The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือประกอบการฝึกอบรม การพัฒนาทักษะการบูรณาการการสอนภาษาอังกฤษของครู โรงเรียนบ้านอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 63052511015, 2022-06-11 12:02:37

คู่มือประกอบการฝึกอบรม การพัฒนาทักษะการบูรณาการการสอนภาษาอังกฤษของครู โรงเรียนบ้านอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

คู่มือประกอบการฝึกอบรม การพัฒนาทักษะการบูรณาการการสอนภาษาอังกฤษของครู โรงเรียนบ้านอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

คู่มือการพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 27

ภาษาองั กฤษ

ทั ก ษ ะ ใ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ค รู ถื อ เ ป็ น ตั ว แ ป ร สํ า คั ญ ท่ี ส า ม า ร ถ ทํ า น า ย ห รื อ
คาดหมายคุณภาพผู้เรียนการปฏิรูปการศึกษาจึงให้ความสําคัญกับการปฏิรูปครู โดยถือว่า
ครูเป็นผู้ประกอบวิชาชีพช้ันสูง เน้นมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ และพัฒนาครูโดยเน้น
การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2564 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (สพฐ.)
จะยกให้เป็นปีแห่งการเดินหน้ายกระดับภาษาอังกฤษ ของครู บุคลากรทางการศึกษาและ
นักเรียนสังกัด สพฐ. โดยในส่วนครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น ทางสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (สพฐ.) เพื่อให้ครูเรียนรู้ที่จะพัฒนาทักษะทางด้าน
ภาษาอังกฤษเพื่อนํามาปรับใช้ในการเรียนการสอน อีกทั้งครูที่ไม่ได้สอนในรายวิชา
ภาษาอังกฤษก็จะต้องเพ่ิมพูนทักษะเพ่ือนํามาปรับใช้ในการเรียนรู้ในชีวิตประจําวัน และนํามาใช้
ในการเรียนการสอนสําหรับบางโรงเรียนที่มีครูไม่ตรงเอก การบูรณาการการสอน
ภาษาอังกฤษในทุกกลุ่มสาระถือเป็นอีกแนวทางท่ีช่วยพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้นํามา
ปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจําวัน

คู่มือประกอบการฝึกอบรม การพัฒนาทักษะการบูรณาการการสอนภาษาอังกฤษ
ของครู โรงเรียนบ้านอ่างทอง อาํ เภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีเล่มนี้ จัดทําขึ้นเพื่อท่ีครูจะ
ได้มีความรแู้ ละทักษะ สามารถนําไปใช้ในการพฒั นาทักษะการบรู ณาการการสอนภาษาอังกฤษ

ซึ่งทางผู้จัดทําคาดหวังว่า คู่มือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้แก่ครูผู้สอนไม่มากก็
นอ้ ย หากมีข้อผิดพลาดบกพร่องประการใด ทางผจู้ ัดทาํ ตอ้ งขออภยั ณ ทนี่ ้ีดว้ ย

นายเป็นต้น จินะกุล

การจัดการเรยี นรู้ 1

ความหมายของการจดั การเรียนรู้ 1

หลักการจัดการเรียนรู้ 2

แนวคิดของการจดั การเรียนรู้ 5

กระบวนการจดั การเรยี นรู้ 7

การออกแบบและการจัดการเรยี นรู้ 10

การจดั การเรียนรู้แบบบรู ณาการ 13

ความหมายของการจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการ 14

แนวคดิ และทฤษฎี 14

หลกั การจัดการเรียนร้แู บบบูรณาการ 16

ประเภทของการจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการ 20

ความสําคญั 23

ขน้ั ตอนการจัดการเรยี นร้แู บบบูรณาการ 27

การสร้างหน่วยการเรียนร้แู บบบูรณาการ 30

การเขียนแผนการจดั การเรยี นรู้แบบบรู ณาการ 35

การจัดการเรียนรแู้ บบบรู ณาการการสอนภาษาอังกฤษ 42

ความสําคัญ 42

หลกั การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการการสอนภาษาอังกฤษ 44

การบูรณาการการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ 47

บรรณานุกรม 50

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 1

ภาษาองั กฤษ

นกั วชิ าการหลายทา่ นได้ให้ความหมายของคําว่าการจดั การเรียนรู้ ดังนี้
กลุ ิสรา จิตรชญาวณิช (2562 : 2) ได้ให้ความหมายของการสอนและการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นการ
ถ่ายทอดเน้ือหาวิซาในลักษณะการบอกให้ทําให้จดให้จําและนําไปใช้เพื่อสอบ แต่ในวงการศึกษาการสอนมี
ความหมายมากกว่านั้น คือ เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ซึ่งมีจุดประสงค์ให้ผู้เรียน
เกิดการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมบรรลตุ ามจดุ ประสงคท์ ก่ี ําหนดไว้โดยอาศยั ทงั้ ศาสตร์และศิลปข์ องผูส้ อน การ
สอนเป็นงานหลักของครูหรือผู้สอน ซึ่งครูต้องมีการฝึกฝนด้านการสอนอยู่เสมอเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
สูงสุดในการทํางาน ท้ังน้ี การท่ีผู้สอนจะสามารถปฏิบัติงานการสอนได้ดีขึ้นอยู่กับความสามารถในการ
ผสมผสานทางด้านศาสตร์การสอนและศิลปะในการสอนเข้าด้วยกัน ต้ังแต่สังคมไทยมีการปฏิรูปการศึกษา
อย่างเป็นระบบและเร่ิมมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เพื่อใช้เป็นแนวทางใน
การจัดการศึกษาในสถานศึกษา ทําให้ศาสตร์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง
ความหมายของคาํ ศพั ท์หรอื มโนทัศนไ์ ปจากเดมิ โดยมุ่งเน้นในลักษณะจัดการศึกษาให้ความสําคัญกับผู้เรียน
เปน็ สําคญั และสนองตอบเจตนารมณ์ของพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติดงั กลา่ ว เชน่ มคี วามนยิ มเรยี ก
คําว่าการจัดการเรียนการสอน" ซ่ึงความหมายเดิมของคําดังกล่าวดูเหมือนจะให้ความสําคัญหรือครูท่ีมี
บทบาทมากในการจัดการเรียนการสอน แต่ปัจจุบันได้เปล่ียนแปลงนิยมใช้คําว่า"การจัดการเรียนรู้" แทนคํา
ดังกล่าว เพ่ือสะท้อนให้เห็นความสําคัญของการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทมากท่ีสุด เป็นผู้
ได้รับประโยชนส์ ูงสุดจากการเรียนรู้ สําหรับความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยท่ัวไปท่ีเข้าใจง่ายหมายถึง
กระบวนการต่าง "ๆ ในการดําเนินงานของผู้สอนต้ังแต่การวางแผนการจัดการเรียนรู้จนส้ินสุดการ
ประเมินผลการเรยี นรู้ เพ่อื ให้ผูเ้ รียนมคี วามรู้ ความสามารถมีคุณธรรมจริยธรรมและเกิดทักษะหรือสมรรถะ
ตา่ ง ๆ ตามจดุ ประสงค์ท่ีกําหนดไว้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกับ ศศิธร เวียงวะลัย (2556 : 2) ได้กล่าวไว้ว่าการจัดการ
เรียนรู้เป็นตัวจักรในการสอนให้นักเรียนมีความรู้ ความสามารถ และเกิดทักษะชีวิตตามจุดประสงค์ของ
การศึกษา
Hough และ Duncan (1970 : 144) การจัดการเรียนรู้ หมายถึง กิจกรรมของบุคคล ซึ่งมีหลักและ
เหตุผล เป็นกิจกรรมทบ่ี คุ คลได้ใชค้ วามรู้ของตนเองอย่างสร้างสรรค์ เพือ่ สนบั สนุนให้ผอู้ ่นื เกดิ การเรียนรแู้ ละ
ความผาสุก ดังนน้ั การจดั การเรียนรจู้ ึงเป็นกิจกรรมในแงม่ มุ ตา่ งๆ 4 ดา้ น คือ

1. ดา้ นหลกั สตู ร (Curriculum) หมายถึง การศกึ ษาจุดมงุ่ หมายของการศึกษาความเข้าใจใน
จุดประสงค์รายวิชาและการต้ังจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ท่ีชัดเจน ตลอดจนการเลือกเน้ือหาได้เหมาะสม
สอดคลอ้ งกบั ทอ้ งถน่ิ

2. ด้านการจัดการเรียนรู้ (Instruction) หมายถึง การเลือกวิธีสอนและเทคนิคการจัดการ
เรยี นรู้ทีเ่ หมาะสม เพ่ือช่วยให้ผเู้ รียนบรรลถุ ึงจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ที่วางไว้

3. ด้านการวัดผล (Measuring) หมายถึง การเลือกวิธีการวัดผลที่เหมาะสมและสามารถ
วิเคราะห์ผลได้

4. ด้านการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ (Evaluating) หมายถึง ความสามารถในการ
ประเมินผลของการจดั การเรยี นร้ทู งั้ หมดได้

Mayer (2003 : 14) การจดั การเรยี นรู้ หมายถึง กจิ กรรมการสร้างสรรคเ์ ปลยี่ นแปลงความรู้และ

คมู่ อื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 2

ภาษาองั กฤษ

พฤติกรรมการแสดงออกของนักเรียนผ่านการจัดสภาพแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับเปล่ียนในตัว
ผเู้ รียนมีองค์ประกอบสาํ คญั ได้แก่ ภารกิจทีค่ รเู ป็นผู้ลงมือปฏิบตั แิ ละเป็นกจิ กรรมทมี่ ีเป้าหมายส่งเสริมให้เกิด
การเรียนในตวั ผเู้ รยี น

วิภาวรรณ ฉายดิลก (2562 : 13) สรุปไว้ว่า การจัดการเรียนรู้ หมายถึง การเสริมส่งหรือสร้าง
ประสานขน้ั ตอนวธิ ีการจัดใหเ้ กิดการเรียนรู้ของบคุ คลจากการจัดกิจกรรมการเรยี นรแู้ ละประสบการณ์ต่างๆ
ตลอดจนการสร้างปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษาชุมชนและสังคมเพ่ือนําผู้เรียนไปสู่
เป้าหมายหรอื จดุ ประสงคก์ ารเรียนการสอนที่กําหนด
วีระชัย ศรีวงษ์รัตน์ (2559 : 11) สรุปไว้ว่าการจัดการเรียนรู้หมายถึง กระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
ผู้สอนกับผู้เรียนเพ่ือที่จะทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของผู้สอนโดยผ่านกิจกรรม 4 ด้าน
ได้แก่ ด้านหลกั สตู ร ด้านการจัดการเรยี นรู้ ด้านการวดั ผล และด้านการประเมินผลการจดั การเรียนรู้

จากการศึกษาความหมายการจัดการเรียนรู้ จากนักวิชาการต่างๆ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้
หมายถึง แนวคิดและวิธีการของครูในการจัดองค์ประกอบของการวางแผนการเรียนรู้อย่างมีระบบเพื่อให้
ผู้เรยี นบรรลตุ ามจุดหมายทตี่ ัง้ ไว้

นักการศึกษาและนกั วิชาการหลายท่านได้ใหห้ ลกั การจดั การเรยี นรู้ ไวด้ งั นี้
ทศิ นา แขมณี (2561 : 67-72) กลา่ ววา่ หลักการจดั การเรียนรูม้ ีดงั ตอ่ ไปน้ี

1. กระบวนการดันพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีดีมีความหมาย
สาํ หรับผ้เู รยี น

2. การวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสมเป็นส่ิงจําเป็นที่ต้องทํา
กอ่ นการสอน

3. ในการเรียนการสอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระให้มากเพ่ือช่วยส่งเสริม
ความคิดสรา้ งสรรคข์ องผ้เู รยี น

4. การสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดข้ึนกับผู้เรียน เป็นส่ิงจําเป็นในการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้แกผ่ ้เู รยี น

5. การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้คนั พบการเรยี นรดู้ ้วยตนเองสามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิด
การเรียนรไู้ ด้ดี

6. การเข้าใจถึงความต้องการพ้ืนฐานของมนุษย์ สามารถช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของ
บุคคลได้ เน่อื งจากพฤติกรรมเป็นการแสดงออกของความตอ้ งการของบุคคล

7. การทจี่ ะช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรไู้ ด้ดี จําเปน็ ต้องตอบสนองความตอ้ งการพนื้ ฐานที่
เขาต้องการเสียก่อน

8. ในกระบวนการเรียนการสอน หากครูสามารถหาได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความต้องการ
อยู่ในระดับใดขั้นใด ครูสามารถใช้ความต้องการพ้ืนฐานของผู้เรียนน้ันเป็นแรงจูงใจ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรไู้ ด้

9. การช่วยให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตนอย่างพอเพียง
การใหอ้ สิ รภาพและเสรีภาพแกผ่ ู้เรียนในการเรียนรู้ การจัดบรรยากาศท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้จะช่วยส่งเสริมให้
ผูเ้ รยี นเกดิ ประสบการณใ์ นการรูจ้ กั ตนเองตรงตามสภาพความเปน็ จริง

คู่มือการพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 3

ภาษาองั กฤษ

ณิรดา เวชญาลักษณ์ (2561 : 39) ได้ให้หลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญว่า ผู้สอนควรให้
ผ้เู รียนมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมหรอื กระบวนการเรียนรูอ้ ย่างตื่นตัว ทั้งทางกาย สติปัญญา ทางอารมณ์ และ
สังคมโดยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนนั้นต้องตื่นตัวในกระบวนการเรียนรู้รวมทั้งเป็น
กระบวนการเรียนที่มีชีวิตชีวา ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ผู้สอนควรใช้
หลักการทางจิตวิทยา ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถค้นพบองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยสิ่งท่ีเรียนรู้ต้องมี
ความหมายและสามารถนาํ สง่ิ ทีเ่ รยี นรไู้ ปใช้ในชวี ติ ประจําวนั ได้

ฆนทั ธาตุทอง (2559 : 86-87) ได้กล่าวถึงหลักการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า คําว่า การจัดการ เป็นคํา
รวมท่คี รอบคลมุ การดําเนินการบางส่งิ บางอย่างโดยมเี ป้หมายที่มุ่งบรรสุอย่างชัดเจน มีการกําหนดรูปแบบ
กระบวนการ มีการจดั องคก์ าร มีการมอบหมายผรู้ บั ผิดชอบขัดเจน มีการจัดสรงบประมาณและทรัพยากร
อ่ืนๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ ผู้ดําเนินการ เทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการดําเนินการให้เกิดผลตามเป้าหมายที่
กําหนด กระบวนการทั้งหมดน้ีคือการจัดการ ซ่ึงต้องกระทําอย่างเป็นระบบ มีแผน มีเป้าหมาย มี
ผ้รู ับผดิ ชอบ และมเี คร่ืองมอื กลไกทนี่ าํ ไปสคู่ วามสาํ เรจ็ ได้ ทง้ั น้ี การจัดการศึกษากค็ อื กระบวนการดาํ เนนิ การ
เพ่อื ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเปา้ หมาของการจดั การศึกษาในกระบวนการจัดการศึกษาน้ี มีบุคคลหลาย
คนและหลายหน่วยงานเขา้ มสี ่วนร่วม ไมว่ ่าจะเป็นครอบครวั พรรคพวกเพ่ือนฝูงญาติมิตร ชุมชน ประชาคม
เอกชนสอื่ มวลชน วัด โรงเรียน และทีส่ ําคัญมากคือรฐั บาลและหน่วยงานของรฐั ซ่ึงรวมถึงองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถ่ินด้วยสังคมท่ีมีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท่ีแตกต่างกัน มีการประกอบ
อาชีพหลากหลาย เน้ือหาของการศึกษายิ่งต้องมคี วามหลากหลาย แตข่ ณะเดียวกันการจดั การศึกษาก็ต้อง
มุ่งธํารงรักษาเอกภาพร่วมกันของสังคมไว้ด้วย สาระของการศึกษาจึงต้องครอบคลุมทั้งเร่ืองวิถีการ
ดํารงชีวิต การประพฤติปฏิบัติตน ความสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ประสบการณ์และความเป็นไปของสังคมในอดีต
ปัจจุบัน และท่ีจะไปสู่อนาคต รวมท้ังเร่ืองความรู้ ความเข้าใจ และเทคนิควิธีการประกอบอาชีพ การจัดการ
ศึกษาอย่างเป็นทางการหรือในระบบ ส่วนใหญ่จัดขึ้นในโรงเรียนซ่ึงเป็นหน่วยงานเฉพาะดัานที่ตั้งขึ้นมาทํา
หน้าทีป่ ลูกฝงั ทักษะ ความรู้ และค่นิยมแก่ผู้เรยี นแต่โรงเรยี นหรือสถานศึกษากไ็ มใ่ ช่เป็นชอ่ งทางเดียว ในโลกท่ี
พัฒนาการดา้ นสอ่ื และเทคโนโลยเี ป็นไปอยา่ งรวดเร็ว การจัดการศึกษาสามารถทําได้อย่างหลากหลาย เพ่ือ
สอดรับกับความตอ้ งการของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะแตล่ ะกลมุ่ เชน่ การศึกษานอกโรงเรียน การจัดการศึกษา
ในครวั เรอื นการจดั การศกึ ษาโดยชมุ ชน การศกึ ษาทางไกลผา่ นสอื่ ประเภทตา่ งๆ เป็นตน้ การจดั การศกึ ษาใน
ภาพรวมเป็นเรื่องท่ีสังคมและผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษาทุกระดับต้องร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดขึ้นได้
บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการจัดการ ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล "หลักการ
(Principles) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ ความหมาย "หลักการ" หมายถึง สาระสําคัญท่ี
ยดึ ถือเป็นแนวปฏิบัตดิ ังนนั้ หลกั การของรูปแบบการเรยี นการสอน หมายถงึ ข้อกาํ หนด ขอ้ คดิ หลกั แนวทาง
ที่เป็นสาระสําคัญสําหรับยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อแสดงถึงการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้
ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสําคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามท่ีกําหนดไว้ใน
หลกั สตู ร โดยยึดหลักวา่ ผ้เู รียนมคี วามสําคัญท่ีสุด เชือ่ ว่าทกุ คนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
ยึดประโยชน์ทีเ่ กดิ กับผ้เู รียน กระบวนการจัดการเรียนร้ตู อ้ งสง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี น สามารถพัฒนาตามธรรมชาติ
และเต็มตามศักยภาพ คํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองเน้นให้ความสําคัญทั้ง
ความรู้ และคุณธรรม

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 4

ภาษาองั กฤษ

Rogers (1969 : 20) หลักการจัดการเรียนรู้คือ การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้อบอุ่น
ปลอดภัย ไม่น่าหวาดกลัว น่าไว้วางใจ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพและ
แรงจูงใจท่ีจะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว ครูจึงควรสอนแบบชี้แนะ (Non-Directive) โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้นําทางใน
การเรยี นร้ขู องตน (Self-Directive) และคอยชว่ ยเหลือผเู้ รยี นให้เรียนอยา่ งสะดวกจนบรรลุผลในการจัดการ
เรียนการสอนควรเน้นการเรียนรู้กระบวนการ (Process Learning) เป็นสําคัญเนื่องจากกระบวนการเรียนรู้
เป็นเคร่ืองมอื สาํ คญั ท่ีบคุ คลใช้ในการดํารงชวี ิตและแสวงหาความร้ตู ่อไป

ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2552 : 94) แนวคิดทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ ได้สรุปหลักการสําคัญของการ
เรยี นรู้โดยแหล่งข้อมูลหลกั ไว้ดังนี้

1. เนน้ กระบวนการคดิ ในเนอื้ หาการเรยี นรู้
2. เนน้ แรงจูงใจภายใน
3. การเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยให้โอกาสการเรียนหลากหลายระดับและหลากหลายรูปแบบ
การเรยี นรู้
4. ผสู้ อนเปน็ ผอู้ ํานวยความสะดวกหรอื ผ้แู นะนาํ มากกวา่ สอนบรรยาย
5. ใชเ้ ทคโนโลยีสนบั สนนุ การเรยี นร้ทู ี่กระตอื รอื รน้
6. เนื้อหาควรสมั พันธก์ ับความรพู้ ้นื ฐานของผู้เรียน มีความหมายและเหมาะสมกับผเู้ รยี น
7. ส่งเสริมการใชแ้ หล่งขอ้ มลู ท่ีหลากหลายในการเรยี นรู้
8. ส่งเสรมิ ความรว่ มมอื กนั ในการวางแผนการสอนของผสู้ อนและผมู้ สี ว่ นเกี่ยวขอ้ ง
9. ส่งเสรมิ การใช้เวลาและสถานทเี่ รยี นทย่ี ืดหยุน่
10. สง่ เสริมการพฒั นายุทธวธิ ีและทกั ษะทางสารสนเทศ
มหาวิทยาลยั ราชภฏั ไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (2553 : 58) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้วา่ มหี ลกั การท่ีควรคาํ นงึ ถงึ ดงั นี้
1. จดั กจิ กรรมให้สอดคลอ้ งกบั เจตนารมณ์ของหลกั สูตร
2. จดั กิจกรรมให้สอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารจดั การเรยี นรู้
3. จดั กิจกรรมใหเ้ หมาะสมกบั วัย ความสามารถและความสนใจของผู้เรียน
4. จดั กจิ กรรมให้สอดคล้องกับลกั ษณะเนื้อหาวิชา
5. จัดกจิ กรรมใหม้ ีลาํ ดบั ข้ันตอน
6. จัดกจิ กรรมให้น่าสนใจ ใชส้ ือ่ การจดั การเรียนร้ทู ห่ี ลากหลายและเหมาะสม
7. จัดกิจกรรมโดยใหผ้ ู้เรียนเปน็ ผ้ทู ํากิจกรรม
8. จดั กจิ กรรมทสี่ ่งเสรมิ กระบวนการคิด
9. จดั กิจกรรมโดยใช้เทคนคิ วธิ กี ารจัดการเรียนร้ทู ี่หลากหลาย
10. จัดกจิ กรรมโดยเน้นการเรยี นอยา่ งมีความสขุ
11. จดั กจิ กรรมแลว้ ตอ้ งสามารถประเมนิ ผลได้

วีระชัย ศรีวงษ์รัตน์ (2559 : 14) หลักการจัดการเรียนรู้เป็นความรู้พื้นฐานที่สําคัญสําหรับผู้ท่ีจะ
เปน็ ผสู้ อนแมว้ า่ ผู้สอนแตล่ ะคนจะมเี ทคนิคการจัดการเรียนรู้เฉพาะของตน แต่ก็จําเป็นจะยึดหลักการพ้ืนฐาน
เดียวกั้นในการจัดการเรียนรู้อันได้แก่ หลักการเตรียมความพร้อมพื้นฐาน ได้แก่ การเตรียมตัวผู้สอนด้าน
ความรู้ ด้านทกั ษะการจัดการเรียนรูแ้ ละด้านการแก้ปญั หาการจดั การเรียนรู้หลกั การวางแผนและเตรียมการ
จัดการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ การเตรยี มเขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้ การผลิตสอื่ เตรยี มบททดสอบและซอ้ มสอน

คมู่ ือการพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 5

ภาษาองั กฤษ

หลักการใช้จิตวิทยาการเรียนรู้ เช่น หลักความแตกต่างระหว่างบุคคลหลักการเราความสนใจ หลักการ
เสรมิ แรง และหลักการประเมนิ ผลและรายงานผล ซ่ึงเก่ียวกับการกําหนดจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ การ
สรา้ งและการใช้เครอ่ื งมือ การประเมิน การตคี วามหมายและการรายงานผลการประเมิน

จากการศึกษาหลักการการจัดการเรียนรู้ จากนักวิชาการต่างๆ สรุปได้ว่า หลักการการจัดการ
เรียนรู้ หมายถึง หลักการการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักการการจัดการเรียนรู้
อย่างถูกต้องตรงประเด็น จะต้องดําเนินการในลักษณะที่เป็นกระบวนการทํางานที่มีระเบียบแบบแผน และ
ดาํ เนินการอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เพอื่ ใหผ้ ้เู รียนเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ และมีทักษะในการเรียนที่ดีสูงสุดคือคุณภาพ
ของนกั เรียน

นักการศึกษา และนักวิชาการหลายท่านได้แนวคิดทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ต่าง ๆ ซ่ึงมีรูปแบบ
แนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่คล้ายคลึงและแตกต่างกันบ้าง จะสามารถทําให้การพัฒนานั้นสําเร็จและบรรลุ
เป้าหมายท่ีตงั้ ไว้ ดังนี้

Maslow (1970 : 170) แนวคดิ ทฤษฎกี ารจัดการเรียนรู้ เป็นทฤษฎเี รยี นรูซ้ งึ่ มีความเชื่อว่าความรู้ที่
ได้มาเป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ด้วยตัวของมันเองอย่างต่อเนื่อง หลักการสําคัญ คือ ทฤษฎี
ลาํ ดับขั้นความตอ้ งการ (Hierarchy of Needs) เป็นนกั จิตวิทยามนุษยน์ ยิ มไดเ้ สนอว่ามนุษยม์ ีความตอ้ งการ
5 ข้ัน ซึ่งจะเกิดตามลําดับขั้นบุคคลจะต้องได้รับการตอบสนองในข้ันต่ําก่อนจึงจะเกิดความต้องการในขั้น
ตอ่ ไป ความตอ้ งการ ขน้ั พ้ืนฐานของมนุษยต์ ามแนวความคดิ ของ
Maslow มี 5 ข้ัน ดังน้ี

ขั้นที่ 1 ความตอ้ งการด้านสรรี ะ (Physiological Needs)
ขนั้ ที่ 2 ความตอ้ งการดา้ นความมัน่ คงปลอดภัย (Safety Needs)
ขน้ั ที่ 3 ความต้องการดา้ นความรักและความเปน็ เจ้าของ (Needs of Love, Affection and
Belongingness)
ขนั้ ท่ี 4 ความตอ้ งการด้านศักดิ์ศรีและความภาคภมู ใิ จในตน (Self Esteem)
ข้ันท่ี 5 ความต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างสมบูรณ์เต็มท่ี (Need for Self
Actualization)
มาสโลว์ เหน็ วา่ เปา้ หมายของการเรยี นร้คู อื การพัฒนาศักยภาพของตนเองเมื่อใดที่บคุ คลสามารถ
หลุดพันจากความกลัวท่ีอดอยากหรือไม่ท่ีพักอาศัย ไม่มีความม่ันคงปลอดภัยไม่เป็นท่ีรักหรือไม่เป็นที่
ยอมรับยกย่องจากผู้อื่น เม่ือน้ันบุคคลจะเกิดความต้องการก้าวหน้าพัฒนาศักยภาพของตนและพยายาม
แสวงหาความรูเ้ พราะอยากรู้และอยากเขา้ ใจในศาสตร์ที่ตนสนใจ
ขั้นท่ี 1 ความต้องการดา้ นสรรี ะ
ข้ันที่ 2 ความต้องการด้านความม่ันคงปลอดภยั
ขน้ั ท่ี 3 ความต้องการดา้ นความรักและความเปน็ เจา้ ของ
ขัน้ ท่ี 4 ความต้องการดา้ นศักดิศ์ รแี ละความภาคภมู ใิ จตน
ข้นั ท่ี 5 ความต้องการพฒั นาศกั ยภาพของตนเอง

