66 เพิ่มขึ้นจากก่อนการจัดการเรียนรู้ เพราะนักเรียนสามารถตอบข้อกล่าวอ้างได้อย่างถูกต้อง และการให้เหตุผล อยู่ในระดับดีมาก จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 63.33 ซึ่งแตกต่างจากก่อนการ จัดการเรียนรู้ที่ไม่มีนักเรียนได้คะแนนอยู่ในระดับนี้เลย เพราะนักเรียนสามารถแสดงเหตุผลที่เชื่อม โยง หลักฐานไปสู่ข้อกล่าวอ้างรวมถึงใช้ หลักการเชิงวิทยาศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม มีการแสดงให้เห็นการให้เหตุผล ที่ชัดเจน


49 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากแบบทคสอบเรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ แสดงเป็นความถี่และร้อยละของ นักเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง เรื่อง แสง ข้อที่ 3 เรื่อง การหักเหของแสง แสดงดังตารางที่ 8 ตารางที่ 8 ความถี่และร้อยละของนักเรียนจำแนกตามระดับคะแนนความสารถมารถในการสร้างคำอธิบาย เชิงวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบทดสอบเรื่อง แสง ข้อที่ 3 เรื่อง การหักเหของแสง (N=30) องค์ประกอบของ คำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ ก่อนการจัดการเรียนรู้ หลังการจัดการเรียนรู้ ดีมาก ดี ปรับปรุง ดีมาก ดี ปรับปรุง จำนวน (ร้อยละ) จำนวน (ร้อยละ) ข้อกล่าวอ้าง 2 (6.66) 5 (16.66) 23 (76.66) 24 (80.00) 4 (13.33) 2 (6.66) หลักฐาน 0 (0.00) 5 (16.66) 25 (83.33) 20 (66.66) 7 (23.33) 3 (10.00) เหตุผล 0 (0.00) 6 (20) 24 (80.00) 17 (56.66) 9 (30.00) 4 (13.33) จากตารางที่ 8 เมื่อสำรวจความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อ กล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล จากคำถามที่ว่า “จากภาพ ปลาจะมองเห็นผีเสื้อที่บินอยู่เหนือน้ำมี ตำแหน่งเปลี่ยนไปจากตำแหน่งจริงอย่างไร เขียนแผนภาพรังสีของแสงเพื่ออธิบายการมองเห็นภาพผีเสื้อของ ปลา” พบว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในกรสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ ในส่วนของข้อกล่าวอ้าง อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง จำนวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 76.66 และ รองลงมาคือระดับ ดีจำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 16.66 นอกจากนี้ยังพบว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการแสดง หลักฐาน อยู่ในระดับ ควรปรับปรุง จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 และรองลงมาคือระดับ ดี จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 16.66 และการให้เหตุผลพบว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการให้ เหตุผล อยู่ในระดับควรปรับปรุง จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 และรองลงมาคือระดับ ดี จำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 20.00 ในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการจัดกิจการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 และได้วัดความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ผ่านการเขียนรายงานผลการสํารวจตรวจสอบเกี่ยวกับการหักเหของแสง โดยผู้วิจัยให้ตัวแทน มองเห็นภาพลูกศรที่เปลี่ยนไปเมื่อมองผ่านน้ำและแก้วน้ำ จากนั้นนำนักเรียนอภิปรายโดยใช้คำถามว่า เมื่อเรา


50 มองลูกสรผ่านน้ำในแก้ว ทำไมเราจึงเห็นลูกศรหันกลับด้าน และให้ทำกิจกรรมกลุ่มเพื่อศึกษาเรื่อง การหักเห ของแสง ซึ่งในแต่ละขั้นผู้วิจัยกระตุ้นให้นักเรียนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ พยายามให้นักเรียนทุกคนมีส่วน ร่วมในการทำการทดลอง แสดงความคิดเห็น และเน้นย้ำให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการใช้หลักฐานและ การให้เหตุผลในการสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง แล้วนำเสนอผลการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ โดยผู้วิจัยเป็น ผู้นำการโต้แย้งและให้สมาชิกของทุกกลุ่มมีโอกาสในการโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่การเขียนรายงานผลการสำรวจ ตรวจสอบ โดยแผนการจัดการเรียนรู้นี้นักเรียนจะได้รู้ว่าเมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลาง 2 ตัวกลางแสงจะเกิด การหักเหจากแนวเดิม ซึ่งนักเรียนจะนำความรู้ คำอธิบายและความหมายของการหักเหของแสงไปสู่การสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์จากแบบทดสอบหลังเรียนที่ประกอบไปด้วย ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้ เหตุผล ภายหลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยนักเรียนสามารถสร้างข้อกล่าวอ้าง อยู่ในระดับ ดีมาก จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 เพิ่มขึ้นจากก่อนการจัดการเรียนรู้ เพราะนักเรียนสามารถตอบได้ตรงคำถาม ในส่วนของการแสดงหลักฐาน อยู่ในระดับ ดีมาก จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 66.66 ซึ่งแตกต่าง จากก่อนการจัดการเรียนรู้เดิมที่ไม่มีนักเรียนอยู่ระดับนี้เลย เพราะนักเรียนสามารถแสดงหลักฐานได้เหมาะสม และมีจำนวนเพียงพอต่อการสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง รู้จักการเขียนอธิบายจากภาพที่แสดงถึงความเชื่อมโยง ระหว่างเนื้อหา และการให้เหตุผล อยู่ในระดับดีมาก จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 56.66 ซึ่งแตกต่างจากก่อนการ จัดการเรียนรู้ที่ไม่มีนักเรียน ได้คะแนนอยู่ในระดับนี้เลย เพราะนักเรียนสามารถแสดงเหตุผลที่เชื่อมโยง หลักฐานไปสู่ข้อกล่าวอ้างรวมถึงใช้หลักการเชิงวิทยาศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม ตอนที่ 2 ความถี่จากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ แสดงเป็นความถี่ของนักเรียนที่ ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติ ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง แสดงดังตารางที่ 9 ตารางที่ 9 ความถี่ของนักเรียนจากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง พฤติกรรมที่ประเมิน ผลการประเมิน ปฏิบัติ(คน) ไม่ปฏิบัติ(คน) ด้านกระบวนการคิด 1. มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา 28 2 2. มีส่วนร่วมในการประเมินข้อกล่าวอ้างของกลุ่มตนเองและกลุ่มอื่น ๆ 7 23 3. มีการตอบสนองต่อข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงไป 5 25


51 ตารางที่ 9 (ต่อ) พฤติกรรมที่ประเมิน ผลการประเมิน ปฏิบัติ(คน) ไม่ปฏิบัติ(คน) 4. แสดงความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างที่เพื่อนกลุ่มอื่นนำเสนอ 4 26 5. มีการแสดงเหตุผลเพื่อมาสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง 8 22 6. มีการใช้เหตุผลที่หลากหลายในการประเมินข้อกล่าวอ้าง 3 27 ด้านการให้เหตุผล 7. มีการใช้หลักฐานในการทำความเข้าใจปรากฎการณ์ 17 13 8. มีการประเมินความเป็นไปได้ของหลักฐานที่ใช้ 14 16 9. มีการใช้ทฤษฎี กฎหรือแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการให้ เหตุผล 19 11 10. มีการสื่อสาร โดยใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์ 27 3 11. ไม่ใช้ถ้อยคำที่โน้มน้าว โอ้อวดเกินจริงในการทำให้บุคคลอื่นยอมรับข้อกล่าว อ้างของกลุ่มตนเอง 28 2 ด้านสังคม 12. มีส่วนร่วมในการสะท้อนสิ่งที่เพื่อนพูด 7 23 13. มีการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน 30 0 14. มีความพยายามในการมีส่วนร่วมที่จะเสนอความคิดเห็น 7 23 จากตารางที่ 9 เมื่อสังเกตความสามารถในการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนในแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ 1 เรื่องการสะท้อนของแสง พบว่า ด้านกระบวนการคิด หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา จำนวน 28 คน เนื่องจากนักเรียนมีความเคยชินกับการทำกิจกรรมกลุ่มในวิชาวิทยาศาสตร์มาก่อน และผู้วิจัยใช้เทคนิคการ จัดกลุ่มแบบคละจึงส่งผลทำให้นักเรียนในกลุ่มไม่สนิทกันจึงลดพฤติกรรม การคุยกันภายในกลุ่มได้ โดยสังเกต พฤติกรรมจากการอภิปรายร่วมกันเพื่อวางแผนการแก้ปัญหา และพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติน้อย ที่สุด คือ มีการใช้เหตุผลที่หลากหลายใน การประเมินข้อกล่าวอ้าง จำนวน 3 คน เนื่องจากเป็นคาบเรียนแรก ความพยายามที่จะแสดงเหตุผล จากกิจกรรมที่ปฏิบัติยังน้อยมาก ขาดความกล้าแสดงออก และยังขาดการพูด อภิปราย โดยสังเกต จากคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนสร้างในแต่ละคาบเรียน ในส่วนที่เป็นการให้ เหตุผล หรือ สถานการณ์ที่กำหนดในแต่ละคาบเรียนของนักเรียนภายในกลุ่ม ด้านการให้เหตุผล หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ ไม่ใช้ถ้อยคำที่โน้มน้าว โอ้อวดเกิน จริงในการ ทำให้บุคคลอื่นยอมรับข้อกล่าวอ้างของกลุ่มตนเอง จำนวน 28 คน เนื่องจากเป็นคาบเรียนแรก ผู้วิจัยมีการ ชี้แจงวิธีการออกมานำเสนอผลการสำรวจตรวจสอบในกระดาษฟลิปชาร์ตว่า นักเรียนจะต้องไม่ใช้ถ้อยคำ โอ้อวดจนเกินจริง พยายามพูดให้เหตุผลสอดคล้องกับหลักฐานที่ตนเองมีอยู่ โดยสังเกตพฤติกรรมจาก คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนสร้างในแต่ละคาบเรียน และพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติน้อยที่สุด


