The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รอบรู้เรื่องราว รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตามรอยสุนทรภู๋

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wasin Phurahong, 2020-02-05 03:48:16

รอบรู้เรื่องราว รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตามรอยสุนทรภู๋

รอบรู้เรื่องราว รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตามรอยสุนทรภู๋

1





คำนำ

รายงานฉบบั นเี้ ปน็ สว่ นหนึง่ ของรายวิชาวรรณคดีสนุ ทรภู่ รหัสวชิ า 1543413 โดยมีจดุ ประสงค์เพื่อศึกษา
วรรณคดีของสุนทรภู่และสถานท่ีสาคญั ที่ท่านสุนทรภ่เู คยไปเย่ยี มชมหรือเคยกล่าวถงึ ในนริ าศ ซงึ่ ในรายงานฉบับน้ี
ประกอบด้วย ประวัติสุนทรภู่ การกล่าวถึงข้อมูลสถานที่ที่สาคัญ และวรรคทองท่ีปรากฏในนิราศต่าง ๆ ทางคณะ
ผู้จัดทาได้เลือกหัวข้อเร่ือง รอบรู้เรื่องราว รอบเกาะรัตนโกสินทร์ : ตามรอยสุนทรภู่ มาเป็นชื่อเร่ืองในการจัดทา
รายงานครั้งน้ี เน่ืองจากเรื่องราวของท่านสุนทรภู่มีความน่าสนใจและแสดงให้เห็นถึงความสาคัญของรายวิชา
ภาษาไทยทางด้านวรรณศิลป์และวรรณกรรมเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งมีการกลา่ วถึงเรื่องราวในสถานท่ีต่าง ๆ ที่สะทอ้ น
ใหเ้ หน็ ถึงความเปลี่ยนแปลงในอดตี จนถงึ ปัจจบุ นั

ทางคณะผ้จู ดั ทาขอขอบพระคุณอาจารย์กญั จณ์ปภัสส์ สุวรรณวหิ ค ทคี่ อยใหค้ าปรึกษาและคาแนะนาใน
การทารายงานในครัง้ นจ้ี นสาเรจ็ ลลุ ว่ งไปได้ดว้ ยดี และทางคณะผู้จัดทาหวังอยา่ งยงิ่ ว่ารายงานฉบับนีจ้ ะมปี ระโยชน์
ตอ่ บคุ คลที่สนใจ นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนผู้ที่ตอ้ งการท่จี ะศึกษาหาขอ้ มลู ตอ่ ไป

คณะผู้จัดทำ
29 มกราคม 2563

สำรบญั ข

คำนำ หนำ้
สำรบญั ก

นริ ำศตำมรอยสนุ ทรภู่ 1
ปฐมบท กำรเดินทำง 3
4
1. วัดเทพธิดาราม 7
2. คลองบางกอกน้อย 9
3. วดั ชีปะขาว หรือวดั ศรีสุดาราม 11
4. วัดราชบูรณะ 13
5. วัดอรณุ ราชวราราม 14
6. วงั หลงั 16
7. วดั สระเกศ 18
8. วดั บพิตรพิมุข วรวหิ าร 26
ทวิบท ประวัติ 27
1. สนุ ทรภู่ เกิดกรงุ เทพฯ เปน็ ผู้ดมี ีตระกลู ใกล้ชิดเจา้ นาย 27
2. เกดิ และตายในกรุงเทพฯ 28
3. บดิ าของสุนทรภู่ 28
4. มารดาของสุนทรภู่ 28
5. ใกล้ชิดเจ้านาย 29
6. แต่งหนงั สอื 30
7. ราชการลบั 30
8. บวชการเมอื ง ร้อนตัวจากภัย 31
9. ไมข่ ี้เมา 32
10. ไมข่ หี้ ลี 32
11. ไม่ข้ีคกุ 32
12. ไม่กนิ เหล้า 33
13. ไมร่ อ่ นเร่ 33
14. ไมแ่ ต่งสอนหญงิ

สำรบัญ (ต่อ)

15. ไม่มีนามสกุล หนำ้
16. กลอนตลาด แบบสนุ ทรภู่ 33
17. นักเลงเพลงยาว 33
18. เพลงยาวเก่ียวผ้หู ญงิ 33
19. พระอภยั มณี วรรณกรรมการเมอื งตอ่ ตา้ นการล่าอาณานิคม ใช้ฉากทะเล 33
อันดามนั อา่ วเบงกอล มหาสมทุ รอนิ เดยี
20. ดนตรคี อื อานาจของวชิ าความรู้ 34
ปจั ฉิมบท ผลงำน 35
36
พิพิธภณั ฑ์สุนทรภู่ (Sunthon Phu Museum) 37

ราพนั พลิ าป 38
นิราศเมอื งแกลง 55
นิราศวดั เจ้าฟา้ 61
นริ าศภเู ขาทอง 64
นริ าศเมืองเพชร 67
นริ าศพระประธม 70
นริ าศสุพรรณ 73
นิราศอิเหนา 80
บรรณำนกุ รม ค

1

นิรำศตำมรอยสุนทรภู่

2

นิรำศตำมรอยสนุ ทรภู่

บชู ำพระคุณ ให้พิพัฒนผ์ ลงามตามประสงค์
สาธสุ ะนมัสการพระไตรรตั น์ สริ มิ งคลสถิตมั่นสถาพร
ผดุงศรีบุตรธดิ าค่าสมร
คณุ าพรใหป้ ระสิทธิ์จติ บรรจง ประนมกรระลกึ ในใจยนิ ยล
ขอนอบนอ้ มชนกคุณชนนี ผู้ประสานศาสตร์แสดงทุกแห่งหน
วศิ ิษฏผ์ ลให้ประจกั ษ์รักนิรนั ดร์
มาตาปติ ุคุณลา้ บวร ลุทางไปดงั่ ประทีปชพี รังสรรค์
อญั ชลีเทดิ คณุ ครูอาจารย์ ทุกส่ิงอนั สมฤดีท่ยี งั่ ยนื

จึงนอ้ มจิตอภิวาทบันดาลดล
ขอผลบญุ ปณธิ านผ่านสมยั

ใหก้ ายตนสาราญกาลอนันต์

เดินทำง เรม่ิ ทาตามแผนวางไว้ไม่หน่ายหนี
พฤหัสบดยี ่ีสิบสาม ปา้ ยรถเมล์วดั พระศรฯี ทรี่ อรถ
มาลงทบ่ี ที ีเอสเกษตรหมด
หลังเรยี นเสร็จมาพรอ้ มหน้าไมช่ า้ ที ก็เผยบทบาทใหไ้ ด้ลมิ้ ลอง
แลว้ โดยสารรถเมล์สายสามสี่ ดั่งนกบนิ สูงสง่ รอ่ นลงหนอง
คงวง่ิ คล่องถงึ ไวไม่เสยี การ
จดุ เริ่มตน้ หนทางที่เลยี้ วลด วนไปเขตหว้ ยขวางสทุ ธสิ าร
จากบนฟา้ กลับลงมาสู่ใต้ดนิ ขึ้นสถานสามยอดเป็นปลายทาง
จนมืดมวั เหมือนหมอกเมอ่ื ฟา้ สาง
เปลีย่ นลงรถเอ็มอาร์ทีดว้ ยตรติ รอง เพยี งหายใจมนั เข้ารา่ งทกุ คร้งั คราว
ทไี่ หนได้กลบั วิ่งลอ้ มออ้ มประเทศ ปอดอักเสบหรอื อยา่ งไรไมค่ ิดหนาว
ตามรอยก้าวสนุ ทรภคู่ รูกวี
แลว้ ค่อยวกกกลบั มาจงึ ช้านาน เขาช้บี อกทางไปไดถ้ กู ท่ี
ถงึ สามยอดกลางกรุงฝ่นุ คลงุ้ ทวั่ เดนิ ตรงบาทวิถีเกอื บสุดปลาย
ไปตามซอกตามซอยสู่จุดหมาย
ฝนุ่ พเี อ็มสองจุดหา้ ฆ่าล้างบาง พอแลซ้ายกถ็ ึงวัดเทพธิดาฯ
แมฝ้ นุ่ หนาฟา้ มวั ทว่ั กรงุ เทพฯ จัดแตง่ กายให้เรยี บร้อยเตรียมศึกษา
แลว้ ม่งุ หนา้ เข้าอารามทันทีเอย
จกั ด้ันด้นคน้ คว้าหาเรอื่ งราว
ถามทางคนในยา่ นชานาญตรอก

วดั เทพธิดารามฯ ไปตามน้ี
พวกเรานจ้ี ึงเดนิ ตามความเขาบอก

แลขวาภูเขาทองสอ่ งเลือ่ มพราย
ถงึ วัดเทพธดิ ารามตามมุ่งหมาย

ประวตั สิ ุนทรภู่ครอู ักษรา

นกั ศึกษำสำขำวชิ ำภำษำไทย ชน้ั ปที ี่ 4 หมูเ่ รยี นที่ 1
วิทยำลัยกำรฝึกหดั ครู มหำวทิ ยำลัยรำชภฏั พระนคร

3

ปฐมบท

กำรเดินทำง

4

1. วดั เทพธิดำรำม

ภำพท่ี 1 วดั เทพธดิ ำรำม

วัดเทพธิดารามวรวิหาร เดิมช่ือ วัดบ้านพระยาไกรสวนหลวง เป็นวัดท่ีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกยี รติพระราชทานแกพ่ ระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวลิ าส กรมหมืน่
อปั สรสุดาเทพ พระราชธดิ าองค์ใหญ่ใน รัชกาลที่ 3 สรา้ งเมอื่ ปี พ.ศ. 2379 เสร็จในปี พ.ศ. 2382 โดยไดช้ ่างจาก
เมืองจีน สังเกตุได้จากการออกแบบที่มีผลงานศิลปะและความเชื่อแบบจีน อย่างหน้าบันของโบสถ์ มองข้ึนไปจะ
พบหงส์ ทแี่ สดงถึงสตรสี งู ศักด์ิ

วัดเทพธิดาราม สร้างเม่ือ พ.ศ. 2379 โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างขึ้นเพื่อเฉลิม
พระเกยี รติพระราชทานแดพ่ ระองคเ์ จ้าหญิงวิลาศ ซ่ึงภายหลังได้ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ สถาปนาขึน้ ทรงกรมเป็น
กรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพ พระองคท์ รงเปน็ พระราชธิดาท่พี ระบรมชนกนาถทรงโปรดปรานยงิ่ นกั เพราะทรงเปน็ พระ
ราชธิดารับราชการใกล้ชิดของพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดาริให้สร้าง
ถาวรวัตถุไวเ้ ฉลมิ พระเกียรตยิ ศจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ให้กรมหมนื่ ภูมินทรภกั ดี (พระองคเ์ จ้าชายลดาวัลย์)
เป็นแม่กองอานวยการสร้างวัดนี้ท่ตี าบลสวนหลวงพระยาไกร ในการสร้างวดั น้ี พระเจ้าลูกเธอกรมหม่ืนอัปสรสดุ า
เทพได้ทรงบริจาคทุนส่วนพระองคร์ ่วมด้วย ด้วยเหตุนจ้ี ึงพระราชทานนามว่า “วดั เทพธิดาราม”

5

ภำพท่ี 2 กฏุ ิสุนทรภู่

ภำพท่ี 3 ภำพภำยในพพิ ธิ ภัณฑ์

สุนทรภู่เคยอุปสมบทและจาพรรษาท่ีวัดเทพธิดารามนใ้ี นปี พ.ศ. 2382-2385 ในระหว่างน้ันได้ประพนั ธ์
บทกลอนไว้หลายเรอื่ ง แตเ่ รือ่ งทม่ี ีความเก่ียวข้องกับวัดเทพธิดารามมากท่ีสุดคือเรือ่ ง “ราพนั พิลาป” ซึ่งพรรณนา
ถึงความสวยงามวิจิตรพิสดารทิวทัศน์ ตลอดจนเครื่องประดับประดาพระอารามและปูชนียวัตถุหลายประการ
ปัจจุบันทางวัดได้ต้งั ช่ือกุฏิท่ีท่านเคยอาศัยอยู่วา่ “กุฏิคณะสุนทรภู่” และหล่อรูปเครื่องตัวของสุนทรภู่ไว้ท่ีกฏุ เิ พื่อ
เป็นอนสุ รณ์

6

วัดเทพธิดารามสถานที่ท่ีเกี่ยวกับท่านสุนทรภู่ในยามบวช ณ บั้นปลาย เป็นวัดสาคัญที่ยังมีเรื่องราวและ
การเก็บรกั ษาข้าวของเครือ่ งใช้ของสุนทรภู่ไว้เปน็ อย่างดี นน้ั ก็คอื “วัดเทพธิดาราม” กลา่ วคอื หลงั จากทพ่ี ระสุนทร
ภู่ได้จากวัดเลียบ ก็ได้ได้เดินทางไปยังสุพรรณบุรี ใช้ชีวิตอยู่ท่ีนั่นระยะหนึ่ง แล้วเดินทางกลับกรงุ เทพฯ จาพรรษา
อยู่ท่ีวัดเทพธิดารามเมื่อปี พ.ศ. 2383 ขณะนั้นอายุได้ 54 ปี อยู่ที่วัดนี้ได้ 3 พรรษาท่านก็ลาสิกขาบท ด้วยเหตุผล
เพื่อเตรยี มตัวตาย โดยมีสาเหตมุ าจากฝันร้าย ว่าชะตาขาดจนถงึ แก่ชีวิต จึงได้แตง่ นิราศราพันพิลาป ซ่ึงเป็นบทกวี
ที่ทาให้ทราบเร่ืองราวในชีวิตของทา่ นอีกเป็นอนั มาก

“เป็นคราวเคราะหก์ ต็ ้องพรากจากวิหาร กลัวพวกพาลผรู้ า้ ยจาย้ายหนี
อย่วู ดั เทพธิดาด้วยบารมี ไดผ้ ้าปปี ัจจัยไทยทาน
ถึงยามเคราะหก์ เ็ ผอิญใหเ้ หินห่าง ไม่เหมอื นอยา่ งอยู่ทพี่ ระวหิ าร
โอ้ใจหายกลายกลบั อัประมาณ โดยกันดารเดือดร้อนไมห่ ยอ่ นเยน็ ”