ค่มู อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 6

ภาษาองั กฤษ

Woolfolk (2010 : 93) แนวคิดทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ การสร้างคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem)
เป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ในการลงความเห็นด้านคุณค่าของตน (Self-Worth) รวมทั้งความรู้สึก
เช่ือมน่ั และความภูมใิ จในตนเอง ท่ีเปน็ การลงความเห็นในด้านบวก ความรสู้ ึกภมู ใิ จในตนเองจะปรากฏกต็ อ่ เมอื่
บคุ คลดงั กล่าวประสบผลสาํ เร็จทางวิชาการ ซ่งึ ความสนใจ ความรู้สกึ พงึ พอใจความรู้สึกห่วงใย การสะท้อน
ความคิดเห็นหรือให้ข้อมูลป้อนกลับ และการประเมินผลผู้เรียนจะนําไปสู่การตระหนักในคุณค่าของตนเอง
นอกจากน้ียงั พบวา่ ผูเ้ รียนทปี่ ระสบความสาํ เร็จในการปฏิบตั โิ ดยไมม่ กี ารช่วยเหลอื จากผอู้ ื่นหรอื ได้รับมาโดย
การใช้ความพยายามก็จะเป็นปัจจัยท่ีส่งผลให้บุคคลน้ันเกิดความรู้สึกตระหนักในคุณค่าของตน ในขณะที่
บุคคลใดรู้สึกตระหนักในคุณค่าของตนก็จะมีแรงจูงใจในการกระทําหรือการแสดงพฤติกรรมในทางบวก
เพ่มิ ขนึ้

ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2541 : 7-14 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2561 : 187-188) อธิบายว่า
หลกั สตู รทีก่ ระทรวงศึกษาธิการใชอ้ ยูใ่ นปัจจุบัน มโี ครงสร้างแบบแท่งหลักสูตร ซ่ึงฐานกับยอดจะไม่แตกต่าง
กันมากนักทา่ นได้เสนอแนวคิดการขดั โครงสรา้ งหลกั สตู รและมณฑลการเรียนรู้ ท่ีมีลักษณะเปิดกว้าง มีการ
เช่ือมต่อยึดโยงกัน มีบูรณาการ ไม่แบ่งแยกตัดตอนวิชาการจากการพัฒนาในปริมณฑลอ่ืน ๆ และให้
ทางเลือกที่กว้างมากข้ึน โครงสร้งของหลักสูตรท่ีใช้กรอบความคิดแบบมณฑลการเรียนรู้นี้ ประกอบด้วย
ทักษะ-สารัตถะ 8 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านสุขอนามัยและกีฬาด้านทักษะการคิด ด้านภาษา ศิลปะ คนตรี
และเทคโนโลยี ดา้ นทักษะการสื่อสารและสรรพสมั พันธ์ ด้านอปุ นิสัย บุคลิกภาพ และด้านศีลธรรม จริยธรรม
และวัฒนธรรม ซ่ึงโครงสร้างน้ีไม่แบ่งเป็นรายวิชาหรือกลุ่มวิชา แต่แบ่งตามระดับของความกว้าง -ลึก
กล่าวคือ ความรู้ที่เป็นทักษะ จะมีลักษณะ (1) แคบแต่ลุ่มลึก ได้แก่ทักษะกายาอังกฤษและคอมพิวเตอร์
(2)กว้างและลกึ ไดแ้ ก่ ทักษะการคิด ส่วนความรู้ที่เป็นสารัตถะ จะมีลักษณะ (1) กว้างมากแต่ไม่ลึก ได้แก่วิชา
พื้นฐาน (2) กว้างมาก ลึกมาก ได้แก่ วิชาบังคับเฉพาะด้าน (3) แคบแต่ลึก ได้แก่ วิชาเลือกเสรี และ (4) แคบ
และไม่ลึก ได้แก่ วิชาเลือกเสรีสําหรับผู้เรียนข้ามสาขาวิชา ชัยอนันต์ สมุทวณิช อธิบายว่า ปริมณฑลของ
มณฑลเปน็ ขอบวงทไี่ มต่ ายตวั และไมก่ ีดก้ันทกั ษะ หรือสารตั ถะ หรอื กิจกรรมในมณฑลอื่น ๆ โครงสร้างแบบนี้
จะเอือ้ อํานวยต่อการจัดแบง่ เวลาและการจดั ช้นั เรียน ไม่จําเป็นต้องมีตารางสอนที่ตายตัว และเปิดโอกาสให้
ผ้เู รยี นมที างเลอื กหลากหลาย

มณฑลแห่งการเรียนรู้รอบด้านอยา่ งมบี รู ณาการ (Mandala of Learning)

คูม่ อื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 7

ภาษาองั กฤษ

สรุปไดว้ า่ แนวคิดการพัฒนาการจัดการเรียนรู้มีหลายแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ โดยแนวคิดการจัดการ
เรียนรู้ ควรพิจารณาถึงแนวทางและวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน เพ่ือที่ผู้สอนจะได้จัดการเรียนรู้ให้
สอดคล้องกับความต้องการ ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน และสามารถบูรณาการการเรียนรู้
เพ่ือเพิ่มทกั ษะใหแ้ กผ่ ูเ้ รียน

กระบวนการจัดการเรียนรู้ ดว้ ยวธิ กี ารท่ีหลากหลายโดยเนน้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ได้มีนักการ
ศกึ ษา และนีกวชิ าการหลายท่านได้กลา่ วไว้ ดังน้ี

Tyler (1950) ได้เสนอองคป์ ระกอบของระบบการจัดการเรียนรู้ท่ีเรียกว่า ไทเลอร์ลูป (Tyler Loop)
ไว้ 3 สว่ น ดงั นี้

1. จุดมุ่งหมายการจัดการเรียนรู้ ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ต้องกําหนด
จุดมุง่ หมายการจัดการเรียนรู้ใหช้ ดั เจน

2. กิจกรมการจัดการเรยี นรู้ ในชั้นสอนจาํ เปน็ ต้องเลอื กจดั เน้อื หาและกจิ กรรมการจัดการ
เรยี นรูใ้ ห้สอดคล้องกับจดุ มงุ่ หมายทก่ี ําหนดไว้

3. การประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ต้องให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการจัดการเรียนรู้
และการจะพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพน้ัน จุดสําคัญอยู่ท่ีการนําข้อมูลเกี่ยวกับการวัดและ
ประเมินผลการเรียนไปใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยท่ีข้อมูลส่วนที่ 3 สามารถใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับไปยังส่วนที่ 2
และส่วนท่ี 1

องคป์ ระกอบของระบบการจดั การเรยี นรขู้ อง Tyler

Glasser (1977 : 24) ระบบการจัดการเรียนรู้ของกลาสเซอร์ มีความคลา้ ยคลงึ กบั ระบบุ ของไท
เลอร์มากแต่มอี งคป์ ระกอบมากกวา่ โดยทไี่ ดก้ าํ หนดองค์ประกอบไว้ 5 สว่ น ดังนี้

1. จดุ ประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ ในการจัดการเรยี นรู้ทุกครั้งจําเปน็ จะตอ้ งกําหนด
จดุ ประสงคใ์ หช้ ดั เจน เพอ่ื จะได้ชว่ ยใหส้ ามารถกาํ หนดองคป์ ระกอบอน่ื ๆ ทต่ี ามมาไดส้ ะดวก

2. การประเมนิ สถานะของผู้เรียนกอ่ นสอน เปน็ การตรวจสอบดวู า่ ผู้เรียนมคี วามรู้
ความสามารถเพยี งพอทจ่ี ะเรยี นสง่ิ ใหมท่ กี่ าํ ลงั จะสอนหรือไม่ ถา้ พบว่าผเู้ รยี นมีความรคู้ วามสามารถเพยี งพอ
กด็ าํ เนินการจดั การเรยี นร้ตู อ่ ไปได้ แตถ่ า้ หากพบวา่ ผู้เรยี นยังมพี นื้ ฐานไมเ่ พยี งพอกจ็ ําเปน็ จะตอ้ งใหค้ วามรู้
พ้ืนฐานแกผ่ ู้เรียนเสยี กอ่ น

3. การจัดกระบวนการจัดการเรยี นรู้ เปน็ ขน้ั ทผ่ี ้สู อนจะตอ้ งตัดสนิ ใจเลือกดําเนนิ กิจกรรม
การจัดการเรียนรู้ เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ความรู้ความเข้าใจ หรอื เกดิ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมไปสจู่ ดุ หมาย
ปลายทางทต่ี งั้ ไว้

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 8

ภาษาองั กฤษ

4. การประเมินผล เป็นข้ันท่ีดําเนินต่อจากกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ เพื่อจะได้ทราบว่า ผู้เรียน
บรรลุเป้าหมายท่ีกําหนดไว้หรือไมเ่ พียงใด

5. ข้อมลู ย้อนกลบั เปน็ การนําเอาผลทไี่ ด้จากการประเมนิ ไปประกอบพจิ ารณาแกไ้ ขการดาํ เนินงานใน
ส่วนที่ 1 2 และ 3 หากพบว่าส่วนไหนยงั มขี ้อบกพร่องก็จะตอ้ งทําการปรับปรงุ แกไ้ ขให้มคี วามเหมาะสมย่งิ ข้ึน

ระบบการจดั การเรยี นรขู้ อง Glasser
Glasser (1977 : 24) ระบบการจัดการเรียนรขู้ องกลาสเซอร์ มีความคลา้ ยคลงึ กบั ระบบุ ของไท
เลอร์มากแต่มอี งคป์ ระกอบมากกว่า โดยที่ได้กาํ หนดองคป์ ระกอบไว้ 5 ส่วน ดังนี้

1. จุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ ในการจดั การเรยี นรทู้ กุ คร้งั จําเปน็ จะตอ้ งกําหนด
จดุ ประสงค์ให้ชดั เจน เพือ่ จะไดช้ ว่ ยใหส้ ามารถกําหนดองคป์ ระกอบอน่ื ๆ ท่ตี ามมาได้สะดวก

2. การประเมินสถานะของผู้เรยี นก่อนสอน เป็นการตรวจสอบดวู า่ ผเู้ รยี นมคี วามรู้
ความสามารถเพยี งพอทจ่ี ะเรียนสง่ิ ใหมท่ ก่ี ําลงั จะสอนหรือไม่ ถ้าพบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถเพยี งพอ
ก็ดาํ เนินการจัดการเรียนรตู้ อ่ ไปได้ แตถ่ า้ หากพบว่าผู้เรยี นยงั มพี นื้ ฐานไมเ่ พยี งพอก็จําเปน็ จะตอ้ งให้ความรู้
พื้นฐานแกผ่ เู้ รียนเสยี กอ่ น

3. การจัดกระบวนการจดั การเรียนรู้ เป็นขนั้ ทผี่ สู้ อนจะตอ้ งตัดสนิ ใจเลอื กดาํ เนนิ กจิ กรรม
การจดั การเรียนรู้ เพื่อใหผ้ ู้เรียนเกิดความรูค้ วามเขา้ ใจ หรอื เกิดการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมไปสจู่ ุดหมาย
ปลายทางทต่ี ง้ั ไว้

ณริ ดา เวชญาลกั ษณ์ (2561 : 127) ได้กลา่ วถงึ กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้วา่ การจัดการ
เรยี นร้ใู นแตล่ ะสาระการสอน ผู้สอนควรออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสม และสอดคลอ้ งกบั เนอื้ หา และเปน็
กจิ กรรมทีก่ ระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนสนใจในบทเรียนได้อยา่ งดี สามารถแบง่ กลมุ่ ให้ผเู้ รยี นได้ร่วมกันวเิ คราะห์ ระดม
สมองเพอ่ื เปน็ การสรา้ งสมั พนั ธภาพทดี่ ใี นกลมุ่ ผ้เู รียนอกี ดว้ ยถอื เปน็ การจัดการเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ และเนน้ ผเู้ รียน
เปน็ สําคญั สามารถใช้ได้ทงั้ ก่อนเรยี นเพอื่ นาํ เข้าสูบ่ ทเรยี นระหวา่ งเรยี นเพอ่ื กระตุ้นความสนใจ และหลงั เรียน
เพ่อื สรปุ เนอื้ หา ผู้สอนจงึ ควรจัดกจิ กรรมการเรียนรูเ้ พอ่ื ทจี่ ะทาํ ใหก้ ารจัดการเรียนการสอนนส่ นใจย่ิงข้นึ
โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดพัฒนาการทางรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญา และสร้าง
บรรยากาศการเรยี นการสอนใหผ้ ู้เรียนไมร่ ูส้ กึ เบอื่ หนา่ ย เกดิ ทกั ษะกระบวนการคดิ วเิ คราะห์ ทาํ ให้ผูเ้ รียน
กล้าแสดงออกและมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรูน้ น้ั ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน จะมีขนั้ ตอนทแ่ี ตกตา่ ง
กันไปตามเทคนคิ วธิ สี อนทผี่ สู้ อนใช้ โดยทวั่ ไปแล้วไมว่ ่าจะใช้วธิ ีสอนแบบใดก็จะมขี นั้ ตอนหลกั เหมอื นกัน 3
ข้ันตอน ได้แก่

1. ข้ันนาํ เข้าสบู่ ทเรยี น
2. ข้นั ปฏิบัตกิ จิ กรรม (ขัน้ สอน)
3. ขั้นสรุปและวัดผล

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 9

ภาษาองั กฤษ

การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน แตล่ ะข้ันตอนมีหลักการจัด ดังนี้
1. ข้ันนําเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียน และเร้าความสนใจให้ผู้เรียน

อยากรู้ อยากเห็น อยากคิด อยากทํา เพ่ือเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่เข้าด้วยกันหลักการนําเข้าสู่
บทเรียนคอื 1) ต้องน่าสนใจ หมายถงึ นําให้น่าสนใจโดยใช้เทคนิควิธีการ 2)ให้ตรงเรื่อง หมายถึง นําให้ตรง
กบั เร่ืองที่สอน 3)ไม่เปลืองเวลา หมายถงึ ควรใชเ้ วลาไมม่ ากในการนาํ เข้าสบู่ ทเรียน สําหรับวิธกี ารทใ่ี ช้นาํ เขา้ สู่
บทเรียน สามารถใช้วิธีการต่างๆ ได้ ดังน้ี

1.1 รอ้ งเพลง เชน่ สอนเร่อื งประเพณกี ารลอยกระทง อาจนาด้วยการให้นักเรียน
ร้องเพลงลอยกระทง และอาจใหอ้ อกมาราวงด้วย

1.2 เลน่ เกม เชน่ เกมแขง่ ขนั สรา้ งคาจากตวั อักษรทใ่ี ห้
1.3 เล่านิทาน เช่น สอนเรื่องความโลภ ครูอาจเล่านิทานเรื่องสุนักกับเงาจาก
นิทานอสี ป
1.4 ยกสถานการณ์จริง เช่น สอนเรื่องการป้องกันและระวังอุบัติเหตุ ครูอาจ
ยกตัวอยา่ งอบุ ัตเิ หตุทเี่ กิดขน้ึ จรงิ ในโรงเรียนหรืออุบตั เิ หตทุ ่นี กั เรยี นเคยพบเหน็
1.5 สนทนาซักถาม เช่น สอนเร่ืองโรคติดต่อ ครูอาจซักถามนักเรียนที่เคยเป็น
ไข้หวดั เปน็ คางทมู เปน็ อสี ุกอใี ส ฯลฯ
1.6 ทายปริศนาคําทาย เช่น สอนเร่ืองการเกิดของฝน ครูอาจนาด้วยการทาย
ปรศิ นาคาํ ทายวา่ อะไรเอย่ มาจากสวรรค์ วง่ิ หนีไมท่ ัน พากนั เป็นหวดั หรือเขยี วชอ่มุ พุ่มไสว ไม่มใี บ มแี ต่เมด็
1.7 เล่าประสบการณ์ ให้นักเรียนออกมาเล่าประสบการณ์ เช่น สอนเร่ืองวัน
สาํ คัญทางศาสนา ครอู าจให้นกั เรียนทเี่ คยไปวดั ทาบญุ ตกั บาตรกบั ผปู้ กครองในวนั สาคญั ทางศาสนาออกมา
เล่าประสบการณใ์ หเ้ พื่อนฟงั
1.8 ให้แสดงท่าทาง เช่น สอนเรื่องการรักษาความสะอาดร่างกาย ครูอาจให้
นักเรียนออกมาแสดงทา่ ทางการอาบน้าํ การสระผม การแปรงฟัน เปน็ ตน้
2. ข้ันปฏิบัติกิจกรรม (ข้ันสอน) เป็นขั้นตอนที่ต่อจากข้ันนาเข้าบทเรียน ถือว่าเป็นข้ัน
สําคัญที่จะทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ กิจกรรมท่ีผู้เรียนจะปฏิบัติในขั้นน้ีมีหลาย
อยา่ ง เช่น การค้นควา้ การอภิปรายกลุ่ม การรายงาน การแสดงบทบาทสมมุติ การพูดแสดงความคิดเห็น
การสาธิต การเล่าเรอ่ื ง การสมั ภาษณ์ ฯลฯ ผู้สอนต้องคานึงถึงหลักการจัดกิจกกรม ดงั น้ี
2.1 เป็นกิจกรรมท่สี อดคล้องกับจดุ ประสงค์ที่กาหนดไว้
2.2 เป็นกิจกรรมทีส่ ง่ เสรมิ ความคิดแกป้ ัญหาและความคดิ สรา้ งสรรค์
2.3 เปน็ กิจกรรมที่สอดคลอ้ งกับวัย วฒุ ภิ าวะ และความพรอ้ มของผูเ้ รยี น
2.4 เปน็ กจิ กรรมที่สนองความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของผเู้ รียน
2.5 เป็นกิจกรรมทส่ี ง่ เสรมิ พฒั นาการของผเู้ รียนทั้งดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญา
2.6 เปน็ กิจกรรมท่เี หมาะสมกับเวลาและสภาพแวดลอ้ ม
2.7 เป็นกิจกรรมท่ผี ู้เรยี นไดล้ งมอื กระทําหรือปฏบิ ัตกิ ิจกรรมดว้ ยตนเอง
2.8 เปน็ กจิ กรรมทม่ี ีขนั้ ตอนเปน็ ไปตามลาดบั ความง่ายยาก รูปธรรมไปนามธรรม
และความเรียบง่ายไปสคู่ วามสลับซบั ซอ้ น
2.9 เป็นกิจกรรมที่ใชส้ ่อื การสอนไดส้ อดคล้องเหมาะสม

คู่มือการพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 10

ภาษาองั กฤษ

3. ขน้ั สรุปและวดั ผล เป็นขัน้ การสรปุ เน้อื หาทีเ่ รยี นผ่านมาแล้วทั้งหมด สรุปท้ังด้านความรู้ความคิด
เจตคติ และทักษะทีผ่ ู้เรียนไดร้ บั ตลอดจนการนาํ ไปใช้ในชีวิตประจาวันในการสรุปน้ีผู้สอนอาจให้ผู้เรียนเป็นผู้
สรุปหรือผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกันสรุปก็ได้ หลังจากน้ันผู้สอนควรได้วัดผลการเรียนรู้ว่าผู้เรียนบรรลุ
จุดประสงค์ท่ีกาํ หนดไว้หรือไม่ โดยอาจใชว้ ิธใี หต้ อบคาถาม ให้ทาํ แบบทดสอบให้ทาํ แบบฝกึ หัดหรอื ทารายงาน
ตามที่ผูส้ อนวางแผนไว้

จากการศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้ของนักการศึกษาและนักวิชาการต่างๆ สามารถสรุป
กระบวนการจดั การเรียนรู้ออกเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. กําหนดหัวข้อทจ่ี ะจีดการเรียนรแู้ ละเขียนจดุ ประสงค์การเรียนรู้
2. ศึกษาคณุ ลักษณะของผูเ้ รียน
3. ระบจุ ดุ มุ่งหมายของการสอน
4. กาํ หนดเน้ือหาวชิ าที่สนับสนุนวัตถปุ ระสงค์ในแตล่ ะข้อ
5. ทดสอบเพือ่ วัดความรคู้ วามสามารถกอ่ นทจ่ี ะทาํ การสอน
6. เลือกกจิ กรรมและแหลง่ วิชาการสําหรับการเรยี นรู้
7. ประเมินผลการเรยี นรูข้ องผู้เรยี น

การจดั การเรียนรเู้ ป็นหัวใจสาํ คญั ทจ่ี ะทาํ ให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรูต้ ามจุดประสงค์ ดงั น้นั ผสู้ อนควรมี
ความรูค้ วามเข้าใจในความหมาย กระบวนการของการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้และ
การสอน สภาพปัจจุบันและปัญหาเกี่ยวกับการรเรียนรู้ในประเทศไทย การวิเคราะห์ผู้เรียนและวิธีท่ีจะช่วยให้
ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ไดด้ ี การกาํ หนดจุดประสงค์ของการเรียนรู้ การจัดการเรียนรูที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
การจดั การเรยี นรู้ตามแนวพระราชดาํ ริ การบูรณาการเนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล
ตามสภาพจริงและเทคนคิ วทิ ยาการจัดการเรียนรู้ การจดั ทาํ แผนการเรียนรู้ระดับต่าง ๆ ท้ังน้ีโดยเน้นผู้เรียน
เป็นสําคญั เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นไดพ้ ัฒนาเต็มตามศกั ยภาพของแต่ละคน และสามารถนําสิ่งทไ่ี ดเ้ รียนรูไ้ ปใชใ้ นชวี ิตจรงิ
ได้ นกั การศกึ ษา และนกั วิชาการไดก้ ล่าวถงึ การออกแบบการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้

Dick, and Carey (1996 : 5) ให้ความหมาย การออกแบบการเรียนการสอน คือ กระบวนการ
วางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายการเรียนการสอนท่ีต้องการ โดยตอบ
คาํ ถามให้ได้วา่ จะสอนอะไรและสอนอย่างไรจึงจะบรรลเุ ป้าหมาย และจะทราบได้ อยา่ งไรวา่ บรรลเุ ปา้ หมายแล้ว

Seels, and Glasgow (1990 : 4) ให้ความหมาย การออกแบบการเรียน การสอน คือ
กระบวนการพัฒนาอย่างเปน็ ระบบท่ีนําเอาทฤษฎกี ารเรยี นรแู้ ละทฤษฎกี ารสอนมาทาํ ให้ การเรียนการสอนมี
คณุ ภาพ

Magliaro, and Shambaugh (1997 : 24) ให้ความหมายของ การออกแบบการเรียนการสอน คือ
กระบวนการเชิงระบบทใี่ ช้ในการวิเคราะหค์ วามตอ้ งการของผู้เรยี น เพื่อจัดหาส่ิงท่ีจะช่วยให้นักออกแบบการ
เรยี นการสอนสรา้ งสิง่ ท่เี ปน็ ไปได้เพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการ ของผเู้ รยี น

Smith, and Ragan (1999 : 2) ใหค้ วามหมาย การออกแบบการเรียนการสอน คือ กระบวนการที่
เป็นระบบในการนําหลักการเรียนรู้และหลักการสอนไปวางแผนสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ การเรียนการสอนและ
กิจกรรมการเรยี นการสอน

คู่มอื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 11

ภาษาองั กฤษ

Gagne, Wager, Golas, and Keller ( 2005 : 1) ให้ความหมาย ของการออกแบบการเรียนการ
สอน เปน็ การนาํ หลกั การเรียนรไู้ ปออกแบบเหตกุ ารณ์ ที่ประกอบด้วย กิจกรรมต่าง ๆ ที่กําหนดขึ้นอย่างมี
เป้าประสงค์ชัดเจน หรือที่เรียกว่า การเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามท่ี
คาดหวงั

ขอบฟ้า จันทร์เจริญ (2562 : 9 ) ได้กล่าวว่าการออกแบบเป็นการถ่ายทอดจากรูปแบบจาก
ความคิดออกมาเป็นผลงานที่ผู้อื่นสามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้ การออกแบบต้องใช้ศาสตร์แห่ง
ความคดิ และศิลป์ร่วมกนั เพือ่ สรา้ งสรรค์ส่ิงใหม่ หรือปรับปรุงพัฒนาสง่ิ เดิมให้ดีข้ึน การออกแบบการเรียน
การสอน (Instructional Design) จึงเป็นกระบวนการวางแผนการเรียนการสอนอย่างมีระบบ โดยมีการ
วิเคราะห์องค์ประกอบการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนการสอน สื่อกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ รวมถึงการ
ประเมินผล เพ่อื ให้ผ้สู อนสามารถถา่ ยทอดความรูส้ ู่ผู้เรียนผ้เู รยี นเกิดการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ การ
ออกแบบการเรยี นการสอนจะช่วยใหผ้ ู้สอนวางแผนการสอนอย่างมีระบบ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอน
บรรลุจุดมุ่งหมาย และประสบความสําเร็จผู้สอนต้องพิจารณาหลักการในการออกแบบการเรียนการสอน
คอื

1. การออกแบบและพฒั นาการเรียนการสอนน้ีเพื่อใคร ใครเป็นผู้เรียนหรือกลุ่มเป้าหมาย
ผู้ออกแบบควรมีความเขา้ ใจและรูจ้ ักลักษณะของกลุ่มผู้เรียนท่ีเป็นเป้าหมายในการเรยี นอีเลิรน์ นงิ

2. ต้องการให้ผู้เรียนเรียนอะไร มีความรู้ความเข้าใจ และ/หรือ มีความสามารถอะไร
ผสู้ อนจงึ ต้องกําหนดจดุ ม่งุ หมายของการเรียนการสอนให้ชดั เจน

3. ผเู้ รียนจะเรยี นรูเ้ นื้อหาวชิ านน้ั ๆ ไดด้ ที ี่สดุ อยา่ งไร ควรใช้วิธกี ารและกจิ กรรมการเรยี นรู้
อะไรทจ่ี ะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ และมีส่งิ ใดทต่ี ้องคํานงึ ถงึ บา้ ง

ชนาธิป พรกุล (2561 : 95-96) ได้กล่าวถึงการออกแบบการสอนว่าการออกแบบการสอน เป็น
งานคล้ายการออกแบบบ้านของสถาปนกิ หรอื การออกแบบเส้อื ผา้ ของดีไซเนอร์ จุดประสงค์เพื่อใหบ้ า้ นหรอื
เส้อื ผา้ เหมาะและเป็นทีพ่ อใจของเจา้ ของบ้านหรอื ผู้สวมใส่ งานสอนก็เช่นเดียวกันควรทําให้ผู้เรียนพอใจ และ
ได้ประโยชน์ ส่วนครูเป็นหน้าที่จะต้องทําอยู่แล้ว ถ้าฝึกวิทยายุทธ์บ่อย ๆ ก็จะชํานาญ สนุกในการออกแบบ
การสอน และมีความสุข การออกแบบการสอนน้ันเม่ือนําแผนไปสอนแล้วได้ผล ควรทํา 2 คร้ัง ครั้งแรก
ออกแบบในระดบั หนว่ ยการเรยี นรู้ และครง้ั ท่ี 2ออกแบบเป็นรายคร้ังหรอื ช่วั โมง

หน่วยการเรียนรู้ เป็นความรู้ท่ีครบวงจรในเรื่องหน่ึง การออกแบบการสอนเป็นการวาง
แนวทางจดั การเรยี นรู้เนอื้ หาพทุ ธพิ สิ ยั ทกั ษะพสิ ัย และจิตพสิ ยั โดยระบวุ ิธีสอน เทคนิค และรูปแบบการสอนท่ี
เลือกใช้ รวมถงึ การกําเนดิ สอื่ การเรยี นรู้ และวธิ วี ัดและประเมินผล

การสอนเป็นรายคร้ัง เป็นการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธีสอน เทคนิค
และรปู แบบทเี่ ลอื กไว้ในหนว่ ยการเรยี นรู้

ข้นั ตอนการออกแบบการสอนระดับหน่วยการเรียนรู้ มขี ั้นตอนดังนี้
1. วิเคราะห์เน้ือหา (สาระการเรียนรู้) โดยเขียนแผนภาพแบบแสดงมโนทัศน์ วิธีนี้ทําให้ครู