52 ในส่วนที่เป็นการให้เหตุผล คือ มีการประเมินความเป็นไปได้ของหลักฐานที่ใช้ จำนวน 14 คน เนื่องจากเป็น คาบเรียนแรก นักเรียนยังคงมีความตื่นเต้นจนลืมไปว่าผู้วิจัยมีการกำหนดเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมการ ทดลอง ส่งผลทำให้นักเรียนยังขาดการอภิปรายเพื่อดูความเหมาะของหลักฐานที่นํามาแสดง โดยสังเกตจาก คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่ นักเรียนสร้างในแต่ละคาบเรียน ในส่วนที่เป็นหลักฐาน ด้านสังคม หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ มีการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน จำนวน 30 คน เนื่องจากเวลาที่นักเรียนในห้องจะนำเสนอหรือพูดอภิปราย ผู้วิจัยจะเน้นย้ำมารยาทในการฟัง และการแสดง ความคิดเห็น และการรู้จักเคารพซึ่งกันและกัน โดยสังเกตพฤติกรรมจากการพูดโต้แย้งเมื่อกลุ่มเพื่อนออกมา นำเสนอหน้าชั้น และพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติน้อยที่สุด คือ มีส่วนร่วมในการสะท้อนสิ่งที่เพื่อนพูด และมีความพยายามในการมีส่วนร่วมที่จะเสนอความคิดเห็น จำนวน 7 คน เนื่องจากนักเรียนไทยส่วนใหญ่ยัง ขาดความกล้าแสดงออก นั่ง เงียบ ไม่กล้าอภิปรายเพราะกลัวว่าจะผิด โดยสังเกตจากสังเกตจากการพูดโต้แย้ง เมื่อกลุ่มเพื่อนออกมานำเสนอหน้าชั้น ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ แสดงเป็นความถี่ของนักเรียนที่ ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติ ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเกิดภาพจากกระจกเงา แสดงดังตารางที่ 10 ตารางที่ 10 ความถี่ของนักเรียนจากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเกิดภาพจากกระจก พฤติกรรมที่ประเมิน ผลการประเมิน ปฏิบัติ(คน) ไม่ปฏิบัติ(คน) ด้านกระบวนการคิด 1. มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา 27 3 2. มีส่วนร่วมในการประเมินข้อกล่าวอ้างของกลุ่มตนเองและกลุ่มอื่น ๆ 14 16 3. มีการตอบสนองต่อข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงไป 16 14 4. แสดงความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างที่เพื่อนกลุ่มอื่นนำเสนอ 7 23 5. มีการแสดงเหตุผลเพื่อมาสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง 17 13 6. มีการใช้เหตุผลที่หลากหลายในการประเมินข้อกล่าวอ้าง 12 18 ด้านการให้เหตุผล 7. มีการใช้หลักฐานในการทำความเข้าใจปรากฎการณ์ 20 10 8. มีการประเมินความเป็นไปได้ของหลักฐานที่ใช้ 6 24 9. มีการใช้ทฤษฎี กฎหรือแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการให้ เหตุผล 27 3 10. มีการสื่อสาร โดยใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์ 28 2 11. ไม่ใช้ถ้อยคำที่โน้มน้าว โอ้อวดเกินจริงในการทำให้บุคคลอื่นยอมรับข้อกล่าว อ้างของกลุ่มตนเอง 29 1


53 ตารางที่ 10 (ต่อ) พฤติกรรมที่ประเมิน ผลการประเมิน ปฏิบัติ(คน) ไม่ปฏิบัติ(คน) ด้านสังคม 12. มีส่วนร่วมในการสะท้อนสิ่งที่เพื่อนพูด 14 16 13. มีการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน 28 2 14. มีความพยายามในการมีส่วนร่วมที่จะเสนอความคิดเห็น 14 16 จากตารางที่ 10 เมื่อสังเกตความสามารถในการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนในแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ 2 เรื่องการเกิดภาพจากกระจก พบว่า ด้านกระบวนการคิด หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา จำนวน 27 คน ซึ่งเหตุผลและพฤติกรรมที่สังเกตได้สอดคล้องกับตารางที่ 9 และรองลงมาพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียน ปฏิบัติ คือ มีการแสดงเหตุผลเพื่อมาสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง จำนวน 17 คน เนื่องจาก นักเรียนมีประสบการณ์ ในการเขียนแสดงการให้เหตุผล ในคาบเรียนที่ 1 พร้อมกับได้มีโอกาสเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ และผู้วิจัยมีการตรวจรายงานกลับเพื่อให้นักเรียน แก้ไขให้ถูกต้อง โดยสังเกตจากคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่ นักเรียนสร้างในแต่ละคาบเรียน ด้านการให้เหตุผล หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ ไม่ใช้ถ้อยคำที่โน้มน้าว โอ้อวดเกิน จริงในการ ทำให้บุคคลอื่นยอมรับข้อกล่าวอ้างของกลุ่มตนเอง จำนวน 29 คน เนื่องจากเป็นคาบเรียนที่สอง ผู้วิจัยมีการ ชี้แจงวิธีการออกมานำเสนอผลการสำรวจตรวจสอบในกระดานฟลิปชาร์ต ว่านักเรียนจะต้องไม่ใช้ถ้อยคำโอ้ อวดจนเกินจริง พยายามพูดให้เหตุผลสอดคล้องกับหลักฐานที่ตนเองมีอยู่อีกรอบ โดยพฤติกรรมที่สังเกตได้ สอดคล้องกับตารางที่ 9 และรองลงมาพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติ คือ มีการสื่อสารโดยใช้ภาษาทาง วิทยาศาสตร์ จำนวน 28 คน เนื่องจาก นักเรียนได้ผ่านการเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ และสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ลงไป ในกระดาษฟลิปชาร์ต และครูตรวจพร้อมให้ข้อมูลป้อนกลับในทันทีเมื่อ นักเรียนสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ถูกต้องหรือใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เป็นสากล ผู้วิจัยก็จะให้ นักเรียนแก้ไขให้ถูกต้อง โดยสังเกตจากคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนสร้างในแต่ละคาบเรียน ในทุก องค์ประกอบ ด้านสังคม หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ มีการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน จำนวน 28 คน เนื่องจาก เวลาที่นักเรียนในห้องจะนำเสนอหรือพูดอภิปราย ผู้วิจัยจะเน้นย้ำมารยาท ในการฟัง และการแสดง ความคิดเห็น และการรู้จักเคารพซึ่งกันและกัน และรองลงมาพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติ คือ มีส่วน ร่วมในการสะท้อนสิ่งที่เพื่อนพูด และมีความพยายามในการมีส่วนร่วมที่จะเสนอความคิดเห็น จำนวน 14 คน เนื่องจากในคาบเรียนที่ 1 ผู้วิจัยชี้แจงนักเรียนว่า การแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมในการสะท้อนสิ่งที่


54 เพื่อนพูด จะมีความสำคัญในการนำไปใช้ประเมิน และมีคะแนนเข้ามาเกี่ยวข้อง ในคาบเรียนนี้นักเรียนจึงกล้า แสดงออกมากขึ้น โดยพฤติกรรมที่สังเกตได้สอดคล้องกับตารางที่ 9 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ แสดงเป็นความถี่ของนักเรียนที่ ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติ ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การหักเหของแสง แสดงดังตารางที่ 11 ตารางที่ 11 ความถี่ของนักเรียนจากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การหักเหของแสง พฤติกรรมที่ประเมิน ผลการประเมิน ปฏิบัติ(คน) ไม่ปฏิบัติ(คน) ด้านกระบวนการคิด 1. มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา 27 3 2. มีส่วนร่วมในการประเมินข้อกล่าวอ้างของกลุ่มตนเองและกลุ่มอื่น ๆ 16 14 3. มีการตอบสนองต่อข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงไป 12 18 4. แสดงความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างที่เพื่อนกลุ่มอื่นนำเสนอ 17 13 5. มีการแสดงเหตุผลเพื่อมาสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง 26 4 6. มีการใช้เหตุผลที่หลากหลายในการประเมินข้อกล่าวอ้าง 23 7 ด้านการให้เหตุผล 7. มีการใช้หลักฐานในการทำความเข้าใจปรากฎการณ์ 25 5 8. มีการประเมินความเป็นไปได้ของหลักฐานที่ใช้ 16 14 9. มีการใช้ทฤษฎี กฎหรือแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการให้ เหตุผล 23 7 10. มีการสื่อสาร โดยใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์ 27 3 11. ไม่ใช้ถ้อยคำที่โน้มน้าว โอ้อวดเกินจริงในการทำให้บุคคลอื่นยอมรับข้อกล่าว อ้างของกลุ่มตนเอง 27 3 ด้านสังคม 12. มีส่วนร่วมในการสะท้อนสิ่งที่เพื่อนพูด 16 14 13. มีการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน 28 2 14. มีความพยายามในการมีส่วนร่วมที่จะเสนอความคิดเห็น 17 13 จากตารางที่ 11 เมื่อสังเกตความสามารถในการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนในแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การหักเหของแสง พบว่า


55 ด้านกระบวนการคิด หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา จำนวน 27 คน โดยเหตุผลและพฤติกรรมที่สังเกตได้สอดคล้องกับตารางที่ 9 และพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติน้อย ที่สุด คือ มีการตอบสนองต่อข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงไป จำนวน 12 คน เนื่องจากเวลาที่ตัวแทนเพื่อนแต่ละ กลุ่มออกมานำเสนอ มีนักเรียนบางกลุ่มที่นำเสนอผลการสำรวจตรวจสอบโดยเฉพาะในส่วนของการให้เหตุผล ที่ไม่ถูกต้อง และเมื่อเปิดโอกาสให้เกิดการโต้แย้ง นักเรียนส่วนใหญ่จะนั่งอยู่เฉยไม่มีการโต้แย้งเกิดขึ้น โดย สังเกตจากการพูดโต้แย้งเมื่อกลุ่ม เพื่อนออกมานำเสนอหน้าชั้น ด้านการให้เหตุผล หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ ไม่ใช้ถ้อยคำที่โน้มน้าว โอ้อวดเกินจริงในการ ทำให้บุคคลอื่นยอมรับข้อกล่าวอ้างของกลุ่มตนเอง และมีการสื่อสารโดยใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 35 คน เนื่องจากในแผนการจัดการเรียนรู้นี้ นักเรียนเกิดความเคยชินจากการได้นำเสนอผลการสำรวจตรวจสอบ และเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบมาแล้วในแผนการจัดการเรียนรู้ก่อนหน้า โดยพฤติกรรมที่สังเกตได้ สอดคล้องกับตารางที่ 9 และรองลงมาพฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติ คือ มีการใช้หลักฐานในการทำ ความเข้าใจปรากฏการณ์ จำนวน 25 คน เนื่องจากในแผนการจัดการเรียนรู้นี้ นักเรียนมีการควบคุมเวลาใน การปฏิบัติการทดลองได้อย่างดี และมีเวลาเพียงพอให้นักเรียนในกลุ่มได้อภิปรายหลักฐานร่วมกัน โดยสังเกต จากคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนสร้างในแต่ละคาบเรียน ในส่วนที่เป็นหลักฐาน ด้านสังคม หัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติมากที่สุด คือ มีการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน จำนวน 28 คน เนื่องจากนักเรียนเกิดความเคยชินจากแผนการจัดการเรียนรู้ก่อนหน้า เพราะผู้วิจัยมีการเน้นย้ำอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลทำให้นักเรียนรู้ว่าจะประพฤติอย่างไรเมื่อถึงเวลาที่เพื่อนจะนำเสนอ หรือเมื่อเกิดการโต้แย้ง และ พฤติกรรมในหัวข้อที่นักเรียนปฏิบัติน้อยที่สุด คือ มีส่วนร่วมในการสะท้อนสิ่งที่เพื่อนพูด จำนวน 16 คน เนื่องจากการปฏิบัติการทดลองเรื่องการหักเหของแสง นักเรียนอาจจะเห็นภาพไม่ชัดเจนว่าทําไมแนวการ เคลื่อนที่ของแสงที่ผ่านตัวกลางแต่ละชนิดจึงเบนเข้าและเบนออกจากแนวเดิมไม่เท่ากัน ทำให้เมื่อถึงขั้นตอน การโต้แย้งนักเรียนส่วนใหญ่จะนั่งเงียบ ไม่แสดงเหตุผล โดยพฤติกรรมที่สังเกตได้ สอดคล้องกับตารางที่ 9 การอภิปรายผลคำถามวิจัยข้อที่ 1 ตารางที่ 12 จำนวนและร้อยละของนักเรียน ก่อน-หลัง จำแนกตามระดับความสามารถในการสร้างคำอธิบาย เชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องแสง (N=30) คำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ เรื่อง แสง จำนวนและร้อยละของนักเรียนจำแนกตามระดับความสามารถในการสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ดีมาก ดี ควรปรับปรุง ก่อน หลัง ก่อน หลัง ก่อน หลัง - 19 (63.33) 17 (56.66) 15 (50.00) 20 (66.66) 3 (10.00)