เพราะเป็นวัดที่ท่านบวชในช่วงเกือบจะบั้นปลาย จึงยังคงมีเร่ืองราวและร่องรอยของท่านอยู่มาก โดย
ภายในวดั เทพธิดารามมี “กฏุ ิสุนทรภู่” ท่ที า่ นได้พานัก ดังในบทหน่ึงของราพนั พิลาป

“เคยอยกู่ นิ ถิ่นทกี่ ระฎีกอ่ เปน็ ตกึ ตอ่ ต่างกาแพงฝากแฝงฝา
เปน็ สองฝ่ายทา้ ยวัดวิปัสสนา ขา้ งโบสถ์บาเรยี นเรยี งเคียงเคียงกัน”

บริเวณด้านนอกมีรูปนางยักษ์ผีเส้ือสมุทร หนึ่งในตัวละครสาคัญในเรือ่ งพระอภยั มณี ผลงานเล่ืองช่ือของ
สุนทรภู่ และเมื่อเขา้ ไปข้างในสนุ ทรภูก่ ็ได้เห็นรปู ป้ันคร่งึ ตวั ของสุนทรภูต่ ง้ั เดน่ อยู่ที่มมุ ห้องด้านใน ขา้ วของเครื่องใช้
ของท่านหลาย ๆ อย่าง ยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เช่น สมุดข่อย 200 ปี คัมภีร์พระมาลัย ตารารักษาโรค
ตา่ ง ๆ รวมถึงเครอื่ งใช้ขณะจาพรรษา เคร่ืองใช้เลน่ แรแ่ ปรธาตุ ฯลฯ เปน็ ตน้

ปัจจุบันวัดเทพธิดารามได้เก็บรวบรวมเคร่ืองอัฐบริขารในกุฏิสุนทรภู่ และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์
พ้ืนท่ีประวัติศาสตร์มีชีวิต ที่ท่านสุนทรภู่ได้รังสรรค์ผลงานไว้มากมาย อาทิเรื่องพระอภัยมณี ให้แก่คนรุ่นหลังได้
เยี่ยมชม

ภำยในกฏุ ิหม่ปู ระกอบดว้ ยห้องทั้งหมด 3 ห้อง ได้แก่
1. หอ้ ง "แรงบนั ดาลใจไม่รจู้ บ" จัดแสดงเกีย่ วกับเสน้ ทางชีวติ และผลงานของสนุ ทรภู่ในประวัติศาสตร์แห่ง

กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต้ังแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลท่ี 4 รวมทั้งยังมีรูปหล่อคร่ึงตัวของท่านเมื่อครั้งยังเป็น
พระภกิ ษุ ประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์

2. ห้อง "มณีปัญญา"เพลิดเพลินและสนุกกับการเรียบเรียงบทรอ้ ยกรองคาประพนั ธ์ของสุนทรภู่ ไม่ว่าจะ
เปน็ กลอน กาพย์ โคลง และนิราศ

7

3. ห้อง "ใต้รม่ กาสาวพัสตร"์ จัดแสดงเครอื่ งอฐั บริขาร รวมถงึ ขา้ วของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของสุนทรภู่ เมอื่ ครงั้
ท่ที า่ นยงั บวชเปน็ พระภกิ ษุ

นอกจากนี้ ความพิเศษในการเย่ียมชมกุฏิสุนทรภู่ อยู่ที่การนาเอาเทคโนโลยีเออาร์ (Augmented
Reality) เทคโนโลยที ่ีผนวกโลกแห่งความเปน็ จริงและโลกดิจิทัลเขา้ ไวด้ ้วยกัน มาช่วยในการนาเสนอองค์ความรู้ที่
เชอ่ื มโยงกับสุนทรภู่ โดยผ่านเทคโนโลยดี ังกล่าว นบั ไดว้ า่ เปน็ การเปิดมมุ มองการนาเสนอเรื่องเล่าอัตชวี ประวัติของ
สนุ ทรภู่ กวีเอกแห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ภายใต้บรบิ ทสังคมสมัยใหมไ่ ดอ้ ยา่ งนา่ สนใจ

วัดเทพธิดารามจึง เป็น แหล่ง เรียน รู้ท่ี สา คัญ ใ น การ ศึกษ าเก่ี ยวกับ สุน ทรภู และ เป็น แห ล่ง สา คั ญ ท า ง
ประวัติศาสตร์ท่ียังคงหลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงบุคคลที่มีความสาคัญในประเทศไทยโดยการนาเอา
เทคโนโลยีและความเปลยี่ นแปลงของสังคมเขามาเปน็ ตัวแปรสาคญั ในการศกึ ษาเรยี นรู้

2. คลองบำงกอกน้อย

คลองบางกอกนอ้ ย ต้งั อย่ใู นเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เดมิ เคยเป็นส่วนหนง่ึ ของแม่น้าเจ้าพระยา
จนกระทั่งรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2077-2089) ได้โปรดฯ ให้ขุดคลองลัดแมน่ า้
ขึ้นจากปากคลองบางกอกน้อยไปยังปากคลองบางกอกใหญ่ ซ่ึงกล่าวกันว่าช่วยย่นระยะทางได้ถึง 1 วัน ต่อมา
กระแสน้าส่วนใหญไ่ ด้ไหลเขา้ สู่คลองลัดทาใหค้ ลองกว้างขนึ้ เรือ่ ย ๆ กลายเปน็ แมน่ า้ เจา้ พระยาสายใหม่ สว่ นแมน่ ้า
สายเดิมแคบลงเป็นคลองบางกอกนอ้ ย คลองชกั พระ และคลองบางกอกใหญ่

คลองบางกอกน้อย เร่ิมต้ังแต่แม่น้าเจ้าพระยาทางเหนอื ของสถานีรถไฟธนบุรี ไหลขึ้นไปบรรจบคลองชกั
พระ (คลองบางขนุ ศร)ี และคลองลัดบางกรวย ตรงข้ามวดั สวุ รรณคีรี มีความกว้าง 40 เมตร และยาว 3.3 กโิ ลเมตร
คณะรฐั มนตรมี ีมตใิ ห้คลองบางกอกน้อยเป็นคลองสาคัญซง้ึ ตอ้ งอนรุ ักษไ์ ว้ เมอื่ วันที่ 13 มิถนุ ายน พ.ศ. 2510

ภำพที่ 4 คลองบำงกอกน้อย

8

เมอ่ื เราเดินทางผ่านสะพานสมเด็จพระปิน่ เกล้าข้ามแมน่ ้าเจ้าพระยา เพ่อื ไปยงั ฝั่งธนบรุ ีหากมองลงไปจาก
สะพานไปยงั แม่น้าเจ้าพระยาจะมองเห็นทิวทัศน์แม่นา้ เจา้ พระยาในมมุ สูงที่กวา้ งไกลและสวยงาม นอกจากนัน้ ยงั
มองเห็นตึกอาคาร รพ.ศิริราช และสถานีรถไฟธนบุรี และติดกันน้ันยังเป็นปากคลองบางกอกนอ้ ย (แต่เดิมในอดีต
คลองบางกอกน้อยเคยเป็นแมน่ า้ เจ้าพระยามากอ่ น)

หากเราลองมองยอ้ นอดีตไปยังปากคลองบางกอกน้อยเชือ่ หรือไม่ว่า คลองบางกอกนอ้ ยในอดีตตงั้ แต่สมัย
รัชกาลที่ 1 จนถงึ รัชกาลที่ 5 บริเวณน้ีมแี ต่เรอื นแพ เพื่อเปน็ ท่อี ยอู่ าศยั และเรือพายค้าขายเตม็ ไปหมดทง้ั คลอง แต่
ปัจจุบนั เรือนแพและเรอื พายค้าขายค่อย ๆ หายไปจากท้องนา้ ในคลองบางกอกนอ้ ย เมือ่ ความเจรญิ ทางบกเพิ่มข้นึ
มาทดแทนอย่างต่อเน่ือง อีกทั้งเกิดการรุกล้าในการเปลี่ยนมาเป็นบ้านเรือนริมคลอง บางช่วงบางตอนก็ได้รุกล้า
คลองจนแทบจะปลูกท่ีอยู่กลางคลอง และไมใ่ ช่แคเ่ พยี งคลองบางกอกน้อย คลองวดั ดาวดงึ ส์ คลองบางยี่ขนั และ
คลองอ่ืน ๆ ยา่ นฝั่งธนบุรี ก็ตกอยูใ่ นสภาพเดียวกนั

คลองบางกอกน้อยมีความสัมพันธ์กับสุนทรภู่ คือ เป็นสถานท่ีที่สุนทรได้อาศัยอยู่บริเวณน้ันเน่ืองจาก
สุนทรภู่เกิดที่วังหลัง วันท่ี 26 มิถุนายน 2329 สมัยรัชกาลท่ี 1 เติบโตที่วังหลังและมีเพ่ือนรนุ่ ราวคราวเดียวกนั ท้ัง
ชายและหญิง โดยอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในเรือนแพริมคลองบางกอกน้อย (ด้านเหนือของวังหลัง) ซึ่งคลองบางกอก
น้อยสมัยรัชกาลที่ 1 หรือสมัยของสุนทรภู่นนั้ เป็น “ตลาดแพ” หรือตลาดน้าที่เต็มไปด้วย “เรือตลาด” ต้ังแต่ปาก
คลองยาวลึกเข้าไปถึงบางบาหรุ-บางขุนนนท์และในโคลงนริ าศสุพรรณของสุนทรภู่ ได้มีการกล่าวถึงคลงบางกอก
น้อยไวว้ ่า

“เล้ียวทางบางกอกนอ้ ย ลอยแล
บ้านเก่าเยา่ เรอื นแพ พวกพอ้ ง
เงียบเหงาเปลา่ อกแด ดแู ปลก แรกเอย

ลาฤกนึกรักรอ้ ง เรยี กร้องในใจฯ”

9

3. วดั ชีปะขำว หรอื วดั ศรีสดุ ำรำม

ภำพที่ 5 วดั ชปี ะขำว

วัดชีปะขาวเป็นสถานท่ที ป่ี รากฏเร่ืองราวในวยั เดก็ ของสนุ ทรภู่ วดั ศรีสดุ าราม เป็นพระอารามหลวงช้นั ตรี
ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยฝ่ังตะวันตก แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
เดิมมีช่ือว่า "วัดชีปะขาว" หรือ "วัดชีผ้าขาว" สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างข้ึนราวสมัยกรุงศรีอยุธยา สุนทรภู่เกิดเม่ือ
วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ที่บ้านใกล้กาแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย ซึ่งน่าจะอยู่แถวสถานีรถไฟธนบุรี
ทา่ นไม่ใชค่ นบา้ นกล่า เมอื งแกลง จงั หวัดระยอง อย่างท่หี ลายคนเข้าใจสับสน เพราะจริง ๆ แล้วท่นี ่นั เปน็ บ้านเกิด
ของบดิ าของทา่ น

ในชว่ งวัยเด็กจนถงึ วยั หนุ่ม ท่านไดศ้ ึกษาเลา่ เรียนที่ วัดชปี ะขาว หรอื วดั ศรีสุดารามวรวหิ าร ที่อยู่ใกล้บา้ น
ปัจจบุ ันอยใู่ นซอยบางขุนนนท์ ไม่ไกลจากถนนจรญั สนทิ วงศ์

ในอดีตบริเวณวัดและย่านนี้เป็นสวนล้ินจี่ เต็มไปด้วยความสงบ แต่ปัจจุบันสภาพเก่าๆ เหล่าน้ันไม่
หลงเหลอื ให้เห็น เปลยี่ นแปลงเปน็ บา้ นพักของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นอย่างหนาแน่นวัดชีปะขาวนีเ้ คยเป็นทั้งท่ี
เรียน ท่ีเล่น และที่ทางานของสุนทรภู่ เพราะท่านเคยเป็นครสู อนผู้ท่ีจะทาหน้าที่เป็นเสมียน นั่นก็คือ “อนุสาวรยี ์
สุนทรภู่” ซง่ึ มปี รากฏในโคลงนิราศสุพรรณ ตอนหนงึ่ ว่า

10

“วัดปะขาวคราวรนุ่ รู้ แรกเรยี น
ทาสูตรสอนเสมยี น สมุดนอ้ ย
เดนิ ระวางระวังเวยี น หวา่ งวดั ปะขาเฮย
เคยชื่นกลนื กลิ่นสร้อย สวาทห้างกลางสวน”

อนุสำวรีย์สนุ ทรภู่
สรา้ งขน้ึ เปน็ อนุสรณ์สถานแกพ่ ระสุนทรโวหาร (ภู่) กวเี อกแหง่ แผน่ ดินสยามและกวีเอกของโลก ซึง่ ไดเ้ คย

มาศึกษาเลา่ เรียนเขียนอ่านอยูท่ ่วี ัดนเ้ี มอ่ื ครงั้ ยังเยาวว์ ัย จึงสร้างเป็นรปู หล่อโลหะสุนทรภตู่ อนเปน็ เด็กขนาด 2 เท่า
ของตัวจริงในลักษณะเด็กชายสมัยโบราณไว้จุกนั่งพับเพียบหันหน้าไปทางคลองบางกอกน้อย ในมือถือกระดาน
ชนวนอีกข้างหนึ่งถือดินสอ รูปหล่อดังกล่าวต้ังอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมสูง 2.50 เมตร ซ่ึงจะอยู่ด้านหลังของลูกสมเดจ็
พระพฒุ าจารย์ (โต พรหมรังสี) องค์ใหญ่

อนสุ าวรียส์ นุ ทรภู่น้ี เป็นรปู ป้นั จาลองท่านในวยั เด็ก ซ่ึงสมัยกอ่ นยังไม่มีเทคโนโลยกี ารถา่ ยภาพ จึงไมม่ ีใคร
บอกไดว้ า่ หน้าตาของทา่ นจะเป็นเช่นทเ่ี ห็นอยู่หรอื ไม่

พื้นท่ีในอดีตบริเวณนี้แทบไม่มีส่ิงใดหลงเหลือไว้ แม้กระท่ังปัจจุบันก็เหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าที่วัดนี้
มีอนุสาวรยี ์ของท่านอยู่รอบ ๆ