มองเหน็ วา่ เน้อื หาทจ่ี ะสอนครบถ้วนหรือไม่ ทง้ั ยังมองเหน็ ความสัมพนั ธ์ของหัวข้อย่อย (มโนทัศน์ย่อย) จึง
สามารถจัดลาํ ดบั เนือ้ หาใหม่ใหเ้ หมาะสมตามความต้องการของครู ครูจึงไมจ่ าํ เปน็ ตอ้ งสอนเนอ้ื หาตามลําดับ
ท่ีแบบเรียนจดั ทาํ มา

2. เม่ือจัดลําดับเน้ือหาเสร็จ จึงเลือกวิธีสอนท่ีเหมาะสมกับเน้ือหาแต่ละหัวข้อ และเขียน
เทคนิคการสอนท่ีใชร้ ว่ มกับวิธีสอนกาํ กับไว้

3. ครอู าจเลือกใชร้ ปู แบบการสอนทีส่ นใจหรือเคยใชไ้ ด้ผล (ถา้ ม)ี

คู่มอื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 12

ภาษาองั กฤษ

4. กาํ หนดสอ่ื ท่ีตอ้ งใช้รว่ มกบั เนือ้ หาแตล่ ะหัวข้อ
5. ระบุวธิ ีวดั ผล และเกณฑก์ ารประเมนิ ผล
6. ทาํ กําหนดการสอน
7. วางแนวทางจดั การเรยี นการสอน
ขั้นตอนการออกแบบการสอนรายครงั้ /ชั่วโมง มีขน้ั ตอนดังนี้
1. ระบเุ นื้อหา (สาระการเรียนรู้)
2. กาํ หนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3. เลือกกจิ กรรมการเรยี นการสอนทจี่ ะสอดคลอ้ งกบั ข้ันตอนของวธิ สี อน
4. สอดแทรกเทคนิคตามขน้ั ตอนการสอน
5. ถา้ ใชร้ ปู แบบการสอนใหจ้ ดั ตามแบบแผนของรูปแบบ
6. ระบุสื่อการเรยี นรู้ท่ตี ้องใช้
7. กําหนดกจิ กรรม การวัดผลใหส้ อดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
จากแนวคิดของนกั การศกึ ษาและนกั วชิ าการดังกล่าว สรุปได้ว่า การออกแบบการเรียนการสอนมี
ลักษณะที่สําคัญคือ เป็นกระบวนการท่ีเป็นระบบที่นํามาใช้ในการศึกษาความต้องการของผู้เรียนและปัญหา
การเรียน การสอนเพอ่ื แสวงหาแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาการเรยี นการสอน ซ่ึงอาจเป็นการปรับปรุงสิ่งท่ีมี
อยู่หรือ สร้างสิ่งใหม่โดยนําหลักการเรียนรู้และหลักการสอนมาใช้ในการดําเนินการ เป้าหมายของการ
ออกแบบ การเรียนการสอนคือ การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ทั้งน้ีการออกแบบการเรียนการสอนมี
ความเหมือนหรือ แตกต่างจากการวางแผนการเรียนการสอนอย่างไร หากย้อนไปดูท่ีลักษณะสําคัญของ
การออกแบบกจ็ ะพบคาํ ตอบวา่ การวางแผน การเรียนการสอนโดยทั่วไปอาจจะไม่มีการออกแบบการเรียน
การสอน แต่การออกแบบการเรียน การสอนต้องมีการวางแผนการเรียนการสอนเสมอ ผู้ออกแบบการ
เรียนการสอนต้องมีทัง้ ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ ผู้วิจัยได้นํามาสังเคราะห์เพื่อ
พิจารณาองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ พบว่า ผลการสังเคราะห์การจัดการเรียนรู้ ได้ 6
องค์ประกอบ ดังนี้ 1) การศึกษาคุณลักษณะผู้เรียน 2) การกําหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ 3) การ
กําหนดเน้ือหา 4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5) การประเมินผล 6) การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนกลับ โดย
ผู้วิจัยไดส้ รปุ องค์ประกอบและตัวชีว้ ดั เพื่อนาํ ใช้ในการพฒั นาทกั ษะการจดั การเรยี นรู้ของครู

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 13

ภาษาองั กฤษ

นกั การศึกษา และนักวชิ าการไดใ้ หค้ วามหมายของการจัดการเรยี นรูแ้ บบบรู ณาการไวด้ งั นี้
ทิศนา แขมมณี (2561 : 147) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการว่าหมายถึง
การนําเนอื้ หาสาระทีม่ คี วามเก่ยี วขอ้ งกันมาสมั พนั ธ์ใหเ้ ป็นเรอื่ งเดียวกัน และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียน
เกิดความรู้ความเข้าใจในลักษณะท่ีเป็นองค์รวม และสามารถนําความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจาํ วนั ได้
วชิ ยั วงษ์ใหญ่ และมารุต พฒั ผล (2562 : 3) ได้ใหค้ วามหมายของการบูรณาการว่าหมายถึง การ
ผสมผสานองค์ความรู้ต้ังแต่ 2 องค์ความรู้ขึ้นไปเข้าด้วยกันอย่างลงตัวและเป็นระบบ ช่วยทําให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้ Concept ในลักษณะท่ีเชื่อมโยงกันอย่างบูรณาการ ตอบสนองธรรมชาติ ความต้องการและ
ความสนใจของผู้เรยี น
กลัญญู เพชราภรณ์ (2563 : 3) ได้สรุปไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการหมายถึง
กระบวนการจัดประสบการณ์การเรยี นรทู้ ี่เช่ือมโยงศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ หรือเน้ือหาท่ีมีความสัมพันธ์กัน
เขา้ มาไวด้ ว้ ยกัน และจัดกิจกรรมการเรยี นร้ใู หผ้ ู้เรียนเกดิ ความรู้ความเขา้ ใจในลกั ษณะทเ่ี ปน็ องคร์ วม สามารถ
นําไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ ได้
ยุวธิดา คําปวน (2560 : 30) ได้กล่าวว่า การสอนแบบบูรณาการ หมายถึง กระบวนการการจัด
ประสบการณก์ ารเรียนรูใ้ หแ้ กผ่ ู้เรียนตามความสนใจ ความสามารถ และความตอ้ งการ โดยการเช่อื มโยงสาระ
การเรียนรู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของ
ผู้เรียนทุกดา้ น และสามารถนาํ ความร้แู ละประสบการณ์ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการแก้ปญั หาตา่ งๆ ในชวี ิตประจาํ วนั ได้
มนัสวี ตาชูชาติ. (2563 : 244) ได้ให้ความหมายของบูรณาการการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
(Integrated Learning Management) หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสนใจ
ความสามารถ โดยเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม สามารถนําความรู้ ทักษะและเจตคติไปสร้างงาน แก้ปัญหาและใช้ในชีวิตประจําวันได้ด้วยตนเอง
ท้ังน้ีการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการช่วยให้สามารถนําความรู้ ทักษะจากหลายๆ ศาสตร์มาแก้ปัญหาสิ่ง
ต่างๆ ท าให้เกดิ ความสมั พันธเ์ ชื่อมโยงความคดิ รวบยอด ของศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกันจนเกิดการถ่ายโอน
การเรียนรทู้ ่ที าํ ให้ผ้เู รียนมองเหน็ ประโยชน์ของส่ิงท่ีเรียนและนําไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง และเป็นการลด
ความซํา้ ซอ้ นของเนือ้ หารายวิชาต่างๆ จนตอบสนองต่อความสามารถในหลายๆ ด้านของผเู้ รยี น ทั้งในด้าน
ความรู้ ทกั ษะและเจตคติ
ชรนิ ทรท์ พิ ย์ บตั ิสงู เนนิ (2560 : 26-27) ได้สรปุ ความหมายของการจดั การเรียนรูแ้ บบบูรณาการไว้
ว่าคือการท่ีทําให้ผู้เรียนจะเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน และสามารถนําไปใช้ได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนมองเห็น
ความสมั พนั ธ์ของสงิ่ นน้ั กบั สิง่ อนื่ รอบตวั ทาใหเ้ กดิ การนาความรแู้ ละประสบการณท์ ไี่ ด้มาจดั ระบบระเบยี บใหม่
ให้เหมาะสมกับตนเป็นองค์รวมของความรู้ของตนเอง โดยหน้าที่ของครูผู้สอนก็คือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด
กระบวนการเชื่อมโยงความคิดขึ้น ด้วยการใช้วิธีการหลากหลาย ผู้วิจัยกล่าวได้ว่า วิธีสอนแบบบูรณาการ
คือการจัดการเรยี นการสอนให้ผเู้ รยี นได้เรียนรู้เน้ือหาต่างๆ และฝึกทักษะหลายๆ อย่าง มาเชื่อมโยงกัน จึง
ทาใหก้ ารเรียนรู้สอดคลอ้ งกับชวี ติ จรงิ และสรา้ งสมรรถนะตอ่ ผ้เู รียนมากยง่ิ ข้นึ

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 14

ภาษาองั กฤษ

ฆนัท ธาตุทอง (2559 : 318-319) ได้ให้ความหมายความหมายโดยทั่วไปและแบบกว้างของคําว่า
บูรณาการซึ่งจะหมายถึง การทําให้สมบูรณ์ หรือการทําให้หน่วยย่อยๆ หรือหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่กระจัด
กระจายกัน และมีความสัมพันธ์กัน มาร่วมกันทําหน้าที่ อย่างผสมกลมกลืน เป็นองค์รวมหนึ่งเดียว
ประสานกนั เพ่ือใหเ้ กดิ ความครบถ้วน สมบรู ณ์ในตนเอง ส่วนความหมายเฉพาะหรือแบบแคบ คําว่า "บูรณา
การ" หมายถึง การนําเอาศาสตร์สาขาวิชาต่างๆ หลากหลายศาสตร์ ท่ีมีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกันมา
ผสมผสานเขา้ ด้วยกัน เพื่อประโยชนใ์ นการจัดหลักสูตร และการจดั การเรยี นการสอน

สิราวรรณ จรัสรวีวัฒน์ (2560 : 21) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ว่า
เป็นการนําสาระการเรียนรู้หลายกลุ่มสาระการเรียนรู้มาเชื่อมโยงความรู้และทักษะที่สัมพันธ์กันเข้าด้วยกัน
เพอื่ ให้ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรโู้ ดยเนน้ การนาํ ความรูไ้ ปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมทั้งการพัฒนากระบวนการ
หรือผลผลติ ใหม่ ท่เี ป็นประโยชน์ตอ่ การดาํ เนินชีวติ และการทํางาน ในยคุ ประเทศไทย 4.0

ศุทธพิ ร อนิ ตา (2560 : 19-20) ได้ใหค้ วามหมายของการจดั การเรียนรแู้ บบบูรณาการ วา่ หมายถงึ
การจัดประสบการณ์ในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนตามความสนใจ ความสามารถ และความต้องการ โดยการ
เช่ือมโยงสาระการเรยี นรใู้ นศาสตรส์ าขาตา่ งๆ ทเี่ กี่ยวข้องสมั พนั ธก์ นั ท้ังนเี้ พือ่ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเปลี่ยนแปลง
ปรับปรุงพฤติกรรมของผู้เรียน ท้ังทางด้านสติปัญญา (Cognitive) ทักษะ (Skill) และจิตใจ (Affective)
สามารถนาํ ความร้แู ละทกั ษะทไี่ ด้ไปแกไ้ ขปญั หาด้วยตนเอง และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง
ในชีวิตประจาํ วนั

กานต์ นามไธสง (2563 : 21) สรุปไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาเป็นการเรียนรู้ท่ีเนั้นนักเรียน
เป็นสําคัญ เปน็ การเรียนรู้ทีเชื่อมโยงความรู้จากหลากหลายสาขาวิชา ที่เก่ียวข้องมาผสมผสานเข้าด้วยกัน
หรอื นาํ สง่ิ ทสี่ มั พนั ธก์ ันมาจดั ใหเ้ กดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งเปน็ องคร์ วม เกิดการเรียนรอู้ ยา่ งมคี วามหมาย สามารถ
นาํ ความรู้และประสบการณ์มาปรบั ใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ได้ จริงในชีวิตประจําวนั อยา่ งมคี ุณภาพ

จากการศกึ ษาความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการของนักการศึกษา และนักวิชาการ
สามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยการ
เช่ือมโยงเนื้อหาความรู้ที่เกี่ยวข้องจากศาสตร์ต่างๆ ของรายวิชาเดียวกันหรือรายวิชาต่างๆ มาใช้ในการ
จดั การเรยี นรู้เพ่ือให้ผเู้ รยี นสามารถนาํ ความคดิ รวบยอดของศาสตรต์ า่ งๆ มาใชใ้ นชีวติ จรงิ ได้

Gardner (1983 : 1-20) กล่าวว่า แนวคิดเกี่ยวกับความสามารถทางสติปัญญาด้านต่าง ๆ
เรียกว่า ทฤษฎีพหุปัญญา สรุปไว้ว่า คนทุกคนมีความสามารถทางสติปัญญาหลายค้านและแตกต่างกัน
สามารถบําสติปัญญาไปใช้ในการ สร้างสรรค์และแก้ปัญหาต่างๆสติปัญญาในแต่ละด้านเป็นอิสระซึ่งกันและ
กันและทุกคนสามารถ พัฒนาสติปัญญาเหล่าน้ีได้ในการจัดกิจกรรมการรียนการสอนในห้องเรียนผู้สอน
ควรจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสติปัญญาที่หลากหลายเหล่านี้ด้วยการใช้วิธีสอนหลายวิธีและหลายรูปแบบให้
นกั เรียนปฏบิ ตั ิได้สอดคลอ้ งกับความสามารถ
ทางสตปิ ญั ญาดา้ นต่าง ๆ ของตน

คู่มือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 15

ภาษาองั กฤษ

1. สติปัญญาด้านภาบา เป็นความสามารถในการใช้ทักษะทางภาษา การแสดงออกการ
เข้าใจถอ้ ยคาํ และศลิ ปะในการส่ือสารกจิ กรรมท่ชี ่วยสง่ เถริมสตปิ ญั ญาด้านนี้ ได้แก่ การเล่าเรื่อง การพูดใน
โอกาสตา่ ง การฟงั เขยี นบทความ หรือนิทาน การเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์

2. สตปิ ญั ญาดา้ นการใช้เหตผุ ลและคณิตศาสตร์ เป็นความสามารถใน การคิดหาเหตผุ ล มี
ความเข้าใจในความสัมพันธข์ องการกระทํา วัตถุ และความคิดมีความสามารถ ในการคํานวณการพิจารณา
ปัญหาและแก้ปัญหา คิดวคิ ราะห์ กิจกรรมทชี่ ่วยส่งเสริมคา้ นนไ้ี ด้แก่ การฝึกแก้ปัญหาการใช้เหตุผล เล่นเกม
ฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์

3. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ เป็นความสามารถด้านการมองเห็นส่ิงต่าง ๆ สร้างสิ่งท่ี
สร้างสรรค์หรือจินตนาการภายในใจ เข้าใจภาพหลายมิติ การออกแบบ การเดินเรือและ สถาปัตยกรรม
กิจกรรมท่ีช่วยส่งเสริมสติปัญญาด้านน้ี ได้แก่ การสร้างสรรค์ภาพ การสร้างรูปแบบ การใช้สัญลักษณ์
กราฟกิ การใชแ้ ผนภมู ิ การทําแผนผังความคดิ แผนที่การสร้างรปู บลอ็ ก

4. สติปัญญาด้านการเคลื่อนไหวด้านร่างกายและกล้ามเนื้อ เป็น ความสามารถในการ
เคลอื่ นไหวรา่ งกาย การแสดงออกทางอารมณ์ ภาษาทา่ ทางและการออกกําลังกาย กิจกรรมท่ีช่วยส่งเสริม
ด้านนี้ คือการใชร้ ่างกายเปน็ สือ่ ในการเรยี นการสอน แสดงทา่ ทาง แสดง ละคร แสดงบทบาทสมมุติ เล่นเกม
การศกึ ษานอกสถานที่ และการราํ หรอื ทําทา่ ทางประกอบเพลง หรอื เสียงดนตรี

5. สติปัญญาด้านดนตรี เป็นความสามารถก่ียวกับท่วงทํานอง จังหวะ ระดับเสียงสูงตํ่า
สามารถเลน่ เครื่องดนตรี ได้ รอ้ งเพลงร่วมกบั ผู้อ่ืนได้ กิจกรรมท่ีช่วยส่งเสริม สติปัญญาด้านน้ีคือใช้เพลง
หรือคนตรีประกอบในการปฏิบัติ กิจกรรม ให้ดนตรีช่วยสร้างภาพใน สมอง การแต่งเพลง ใช้เคร่ืองเคาะ
จงั หวะดนตรี

6. สติปัญญาด้านการเข้าใจผู้อื่น เป็นความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน เข้าใจใน
อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดและพฤติกรรมผู้อ่ืน สามารถทํางานร่ามกับผู้อ่ืนได้ดี เป็นผู้นํา ยอมรับความ
คิดเหน็ ผอู้ ่นื กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมค้านน้ีได้แก่ กรทํากิจกรรมในรูปแบบ การร่วมมือการทํางานกลุ่ม การ
อยูค่ ่ายพักแรม

7. สติปัญญาด้านการเข้าใจตัวเอง เป็นความสามารถในการรู้จักและ เข้าใจส่ิงต่าง ๆ ที่
เกีย่ วกับตัวเอง เช่น ความรู้สึก ค่านิยม ความเช่ือ การรับรู้ การคิด กิจกรรมที่ช่วย ส่งเสริมด้านนี้คือการ
สรา้ งแรงจงู ใจจากภายใน การศกึ ษาอิสระ การพูดหรอื เขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ของตน การฝึก
ประเมินตนเอง

8. สติปญั ญาดา้ นการเข้าใจธรรมชาติ สิง่ แวดล้อมรอบตวั ศกึ ษา ธรรมชาติอย่างมรี ะบบ
Bruner (1966 : 35) ได้ให้ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา โดยแบ่งพัฒนาการของมนุษย์เป็น 6
ลักษณะคือ

1. ความเจริญเติบโตที่เพ่ิมขึ้นสังเกตได้จากการเพ่ิมการตอบสนองท่ีไม่ผูกพันกับสิ่งเร้า
เฉพาะตามธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นในขณะนัน้

2. ความเจริญเติบโตขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนภายในตัวคนไปสู่ระบบเก็บรักษาที่
สอดคลอ้ งกับส่งิ แวดลอ้ ม

3 ความเจริญเติบโตทางสติปัญญาเก่ียวข้องกับการเพ่ิมความสามารถที่จะพูดกับตนเอง
และคนอื่น ๆ โดยใช้คาํ พดู และสญั ลักษณใ์ นสิ่งทบี่ ุคคลน้นั ๆ ได้ทําไปแล้ว หรอื สิง่ ท่จี ะทํา

4. ความเจริญเติบโตทางสติปัญญาข้ึนอยู่กับปฏิสัมพันธ์ท่ีเป็นระบบ และโดยบังเอิญ
ระหวา่ งผูส้ อนและผ้เู รยี น

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 16

ภาษาองั กฤษ

5. การสอนสามารถอํานวยความสะดวกไดโ้ ดยสือ่ ทางภาษา ซ่งึ จบลงโดยไม่เพียงแต่เป็นส่ือ
สําหรับการแลกเปล่ียนเทา่ นน้ั แต่ยงั เป็นเครื่องมือที่ผู้เรียนสามารถใชใ้ หต้ นเองนําคาํ ส่ังไปยงั ส่ิงแวดล้อมด้วย

6. การพัฒนาทางสติปัญญาเห็นได้จากการเพ่ิมความสามารถท่ีจะจัดการกับตัวเลือก
หลาย ๆ อยา่ งในเวลาเดยี วกนั ความสามารถทจ่ี ะเผ้าดูขึน้ ตอนตา่ ง ๆ ในระยะเวลาเดียวกนั และความสามารถ
ทีจ่ ะจัดเวลาและการเข้ารว่ มกิจกรรมในลักษณะท่ีเหมาะสมกับความตอ้ งการหลาย ๆ อย่าง

ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) และของวีก็อทสก้ี (Vygotsky) เป็น
รากฐานท่ีสําคัญของทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) เพียเจต์อธิบายว่า พัฒนาการ
ทางเชาวน์ปัญญาของบุคคลมีการปรับตัวผ่านทางกระบวนการซึมซาบหรือดูดซึม (assimilation) และ
กระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา (accommodation) พัฒนาการเกิดขึ้นเม่ือบุคคลรับและซึมชาบ
ข้อมูลหรอื ประสบการณ์ใหม่เข้าไปสัมพันธ์กับความรู้หรือโครงสร้างทางปัญญาท่ีมีอยู่เดิม หากไม่สามารถ
สัมพันธ์กันได้ จะเกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น (disequilibrium) บุคคลจะพยายามปรับสภาวะให้อยู่ในภาวะสมดุล
(equilibrium) โดยใช้กระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา (accommodation) เพียเจต์เช่ือว่า (Piaget,
1972: 1-12) คนทุกคนจะมกี ารพัฒนาเชาวน์ปัญญาไปตามลําดบั ขัน้ จากการมีปฏสิ มั พันธ์และประสบการณ์
กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ และประสบการณ์ท่ีเก่ียวกับการคิดเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ (logico-
mathematical experience) รวมท้ังการถ่ายทอดความรู้ทางสังคม (social transmission) วุฒิภาวะ
(maturity) และกระบวนการพัฒนาความสมดุล (equilibration) ของบคุ คลนั้น ส่วนวกี อ็ ทสก้ี ให้ความสาํ คญั
กับวัฒนธรรมและสังคมมาก เขาอธิบายว่ามนุษย์ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด ซ่ึงนอกจาก
ส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติแล้วก็ยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมซ่ึงก็คือวัฒนธรรมท่ีแต่ละสังคมสร้างข้ึน ดังนั้น
สถาบันสังคมต่าง ๆ เร่ิมต้ังแต่สถาบันครอบครัวจะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของแต่ละ
บคุ คลนอกจากน้ัน ภาษายังเป็นเคร่ืองมอื สําคญั ของการคิดและการพัฒนาเชาวน์ปัญญาข้ันสงู พัฒนาการ
ทางภาษาและทางความคิดของเด็กเริ่มด้วยการพัฒนาท่ีแยกจากกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น พัฒนาการท้ัง 2
ดา้ นจะเปน็ ไปร่วมกัน (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2559 : 61)

จากการศกึ ษาแนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กีย่ วข้องกับการจดั การเรยี นร้แู บบบรู ณาการสามารถแสดงใหเ้ หน็
ว่า ศาสตร์ทุกศาสตร์สามารถเชื่อมโยงกันได้ และเมื่อผู้เรียนได้คุ้นชินกับสิ่งใดสิ่งหน่ึงเป็นประจําจะช่วยเพ่ิม
ความเชย่ี วชาญและชํานาญในเรือ่ งน้นั ๆ ขนั้

นกั การศกึ ษา และนกั วิชาการ ไดใ้ ห้หลกั การจดั การเรียนรแู้ บบบรู ณาการไว้ดงั นี้
ชนาธปิ พรกุล (2561 : 105-106) ไดใ้ หห้ ลกั การของการบรู ณาการการจัดการเรียนการสอนว่ามี
ลักษณะสําคัญดังน้ี

1. การบูรณาการเปน็ แนวคิดทต่ี ้องการให้การเรียนรู้เป็นเรื่องเดียวกับชีวิตจริง การเรียน
โดยแยกเป็นรายวิชาทําให้ผู้เรียนไม่สามารถเช่ือมโยงส่ิงที่เรียนกับชีวิตจริง และในความเป็นจริงเราต้องใช้
ความรู้ท่ีหลากหลายวิชามาดําเนินชีวิต หรือแก้ปัญหา การเรียนแบบแยกรายวิชาครูต้องเสนอวิธีนําไปใช้
หรอื ประยกุ ต์ผเู้ รยี นจงึ จะนาํ ส่ิงทเี่ รยี นไปใชป้ ระโยชน์ได้ ขอยกตัวอย่างเร่ืองง่าย ๆ ในชีวิตประจําวันให้เห็นถึง
การใชช้ วี ติ แบบบรู ณาการ เชน่ ครอบครัวต้องการรับประทานอาหารจําพวกย่อยง่าย ไขมันน้อย ความรู้ท่ี
ต้องนาํ มาใช้ในเรือ่ งน้ี ได้แก่

คู่มอื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 17

ภาษาองั กฤษ

1) ประโยชน์ของปลา โปรตนี สูง ไขมนั ตาํ่ ย่อยง่าย
2) ลักษณะของปลาสด เหงอื กแดงสด ตาใส เนอื้ แข็งไมเ่ ละ
3) นํา้ หนักและราคา เปรียบเทียบราคากับปลาชนิดตา่ ง ๆ
4) ขนาดของปลาการเกบ็ รกั ษา
5) การปรุงเปน็ อาหาร
6) การใช้พลงั งาน ปรมิ าณพอสําหรับสมาชิกในครอบครัวเก็บในตู้เย็นกรณีที่ยัง
ไม่นํามาปรุงทันที วิธีปรุง เครื่องใช้ในการประกอบอาหาร เช่น เตาถ่านสําหรับปิ้งย่าง เตาอบสําหรับอบ
กระทะสาํ หรับทอด หม้อเคลือบ หรอื หมอ้ อะลมู ิเนยี มสาํ หรบั ตม้
2. การบูรณาการมีวิธีการผสมผสานส่ิงต่าง ๆ เข้าด้วยกันหลายวิธีข้ึนอยู่กับสิ่งท่ีนํามา
ผสมเข้าด้วยกัน การบูรณาการท่ีดีควรทําส่ิงท่ีนํามาผสมเข้าด้วยกันให้เป็นเน้ือเดียวกันจนยากที่จะแยก
ออกเป็นส่วน ๆ ได้เหมอื นเดมิ จากตัวอย่างในขอ้ 1 เมอ่ื นาํ ไปจัดการเรียนการสอนจะพบว่ามีการผสมผสาน
เนอ้ื หาสาระกนั หลายกลมุ่ วชิ าเรียงตามลาํ ดบั ดงั น้ี
1) กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ุขศึกษา และพลศกึ ษา
2) กลุม่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี
3) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์
4) กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
5) กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย (สรุปความรูด้ ้วยการพดู หรือเขียน)
6) กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ (คาํ ศพั ท์) (อาจมี)
3. การบูรณาการเป็นกระบวนการ มขี ัน้ ตอนแตกต่างตามวิธีการทน่ี าํ มาใช้ซ่ึงไดแ้ ก่
1) วิธบี รู ณาการหลกั สตู ร
2) วธิ ีบรู ณาการการสอนหรอื การเรยี นรู้
4) วธิ บี ูรณาการการประเมินผล
วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล (2562 : 6-7) ได้กล่าวถึงหลักการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ดังตอ่ ไปนี้
1. พัฒนาผู้เรียนให้มี Growth Mindset โดยให้ผู้เรียนตอบคําถามตนเอง ว่าต้องการ
บรรลุเปา้ หมายอะไร หรืออยากทาํ อะไรใหป้ ระสบความสาํ เรจ็ เน่ืองจาก Growth Mindset เปน็ ปัจจยั เบื้องต้น
ทสี่ าคัญที่สุดในการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน
2. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเกิด Concept เชิงบูรณาการ และควรมีกิจกรรมในลักษณะที่เป็น
Project work ให้ผู้เรียนนํา Conceptหลายๆ Concept มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ ตามความ
สนใจของผู้เรยี น
3. กจิ กรรมการเรียนรู้ควรมีลักษณะเปิด (Open space) คือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้
ใช้ความสามารถหรือศกั ยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ไมป่ ดิ กั้นจินตนาการสรา้ งสรรค์ของผ้เู รยี น
4. กระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้และสร้างแนวคิด (Idea) ในการนําConcept ท่ีเรียนมา
ออกแบบและสร้างสรรคน์ วตั กรรมตามความสนใจ
5. ผู้สอนมีบทบาทในการโค้ชผู้เรียนให้ใช้ศักยภาพในการเรียนรู้มากท่ีสุด ชี้แนะ ให้
ข้อเสนอแนะ และให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (Creative feedback) ให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองอย่าง
ต่อเนอ่ื ง