56 จากตารางที่ 12 เมื่อสำรวจความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบทดสอบ เรื่องแสง ก่อน-หลัง พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีระดับความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ใน ระดับ ดีมาก จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 63.33 หลังผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ซึ่งเดิมไม่มีนักเรียนที่อยู่ในระดับนี้เลย และอยู่ในระดับดี ลดลง จากก่อนเรียนเหลือ จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 56.66 ส่วนระดับที่ควรปรับปรุงลดลงจากก่อนเรียนเหลือ จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 10.00 จากการวิเคราะห์ตารางข้อมูลในตอนที่ 1 ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ ก่อน และหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ร่วมกับตารางข้อมูลในตอน ที่ 2 ความถี่จากแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ผลการวิจัยสรุปว่า นักเรียนที่ผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งมี ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน เนื่องมาจากรูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ถึง สองครั้ง คือในขั้นการโต้แย้ง และในขั้นการเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ โดยองค์ประกอบที่สำคัญ ของคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ คือ ข้อกล่าวอ้าง เป็นข้อยืนยันหรือคำตอบของคำถามที่นักเรียนต้องการค้นคว้า หาคำตอบ หลักฐาน เป็นข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้าง และการให้เหตุผล เป็นข้อความที่ แสดงการเชื่อมโยงระหว่างหลักฐานกับข้อกล่าวอ้าง การโต้แย้งถือเป็นกระบวนการที่สำคัญที่จะช่วยส่งเสริม ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น สอดคล้องกับ Bricker and Bell (2005) ที่ กล่าวว่า การโต้แย้งเป็นกระบวนการในการสร้างองค์ความรู้ที่ต้องอาศัยการคิดและการปฏิบัติ ดังนั้นพฤติกรรม การโต้แย้งที่มากขึ้นจึงเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนา ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนให้สูงขึ้นด้วย เพราะการโต้แย้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้าง ความถูกต้องให้กับข้อกล่าวอ้างที่อยู่บนพื้นฐานของ การให้เหตุและผล (Norris d al., 2007) ดังนั้นรูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง จึงช่วยในการส่งเสริมให้นักเรียนสร้างข้อกล่าวอ้าง พยายามหาหลักฐานเชิงประจักษ์ และรู้จักการให้เหตุผลที่สอดคล้อง และเชื่อมโยงกับหลักฐานและข้อกล่าว อ้างที่มีสอดคล้องกับงานวิจัย ของ Kelly et al. (2007) ที่กล่าวไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ช่วยให้นักเรียนรู้จักการใช้ข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อมาประกอบการเขียนรายงานการสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ Samupson et al. (2010) พบว่านักเรียนกลุ่มทดลองที่เรียนด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งได้คะแนนจากการเขียนเชิง วิทยาศาสตร์ในวิชาเคมีสูงกว่าระหว่างเขียนรายงานจำนวน 5 ครั้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ นักเรียนที่เรียนชีววิทยาด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งมีคะแนน เฉลี่ยความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่เรียนชีววิทยาด้วยรูปแบบการ เรียนรู้ 5E อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (สันติชัย อนุวรชัย, 2553)


57 คำถามวิจัยข้อที่ 2 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ที่ ส่งเสริมความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ควรมีลักษณะอย่างไร ผลการวิจัยคำถามวิจัยข้อที่ 2 ในการตอบคำถามวิจัยข้อที่ 2 ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้บันทึกหลังการสอน และข้อมูลจากใบ กิจกรรม หลังจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธี การโต้แย้งเสร็จสิ้นในแต่ละแผน จำนวน 3 แผน จากนั้นทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ในแต่ละแผนโดยใช้การ วิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง เนื่องจากแผนการจัดการเรียนรู้นี้เป็นแผนการจัดการเรียนรู้แผนที่ 1 ทำให้กิจกรรมโดยรวมประสบ ผลสำเร็จในระดับต่ำ คือในทุกขั้นตอนครูต้องชี้แจงนักเรียนหลายรอบ และภาระงานที่มอบหมายให้นักเรียนยัง ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ คือนักเรียนยังไม่สามารถเขียนการให้เหตุผลได้ และเขียนข้อกล่าวอ้างและหลักฐานได้ ถูกต้องเป็นบางคน นักเรียนแต่ละคนมีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มเพราะครูใช้วิธีการแบ่งกลุ่มแบบนับตัวเลข 1- 8 ไม่ให้นักเรียนในห้องจับกลุ่มกันเองจึงทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมเนื่องจากนักเรียนจะไม่สนิท กันจึงลดปัญหาการคุยเล่นกันได้บ้าง ผลการวิจัยจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเกิดภาพจากกระจกเงา ผลการจัดการเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 นี้ นักเรียนสามารถพัฒนาได้มากขึ้นกว่าแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 1 เล็กน้อย ในขั้นตอนย่อยที่ระบุภาระงานสำหรับการสำรวจตรวจสอบ ครูมีการนำแนว ทางแก้ไขจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 มาปรับ คือ เวลาครูแจกใบกิจกรรมให้นักเรียนทุกคนเสร็จเรียบร้อย ครูให้นักเรียนทุกคนในห้องเรียนหันหน้ามาทางครูที่อยู่หน้าห้องทั้งหมดทำให้นักเรียนเข้าใจกิจกรรมและ ขั้นตอนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ครูพบว่าการให้นักเรียนในกลุ่มทำใบกิจกรรมทุกคนแล้วค่อยมาหาข้อสรุป ร่วมกันเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าแจกใบกิจกรรม เพียงใบเดียวหรือสองใบแล้วค่อยมาหาข้อสรุป เพราะนักเรียนทุกคน จะได้มีโอกาสแสดงวิธีคิดและลงข้อสรุป ผลการวิจัยจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การหักเหของแสง ผลจากการจัดการเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้นี้ประสบความสำเร็จมาก ครูสามารถจัดกิจกรรม การเรียนรู้ให้นักเรียนประสบความสำเร็จและสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้ ทั้งหมด 7 ข้อ


58 การอภิปรายผลคำถามวิจัยข้อที่ 2 ผู้วิจัยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการ โต้แย้ง เรื่อง แสง จำนวน 3 แผน ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 9 คาบ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ผู้วิจัยปรับมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน แบบสืบเสาะร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งของ (Sampson et al., 2009: 43) โดยปรับให้เหมาะกับเนื้อหา เวลา และบริบทของการสอน โดยมีขั้นตอนประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 การระบุภาระงาน (Identification of the Task) ขั้นที่ 2 การสรรสร้างและวิเคราะห์ข้อมูล (Generation and Analysis of Data) ขั้นที่ 3 การสร้างข้อโต้แย้งชั่วคราว (Production of a Tentative Argument) ขั้นที่ 4 กิจกรรมการโต้แย้ง (Argumentation Session) ขั้นที่ 5 เขียนรายงานผลการสํารวจตรวจสอบ (Write up Investigation Report) ขั้นที่ 1 การระบุภาระงาน การระบุภาระงาน คือ การนำเข้าสู่ภาระงานของเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนศึกษาโดยมีการสร้างความ สนใจและเชื่อมโยงความรู้เดิมกับเรื่องที่จะศึกษาก่อนที่จะมีการระบุภาระงาน ให้นักเรียนสังเกตภาพ ได้ดู วีดิทัศน์ หรือการให้นักเรียนได้มีโอกาสสาธิตให้เพื่อนสังเกตผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในขั้นระบุภาระ งาน พบว่าเทคนิคการใช้คำถามเป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับนำมาใช้ในการสำรวจความรู้เดิม หรือเพื่อให้ นักเรียนเชื่อมโยงประสบการณ์ การเรียนรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันกับเรื่องที่จะศึกษา ลักษณะของคำถามที่ใช้ ควรจะเป็นคำถามที่กระตุ้นให้นักเรียนพยายามคิด และควรเป็นคำถามที่นักเรียนสามารถหาคำตอบได้ เพื่อจะ ได้ทราบว่านักเรียนมีความรู้เดิมในระดับใด นอกจากนี้สื่อที่มีความหลากหลายจะกระตุ้นให้นักเรียนพยายาม คิด สร้างความสนใจ และช่วยส่งเสริมความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น สอดคล้อง กับ (พอรินทร์ พุกพูนธนพัฒน์, 2555 อ้างใน เมธา สีหานาท, 2546) กล่าวว่า การใช้สื่อในการสอนเพิ่มเติมจะ ช่วยกระตุ้นความสนใจประกอบกับการสร้างปัญหาในขั้นนำของกิจกรรมการสอน ได้แก่ จากการสังเกตภาพ จากสื่อต่าง ๆ แต่ภาพที่จะให้นักเรียนสังเกตควรจะเป็นภาพที่มีความน่าสนใจ เห็นชัดเจน ในส่วนของสื่อวีดิ ทัศน์ควรเป็นสื่อที่มีความสอดคล้องกับเนื้อหาที่ สอนและใช้เวลาไม่มากนักเรียนให้ความสนใจ ซึ่งข้อสรุปนี้ สอดคล้องกับ กฤษณา โภคพันธ์ (2554) ที่กล่าวถึงการใช้สื่อประเภทวีดิทัศน์ว่า สื่อที่มีความน่าสนใจจะทำให้ นักเรียนเห็นภาพ เห็นกระบวนการ ทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจที่คงทนของการเรียนรู้เนื้อหา ซึ่งในขั้นระบุภาระงาน วิธีการที่เหมาะสมในการสร้างความสนใจให้กับนักเรียนขึ้นอยู่กับเรื่องที่ ต้องการให้นักเรียนศึกษา เช่น การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทต์ ครูควรสร้างความสนใจให้กับนักเรียน โดยการใช้ วีดิทัศน์ที่แสดงภาพเคลื่อนไหวเพราะจะดึงดูดความสนใจให้กับนักเรียนมากกว่า การให้สังเกตภาพนิ่ง หรือถ้า เรื่องที่ต้องการให้นักเรียนศึกษาเป็นเรื่องที่ยากต่อการกระตุ้นให้ นักเรียนพยายามคิดหาคำตอบผ่านการดู วีดิทัศน์หรือภาพนึ่ง ครูควรใช้วิธีการให้ตัวแทนนักเรียน ออกมาสาธิตให้เพื่อนในห้องดูแต่ควรจะออกมาสาธิต มากกว่า 1 คน เพื่อนักเรียนคนอื่นจะได้สังเกต ชัดเจนเท่าเทียมกัน