11

4. วัดรำชบรู ณะ

ภำพที่ 6 วัดรำชบูรณะ

วัดราชบุรณะ เดิมชื่อ “วัดเลียบ” สร้างขึ้นก่อนสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรม
หลวงเทพหริรักษ์ พระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 1 ทรงพระราชศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์ สถาปนาวัดเลียบขึ้นเป็น
พระอารามหลวง เม่ือปพี ุทธศักราช 2336 โดยพระราชทานนามวา่ “วัดราชบุรณราชวรวิหาร”

ตอ่ มาในสมยั รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย โปรดให้สร้างพระอุโบสถและพระวิหาร
ข้ึนใหม่มีพระระเบียงล้อมรอบพระอุโบสถ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปซ่ึงรัชกาลท่ี 1 โปรดนามาจากหัวเมือง
162 องค์ ในสมัยรัชกาลท่ี 3 โปรดให้ขุดคูรอบพระอาราม 3 ด้าน ปากคูจรดคลองโอ่งอา่ งซงึ่ เป็นคูพระนคร โปรด
ให้สร้างพระปรางค์ ใหญ่ข้ึนองค์หน่ึง ประดับกระเบ้ืองเคลือบท้ังองค์ สมัยรัชกาลท่ี 4 วัดราชบุรณะได้รับการ
บูรณปฏิสังขรณ์ใหญ่ เน่อื งจากมกี ารตัดถนนตรีเพชรผ่านกลางวัด โปรดให้สรา้ งห้องแถวใหป้ ระชาชนอยูอ่ าศยั เพ่ือ
เก็บผลประโยชนบ์ ารงุ วัด สว่ นพื้นทดี่ ้านหลังหอ้ งแถวโปรดให้ใช้เปน็ ที่ตัง้ ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

ปีพุทธศักราช 2488 ระหว่างสงครามโลกครั้งท่ี 2 วัดราชบุรณะถูกระเบิดทางอากาศทาให้พระอุโบสถ
พระวิหาร และกุฏเิ สนาสนะเสียหายมาก คณะสังฆมนตรแี ละคณะรฐั มนตรีมีมตวิ า่ สมควรยบุ เลิกวดั เสยี จงึ นาความ
กราบบังคมทูล และได้ยุบเลิกตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันท่ี 30 กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 และ
ทางวดั ได้อนุญาตให้วดั ตา่ ง ๆ ในหวั เมอื ง อญั เชญิ พระพุทธรปู ทปี่ ระดษิ ฐานพระระเบยี งไปประดิษฐานยังวดั ของตน
ได้ตามแต่ประสงค์ พระพุทธรูปเหล่าน้ันจึงกระจายไปอยู่ตามวัดต่าง ๆ หลังสงครามสงบลงการบูรณะจึงเร่ิมขึ้น
เมอื่ วันท่ี 9 มนี าคม พทุ ธศักราช 2503 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ภมู พิ ลอดุลยเดช เสดจ็ พระราชดาเนินทรงยก

12

ชอ่ ฟา้ และเททองหลอ่ พระประธานดังท่ีปรากฏในปัจจุบนั ซึง่ การบูรณะในครัง้ นผ้ี ู้ออกแบบคือ ศาสตราจารย์หลวง
วิศาลศลิ ปกรรม (เชือ้ ปทั มจินดา) เรอื นแก้วซุ้มพระประธานภายในเปน็ ฝมี อื นายฟู อนันตวงษ์ พระปรางคไ์ มไ่ ดร้ บั
ภยั จากระเบดิ แตช่ ารดุ ตามกาลเวลากระทรวงมหาดไทยได้บูรณะในปพี ทุ ธศกั ราช 2505

วัดราชบุรณะนี้ เคยเป็นท่ีประทับของสมเด็จพระสังฆราชสมัย รัชกาลที่ 2 และ 3 วัดราชบูรณะเป็น
สถานท่ีท่ีพระสุนทรภู่บวชแล้วถูกขับออกจากวัด จากความสามารถในงานกวี ทาให้สุนทรภู่มีความรุ่งโรจน์มาก
ท่ีสุดในช่วงรัชกาลที่ 2 แต่แล้วชีวิตก็ต้องผกผันเพราะได้ไปแก้บทพระนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทาต่อหน้าพระท่ีน่ัง พระองค์ทรงอับอายข้าราชบริพาร จึงเป็นเหตุให้ขุนสุนทรโวหารถูกถอด
ยศถาบรรดาศักดิ์ ถงึ คราวตกอับต้องออกบวช

แท้จริงแล้วสุนทรภู่ได้บวชและตระเวนจาพรรษาในหลายวัดมาตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 2 เช่น ที่วัดอรุณ
ราชวราราม (วัดแจ้ง) วดั พระเชตุพน (วัดโพธิ์) วัดมหาธาตุ สว่ นท่ี วัดราชบูรณะ หรือ วัดเลียบ เปน็ วัดที่ทา่ นบวชใน
ปี พ.ศ. 2367 และได้มีโอกาสถวายอักษรเจ้าฟา้ ชายกลาง และเจ้าฟ้าชายป๋ิว พระโอรสในรชั กาลท่ี 2 จนกระทั่ง
คราวหนึง่ พระภเู่ กดิ อธิกรณ์ (ต้องโทษ,คด)ี เพราะดมื่ เหลา้ จึงถกู ขับออกจากวดั เหตุที่คาดว่าท่านเกดิ การวิวาทกับ
พระในวัด ดว้ ยความตอนหนง่ึ ในนริ าศภูเขาทองกล่าวว่า

“โอ้อาวาสราชบูรณะพระวหิ าร แตน่ ี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลอื ราลกึ นึกน่านา้ ตากระเด็น เพราะขกุ เขญ็ คนพาลมารานทาง
จะหยิบยกอธิบดีเปน็ ทต่ี ั้ง ก็ใชถ้ ังแทนสัดเห็นขัดขวาง
จึ่งจาลาอาวาสนริ าศร้าง มาอ้างวา้ งวญิ ญาในสาคร”

สุนทรภู่มีความอาลัยรักในศิษย์ท้ังสอง ก่อนท่ีจะจากไปจึงได้ถวายอักษรเป็น “เพลงยาวถวายโอวาท” ซ่ึงเป็น
สุภาษิตคาสั่งสอนท่ีติดใจคนทั่วไปมาก อย่างเช่น “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วส้ินซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รหู้ าย”
เปน็ ทน่ี ่าเสยี ดายว่าอดตี ของสนุ ทรภู่อย่างเช่น พระวหิ ารที่เคยอยู่ ก็ไมค่ งเหลือไว้ เพราะเมอ่ื คราวสงครามโลกคร้ังที่
2 วัดเลียบกลายเป็นเป้ารับระเบิด แทนการไฟฟ้านครหลวงและสะพานพุทธท่ีอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์
สาคัญ วัดเลียบเสียหายหนัก กว่าจะฟ้ืนฟูให้กลับคืนมาได้ก็ใช้เวลานานหลายสิบปี มีเพียง พระปรางค์ ที่สร้างใน
สมยั รชั กาลที่ 3 ทเี่ ป็นปชู นียวัตถุชน้ิ เดยี วของวัดทีร่ อดพน้ จากภยั ทางอากาศในสงครามโลกคร้งั ท่ี 2

13

5. วัดอรุณรำชวรำรำม

ภำพท่ี 7 วัดอรุณรำชวรำรำม

วัดแหง่ น้เี ป็นวัดโบราณที่สร้างในสมัยอยธุ ยา โดยมชี ่อื เดมิ ว่า “วัดมะกอก” ส่วนเหตทุ ี่มกี ารเปล่ยี นช่ือเป็น
วัดแจ้งนั้นเชื่อกนั ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงต้ังราชธานีท่ีกรุงธนบรุ ีใน พ.ศ. 2310 และมาถึงหน้าวัดนี้
ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเช่ือน้ีไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรม
สมยั อยุธยาได้ระบุช่อื วดั นีไ้ ว้วา่ ชอ่ื วดั แจง้ ต้ังแต่เวลานั้นแลว้

และในสมัยรัชกาลที่ 2 พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา พร้อมกับพระราชทานนามใหม่ว่า
“วดั อรุณราชธาราม” ต่อมาในสมยั รชั กาลที่ 3 พระองค์ไดโ้ ปรดเกล้าฯ ใหเ้ สริมพระปรางคข์ ้ึนตามพระราชประสงค์
ของพระบิดา และสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ภายในวัดและให้อัญเชิญพระบรมอัฐิ
รัชกาลท่ี 2 มาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถ เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จส้ินลง จึง
พระราชทานนามวดั ใหม่ว่า “วดั อรุณราชวราราม” ซ่ึงวดั แห่งนเี้ ปน็ ทต่ี ้งั ของโบราณสถานมากมายใหไ้ ด้ชมกัน ซ่ึงมี
ความสวยงามอย่างมาก โดยเฉพาะองค์พระปรางคท์ ่สี ูงตระหง่าน แม้ในตอนน้ีจะมีการบรู ณปฏิสงั ขรณ์ก็ยงั สวยงาม
ไม่เสือ่ มคลาย

ความเก่ียวข้องกบั สุนทรภู่ คือ เม่ือพระสุนทรภกู่ ลับจากกรุงเก่าแล้ว ท่านได้ไปจาพรรษาอยู่ ณ “วัดอรณุ
ราชวราราม” (วัดแจ้ง) และการท่ี พระสุนทรภู่ข้ึนไป กรุงเก่าครั้งนั้น ท่านได้แต่งนิราศข้ึนเร่ืองหนึ่ง เป็นเรื่องที่ 3
คอื “นริ าศภเู ขาทอง” เปน็ นิราศที่ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ ดีทีส่ ดุ ไพเราะทัง้ กลอน และการดาเนินเร่อื งราวทม่ี ีคตกิ ินใจ
ซาบซ้ึงมาก

14

3 ปีแรกทพี่ ระสุนทรภูบ่ วชน้ัน ท่านลาบากมาก แทบจะเอาชวี ติ ไม่รอด ณ วดั อรุณราชวรารามน้ี ฐานะทาง
สงฆข์ องพระสุนทรภกู่ ็เร่ิมดีข้ึน เพราะมผี อู้ ุปการะ เมือ่ เจา้ ฟ้ากุณฑลทพิ ยวดี ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ
ทรงฝากพระโอรสองค์กลาง “เจ้าฟ้ากลาง” พระชันษาได้ 10 พรรษา (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบาราบปรปักษ์) กับ
โอรสองคน์ ้อย “เจ้าฟ้าปิ๋ว” พระชนั ษา 7 พรรษา ให้พระสนุ ทรภูส่ อนหนังสือในปี พ.ศ. 2372

พระสุนทรภูเ่ ริ่มถวายพระอักษร แก่เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ จนอ่านออกเขียนได้คล่องแล้ว พระสุนทรภู่จึง
ได้แตภ่ าษิตคากลอนข้ึนถายเจา้ ฟา้ ท้ังสองพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2373 ไดแ้ ก่ “เพลงยาวถวายโอวาท”

พระสุนทรภจู่ าพรรษา ณ วดั อรณุ ราชวราราม ได้ 2 ปี สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้ากระพระปรมานุชิตชิโนรส
ซง่ึ ทรงคุ้นเคยกับพระสนุ ทรภู่ ในฐานะทท่ี รงเปน็ กวี จงึ ไดท้ รงชวนพระสุนทรภูข่ ้ามฟากจาก “วัดอรณุ ราชวราราม”
มาจาพรรษาอยู่ ณ “วัดพระเชตพุ นวิมลมคั ลาราม” (วัดโพธ)ิ์ หลงั จากบวชได้ 7 - 8 พรรษา อายุได้ 45 ปี

พระสุนทรภู่นั้น เม่ือบวชเรียนหลายพรรษา ก็ย่อมมีความรู้เพ่ิมข้ึน และมีเวลามากพอ ที่ท่านจะหันไป
สนใจศึกษาศาสตร์อันลี้ลับ เพราะระยะปีแรก ๆ ที่ท่านบวชนั้น ท่านได้จาริก แสวงบุญไปถึงเมืองทางเหนือ และ
ท่านได้ลายแทง ยาอายุวัฒนะ และลายแทงระบุว่า ยาอายุวัฒนะน้ันฝังอยู่ที่ใต้ฐานพระประธาน ณ “วัดเจ้าฟ้า
อากาศนารถนรินทร์”

6. วงั หลัง

ภำพท่ี 8 สองฝ่ังแม่น้ำเจำ้ พระยำ มองจำกฝ่ังธนบรุ ีไปฝง่ั กรุงเทพฯ บริเวณวังหลวง วังหนำ้
วงั หลงั ที่สนุ ทรภู่ มีชวี ิตวนเวียนเกย่ี วขอ้ งตง้ั แต่เกดิ (ภำพจำก สมุดภำพแหง่
กรงุ เทพมหำนคร 220 ปี สำนกั ผังเมอื งกรงุ เทพมหำนคร, 2546)

15

วังหลังต้ังอยู่บริเวณศิริราชพยาบาลสุนทรภู่มีความสัมพันธ์กับวังหลังมากโดยที่มารดาได้เป็นนางนมให้
พระธิดาในกรมพระราชวัง สุนทรภู่เคยอยู่ในวังหลังกบั มารดาและได้ถวายตัวเป็นข้าในพระราชวังหลังมาต้ังแตย่ ัง
เด็กจนกระทั่งรนุ่ หนุ่มได้รอบรกั ใคร่กับหญิงช่ือจัน จนได้รับโทษท้ังสองคน และต่อมาสุนทรภู่ก็ได้จันเป็นภรรยา
ทานองเจา้ ครอกข้างในช่อื ทองอยซู่ ึง่ เป็นอัครชายาในกรมพระราชวังหลังจะยกประธานให้

ความเกี่ยวข้องกบั สนนุ ทรภู่ สุนทรภู่เป็นผู้ดชี าวบางกอก อยู่วังหลังปากคลองบางกอกนอ้ ยธนบรุ ีแมแ่ ละ
พ่อรับราชการในอยุธยาแต่มีเช้ือสายพราหมณ์เมืองเพชรบุรี หลักฐานท่ีบอกสถานที่กาเนิดตนเอง เขียนไว้อย่าง
น้อยในเร่ือง 2 เร่อื งคอื นิราศสุพรรณกบั นิราศเมอื งเพชร