คู่มือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 18

ภาษาองั กฤษ

จําลอง บุญเรืองโรจน์ (2562 : 11-12) ได้เสนอหลักการจัดการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้แบบ
บรู ณาการ (Learning Integration) วา่ อาจจดั ได้ 2 ลักษณะ คือ

1. การบูรณาการภายในวิชา (Interdisciplinary) เป็นการบูรณาการท่ีเกิดขึ้นภายใน
ขอบเขตของเนื้อหาเดียวกัน วิชาท่ีใช้หลักการบูรณาการภายในวิชาเดียวกันมากที่สุด คือ วิชาภาษาหรือ
กระบวนการทางภาษา ซงึ่ ประกอบดว้ ยการฟัง การพดู การอา่ น และการเขียน เนอื่ งจากมคี วามเกี่ยวพันกัน
หลายแบบ นอกจากวิชาภาษาแล้ว วิชาสังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ก็ใช้หลักการเชื่อมโยง
ภายในวิชาได้

2. การบูรณาการระหว่างวิชา (Interdisciplinary) เปน็ การเช่ือมโยงหรือรวมศาสตรต์ า่ ง ๆ
ตง้ั แต่ 2 สาขาวชิ าข้นึ ไปภายในหวั เรอื่ ง (Theme) เดียวกนั เปน็ การเรยี นรโู้ ดยใช้ความรคู้ วามเข้าใจและทักษะใน
ศาสตร์ หรอื ความรู้ในวิชาต่าง ๆ มากกว่า 1 วิชาขึ้นไป เพ่ือแกป้ ัญหา หรือการแสวงหาความรคู้ วามเขา้ ใจใน
เร่อื งใดเร่อื งหนึ่ง การเชือ่ มโยงความรแู้ ละทกั ษะระหว่างวชิ าตา่ งๆ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรทู้ ล่ี กึ ซง้ึ ไม่ใช่
เพยี งผิวเผนิ และมีลกั ษณะใกล้เคยี งกบั ชีวิตจริงมากขนึ้

Lardizabal. (1970 : 142-144) ได้กล่าวว่า การสอนแบบบูรณาการต้องยึดหลักสําคัญท่ีความ
สนใจและความตอ้ งการของผู้เรียน ประสบการณใ์ นการเรียนรู้ควรเป็น “หน่วย” (Unit) ที่มีความสมบูรณ์ใน
ตัวเอง ครผู ู้สอนตอ้ งใชเ้ ทคนิคในการผสมผสานเนือ้ หาและกิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆให้สัมพันธ์กับ
ภายในขอบขา่ ยที่ศึกษา ลักษณะทัว่ ไปของการเรียนมดี ังน้ี

1. มุ่งเน้นปัญหา ปัญหานั้น ควรมีความสําคัญพอที่จะศึกษาและเกี่ยวข้องกับเนื้อ หาวิชา
ต่างๆ หลายแงห่ ลายมุม คาํ ตอบของปัญหาแสดงให้เห็นความสมั พันธร์ ะหว่างปัจจุบันกับอนาคตหรือ
ผลกระทบของปัจจัยทางภูมศิ าสตร์มตี อ่ วัฒนธรรม วัฒนธรรมมตี อ่ การเมอื ง เป็นตน้

2. เหมาะสมกับระดับผู้เรียน อุปกรณ์หรือสื่อการเรียนต้องไม่ยากเกินไปกว่าที่ผู้เรียนจะ
เข้าใจได้ การจดั กจิ กรรมจะตอ้ งคํานงึ ถึงประสบการณ์ของผเู้ รยี น และท้าทายความสามารถไมง่ ่ายเกนิ ไป

3. สง่ เสริมพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เนน้ ในทุกๆ ดา้ น ด้านของความเจริญงอกงามและลําดับ
ขั้นตอนของประสบการณ์ เช่น กิจกรรมการอ่าน การสังเกต การพูด การฟัง การวาดและการเขียน
กจิ กรรมทักษะดา้ นต่างๆ รวมทั้งกจิ กรรมทตี่ อ้ งใชค้ วามสามารถทางสมองในการคดิ วิเคราะห์แกป้ ัญหา ฯลฯ

4. เป็นการวางแผนร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียน ให้ผู้เรียนมีโอกาสเลือกปัญหาแหล่ง
ค้นควา้ วสั ดอุ ปุ กรณ์ วางแผนกิจกรรมและประเมนิ ผลให้เป็ นไปตามความม่งุ หมายท่ตี อ้ งการ

5. การวางแผนการเรียนต้องระลึกเสมอว่า ทําอย่างไรจึงจะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่มี
ประสิทธภิ าพ

6. วิธีการผสมผสานเน้อื หาวิชาเพ่ือใหเ้ กิดบูรณาการ
ทศิ นา แขมมณี (2561 : 146-147) ได้ให้หลักการของการจัดการเรียนรู้แบบเน้นการบูรณาการไว้
ดงั นี้

1. ในธรรมชาติและชีวติ จริง ทกุ ส่ิงทกุ อย่างล้วนมีความสัมพันธ์กันการเรียนรู้ท่ีดีจึงควรมี
ลักษณะเช่นเดยี วกนั ควรมีลักษณะเปน็ องคร์ วม ไมใ่ ชแ่ บ่งเปน็ แทห่ รอื เปน็ ทอ่ นทแี่ ยกจากกนั ซึ่งทาํ ให้การเรยี นรู้
ไม่เชื่อมโขงสัมพนั ธก์ ับชวี ติ จริงและความเป็นจริง เปน็ ผลทาํ ใหผ้ ู้เรยี นไมส่ ามารถนาํ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เป็น
ประโยชน์ในชวี ติ จรงิ ได้

2. การบูรณาการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้หลายๆ ด้าน
ประกอบกัน และช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดพัฒนาการท้ังทางด้านความรู้ ทักษะ และเจตคตไิ ปพร้อม ๆ กนั

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 19

ภาษาองั กฤษ

3. การบูรณาการช่วยเปิดโลกทัศน์ของท้ังผู้สอนและผู้เรียนให้กว้างข้ึน ไม่จํากัดอยู่แต่
เฉพาะด้าน เฉพาะทาง ช่วยให้การเรยี นรู้นา่ สนใจ น่าตนื่ เตน้ ผู้เรียนเกดิ แรงจงู ใจ ในการเรียนรู้ และมีความคิด
และมุมมองท่ีกว้างขึ้น

กุลิสรา จิตรชญาวณชิ (2562 : 84-85) ได้กล่าวไวว้ ่าการจดั การเรยี นรแู้ บบบรู ณาการจะเนน้ ที่องค์
ความร้ขู องเนือ้ หามากกวา่ องคค์ วามรขู้ อง แตล่ ะวชิ า และเน้นทีก่ ารเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสําคัญย่ิงกว่าการ
บอกเนอื้ หาของผู้สอน อยา่ งไรกด็ ีไม่มีหลกั ประกันวา่ หลักสูตรทบ่ี รู ณาการแลว้ จะถกู นาํ ไปจดั เปน็ การเรียนรู้
แบบบูรณาการได้เสมอไป ซึ่งปรากฏอยเู่ สมอว่าหลักสูตรแบบบูรณาการก็จริง แต่การจัดการเรียนรู้ยังเป็น
บรรยายรายวชิ าอยเู่ หมอื นเดิม ดว้ ยเหตนุ ีจ้ ึงจําแนกความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตร และจัดการเรียนรู้โดยใช้
การบรู ณาการเปน็ ตัวแปรไดเ้ ปน็ 4 กรณี ดังรายละเอยี ดที่สรปุ ไว้ในตาราง

หลักสูตร การจดั การเรยี นรู้ ผล
บูรณาการ บรู ณาการ ดีทส่ี ุด
ไมบ่ ูรณาการ บูรณาการ
บูรณาการ ไม่บรู ณาการ ดี
ไมบ่ ูรณาการ ไม่บูรณาการ พอใช้
ต้องปรบั ปรงุ

เอกราช ดีเลศิ (2552 : 9) ได้สรุปหลกั การท่ีสําคัญในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 5 ประการ
ดงั น้ี

1. การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน
กระบวนการเรยี นรู้อยา่ งกระตือรือร้น และมีสว่ นรว่ มในกระบวนการจดั การเรยี นรู้

2. การสง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนได้รว่ มทาํ งานกลุ่มดว้ ยตนเองโดยการส่งเสรมิ ให้มีกจิ กรรมกลุ่มใน
ลักษณะท่ีหลากหลายในการจัดการเรียนรู้ และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ลงมือทํากิจกรรมด้วยตนเอง
อยา่ งแทจ้ รงิ

3. จัดประสบการณต์ รงแก่ผู้เรียนโดยใหม้ โี อกาสเรียนรู้จากสง่ิ ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม เข้าใจง่ายตรง
ตามความเป็นจรงิ สามารถนําไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างเหมาะสม และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ
จรงิ จนเกดิ เป็นทักษะท่ตี ิดเป็นนิสัย

4.จดั บรรยากาศในชน้ั เรยี นทีส่ ่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรูส้ กึ กลา้ คดิ กล้าทํา โดยส่งเสริมให้
ผ้เู รียนมโี อกาสทีจ่ ะแสดงออกซ่ึงความรู้สกึ นกึ คดิ ของตนเองต่อสาธารณชน หรือเพ่ือนร่วมชั้นเรียนเพื่อให้
ผเู้ รียนมคี วามมั่นในในตนเอง

5. เน้นการปลูกฝัง ค่านิยม และจริยธรรมที่ถูกต้อง ให้ผู้เรียนสามารถจําแนก แยกแยะ
ความถูกต้องดีงาม และความเหมาะสมได้ด้วยเหตุผล ความกล้าหาญทางจริยธรรม และแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึน
ดว้ ยปญั ญา และความสามัคคี

ฆนัท ธาตุทอง (2551 :28) ได้กล่าวถึงหลักการพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการว่ามี
ดงั ต่อไปนี้

1. หลกั ความรับผิดชอบ โดยผู้เรียนทุกคนมีบทบาทและความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและ
ผู้อ่นื

2. หลกั การมสี ่วนร่วม โดยผูเ้ รียนทกุ คนมีส่วนร่วมเรยี นรูร้ ่วมกนั
3. หลกั ความสมั พนั ธ์ โดยผ้เู รยี นทุกคนมปี ฏิสมั พันธ์กบั สงิ่ แวดลอ้ มรอบตนเองทง้ั สง่ิ มชี ีวิต
และไมม่ ีชีวติ รวมท้ังไดม้ ีการแสดงออกมากข้ึน

คู่มอื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 20

ภาษาองั กฤษ

4. หลักความยืดหยุ่นและสมดุล แบบองค์รวม ทั้งด้านสาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้
เวลา รูปแบบ วิธกี าร

5. หลักความชัดเจน โดยมคี วามชดั เจนในเรือ่ งความคิดรวบยอดและทักษะตา่ งๆ
6. หลักความหลากหลาย โดยผู้สอนเป็นผู้เรียนและนักวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ด้วยความ
หลากหลาย ลมุ่ ลกึ
7. หลกั การเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง โดยผเู้ รียนสามารถแสวงหาดวามรู้ด้วยตนเองตามที่ต้องการ
ตรงความถนดั และมีความสนใจ
8. หลกั ความหมายแห่งการเรียนรู้ โดยเรยี นรู้สิ่งท่ีสามารถนาํ ไปใช้ในชวี ิตจริงไดอ้ ยา่ งเปน็
รูปธรรม มกี ารเช่ือมโยงสภาพการณ์ในชนั้ เรียนกับสภาพความเปน็ จรงิ ในสงั คม และมกี ารนาํ สถานการณจ์ รงิ ใน
สังคม มาเป็นส่อื และแหลง่ การเรียนร้เู พื่อเชื่อมโยงกับสง่ิ ทีร่ ้แู ลว้ และสิง่ ทยี่ ังไม่รู้
9. หลักการพัฒนาคนเองของผู้สอน โดยทุกครั้งที่จัดการเรียนรู้ ผู้สอนต้อง ถามตนเอง
ตลอดเวลาว่าจะต้องปรับปรุงอะไรบา้ ง เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นรูแ้ ละพฒั นาได้มากขึ้นกวา่ นี้
จากหลักการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการท่ีนักการศึกษา และนักวิชาการได้กล่าวไว้ข้างต้นสามารถ
สรุปหลักการจดั การเรียนรูแ้ บบบรู ณาการได้ว่า การบูรณาการต้องเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นได้เรยี นรู้การแกป้ ัญหา
โดยใชค้ วามรหู้ ลายๆ ด้านประกอบกัน และช่วยให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการท้ังทางด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติไป
พร้อม ๆ กัน

การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการมีด้วยกันหลายประเภท โดยมี หน่วยงาน นักการศึกษา และ
นักวิชาการ แบ่งประเภทและลกั ษณะของการจดั การเรยี นรแู้ บบบูรณาการไว้ดงั น้ี
ทศิ นา แขมมณี (2561 : 147-148) ได้กลา่ วถงึ การบูรณาการเน้ือหาสาระที่มีความเกี่ยวข้องกัน ว่าสามารถทํา
ได้หลายลักษณะดังนี้

1. การบรู ณาการภายในวิชา (intradisciplinary) หมายถึง การนําเนื้อหาสาระในวิชาเดียวกัน
หรอื กลมุ่ ประสบการณเ์ ดยี วกนั มาสมั พันธก์ นั เชน่ ไนวิชาภาษาไทย มเี นอ้ื หาสาระเกย่ี วกบั การอา่ น การเขียนคํา
ประพันธ์ การพูดจูงใจ ไวยากรณ์ และวรรณคดี ฯลฯ แทนที่ผู้สอนจะสอนเน้ือหาสาระทีละเรื่องแยกจากกัน
ผสู้ อนสามารถนําสาระทุกเรอ่ื งมาสัมพนั ธ์กันเปน็ เรื่องเดยี ว โดยเลือกการศึกษาวรรณคดีเรื่อง "พระอภัยมณี"
เปน็ แกนหรอื หัวขอ้ หลัก (theme) ในการศกึ ษาเรอ่ื งพระอกัยมณี ผเู้ รยี นได้เรียนรู้เร่อื งราว ความงามของภาษา
การเขียนคําประพันธ์ (กลอน) การใช้ไวยากรณ์ในตําประพันธ์ การอ่านให้ไพเราะ ซาบซึ้งและการพูดจูงใจให้
เยาวชนหันมาสนใจวรรณดีไทย เปน็ ตัน

2. การบูรณาการระหว่างวิชา (interdisciplinary) หมายถึง การนําเนื้อหาสาระของหลาย ๆ
วชิ ามาสมั พันธ์ให้เป็นเร่ืองเดียวกัน ตัวอย่างเช่น นําเน้ือหาสาระของวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา ศิลปะ และดนตรี มาประสานสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกัน ภายใต้หัวข้อเร่ือง หรือ "theme" ที่เลือก
การบูรณาการภายในวิชา หรือระหว่างวิชา ส่วนใหญ่จะต้องมี "หัวข้อเรื่อง" หรือ "theme" เป็นหัวข้อในการ
เรียนรู้ ซ่ึงหัวช้อน้ีสามารถตั้งชื่อได้หลายลักษณะ (Smith & Ragan, 1999: 308) เช่น เรียกว่าเป็นหน่วยการ
เรียนรู้ ซึ่งอาจจะตั้งตามหัวข้อเน้ือหาสาระ (content - centered) เช่น หน่วยการเรียนเรื่อง "ฝน" หรืออาจด้ัง
ตามงานท่ีอยู่ในความสนใจของเด็ก (student - centered) เช่น "โครงการทําปุ๋ยหมัก" หรืออาจตั้งตามบทบาท
หน้าท่ีทางสังคม (social functions - centered) เช่น "การเป็นพลเมืองดีของประเทศไทย” หรืออาจต้ังตาม
ประสบการณท์ ่ีจดั ใหผ้ ูเ้ รยี น (experienced - centered) เชน่ “เรอื เจ้าพระยากับตาวิเศษ” เปน็ ตน้

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 21

ภาษาองั กฤษ

ชนาธิป พรกุล (2561 : 109-110) ได้แบ่งการจดั การเรียนการสอนโดยบรู ณาการว่าทําได้ 2
แบบ คอื

1. การบรู ณาการในกลมุ่ เดยี วกนั เชน่
1.1 ครูใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ร่วมกับการถอดรหัส (decoding) ดึงข้อมูลออก

จากหนว่ ยความจําระยะยาว (ทฤษฎกี ระบวนการประมวลขอ้ มลู )
1.2 ครใู ชว้ ธิ ีสอนด้วยการทดลองร่วมกบั การอภปิ รายกลุ่มย่อย
1.3 ครใู ช้เทคนิคการต้งั คําถามรว่ มกบั การยกตัวอย่าง
1.4 ครูใชร้ ปู แบบการสอนมโนทศั นร์ ว่ มกับรูปแบบการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ

2. การบรู ณาการการตา่ งกลุม่ มวี ิธกี ารคล้ายกับการออกแบบการเรียนการสอนคอื เริ่มจาก
การเลือกวิธีสอนและเทคนิคการสอนที่สอดคล้องกัน แต่ถ้าจะให้มีการบูรณาการการสอน/การเรียนรู้ ครู
สามารถบรู ณาการไดท้ ง้ั 4 กลมุ่ เชน่ ครูเริ่มต้นจากการเลือกทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีคาดว่าจะทําให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ ตามท่คี รตู ้องการ ต่อจากนัน้ จงึ เลอื กรปู แบบการสอนท่ีตนสนใจใคร่ทดลองใช้หรือเคยใช้ได้ผล ส่วนวิธี
สอนนั้นครูตอ้ งกลับไปดูเน้ือหาสาระว่าวิธที ีเ่ ลือกน้ันเหมาะสมหรอื ไม่ ส่วนเทคนิคการสอนนน้ั เรียกว่าเป็นลูกเล่น
ทท่ี าํ ใหว้ ิธสี อนมปี ระสทิ ธภิ าพ ดงั นน้ั เมื่อครูทาํ การบรู ณาการการสอนแลว้ จงึ มลี กั ษณะ ดังนี้ ครูเลือกทฤษฎีการ
สร้างความรู้ (ต้องการให้ผู้เรียนสร้างความรู้เอง) รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (ต้องการให้ผู้เรียนช่วยกัน
เรียน) วิธีสอนด้วยการอภิปรายกลุ่มย่อย (ต้องการให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในกลุ่มย่อยที่จัดไว้
แล้ว) เทคนิคการใช้คาํ ถาม (ตอ้ งการกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นคดิ )และสรปุ บทเรียนด้วยเทคนิคการใช้แผนภาพ (ต้องการ
ให้ผ้เู รียนจัดระบบความคิด)

ในการวางแผนการสอนในขั้นกจิ กรรมการเรียนรู้ ครมู ักเลือกใช้การบูรณาการการสอนแบบต่างกลุ่ม
เพราะกาํ หนดกจิ กรรมได้งา่ ย เพยี งดําเนนิ การตามหลักการของทฤษฎี องค์ประกอบของรูปแบบข้ันตอนของวธิ ี
สอน และวิธใี ช้เทคนิคนน้ั ๆ ครกู ็สามารถเขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้ที่มกี ารบูรณาการการเรยี นรไู้ ด้

UNESCO-UNEP (1994 : 51) ได้กําหนดลักษณะของการบรู ณาการการเรยี นการสอนไว้ 2 แบบคอื
1. แบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) ได้แก่ การสร้างเรื่อง (Theme) ขึ้น มาแล้วนําความรู้

จากวิชาต่างๆ มาโยงสัมพันธ์กับ หัวเรื่องนั้นซึ่งบางครั้ง เราก็อาจเรียกวิธีการบูรณาการ แบบนี้ว่า สห
วิทยาการแบบหัวข้อ (Themetic Interdisciplinary Studies) หรือการบูรณาการที่เน้นการนําไปใช้เป็นหลัก
(Application - First Approach)

2. แบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) ได้แก่ กรนําเร่ืองที่ต้องการจะจัดให้เกิดการบูรณา
การไปสอดแทรก (Infusion) ไว้ในวิชาต่างๆ ซ่ึงบางคร้ัง เราก็อาจเรียกวิธีการบูรณาการแบบน้ีว่า การบูรณา
การท่เี น้นเนอ้ื หารายวิชาเปน็ หลัก (Discipline - First Approach)

พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยินดสี ุข (2560 : 12-14) ไดแ้ บ่งการจัดการเรียนรู้แบบบูรณา
การเป็น 2 ประเภทคือ

1. หลักสตู รบูรณาการ (curriculum integration) คอื หลกั สตู รทีม่ กี ารผสมผสานสาระ
ต้ังแต่สองกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือสองวิชาข้ึนไป หรือกลุ่มสาระวิชาเดียวกันโดยจัดเป็นหน่วยการเรียนรู้
ภายใต้หัวเรื่อง (theme) อย่างสมดลุ และเชอ่ื มโยงกบั ชวี ติ จริง หวั เรือ่ งเป็นจดุ รวมในวิชาเดยี วกัน หรอื จดุ กลาง
ทต่ี ้องนาํ เนอ้ื หาท่ีเกยี่ วขอ้ ง ซึง่ อาจไดม้ าจากสาขาต่างๆหรือได้มาจากหลากหลายศาสตร์ หรือวิชาท่ีเก่ียวข้อง
ซ่งึ แสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องโดยใช้เครือข่ายความคิด (web) ซ่ึงหลักสูตรบูรณาการสามารถแบ่งออกเป็น 2
ประเภทคือ

คู่มือการพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 22

ภาษาองั กฤษ

1.1. การบรู ณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ( interdisciplinary integration
หรอื across curriculum) เปน็ การผสมผสานเนอื้ หาสาระระหวา่ งวชิ า หรือระหวา่ งศาสตร์หรือระหวา่ งกลุ่มสาระ
การเรียนรตู้ งั้ แต่ 2 วิซาขึน้ ไป ภายใตห้ วั เรื่อง (theme) มโนทัศน์(concept) หรือปัญหา (problem) เตียวกัน ซึ่ง
อาจเรียกวา่ เป็นการบูรณาการขา้ มวิชาขา้ มกล่มุ สาระการเรียนรู้ข้ามศาสตร์

1.2. บูรณาการภายในกลุม่ สาระการเรียนรู้ (intradisciplinary integration) เป็น
การผสมผสานเนื้อหาสาระระหว่างสระต่างๆ ด้วยกันภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ใดกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่ง
ภายใต้หัวเร่อื ง (theme) มโนทศั น์ (concept) หรอื ปัญหา (problem) ซึ่งเปน็ การบูรณาการตรงข้ามกับการบูร
ณาการข้ามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ ผลการบูรณาการภายใตห้ ัวเรื่องจะได้เป็นหน่วยการเรียนรู้ (unit of learning)
และด้วยเพราะเป็นการบูรณาการอย่างผสมผสาน จึงเรียกว่า หน่วยการเรียนรู้บูรณาการ (integrated unit)
ซึ่งจัดเปน็ หลกั สูตรบรู ณาการ หนว่ ยการรียนรูบ้ ูรณาการดังกลา่ วแบง่ ได้เปน็ 2 แบบ คือ

1.2.1 หน่วยการเรียนรบู้ ูรณาการแบบสหวิทยาการ
1.2.2 หนว่ ยการเรียนรูบ้ ูรณาการแบบภายในกลุ่มสาระการเรยี นรู้ หรอื แบบไม่
ขา้ มกลุ่มสาระการเรยี นรู้
2. การบูรณาการการเรียนการสอน (instructional integration) คอื การนําเนื้อหามา
จดั การเรยี นการสอนด้วยการผสมผสานวิธีการที่หลากหลาย กจิ กรรมหลากหลาย

ประเภทของการบูรณาการ ( integration )
การผสมผสาน การเชอื่ มโยงทาใหก้ ลมกลนื หรือ สมดลุ หรอื สมบูรณ์

หลกั สูตรบรู ณาการ การบรู ณาการการเรยี นการสอน

(บูรณาการระหว่างสาระกบั สาระ) (instructional integration)

(curriculum integration) (instructional integration)

บูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการ บรู ณาการภายในกลมุ่ สาระการ • แบบสอดแทรก
เรยี นรู้ (interdisciplinary เรยี นรู้ (intradisciplinary • แบบพหุวิทยาการ
integration / across integration) • แบบเปน็ คณะ เป็นทมี
curriculum) • บูรณาการความรู้ ความคดิ คณุ ธรรม จริยธรรม และการปฏบิ ัติ
• บรู ณาการปญั ญา อารมณ์ สงั คม และรา่ งกาย
• บรู ณาการทักษะ การคิด และกระบวนการคดิ
• บรู ณาการคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
• บูรณาการโดยใช้โครงงาน
• บูรณาการทักษะภาษาไทย ทกั ษะคณิตศาสตร์ และทกั ษะ
• การทางานกบั โครงงานต่างๆ ท่จี ดั ทาในและนอกโรงเรยี น
• บูรณาการทักษะวชิ าชพี
• บูรณาการกระบวนการกลุ่ม
• บูรณาการทักษะการสื่อสาร
• บรู ณาการทกั ษะการส่อื สาร
ฯลฯ

คมู่ อื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 24

ภาษาองั กฤษ

ยุวธิดา คําปวน (2560 : 27) ได้กล่าวถึงความสําคัญของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการว่า การ
พฒั นาทกั ษะสาํ หรับผู้เรียนในศตวรรษท่ี 2 1ตอ้ งให้ผู้เรียนได้เรียนและฝึกทักษะที่หลากหลายผ่านการเรียนการ
สอนโดยการลงมอื ปฏิบตั ิ (Learning by Doing) และคิดทบทวนหรือเรยี นแบบ Active Learningโดยครผู ู้สอนทาํ
หน้าท่อี อกแบบกจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบบูรณาการเพื่อให้ไดฝ้ ึกทักษะและเรียนรซู้ ึมซับทักษะเหล่านั้นหลาย ๆด้าน
ในกิจกรรมเดียวกนั หากครูยังคงเน้นทีร่ ายวชิ าก็ไมแ่ ตกตา่ งจากกระบวนการเดิมคือการท่องจําและเน้นที่เน้ือหา
สาระมากกว่ากระบวนการเรียนรู้ซึ่งการเรียนรู้กับการสอนเป็นคนละส่ิง การสอนโดยการให้เน้ือหาไม่ใช่การ
เรียนรู้ แต่การเรียนรู้ต้องมาจากการลงมือทํา เพราะฉะนั้นการจัดการศึกษาท่ีต้องการให้เกิดการเรียนรู้ไม่
จําเปน็ ตอ้ งสอนแยกเปน็ วิชา แตค่ วรจะเปน็ การสอนโดยใช้หวั ขอ้ เรือ่ งเปน็ ตัวตั้งกาํ หนดเป้าหมายการเรียนรู้ แล้ว
จัดกจิ กรรมให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรียนร้เู กย่ี วกบั เร่อื งนน้ั ๆ

สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2559 : 5 -6) กล่าวถึงประโยชน์และความสําคัญของการ
จัดการเรยี นรูแ้ บบบูรณาการ ดงั น้ี

1. เป็นการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการดําเนินชีวิตจริง เพราะในชีวิตประจําวันการทํา
กิจกรรมตํ่างๆ ไมใ่ ด้แยกส่วนในการใชอ้ งค์ความรแู้ ตใ่ ชค้ วามร้ทู หี่ ลากหลายสาขาท่ีมีความสัมพันธ์กันต่อการทํา
เรื่องใดเรอื่ งหนึง่ และมกี ารบรู ณาการองค์ความรูท้ ่ีสอดรบั กนั
จนงานหรือกจิ กรรมท่ีทําสําเร็จ

2. ทําให้ครูผู้สอนตามกลุ่มสาระต่างๆ มีกระบวนการทํางานร่วมกัน มีแนวทางการจัดการ
เรียนรู้บูรณาการที่เกิดจากการวางแผน การจัดการเรียนการสอนร่วมกันอย่างเป็นระบบครบวงจรตั้งแต่
หลกั สูตร การจัดการเรยี นรู้ การวดั ผลและประเมินผล

3. เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเสริมสร้างสมรรถนะท่ีสําคัญของผู้เรียน การใฝ่หา
ความรู้ รู้จักคิดวเิ คราะห์ และมีคุณธรรมจรยิ ธรรม

4. ทาํ ใหผ้ ้เู รียนได้เรียนรูแ้ บบบรู ณาการเป็นองคร์ วม ลดการใชเ้ วลาเรียนท่ีมีความซ้ําซ้อนของ
เน้ือหา และภาระงาน และมโี อกาสทาํ กิจกรรมนอกหอ้ งเรียนมากขน้ึ

5. ช่วยให้ผู้เรียนเช่ือมโยงความรู้ในห้องเรียนกับความรู้นอกห้องเรียนเข้าด้วยกันอย่าง
กลมกลืนไมเ่ รียนรู้แบบแยกส่วน ก่อใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจในสิง่ ทีเ่ รยี นมากข้นึ

6. ทําใหผ้ ูเ้ รียนสามารถเช่ือมโยงความร้เู กา่ กบั ความร้ใู หมๆ่ ผา่ นส่ือทห่ี ลากหลาย
7. ทาํ ใหล้ ดภาระงานและเวลาในการเรียนร้ใู นห้องเรยี น
8. ชว่ ยให้ผู้เรียนสรา้ งองคค์ วามรูไ้ ดด้ ้วยตนเอง
9. ช่วยให้ผเู้ รยี นสามารถนาํ ความรู้และประสบการณ์ที่ไดจ้ ากการเรียนรู้ไปใช้ในการดําเนินชีวิต
ได้
สิรพิ ชั ร์ เจษฎาวโิ รจน์ (2559 : 1) ได้พดู ถึงความสําคัญของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการว่าทําให้
นักเรียนมีประสบการณ์ท่ีสัมพันธ์กันและต่อเน่ืองกับประสบการณ์ตรง สามารถนําความรู้และประสบการณ์ท่ี
ได้รับไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ส่งเสริมให้นักเรียนมีทั้ง
ระเบียบวินัยและมีความรับผิดชอบหน้าท่ีด้วยตนเอง รวมทั้งช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มเร่ิม
สรา้ งสรรคก์ ารจัดการเรยี นรตู้ ามหลกั สตู รบรู ณาการ โดยสร้างหวั ขอ้ เร่ืองขนึ้ แทนการสอนเนอ้ื หาเปน็ รายวิชา
แบบเดิมได้รับความนิยมมาก นักเรียนจะมีความลึกซึ้งและเข้าใจในสิ่งท่ีได้เรียนมีความเข้าใจในความหมายของ
เน้อื หาสาระโดของคร์ วม หลักสตู รบูรณาการจะเป็นสง่ิ ท่สี ามารถกระตุ้นนักเรียนให้เกิดความคิดและตระหนักถึง
การเช่ือมโยงระหว่างความคิด อีกท้ังการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาให้
ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรูไ้ ดอ้ ยา่ งเตม็ ทส่ี าํ หรบั การบรู ณาการนเี้ ปน็ วิธีการทม่ี มี านานแล้วแตย่ ังไมป่ ระสบความสําเร็จ

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 25

ภาษาองั กฤษ

เท่าที่ควร เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้สอน ผู้ปกครอง ผู้บริหาร
สถานศึกษาหรือชุมชนการบูรณาการเหมาะกับการนําไปใช้ในการจัดการศึกษาโดยเฉพาะในระดับการศึกษาขั้น
พน้ื ฐาน จะช่วยให้เกิดความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความคดิ รวบยอดในศาสตร์ต่าง ๆ หากนํามาบูรณาการสอดคล้อง
เข้าดว้ ยกันแล้วผู้เรียนจะสามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างมีความหมายผู้เรียนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงการ
เช่ือมโยงสัมพันธ์ความรู้จากส่ิงท่ีเรียนมากับชีวิตจริงการบูรณาการความรู้กับการปฏิบัติ อีกท้ังยังช่วยลด
เน้ือหาที่ซํา้ สอน ลดเวลาการเรียนของผเู้ รยี น

ณฐั ริกา อปุ พงษ์ (2560 : 44) ได้สรปุ ไวว้ า่ การจัดการเรียนรแู้ บบบรู ณาการมปี ระโยชนแ์ ละความสาํ คญั
ในการเชือ่ มโยงเน้ือหาวิชาทสี่ อดคลอ้ งกนั เขา้ ดว้ ยกนั ลดความซ้าํ ซ้อนของเนอื้ หา ทําให้เกิดการเรียนรู้แบบองค์
รวมผู้เรยี นสามารถสรา้ งองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสามารถนําความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปใช้ในชีวิต
จรงิ ได้ ทั้งนี้การดําเนินการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบบรู ณาการตอ้ ง
อาศัยการร่วมมือกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อทําให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเกิด
การพฒั นาเต็มศกั ยภาพตามความสามารถและความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล การจดั การเรียนรู้แบบบรู ณาการท่ี
จะบรรลุตามวตั ถุประสงค์ทต่ี ั้งไว้ไดน้ ั้นตอ้ งคาํ นึงถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกบั บรบิ ทของหน่วยงาน สภาพ
ปญั หา หรือแนวดาํ เนินงานของแต่ละโรงเรียน

สุดเฉลียว ไทยกรรณ์ (2562 : 38) กล่าวว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการสอนแบบบูรณาการ คือ ช่วยให้
เกดิ การเชื่อมโยงของการเรียนรู้(Transfer of Learning ความรู้ที่เรียนไปแล้ว จะถูกนํามาสัมพันธ์กับความรู้ท่ีจะ
เรียนใหม่ ๆ จะทาํ ให้เกดิ การเรยี นรไู้ ดเ้ รว็ ข้ึนชว่ ยจดั เนื้อหาวิชา หรือความรู้ให้อยู่ในลักษณะเหมือนชีวิตจริง คือ
ผสมผสานและสัมพันธ์เป็นความรู้ท่ีอยู่ในลักษณะหรือรูปแบบที่เอ้ือต่อการนําไปใช้กับชีวิตช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ
สภาพและปัญหาสังคมได้ดีกว่า การกระทําหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมเป็นผลรวมจากหลาย ๆ สาเหตุ
การที่จะเข้าใจปัญหาใดและสามารถแก้ปัญหาน้ันได้ ควรพิจารณาปัญหาและท่ีมาของปัญหาอย่างกว้าง ๆ ใช้
ความรู้จากหลาย ๆ วิชามาสัมพันธ์กันเพ่ือสร้างความเข้าใจใหม่ ๆ ขึ้น ช่วยให้การสอนและการให้การศึกษามี
คุณคา่ มากขึ้น แทนท่ีจะเป็นขบวนการถ่ายทอดความรู้หรือสาระแต่เพียงประการเดียว กลับช่วยให้สามารถเน้น
การพฒั นาทกั ษะท่จี าํ เป็นให้เกดิ ความคิดรวบขอดท่ีกระจ่างถกู ตอ้ ง และให้สามารถปลูกฝังค่านยิ มท่ีปรารถนาได้
อีกด้วยทําให้เกิดบูรณาการข้ึน การบูรณาการความรู้ทําให้วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาหรือการสอน
เปลย่ี นไป จากเพื่อใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับความรู้ไปเป็นเพ่ือให้ผเู้ รียนได้เหน็ คณุ ค่าและนําความรู้ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์

สิปปนนท์ เกตุทตั (2543 : 2 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2561 : 179)ได้แสดงทศั นะเก่ียวกับชีวติ วา่ ชวี ติ
เป็นบูรณาการของอวัยวะ มีคุณสมบัติ มีองค์ประกอบ มีหน้าที่ต่างกัน มาอยู่รวมกันและอาศัยซ่ึงกันและกัน
ชวี ิตไมใ่ ช่ผลรวมจากผลบวกของอวัยวะแต่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากอวัยวะชีวิตเป็นองค์รวม เป็นบูรณา
การสมบูรณ์แบบที่มีความประสงค์อยู่ในตัวของชีวิตนั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ พืช อะมีบา หรือเป็น DNA ที่
ยอ่ ยทส่ี ุด ด้วยเหตผุ ลดงั กล่าว การเรียนรู้ชีวิตและสังคมจึงเป็นการเรียนรู้ที่ต้องบูรณาการการศึกษา ศาสนา
ศิลปะ วฒั นธรรม และธรรมชาติ โดยการบูรณาการจะต้องนาํ ชวี ิตเปน็ ตวั ตงั้ แต่มิใชใ่ หท้ กุ อยา่ งมารวมกนั และได้
ผลลัพธ์เปน็ เพยี งผลรวมของหน่วยย่อย ๆการบูรณาการจะต้องเป็นการมองแบบองค์รวม ไม่ใช่การมองแบบ
แยกส่วน ในการบูรณาการจะต้องมีการนําส่วนย่อยซึ่งมีคุณสมบัติ มีหน้าที่ มีคุณลักษณะและมีองค์ประกอบ
แตกต่างกนั มาจดั ใหม้ ีการพ่ึงพาอาศยั กนั มีการเสริมสนับสนุนซ่ึงกันและกัน (synergism) อย่างได้สัดส่วนพอดี
จนกระทั่งได้สิ่งใหม่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากเดิม และได้ผลลัพธ์ท่ีเหนือกว่าดีกว่าหรือมากกว่าผลรวมของ
หนว่ ยย่อย ๆ ดังนั้นการบรู ณการจึงเปน็ การสมั พนั ธร์ ะหวา่ งหนว่ ยย่อย ๆ เพ่ือให้ไดผ้ ลสูงสดุ เพ่อื ใหก้ ารเรียนรู้

ค่มู ือการพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 26

ภาษาองั กฤษ

ชวี ิตเป็นไปอยา่ งเหมาะสมและได้ผลลพั ธส์ ูงสุด การปฏิรปู ระบบและกระบวนการเรียนรู้จงึ เป็นสิ่งจาํ เป็นมาก เพราะ
กระแสโลกาภิวัตน์ได้นําทั้งส่ิงที่ดีและไม่ดีเข้ามา กระบวนการเรียนการสอน จําเป็นต้องช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้
ความคิดเป็น คิดชอบ และเรียนรู้วิธีปรับตัวเอง การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ไว้ว่าควรเริ่มตั้งแต่การ
วางรากฐานพัฒนาการชีวติ ท้ังในครอบครัวและชมุ ชน เพอ่ื วางรากฐานชีวติ ของเดก็ ให้เขม้ แข็ง ต่อไปจึงพัฒนา
ความรู้และทักษะพ้ืนฐานโดยจัดให้มีหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรท้องถิ่น นอกจากนั้นสถาบันเอกชนและ
สถานศึกษาควรจะต้องมีการปรับระบบและทาํ งานรว่ มกนั เพอื่ พฒั นาสมรรถนะในการก้าวทันโลก และเปิดโอกาส
ใหท้ กุ องค์กรไดเ้ ข้ามามสี ่วนรว่ มในการสง่ เสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

สุคนธ์ สินธพานนท์ (2558 : 107) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการทั้งต่อ
ผู้สอนและผเู้ รยี นดังน้ี

1. การจดั การเรียนรูแ้ บบบูรณาการมีลกั ษณะการสอนท่ชี ่วยให้ผู้เรียนมีความรอบรู้ฝึกทักษะ
การคิดหลายรูปแบบทําให้คิดได้กว้างขวางหลายด้าน และรู้จักการผสมผสานความรู้และทักษะต่าง ๆ เกิด
ประสบการณพ์ รอ้ มท่ีจะนําไปประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้เกิดประโยชน์ในการดําเนนิ ชวี ติ

2. การจัดเน้ือหาวิชาความรู้ต่าง ๆ น้ัน อยู่ในลักษณะเหมือนชีวิตจริง เอ้ือต่อการนําไปใช้ใน
ชวี ติ ประจาํ วันได้ดี

3. ผูเ้ รียนได้ฝึกทกั ษะด้านตา่ ง ๆ เกดิ ความสนกุ สนาน สามารถปลกู ฝงั ค่านิยมที่พึงประสงค์ให้
ผูเ้ รยี นคดิ เปน็ ทาํ เป็น และแกป้ ญั หาเปน็

4. การสอนแบบบรู ณาการข้ามวชิ าหรอื ระหวา่ งวิชาจะลดการสอนทซ่ี ้าํ ซอ้ น ประหยัดเวลา ลด
ภาระของผู้เรียน โดยผ้สู อนทกุ คนทส่ี อนในรายวชิ าทมี่ เี นอื้ หาเชน่ เดยี วกนั มาร่วมมอื กนั ดําเนินกิจกรรมการเรียน
การสอนใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์รว่ มกนั ได้ และเป็นการเสริมสรา้ งความรู้ ประสบการณ์ตลอดจนสร้างเจตคติท่ีดี
ให้แกผ่ ู้เรยี น

ฆนัท ธาตุทอง (2551 : 39) ได้กล่าวถึงสิ่งท่ีจะได้จากการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
ดังตอ่ ไปนี้

1. เปน็ การจัดการเรยี นรู้ท่พี ัฒนาผู้เรยี นในลกั ษณะองค์รวม
2. เป็นการผสมผสานความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทําให้ลดเวลาเรียนเวลาสอน แต่ยังมี
มาตรฐานการเรยี นรู้ตามท่ีหลักสูตรกําหนด
3. เป็นการเช่ือมโยงความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างกว้างขวาง ทําให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมี
ความหมาย
4. เปน็ การใหค้ วามสําคัญกับผู้เรียน ได้เรียนรู้สิ่งท่ีสอดคล้องด้ามความต้องการ ความถนัด
ความสามารถ และความสนใจของตนเอง
5. เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง และดันพบวิธีการเรียนรู้ท่ีเป็นแบบ
ฉบับของตนเอง (learning style)
6. เปน็ การพฒั นาศักยภาพของผเู้ รียนอย่างเตม็ ที่
7. เป็นการเชอื่ มโยงสงิ่ ที่เรยี นรูเ้ ข้ากบั ชวี ติ จริงไดเ้ ป็นอยา่ งตึ
8. เปน็ การเช่อื มโยงประสบการณใ์ นชวี ติ จรงิ เข้ากับสงิ่ ทไี่ ดเ้ รียนรู้
9. เป็นการเชอ่ื มโผงสง่ิ ทีไ่ ด้เรยี นรูม้ าแลว้ กบั สิ่งทย่ี งั ไม่ได้เรียนรู้
10. หอ้ งเรียนเปลย่ี นไป และเป็นเสมอื นหนา้ ต่างโลก
11. ครูผู้สอนเปลย่ี นไป ทาํ ให้สอนไม่ซ้าํ ชาก ลดความชา้ํ ซ้อนของเน้ือหาสาระ แต่มาตรฐานยัง
มเี หมอื นเดิม

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 27

ภาษาองั กฤษ

12. ครผู ูส้ อนเตรยี มการสอนนอกหอ้ งเรียนมากข้ึน แตส่ อนในหอ้ งเรยี นนอ้ ยลง
13. ประเมนิ ชิน้ งานน้อยชนิ้ แต่ใช้ได้กบั หลายมาตรฐาน หลายกลุม่ สาระการเรียนรู้
จากการศึกษาความสําคัญของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจากหน่วยงาน นักการศึกษา และ
นักวิชาการขา้ งต้น สามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการช่วยลดความซาํ้ ซ้อนของเนอื้ หารายวชิ า
ต่างๆ ในหลักสูตรจึงทําให้ลดเวลาในการเรียนรู้เนื้อหาบางอย่างลงได้ แล้วไปเพิ่มเวลาให้เนื้อหาใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจะตอบสนองต่อความสามารถในหลายๆ ด้านของผู้เรียนช่วยสร้างความรู้
ทกั ษะและเจตคติ แบบพหปุ ัญญา

นกั การศกึ ษา และนักวชิ าการไดใ้ ห้ข้ันตอนการจดั การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการไวด้ งั น้ี
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560 : 14) ได้กล่าวถึงข้ันตอนของการจัดการเรียนรู้แบบ
บูรณาการไว้วา่ มี 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1. การเลอื กหวั เรื่องในการจัดการเรยี นรู้
2. พฒั นาหัวเรือ่ ง โดยกําหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้มีการเช่ือมโยงกันระหว่างกลุ่มสาระ
กาํ หนดเวลาในการเรยี นรู้ และสอ่ื การเรยี นรู้
3. ระบุทรัพยากรท่ีต้องการ และติดต่อแหล่งทรัพยากร เพ่ือให้การจัดการเรียนรู้บรรลุ
วัตถปุ ระสงค์ทีต่ ั้งไว้
4. พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน โดยออกแบบกิจกรรมท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
ผสมผสานเพื่อพัฒนาพหปุ ญั ญา ผสมผสานความรู้ การปฏิบตั ิ คณุ ธรรมจริยธรรม และการปฏิบัติเพ่ือสร้าง
ความรู้เอง
5. การดําเนนิ กจิ กรรมการเรียนรู้ตามท่ไี ด้วางแผนไว้
6. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรียน โดยเน้นการประเมินตามสภาพจริง แบ่งการประเมิน
การเรียนร้ใู นระหวา่ งการเรยี นรู้ และการประเมินหลังกจิ กรรมการเรยี นรู้
ชนาธิป พรกุล (2561 :106-108) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการว่าครู
จําเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายเรื่องนอกจากมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนตามปกติ
การเตรยี มความพรอ้ มในเร่ืองตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ ครจู ะสามารถสอดแทรกหรอื ปรับเปลย่ี นจากการสอนปกติไม่มาก
นกั ครูจะสนุกท่ีมวี ธิ ีการใหม่ ๆ มาสอนผ้เู รยี นเรื่องที่ต้องเตรียมการ ได้แก่ 1) จัดหลักสูตรให้มีการบูรณาการ
2) บรู ณาการการสอนหรอื กระบวนการเรยี นรู้ 3.)วางแผนประเมินผล 4)พัฒนาตัวครู 5) เตรียมตัวผู้เรียน 6)
จัดสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ 7) จดั ตารางเรียน
อกี ท้งั ยังกล่าววา่ การบรู ณาการเปน็ กระบวนการ มีขัน้ ตอนแตกต่างตามวิธีการที่นํามาใช้ซึ่งไดแ้ ก่
1. วธิ ีบูรณาการหลักสตู ร มีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ ทาํ ให้

1.1 เนอ้ื หาสาระตา่ ง ๆ มกี ารผสมผสานหรือเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดยี วกัน ทําใหง้ ่ายตอ่
การทาํ ความเขา้ ใจ

1.2 เนอื้ หาในวิชาต่าง ๆ ถูกจดั ใหม่ให้กระชับ ตัดความซา้ํ ชอ้ นออกไป
1.3 หลักสูตรมืองค์ประกอบด้านเนื้อหาครบถ้วน (พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย)
สง่ เสรมิ ผูเ้ รียนใช้ความคิด ประสบการณ์ ความสามารถ และทกั ษะหลากหลาย
1.4 หลักสตู รมคี วามหลากหลาย เกิดรายวิชาใหม่ ๆ
1.5 ผเู้ รียนเรยี นรกู้ ระบวนการและเน้ือหาไปพร้อมกัน

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 28

ภาษาองั กฤษ

12. ครผู ูส้ อนเตรยี มการสอนนอกหอ้ งเรียนมากข้ึน แตส่ อนในหอ้ งเรยี นนอ้ ยลง
13. ประเมนิ ชิน้ งานน้อยชนิ้ แต่ใช้ได้กบั หลายมาตรฐาน หลายกลุม่ สาระการเรียนรู้
จากการศึกษาความสําคัญของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจากหน่วยงาน นักการศึกษา และ
นักวิชาการขา้ งต้น สามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการช่วยลดความซาํ้ ซ้อนของเนอื้ หารายวชิ า
ต่างๆ ในหลักสูตรจึงทําให้ลดเวลาในการเรียนรู้เนื้อหาบางอย่างลงได้ แล้วไปเพิ่มเวลาให้เนื้อหาใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจะตอบสนองต่อความสามารถในหลายๆ ด้านของผู้เรียนช่วยสร้างความรู้
ทกั ษะและเจตคติ แบบพหปุ ัญญา

นกั การศกึ ษา และนักวชิ าการไดใ้ ห้ข้ันตอนการจดั การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการไวด้ งั น้ี
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560 : 14) ได้กล่าวถึงข้ันตอนของการจัดการเรียนรู้แบบ
บูรณาการไว้วา่ มี 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1. การเลอื กหวั เรื่องในการจัดการเรยี นรู้
2. พฒั นาหัวเรือ่ ง โดยกําหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้มีการเช่ือมโยงกันระหว่างกลุ่มสาระ
กาํ หนดเวลาในการเรยี นรู้ และสอ่ื การเรยี นรู้
3. ระบุทรัพยากรท่ีต้องการ และติดต่อแหล่งทรัพยากร เพ่ือให้การจัดการเรียนรู้บรรลุ
วัตถปุ ระสงค์ทีต่ ั้งไว้
4. พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน โดยออกแบบกิจกรรมท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ
ผสมผสานเพื่อพัฒนาพหปุ ญั ญา ผสมผสานความรู้ การปฏิบตั ิ คณุ ธรรมจริยธรรม และการปฏิบัติเพ่ือสร้าง
ความรู้เอง
5. การดําเนนิ กจิ กรรมการเรียนรู้ตามท่ไี ด้วางแผนไว้
6. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรียน โดยเน้นการประเมินตามสภาพจริง แบ่งการประเมิน
การเรียนร้ใู นระหวา่ งการเรยี นรู้ และการประเมินหลังกจิ กรรมการเรยี นรู้
ชนาธิป พรกุล (2561 :106-108) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการว่าครู
จําเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายเรื่องนอกจากมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนตามปกติ
การเตรยี มความพรอ้ มในเร่ืองตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ ครจู ะสามารถสอดแทรกหรอื ปรับเปลย่ี นจากการสอนปกติไม่มาก
นกั ครูจะสนุกท่ีมวี ธิ ีการใหม่ ๆ มาสอนผ้เู รยี นเรื่องที่ต้องเตรียมการ ได้แก่ 1) จัดหลักสูตรให้มีการบูรณาการ
2) บรู ณาการการสอนหรอื กระบวนการเรยี นรู้ 3.)วางแผนประเมินผล 4)พัฒนาตัวครู 5) เตรียมตัวผู้เรียน 6)
จัดสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ 7) จดั ตารางเรียน
อกี ท้งั ยังกล่าววา่ การบรู ณาการเปน็ กระบวนการ มีขัน้ ตอนแตกต่างตามวิธีการที่นํามาใช้ซึ่งไดแ้ ก่
1. วธิ ีบูรณาการหลักสตู ร มีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ ทาํ ให้

1.1 เนอ้ื หาสาระตา่ ง ๆ มกี ารผสมผสานหรือเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดยี วกัน ทําใหง้ ่ายตอ่
การทาํ ความเขา้ ใจ

1.2 เนอื้ หาในวิชาต่าง ๆ ถูกจดั ใหม่ให้กระชับ ตัดความซา้ํ ชอ้ นออกไป
1.3 หลักสูตรมืองค์ประกอบด้านเนื้อหาครบถ้วน (พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย)
สง่ เสรมิ ผูเ้ รียนใช้ความคิด ประสบการณ์ ความสามารถ และทกั ษะหลากหลาย
1.4 หลักสตู รมคี วามหลากหลาย เกิดรายวิชาใหม่ ๆ
1.5 ผเู้ รียนเรยี นรกู้ ระบวนการและเน้ือหาไปพร้อมกัน

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 29

ภาษาองั กฤษ

2. วิธบี ูรณาการการสอนหรือการเรยี นรู้ มีวัตถุประสงค์เพอ่ื ให้ครสู ามารถ
2.1 ทําการผสมผสานทฤษฎีการเรียนรู้ วิธีสอน เทคนิคการสอน หรือรูปแบบการ

สอนให้สอดคล้องกับลักษณะของเนือ้ หาในหลักสูตร
2.2 เลือกกจิ กรรมให้มีความหลากหลาย ทําใหผ้ ู้เรยี นสนใจเหน็ ความสาํ คญั และเรยี น

ดว้ ยความสนุกสนาน
3. วธิ บี รู ณาการการประเมนิ ผลมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ หค้ รูทําการประเมินผลการเรียนรเู้ ป็นภาพรวม

สะท้อนใหเ้ หน็ ผลการเรยี นรทู้ ีเ่ กดิ จากการทผ่ี เู้ รยี นไดบ้ ูรณาการหลักสูตรและกระบวนการเรยี นรู้ การวัดผลจึงมี
ลักษณะดงั น้ี

3.1 สิ่งท่วี ัด- ความรู้ ทักษะ และเจตคติท่ผี า่ นการบูรณาการของผู้เรยี น
3.2 วธิ ีวัด-ใชห้ ลายวธิ รี ่วมกัน
3.3 เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้วัดความสามารถในการบูรณาการของผเู้ รยี น

3.3.1แบบสอบถาม ควรเป็นคําถามอัตนัยท่ีต้องหาคําตอบโดยใช้ความรู้
หลายด้านมาผ่านกระบวนการวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และประยุกต์

3.3.2 แบบสังเกต ผูเ้ รยี นต้องแสดงพฤติกรรมที่บ่งว่าการกระทําน้ันผู้เรียน
ได้ใชค้ วามรู้ ทําด้วยความชาํ นาญ อย่างเตม็ อกเตม็ ใจ

สุดเฉลียว ไทยกรรณ์ (2562 : 38) ได้ให้ข้ันตอนการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการว่ามี 4
ขั้นตอน ดงั น้ี

1. กําหนดเรื่องท่ีจะสอน โดยการศึกษาหลักสูตรและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหาท่ีมี
ความเก่ยี วขอ้ งกนั เพ่อื นํามากาํ หนดเปน็ เรือ่ งหรอื ปญั หาหรือความคดิ รวบยอดในการสอน

2. กําหนดจุดประสงค์การเรยี นรูโ้ ดยการศกึ ษาจุดประสงค์ของวิชาหลักและวิชารองท่ีจะนํามา
บูรณาการ และกาํ หนดจุดประสงคก์ ารเรยี นร้ใู นการสอน สําหรบั หวั เรื่องนน้ั ๆ เพื่อการวัดและประเมินผล

3. กาํ หนดเนอื้ หาย่อย เปน็ การกําหนดเน้ือหาหรือหัวเร่ืองย่อย ๆ สําหรับการเรียนการสอน
ใหส้ นองจดุ ประสงค์การเรียนรู้ที่กําหนดไว้