59 ขั้นที่ 2 การสรรสร้างและการวิเคราะห์ข้อมูล การให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่มขนาดเล็กเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล จัดกระทำ วิเคราะห์และนำเสนอ ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต ทดลองหรือสำรวจตรวจสอบให้นักเรียนในห้องเรียนและครูผู้สอนฟัง ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในขั้นการสรรสร้างและการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าการให้นักเรียน ทำงานเป็นกลุ่มจะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักการทำงานแบบร่วมมือ รู้จักการอภิปราย เพื่อให้ได้ออกมาซึ่ง ผลงานผ่านการปฏิบัติการทดลอง สอดคล้องกับ พอรินทร์ พุกพูนธนพัฒน์ (2555 อ้างใน นิภาพร เฉลิมฉัตร, 2547) ที่ทำการวิจัยกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อพัฒนาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ โดยใช้กิจกรรมกลุ่มและ พบว่ากิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนแสดงความสามารถ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้รับการยอมรับ และ ปลอดภัยจากการถูกวิจารณ์สามารถทำให้นักเรียนมีความเชื่อมั่น และให้ความร่วมมือในกิจกรรม นอกจากนี้ เทคนิคการจัดกลุ่มโดยครูผู้สอนเป็นสิ่งที่ สำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนมีความกระตือรือร้น ทุกคน จะมีความสำคัญอย่างเท่าเทียม กันในการช่วยให้กิจกรรมของกลุ่มเกิดความสำเร็จ ซึ่งการใช้เทคนิคการจัดกลุ่ม ที่มีความหลากหลายจะช่วยลดปัญหาการพูดคุยกันเองภายในกลุ่ม ลดปัญหาเพื่อนนักเรียนที่มีความสนิทกัน มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน นอกจากนี้ในขั้นตอนนี้ครูควรจะเดินสำรวจนักเรียนทุกกลุ่ม เวลานักเรียน ทำงาน เพราะ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับครูในการที่จะแน่ใจว่านักเรียนกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะทำอะไร และเพื่อเป็นการแก้ปัญหา ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติการทดลองเกิดปัญหา ขั้นที่ 3 การสร้างข้อโต้แย้งชั่วคราว การให้นักเรียนสร้างข้อโต้แย้งเป็นกลุ่ม โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกต ทดลองหรือ สำรวจ ตรวจสอบ ในขั้นตอนที่สอง สำหรับใช้ในกิจกรรมการโต้แย้ง ซึ่งเป็นคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ชั่วคราวที่มี องค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในขั้นการสร้างข้อโต้แย้งชั่วคราว พบว่า ครูเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะ ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ผ่านการโต้แย้งชั่วคราวภายใน กลุ่ม และเพื่อช่วยให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ กล้าแสดงแนวความคิด และมีความมั่นใจมากขึ้น สอดคล้องกับ สันติชัย อนุวรชัย (2553) ที่กล่าวว่า การที่นักเรียนมีโอกาสฝึกสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ร่วมกันในกลุ่ม ก่อนที่จะนำมาสู่การโต้แย้งเพื่อสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เป็นรายบุคคล อาจมีส่วนทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ และพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายของนักเรียนแต่ละบุคคลได้ดีขึ้น ผ่านการเขียนลงไปในกระดาษ ครูต้องเน้นย้ำให้นักเรียน รู้จักการใช้หลักฐานและเหตุผลที่เหมาะสม นอกจากนี้ ขนาด สีของกระดาษและ ปากกาเมจิก ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ครูควรใช้ขนาดกระดาษที่มีความพอดีไม่ใหญ่จนเกินไปหรือไม่เล็กจนเกินไปและ เน้นว่าควรจะเป็นกระดาษสีขาวหรือกระดานฟลิปชาร์ตจะเหมาะสมที่สุด ส่วนสีของปากกาเมจิกควรจะเป็นสีที่ เข้มจะช่วยให้การมองเห็นในระยะไกลของเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ชัดเจนขึ้น ในขั้นนี้แนะนำว่าครูควรกำหนดเวลาใน การสร้างข้อโต้แย้งชั่วคราวให้เหมาะสมกับเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้


60 ขั้นที่ 4 กิจกรรมการโต้แย้ง การโต้แย้งระหว่างกลุ่มทั้งห้องเรียน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอข้อโต้แย้งของตนเอง และครู เป็นผู้กำหนดประเด็นการโต้แย้ง จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแสดงความคิดว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อการ นำเสนอของเพื่อนกลุ่มอื่น พร้อมให้เหตุผลประกอบ ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในขั้นกิจกรรมการโต้แย้ง พบว่า ครูมีบทบาทในการเป็นผู้น ำการ โต้แย้งได้ดีที่สุดเพราะด้วยบริบทนักเรียนไทยส่วนใหญ่จะขาดความกล้าแสดงออก โดยเฉพาะการโต้แย้งที่จะ เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มทั้งห้องเรียน นักเรียนมักจะนั่งเงียบ ดังนั้นครูควรกระตุ้นนักเรียนโดยการเรียกชื่อสมาชิก ภายในกลุ่มที่ไม่กล้าแสดงออก ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้คะแนน มามีส่วนร่วมในการประเมินการโต้แย้งครูก็ควรที่ จะรีบชี้แจงนักเรียน นอกจากนี้ครูควรกำหนดประเด็นการโต้แย้งและกำหนดเวลาในการโต้แย้งให้ชัดเจน จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแสดงความคิดว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อการนำเสนอของเพื่อนกลุ่มอื่น แต่สิ่ง สำคัญที่สุดคือ ครูต้องพยายามทำความเข้าใจกับนักเรียนทั้งห้องว่าการโต้แย้งต่างจากการโต้เถียง การโต้แย้ง จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการแสดงหลักฐานและการให้เหตุผลที่เหมาะสม เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปของสิ่งที่ศึกษา ร่วมกัน สอดคล้องกับ Suppe (1998) ที่ได้กล่าวไว้ว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถูกสร้างขึ้นมาและมีความ ถูกต้องได้อย่างไรนั้น ครูจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ประเมินข้อกล่าวอ้างและฝึกการโต้แย้งผ่านการใช้ หลักฐาน และการให้เหตุผล ขั้นที่ 5 การเขียนรายงานผลการสํารวจตรวจสอบ การให้นักเรียนเขียนรายงานและให้ผู้วิจัยเป็นผู้ตรวจพร้อมกับให้ข้อมูลป้อนกลับเป็นรายบุคคลซึ่งจะ นำไปสู่การเขียนคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในขั้นการเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ พบว่า ในขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญสำหรับครูที่จะตรวจสอบว่านักเรียนสามารถสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ได้ หรือไม่ ดังนั้นครูควรกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการเขียน เนื่องจากการเขียนเป็นส่วนหนึ่งของการ ทำงานแบบวิทยาศาสตร์ และจะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้และจดจำความสำคัญของแนวคิด หรือ หลักการทางวิทยาศาสตร์ และปลุกใจให้นักเรียนได้เรียนรู้ว่าจะเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบในเชิง วิทยาศาสตร์ได้อย่างไร (Indrisant and Paratore, 2005) โดยเริ่มต้นครูควรจะแจกแบบฟอร์มการเขียน รายงานผลการสำรวจตรวจสอบ ขนาด A4 1 แผ่น ที่ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ วิธีการทดลอง ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้ เหตุผลก่อนประมาณสองถึงสามครั้ง จากนั้นในครั้งต่อไปนักเรียนก็จะทราบเองว่าควร จะต้องเขียนหัวข้อใดบ้าง เมื่อนักเรียนเริ่มเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบครูควรกำหนดเวลาส่งให้ชัดเจน และเมื่อนักเรียนส่งรายงานครูควรตรวจอย่างละเอียดโดยใช้เกณฑ์การประเมินที่ครูตั้งไว้ในแต่ละแผนการ จัดการเรียนรู้ พร้อมรีบส่งรายงานผลการสำรวจตรวจสอบกลับให้นักเรียนทันทีเพื่อให้นักเรียนได้รับทราบว่ามี ข้อปรับปรุงอะไรบ้าง


บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย คำถามของการวิจัย 1. ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งจะเป็นได้อย่างไร 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ที่ส่งเสริมความสามารถใน การสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ควรมีลักษณะอย่างไร วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง 2. เพื่อศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ที่ส่งเสริมความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง กลุ่มที่ศึกษา กลุ่มที่ศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ว23101 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย จำนวนนักเรียน 30 คน โดยแบ่งเป็นนักเรียนชาย 9 คน นักเรียนหญิง 21 คน โดยใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เครื่องมือวิจัยเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง แสง โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ประกอบด้วย แบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ แบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ บันทึกหลังการสอน ของครู และใบกิจกรรม 1. แบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ศึกษา พัฒนาการในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง แสง ที่เรียนด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ลักษณะเป็นแบบทดสอบความเรียง โดยการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ประกอบไปด้วย ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล จำนวน 3 ข้อ ครอบคลุมเนื้อหา เรื่อง การสะท้อนของแสง การเกิดภาพจากกระจกเงาและเรื่องการหักเหของแสง โดย


62 นําไปใช้ทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของกลุ่มที่ศึกษาทั้งก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้และหลังการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. แบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นแบบประเมินที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อประเมินการโต้แย้ง เชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียน มีลักษณะเป็นแบบสังเกตพฤติกรรม โดยจะประเมินพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน คือ 1) ด้านกระบวนการคิด 2) ด้านเหตุผล 3) ด้านสังคม ลักษณะของ แบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) คือ ปฏิบัติ และไม่ปฏิบัติ ที่ประกอบด้วยรายการพฤติกรรมที่ใช้ในการ สังเกต ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการโต้แย้ง ทั้งหมด 14 ข้อ โดยนำแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ ไปใช้กับกลุ่มที่ศึกษาระหว่างการจัดการเรียนรู้ในแต่ละแผน 3. บันทึกหลังการสอนของครู เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยใช้เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งที่ส่งเสริมความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ว่าควร มีลักษณะอย่างไร ในเนื้อหาเรื่องแรงและการเคลื่อนที่โดยผู้วิจัยทำการบันทึกทุกครั้ง หลังจากที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้เกิด คุณภาพและความเชื่อมั่นของข้อมูล โดยผู้วิจัยจดบันทึกสิ่งที่ได้จากการสังเกตอย่างละเอียดภายหลังจากที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้ทันทีเมื่อจบคาบเรียน 4. ใบกิจกรรม เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยใช้เพื่อต้องการวัดความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ระหว่างที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อเป็นการตรวจสอบความเข้าใจและความสามารถในการสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ที่นักเรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยทำการทดสอบความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนที่จะจัด กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องแสง จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องแสง จำนวน 3 แผนเป็นเวลา 9 คาบ ในระหว่างทำกิจกรรมการเรียนรู้ ให้นักเรียนทำใบกิจกรรมและเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ ใช้แบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อร่วมในการประเมินแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ และผู้วิจัยจดบันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกครั้ง เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครบทุกหน่วยการเรียนรู้แล้ว ผู้วิจัยใช้แบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์เพื่อตรวจสอบความเข้าใจและวัดพัฒนาการความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมด้วยเครื่องมือต่าง ๆ มาทำการ วิเคราะห์ข้อมูลทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ดังต่อไปนี้ 1. การวิเคราะห์นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการ โต้แย้งมีความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร


63 ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ และแบบ ประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ โดยผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ดังนี้ 1.1 แบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ที่ประกอบไปด้วย ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล ก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการอ่านคำตอบของนักเรียนอย่างละเอียด แปรผลออกมาในรูปของคะแนนและนำมาจำแนกเป็นระดับ ความสามารถเป็นรายบุคคลทั้งหมด 3 ระดับ คือ ระดับ ควรปรับปรุง ระดับ ดี และระดับ ดีมาก เพื่อหา ค่าความถี่และร้อยละในแต่ละระดับ 1.2 แบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ โดยผู้วิจัยรวบรวบข้อมูลจากการประเมินจาก การสังเกตพฤติกรรมในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในทุกแผนร่วมกับการสังเกตวีดิทัศน์ นำข้อมูลที่ได้ รายบุคคลมาแปรผลเพื่อหาความถี่ของนักเรียนที่ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติ ในแต่ละด้านของแบบประเมินการโต้แย้ง เชิงวิทยาศาสตร์ 2. การวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งที่ส่งเสริม ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ว่าควรมีลักษณะอย่างไร ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากบันทึกหลังการสอนของครู แบบสัมภาษณ์นักเรียน และใบ กิจกรรม โดยผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ดังนี้ 2.1 บันทึกหลังสอนของครู ผู้วิจัยนำข้อมูลจากบันทึกหลังสอน ในประเด็น 1) ผลการจัดการ เรียนรู้ ที่มีต่อการพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ 2) ปัญหา/อุปสรรค 3) ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา เพื่อสรุป รูปแบบในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งว่ามีวิธีการอย่างไร มีขั้นตอนสำคัญอย่างไร ใช้เทคนิคการสอนอะไร มีข้อจำกัด อย่างไร และจะแก้ไขข้อจำกัดที่เกิดขึ้นได้อย่างไร 2.2 แบบสัมภาษณ์นักเรียน โดยผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์หลังจากการ จัดการเรียนรู้ในแต่ละคาบ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยจัดกลุ่มคําตอบของนักเรียนตามประเด็นต่อไปนี้ ความรู้ที่นักเรียนได้รับ ประเด็นที่สงสัย และความรู้สึกและความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ 2.3 ใบกิจกรรม จะนำไปสู่การเขียนรายงานผลการสำรวจ ตรวจสอบ โดยผู้วิจัยเก็บรวบรวม ข้อมูลจากการเขียนรายงาน ตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลเป็น รายบุคคล และแปลงเป็นระดับความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ที่ประกอบไปด้วย ข้อ กล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผลทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับ ควรปรับปรุง ระดับ ดีและระดับ ดีมาก จากนั้น นำระดับของนักเรียนที่ได้มาหาความถี่และร้อยละ ดังนั้นเพื่อคุณภาพของงานวิจัย ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ เรื่องแสง แบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ บันทึกหลังการสอนของครู แบบสัมภาษณ์


64 นักเรียน ผลงานของนักเรียน ใบกิจกรรมและรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ มาเชื่อมโยงข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation) เพื่อสะท้อนให้เห็นหลักฐานและ ผลการวิจัยที่มีความเชื่อมั่นถูกต้องตรงตามความจริง ผลการวิจัย ผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือ นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งมีความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ส่วนที่สองคือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งที่ส่งเสริมความสามารถ ในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ว่าควรมีลักษณะอย่างไร 1. นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง มี ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร จากการวิเคราะห์แบบทดสอบการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ร่วมกับแบบประเมินการ โต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องแสง ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในภาพรวมทั้งหมดพบว่า เมื่อสํารวจ ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบทดสอบ นักเรียนส่วนใหญ่มีระดับ ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ในระดับดีมาก จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 63.33 หลัง ผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ซึ่งเดิมไม่มี นักเรียนที่อยู่ในระดับนี้เลย และอยู่ในระดับดีลดลงจากก่อนเรียน เหลือ จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 50.00 ส่วนระดับที่ ควรปรับปรุง ลดลงจากก่อนเรียน เหลือ จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 10.00 จากการวิเคราะห์ร่วมกับแบบประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ความถี่จากแบบสังเกต พฤติกรรมเพื่อประเมินการโต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้พบว่า พฤติกรรมการโต้แย้ง ที่มากขึ้นเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนให้สูงขึ้นด้วย เพราะการโต้แย้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความถูกต้อง ให้กับข้อกล่าวอ้างที่อยู่บนพื้นฐานของการให้เหตุและผล ดังนั้นนักเรียนที่ผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง มีความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน เนื่องมาจากรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธี การโต้แย้งส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งที่ส่งเสริมความสามารถใน การสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ว่าควรมีลักษณะอย่างไร รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งที่ส่งเสริม ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง แสง ควรมีลักษณะดังนี้ 2.1 ขั้นการระบุภาระงาน เทคนิคการใช้คำถามเป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับนำมาใช้ในการ สำรวจความรู้เดิมหรือเพื่อให้นักเรียนเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันกับเรื่องที่จะ ศึกษา สื่อที่มีความหลากหลาย เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ที่น่าสนใจ สื่อเคลื่อนไหวจาก อินเทอร์เน็ต ตัวอย่างจริง จะ


65 กระตุ้นให้นักเรียนพยายามคิด สร้างความสนใจ และช่วยส่งเสริม ความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น 2.2 ขั้นการสรรสร้างและการวิเคราะห์ข้อมูล การให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่มจะช่วยกระตุ้นให้ นักเรียนรู้จักการทำงานแบบร่วมมือ ครูผู้สอนควรมีเทคนิคในการจัดกลุ่มที่มีความหลากหลาย ครูควรจะเดิน สำรวจนักเรียนทุกกลุ่มเวลานักเรียนทำงาน เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับครูในการที่จะแน่ใจว่านักเรียนกำลัง ครุ่นคิดอยู่ว่าจะทำอะไร และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาได้ อย่างรวดเร็วเมื่อเครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติการทดลอง เกิดความเสียหาย หรือในกรณีที่นักเรียนมีข้อสงสัยในขณะปฏิบัติกิจกรรม 2.3 ขั้นการสร้างข้อโต้แย้งชั่วคราว ครูเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเห็น ความสำคัญของการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ผ่านการโต้แย้งชั่วคราวภายในกลุ่ม ขนาด สี ของกระดาษ และปากกาเมจิกก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ครูควรใช้ขนาดกระดาษที่มีความพอดีไม่ใหญ่จนเกินไปหรือไม่เล็กจนเกินไป เพราะ ถ้ากระดาษมีขนาดใหญ่จนเกินไปนักเรียนบางคนในกลุ่มจะเห็นเป็นพื้นที่ว่างแล้วก็จะวาดรูปหรือเขียน ข้อความอื่น ๆ นอกจากที่ให้เขียนลงไป แต่ถ้ากระดาษมีขนาดเล็กเกินไป นักเรียนก็จะสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ เขียนตัวหนังสือเล็กลงจนส่งผลทำให้เพื่อนกลุ่มอื่นมองไม่เห็นเวลาอภิปราย และเน้น ว่าควรจะเป็นกระดาษสีขาวหรือกระดาษฟลิปชาร์ตจะเหมาะสมที่สุด ส่วนสีของปากกาเมจิกควรจะเป็นสีที่เข้ม จะช่วยให้การมองเห็นในระยะไกลของเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ชัดเจนขึ้น ครูควรกำหนดเวลาในการสร้างข้อโต้แย้ง ชั่วคราวให้เหมาะสมกับเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และให้นักเรียนแต่ละกลุ่มได้นำผลงาน การสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของกลุ่มตนเองมาติดที่กระดานหน้าห้องหรือรอบ ๆ กำแพงห้อง 2.4 ขั้นกิจกรรมการโต้แย้ง ครูมีบทบาทในการเป็นผู้นำการโต้แย้งได้ดี กำหนดประเด็นการ โต้แย้งและกำหนดเวลาในการโต้แย้งให้ชัดเจน และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ประเมินข้อกล่าวอ้างและฝึกการ โต้แย้งผ่านการใช้หลักฐาน และการให้เหตุผล 2.5 ขั้นการเขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนเห็น ความสำคัญ ของการเขียน โดยเริ่มต้นครูควรจะแจกแบบฟอร์มการเขียนรายงานผลการสำรวจ ตรวจสอบขนาด A4 1 แผ่น ที่ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ วิธีการทดลอง ข้อกล่าวอ้าง หลักฐาน และการให้เหตุผล กำหนดเวลาส่งให้ ชัดเจน และเมื่อนักเรียนส่งรายงานครูควรตรวจอย่างละเอียด โดยใช้เกณฑ์การประเมินที่ครูตั้งไว้ในแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้ พร้อมรีบส่งรายงานผลการสำรวจตรวจสอบกลับคืนนักเรียนทันทีเพื่อให้นักเรียนได้รับ ทราบว่ามีข้อปรับปรุงอะไรบ้าง