นริ าศสุพรรณบอกว่า ต้ังแต่เกดิ เปน็ เด็กและเติบโตอย่ใู นวงั หลังปากคลองบางกอกนอ้ ยปจั จุบนั เปน็ บริเวณ
โรงพยาบาลศิริราช

นิราศเมืองเพชรบอกว่า บรรพชนโคตรญาติย่ายายท้ังฝ่ายพ่อหรือฝ่ายแม่ เป็นเชื้อสายพราหมณ์เมือง
เพชรบุรี แต่หลังกรงุ แตกก็พลัดพรากกนั ไปไม่รใู้ ครเปน็ ใครอยไู่ หนบา้ ง เมือ่ ไปถงึ ย่านทเ่ี คยเป็นโบสถพ์ ราหมณ์สนุ ทร
ภูเ่ ขียนบอกวา่ เปน็ ถนิ่ ฐานบา้ นพราหมณร์ ามราช ลว้ นโคตรญาตยิ ่ายายฝ่ายวงษา” กบั อีกตอนหนึง่ เขยี นบอกชัดเจน
ว่า “แต่สิ้นผู้ปู่ยา่ พวกตายาย ญาติทงั้ หลามไิ ดร้ เู้ รอ่ื งบูราณ”

บา้ นเกิดของสุนทรภู่ในวนั น้ีกลายเปน็ สว่ นหนึ่งในเขตบางกอกน้อยเต็มไปด้วยอาคาร บ้านเรือน ตลาดท่ีมี
ชีวิตชีวา รวมถึงโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งสร้างขึ้นในจุดที่เคยเป็นวังหลัง โดยล่าสุดมีการขุดค้นทางโบราณคดีและ
ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน ซ่ึงมีเพลงนาเสนอเร่ืองราวของสถาบันการแพทย์ผสมเขตหรือยังบอกเล่า
ประวัติศาสตร์การใช้พื้นท่ีตั้งแต่อดีตคร้ังยังเป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขกรมพระราชวังหลัง
พระองค์เดยี วในสมัยรัตนโกสนิ ทร์

วงั หลัง มาจากไหน เปิดสมุดขอ่ ย

วงั หลัง ครง้ั หน่มุ เหน้า เจา้ เอย

เคยอยู่ชูชน่ื เชย ค่าเชา้

ยามนี้ท่ีเคยเลย ลืมพกั ตร์ พแี่ ฮ

ต่างชืน่ อ่นื แอบเคล้า คลาดแคลว้ แลว้ หนอฯ

เป็นถ้อยคาของสุนทรภู่ท่ีร้อยเรียงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของ โคลงนิราศสุพรรณ ในช่วงที่เดินทางผ่านเข้าปาก

คลองบางกอกน้อยอันเปน็ ที่ตัง้ ของวงั หลัง แสดงให้เห็นวา่ สุนทรภูเ่ คยอาศัยอยทู่ ว่ี ังหลงั

16

7. วดั สระเกศ

ภำพที่ 9 วดั สระเกศ

สถำนะท่ตี งั้
วดั สระเกศเป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรมหาวหิ าร ต้ังอยูแ่ ขวงบา้ นบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

กรุงเทพมหานคร มีที่ดินตั้งวัด เนื้อท่ี 12 ไร่ 22 ตารางวา ต้ังอยู่ริมคลองมหานาคและคลองรอบกรุง แขวงบ้าน
บาตร เขตปอ้ มปราบศตั รูพา่ ย กรุงเทพมหานคร 10100

ประวัตคิ วำมเป็นมำ
เปน็ วัดโบราณ สรา้ งสมยั กรุงศรีอยธุ ยา เดมิ ชื่อ “วดั สระแก” รัชกาลท่ี 1 ทรงปฏิสังขรณ์ขนึ้ ใหม่ ขุดคลอง

รอบเมืองต้ังแต่บางลาพูถึงตอนเหนอื วัดจักรวรรดิราชาวาส คลองหลอด และคลองเหนือวัดสระแก พระราชทาน
นามว่า คลองมหานาคเม่ือขุดคลองแล้วพระราชทานนามว่า “วัดสระเกศ” ซ่ึงแปลว่า ชาระหรือทาความสะอาด
พระเกศา เน่ืองจากวัดน้ีเคยเป็นที่ประทับทาพิธีพระกระยาสนาน เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชาเพ่ือปราบ
จลาจลในกรุงธนบุรีและเสดจ็ ขึน้ เถลิงถวลั ยราชสมบตั ใิ นปพี ทุ ธศกั ราช 2325

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั่วท้ังพระอารามและสร้าง
เสนาสนะต่าง ๆ เพ่ิมข้ึน และใน พ.ศ. 2378 พระสุนทรภู่ย้ายจากวัดมหาธาตุฯ มาจาพรรษาอยู่ ณ “วัดสระเกศ”
เพื่อจะได้อยู่ใกล้กบั มารดา ซ่ึงถึงแก่กรรมเม่ือ พ.ศ. 2377 และเก็บศพไวบ้ าเพ็ญกุศล โดยยังมิได้ฌาปนกิจ ครั้นถึง
พ.ศ. 2379 พระสนุ ทรภู่ ออกเดินทางไปเมืองสุพรรณบุรี เพราะขา่ วลอื ท่วี ่าเมอื งสุพรรณมแี รช่ นดิ หนง่ึ ทีส่ ามารถเอา
มาแปรเปน็ ทองคาได้

17

การเดินทางไปหาแร่ที่สุพรรณบุรีครั้งนี้ ถือว่าเป็นการผจญภัยที่ตื่นเต้น ย่ิงกว่าคร้ังใดที่ผ่านมา เพราะ
เกือบเอาชีวิตไม่รอด และในที่สุดท่านก็ต้องกล่าวตักเตือนคนอื่น ๆ หลังจากที่ท่านได้ผ่านประสบการณ์เหล่าน้ัน
มาถึง 2 คร้ัง 2 ครา และ ท่านได้แต่ง นิราศข้ึนเรื่องหนึ่ง บันทึกเรื่องการเดินทาง และสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็น ในชื่อ
เร่ืองว่า “นิราศสุพรรณ” เป็นนิราศท่ี แตกต่างจากนิราศเรื่องอื่น ๆ ท่ีสุนทรภู่ได้แต่งเป็นกลอน แต่ว่าใน “นิราศ
สุพรรณ” น้ัน พระสุนทรภ่แู ตง่ เปน็ โคลง ซึง่ โคลงของ สุนทรภู่นนั้ ปรากฏว่ามีอยเู่ รอื่ งเดยี วเทา่ นนั้

พระสุนทรภู่เม่ือกลับจากเมืองสุพรรณบุรี ท่านได้จาพรรษาอยู่ ณ “วัดสระเกศ” ตามเดิม ครั้นต่อมาในปี
พ.ศ. 2383 กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระพ่ีนางเธอของ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ทรงมีพระเมตตา อุปถัมภ์พระ
สุนทรภู่ ใหย้ ้ายจาก วัดสระเกศ มาจาพรรษาอยู่ ณ “วัดเทพธดิ า”

สงิ่ สำคัญในพระอำรำม
พระอโุ บสถ เปน็ อาคารคอนกรตี เสริมเหล็กหลงั คาลดสามชัน้ มุงกระเบ้ือง ประดบั ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์

พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดให้สร้างอยูท่ างทิศตะวันออกหรือ ดา้ นหน้าพระอาราม ภายในกาแพงแก้ว
ติดกบั พระวหิ าร มพี ระระเบียงคดลอ้ มรอบ 4 ดา้ น ลักษณะงดงามมาก หนา้ บนั ไม้แกะสลักปิดทอง ประดับกระจก
ภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ ซุ้มประตูหน้าต่างเขียนลายรดนา้ ผนังภายในมีภาพจิตรกรรมของเดิมครั้งรัชกาลที่ 3
ต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เหมือนของเดิม จิตรกรรมฝาผนัง
ตอนบนเขยี นภาพเทพยดา ตอนล่างเขียนภาพเล่าเรอ่ื งทศชาติผนังด้านหน้าพระประธานเขียนภาพ มารผจญ ผนงั
ดา้ นหลังเขียนภาพเลา่ เรื่องไตรภูมิ

รอบพระอโุ บสถมซี ุ้มเสมาตัง้ ประจา 8 ทิศ มีลกั ษณะแบบกูบช้างหนา้ นาง ประดับดว้ ยกระเบอื้ งมีใบเสมาคู่
สลักด้วยศิลาประดับกระจกสี ซุ้มเสมามีลักษณะงดงามและได้รับยกย่องเป็นแบบอย่างทางศิลปะ สมเด็จพระ
มหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงสรรเสริญไว้ว่า “ซุ้มวัดสระเกศ วิจิตรสวยงามมาก ควรถือเป็น
แบบอยา่ งได้”

พระประธำน ในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปำงสมำธิ
พระระเบียง รอบพระอุโบสถ มีซุ้มประตู 4 ทิศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป 163 องค์ พระพุทธรูป

หล่อด้วยโลหะ และพระพุทธรูปปนู ปน้ั
พระเจดียเ์ หลยี่ ม ย่อมมุ ไมส้ บิ สอง ลกั ษณะกอ่ อิฐถอื ปนู รายรอบพระอุโบสถภายในกาแพงแก้ว จานวน 12 องค์
พระวิหำร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 2 ห้อง หลังคาลด 2 ช้ัน มุงกระเบ้ืองเคลือบ ประดับ

ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ สรา้ งขน้ึ ในรชั กาลท่ี 3 บานประตูหนา้ ต่างเป็นไมแ้ กะสลัก ห้องด้านตะวนั ออกประดิษฐาน
พระอัฏฐารส เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธ์ิปางประทานอภัย สมัยสุโขทัย ขนาดใหญ่ ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ
รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้อัญเชิญมาจากวัดวิหารทองจังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าอัญเชิญมาคราวเดียวกันกับ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ อัญเชิญพระพุทธชินสีห์จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก มา

18

ประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศ ราวปี พ.ศ. 2372 มีประณามว่า พระอัฏฐารส ศรีสุคต ทศพลญาณบพิตร
หอ้ งด้านตะวันตกมผี นังก่ออิฐถือปนู เป็นทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู หลอ่ ปดิ ทองปางมารวิชยั ผนิ พระพักตร์ไปทางทิศ
ใต้ จารึกนามบนแผ่นหนิ ออ่ นวา่ หลวงพอ่ ดสุ ิต ซ่ึงเดิมเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดดสุ ิต

หอไตร เปน็ อาคารไม้ ลกั ษณะทรงไทย หลังคามงุ กระเบื้อง ประดบั ช่อฟ้า ใบระกา มเี ฉบยี งโดยรอบ อยใู่ น
เขตสังฆาวาสด้านทิศใต้พระบรมบรรพต สร้างในรัชกาลที่ 1 เดิมอยู่กลางสระน้า รัชกาลที่ 3 บูรณะปฏิสังขรณ์วัด
สระเกศได้บูรณะหอไตร

พระตำหนัก อยู่ใกล้หอไตร เป็นอาคารโถงขนาด 7 ห้อง มีฝากั้น เป็น 2 ส่วน ฝาที่กันมีลายแกะสลัก
งดงาม เดิมเป็นกุฏิเจา้ อาวาส

โพธ์ิลังกำ อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ นอกพระระเบียง ในสมัยรัชกาลท่ี 2 ได้อัญเชิญหน่อพระศรมี หาโพธ์ิ
จากพุทธคยามา จานวน 6 ต้น พระราชทานให้ไปปลูกที่เมืองนครศรีธรรมราช 2 ต้น เมืองกลันตัน 1 ต้น
อกี 3 ต้น ใหป้ ลกู ที่อารามหลวงในกรงุ เทพ คอื วดั มหาธาตุยวุ ราชรงั สฤษฏิ์ วัดสุทัศเทพวราราม และวดั สระเกศ

พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรม
มหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) เป็นแม่กองก่อสร้างแบบพระปรางค์ฐานย่อมุมไม้สิบสอง แต่สร้างไม่สาเร็จ ต่อมา
พระบาทสมเด็จเจ้าพระยาบรมมาหพิชัยญาติ เป็นแม่กองสร้างต่อ แต่เปลี่ยนแบบเป็นภูเขา และก่อพระเจดยี ท์ รง
ลังกาไว้บนยอด พระนามว่า พระบรมบรรพต สร้างเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้บรรจุพระบรมสารรี ิกฐาตุ 2 ครัง้ ครงั้ แรก ปี พ.ศ. 2420 คร้ังท่ี 2 ปี พ.ศ. 2441 ทคี่ หู าสถูปยอดพระบรมบรรพต
และทรงแบง่ บางส่วนแก่ญี่ปุน่ ลังกา พมา่ และไซบเี รยี

8. วดั บพติ รพิมขุ วรวิหำร

ภำพท่ี 10 วดั บพติ รพมิ ขุ วรวิหำร

19

ช่อื วัด
วัดบพิตรพิมุข เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิด วรวิหาร ต้ังอยู่ที่เลขที่ 266 ถนนจักรวรรดิ แขวง

จกั รวรรดิ เขตสมั พนั ธ์วงศ์ กรงุ เทพมหานคร
วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร มชี ่ือเรยี ก 2 อยา่ ง คอื
1. “วัดเชิงเลน” หรือ “วัดตีนเลน” เป็นชื่อท่ีเรียกมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เลิกใช้เมื่อ

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รชั กาลที่ 1 พระราชทานนามวัดใหมว่ ่า “วดั บพติ รพิมุข”
2. “วัดบพิตรพิมุข” เป็นนามที่ได้รบั พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช

รชั กาลที่ 1 เมอ่ื ราว พ.ศ. 2328 ในคราวสมโภชพระนคร และสมโภชวัดพระแก้ว (วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม)
ชอ่ื วดั บพติ รพมิ ขุ วรวหิ ารนน้ั ทั้งในอดีตและปัจจบุ นั มีผเู้ ข้าใจและเขยี นสบั สนหลายอยา่ ง เชน่ “บพิตรภมิ ุข”

บา้ ง “บพิธพมิ ุข” บ้าง “บพติ รพมิ ุข” บา้ ง “มงคลภมิ ุข” บ้าง แต่ช่ือทถ่ี ูกตอ้ งนน้ั คือ “วัดบพิตรพิมขุ ” เพราะถือ
ข้อยตุ ิตามพระมตขิ องสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