4. วางแผนการสอน เป็นการกําหนดรายละเอียดของการสอนต้ังแต่ต้นจนจบ โดยการเขียน
แผนการสอน/แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสําคัญเช่นเดียวกับแผนการสอนทั่วไป คือ
สาระสาํ คญั จดุ ประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล

สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2559 : 7 - 19) ได้กําหนดขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ
บูรณาการ 8 ขน้ั ตอน ดังนี้

1. วิเคราะห์หลักสูตร เป็นข้ันตอนสําคัญในการศึกษาโครงสร้างเวลาเรียนของหลักสูตร
สถานศึกษาในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือรายวิชา ศึกษาคําอธิบายรายวิชาศึกษามาตรฐานการเรียนรู้และ
ตัวชี้วัดทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ของระดับชั้น พิจารณาคัดเลือกมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่ีสัมพันธ์กัน
และสามารถมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการร่วมกันได้ เพื่อจัดทําเป็นหน่วยการเรียนรู้บูรณาการตลอด
ภาคเรยี น/ปกี ารศกึ ษา

2. กําหนดสาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ท่ีนํามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของแต่ละ
หน่วยการเรียนรู้นั้นได้มาจากสาระการเรียนรู้แกนกลาง และสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นจากกลุ่มสาระการเรียนรู้
ต่างๆ ท่ีนาํ มาบรู ณาการในหน่วยการเรียนรนู้ ั้นๆ

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 30

ภาษาองั กฤษ

3. กําหนดเวลาเรียน การกําหนดเวลาเรียนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้บูรณาการควรจัดให้
เหมาะสมกบั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีจะใช้ในการพัฒนาผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด และสาระ
การเรยี นรู้ รวมทั้งเพยี งพอทจ่ี ะใหผ้ ้เู รียนสามารถสร้างองค์ความร้ไู ด้

4. จดั ทาํ โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้บูรณาการ เป็นการกําหนดโครงสร้างขอบข่ายของการ
จัดการเรียนรู้บูรณาการ ชว่ ยให้เห็นภาพรวมของการจัดการเรียนรู้แต่ละช้ันตลอดภาคเรียน/ปี ประกอบด้วย
หน่วยการเรียนรู้จํานวนเท่าใด มีสาระการเรียนรู้ใดบ้าง แต่ละหน่วยการเรียนรู้จะพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ
มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชว้ี ัดของกลุ่มสาระการเรยี นรูใ้ ดบ้าง และใช้เวลาเทา่ ไร

5. การจัดการเรียนรู้ เป็นการนําแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ และดําเนินการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน ลงมือปฏบิ ตั ิจริงในชนั้ เรียนตามแผนการจดั การเรียนรู้ท่ีวางไว้

6. เตรยี มสอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้/ภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน
7. วดั และประเมนิ ผล
8. นิเทศ กาํ กับ และตดิ ตามการดําเนนิ งาน
จากการศึกษาขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจากหน่วยงาน นักการศึกษา และนักวิชาการ
สามารสรุปขัน้ ตอนการจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการได้วา่ การจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการนั้นมีลักษณะความ
คลา้ ยกันของการจัดการเรียนการสอนที่พอสรุปว่าประกอบด้วย ข้ันนํา ขั้นสอน ข้ันสรุปและประเมินผลซ่ึงจะมี
ลาํ ดับขน้ั ตอนท่ีคลา้ ยกันและสอคลอ้ งตรงกันกบั สาํ นักวิชาการและมาตรฐานการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่ง
ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ดังนี้ 1)การวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อแยกแยะให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหากับ
พฤติกรรมท่ีตอ้ งการให้เกดิ กบั ผู้เรยี นแลว้ นาํ มาสร้างหัวเรื่อง 2)กาํ หนดสาระการเรียนรู้ 3)กาํ หนดเวลาเรียน 4)
จดั ทาํ โครงสร้างหนว่ ยการเรียนรู้ 5)การจดั การเรยี นรู้ 3เตรียมส่อื และแหลง่ เรยี นรู้ 7)การวัดและประเมินผลและ
8)การนิเทศ กํากับ และติดตามซง่ึ สํานกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษากระทรวงศึกษาธกิ ารเปน็ หน่วยงานหลัก
ทางด้านวิชาการของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการดังน้ันผู้วิจัยจึงได้นําวิธีและข้ันตอนการจัดการ
เรียนรู้แบบบรู ณาการของสาํ นกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษามาเป็นต้นแบบในการจดั การเรยี นรู้

หน่วยการเรียนรู้ ถือเป็นหัวใจสําคัญของหลักสูตร จําเป็นต้องมีการออกแบบให้เอื้อต่อการจัดการ
เรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการก็เช่นกันต้องมีการสร้างหน่วยการเรียนรู้ ท่ีเอื้อต่อการบูรณาการ
ศาสตร์ในแขนงต่างๆนอกเหนือจากวิชานั้นๆ โดยมีหน่วยงาน นักการศึกษา และนักวิชาการได้ให้แนวทางการ
สร้างหนว่ ยการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการไว้ดังน้ี

พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยินดสี ขุ (2560 : 14-16) ไดแ้ สดงลาํ ดบั ขน้ั ตอนของการสร้างหนว่ ยการ
เรียนร้แู บบบูรณาการไว้ดงั นี้

1.กําหนดหัวเร่ือง (theme) โดยมี 2 รูปแบบคือวิธีกําหนดรูปแบบที่ 1 กําหนดหัวเรื่องก่อน
และวธิ กี ําหนดรปู แบบที่ 2 คอื กําหนดหัวเรื่องหลังจากผสมผสานวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้รว่ มของกลุม่ สาระการ
เรียนรู้ตา่ งๆ โดยกําหนดจากเร่อื งต่อไปน้ี

1.1 มโนทัศน์ (concept)
1.2 ประเดน็ ปัญหา (problem)
1.3 เรื่องทเ่ี ปน็ ปญั หา (issue)
1.4 เรอื่ งท่ตี อ้ งใชก้ ารสืบสอบ/แก้ปัญหา (problem solving)

ค่มู อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 31

ภาษาองั กฤษ

1.5 แหล่งการเรียนรูท้ ่เี ออ้ื ต่อการคน้ ควา้ (resource learning)
1.6 ความสนใจของผูเ้ รยี น (student's interest)
2. ทําเครือข่ายความคิด (web) หรือผังความคิด (concept map) หรือผังกราฟิก(graphic
organizers) เกยี่ วกับความเกยี่ วข้องของเรอ่ื ง ดงั นี้
2.1 เน้ือหาในกลุ่มสาระการเรยี นรู้ต่างๆทเี่ กยี่ วกับหวั เรอ่ื ง
2.2 หัวข้อเร่ือง (topic/ และทักษะของกลุ่มสาระการเรียนร้ตู ่างๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
3. จดั เรยี งลาํ ดับเนอื้ หาและทักษะตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้องกบั หวั เรือ่ งเพื่อนาํ ไปวางแผน
การจดั การเรียนรู้
4. วางแผนการจดั การเรยี นรู้
4.1 ระบุมโนทัศน์
4.2 กาํ หนดวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้
4.3 จดั กจิ กรรมการเรียนรู้
4.4 เตรียมส่อื การเรยี นร้แู ละแหลง่ เรยี นรู้
4.5 กําหนดวิธีการประเมนิ การเรยี นรู้
ขั้นตอนการสร้างหน่วยเรยี นรบู้ รู ณาการ 2 รูปแบบ ปรากฏดังผังต่อไปนี้

คมู่ ือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 32

ภาษาองั กฤษ

สาํ นกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา (2559 : 9 - 17) ไดก้ ลา่ วถึงข้ันตอนการจัดทําโครงสร้างหน่วย
การเรียนร้บู รู ณาการโดยดาํ เนนิ การ 2 ขนั้ ตอน ดงั นี้

1. ออกแบบหน่วยการเรียนรู้บูรณาการ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้บูรณาการโดยท่ัวไป
มี 2 วิธี คือ

วธิ ีที่ 1 เร่มิ ด้วยการกาํ หนดประเด็น/หวั เรือ่ ง(Theme) มีขัน้ ตอนดงั น้ี
1.) กําหนดประเด็น/หัวเรื่อง(Theme)ให้น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน

สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจบุ ัน และสอดคล้องกับเน้อื หาทเ่ี รียน โดยกําหนดประเด็น/หัวเร่ืองท่ีชัดเจน เป็นชื่อ
หน่วยการเรยี นรู้ เชน่ รกั ษส์ ิ่งแวดล้อม ภาษาสร้างสรรค์ชีวิต Communication สร้างสรรค์ประดิษฐ์ สุขภาพดี
ไม่มขี าย ฯลฯ

2.) กําหนดเนื้อหา/สาระการเรียนรู้ท่ีครอบคลุมสอดคล้องกับประเด็น/หัวเร่ือง
(Theme) และเหมาะสมกับระดับช้ันของผู้เรยี นเพยี งพอทจ่ี ะทาํ ให้ผ้เู รยี นเกิดองคค์ วามรู้ภาพรวมจากการเรียนรใู้ น
หน่วยการเรียนรู้น้ันๆ

3.) พิจารณามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ใน
หลกั สตู รฯ ท่สี อดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา หรือสาระการเรยี นร้ทู กี่ ําหนดในข้อ 2 (อาจจะเป็นบูรณาการในกลุ่มสาระการ
เรยี นรู้ และ/หรอื ระหวา่ งกลุ่มสาระการเรยี นรู้)

4.) พัฒนาหน่วยการเรียนรู้(ระบุมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดสาระสําคัญ/
ความคิดรวบยอดสาระการเรียนรู้ สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ช้ินงาน/ภาระงาน
การวัดและประเมินผลรวมทง้ั สรา้ งเคร่อื งมอื วัด กิจกรรมการเรียนรแู้ ละสื่อและแหล่งการเรยี นรู้)

5.) ประเมินหน่วยการเรียนรู้โดยเพ่ือนครู ฝ่ายวิชาการ ผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญ
และปรับปรงุ

6.) นาํ ไปใชใ้ นการจัดการเรียนรใู้ ห้กบั ผู้เรียน
วิธีที่ 2 เริ่มด้วยการวิเคราะห์และกําหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้
ของกลุ่มสาระการเรยี นรตู้ ่างๆ ในระดบั ช้ันนน้ั ๆ ที่สัมพนั ธก์ ัน มขี ั้นตอน ดังน้ี

1.) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการ
เรยี นรู้ตา่ งๆ ในระดบั ชัน้ ที่สอน ทสี่ ัมพนั ธ์กัน เปน็ หนว่ ยการเรยี นรู้(อาจจะเป็นบูรณาการในกลุ่มสาระการเรียนรู้
และ/หรอื ระหวา่ งกล่มุ สาระการเรียนรู้)

2.) ตั้งช่ือหน่วยการเรียนรู้ให้น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนสอดคล้องกับ
เหตุการณ์ปัจจุบนั และสอดคล้องกบั เนื้อหาทีเ่ รยี น

3.) พัฒนาหน่วยการเรียนรู้ โดยระบุมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดสาระสําคัญ/
ความคดิ รวบยอดสาระการเรยี นรู้ สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ช้ินงาน/ภาระงาน
การวดั และประเมนิ ผลรวมท้งั สร้างเครอื่ งมือวัด กจิ กรรมการเรียนรู้และสอื่ และแหล่งการเรียนรู้

4.) ประเมินหน่วยการเรียนรู้ โดยเพื่อนครู ฝ่ายวิชาการ ผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญ
และปรับปรงุ

5.) นําไปใช้ในการจัดการเรยี นรใู้ หก้ บั ผเู้ รยี น
2. ดําเนินการจัดทําโครงสร้างหน่วยการเรียนรู้บูรณาการ การจัดทําโครงสร้างหน่วยการ
เรยี นรบู้ ูรณาการ ดาํ เนนิ การได้ 2 กรณี ดงั นี้

คู่มอื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 33

ภาษาองั กฤษ

กรณีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้บูรณาการครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ครบทุกมาตรฐานการเรียนรู้และ
ตวั ชว้ี ัด ดังตาราง

ชื่อ มาตรฐานการ กลุ่มสาระ สาระสําคัญ/ ช้ินงาน/ เวลา

หน่วย เรียนรู้และ การเรียนรู้ ความคดิ ภาระงาน (ช่ัวโมง)

ตวั ชวี้ ดั (รหสั ) รวบยอด

กรณีท่ี 2 หน่วยการเรียนรู้บูรณาการบางกลุ่มสาระการเรียนรู้บางมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด
และหน่วยการเรยี นรู้ตามธรรมชาติของวิชา ดงั ตาราง

ช่อื มาตรฐานการ กลมุ่ สาระ สาระสําคัญ/ ชิน้ งาน/ เวลา

หน่วย เรียนรู้และ การเรยี นรู้ ความคิด ภาระงาน (ช่ัวโมง)

ตัวชวี้ ดั (รหสั ) รวบยอด

หนว่ ยการเรียนร้ตู ามธรรมชาติวิชา

กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย กลุ่มสาระ สาระสําคัญ/ ชน้ิ งาน/ เวลา
ชือ่ มาตรฐานการ การเรยี นรู้ ความคดิ ภาระงาน (ชว่ั โมง)
หน่วย เรียนรแู้ ละ รวบยอด

ตวั ช้วี ดั (รหัส)

คู่มอื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 34

ภาษาองั กฤษ

จากตารางโครงสรา้ งหน่วยการเรยี นรู้ แตล่ ะคอลัมน์ มที ่ีมาและความหมาย ดงั น้ี
1) ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ควรตั้งช่ือหน่วยการเรียนรู้ให้น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน

สอดคล้องกบั เหตุการณ์ปจั จุบัน และสอดคลอ้ งกบั เนอื้ หาทเี่ รยี น
2) มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดได้มาจากการจัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดใน

ระดับชั้นที่สอนท่ีมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน ซ่ึงอาจจะนํามาจากกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกันหรือระหว่าง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ มาจดั เป็นหน่วยการเรียนร้เู ดยี วกัน

3) สาระการเรียนรู้ เป็นสาระการเรียนรตู้ ามมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ชว้ี ัดจากกลุม่ สาระการ
เรยี นรทู้ ่ีนํามาบูรณาการเปน็ หน่วยการเรยี นรู้

4) สาระสําคัญ/ความคิดรวบยอด เป็นแก่นความรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนรู้ผ่าน
มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ช้ีวัดทรี่ ะบุอยใู่ นหนว่ ยการเรียนรู้นั้น

5) กลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ตามที่หลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 กําหนด นํามาจดั การเรียนรรู้ ว่ มกนั เปน็ หนว่ ยการเรยี นรู้

6) ช้ินงาน/ภาระงานเป็นหลักฐาน/ร่องรอยท่ีเกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียน และสะท้อน
คณุ ภาพของผ้เู รียนตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่กี าํ หนดในหนว่ ยการเรียนรู้

7) เวลา เปน็ เวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนรูข้ องแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้
กุลิสรา จิตรชญาวณชิ (2562 :87) ได้แสดงลําดับข้ันตอนของการจัดทําหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณา
การว่าสามารถดาํ เนินการตามข้นั ตอนดงั นี้

1. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานในภาพรวม
2. การเลือกกลุ่มสาระหรอื รายวชิ าที่ใช้เป็นแกนในการบูรณาการ
3. การเลอื กกลุ่มสาระหรอื รายวชิ าท่จี ะนํามาใช้บูรณาการร่วมกบั รายวิชาแกน
4.กาํ หนดชอื่ หัวข้อเรือ่ งหรือหน่วยการเรยี นรู้
5. จดั ทําแผนวิธกี ารจัดการเรยี นรู้
6. ออกแบบวิธกี ารจัดการเรยี นรู้และการวัดประเมินผล
ฆนัท ธาตุทอง (2551 : 54-55) ไดส้ รุปข้นั ตอนกระบวนการจัดทาํ หน่วยการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการตาม
ภาพที่ 2.14 ซงึ่ จากแผนภมู ิแสดงกระบวนการจัดการเรียนรแู้ บบบูรณาการ เราจะเห็นวิธีหนึ่งจากอีกหลายๆ วิธี
ในการจดั ทาํ หน่วยการเรียนรแู้ บบบรู ณาการ โดยในแผนภมู ิไดเ้ ริ่มดันการจดั ทาํ หนว่ ยการเรียนรู้แบบบูรณาการ
"การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ันของทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้" โดยพิจารณาคําสําคัญ แล้วนําคํา
สําคัญเหลา่ นน้ั มาจดั ทาํ ผังมโนทศั น์ ใหเ้ ห็นความสมั พนั ธ์สอดคลอ้ งกัน จากนั้นนําผังมโนทศั นข์ องแตล่ ะกลมุ่ สาระ
มาพิจารณาร่วมกันท้ัง 8 กลุ่มสาระอีกคร้ังหนึ่ง จะทําให้เราเห็นภาพรวมของการเชื่อมโยงประสานสัมพันธ์กัน
ของมาตรฐานและเรื่องราวดําง ๆ อยา่ งไรกต็ ามในการบรู ณาการเราต้องหา "เจา้ ภาพ" ให้ได้ ดังนั้น ในข้ันตอน
ต่อไปต้องมาพิจารณาหาเจ้าภาพหลัก สําหรับนํามาตรฐานและสาระการเรียนรู้ไปต้ังไว้ "เป็นแกน" เพื่อให้กลุ่ม
สาระอ่นื ๆ นาํ มาตรฐานและสาระการเรียนรู้ "ไปเกาะ" เรากจ็ ะได้กลมุ่ ก้อนของมาตรฐานและเรือ่ งราวทีส่ อดคลอ้ ง
กนั หลาย ๆ กลุม่ ในแต่ละกลมุ่ ตอ้ งมีกระบวนการเรียนรู้ เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับกลุ่มก้อน
ของมาตรฐาน เนอ้ื หาสาระ และธรรมชาตวิ ชิ ากลมุ่ สาระน้นั ๆ อีกดว้ ย เมอ่ื ดาํ เนินการแลว้ ให้ "ตั้งช่ือ" กลุ่มก้อน
ของสิ่งที่สอดคล้องกัน อาจต้ังชื่อเป็นแบบ"เฉพาะหน่วย" หรือชื่อหน่วย "สัมพันธ์ คล้องจอง สอดดล้องต่อ
เน่ืองกัน เป็นคํากลอน" ก็ได้ตามความเหมาะสม เมื่อทํามาถึงขั้นน้ี เราจะได้ "หน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ"
ขน้ึ มา ซงึ่ อาจเปน็ หนว่ ยใหญบ่ า้ งหนว่ ยเล็กบา้ งตามควรแก่กรณีไม่ว่ากัน ขั้นตอนต่อไปต้องทําแผนการจัดการ
เรียนรู้ ซง่ึ ในหนง่ึ หน่วยการเรยี นรู้อาจมีแผนการจดั การเรยี นรแู้ ผนเดยี วหรือมากกว่าก็ได้ ตามความเหมาะสม

คู่มอื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 35

ภาษาองั กฤษ

จาการศึกษาเร่ืองการสร้างหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการจากหน่วยงาน นักการศึกษา และ
นกั วชิ าการ สามารถสรปุ ข้ันตอนการสร้างหน่วยการเรยี นรู้แบบบูรณาการไดด้ ังน้ี

1. ศกึ ษาหลกั สูตร
2. การเลือกกลุม่ สาระหรือรายวชิ าท่ใี ช้เป็นแกนในการบรู ณาการ
3. การเลอื กกล่มุ สาระหรอื รายวชิ าทจี่ ะนํามาใชบ้ รู ณาการร่วมกับรายวิชาแกน
4.กําหนดช่ือหัวข้อเรอื่ งหรือหนว่ ยการเรียนรู้
5. จดั ทาํ แผนวิธกี ารจัดการเรียนรู้
6. ออกแบบวิธีการจดั การเรยี นรแู้ ละการวดั ประเมนิ ผล

แผนการจดั การเรียนรู้ มีความสําคัญหลายประการเพื่อเปน็ แนวทางให้กับครูผู้สอนจัดการเรียนรู้ด้วย
ความม่นั ใจ ในการจดั การเรยี นร้นู น้ั จําเปน็ ต้องศกึ ษา วิเคราะห์ วางแผนและออกแบบกจิ กรรมการเรียนรมู้ าใช้ใน
การจัดการชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย เกิดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัย คํานึงถึง
ความแตกต่างระหว่างผู้เรยี นเป็นสาํ คัญ การจดั การเรียนรตู้ ามแผนการจัดการเรียนรชู้ ่วยใหผ้ สู้ อนจัดกจิ กรรม
ได้อย่างเป็นระบบ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนสร้างแนวทางการสอนที่เป็นข้ันตอนและ
ตอบสนองวัตถุประสงค์ของหลักสูตร การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการจึงเป็นเหมือนแนวทาง
หลัก แบบแผนของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยมีหน่วยงาน นักการศึกษา และนักวิชาการได้ให้แนว
ทางการจดั ทําแผนการจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการไวด้ ังน้ี

พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560 : 87-95) ได้ให้หลักการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้
บูรณาการวา่ ในการวางแผนงานใดก็ตาม องค์ประกอบท่ีต้องคํานึงในการวางแผน คือ 5W 2Hเช่น ในการวาง
แผนการสอนใช้หลัก 5W 2H ดังน้ี

W1 (Why) สอนไปทําไม (วัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นร)ู้
W2 (What) สอนอะไร (เนอื้ หา/สาระ)
W3 (Who) ใครสอน (Who) สอนใคร (Whom)
W4 (Where) สอนท่ไี หน
W5 (When) สอนเม่ือใด
H1 (How) สอนอยา่ งไร (กจิ กรรมการเรยี นร)ู้
H2 (How) ประเมินอย่างไร (ประเมินการเรียนรู้)
เ มอ่ื พจิ ารณาองคป์ ระกอบหลักในการวางแผนการจัดการเรยี นรทู้ ผ่ี สู้ อนตอ้ งคาํ นึงคือ
1. วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของการเรียนการ
สอน ในระดบั ท่ีจะนําไปใชก้ ําหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอน มีหลกั สําคัญในการเขียนดังน้ี

1.1 เขยี นในลกั ษณะที่บ่งบอกการกระทาํ หรือพฤติกรรมของผู้เรยี นทสี่ ามารถสังเกต
และวดั ผลได้

1.2 ต้องเขียนสตู่ วั ชวี้ ดั
1.3 พยายามเขียนให้ครบท้ังด้านความรู้ (Knowledge : K ด้านคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ (Attribute : A) และด้านทักษะกระบวนการ (Process : P)
1.4 ลําดบั การเขยี นพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นในวตั ถปุ ระสงคส์ ามารถทาํ ได้หลายแบบ

คู่มือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 36

ภาษาองั กฤษ

2. สาระ/เนอื้ หา/สาระการเรยี นรู้ สาํ หรบั การเขียนสาระ/เนอ้ื หา/สาระการเรยี นรู้ มีหลักการ
สาํ คญั ดังน้ี

2.1 การเลอื กใช้ช่ือหัวเรอื่ ง
1) ถา้ ใช้ช่อื หัวเรอ่ื ง สาระ/เน้อื หา การเขียนจะเนน้ เฉพาะดา้ นความรู้ (K)
2) ถ้าใช้ชื่อหัวเร่ือง สาระการเรียนรู้ การเขียนจะต้องครบด้านความรู้

(Kคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A) และทักษะกระบวนการ (P)
2.2 ผู้สอนจะต้องศึกษาสาระท่ีถูกต้องจากแหล่งเรียนรู้ท่ีเช่ือถือได้ แล้วเขียนให้สั้น

กะทัดรดั และชดั เจน
2.3 ประเภทของสาระประกอบดว้ ย ขอ้ เทจ็ จรงิ (fact) มโนทัศน์ (concept) หลักการ

(principle) กฎ (law) และทฤษฎี (theory)
3. กิจกรรมการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย
3.1 ขัน้ ตอนการเรยี นการสอน ในการจัดการเรยี นการสอน สิ่งทผี่ ู้สอนตอ้ งคาํ นงึ ถึง

มดี งั นี้
1) ใชร้ ูปแบบการเรียนการสอน วิธีสอน และเทคนิคการสอนได้หลากหลาย

แต่ให้เหมาะสมกบั เน้อื หา เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรยี น รวมทง้ั บริบทของแหลง่ ทจ่ี ัดการเรยี นการสอน
2) กิจกรรมเน้นตัวชี้วัดอย่างน้อย 4 ประการ ดังนี้ การสร้างความรู้ใหม่

(construction of the new knowledge) การมีปฏิสัมพันธ์ (interaction) กระบวนการเรียนรู้ (process of
learning) และการสร้างผลงาน/ช้นิ งาน (production)

3) จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น ผู้เรียนมี
ความสามารถต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน ความสนใจแตกต่างกัน คือ สนใจเรื่อประเด็นต่างกัน ถนัด
ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ถนดั ด้านงานศิลปะ ถนดั ด้านดนตรี ถนัดทางเขียนบทความ ถนดั ดา้ นคาํ นวณ ถนัดการเป็นผู้
ประสานงาน วธิ ีการจดั กจิ กรรมให้สอดคลอ้ งตามความแตกต่างของผูเ้ รียน

4) จัดกิจกรรมด้วยการบูรณาการ ประเด็นต่อไปนคี้ อื การสอดแทรกการ
ใชค้ าํ ถามเพอ่ื พฒั นาการคดิ การสอดแทรกปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงเพอ่ื การอยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่าง
ย่งั ยืน การสอดแทรกการทาํ งานเปน็ ทมี เพอื่ พัฒนาการอยรู่ ่วมกัน การสอดแทรกภาษาองั กฤษเพ่ือพฒั นาการ
รูแ้ ละเจตคติท่ดี ีต่อภาษาอังกฤษ การสอดแทรกอาชพี เพ่อื พฒั นาทักษะอาชีพสู่การมีทักษะชีวิต การสอดแทรก
คุณธรรม-จรยิ ธรรมเพือ่ พฒั นาทักษะชีวิต การสอดแทรกเรื่องประชาคมอาเซียนเพื่อพัฒนาความเข้าใจเพื่อน
บา้ นคอื ประเทศของประชาคมอาเซยี นอกี 9 ประเทศ

3.2 สอื่ การเรยี นรู้/แหลง่ การเรยี นรู้
1) วัสดุ
2) อุปกรณ์
3) เครื่องมอื
4) แหลง่ เรียนรธู้ รรมชาติ
5) แหล่งเรียนรทู้ ้องถิน่

4. การประเมินการเรียนรู้ เน้นการรวบรวมข้อมูลท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากการ
เรียนร้ตู ามสภาพจริง ซ่ึงมีคาํ ถามสําคญั เพือ่ ใชเ้ ป็นหลกั ในการประเมินการเรยี นรู้ดังน้ี

4.1 ประเมนิ อะไร ( ความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ )
4.2 ประเมินด้วยเคร่อื งมอื อะไร
4.3 ประเมนิ โดยใคร

คู่มือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 37

ภาษาองั กฤษ

2. สาระ/เนอื้ หา/สาระการเรยี นรู้ สาํ หรบั การเขียนสาระ/เนอ้ื หา/สาระการเรยี นรู้ มีหลักการ
สาํ คญั ดังน้ี

2.1 การเลอื กใช้ช่ือหัวเรอื่ ง
1) ถา้ ใช้ช่อื หัวเรอ่ื ง สาระ/เน้อื หา การเขียนจะเนน้ เฉพาะดา้ นความรู้ (K)
2) ถ้าใช้ชื่อหัวเร่ือง สาระการเรียนรู้ การเขียนจะต้องครบด้านความรู้

(Kคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A) และทักษะกระบวนการ (P)
2.2 ผู้สอนจะต้องศึกษาสาระท่ีถูกต้องจากแหล่งเรียนรู้ท่ีเช่ือถือได้ แล้วเขียนให้สั้น