66 ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง แสง ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะที่ได้จากการทำวิจัย 1.1 จากผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง แสง โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง พบว่ามีผลต่อการพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ ดังนั้นครูผู้สอนหรือผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ควรส่งเสริมให้นำไปปรับใช้ใน กิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อที่จะพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ให้สูงขึ้น 1.2 การโต้แย้งที่เกิดขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันเสมอไป แต่อาจหมายถึง การโต้แย้งกันในประเด็นที่เห็นสอดคล้องกันอยู่แล้วเพื่อนำไปสู่การสร้างข้อสรุปที่ถูกต้องร่วมกัน 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยในครั้งต่อไป 2.1 ควรศึกษาแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง เพื่อพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ใน เนื้อหาอื่นของวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์ให้ครอบคลุมทุก เนื้อหาและในบริบทอื่น ๆ เช่น ศึกษาในกลุ่มนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เรียนแผนการเรียน วิทยาศาสตร์ 2.2 ควรนำกลวิธีการโต้แย้งไปใช้ร่วมกับรูปแบบการเรียนการสอนอื่น ๆ เพื่อทำให้เกิดความ หลากหลายในการจัดการเรียนการสอน และเพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จักพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบาย เชิงวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น 2.3 ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ศึกษาปัจจัย จำกัดที่มี ผลต่อการโต้แย้ง และพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กฤตกร สภาสันติกุล. (2558). ผลของกลวิธีการสอนเคมีโดยใช้การทำนาย การสังเกต การอธิบาย อย่างมี ขั้นตอนที่มีต่อความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์และความมีเหตุผลของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา, 11(1), 219-237. โครงการ PISA ประเทศไทย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2554). ผลการประเมิน PISA 2009 การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด อรุณการพิมพ์. โครงการ PISA ประเทศไทย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระทรวงศึกษาธิการ. (2556). ผลการประเมิน PISA 2012 คณิตศาสตร์ การอ่าน และวิทยาศาสตร์ บทสรุปสำหรับผู้บริหาร. สมุทรปราการ: แอดวานซ์ พริ๊นดิ้ง เซอร์วิส จำกัด. จงกล บุญรอด. (2557). ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบจำลองที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น. (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย). จีระวรรณ เกษสิงห์. (2562). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์: วิถีปฏิบัติสู่การพัฒนาตนเอง. กรุงเทพฯ, บริษัท จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด. ณัฐวรรณ ศิริธร และ เอกภูมิ จันทรขันตี. (2562). การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะที่ขับเคลื่อนด้วยกลวิธีการ โต้แย้งเพื่อพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง แรง มวล และกฎการเคลื่อนที่. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร Silpakorn University Journal, 39(1), 130-141. ปาริฉัตร ปานกลิ่น. (2564). การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับกลวิธีการโต้แย้งเพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา เรื่อง พอลิเมอร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. (การค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยนเรศวร). มิ่งมุก สุทธิกิตติพงศ์. (2562). การพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมบัติของ สาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะเป็นฐาน (5E). (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรังสิต). ศูนย์ดำเนินงาน PISA แห่งชาติ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2559). สรุปผลการ ประเมิน PISA 2015 วิทยาศาสตร์ การอ่าน และคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ศูนย์ดำเนินงาน PISA แห่งชาติ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2564). ผลการประเมิน PISA 2018 การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี.


68 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555). ครูวิทยาศาสตร์มืออาชีพแนวทางสู่การเรียนการ สอนที่มีประสิทธิผล. กรุงเทพฯ: อินเตอร์เอ็ดดูเคชั่นซัพพลายส์. สันติชัย อนุวรชัย. (2553). ผลของการเรียนการสอนชีววิทยาด้วยรูปแบบการเรียนการสอนสืบสอบร่วมกับ กลวิธีการโต้แย้งที่มีต่อความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์และความมีเหตุผลของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย). สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2552). ข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561). กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค. อนาวิล สินสิงห์. (2563). การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบสืบเสาะที่ขับเคลื่อนด้วยกลวิธีการโต้แย้งเพื่อพัฒนา สมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานและความสามารถในการให้เหตุผลในเชิง วิทยาศาสตร์เรื่อง การไตรเทรตกรด-เบส สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. (การค้นคว้าอิสระ ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยนเรศวร). อรยา แจ่มใจ. (2557). การพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบสืบเสาะร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง. (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย). Berland, L.K. and Reiser, B.J. (2009). Making Sense of Argumentation and Explanation. Science Education, 93, 26-55. Bricker, L.A. and Bell, P. (2008) . Conceptualizations of Argumentation from Science Studies and the learning Sciences and Their Implications for the Practices. Science Education, 92, 473-498. McNeill, K.L. and Krajcik, J.S. (2008) . "Scientific Explanations: Characterizing and Evaluating the Effects of Teachers' Instructional Practices on Student Learning, Journal of Research in Science Teaching, 45(1), 55-78. McNeill, K.L. (2009). Teacher Use of Curriculum to support Student in Writing Scientific Arguments to Explain Phenomena. Science Education, 93, 233-268. Sampson, V. and Clark, D.V. (2009). The Impact of Collaboration on the Outcomes of Scientific Argumentation. Science Education, 93, 448-484. Sampson, V., & Grooms, J., & Walker, J.P. (2009). Argument-Driven Inquiry: Way to Promote Leaming during Laboratory Activities. The Science Teacher, 11(1), 42-47. Sampson, V., & Grooms, J., & Walker, J.P. (2011). Argument-driven inquiry as a way to help student learn how to participate in scientific argumentation and craft Written Arguments: An Exploratory Study. Science Education, 95, 217-257. Walker, J., & Sampson, V., & Zimmerman, C. (2011). Argument-driven inquiry: An introduction to a new instructional model for use in undergraduate chemistry labs. Journal of Chemical Education, 88(10), 1048-1056.


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก - รายนามผู้เชี่ยวชาญ - หนังสือขอเชิญเป็นผู้เชี่ยวชาญ


71 รายนามผู้เชี่ยวชาญ 1. นายสุติ คงเผือน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ คศ.3 ชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2. นางสาวชลกาล แก้วทุ่ง ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ คศ.3 ชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 3. นางสาวสายทิพย์ อ๊อดพันธ์ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ คศ.3 ชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์(ฟิสิกส์)


72


73


74


ภาคผนวก ข - ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง


76 1. มาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. ตัวชี้วัด ว 2.3 ม.3/13ออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายกฎการ สะท้อนของแสง 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การสะท้อนของแสง เกิดจากแสงเดินทางไปตกกระทบกับผิวของวัตถุที่แสงไม่สามารถเดินทางผ่านได้ ทำให้แสงที่ตกกระทบผิวของวัตถุนั้น ๆ เกิดการสะท้อนกลับหมดลักษณะการสะท้อนของแสงจะสะท้อนกลับ มากหรือน้อย จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผิวของวัตถุที่แสงตกกระทบ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อนของการสะท้อนของแสงได้ 2. นักเรียนสามารถออกแบบตารางบันทึกผลการทดลอง เรื่องการสะท้อนของแสงได้ 3. นักเรียนสามารถสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับกฎการสะท้อนของแสงได้ 4. นักเรียนสามารถเขียนรายงานผลการศึกษาเรื่องการสะท้อนของแสงได้ 5. นักเรียนสามารถปฏิบัติกิจกรรมการทดลองการสะท้อนของแสงได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน 6. นักเรียนสามารถนำเสนอและโต้แย้งคำอธิบายเกี่ยวกับการสะท้อนของแสงได้ 7. นักเรียนมีความร่วมมือกันในการปฏิบัติกิจกรรม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว23101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระกาเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 คลื่นและแสง เวลา 21 ชั่วโมง เรื่อง การสะท้อนของแสง เวลา 3 ชั่วโมง ผู้สอน นายวีรภัทร ช่วงชาญ วันที่ ............... เดือน ......................... พ.ศ. 2565


77 5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. สมรรถนะตามหลักสูตรแกนกลาง 1.1 ความสามารถในการคิด 1.2 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 1.3 ความสามารถในการสื่อสาร 1.4 ความสามารถในการแก้ปัญหา 2. สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA 2.1 การอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ A1 นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้สร้างคำอธิบายที่สมเหตุสมผล 2.2 การประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ B1 สามารถระบุประเด็นปัญหาที่ต้องการสำรวจตรวจสอบจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ กำหนดให้ 2.3 การแปลความหมายข้อมูลและการใช้ประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ C1 แปลงข้อมูลที่นำเสนอในรูปแบบหนึ่งไปสู่รูปแบบอื่น C2 วิเคราะห์และแปรความหมายข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และลงข้อสรุป C5 ประเมินข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์และประจักษ์พยานจากแหล่งที่มาที่หลากหลาย 6. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมันในการทำงาน 7. สาระการเรียนรู้ - การสะท้อนของแสง (Reflection) เป็นปรากฏการณ์ที่แสงมีการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ที่บริเวณ รอยต่อของตัวกลาง 2 ชนิด โดยแสงจะเคลื่อนที่ย้อนกลับไปในตัวกลางเดิม - กฎการสะท้อนของแสง มี 2 ข้อ คือ 1. รังสีตกกระทบ เส้นแนวฉาก และรังสีสะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกัน 2. มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ณ ตำแหน่งที่แสงตกกระทบ


ตารางวิเคราะห์ตัวชี้วัด ความรู้ทางวิทยาศาสต ตัวชี้วัด ความรู้ทางวิทยาศาสตร เนื้อหา กระบวนการ ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการทดลอง และดำเนินการ ทดลองด้วยวิธีที่ เหมาะสมในการ อธิบายกฎการ สะท้อนของแสง - การสะท้อนของแสง (Reflection) เป็น ปรากฏการณ์ที่แสงมีการ เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ที่ บริเวณรอยต่อของตัวกลาง 2 ชนิด โดยแสงจะเคลื่อนที่ ย้อนกลับไปในตัวกลางเดิม - กฎการสะท้อนของแสง มี 2 ข้อ คือ 1. รังสีตกกระทบ เส้นแนว ฉาก และรังสีสะท้อนอยู่ใน ระนาบเดียวกัน 2. มุมตกกระทบเท่ากับมุม สะท้อน ณ ตำแหน่งที่แสงตก กระทบ - อธิบาย - ออกแบบวิธีการทดลอง - ทดลอง - สืบค้นข้อมูล


78 ร์ และสมรรถนะของผู้เรียนตามแนวทาง PISA ร์ สมรรถนะ การได้มาของความรู้ - การวิเคราะห์ อภิปราย และลง ข้อสรุปข้อมูล - การแปลความหมายข้อมูล - การแปลงข้อมูล - การตรวจสอบการออกแบบ วิธีการ การอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ A1 นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้สร้าง คำอธิบายที่สมเหตุสมผล A2 ระบุ ใช้ และสร้างตัวแบบ และนำเสนอ ข้อมูล เพื่อใช้ในการอธิบาย การประเมินและออกแบบกระบวนการสืบ เสาะหาความรู้ B2 แยกแยะได้ว่าประเด็นปัญหาหรือคำถาม ใดสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ การแปลความหมายและการใช้ประจักษ์ พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ C2 วิเคราะห์และแปรความหมายข้อมูลทาง วิทยาศาสตร์ และลงข้อสรุป C4 แยกแยะระหว่างข้อโต้แย้งที่มาจาก ป ร ะ จ ั ก ษ ์ พ ย า น แ ล ะ ท ฤ ษ ฎ ี ท า ง วิทยาศาสตร์ กับที่มาจากการพิจราณา จากสิ่งอื่น