สถำนทต่ี งั้
วดั บพติ รพมิ ุขวรวิหาร ต้งั อยเู่ ลขท่ี 266 ถนนจักรวรรดิ เขตสมั พนั ธวงศ์ กรงุ เทพมหานคร 10100 ตดิ คลอง

โอ่งอา่ งฝ่งั ตะวนั ออก ตอนใตท้ จี่ ะจรดแม่น้าเจ้าพระยา บนเนอ้ื ท่ี 15 ไร่ 3 งาน 64 ตารางวา มีอาณาเขตตดิ ต่อกับ
สถานท่ีใกล้เคียงตอ่ ไปนี้

ทิศเหนอื จรดซอยบพิตรพมิ ขุ
ทศิ ตะวันออก จรดถนนจกั รวรรดิ
ทศิ ใต้ จรดถนนทรงวาด และสะพานพระปกเกล้า
ทศิ ตะวนั ตก จรดคลองโอ่งอา่ ง

ควำมเปน็ มำของวดั
วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฎร์นามว่า “วัดเชิงเลน” เป็นวัดโบราณสันนิษฐานว่า มีมาแต่สมัย

กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง ดังความปรากฏในตานานพระอารามว่า วัดบพิตรภิมุข อยู่ใน
คลองโอ่งอา่ งฝัง่ ใต้ เดิมช่ือวดั ตีนเลนฤาวดั เชงิ เลน เป็นวัดโบราณ กรมพระราชวงั หลงั ทรงสถาปนาใหมใ่ นรชั กาลท่ี
1 พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอย่หู ัวทรงปฏสิ งั ขรณ์ และรชั กาลที่ 5 ไดท้ รงปฏสิ งั ขรณด์ ้วย

ตามหลักฐานตานานพระอารามข้างต้น แสดงว่าวดั น้ีสรา้ งข้ึนกอ่ นตั้งกรงุ รตั นโกสินทร์ แต่จะสร้างข้ึนเมื่อปี
พ.ศ. ใด และใครเปน็ ผู้สร้างนน้ั ไมป่ รากฏ เพราะตานานของวัดนคี้ อ่ นข้างจะหายากและโบราณวัตถุสถานท่จี ะแสดง

20

ถึงอายุการสร้างวัดก็ไม่ปรากฏ เมื่อไม่มีหลักฐานอย่างอ่ืนมาลบล้างก็ต้องถือเอาตามตานานพระอารามน้ีไปก่อน
มีผตู้ ัง้ ข้อสันนิษฐานวา่ น่าจะสรา้ งขึน้ ระหว่าง พ.ศ. 2231 – 2325 โดยมเี หตผุ ลประกอบการพจิ ารณาดงั น้ี

ในแผนท่ปี อ้ มเมืองธนบรุ ี ท่ี เมอซิเออรว์ อลสันตเ์ ดสเวอรเ์ กนส์ นายทหารชา่ งฝรัง่ ผู้รักษาป้อมน้ันไดเ้ ขยี นไว้
เมอ่ื พ.ศ. 2231 (ตน้ แผน่ ดินสมเดจ็ พระเพทราชา) (พิมพท์ ก่ี รมแผนท่ีทหาร เมือ่ พ.ศ.2477) ได้แสดงท่ตี ้งั ป้อมวิช
เยนทร์ (ป้อมแก้ว) (ได้ร้ือเสียเม่ือรชั กาลท่ี 1) ซ่ึงอยู่บริเวณท่ีเป็นโรงเรยี นราชินีล่างในปัจจุบัน ป้อมวิไชยประสทิ ธิ์
(ปอ้ มทบั ทิม) ซง่ึ ตง้ั อยู่ปากคลองบางหลวงฝงั่ เหนือวัดแจ้ง (เปลย่ี นช่ือเป็น วัดอรุณราชวรารามในรัชกาลที่ 2) และ
วัดเลียบ (เปลี่ยนช่ือเป็นวัดราชบูรณะ ในรัชกาลท่ี 1) ไว้อย่างชัดเจน แต่ใกล้ ๆ กับวัดเลียบไม่มีร่องรอยใด ๆ
ให้เห็นว่าจะมีวดั ท่ีจะกลายมาเป็นวัดบพติ รพิมขุ ในขณะนไ้ี ด้เลย แต่จะกาหนดได้บ้างว่าวัดบพิตรพิมุขนีค้ งจะสรา้ ง
ขึ้นหลังจากแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2231) จะหลังจากนั้นเม่ือไรน้ันยังไม่พบหลักฐาน เพราะ
เรอ่ื งราวเกย่ี วกับวัดนีเ้ พง่ิ ไดป้ รากฏเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรชดั เจนเปน็ ครง้ั แรกในพระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์
รชั กาลที่ 1 ความเปน็ มาของวดั บพิตรพิมขุ วรวิหาร จึงกาหนดไดต้ ั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทรต์ ามพงศาวดารดงั กล่าว
ดังนี้

รชั กำลที่ 1
สมเดจ็ พระเจ้าหลานเธอเจ้าฟา้ กรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวงั บวรสถานพมิ ุข หรือเรยี กส้นั ๆ ว่า
“กรมพระราชวังหลัง” ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดเชิงเลน ตามท่ีปรากฏในตานานพระอารามหลวงว่า “วัดตีนเลน หรอื
วัดเชิงเลน เป็นวัดโบราณ กรมพระราชวังหลัง ทรงสถาปนาใหม่ในรัชกาลที่ 1” จึงพอสันนิษฐานได้ว่าวัด
บพิตรพิมุขวรวิหารสร้างขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 2231 ถึง พ.ศ. 2325 ตามหลักฐานพงศาวดารปรากฏว่า เม่ือ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงรับเชิญจากราชการและประชาชนให้เสด็จข้นึ เถลิงถวัลย์ราชสมบัติใน
กรงุ ธนบรุ แี ล้ว พระองค์มพี ระราชดารวิ ่า พ้นื ท่ีฝง่ั ตะวันออกของเมอื งธนบรุ ีเปน็ ชยั ภมู ิดีกว่าฝ่ังตะวนั ตก จงึ โปรดให้
เตรียมสร้างพระนครใหม่ข้ึนบนฝั่งตะวันออก ในชั้นแรกทรงสร้างพระราชนิเวศน์มนเฑียรสถานด้วยไม้ล้อมด้วยไม้
และล้อมด้วยรั้วระเนียดไม้ไว้อีกช้ันหนึ่ง เม่ือแล้วเสร็จได้เสด็จพระราชดาเนนิ ข้ามฟากมาประทับพระราชมนเฑียร
ใหม่และทรงกระทาพระราชพิธปี ราบดาภเิ ษกสถาปนาแผน่ ดนิ ฝั่งซ้ายของเมืองธนบรุ ีข้ึนเป็นกรงุ เทพมหานคร ในต้น
ปี พ.ศ. 2325
แต่พระราชพิธีปราบดาภเิ ษกท่ีได้ทาในปี พ.ศ. 2325 นัน้ เปน็ เพยี งแตพ่ ิธีสงั เขปยังไม่สมบรู ณ์ตอ้ งตามตารา
จาตอ้ งมีพระราชพธิ ีบรมราชาภิเษก อันเป็นพระราชพธิ เี สดจ็ เสวยราชสมบัติของพระเจา้ แผน่ ดินเตม็ ตามแบบแผน
แห่งโบราณราชประเพณี จะได้เป็นพระเกยี รติยศและเป็นสวัสดิมงคลแก่บ้านเมืองภายหนา้ อีกด้วย เนื่องจากงาน
ก่อสรา้ งพระนครอันเปน็ งานใหญ่ต้องใช้แรงคนและวัสดกุ ่อสร้างมาก เพ่ือต้องการให้การสรา้ งสาเร็จลงไดโ้ ดยความ
เรยี บร้อยและรวดเรว็ ทนั สถานการณ์ของประเทศจึงโปรดใหเ้ กณฑ์คนมาจากประเทศราชต่าง ๆ เข้ามาเป็นแรงงาน

21

และทรงแบง่ หน้าทก่ี อ่ สร้างตา่ ง ๆ ออก พระบรมวงศานุวงศแ์ ละขุนนางผ้ใู หญเ่ ปน็ แมก่ องรบั เอางานไปควบคมุ และ
เร่งรดั การก่อสร้างให้สาเรจ็ ลุลว่ งไปตามพระราชประสงคเ์ รื่องเหล่าน้ีจงึ ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า ในปี พ.ศ.
2326 โปรดให้ร้ือป้อมวิชเยนทร์ และกาแพงเมืองธนบุรีข้างตะวันออกเสียแล้วขยายพระนครให้กว้างไปกว่าเดิม
เกณฑ์เขมร 10,000 คนเข้ามาขุดคลองคู พระนครดา้ นตะวันออก ตั้งแต่บางลาภู ตลอดมาจนออกแมน่ ้าข้างใตว้ ัด
สามปลม้ื ยาว 85 เสน้ 13 วา กว้าง 10 ศอก ลึก 5 ศอก พระราชทานชอื่ ว่า “คลองรอบกรุง” ดา้ นแม่น้าตัง้ แต่ปาก
คลองรอบกรงุ ขา้ งใตไ้ ปจนปากคลองข้างเหนือ ยาว 91 เส้น 16 วา รวมทางน้ารอบพระนคร 177 เส้น 9 วา

งานด้านอ่ืน ๆ เช่น การจัดสร้างกาแพงและป้อมพระราชวัง วัดพระแก้วและการปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ
ในบรเิ วณพระนครกไ็ ด้ลงมอื เรง่ ทาไปดว้ ยพร้อม ๆ กนั การขุดคลองรอบกรุงเฉพาะในบริเวณท่เี ป็นปากคลองรอบ
กรงุ ดา้ นใต้ซึ่งพ้ืนทส่ี ่วนใหญ่เปน็ เลนตลอดริมแมน่ ้าเจา้ พระยาน้นั มีพระราชวงศ์ผูใ้ หญ่ทรงรับหน้าท่ีบรู ณะวัดต่าง ๆ
พรอ้ มกนั อยู่ 2-3 วดั คือ

*วัดเลียบ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ทรงบูรณะโดยมีพระบาทสมเด็จพระพทุ ธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกทรงอุปการะด้วยเป็นวดั ใหญอ่ ยูใ่ นกาแพงพระนครเสร็จแล้วพระราชทานนามว่า “วัดราชบรู ณะ”

*วัดตีนเลนหรือวัดเชิงเลน สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์(ภายหลังได้ทรง
พระกรุณาโปรดฯ เลื่อนข้ึนเป็น “กรมพระอนุรกั ษ์เทเวศร์” เมื่อรบพม่าในภาคเหนอื ชนะ ปลาย พ.ศ. 2328) ทรง
บูรณะปฏิสังขรณ์ และได้รับพระราชทานนามว่า “วัดบพิตรพิมุข”เพื่อเป็นพระเกียรติแด่กรมพระราชวังหลัง
พระองคน์ น้ั

อย่างไรก็ตามการปฏิสังขรณ์วัดบพิตรพิมุขวรวิหารในรัชกาลท่ี 1 โดยสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้า-
กรมหลวงอนรุ ักษเ์ ทเวศรน์ ัน้ แม้จะไมม่ รี ายละเอยี ดว่าได้บูรณะปฏิสงั ขรณ์อะไรบ้างแต่กพ็ อสันนิษฐานได้วา่ น่าจะ
ทรงกระทาอะไรที่ใหญ่โตไม่ได้ คงจะสรา้ งศาลาการเปรียญ กฏุ สิ งฆแ์ ละสง่ิ อ่นื ๆ ดว้ ยเคร่อื งไม้ ส่วนพระอโุ บสถ
และพระวิหารอาจบูรณะของเก่าไว้ทีหน่ึงก่อน หากจะสร้างขึ้นใหม่ด้วยอิฐหรือปูนท้ังหมดคงจะไม่ทันการณ์ใน
ขณะน้ัน เพราะอิฐและปูนหายากเน่ืองจากต้องนามาใช้ในการสร้างพระนคร และพระราชวังท่ีสาคัญกว่าก็ยังไม่
เพียงพออยู่แล้ว ถึงกับต้องร้ือกาแพงรอบกรุงเก่านาอิฐมาใช้ ฉะนั้น จึงปรากฏว่าถาวรวัตถุท่ีได้รับการ
บูรณะปฏสิ ังขรณค์ ร้ังนน้ั อยู่ได้ไม่นานตอ้ งรอื้ แกไ้ ขและสรา้ งใหมท่ ง้ั หมดในรัชกาลท่ี 3

รัชกำลที่ 2
ในรัชกาลนี้ วดั บพติ รพิมุขวรวหิ ารมีการกอ่ สร้างและบูรณะปฏิสงั ขรณ์ไม่มากนกั ทัง้ มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้า
มาพัวพันกับวัดบพติ รพิมุขวรวิหารอย่เู ร่ืองหน่ึง คือ เน่ืองจากเป็นวัดท่ีตั้งอย่นู อกกาแพงพระนครอย่างเดียวกบั วัด
สระเกศ บริเวณวัดบิตรพิมุขวรวิหารส่วนหน่ึงจึงกลายเป็นสถานท่ีฌาปนกิจศพของชาวพระนคร ตามบันทึกใน
พระราชพงศาวดารรชั กาลท่ี 2 ทกี่ ลา่ วไว้ว่า

22

“ในคราวเกิดอหิวาตกโรคระบาดไปทั่วพระนครในปีมะโรง พ.ศ. 2362 นั้น มีคนล้มตายเป็นจานวนมาก

จนกระท้ังเผาและฝงั ไมท่ ัน วัดบพติ รพมิ ุขวรวิหารน้เี ป็นวัดหนึ่งที่ชาวบ้านหามศพมากองสมุ กันเปน็ จานวนมากตาม

ปา่ ชา้ และศาลาดนิ ราวกับกองฟืนเพอ่ื รอการเผาน่าสังเวชใจยง่ิ นัก”

รชั กำลท่ี 3

ในรชั กาลน้ี ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหร้ อ้ื เสนาสนะและถาวรวตั ถุท่ีเปน็ เครอ่ื งไม้ แลว้ สรา้ งข้นึ ใหม่ด้วย

การก่ออิฐถือปูนท้ังหมดเพราะของเก่าชารุดทรุดโทรมลงเป็นส่วนมากเนื่องจากสร้างไว้ด้วยไม้แม้แต่พระพุทธรูป