กะทัดรดั และชดั เจน
2.3 ประเภทของสาระประกอบดว้ ย ขอ้ เทจ็ จรงิ (fact) มโนทัศน์ (concept) หลักการ

(principle) กฎ (law) และทฤษฎี (theory)
3. กิจกรรมการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย
3.1 ขัน้ ตอนการเรยี นการสอน ในการจัดการเรยี นการสอน สิ่งทผี่ ู้สอนตอ้ งคาํ นงึ ถึง

มดี งั นี้
1) ใชร้ ูปแบบการเรียนการสอน วิธีสอน และเทคนิคการสอนได้หลากหลาย

แต่ให้เหมาะสมกบั เน้อื หา เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรยี น รวมทง้ั บริบทของแหลง่ ทจ่ี ัดการเรยี นการสอน
2) กิจกรรมเน้นตัวชี้วัดอย่างน้อย 4 ประการ ดังนี้ การสร้างความรู้ใหม่

(construction of the new knowledge) การมีปฏิสัมพันธ์ (interaction) กระบวนการเรียนรู้ (process of
learning) และการสร้างผลงาน/ช้นิ งาน (production)

3) จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น ผู้เรียนมี
ความสามารถต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน ความสนใจแตกต่างกัน คือ สนใจเรื่อประเด็นต่างกัน ถนัด
ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ถนดั ด้านงานศิลปะ ถนดั ด้านดนตรี ถนัดทางเขียนบทความ ถนดั ดา้ นคาํ นวณ ถนัดการเป็นผู้
ประสานงาน วธิ ีการจดั กจิ กรรมให้สอดคลอ้ งตามความแตกต่างของผูเ้ รียน

4) จัดกิจกรรมด้วยการบูรณาการ ประเด็นต่อไปนคี้ อื การสอดแทรกการ
ใชค้ าํ ถามเพอ่ื พฒั นาการคดิ การสอดแทรกปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงเพอ่ื การอยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่าง
ย่งั ยืน การสอดแทรกการทาํ งานเปน็ ทมี เพอื่ พัฒนาการอยรู่ ่วมกัน การสอดแทรกภาษาองั กฤษเพ่ือพฒั นาการ
รูแ้ ละเจตคติท่ดี ีต่อภาษาอังกฤษ การสอดแทรกอาชพี เพ่อื พฒั นาทักษะอาชีพสู่การมีทักษะชีวิต การสอดแทรก
คุณธรรม-จรยิ ธรรมเพือ่ พฒั นาทักษะชีวิต การสอดแทรกเรื่องประชาคมอาเซียนเพื่อพัฒนาความเข้าใจเพื่อน
บา้ นคอื ประเทศของประชาคมอาเซยี นอกี 9 ประเทศ

3.2 สอื่ การเรยี นรู้/แหลง่ การเรยี นรู้
1) วัสดุ
2) อุปกรณ์
3) เครื่องมอื
4) แหลง่ เรียนรธู้ รรมชาติ
5) แหล่งเรียนรทู้ ้องถิน่

4. การประเมินการเรียนรู้ เน้นการรวบรวมข้อมูลท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากการ
เรียนร้ตู ามสภาพจริง ซ่ึงมีคาํ ถามสําคญั เพือ่ ใชเ้ ป็นหลกั ในการประเมินการเรยี นรู้ดังน้ี

4.1 ประเมนิ อะไร ( ความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ )
4.2 ประเมินด้วยเคร่อื งมอื อะไร
4.3 ประเมนิ โดยใคร

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 38

ภาษาองั กฤษ

ชนาธิป พรกุล (2561 : 28) ได้เปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้ปกติ
(วชิ าหลกั ) กบั แผนท่มี กี ารบูรณาการไวด้ ังตาราง

แผนการจดั การเรยี นรู้ปกติ (วิชาหลัก) แผนที่มกี ารบูรณาการ

1. เรือ่ ง 1. เรอ่ื ง (วิชาหลัก)
2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
2.1 วิชาหลกั
3. สาระการเรียนรู้ 2.2 สิ่งทน่ี าํ มาบูรณาการ
3. สาระการเรยี นรู้
4. สาระสําคญั
3.1 เนอ้ื หาวชิ าหลัก
5. กจิ กรรมการเรียนรู้ 3.2 เนื้อหาวิชาที่นาํ มาบูรณาการ
4. สาระสําคัญ
6. สือ่ การเรียนรู้ 4.1 เนอื้ หาหลกั
7. การประเมินผล 4.2 เนื้อหาท่ีนาํ มาบูรณาการ
5. กิจกรรมการเรยี นรู้ครบทุกเนื้อหา และเนื้อหาท่ี
นํามาบูรณาการเพียงพอบรรลุจุดประสงค์การ
เรยี นรูว้ ชิ าหลักและส่งิ ท่ีนํามาบูรณาการ
6. สอ่ื การเรียนรเู้ พียงพอต่อการเรยี นรู้
7. การประเมินผล
7.1 สิ่งทีว่ ดั คอื เนอื้ หาวชิ าหลกั และเนอ้ื หาวชิ า
ทน่ี ํามาบูรณาการ การปฏบิ ตั ิวชิ าหลกั และสง่ิ นํามา
บรู ณาการ จติ สาํ นกึ ของสิ่งนาํ มาบูรณาการ
7.2 เครื่องมือ เช่น แบบทดสอบสั้น ๆแบบ
สงั เกตการปฏบิ ัตแิ ละพฤตกิ รรม เปน็ ตน้

สรุปได้ว่าการจัดทําแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการน้ันประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้ 1)
เรอื่ ง (วชิ าหลกั ) 2) จดุ ประสงค์การเรียนรูว้ ิชาหลกั และสิ่งท่ีจะนํามาบรู ณาการ 3) สาระการเรยี นรู้ทั้งเน้ือหาวิชา
หลกั และเนื้อหาวิชาท่นี าํ มาบูรณาการ 4) สาระสําคัญ ทั้งเน้ือหาหลักและเน้ือหาท่ีนํามาบูรณาการ 5) กิจกรรม
การเรียนรู้ครบทุกเนื้อหา และเนื้อหาที่นํามาบูรณาการเพียงพอบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้วิชาหลักและส่ิงที่
นาํ มาบูรณาการ 6. สอื่ การเรียนรู้หรือใบงานที่ใช้ในการบรู ณาการการจัดการเรียนรู้ 7)การประเมินผล โดยสิ่ง
ท่ีวัด คือ เน้ือหาวิชาหลักและเนื้อหาวิชาท่ีนํามาบูรณาการ การปฏิบัติวิชาหลักและสิ่งนํามาบูรณาการ เจตคติ
ของสิง่ นํามาบูรณาการ

คูม่ อื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 39

ภาษาองั กฤษ

เมื่อมีแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการแล้วนั้นครูผู้สอนต้องนํามาจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
โดยมหี นว่ ยงาน นักการศกึ ษา และนักวิชาการไดก้ ลา่ วถงึ การจัดการเรียนรูแ้ บบบูรณาการดงั น้ี

สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2559 : 18- 19) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นการนํา
แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการ และดําเนินการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ลงมือปฏิบัตจิ ริงในชนั้ เรียน
ตามแผนการจดั การเรยี นรทู้ ีว่ างไว้ โดยมรี ายละเอยี ดตามประเดน็ ต่อไปนี้

1.ชือ่ หน่วยการเรียนรู้
2. สาระสาํ คญั /ความคดิ รวบยอด
3. กลุม่ สาระการเรยี นร้ทู ี่นํามาบูรณาการ และมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้วี ัด
4. สาระการเรียนรู้(ความรู้ -ทักษะ)
5. สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน(ความสามารถในการส่ือสาร/ความสามารถในการคิด/
ความสามารถในการแกป้ ัญหา/ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต/ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี)
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์(แยกเป็นคุณลักษณะของวิชา และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ของหลักสูตรฯ)(รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์/ชื่อสัตย์สุจริต/มีวินัย/ใฝ่เรียนรู้/อยู่อย่างพอเพียง/มุ่งมั่นในการ
ทํางาน/รกั ความเปน็ ไทย/มจี ิตสาธารณะ)
7. ช้ินงาน/ภาระงาน(ช้ินงาน/ภาระงานระหว่างเรียนตามตัวช้ีวัด และชิ้นงาน/ภาระงานรวบ
ยอดเป็นผลงานภาพรวมของหน่วยการเรียนรู้)
8. การวัดและประเมินผล(ชิ้นงาน/ภาระงาน วิธีวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์
การผา่ นรายบคุ คล เกณฑก์ ารผ่านรายกล่มุ )
9. กิจกรรมการเรียนรู้(นําเข้าสู่บทเรียน กิจกรรมได้รับความรู้ สรุปและนําเสนอ คร้ังละกี่
ช่ัวโมง ตามตารางสอน)
10. ส่อื อปุ กรณ์ และแหล่งเรยี นรู้
11. เครอื่ งมือวัด และแบบบนั ทึกคะแนน เช่น Rubrics แบบสังเกตแบบทดสอบ แบบบันทึกสรุป
คะแนนของนกั เรยี นแตล่ ะคน ฯลฯ
นอกเหนอื จากนัน้ ยังมีการจัดเตรียมส่ือ/แหล่งเรียนรู้/ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ส่ือเป็นเครื่องมือ
เชื่อมโยงความหมายการถ่ายทอดของครู และผู้เรียนให้สามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้ง่ายข้ึน รวมทั้งทําให้ผู้เรียน
สามารถสร้างองคค์ วามร้ไู ด้ด้วยตนเองจากนั้นจะเป็นข้ันตอนของการวัดและประเมินผล ซ่ึงเป็นการตรวจสอบ
ความกา้ วหนา้ การเรยี นของผูเ้ รียนเพอื่ นาํ ไปพัฒนาผูเ้ รยี นใหบ้ รรลมุ าตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด การวัดและ
ประเมนิ ผลการเรยี นรหู้ น่วยบรู ณาการ สามารถทาํ ได้ 2 กรณี คอื 1) การวัดและประเมินผลหน่วยการเรียนรู้ท่ี
บรู ณาการได้ทกุ กลมุ่ สาระการเรยี นรแู้ ละครอบคลมุ ทกุ มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี้วัด 2) การวดั และประเมนิ ผล
หน่วยการเรยี นรูท้ ีบ่ รู ณาการได้บางกลุ่มสาระการเรียนรู้ บางมาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชว้ี ัด และสุดทา้ ยจะเป็น
ขั้นตอนของการนิเทศ กํากับ และติดตามการดําเนินงาน การนิเทศติดตามเป็นกระบวนท่ีสําคัญท่ีจะช่วยให้การ
ขับเคล่ือนการจัดการเรียนรู้บูรณาการได้อย่างครบวงจรและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการนิเทศแบบ
กลั ยาณมติ ร และการช้แี นะ

คู่มือการพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 40

ภาษาองั กฤษ

วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล (2562 : 7-9) ไดก้ ลา่ วถงึ ข้ันตอนในการจัดการเรยี นรูแ้ บบบรู ณาการ
ว่ามี 5 ขน้ั ตอนดังตอ่ ไปน้ี

ขั้นท่ี 1 ผู้เรียนกําหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ของตนเองผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนมี
เปา้ หมายท่ตี อ้ งการประสบความสําเร็จทําใหผ้ ูเ้ รียนมีความร้สู ึกเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Ownership)
เสรมิ สร้างแรงจูงใจภายใน ใชเ้ ป้าหมายในการเรยี นร้เู ปน็ เครอ่ื งมอื ดงึ ศกั ยภาพของผเู้ รยี นออกมา

ข้ันที่ 2 ผูเ้ รยี นวางแผนการเรยี นรขู้ องตนเอง การเรยี นรู้
บูรณาการเชิงสร้างสรรค์มีลักษณะเป็น Project - based learning, Problem - based learning, Creative -
based learning, Research - based Learning และการเรียนรู้ในลักษณะอื่นๆที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติการ
สร้างสรรคน์ วตั กรรมทเ่ี ปน็ ประโยชน์ตามแนวทาง Active learning ผเู้ รียนสามารถบูรณาการ Concept ต่างๆ
เขา้ ไปในกระบวนการเรยี นรตู้ ามแผนการเรียนรขู้ องตนเอง

ขั้นท่ี 3 ผ้เู รยี นลงมอื ปฏบิ ตั ติ ามแผนการเรยี นรูข้ องตนเองดว้ ยความกระตอื รอื รน้ มี Growth
Mindset มีวินัยในตนเอง มีความเช่ือมั่นในความสามารถของตนเอง ใช้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายตาม
วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning style) ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธิภาพ นอกจากน้ีผู้เรียนยังต้องกํากับติดตาม (Monitor)ความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ของตนเอง และ
รายงานต่อผู้สอนอย่างต่อเนื่องในลักษณะของการแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน สําหรับผู้สอนทําหน้าที่โค้ช ให้
คาํ แนะนาํ ชว่ ยเหลอื ชี้แนะ ให้ผ้เู รียนใชก้ ระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ และแกป้ ญั หาได้ด้วยตนเอง แทนการ
ออกคาํ สง่ั หรือกําหนดเส้นทางการเรียนรใู้ หก้ ับผเู้ รยี นโดยท่ีผู้เรียนไม่ต้องคิดอะไร นอกจากน้ีผู้สอนยังมีหน้าที่
อํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน (Facilitator) ประเมินความก้าวหน้าทางการเรียนรู้และให้ข้อมูล
ยอ้ นกลบั เชงิ สร้างสรรค์ท่เี ปน็ ประโยชนต์ อ่ ผูเ้ รยี นตามสภาพจรงิ (Authentic Creative Feedback)

ข้นั ตอนที่ 4 ผู้เรียนประเมินตนเอง (Self - assessment) เกี่ยวกับ Concept ทไ่ี ด้เรยี นรู้ ทักษะที่เกิดการ
พัฒนา ตลอดจนสมรรถนะและคุณลักษณะที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้สะท้อนคิด (Reflection)
และถอดบทเรียน ( Lesson learned) เกี่ยวกบั แนวทางการปรบั ปรงุ และพฒั นาตนเองต่อไป

ข้นั ตอนที่ 5 ผูส้ อนใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับเชงิ สรา้ งสรรคใ์ นลักษณะของการให้ข้อมูลย้อนกลับสรุปผลการ
เรียนรู้ (Summative feedback) ให้ข้อมูลเก่ียวกับสิ่งท่ีผู้เรียนทาได้ดี ส่ิงที่ประสบความสําเร็จ และส่ิงที่ผู้เรียน
ควรปรับปรุงแกไ้ ข และเสนอแนะแนวทางการพฒั นาตนเองใหก้ บั ผเู้ รยี นรายบุคคล (Individualize feedback for
improvement)

ฆนัท ธาตุทอง (2551 : 62-63) ได้ให้แนวทางการจัดทําแผนการสอนแบบบูรณาการ ผ่านการ
ออกแบบการสอนเพ่อื การเรียนรแู้ บบบูรณาการซง่ึ เปน็ วธิ กี ารหน่งึ ทผี่ ู้สอนสามารถนําไปใชป้ ฏิบตั เิ พ่อื ใหเ้ กดิ การ
เรียนรู้แบบบูรณาการอย่างเป็นรูปธรรม ซ่ึงผู้สอนต้องเป็นผู้ดําเนินการบูรณาการหลักสูตรสู่การสอน โดย
เชอื่ มโยงกระบวนการ (Method) และเนือ้ หาสาระ (Subject matter) ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้รวมท้ังกิจกรรม
พัฒนาผเู้ รยี น โดยพจิ ารณาดําเนนิ การตามขัน้ ตอน ดงั นี้

1. อะไรที่นักเรียนต้องเรียนรู้ ผู้สอนต้องวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน นําไปสู่การ
กําหนดสาระการเรียนรู้ตามความต้องการและตรงตามความสนใจ รวมท้ังการนําไปพิจารณาว่าส่ิงที่ผู้เรียน
ตอ้ งการเรียนรู้นัน้ ตรงกบั มาตรฐานการเรยี นรูช้ ่วงชนั้ หรอื ผลการเรียนร้ทู ี่คาดหวังอย่างไรบ้าง

2. ความคดิ รวบยอดของเรื่องนั้นคืออะไร ความคิดรวบยอดถือเป็นส่ิงสําคัญในการจัดการ
เรยี นรู้ และเปน็ ผลการเรยี นรู้ทผ่ี ูเ้ รยี นไดร้ บั การพัฒนา จนมีความรู้ความเขา้ ใจทเี่ ปน็ แกน่ สาระหลักของสาระการ
เรียนรู้นั้น ๆ ส่งผลดีต่อผู้เรียนท่ีจะเรียนรู้สิ่งอ่ืน ด้วยความต่อเน่ืองและสามารถนําความคิดรวบยอดมา
เชอ่ื มโยงสัมพันธก์ ันได้อยา่ งเปน็ ระบบ

ค่มู ือการพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 41

ภาษาองั กฤษ

3. มคี ําถามสาํ คัญอะไรบ้างการต้ังคาํ ถาม เปน็ สิ่งสาํ คัญอีกประการหนึง่ ท่ีผสู้ อนต้องคาํ นงึ ถึง
เน่ืองจากคําถามต่างๆ เป็นส่ิงท่ีสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการที่จะหาคําตอบให้ได้
นอกจากหาคําตอบตามท่ีผู้สอนได้กําหนดไว้แล้ว ยังสามารถพัฒนาให้ผู้เรียนได้ตั้งคําถามได้ด้วยตัวเอง เพ่ือ
คน้ หาคําตอบตามทตี่ นเองสนใจได้อีกดว้ ย

4. จะประเมินผลการเรียนรู้อย่างไร เมื่อผู้สอนได้ออกแบบการเรียนรู้อย่างไรแล้ว จะมี
ความสัมพนั ธก์ บั การวัดและประเมินผลท่ีสอดคล้องกนั กล่าวคือ ผูส้ อนตอ้ งวเิ คราะหส์ าระการเรยี นรู้ ความคิด
รวบยอด หรือคําถามสําคัญออกเป็นพฤติกรรมของผู้เรียน ซึ่งในแต่ละสาระการเรียนรู้ ความคิดรวบยอด
หรอื คําถามสาํ คญั นน้ั ๆ สามารถกาํ หนดพฤติกรรมได้หลาย ๆ พฤตกิ รรม ทงั้ นี้ ในแตล่ ะพฤติกรรมจะถูกนํามา
สรา้ งและกาํ หนดเกณฑใ์ นการประเมนิ พฤตกิ รรมและระดับคุณภาพ รวมทั้งการแปลงพฤติกรรมเป็นคําคะแนนใน
การตัดสนิ ผลการเรยี นรูแ้ ละนาํ ไปพิจารณากับมาตรฐานหรือผลการเรียนรูท้ คี่ าดหวังตามคาํ อธิบายรายวชิ าและ
ตัดสินผลการเรียนต่อไป

5. เช่ือมโยงสาระการเรยี นรอู้ ่ืนอยา่ งไร เน่ืองจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2544 ได้กาํ หนดมาตรฐานการเรียนรู้ของสาระการเรยี นรู้ 8 กลุ่มสาระ และกาํ หนดให้จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ในการเชอ่ื มโยงสาระการเรยี นร้ตู ่าง ๆ จะเป็นการสมผสานชอื่ มโยงเนื้อหาสาระและกระบวนการ ของท้ัง 8 กลุ่ม
สาระการเรียนโดยไม่ติดยึดกับการจัดการเรียนรู้เฉพาะกลุ่มสระใดสาระหนึ่งเท่านั้น ผู้สอนจึงต้องพยามยาม
เชอื่ มโยงสาระการเรยี นรตู้ ่าง ๆ เข้าด้วยกนั ใหไ้ ด้

6. มีลําดับช้ันตอนการจัดกิจกรรมอย่างไร ในการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เขียนได้รับการ
พฒั นาอยา่ งแทจ้ ริง ผ้สู อนต้องศึกษากระบวนการ ชั้นตอน วธิ กี าร เทคนคิ การสอน ซ่ึงในแต่ละกิจกรรม แต่ละ
จุดเน้น แต่ละครั้งจะมีลําดับขั้นตอนในการจัดกิจกรรมท่ีแตกต่างกันออกไป เมื่อผู้สอนเลือกข้ันตอนการจัด
กิจกรรมใด้แล้ว จะนําไปสู่การเตรียมการในรายละเอียดได้อย่างรัดกุม รอบคอบและส่งผลดีต่อการพัฒนา
ผู้เรยี นอยา่ งแท้จรงิ

7. ใช้อะไรเป็นสอื่ และแหล่งการเรียนรู้ สื่อท่ีใช้ในการจัดการเรียนรู้ มีทั้งส่ือบุคคล สื่อส่ิงพิมพ์
สอ่ื เทคโนโลยี หรอื อนื่ ๆ ผสู้ อนต้องรวบรวม พจิ ารณา พฒั นา คัดเลือก คัดสรร เพอ่ื นําสือ่ ทเ่ี หมาะสมมาใช้ใน
การพัฒนาผู้เรียน นอกจากนี้ ผู้สอนต้องประสานงานจัดให้มีพัฒนา จัดหาแหล่งการเรียนรู้ทั้งในสถานศึกษา
และนอกสถานศกึ ษา เพ่อื แนะและนาํ มาใช้ในการพัฒนาผู้เรยี นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

8. มีชน้ิ งานอะไร และมีเกณฑ์การประเมินช้ินงานเหล่าน้ันอย่างไรชิ้นงานหรือผลผลิตจากการ
เรียนรู้ทใ่ี นแตล่ ะคร้งั หรอื มากกวา่ หนง่ึ คร้งั ก็ตาม เป็นส่ิงท่ีสะท้อนและแสดงใหเ้ หน็ ภาพและผลของการเรียนรู้ของ
ผเู้ รยี นที่ได้เช่อื มโยง ประสานความรู้ ความสามารถจากหลากหลายกลุม่ สาระรวมทั้งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเข้า
ด้วยกัน แล้วผลิตชิ้นงานนั้นออกมา ดังนั้น ผู้สอนจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ สามารถร่วมกันประเมิน
ชิน้ งานนน้ั 1 ร่วมกัน แล้วสะทอ้ นให้เหน็ ผลการเรียนรู้ของผู้เรยี นวา่ บรรลตุ ามมาตรฐานการเรยี นรหู้ รอื ผลการ
เรียนรู้ทค่ี าดหวังหรือไม่ อยา่ งไร ในการประเมนิ ชน้ิ งานแต่ละชิ้นงาน ผสู้ อนตอ้ งกาํ หนดเกณฑก์ ารประเมนิ ช้นิ งาน
ใหช้ ดั เจน โดยแจ้งเกณฑ์ต่ง ๆ เหล่านั้นให้ผู้เรียนได้รับทราบ พร้อมทั้งให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการปรับปรุงแก้ไข
กาํ หนดเกณฑต์ ่าง ๆ เหล่านนั้ ให้เหมาะสมอีกด้วย

คูม่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 42

ภาษาองั กฤษ

การจดั การเรยี นร้แู บบบรู ณาการการสอนภาษาองั กฤษ คอื กระบวนการการจดั การเรยี นการสอนโดย
ใช้ภาษาอังกฤษบูรณาการสอดแทรกในรายวิชาแต่ละวิชา โดยมีครูไทยเป็นผู้สอน ใช้ความรู้ ความสามารถใน
การจดั ประสบการณ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ท่ีบูรณาการภาษาอังกฤษกับสาระ โดยคํานึงถึงความรู้ ความเข้าใจใน
เนื้อหาของศาสตร์น้ัน ควบคู่กับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษส่ือสารกับผู้เรียนตามความสามารถของ
ผู้สอน หรือการใช้สื่อการสอน นวัตกรรมท่ีใช้ภาษาอังกฤษ แต่ยังใช้ภาษาไทยเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้ครูและ
ผ้เู รยี นพยายามใช้ภาษาองั กฤษในชั้นเรียน สําหรับความสําคัญของการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการการสอน
ภาษาอังกฤษมีนักวิชาการไดก้ ลา่ วไว้ดังตอ่ ไปนี้

พรรณวลัย เกวะระ (2560 : 171) ได้กล่าวไว้ว่าการจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้
จํากัดอยใู่ นเฉพาะหลักสตู รสองภาษาเท่านัน้ ปจั จุบันสถานศกึ ษาสนบั สนุนให้ครปู ระจําวชิ าใช้ภาษาอังกฤษในการ
จดั การเรียนการสอนในสาระวิชาที่หลากหลายอย่างกว้างขวางท่ีและได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจาก
กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องโดยตระหนักถึงความสําคัญในการใช้ภาษาอังกฤษจุดมุ่งหมาย
สําคัญคือการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในทุกระดับการศึกษาโดยตั้งมาตรฐานความสามารถทาง
ภาษาท้ังกับครูผู้สอนและผู้เรียนเพ่ือยกระดับความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษในทิศทางท่ีชัดเจน วิทย
ภาษาบูรณาการเปน็ แนวคดิ ในการจดั การเรยี นการสอนเปน็ ภาษาองั กฤษทเี่ นน้ ความสนใจและความต้องการของ
ผู้เรียนเป็นสําคัญการจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษน้ันครูผู้สอนควรได้รับความเข้าใจในแนวคิดเพ่ือ
จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ท้ังด้านเน้ือหาสาระและทักษะทางภาษาซ่ึงเป็นผลพลอยได้จากการ
จดั การเรียนการสอนแบบวทิ ยภาษาบรู ณาการ โดยแนวการสอนแบบวทิ ยภาษาบูรณาการนั้นไมไ่ ด้เปน็ การสอน
ภาษาเพียงอย่างเดียวแต่เป็นกระบวนการที่ยึดเอาเน้ือหารายวิชาเป็นหลักโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการ
สื่อสาร ในบริบทช้ันเรียนในประเทศไทยมีโครงการสนับสนุนการใช้ภาษาอังกฤษในหลากหลายรูปแบบตาม
นโยบายการปฏิรูปการสอนภาษาอังกฤษ เช่นการจัดการเรียนการสอนแบบสองภาษาหรือ English Bilingual
Education (EBE)โดยจดั การเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ สงั คมศาสตรแ์ ละศลิ ปะแบบสองภาษา (ไทย-องั กฤษ)
หรอื English Integrated Studies (EIS) ที่สนับสนนุ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์เปน็ ภาษาอังกฤษโดย
เน้นไปท่ีสาระการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรู้และภาษา ดังนั้นการเรียนแบบการท่องจําหรือการเรียนโครงสร้าง
ไวยากรณ์โดยตรงจากคู่มือจะหมดไป แต่จะเป็นการเรียนที่สัมพันธ์กับความรู้พ้ืนฐาน ทักษะและทัศนคติของ
ผู้เรยี น เปน็ วธิ ีการแบบมงุ่ ประสบการณข์ องผูเ้ รียน วิทยภาษาบรู ณาการน้ีครูจะสอดแทรกภาษาอังกฤษในการ
เรียนการสอนโดยการสอนคําศัพท์ เน้ือหาและนําผู้เรียนไปสู่การบรรลุกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยมีผูส้ อนจะเปน็ ผ้อู ํานวยความสะดวกทางเนอ้ื หาสาระและภาษาเมอ่ื ผเู้ รียนพบอปุ สรรคทางภาษาในการสอ่ื สาร
จะเป็นโอกาสใหผ้ ูส้ อนเข้ามามีส่วนร่วมในการตอบสนองความต้องการในการใช้ภาษาของผู้เรียนในบริบทจริงท่ี
เกดิ ขึ้นระหวา่ งกจิ กรรมการเรียน ผสู้ อนจะคํานงึ ถึงความสามารถพ้นื ฐานของผู้เรียนท้ังทางสาระการเรียนรู้และ
พน้ื ฐานทางภาษาเปน็ สําคัญ อาจจะตอ้ งมกี ารพูดทบทวนหลายคร้ังและอาศยั ระยะเวลา การเรยี นรู้ภาษาอังกฤษ
จะเป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพเมอื่ บรรยากาศการเรยี นมงุ่ ไปที่เน้ือหาไม่ใช่การเรียนท่ีเน้นไปที่โครงสร้างทางภาษา
หรือไวยากรณ์โดยตรงดังที่พบเห็นได้บ่อยในช้ันเรียนภาษาอังกฤษ การเรียนผ่านการทดลอง กิจกรรมท่ี
เก่ยี วข้องกับส่ิงแวดลอ้ มใกลต้ วั หรอื ชุมชนในขณะทผี่ สู้ อนทําหนา้ ทส่ี นับสนุนทางภาษาและเนือ้ หา การเรยี นภาษา
จะดําเนินไปอย่างเตม็ ทแ่ี ละมปี ระสทิ ธิภาพและอาจกลา่ วได้วา่ พฒั นาการทางภาษาเปน็ ผลพลอยไดจ้ ากการเรยี นใน
ลักษณะนี้