79 8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง ซึ่งมีลำดับขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 การระบุภาระงาน (Identification of the Task) 1. ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยการให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรื่อง และร่วมกันอภิปรายตามแนวคำถามดังนี้ 1.1 นักเรียนเคยสังเกตภาพสะท้อนที่ผิวน้ำหรือไม่ เพราะเหตุใดภาพสะท้อนของภูเขาที่เกิด จากการสะท้อนที่ผิวน้ำเมื่อผิวน้ำเรียบและนิ่ง จะคมชัดกว่าการสะท้อนเมื่อผิวน้ำไม่เรียบและมีระลอกคลื่น (การสะท้อนของแสงที่ผิวน้ำเมื่อผิวน้ำเรียบและนิ่ง ทำให้ได้แสงสะท้อนที่เป็นระเบียบ เราจึงมองเห็นภาพ สะท้อนของภูเขาคมชัด ในขณะที่การสะท้อนของแสงที่ผิวน้ำเมื่อผิวน้ำมีระลอกคลื่น ไม่เรียบและไม่นิ่ง มีผลทำ ให้ได้แสงสะท้อนที่ไม่เป็นระเบียบ จึงมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาไม่คมชัด หรือนักเรียนตอบตามความ เข้าใจ) 2. ครูตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับการสะท้อนของแสง โดยให้ตัวแทนนักเรียนออกมา สาธิตการสะท้อนของแสงเลเซอร์ ดังภาพ โดยมีประเด็นคำถามดังนี้ 2.1 เมื่อฉายแสงเลเซอร์ลงบนกระจกเงาราบ นักเรียนคิดว่าแสงที่สะท้อนออกมาจะมีลักษณะ และทิศทางเป็นอย่างไร (แสงเลเซอร์จะสะท้อนออกมาจากกระจกเงาราบ หรือนักเรียนตอบตามความเข้าใจ ของตนเอง) 3. ครูระบุภาระงานสำหรับการสำรวจตรวจสอบ เรื่องการสะท้อนของแสง ตามขั้นตอนดังนี้ 3.1 แจกใบกิจกรรมที่ 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง


80 3.2 แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 7-8 คน โดยคละเก่ง กลาง อ่อน 3.3 ครูนำนักเรียนอภิปรายวิธีการทำกิจกรรมก่อนการทดลองในใบกิจกรรมที่ 1 4. ครูระบุภาระงานในการสำรวจตรวจสอบครั้งนี้ให้นักเรียนทราบ ดังนี้ 4.1 ออกแบบตารางบันทึกผลการทดลอง เรื่อง การสะท้อนของแสง 4.2 สร้างคำอธิบายเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน ขั้นที่ 2 การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล (Generation and Analysis of Data) 1. ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมเพื่อศึกษาเรื่อง การสะท้อนของแสง โดยให้สังเกตการเปลี่ยนแปลงใน ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับกิจกรรมที่ศึกษาเพื่อออกแบบตารางบันทึกผลการ ทดลอง เรื่อง การสะท้อนของแสง ขั้นที่ 3 การสร้างข้อโต้แย้งชั่วคราว (Production of a Tentative Argument) ครูถามนักเรียนว่า “เมื่อนำกล่องแสงให้แนวแสงตกกระทบตรงกับแนวเส้นที่ขีดไว้ โดยทำมุมตก กระทบเท่ากับ 30 45 และ 60 องศา แล้วลากเส้นตามแนวรังสีสะท้อน แล้ววัดมุมสะท้อน นักเรียนคิดว่ามุม สะท้อนของรังสีแต่ละรังสี มีค่าแตกต่างจากมุมตกกระทบแต่ละมุมหรือไม่ อย่างไร”จากนั้นให้นักเรียนแต่ละ กลุ่มร่วมกันสร้างคำอธิบายเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน เขียนลงในกระดาษฟลิป ชาร์ตที่ครูแจกให้ โดยระบุองค์ประกอบของคำอธิบายให้ครบถ้วน คำตอบของคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ในกระดาษฟลิปชาร์ต เรื่อง การสะท้อนของแสง ข้อสรุป เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบจะเกิดการสะท้อนของแสงที่ผิวของกระจกเงาราบนั้น ถ้า ขนาดมุมตกกระทบเพิ่มขึ้น ขนาดของมุมสะท้อนก็จะเพิ่มขึ้นด้วย โดยขนาดของมุมตก กระทบจะเท่ากับขนาดของมุมสะท้อนเสมอ จึงเป็นที่มาของกฎการสะท้อนของแสง 2 ข้อ คือ 1. รังสีตกกระทบ เส้นแนวฉาก และรังสีสะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกัน 2. มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ณ ตำแหน่งที่แสงตกกระทบ หลักฐาน ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน มุมตกกระทบ (องศา) มุมสะท้อน(องศา) 30.0 30.0 45.0 45.0 60.0 60.0


81 คำตอบของคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ในกระดาษฟลิปชาร์ต เรื่อง การสะท้อนของแสง (ต่อ) การให้ เหตุผล เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบจะเกิดการสะท้อนของแสงที่ผิวของกระจกเงาราบนั้น ถ้า ขนาดมุมตกกระทบเพิ่มขึ้น ขนาดของมุมสะท้อนก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเสมอ โดยขนาดของมุมตก กระทบจะเท่ากับขนาดของมุมสะท้อนเสมอ เพราะจากกิจกรรม ในการวาดเส้นรังสีตก กระทบให้ทำมุมกับเส้นแนวฉาก ซึ่งได้แก่มุมตกกระทบเท่ากับ 30 45 และ 60 องศา แล้ว เมื่อนำกล่องแสงมาวางทับเส้นรังสีตกกระทบให้แนวแสงตกกระทบตรงกับแนวเส้นที่ขีดไว้ โดยทำมุมตกกระทบเท่ากับ 30 45 และ 60 องศา แล้วลากเส้นตามแนวรังสีสะท้อน ก็จะได้ เส้นรังสีสะท้อนที่ทำมุมกับเส้นแนวฉาก ซึ่งได้มุมสะท้อนเท่ากับ 30 45 และ 60 องศา ตามลำดับ ขั้นที่ 4 กิจกรรมการโต้แย้ง (Argumentation Sesson) 1. จัดกิจกรรมการโต้แย้ง โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ครูกำหนดประเด็นในการโต้แย้งสำหรับวันนี้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและ มุมสะท้อน 1.2 ให้นักเรียนตัวแทนกลุ่ม ๆ ละ 2 คน ออกมานำเสนอ คำอธิบายที่สร้างขึ้นโดย กำหนดเวลาในการนำเสนอกลุ่มละ 3 นาที จากนั้นให้นักเรียนกลุ่มที่เหลือฟังเพื่อนนำเสนอ และโต้แย้งเพื่อ แสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยพร้อมให้เหตุผลประกอบ 2. ครูใช้คำถามเพื่อสรุปการโต้แย้ง ดังนี้ 2.1 ประเด็นการนำเสนอที่ทุกกลุ่มเห็นตรงกัน คืออะไร 2.2 ประเด็นการนำเสนอที่นักเรียนเห็นขัดแย้งกัน คืออะไร 2.3 ถ้าฉายรังสีตกกระทบให้ทำมุมกับเส้นแนวฉาก ซึ่งได้แก่มุม 30 45 และ 60 องศา แล้ว มุมที่รังสีสะท้อนทำมุมกับเส้นแนวฉากจะมีขนาดเท่าใดบ้าง (มุมที่รังสีสะท้อนทำมุมกับเส้นแนวฉากจะมีขนาด 30 45 และ 60 องศา ตามลำดับ) 2.4 มุมที่รังสีตกกระทบทำมุมกับเส้นแนวฉาก และมุมที่รังสีสะท้อนทำมุมกับเส้นแนวฉาก เรียกว่ามุมอะไร (มุมตกกระทบและมุมสะท้อน ตามลำดับ) 2.5 ถ้าขนาดมุมตกกระทบเพิ่มขึ้น ขนาดของมุมสะท้อนจะเป็นอย่างไร (ถ้าขนาดมุมตก กระทบเพิ่มขึ้น ขนาดของมุมสะท้อนก็จะเพิ่มขึ้นด้วย) 2.6 ครูอภิปรายเพิ่มเติมว่า ถ้าขนาดมุมตกกระทบเพิ่มขึ้น ขนาดของมุมสะท้อนก็จะเพิ่มขึ้น ด้วย การสะท้อนของแสงจะเกิดขึ้นบนพื้นผิวของวัตถุทุกชนิดทั้งที่เรียบ มันวาว หรือขรุขระ โดยการสะท้อน ของแสงจะเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงที่กล่าวว่า รังสีตกกระทบ เส้นแนวฉาก และรังสีสะท้อนอยู่ใน ระนาบเดียวกัน และมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ณ ตำแหน่งที่แสงตกกระทบ ขั้นที่ 5 เขียนรายงานผลการสำรวจตรวจสอบ (Write up Investigation Report)


82 1. ครูมอบหมายให้นักเรียนแต่ละคนเขียนรายงานผลการศึกษาเรื่อง การสะท้อนของแสง ลงใน กระดาษขนาด A4 โดยมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ดังนี้ 1) วัตถุประสงค์ของการศึกษา 2) วิธีการบันทึกผลการ ทดลอง 3) คำอธิบายเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน 2. จากนั้นครูรวบรวมรายงานของนักเรียนทุกคน เพื่อพิจารณาผลการตรวจสอบแล้วให้นักเรียนแก้ไข หรือปรับปรุงตามคำแนะนำของครู แล้วส่งรายงานอีกครั้งตามวันและเวลาที่ครูกำหนด 9. สื่อการเรียนรู้ 1. ใบกิจกรรมที่ 1 เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อนเป็นอย่างไร จำนวน 30 ฉบับ 2. กระดาษ A4 จำนวน 30 แผ่น 3. กระดาษฟลิปชาร์ต จำนวน 1 แผ่น/กลุ่ม 4. หม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต่ำ 1 ตัว/กลุ่ม 5. กล่องแสงพร้อมหลอดไฟฟ้า 1 กล่อง/กลุ่ม 6. แผ่นช่องแสง 1 ช่อง 1 แผ่น/กลุ่ม 7. สายไฟฟ้า 2 เส้น/กลุ่ม 8. กระจกเงาราบ 1 บาน/กลุ่ม 9. ไม้บรรทัดวัดมุม 1 อัน/กลุ่ม 10. ดินน้ำมัน 1 ก้อน/กลุ่ม