พระประธานในพระอโุ บสถกส็ นั นิษฐานว่าไดป้ ัน้ ขน้ึ ใหมเ่ ช่นเดียวกัน ส่งิ ก่อสรา้ งข้นึ ในรัชกาลนท้ี ่ีเหลือมาถึงทุกวันนีค้ อื

1. พระอโุ บสถ

2. พระวิหาร

3. พระเจดีย์ดา้ นทศิ ตะวนั ตกของพระอุโบสถ

4. หอระฆงั 2 หลัง

5. กฏุ ิคณะเก๋งจนี ชดุ 8 หลัง (คณะ 1)

รัชกำลท่ี 4

ในรชั กาลนี้ มกี ารสร้างกุฏิตาหนัก (ปจั จุบันผุพังมาก วดั จึงร้ือออกแล้วสร้างคณะ 2 ขน้ึ แทน) กุฎิหมูน่ ม้ี ี 4

หลังรวมท้ังหอไตร เป็นกุฏิทรงไทยก่ออิฐฉาบปูนมุงกระเบ้ืองดินเผาสันนิษฐานว่าสร้างข้ึนในรัชกาลน้ีเพื่อเป็นกุฎิ

เจา้ อาวาสในสมัยหมอ่ มเจ้าพระญาณวราภรณ์ (รอง) ทรงครองวดั ดว้ ยเหตุนจี้ งึ เรียกกฏุ ิหมนู่ ี้วา่ “กฏุ ิตาหนัก”

อีกอย่างหนึง่ เรือ่ งในรชั กาลท่ี 3 กับท่ี 4 ตดิ ตอ่ กันบริเวณคลองหลังวัดบพติ รพิมขุ วรวิหารยังเปน็ ตลอดขาย

สรรพสินค้าทั้งสดและแห้ง ภายในคลองเต็มไปด้วยเรือขนถ่ายสินค้าขึ้นลงดังคาท่ีสุนทรภู่ได้พรรณนาไว้ในนิราศ

สุพรรณ เมื่อ พ.ศ. 2384 ว่า

เชงิ เลนเป็นคลาดสร้าง หลักเรือ

โอง่ อ่างบ้างอิฐเกลือ เกลอ่ื นกลุ้ม

หลีกรอ่ งชอ่ งเลก็ เหลือ ลาบาก ยากแฮ

ออกแม่นา้ ย่าถุ้ม ถี่ฆ้องสองยามฯ

ตามโคลงนี้ทาใหว้ าดภาพได้ว่าในสมัยน้ันปากคลองโอง่ อ่างอาจอยู่ลึกเข้ามามากกว่าปัจจุบนั นี้ เขตวัดด้าน

ตะวันตกได้จรดริมแม่น้าและตามริมน้าส่วนมากเป็นเลนตลอดจรดวัด และตลาดตั้งอยู่บริเวณนั้น จึงได้ชื่อว่า

“วัดตีนเลน” หรอื “วดั เชิงเลน” แตใ่ นปัจจบุ ันกรุงเทพมหานครไดส้ รา้ งเขื่อนคอนกรตี ตามริมคลองโอ่งอ่างทั้งสอง

ฝ่ัง เพอ่ื ความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย และมีถนนเรยี บรมิ คลองกน้ั ระหว่างวดั กบั คลองโอง่ อา่ งอีกช้ันหน่งึ

23

รชั กำลที่ 5
ในรัชกาลน้ี ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่อกี ครง้ั หนง่ึ แต่ไม่ได้กล่าวรายละเอียดวา่ ได้ปฏิสังขรณ์อะไรบ้าง
สันนิษฐานว่า คงเป็นการบูรณะของเก่าท่ีได้สร้างและปฏิสังขรณ์ไว้ในรัชกาลที่ 3 ซึ่งชารุดทรุดโทรมลงไปให้ดีข้ึน
เหมอื นเดมิ ในคราวเดยี วกันนี้พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ใหส้ รา้ งพลับพลาเคร่ืองไม้สัก
ขึ้นไว้บริเวณวัดริมคลองโอ่งอ่างด้านหลังวัด หน่ึงหลังที่หน้าบันด้านริมคลองโอ่งอ่างประดิษฐานพระราชลัญจกร
“ตราอาร์ม” แกะสลักด้วยไม้สสักหน้าบันด้านทิศเหนือและทิศใต้แกะสลักเป็นรูปพระราชลัญจกรพระมหาพิชัย
มงกุฏอยู่บนพาน มีราชสีห์ถวายพุ่มกระหนาบอยู่สองข้าง สันนิษฐานว่าพลับพลาฯ น้ีทรงโปรดให้สร้าง ขึ้นเพ่ือ
เสด็จฯ ถวายผา้ พระกฐนิ ณ วดั บพิตรพิมขุ วรวหิ าร จากหลักฐานปรากฏว่าเสด็จฯ ถวายผา้ พระกฐิน ณ พระอาราม
แห่งนีต้ ิดต่อกนั หลายปี และเนอ่ื งจากพระอารามนี้ตัง้ อยรู่ มิ คลองโอง่ อา่ งซง่ึ เดิมเป็นเลนอยสู่ ่วนมาก จึงทรงโปรดให้
สร้างข้ึนเพ่ือรับเสด็จ ฯ จากหลักฐานภาพถ่ายเดิมปรากฏว่ามีถนนคอนกรีตทอดยาวจากพลับพลารับเสด็จ มาถึง
ทางเข้าเขตพุทธาวาส พลับพลารับเสดจ็ ฯ จงึ แสดงถึงความสาคญั ของพระอารามน้ใี นครั้งน้ัน
สถานท่สี าคัญภายในวดั
1. พระอุโบสถ
สถาปตั ยกรรม ลักษณะเปน็ อาคารทรงไทยชั้นเดยี วกอ่ อิฐถือปนู ยกพื้นสูง มเี สาภายนอกโดยรอบระหว่าง
เสาและผนังมีระเบียงเดินได้รอบ หลังคาทรงไทยซ้อนสองช้ันมุงกระเบ้ืองเคลือบดินเผา ช่อฟ้าใบระกาประดับ
กระจกสที อง ซุ้มประตูหนา้ ต่างเป็นลวดลายปนู ปนั้ รปู ดอกเบญจมาศปิดทองประดับกระจกสี ผนังระหว่างซุม้ ประตู
ด้านทิศตะวันออกเดิมมรี ปู พระพุทธฉาย ปจั จุบนั สรา้ งพระพทุ ธรปู ปางลลี าประดิษฐานบนแทน่ แทนบานประตูและ
หน้าต่างเขียน ลายรดน้า ผนังภายในทั้งสี่ด้านเขียนลายประแจจีนประดับดอกไม้ ล่วงบนพื้นสีเหลืองทอง ภายใน
ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปพระประธาน พร้อมดว้ ยพระอัครสาวก นอกจากนี้มีภาพเขียนอันทรงคุณค่า คอื

1. ภาพพระภิกษพุ ิจารณากรรมฐานต่อหนา้ ซากศพ (อสุภกรรมฐาน) เขียนลงบนแผ่นไม้สัก เข้า
กรอบรปู ไข่จานวน 10 ภาพ แขวนอยูท่ ี่ผนังระหวา่ งชอ่ งหนา้ ตา่ งแต่ละช่อง

2. ภาพเขียนเร่ืองพทุ ธประวัติ เขียนลงบนแผ่นไมส้ ักเข้ากรอบไม้สลักลวดลายงดงามกรอบ เป็น
ชุด ๆ ละ 3 ภาพ จานวน 14 ชุด อยู่เหนือกรอบประตูหนา้ ต่างทุกช่อง ใบเสมาตั้งอยู่ภายในซุ้มปูนปั้นศิลปะแบบ
ราชนยิ มสมัยรชั กาลที่ 3 ตั้งอยูร่ อบพระอโุ บสถจานวน 8 ซุม้ ปจั จบุ ันพระอุโบสถวดั บพิตรพมิ ขุ วรวิหารเป็นสถานท่ี
ทาวัตรเช้า–เย็นประจาวัน ทาสังฆกรรม เช่น อุโบสถกรรม อุปสมบทกรรม เป็นที่ประชุมฟังธรรมของอุบาสก
อุบาสิกาในวันธรรมสวนะและประกอบพธิ ีกรรมในวนั สาคัญทางพระพทุ ธศาสนาคือ วนั วสิ าขบชู า วันอาสาฬหบูชา
และ วันมาฆบูชา

24

2. พระวหิ ำร
พระวหิ าร ตง้ั ขวางพระอุโบสถดา้ นตะวันออก ยกพ้ืนสงู 2 ชัน้ สงู กวา่ พระอโุ บสถ หลงั คาทรงไทยซ้อนสอง
ชั้น เสาอยู่ขา้ งนอกเหมอื นพระอโุ บสถ มีประตดู า้ นข้างสองชอ่ งคอื ดา้ นทิศตะวันออก และดา้ นทศิ ตะวนั ตก ตรงกับ
หน้าพระอุโบสถ ซุ้มประตูหนา้ ต่างเป็นปนู ป้นั รูปดอกเบญจมาศเช่นเดียวกับพระอุโบสถผนงั ด้านใน ทาด้วยฝุ่นแดง
เขียนลายดอกไม้รว่ ง ภายในมีพระพทุ ธรูปปูนป้ัน จานวน 6 องค์ ประดิษฐานอยบู่ นแท่นชุกชี (เดิมประดิษฐานอยู่
ด้านเหนือ 3 องค์ และด้านใต้ 3 องค์ ปัจจุบันทางวัดได้ย้ายมาประดิษฐานรวมกนั ไวด้ ้านทิศใต้เพอื่ ใช้พื้นท่ีได้มาก
ข้นึ ) กบั มพี ระพทุ ธรูปศลิ าปางสมาธิสมยั ทวาราวดขี นาดย่อมประดษิ ฐานอยู่ดว้ ย (ปัจจุบันได้ยา้ ยไปประดษิ ฐานไว้ใน
ท่ปี ลอดภัย) พระพทุ ธรปู แบบนี้เคยพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายแหง่
3. พระเจดีย์ทรงลังกำ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลม สูง 12- 18 เมตรต้ังอยู่ด้านทิศตะวันตกหลัง
พระอโุ บสถกล่าวกันว่าภายในบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ
4. ระเบียงพระวิหำรคด ลักษณะเป็นอาคารช้ันเดยี วยาวรปู ตัวยู กว้าง 5 เมตร ทิศตะวันออกมีจตรุ มขุ
เป็นต้นประตูทางเข้าออกด้านถนนจักรวรรดิ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยสุโขทัย
จานวน 48 องค์ ปัจจุบันระเบียงพระวิหารคตเป็นสถานท่ีศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสามเณร และ
พทุ ธศาสนิกชนท่ัวไป
5. ศำลำกำรเปรียญ ลักษณะเป็นอาคารทรงไทย 2 ช้ัน หลังคามุขลดสองขั้นมุงด้วยกระเบ้ืองเคลือบ
ประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงษ์มีชาน เดินโดยรอบ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2505 ปัจจุบันศาลาการเปรียญ เป็นสถานที่
บาเพ็ญกุศลของพทุ ธศาสนกิ ชนทั่วไป ดงั น้ี

ชน้ั บน เป็นสถานทบ่ี าเพ็ญกุศล
ชน้ั ล่าง เป็นสถานทถี่ วายภัตตาหารเพลพระภกิ ษสุ ามเณรประจาทุกวนั
6. โรงเรียนพระปริยัติธรรม ลักษณะเป็นอาคารทรงไทย 3 ช้ัน หลังคามุงด้วยกระเบ้ืองเคลือบประดับ
ใบระกา กว้าง 10 เมตร ยาว 30 เมตร สร้างโดยบุตรธิดาของคุณแม่อิ่มจิตต์ ถาวรธนสาร และครอบครัวถาวร
ธนสาร เม่ือ พ.ศ. 2532 ปัจจุบันโรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นสถานท่ีศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและ
บาลีของพระภิกษุสามเณรทั่วไป ในวัดบพิตรพิมุข และวัดอ่ืน ๆ เป็นสถานที่สอบบาลีสนามหลวงช้ัน ประโยค 4
ฝง่ั ธนบุรี นอกจากน้ียังเปน็ สถานที่อบรมเยาวชนในบางโอกาส
7. พลบั พลำรบั เสด็จ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั (รชั กาลท่ี5)
ลักษณะเป็นอาคาร 3 ช้ัน หลังคามุงกระเบื้องสี ช้ันบนเป็นไม้ท้ังหมด ช้ันสองเป็นคอนกรีตมีชานโดยรอบ
ปจั จุบนั พลบั พลารับเสด็จฯ แบ่งประโยชน์ใช้สอย ดงั น้ี
ชั้นที่ 1 เป็นหอ้ งเอนกประสงค์

25

ชน้ั ท่ี 2 เป็นหอสมดุ วดั บพิตรพมิ ุข เป็นท่ีศกึ ษาหาความรูว้ ิชาการด้านพระพุทธศาสนา
ชนั้ ที่ 3 เป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาโบราณวตั ถตุ ่าง ๆ ทีส่ าคัญของวัด
8. กุฏิเก๋งจีน กุฎิเก๋งจีน เรียกว่า “คณะต้นจันทร์” ท่ีเรียกเช่นนั้นเพราะมีต้นจันทร์ปลูกอยู่กลางหมกู่ ฏุ ิ
ต้นหน่ึง (ปัจจุบันเป็นคณะ 1) กุฏิกลุ่มนี้เป็นของเก่าเข้าใจว่าสร้างในรัชกาลท่ี 3 ซ่ึงกาลังนิยมศิลปะแบบจีนกัน
ทั่วไป ได้รบั คาบอกกล่าวว่า พระยาโชฎึกราชเศรษฐี สรา้ งถวาย ถ้าเป็นพระยาโชฎึกราชเศรษฐีเจ้ากรมฝ่ายซ้ายใน
รัชกาลที่ 3 จรงิ กต็ ้องมีชื่อเดมิ ว่า “ทองด”ี แตเ่ ดมิ น้นั สร้างเป็นแบบจีนท้งั หมด เมอ่ื เกดิ ผพุ งั จึงซอ่ มใหม่ในภายหลัง
จึงให้เปล่ียนแปลงใช้แบบไทยเข้าไปปนบ้างบางส่วน แต่เครื่องบนยังคงแสดงให้เห็นถึงการเข้าไป้ตามแบบจีนอยู่
อยา่ งชัดเจน ซงึ่ สมควรจะได้มกี ารรกั ษาไว้นาน ๆ
9. กฎุ สิ งฆ์ทรงไทย 2 ช้นั จานวน 5 หลงั ไดแ้ ก่
กุฎคิ ณะ 2 ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น รปู ตัวแอล หลงั คาทรงไทยมงุ กระเบ้ือง
เคลือบ สรา้ งเมอ่ื พ.ศ. 2529
กุฏิคณะ 3 ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ช้ันเช่นเดียวกับคณะ 2 ต่างแต่เป็นอาคาร
รูปตวั ยู สรา้ งเมอื่ พ.ศ. 2527
กุฏิคณะ 4 และ คณะ 5 เปน็ อาคารคอนกรีตเสรมิ เหล็ก 2 ช้ัน หลังคามงุ กระเบ้อื งเคลือบลักษณะ
เดียวกบั คณะ 2
กฎุ ิคณะ 6 เป็นอาคารคอนกรตี เสรมิ เหล็ก 2 ชัน้ รปู ตวั แอล เช่นเดียวกับกฏุ คิ ณะ 2