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 43

ภาษาองั กฤษ

กันยารัตน์ วงษ์วิบูลย์สิน (2561 : 2-3) ได้กล่าวถึงความสําคัญของการจัดการเรียนรู้เป็น
ภาษาอังกฤษไว้ว่า ประเทศไทยกําลังก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเป็นพลเมืองของโลก จึงมีความจําเป็นท่ี
จะต้องพัฒนาทักษะการใช้ภาษาท่ีสอง คือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นภาษาสากล โดยวางรากฐานการใช้
ภาษาอังกฤษจากวัยเรียนอันป็นวัยทกี่ าํ ลังศึกษาอยู่ในสถานศกึ ษา แตเ่ ดมิ นั้นไดม้ ีการพัฒนรปู แบบของโรงเรียน
สองภาษา ซง่ึ เป็นโรงเรียนท่ีจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ เพ่ือพัฒนาศักยภาพด้วยความรู้
ความสามารถและทักษะทางภาษาของนักเรียน สอดแทรกคณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันดีงาม ซึ่งทําใน 2
รปู แบบ คือ รปู แบบEnglish Program (EP) เป็นรปู แบบการจดั การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทุกวิชายกเว้น
เนอ้ื หาวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษาท่ีเกี่ยวขอ้ งกับความเป็นไทย กฎหมายไทย ประเพณีและวัฒนธรรมไทย และ
รูปแบบ Mini English Program (MEP) เปน็ รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนเปน็ ภาษาองั กฤษท่ีไม่เกินร้อยละ 50
ของช่ัวโมงเรียนทงั้ หมดต่อสปั ดาห์ ท้ังนโ้ี รงเรียนทม่ี กี ารจดั การเรียนการสอนแบบโรงเรยี นสองภาษาท่ีได้รับการ
อนญุ าตจากกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องมีความพร้อมท้ังด้านปัจจัย การบริหารจัดการ และการจัดการเรียน
การสอน อกี ทัง้ ยงั พดู ถงึ การเรยี นการสอนดว้ ยภาษาอังกฤษแบบบรู ณาการ (English for Integrated Studies:
EIS) ซ่ึงเปน็ การเรียนการสอนโดยการบูรณาการภาษาอังกฤษจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยครูผู้สอนคน
ไทย ในปี พ.ศ. 2547เร่ิมจากการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนสุนทรภู่พิทยา จ.ระยอง โดยการทดลอง
จัดการเรียนการสอนรูปแบบสองภาษาในวิชาคณิตศาสตร์กับนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 จํานวน 3
ห้องเรียน พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้ได้รับความสนใจจากนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และ
ชุมชน ในปีถัดมาจึงขยายผลจัดการเรียนการสอนรูปแบบสองภาษาในรายวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
คอมพวิ เตอร์ และภาษาอังกฤษ เป็น 9 ห้องเรียน และขยายผลเพ่ิมเติมในปีต่อมา พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์
ทางดา้ นการเรยี นภาษาองั กฤษสงู กวา่ นกั เรยี นปกติทงั้ ในระดบั ชัน้ เดียวกัน และต่างระดับชั้น นักเรียนสามารถใช้
ภาษาอังกฤษเพื่อส่ือสารกับชาวต่างชาติได้มากขึ้น ผู้ปกครองให้การสนับสนุนต่อการจัดการเรียนการสอน
ด้วยภาษาองั กฤษแบบบรู ณาการ ตลอดจนครผู ูส้ อนวชิ าคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ท่ีไม่เคย
ใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่ือการสอนมาก่อนได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ จนสามารถใช้
ภาษาอังกฤษเป็นส่ือในแต่ละวิชาได้ไม่แตกต่างจากครูชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังเกิดการขยายผลการจัด
การศึกษาไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ ใน จ.ระยอง และ จ.จันทบุรี ซึ่งให้ผลท่ีคล้ายคลึงกัน รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาชั้นพ้ืนฐานจึงเห็นสมควรและสนับสนุนให้สมาคม
EIS แห่งประเทศไทย จดั ทําโครงการจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และวิชาอ่ืน
ๆ ด้วยภาษาอังกฤษแบบบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียนขึ้นเพ่ือเป็นโครงการนําร่องส่งเสริมประสิทธิภาพ และ
ความเข้มแข็งในการจัดการเรียนการสอน เสริมสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษของผู้บริหาร ครูผู้สอนวิชา
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ คอมพวิ เตอร์ และวิชาอื่น ๆ (สมาคม EIS แหง่ ประเทศไทย, 2564)

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 44

ภาษาองั กฤษ

Mehisto, Marsh and Frigols (2008) อธิบายหลักการจัดการเรียนรู้ดว้ ยการบรู ณาการภาษาอังกฤษ
กับสาระ ดังน้ี

1. การจดั การเรียนรทู้ ีม่ คี วามหลากหลาย โดยสนบั สนุนการเรยี นรภู้ าษาองั กฤษในวิชาต่าง ๆ
และสนับสนุนการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ ในห้องเรียนภาษาต่างประเทศหรือภาษาที่สองเป็นการบูรณาการ
หลากหลายวชิ าและบูรณาการข้ามหลกั สตู ร ผสู้ อนสะท้อนการเรียนรู้รว่ มกนั

2. การเรียนรู้ตามสภาพจริง เพือ่ เปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดร้ ับความช่วยเหลอื ในด้านการใช้ภาษา
เม่ือจําเปน็ และเรียนรู้ตามความสนใจ โดยเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการดําเนินชีวิตของผู้เรียนการเรียนรู้กับผู้ที่มี
ประสบการณ์ และการใชส้ ่ือจากแหลง่ การเรียนรทู้ หี่ ลากหลาย

3. การเรียนรู้แบบลงมือกระทํา กล่าวคือ ผู้เรียนเป็นส่วนหน่ึงของเป้าหมายการเรียนรู้ท้ัง
เนือ้ หา ภาษา และทักษะการเรียนรู้ ส่งเสรมิ และเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นส่อื สารในช้นั เรยี นมากกวา่ การใหผ้ สู้ อนเป็นผู้
ส่ือสาร และให้ผเู้ รยี นเรียนร้จู ากการทางานร่วมกันเป็นทีม โดยมีผู้สอนเป็นผู้อํานวยความสะดวก และให้ผู้เรียน
ประเมนิ ความกา้ วหนา้ การเรียนรูด้ ้วยตนเอง

4. การเสริมต่อการเรียนรู้ ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิดและค้นคว้าหาความรู้โดยการ
เสริมสร้างทักษะ ความสนใจ และประสบการณ์ ให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ที่หลากหลายโดยมีผู้สอนเป็นผู้
ประมวลความรใู้ ห้แกผ่ ู้เรยี น

5. ความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอน เปน็ การวางแผนการเรียนรู้ โดยการสร้างความ
ร่วมมือระหว่างผู้สอนในรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการภาษากับสาระและผู้สอนในรูปแบบปกติ การ
ร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน เพ่ือสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนและสํารวจความต้องการจาเป็น
ของผู้เรยี นในการจัดการเรียนการสอน

มนตรี แย้มกสกิ ร, พงศเ์ ทพ จริ ะโร, วิลาวัลย์ โพธ์ิทอง, พัชรี ทองอําไพ, และรุ่งทิพย์ แซ่แต้ (2557) ได้
สรุปหลกั การจัดการเรียนรูแ้ บบบรู ณาการการสอนภาษาอังกฤษว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาที่สองได้ดีจาก
ภาษาแม่ สัญลักษณ์ และสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่ส้ัน ง่าย และคุ้นเคย หรือรูปแบบ SSF (S: short, S: simple, F:
familiar) ดังน้นั การท่ผี ู้สอนใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียน (Classroom English) ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนมากเท่าท่ี
จาเป็นจะสง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียนคดิ เปน็ ภาษาอังกฤษและใชภ้ าษาได้เร็วข้นึ

คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 45

ภาษาองั กฤษ

Mehisto, Marsh and Frigols (2008) อธิบายหลักการจัดการเรียนรู้ดว้ ยการบรู ณาการภาษาอังกฤษ
กับสาระ ดังน้ี

1. การจดั การเรียนรทู้ ีม่ คี วามหลากหลาย โดยสนบั สนุนการเรยี นรภู้ าษาองั กฤษในวิชาต่าง ๆ
และสนับสนุนการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ ในห้องเรียนภาษาต่างประเทศหรือภาษาที่สองเป็นการบูรณาการ
หลากหลายวชิ าและบูรณาการข้ามหลกั สตู ร ผสู้ อนสะท้อนการเรียนรู้รว่ มกนั

2. การเรียนรู้ตามสภาพจริง เพือ่ เปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดร้ ับความช่วยเหลอื ในด้านการใช้ภาษา
เม่ือจําเปน็ และเรียนรู้ตามความสนใจ โดยเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการดําเนินชีวิตของผู้เรียนการเรียนรู้กับผู้ที่มี
ประสบการณ์ และการใชส้ ่ือจากแหลง่ การเรียนรทู้ หี่ ลากหลาย

3. การเรียนรู้แบบลงมือกระทํา กล่าวคือ ผู้เรียนเป็นส่วนหน่ึงของเป้าหมายการเรียนรู้ท้ัง
เนือ้ หา ภาษา และทักษะการเรียนรู้ ส่งเสรมิ และเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นส่อื สารในช้นั เรยี นมากกวา่ การใหผ้ สู้ อนเป็นผู้
ส่ือสาร และให้ผเู้ รยี นเรียนร้จู ากการทางานร่วมกันเป็นทีม โดยมีผู้สอนเป็นผู้อํานวยความสะดวก และให้ผู้เรียน
ประเมนิ ความกา้ วหนา้ การเรียนรูด้ ้วยตนเอง

4. การเสริมต่อการเรียนรู้ ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิดและค้นคว้าหาความรู้โดยการ
เสริมสร้างทักษะ ความสนใจ และประสบการณ์ ให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ที่หลากหลายโดยมีผู้สอนเป็นผู้
ประมวลความรใู้ ห้แกผ่ ู้เรยี น

5. ความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอน เปน็ การวางแผนการเรียนรู้ โดยการสร้างความ
ร่วมมือระหว่างผู้สอนในรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการภาษากับสาระและผู้สอนในรูปแบบปกติ การ
ร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน เพ่ือสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนและสํารวจความต้องการจาเป็น
ของผู้เรยี นในการจัดการเรียนการสอน

มนตรี แย้มกสกิ ร, พงศเ์ ทพ จริ ะโร, วิลาวัลย์ โพธ์ิทอง, พัชรี ทองอําไพ, และรุ่งทิพย์ แซ่แต้ (2557) ได้
สรุปหลกั การจัดการเรียนรูแ้ บบบรู ณาการการสอนภาษาอังกฤษว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาที่สองได้ดีจาก
ภาษาแม่ สัญลักษณ์ และสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่ส้ัน ง่าย และคุ้นเคย หรือรูปแบบ SSF (S: short, S: simple, F:
familiar) ดังน้นั การท่ผี ู้สอนใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียน (Classroom English) ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนมากเท่าท่ี
จาเป็นจะสง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียนคดิ เปน็ ภาษาอังกฤษและใชภ้ าษาได้เร็วข้นึ

คูม่ อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 46

ภาษาองั กฤษ

จากการศึกษาเร่ืองการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ และการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการการสอน
ภาษาอังกฤษจากหน่วยงาน นักการศึกษา และนักกวิชาการต่างๆน้ันสามารถสังเคราะห์เป็นแนวทางในการ
จดั การเรยี นรู้แบบบรู ณาการการสอนภาษาอังกฤษในทุกกลุ่มสาระ โดยใช้แนวการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ของ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2560 : 14-16) ชนาธิป พรกุล (2561 : 27-28) ฆนัท ธาตุทอง
(2561 : 42-50) เข้ากับแนวทางการจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษตามแนวคิดของ Mehisto, Marsh
and Frigols (2008) ไดด้ งั ภาพ

หาขอบเขตเนอ้ื หาภาษาองั กฤษ หรือทกั ษะ
ทางด้านภาษาองั กฤษทเี่ กย่ี วข้อง

สือ่ และใบงานทใ่ี ชค้ าศพั ท์
ภาษาองั กฤษ (บางส่วน)

คู่มอื การพัฒนาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 47

ภาษาองั กฤษ

สมโภชน์ พนาวาส (2561 : ) ไดศ้ ึกษาเกีย่ วกับการบรู ณาการการเรียนการสอนภาษาอังฤษในรายวิชา
ทีไ่ ม่ใช่วิชาภาษาอังกฤษวา่ เปน็ การสอนแบบบรู ณาการคอื การสอนท่นี าํ เอาสาระความรู้ของศาสตร์สาขาต่าง ๆ
ที่มีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกันมาผสมผสานกันในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ทําให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้สาระความรขู้ องศาสตร์หลายสาขาไปพร้อม ๆ กันและสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการดําเนินชีวิตได้ โดย
วิธีการสอนบูรณาการภาษาอังกฤษในรายวิชาอื่น ๆน้ันสามารถสอดแทรกและบูรณาการในองค์ประกอบและ
กระบวนการจัดการเรียนรู้ได้ดังน้ี 1) การสอดแทรกภาษาอังกฤษในสื่อการสอน 2) การสอดแทรก
ภาษาอังกฤษในกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3)การสอดแทรกภาษาอังกฤษในกระบวนการประเมินผล โดยมี
รายละเอยี ดในการสอนแบบบูรณาการทง้ั 3 วิธี ดังน้ี

การบูรณาการภาษาอังกฤษในส่ือการสอน ในกระบวนการเรียนการสอนหรือการจัดการเรียนรู้น้ัน
ส่ือการสอนเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ นอกจากตัวผู้สอน ผู้เรียนและสภาพแวดล้อมในการ
จัดการเรยี นรู้ สอื่ การสอนจะทําให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น งา่ ยขนึ้ ซึ่งในปัจจุบันส่ือการสอนมีมากมายและ
หลากหลายท่ีครูสามารถเลือกใช้ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับวิธีการสอนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแผ่นชาร์ต
กระดานดํา แบบฝึก ใบความรู้ใบงาน และสื่อที่มีเทคโนโลยีประกอบ เช่น PowerPoint คอมพิวเตอร์ เป็นต้น สื่อ
เหล่าน้ีจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจท่ีจะเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากสื่อที่
ทันสมัย นอกจากน้ันส่ือยังสามารถช่วยแก้ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนได้โดยทําให้ประหยัดเวลาในการ
อธิบาย ช่วยทําให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ง่าย รวดเร็วและชัดเจนมากย่ิงขึ้นโดยเฉพาะการอธิบายในส่ิงท่ีเป็น
นามธรรม ส่อื จะช่วยทําให้เป็นรูปธรรมจนทําให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายและสร้างความประทับใจในการเรียนรู้ได้ โดย
ปกติครูที่สอนวิชาอื่นท่ไี ม่ใชว่ ชิ าภาษาอังกฤษกจ็ ะทําสอ่ื การสอนท่เี ป็นภาษาไทยทั้งหมด แต่ถา้ จะสอนแบบบูรณา
การภาษาอังกฤษจึงควรทําสื่อที่มีภาษาอังกฤษเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยสามารถทําได้ดังขั้นตอนต่อไปน้ี 1)
สาํ รวจในรายวิชาของตนเองวา่ มีคําหรือวลที ี่ใชเ้ ฉพาะสาขาวิชาอะไรบ้างทจ่ี าํ เป็นตอ้ งไดร้ ับการอธิบายและสาํ คัญ
กับรายวิชาและผเู้ รียน ซ่งึ ส่วนใหญ่มกั จะเป็นหัวข้อที่ตอ้ งการการขยายความ เมอื่ ไดค้ าํ ศพั ท์ท่ีต้องการแลว้ นาํ มา
เขียนภาษาอังกฤษกํากับไว้แต่ละคํา แล้วจดบันทึกไว้ 2) นําคําท่ีสํารวจไว้แล้วไปใช้ในสื่อกรสอนโดยเขียนเป็น
คําศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น ใบงาน ใบความรู้ หรือ PowerPoint หรือบนกระดานที่ครูใช้สอนโดยเขียนคําหรือ
หัวข้อเป็นภาษาอังกฤษและ ไม่ต้องเขียนคําแปลภาษาไทย แต่ครูใช้การอธิบายขยายความรู้ที่ได้จากคํา
ภาษาองั กฤษเป็นภาษาไทย เพ่มิ เติมเพอ่ื ใหเ้ กิดความเขา้ ใจเนื้อหาสาระของวชิ าท่ีสอน แต่ท่สี าํ คญั ครูต้องสอนให้
ผู้เรียนฝึกอ่านออกเสียง ฝึกการบอกความหมายและการเขียนสะกดคําให้ถูกต้อง ซ่ึงอาจเป็นภาระของครูอยู่
บ้าง เพราะหากครูยังไม่ มั่นใจในการออกเสียงคําศัพท์นั้น ๆ จึงเป็นภาระที่ครูต้องฝึกอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง
เสียก่อนเปน็ ภาระในการหาความหมายคาํ ศัพท์ท่ีชดั เจนตรงตามสาขาวิชาของตน ซง่ึ การใชพ้ จนานุกรมหรอื การ
สอบถามผู้รูส้ ามารถช่วยครูแกป้ ัญหาได้ในประเดน็ น้ี

การบูรณาการภาษาอังกฤษในกิจกรรมการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนการสอนหรือกิจกรรมการ
เรยี นรู้ (Learning Activities) เป็นข้ันตอนหน่ึงในกระบวนการจัดการเรียนรู้ท่ีมีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็น
ข้ันตอนท่ีผู้เรียนจะได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับเน้ือหาและสาระของรายวิชา ดังน้ันการสอดแทรก
ภาษาอังกฤษในกิจกรรมการเรียนรู้จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ครูผู้สอนรายวิชาอื่นสามารถทําได้และเชื่อว่าจะช่วยให้
ผู้เรียนสามารถเกิดการเรยี นรู้ภาษาองั กฤษไดด้ ี เพราะเปน็ สง่ิ ท่ผี เู้ รียนจะไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิกิจกรรมดว้ ยตนเองดงั ท่ี
กลา่ วแลว้ ดังนั้นไม่วา่ จะเปน็ รายวชิ าใดก็ตามครูสามารถออกแบบกิจกรรมให้เกย่ี วข้องกบั การใช้ภาษาองั กฤษได้
ดังท่ียกตัวอย่างไว้ดังน้ี 1) กิจกรรมการอ่าน มอบหมายให้ผู้เรียนอ่านบทอ่านสั้น ๆ ท่ีเป็นภาษาอังกฤษท่ีครู
กําหนดมาใหซ้ ง่ึ เกี่ยวขอ้ งกับเน้ือหา สาระของรายวชิ าทีส่ อน โดยการมอบหมายใหเ้ ป็นงานกลุม่ หรืองานเดี่ยว

ค่มู อื การพฒั นาทกั ษะการบรู ณาการการสอน 48

ภาษาองั กฤษ

กไ็ ด้ แล้วใหส้ รปุ เป็นภาษาไทย พรอ้ มทั้งให้เขียนคําศัพท์ภาษาอังกฤษท่ีสําคัญไว้ในการสรุปด้วย แล้วให้นําเสนอ
หรืออภิปรายหน้าช้ันเรียน และท่ีสําคัญคือ ครูต้องคอยตรวจสอบความถูกต้องในการอ่าน การออกเสียง
คําศพั ท์และการแปลความหมายด้วย 2) กิจกรรมการค้นความหมายคําศัพท์ครูกําหนดคําศัพท์ภาษาอังกฤษที่
เป็นเนอ้ื หา สาระ ของรายวิชาท่สี อนซึง่ อาจใชใ้ บงานก็ได้ และก่อนให้ผู้เรยี นทํากิจกรรม ครูต้องสอนและฝึกการ
อ่านออกเสียงคําให้ผู้เรียนก่อน แล้วจึงให้แยกทํางานกลุ่มหรืองานเด่ียวก็ได้ โดยให้ค้นหาความหมายของ
คําศัพท์พร้อมกับคําอธิบายเพิ่มเติม กําหนดเวลาส่งงานตามความเหมาะสมกับจํานวนคําศัพท์ที่ให้ค้นหา
กิจกรรมนี้อาจทําได้ท้ังในและนอกห้องเรียน อาจเป็นห้องสมุดที่มีระบบอินเตอร์เน็ตท่ีสามารถช่วยให้นักเรียน
ค้นหาคําศัพท์ได้รวดเร็วและกว้างขวางขึ้น 3) กิจกรรมจัดกลุ่มคําศัพท์ครูกําหนดคําศัพท์ภาษาอังกฤษท่ีเป็น
เน้อื หา สาระ ของรายวชิ า ทมี่ คี วามหลากหลาย แล้วให้ผู้เรียนนํามาจัดเป็นกลุ่มคําท่ีมีความหมายสอดคล้องใน
เรอ่ื งเดยี วกัน ใชค้ วามหมายเป็นเกณฑใ์ นการจัดกลุ่มแล้วให้ผู้เรียนนําเสนอโดยการเล่าเรื่อง (เป็นภาษาไทย) ว่า
เกี่ยวข้องกันอย่างไร ครูควรให้คําแนะนําหลังการนําเสนอโดยตรวจสอบเน้ือหาว่าตรงตามเนื้อหาสาระวิชา
หรือไม่ กิจกรรมนี้เหมาะกับการทํากิจกรรมกลุ่มย่อยและท่ีสําคัญควรสอนและฝึกการออกเสียงคําศัพท์
ภาษาอังกฤษดว้ ยจากกิจกรรมท่ีกลา่ วมาเป็นเพยี งกิจกรรมตวั อยา่ งส่วนหนง่ึ ที่ครรู ายวิชาอื่น ๆ สามารถทําได้
ครูสามารถคิดและสร้างสรรค์กิจกรรมอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคําศัพท์ภาษาอังกฤษให้ผู้เรียนได้อีก
มากมาย แต่อยา่ หลงประเด็นว่า เรากาํ ลงั สอนวิชาอะไร ไม่ใชเ่ ป็นการสอนภาษาอังกฤษแทนครูภาษาอังกฤษเรา
เปน็ เพยี งผู้ส่งเสริม สนบั สนนุ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ การพัฒนาภาษาอังกฤษเพมิ่ มากขน้ึ เทา่ น้ัน หากครูคิดมากไปกว่านีจ้ ะ
ทําให้รู้สึกว่ายากเกินไป ทําให้เกิดความท้อแท้ท่ีจะคิดกิจกรรมสอดแทรกภาษาอังกฤษและท่ีสําคัญจะกลายเป็น
ความกังวลและความทกุ ขใ์ นการสอนซง่ึ จะนําไปสกู่ ารสอนท่ลี ม้ เหลว

การบูรณาการภาษาองั กฤษในกระบวนการประเมนิ ผล ในกระบวนการเรียนการสอน ขั้นตอนที่สําคัญ
อีกประการหน่ึงคือการประเมินผลการเรียนรู้ เป็นข้ันตอนการตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในสิ่งท่ี
ดําเนนิ การสอนไปหรือไม่ ซ่ึงสามารถประเมินได้ในขณะสอนหรือขณะที่ผู้เรียนทํากิจกรรมโดยการสังเกต หรือ
ประเมินหลังการทํากิจกรรมเสร็จส้ินโดยการประเมินรวบยอดหลังการเรียนจบรายวิชาเลยก็ได้โดยใช้
แบบทดสอบ ซ่ึงในส่วนน้ีนอกจากจะประเมินความรู้เนื้อหาสาระของรายวิชาแล้ว จะต้องประเมินความรู้ด้าน
ภาษาอังกฤษด้วย โดยครูต้องนําคําศัพท์ภาษาอังกฤษท่ีได้สอดแทรกและสอนไปแล้วนั้นมาออกข้อสอบหรือ
นาํ มาประเมนิ ความรู้ดว้ ยวิธกี ารอ่ืนดว้ ย แตก่ อ่ นจะมาถงึ ข้ันการประเมินผล ครตู อ้ งยอ้ นกลับไปดูที่วตั ถุประสงค์
ของการเรียนดว้ ยวา่ ได้กําหนดไวห้ รือไมว่ า่ จะมีการวัดและประเมินผลด้านภาษาอังกฤษ ถ้ายังไม่มีการกําหนดไว้
ในวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ต้องย้อนกลับไปกําหนดไว้ในวัตถุประสงค์ข้อใดข้อหน่ึงด้วยว่าต้องการให้ผู้เรียนมี
ความร้ภู าษาอังกฤษในระดับใด เช่น ผู้เรียนสามารถบอก อธบิ าย ความหมายของคาํ ศัพทภ์ าษาองั กฤษได้ หรือ
สามารถออกเสียงคําศัพท์ภาษาอังกฤษที่กําหนดให้ได้ถูกต้อง สามารถเขียนคําศัพท์ได้ถูกต้อง เป็นต้น การ
กําหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้เป็นส่ิงสําคัญและจําเป็น ครูท่ีสอนโดยไม่กําหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้
เปรยี บเสมอื นการสอนอย่างไร้ทศิ ทาง ไมม่ ีเป้าหมายวา่ ตอ้ งการใหผ้ ู้เรียนรอู้ ะไร (Cognitive Domain) ทาํ อะไรได้
(Psychomotor Domain) และเป็นอย่างไร(Affective Domain) ซ่ึงเป็นหลักของการจัดการเรียนรู้ ก่อนสอนครู
ควรถามตนเองเสมอว่า คาบน้ี ชั่วโมงน้ีลูกศิษย์จะต้องรู้อะไร ทําอะไรได้ และเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับการสอน
แล้วไมม่ กี ารประเมินผล กจ็ ะมคี ําถามเกดิ ขึ้นว่า สอนเพอ่ื อะไร สอนไปทําไม และถอื วา่ ทําไม่ครบกระบวนการสอน
ดังนั้นครูจึงต้องให้ความสําคัญกับการกําหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้ชัดเจนเพื่อเช่ือมต่อให้เกิดการ
ประเมินผลตามวัตถุประสงค์นั้น เม่ือกําหนดวัตถุประสงค์แล้วว่าในรายวิชานี้ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ด้าน
ภาษาอังกฤษด้วย จึงจะสามารถนํามาประเมินผลหลังการสอนได้โดยจัดทําเป็นข้อสอบหรือทํากิจกรรมการ
ประเมินรปู แบบอน่ื ๆ ซึ่งโดยทวั่ ไปการสอนแบบบรู ณาการควรเนน้ การประเมินตามสภาพจรงิ เชน่ การประเมนิ


Click to View FlipBook Version