83 10. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล เครื่องมือวัดผล เกณฑ์การประเมินผล 1. นักเรียนสามารถอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตก กระทบและมุมสะท้อนของการ สะท้อนของแสงได้ สังเกตการมีส่วนร่วมใน การตอบคำถาม และ การอภิปรายภายใน กลุ่ม แบบประเมินการ โต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ ปฏิบัติ กับ ไม่ปฏิบัติ 2. นักเรียนสามารถออกแบบ ตารางบันทึกผลการทดลอง เรื่องการสะท้อนของแสงได้ วัดจากการออกแบบ ตารางบันทึกผลการ ทดลอง เรื่องการ สะท้อนของแสง แบบประเมินทักษะ การทดลอง ได้คะแนนรูบริคส์ ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป 3. นักเรียนสามารถสร้าง คำอธิบายเกี่ยวกับการสะท้อน ของแสงได้ วัดจากการเขียน คำอธิบายเชิง วิทยาศาสตร์ เรื่อง การ สะท้อนของแสง ใน กระดาษฟลิปชาร์ต แบบประเมินรายงาน ได้คะแนนรูบริคส์ ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป 4. นักเรียนสามารถเขียน รายงานผลการศึกษาเรื่องการ สะท้อนของแสงได้ วัดจากการเขียน รายงานผลการศึกษา เรื่องการสะท้อนของ แสง ในกระดาษ A4 แบบประเมินรายงาน ได้คะแนนรูบริคส์ ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป 5. นักเรียนสามารถปฏิบัติ กิจกรรมการทดลองการสะท้อน ของแสงได้อย่างถูกต้องและเป็น ลำดับขั้นตอน สังเกตพฤติกรรมการ ทดลอง แบบประเมินทักษะ การทดลอง ได้คะแนนรูบริคส์ ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป 6. นักเรียนสามารถนำเสนอและ โต้แย้งคำอธิบายเกี่ยวกับการ สะท้อนของแสงได้ สังเกตการมีส่วนร่วมใน การนำเสนอ และ อภิปรายภายในกลุ่ม และระหว่างกลุ่ม แบบประเมินการ โต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ ปฏิบัติ กับ ไม่ปฏิบัติ 7. นักเรียนมีความร่วมมือกันใน การปฏิบัติกิจกรรม สังเกตพฤติกรรม แบบประเมินการ โต้แย้งเชิงวิทยาศาสตร์ ปฏิบัติ กับ ไม่ปฏิบัติ


84 แบบบันทึกหลังการสอนของครู ชื่อครูผู้สอน : นายวีรภัทร ช่วงชาญ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว23101 วิทยาศาสตร์ วันที่............เดือน...........................พ.ศ............ ภาคเรียนที่........... ปีการศึกษา................. 1. ผลการจัดการเรียนรู้ที่มีต่อการพัฒนาความสามารถในการสร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ปัญหา / อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางการแก้ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ..............................................................ผู้สอน (............................................................) วันที่............เดือน...........................พ.ศ............


85 นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่ามุมตกกระทบและมุมสะท้อนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎ การสะท้อนของแสงและฝึกทักษะการออกแบบการทดลอง การควบคุมตัวแปร และการทดลองเพื่ออธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน จุดประสงค์ ออกแบบการทดลอง ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อนของ การสะท้อนของแสง วัสดุและอุปกรณ์ 1. หม้อแปลงไฟฟ้าโวลต์ต่ำ 1 ตัว 2. กล่องแสงพร้อมหลอดไฟฟ้า 1 กล่อง 3. แผ่นช่องแสง 1 ช่อง 1 แผ่น 4. สายไฟฟ้า 2 เส้น 5. กระจกเงาราบ 1 บาน 6. กระดาษ A4 1 แผ่น 7. ดินน้ำมัน 1 ก้อน 8. ไม้บรรทัดวัดมุม 1 อัน 9. อุปกรณ์อื่น ๆ ตามที่ได้ออกแบบไว้ เช่น แหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์ 1 อัน วิธีดำเนินกิจกรรม 1. ออกแบบการทดลอง โดยใช้ดินสอขีดเส้นบนกระดาษขาวเป็นแนวการวางกระจกเงาราบและขีด เส้นประให้ตั้งฉากกับแนวการวางกระจกที่จุด A ดังภาพ 2. ขีดเส้นตรงให้ทำมุมกับเส้นแนวฉาก 30 45 และ 60 องศา และให้นักเรียนกำหนดมุมเอง 2 มุม ตามลำดับ 3. วางกระจกเงาราบตามแนวที่ขีดเส้นไว้ในข้อ 1 โดยใช้ดินน้ำมันช่วยยึด 4. ต่อกล่องแสงและจัดกล่องแสงให้แนวแสงตกกระทบตรงกับแนวเส้นที่ขีดไว้ โดยทำมุมตกกระทบ เท่ากับ 60 องศา แล้วลากเส้นตามแนวรังสีสะท้อน แล้ววัดมุมสะท้อน 5. ทำข้อ 4 ซ้ำ โดยเปลี่ยนมุมตกกระทบเป็น 45 องศา 30 องศา และมุมที่กำหนดมุมเอง 2 มุม ตามลำดับ 6. บันทึกผลการทำกิจกรรม ใบกิจกรรมที่ 1 การสะท้อนของแสง ชั้น............กลุ่มที่............


86 ตอนที่ 1 ให้นักเรียนร่วมกันตอบคำถามและออกแบบตารางบันทึกผลการทดลอง คำถามการทดลอง : .............................................................................................................................................. สมมติฐาน : .......................................................................................................................................................... ตัวแปรต้น : .......................................................................................................................................................... ตัวแปรตาม : ........................................................................................................................................................ ตัวแปรควบคุม : ................................................................................................................................................... ตารางบันทึกผลการทดลอง คำถามท้ายกิจกรรม 1. ผลการทดลองเหมือนหรือแตกต่างจากสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. เมื่อมุมตกกระทบมีขนาดเปลี่ยนไป ขนาดของมุมสะท้อนจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ใบกิจกรรมที่ 1


87 ตอนที่ 2 ให้นักเรียนสร้างคำอธิบายเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน ของแสง โดยเขียนลงในกระดาษฟลิปชาร์ตที่ครูแจกให้กลุ่มละ 1 แผ่น โดยกำหนดโครงร่าง ของคำอธิบาย ดังนี้ ใบกิจกรรมที่ 1 ชื่อคำอธิบาย ชื่อสมาชิกกลุ่ม วัตถุประสงค์ของการศึกษาการศึกษา ข้อกล่าวอ้าง ให้นักเรียนเขียนข้อความสรุปเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างมุมตกกระทบและ มุมสะท้อนของแสง หลักฐาน ให้นักเรียนนำตารางบันทึกผลการ ทดลอง เรื่องการสะท้อนของแสง มาติด การให้เหตุผล ให้นักเรียนเขียนอธิบายจากที่นักเรียน สรุป เพื่อให้เหตุผลว่าความสัมพันธ์ ระหว่างมุมตกกระทบและมุมสะท้อน ของการสะท้อนของแสงมีความสัมพันธ์ เป็นอย่างไรกัน


ภาคผนวก ค - ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง - ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบเพื่อประเมินการสร้าง คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ - หลักฐานการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย จากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน


89 ผลการหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตารางที่ 13 แสดงผลค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัด การเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง โดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ด้านที่ทำการ ประเมิน รายการที่ทำการประเมิน ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ คนที่ รวม ค่า IOC สรุปผล 1 2 3 องค์ประกอบ ของแผนการ จัดการเรียนรู้ องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความ สอดคล้องกัน +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับมาตรฐาน การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ สาระการเรียนรู้และสาระสำคัญมีความชัดเจน +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ กรอบแนวคิดมีความสอดคล้องกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับกลวิธีการโต้แย้ง +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ วัสดุอุปกรณ์มีความสอดคล้องกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ สื่อและแหล่งเรียนรู้เหมาะสมกับกิจกรรมการ เรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ การวัดและประเมินผลสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ +1 0 +1 2 0.66 ใช้ได้ การจัด กิจกรรมการ เรียนรู้แบบ สืบเสาะ หาความรู้ ร่วมกับกลวิธี การโต้แย้ง มีความชัดเจน +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ เหมาะสมแก่การนำไปใช้ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ มีความสะดวกต่อการนำไปใช้ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ แต่ละขั้นของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความ สอดคล้องกัน +1 0 +1 2 0.66 ใช้ได้ สามารถส่งเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ตามแนวสมรรถนะ PISA +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้


90 ด้านที่ทำการ ประเมิน รายการที่ทำการประเมิน ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญ คนที่ รวม ค่า IOC สรุปผล 1 2 3 สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ มีความเหมาะสมกับกิจกรรมในแต่ละขั้นตอน +1 0 +1 2 0.66 ใช้ได้ มีความหลากหลาย น่าสนใจ ทันสมัย จัดเตรียม ง่าย +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ มีความเหมาะสมกับความสามารถและวัยของ ผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ การวัดผล และ ประเมินผล การวัดและประเมินผลเน้นการประเมินตาม สภาพจริง +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ กำหนดวิธีการวัดและประเมินผลได้เหมาะสม กับพฤติกรรมที่ต้องการวัด +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ แบบบันทึก หลัง การสอนของ ครู ประเด็นการบันทึกสอดคล้องกับจุดประสงค์ การวิจัย +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ประเด็นการบันทึกสามารถสรุปภาพรวบของ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 – 1.00 ถือว่า มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา สามารถนำไปใช้ได้


ตารางที่ 14 แสดงผลค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบเพื่อประเมินการส ตัวชี้วัด จุดประสงค์เชิง พฤติกรรม แบบทดสอบเพื่อประเมินการสร้างค ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการ ทดลองและ ดำเนินการ ทดลองด้วยวิธีที่ เหมาะสมในการ อธิบายกฎการ สะท้อนของแสง 1. นักเรียนสามารถ สร้างคำอธิบาย เกี่ยวกับกฎการ สะท้อนของแสงได้ 2. นักเรียนสามารถ อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างมุมตกกระทบ และมุมสะท้อนของ การสะท้อนของแสง ได้ 1. เมื่อฉายลำแสงเล็ก ๆ ให้ตกกระทบกระจ เงาราบ ดังภาพ จะเขียนเส้นแนวฉากและรังสี อย่างไร และมุมตกกระทบ และมุมสะท้อนข จากภาพ มุมตกกระทบกระจกเงาราบบานที ราบบานที่ 1 เท่ากับ 20 องศา จากนั้นรังสีส จะตกกระทบกระจกเงาราบบานที่ 2 พิจารณ มุมภายในของรูปสามเหลี่ยมรวมกันได้ 180 ดังนั้น มุมที่ 1 เท่ากับ 180 - 45 - 70 = 65 อ มุมที่ 2 ซึ่งเป็นมุมตกกระทบของกระจกเงาร ดังนั้น มุมตกกระทบกระจกบานที่ 2 เท่ากับ 25 องศา 2


91 ร้างคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ โดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง แสง ความคิดเห็น ผู้เชี่ยวชาญคน ที่ รวม ค่า IOC สรุปผล 1 2 3 จกเงาราบ โดยรังสีตกกระทบทำมุมกับกระจก สีสะท้อนเมื่อแสงกระทบกระจกแต่ละบานได้ ของกระจกแต่ละบานมีค่าเท่าใด ที่ 1 เท่ากับ 20 องศา มุมสะท้อนกระจกเงา สะท้อนจากกระจกเงาราบบานที่ 1 ณากระจกเงาราบบานที่ 2 มุมที่ 1 หาได้จาก องศา องศา ราบบานที่ 2 เท่ากับ 90 - 65 = 25 องศา บ 25 องศา มุมสะท้อนกระจกบานที่ 2 เท่ากับ +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 1


Click to View FlipBook Version