26

ทวบิ ท

ประวตั ิ

27

1. สนุ ทรภู่ เกิดกรุงเทพฯ เปน็ ผู้ดมี ีตระกลู ใกลช้ ดิ เจำ้ นำย

สุนทรภู่ “มหากวีกระฎุมพี” เป็นนักปราชญ์

ประจาราชสานัก แนวคิดปัจเจกนิยม โดยให้ความสาคัญ
แก่ตนเอง และเป็นอิสระจากข้อผูกมัดทางสังคม แล้ว
แสดงออกอย่างเสรี ฝักใฝ่ข้างตะวันตก ไม่ต่อต้านการ
เปลีย่ นแปลงแต่ต่อต้านการล่าเมอื งขึ้นของยุโรป แมไ้ ม่เคย
เรียกร้องความเสมอภาคของมนุษย์ แต่ไม่ยอมรับบทบาท
ทางสังคมที่กาหนดขึน้ ด้วยกาเนดิ ของคน จึงยกย่องผหู้ ญงิ
มสี ตปิ ัญญาวิชาความรู้ และสนบั สนุนการแก้ปัญหา ขดั แย้ง
โดยไม่ใช้ความรุนแรงสร้างสรรค์วรรณกรรมร้อยกรอง
จานวนนับไม่ถ้วนล้วนแสดงออกอย่างมีพลัง ด้วย
ประสบการณต์ รงและจรงิ ตามอหงั การ์ของชนชนั้ กระฎุมพี
อย่างมสี ีสนั และทันสมยั โดนใจคนรว่ มยคุ อยา่ งกว้างขวาง

ภำพท่ี 11 หุ่นขผ้ี ง้ึ สุนทรภู่ พิพธิ ภัณฑ์หนุ่ ข้ผี ้ึง ควำม
ทรงจำของคนหลำยช้ันสบื จนทกุ วันน้ี อ.นครชัยศรี

จ.นครปฐม

2. เกดิ และตำยในกรงุ เทพฯ

สุนทรภู่เคยมีวิถีชีวิตสร้างสรรค์ “มหากวีกระฎมพี” อยู่สองฝั่งแม่นา้ เจ้าพระยาของกรม บริเวณวังหลวง,
วงั หน้า, วังหลงั , วงั เดิม พื้นท่ีศูนยก์ ลางอานาจสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สนุ ทรภู่อยใู่ นตระกูลผดู้ ีกรงุ เทพฯ และใกล้ชิด
เจ้านายกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดท่ีวังหลังสมัย ร.1 วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ตายที่วังเดิมสมัย ร.4 พ.ศ. 2398
อายุ 69 ปี พ่อแมเ่ ป็นเชื้อสายพราหมณ์เมืองเพชรบุรีมหี ลักแหลง่ อยู่กรุงเก่าอยธุ ยา คร้ันหลงั กรงุ แตก (พ.ศ. 2310)
โยกย้ายไปอยู่กรุงธนบุรีรับใช้ใกล้ชิดขุนนางในแผ่นดินพระเจ้าตาก มีบรรดาศักดิ์ว่าพระยาสุริยอภัย (นามเดิม
ทองอิน ทต่ี ่อไปเปน็ วังหลัง กรมพระราชวังบวรสถานพมิ ุขสมยั ร.1) ซ่งึ มเี คหสถานอยบู่ ้านปูน (ขา้ งเหนือวัดระฆัง
ย่านตรอกวงั หลงั ใกลโ้ รงพยาบาลศิริราช)

[“กระฎมุ พี” หมายถึง กลุ่มคนชั้นนาทางเศรษฐกิจ-การเมือง ในเศรษฐกิจ การตลาดแบบส่งออก สมยั ตน้ กรุงรตั นโกสนิ ทร์
ประกอบด้วยเจ้านาย, ขุนนาง ข้าราชการ, พ่อคา้ วาณชิ หรอื เศรษฐมี ที รัพย์ เปน็ ตน้ ]

28

ภำพที่ 12 สมุดภำพแหง่ กรุงเทพมหำนคร 220 ปี สำนักผังเมืองกรงุ เทพมหำนคร 2546

ปู่ย่าตายายเป็นเช้ือสายพราหมณ์เมืองเพชรบุรี ซึ่งสืบจากพราหมณ์รามราช เมืองราเมศวรัม
ใกลป้ ลายแหลมรัฐทมิฬนาฑู อนิ เดยี ใต้ มแี นวหินโสโครกเชื่อมเกาะศรีลังกา เรยี กถนนพระราม (มีส่วนเปน็ พลัง
สร้างสรรค์วรรณกรรมเรื่องพระอภยั มณี มีตัวละครสาคญั ๆ เกีย่ วข้องวัฒนธรรมพราหมณ)์

3. บิดำของสุนทรภู่

บิดาของสุนทรภู่ เป็นบริวารรับใช้ใกล้ชิดในกรมพระราชวังหลัง (สมัย ร.1) ท้ังราชการสงครามและ
ราชการอ่ืน ๆ นักปราชญ์ทางวรรณกรรมอธิบายว่าบิดาของสุนทรภู่ (เช้ือสายพราหมณ์เมืองเพชรบุรี)
สนองงานการเมอื ง “ราชการลับ” ของวังหลงั โดยออกบวชเป็นสมภารเจา้ วดั อยบู่ ้านกรา่ เมืองแกลง จ.ระยอง)
จงึ ไมใ่ ชช่ าวบ้านกรา่ และไม่มเี ชือ้ สายชาวชอง (คนพ้นื เมอื ง พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร)

4. มำรดำของสุนทรภู่

มารดาของสุนทรภู่ เป็น “แม่นม” (ของธิดาในกรมพระราชวงั หลัง สมยั ร.1) ซ่งึ ตอ้ งเปน็ หญงิ ใกล้ชิด
เจ้านายระดับเครอื ญาตทิ ี่เลี้ยงดูลูกเจ้านายด้วยน้านมของตนแทนแมจ่ รงิ โดยมกี ากบั ด้วย “ตาราแม่นม”

5. ใกลช้ ิดเจ้ำนำย

เกดิ และเติบโตในตระกลู ผดู้ ี ใกลช้ ดิ เจา้ นายวงั หลวง วงั หน้า วังหลัง เขียนบอกไวเ้ องในโคลงนิราศเมือง
สพุ รรณ ว่าตอนยงั เยาวม์ ีชีวิตอยทู่ ่ามกลางตระกูล เชน่

1. หัดอ่านเขียนเรียนหนังสือสานักวัดชีปะขาว (ปัจจุบันชื่อวัดศรีสุดาราม) ในคลองบางกอกน้อย
เปน็ สานักเรียนของลูกหลานผูด้ ีมตี ระกูล (ไมใ่ ชส่ านักเรยี นของลกู หลานชาวบ้าน)

2. นางข้าหลวงวังหลังพาไปเล่นในสวนหลวง ซึ่งเป็นสวนของเจ้านายวังหลัง อยู่ลึกเข้าไปในคลอง
บางกอกน้อย (ปัจจบุ ันเปน็ เขตตล่ิงชนั กรุงเทพฯ)

รัฐทมิฬนาฑู แหล่งอารยธรรมสาคัญหลายพันปีมาแล้ว เป็นต้นตอวัฒนธรรม หลายอย่างของอุษาคเนย์ ได้แก่ เทคโนโลยี
สร้างปราสาทหิน, ภาษา, ตัวอักษร ศาสนา โดยเฉพาะพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ ซึ่งไทยสมัยก่อนรบั จากทมฬิ และตกทอดจน
ปัจจบุ ัน คาว่า ทมิฬ ในภาษาทมิฬ มคี วามหมายในทางดี แปลวา่ คน แตใ่ นภาษาไทย มีอคตทิ างวฒั นธรรม แปลวา่ ดรุ า้ ย, โหดรา้ ย

29

ภำพท่ี 13 ปำกคลองบำงกอกนอ้ ย แยกจำกแมน่ ้ำเจำ้ พระยำ (ไปทำงขวำของภำพ) สมัย ร.1 เปน็ พนื้ ทวี่ ังหลงั บรเิ วณนี้มี
เรือนแพอยู่อำศยั และตลำดแพขำยของเรียงรำยเป็นพดื ต่อกันยดื ยำวสองฝั่งคลอง ลึกเข้ำไปมีวัดชีปะขำว เปน็ สำนกั เรยี น

เฉพำะลกู หลำนผดู้ ี ที่สุนทรภเู่ ร่ิมหัดอำ่ นเขียนเรียนหนงั สอื (ภำพเมอ่ื พ.ศ. 2560)

สุนทรภู่ส่ังสมประสบการณ์และวชิ าความรจู้ ากหลายแหล่ง ซึ่งผู้เข้าถึงข้อมูลวิชาความรู้เหล่านน้ั ลว้ น
ตอ้ งเป็นเจ้านาย ผู้ดมี ตี ระกลู หรอื เก่ยี วดองทางใดทางหนง่ึ ดงั นี้

1. แรกสุดจากผู้รู้วังหลัง ซ่ึงเป็นแหล่งแปลพงศาวดารจีนเรื่องไซ่ฮ่ัน และเก็บรักษาสมุดข่อยนิทาน
คากลอนเรอ่ื งทา้ วปาจติ ต์ ที่เป็นพลังสรา้ งสรรคฉ์ ันทลักษณ์กลอนสภุ าพ

2. คลังความรู้ทั้งมวลเก็บไว้ตามหอต่าง ๆ ในวังหลวง ซึ่งต้องอ่านเป็นพื้นฐานสาคัญมาก หากขาด
ส่ิงน้ีก็สร้างสรรค์กวีนิพนธ์ต่อไม่ได้ หรือได้ไม่ถึงขนาดความรู้เหล่าน้ันมีบอกหลายแห่งในงานของสุนทรภู่
ท่ีแสดงว่าไดอ้ า่ นหมดหรือเกือบหมด

6. แตง่ หนังสอื

สุนทรภู่แต่งหนังสือรอ้ ยกรองโดยเขียนลายมือลงบนสมุดข่อย อาจมีต่อกันหลายเล่มสมุดข่อยกว่าจะ
จบตามต้องการ (1) แต่งถวายเจ้านายตามประเพณี เพื่อความดีความชอบ (2) แต่งตามต้องการของตนเอง
แล้วมีผู้อื่นขอคัดลอกไปอ่านไม่แต่งหนังสือแล้วพิมพ์ขาย (เหมือนปัจจุบัน) เพราะยังไม่มีเทคโนโลยีการพิมพ์
[หมอสมิธ (เจ้าของโรงพมิ พ์ท่ีบางคอแหลม ถนนตก กรุงเทพฯ) ผู้พิมพ์พระอภยั มณีของสุนทรภู่ ออกจาหนา่ ย
ครั้งแรกในกรุงสยาม เม่อื พ.ศ. 2413 ต้น - พมิ พ์ขายคราวละเล่มสมุดไทย เรยี กราคาเลม่ ละสลึง (25 สตางค์)]

30

7. รำชกำรลับ

นิราศเมืองแกลง แต่งเม่ือถูกใช้ทางาน “ราชการลับ” ไม่ไปเที่ยวบ้านเกดิ เพราะไม่ได้เกิดเมืองแกลง

นิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ (แต่งราว พ.ศ. 2350 อายุราว 21 ปี) เล่าเรื่องการเดินทางไปเมืองแกลง

(จ.ระยอง) ตามภารกจิ “ราชการลับ” ของราชสานกั (นริ าศ แตง่ หลงั เดินทางกลับแล้ว ไมไ่ ดแ้ ต่งขณะเดินทาง)

กรุงเทพฯ ไปเมืองแกลง สมัยน้ันหนทางคมนาคมทุรกันดาร สุนทรภู่ซึ่งเป็นชาวกรุงเข็ดขยาด จึงแต่งกลอน

ราพึงราพนั ว่า “จะกรวดน้าคว่าขนั จนวันตาย แม้เจา้ นายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา” เปน็ หลักฐานตรง ๆ ว่าสุนทรภู่

ไม่รู้จักเมืองแกลง ไม่เคยไปเมืองแกลง ไม่อยากไปเมอื งแกลง และไม่ได้ไปเพื่อเยี่ยมบ้านเกิด เพราะไม่ใช่บา้ น

เกิดของตน

บิดาของสุนทรภู่ “บวชการเมือง” เป็น

สมภารเจ้าวัดอยู่บ้านกร่า เมืองแกลง เพื่อปฏิบัติ

“ราชการลับ” จึงไม่มีกรณีหย่าร้างกับภรรยา

(แม่ของสุนทรภู่) ตามที่มีผู้ใส่ร้าย อนุสาวรีย์สุนทรภู่

(บ้านกร่า อ. แกลง จ.ระยอง) สร้างด้วยเหตุผลทาง

การเมือง และความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องถิ่น

กาเนิดสุนทรภู่ พ.ศ. 2498 ครบรอบ 100 ปี คร้งั นนั้

จอมพล ป. พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรีทาพิธีวาง

ศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์สุนทรภู่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม

พ.ศ. 2500 มีรัฐประหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ต้องหนีออกไปต่างประเทศ และรัฐบาลคณะ

รัฐประหารไม่จ่ายงบประมาณสร้างอนสุ าวรยี ์ ต่อมา

รัฐบาลหลังจากนั้นสนบั สนนุ งบประมาณก่อสรา้ งจน

สาเร็จ พ.ศ. 2513 ทาพิธีเปิดอนุสาวรีย์สุนทรภู่แห่ง

แรก เมือ่ 25 พฤษภาคม ภำพท่ี 14 อนสุ ำวรยี ส์ ุนทรภู่ (บำ้ นกรำ่ อ. แกลง จ.ระยอง)

8. บวชกำรเมอื ง รอ้ นตวั จำกภยั

บวชการเมือง ร้อนตัวกลัวราชภัย ร.3 ไม่รังแกแต่กลับยกย่องเป็นครูสอนโอรสธิดา ร.3 โปรดให้
พระภิกษุสุนทรภู่ อยู่ในอุปถัมภ์ของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (ธิดาองค์โปรด) และนิมนต์จาพรรษาอยู่
วัดเทพธิดาราม (ถนนมหาไชย สาราญราษฎร์ ประตูผี กรุงเทพฯ) สุนทรภู่เก่ียวข้องการเมืองอย่างเต็มตัวมา
นานแล้ว และอยู่ในกลุ่มขุนนางฝักใฝ่เจ้าฟ้ามงกุฎ ครั้นกรมหม่นื เจษฎาบดินทรเ์ สวยราชย์เปน็ พระเจ้าแผน่ ดิน
จึงร้อนตัวออกบวชเป็นภิกษุหนีราชภัย พ.ศ. 2367 อายุราว 38 ปี [ร.2 มีโอรสองค์โต คือ กรมหม่ืนเจษฎา
บดินทร์ ชานาญแต่งสาเภาค้าขายใกล้กับจีน (ต่อไปคือ ร.3) และโอรสองค์รอง (ต่างมารดา) คือ เจ้าฟ้ามงกฎุ
ศึกษาเช่ียวชาญศิลปวิทยาการตะวันตก (ต่อไปคือ ร.4)] แต่ ร.3 ไม่รังแก กลับยกย่องให้ภิกษุสุนทรภู่เป็นครู

31

สอนหนงั สือให้โอรสธิดานอ้ ย ๆ (มบี อกในเพลงยาวถวายโอวาท) แลว้ ใหธ้ ดิ า (องค์โปรด) อปุ ถมั ภ์ โดยนมิ นตไ์ ป
จาพรรษาอยู่วัดเทพธิดาราม (มีบอกในราพันพิลาป) กวีอยู่ใต้อานาจเศรษฐกิจการเมือง ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่รตู้ วั
และต้องการหรือไม่ต้องการ ดังน้ันงานกวีนิพนธ์ทั้งหมดทุกเร่ืองสะท้อนสังคมและเศรษฐกิจ – การเมือง
ของยคุ น้นั ๆ เสมอ อยทู่ ีค่ นอ่านเขา้ ถงึ หรอื ไม่

ภำพที่ 15 วดั เทพธดิ ำรำม (ถนนมหำไชย สำรำญรำษฎร์ ประตผู ี กรุงเทพฯ)

9. ไม่ขี้เมำ

สุนทรภู่อาลักษณ์ขี้เมา ด่ืมเหล้าเมามายแล้วทาร้ายคนอ่ืน เรื่องนี้ไม่เคยพบหลักฐานน่าเชื่อถือและ
ตรวจสอบได้ แต่นิยมคัดลอกต่อ ๆ กันมาซ่ึงล้วนเป็นข้อกล่าวหาใส่รา้ ยป้ายสี ท่ีอาจเก่ียวข้องกับการเมืองคร้งั
นั้นจนตอ้ งออกบวชหนีราชภยั

กลอนในนิราศภูเขาทอง ตอนนั่งเรือผ่านโรงเหล้า (บางย่ีขัน) แล้วราพึงราพัน อย่างพระเทศนถ์ ึงโทษ
ของการกินเหล้า ซึ่งเป็นความเปรียบด้วยกวีโวหารของภิกษุ ท่ีทาเคร่งเพราะหนีราชภัย (อายุ 42 พรรษา
4 โดยประมาณ) ว่าเคยด่มื เหล้าแล้ว เมาเหมอื นคนบา้ นา่ อาย หมายถงึ เมาสนกุ สนานไมใ่ ชเ่ มาอาละวาด

สุนทรภู่รับราชการเป็นนักปราชญ์ประจาราชสานัก อยู่ในสังคมคนช้ันสูง ได้แก่ เจ้านาย, ขุนนาง,
ข้าราชการ, ผดู้ ,ี เศรษฐีมีทรัพย์, รวมถึงคนตา่ งชาตติ า่ งภาษานานาประเทศ ยอ่ มมีกจิ กรรมสังคมด่มื สุรามรี ะดบั

ขณะเดยี วกันมชี ีวิตสว่ นตัวในแวดวงมหรสพ ไดแ้ ก่ ปพ่ี าทย์เสภา และละคร มีเสพสรุ ายาเมารอ้ งราทา
เพลงตีกรับขับเสภาสนุกสนานเป็นคร้ังคราว ซึ่งสุนทรภู่น่าจะรู้สึกตนเหมือนคนบ้า แต่ไม่ผิดปกติของคฤหัสถ์
และไมข่ ีเ้ มาอาละวาดตามขอ้ กลา่ วหาใส่รา้ ย

32

10. ไม่ขี้หลี

สุนทรภู่เขียนบอกไว้เองในนิราศบางเรื่องว่ามีหลายคน หมายถึง มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง
หลายนาง ทั้งเปดิ เผยและไม่เปิดเผย เน่ืองเพราะอยู่นอกวัฒนธรรมตวั เดยี ว-เมียเดยี ว

ความเป็นผู้ดี มีวิชาความรู้ มียศถาบรรดาศักด์ิมีช่ือเสียง ผลงานเป็นท่ีรับรูต้ ่อสาธารณะต้ังแต่วัยหนุม่
เพราะเป็นคนบอกบทอยู่หน้าม่านโรงละครชาตรี (ละคร ชาวบ้าน) เทียบสมัยนี้เป็นดาราหน้าโรง เท่ากับมี
เสนห่ อ์ ยา่ งย่งิ ดงึ ดดู บรรดาหญงิ สาววัยรนุ่ เขา้ พัวพันไมน่ อ้ ย ดังมีบอกในกลอนเพลงยาวนิราศเร่อื งต่าง ๆ อย่าง
รับผิดชอบไม่ดูถูกทิ้งขว้างจึงไม่ควรเหมารวมหญงิ ทุกคนท่ีมีเซ็กซ์เพ่ือหฤหรรษ์ตามธรรมชาติประสาสาว หนุ่ม
ล้วนเปน็ “เมยี ” สนุ ทรภู่

11. ไม่ขค้ี กุ

สุนทรภู่เมาเหล้าอาละวาดจนถูกจับติดคุก ขณะอยู่ในคุกต้องแต่งพระอภัยมณี “ขายเล้ียงตัว” ล้วน
เปน็ ข้อกล่าวร้ายปา้ ยสีเหตเุ พราะ

1. ไม่เคยพบหลักฐานว่าตดิ คกุ เพราะเมาเหล้าอาละวาด
2. พระอภัยมณีแต่งเมื่อไร ไม่พบหลักฐาน แต่นักปราชญ์ทางวรรณกรรมเช่ือตรงกันว่าเริ่มแต่งตอน
เปน็ ภกิ ษุ อยูว่ ดั เทพธดิ าราม
3. ไม่เคยพบหลักฐานว่าก่อนมีการพิมพ์พระอภัยมณีเป็นหนังสือเล่ม คนอยากอ่านต้องจ่ายค่าขอ
คัดลอก จึงเทา่ กับพูดกนั โดยเดาล้วน ๆ (คนสว่ นมากเขยี นไมไ่ ด้ อา่ นไม่ออก แลว้ จะมใี ครจ่ายทรพั ย์ขอคัดลอก
ไปอา่ น)

12. ไม่กนิ เหล้ำ

สุนทรภแู่ ตง่ กลอนตอนกนิ เหลา้ เพราะเชือ่ ว่ากวีจะแตง่ กาพย์กลอนเก่งต้องกนิ เหล้า เม่ือเหล้าออกฤทธ์ิ
จะกระตุ้นอารมณ์คิดคากลอนคล่องแคล่ว และมีจินตนาการบรรเจิดเลิศล้ากว่าใคร ซ่ึงเป็นเร่ืองเพิ่งสร้างเพ่ือ
สนับสนุนการใส่รา้ ย

วรรณกรรมร้อยกรองเท่าที่พบแล้ว ถ้ารวมสมุดข่อยเข้าด้วยกันก็เป็นกองพะเนินเทินทึก นับว่ามีมาก
เกินประมาณ (ยังไม่พบต้นฉบับสมุดข่อย แต่พบชื่อก็อีกหลายเรื่อง) ล้วนประณีตบรรจงด้วยถ้อยคาเลือกสรร
เป็นวรรณศิลป์วิจิตรพิสดารอย่างมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และไม่พบกลิ่นอายหรือร่องรอยของเหล้ายา
ส่ิงเสพตดิ อ่ืน

งานกวีเกือบทั้งหมดของสุนทรภู่ (ยกเว้นนิราศเมืองแกลง) เป็นส่ิงสร้างสรรค์ ขณะบวชเป็นภิกษุใน
สายตาของอานาจรัฐท่ไี ม่เปิดโอกาสให้ละเมิดศีลขอ้ ใด ๆ ท้ังนนั้ เหลา้ กับการสรา้ งสรรคง์ านศิลปะทกุ ประเภท
ถูกผูกโยงเข้าด้วยกันตามวัฒนธรรมตะวันตก แต่ในสังคมอุษาคเนย์แล้วเหล้าเป็นเคร่ืองเซ่นสาคัญในพธิ ีกรรม
เล้ียงผบี รรพชนหรอื ทรงเจ้าเขา้ ผี

33

13. ไมร่ ่อนเร่

สุนทรภู่ เป็นผู้ดีมีตระกูลใกล้ชิดเจ้านาย มีหน้าที่การงานสูงส่งด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นนักปราชญ์
ประจาราชสานักอย่ใู นวังหลวง เมือ่ บวชเปน็ พระสงฆ์กจ็ าพรรษาวัดหลวงอยู่ในอุปถัมภ์ของเจา้ นายชน้ั สูง ครน้ั
เดนิ ทางไปทีต่ ่าง ๆ ตามหัวเมอื งได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ ในเรือ เพราะมีคนรับใชแ้ จวหวั เรอื ทา้ ยเรือล้วนเปน็ ลูกศิษย์
ลูกหาสาวกบ่าวไพร่ แตใ่ นนริ าศบางตอนมีราพึงราพนั ความทุกข์ยากและตดั พ้อต่อว่า (เช่น ไม่มีพสธุ าจะอาศัย
เป็นตน้ ) ล้วนเปน็ โวหารของมหากวอี ยา่ งสนุ ทรภู่ ซ่งึ มีความหมายทางการเมอื งในราชสานกั ครั้งน้ันท่ีกระทบถึง
ตน แตไ่ มห่ มายถงึ ร่อนเร่ไร้หลักแหล่งจริง ๆ เหมอื นยาจกวณิพกทั่วไป

14. ไมแ่ ตง่ สอนหญงิ

สนุ ทรภู่ไมไ่ ด้แต่งสภุ าษติ สอนหญงิ สภุ าษติ สอนสตรี) คนแตง่ จรงิ บอกวา่ ช่อื “ภู่” แต่เปน็ คนอื่นท่ีไม่ใช่
สุนทรภู่ เพราะสานวนกลอนอ่อนแอมากเมือ่ เทียบกลอนสุนทรภู่ เรื่องน้ีกรมศิลปากรมเี ชิงอรรถบอกนานแลว้
วา่ “ปจั จบุ นั มนี กั วรรณคดหี ลาย ทา่ นเชือ่ ว่าสุนทรภ่ไู มไ่ ด้แต่งสุภาษิตสอนสตรี”

15. ไม่มนี ำมสกลุ

สุนทรภู่ไม่มีนามสกุล เพราะสมัยน้ันยังไม่ใช้นามสกุลและไม่พบลูกหลาน สืบสายตระกูลจนถึงสมัย
มีนามสกุล รวมทง้ั ไมไ่ ดเ้ กดิ บ้านกร่า เมืองแกลง จ. ระยอง สนุ ทรภู่จงึ ไมเ่ กี่ยวข้องกบั นามสกลุ ใด ๆ ของทนี่ ั่น

16. กลอนตลำด แบบสุนทรภู่

กลอนตลาด หรือกลอนสุนทรภู่ เป็นกลอนส่งสัมผัส ท้ังสัมผัสในและสัมผัสนอก ล้วนได้ต้นแบบจาก
หนังสือกลอนอ่านนิทานที่มีผู้แต่งไว้ยุคก่อน ๆ โดยเฉพาะเร่ืองปาจิตกุมารกลอนอ่าน (หรือตานานปราสาท
พิมาย อ.พิมาย จ. นครราชสีมา) จึงเลียนแบบใช้แต่งกลอนเพลงยาวนิราศและนิทานกลอน จนเป็นลักษณะ
เฉพาะตัวที่รู้กันทั่วไปวา่ กลอนสุนทรภู่

17. นักเลงเพลงยำว

สนุ ทรภู่ “เป็นอาลักษณน์ กั เลงทาเพลงยาว” หมายถงึ ผฝู้ ักใฝแ่ ตง่ เพลงยาว คอื นริ าศ บางทเี รยี ก
ควบรวมวา่ เพลงยาวนริ าศ (ไม่ใชเ่ พลงยาวเกีย่ วผู้หญิง) นริ าศท่ีเป็นกลอนต้องแต่งด้วยขนบกลอนเพลงยาว

พบหลักฐานสมัยอยธุ ยา ไดแ้ ก่ เพลงยาวหม่อมภิมเสน ก็คือ เพลงยาวนริ าศเมอื งเพชรบรุ ี ของกวี
ชอ่ื หมอ่ มภิมเสน ส่วนสมยั รตั นโกสนิ ทร์ ได้แก่ เพลงยาวนิราศรบพมา่ ทา่ ดินแดง พระราชนพิ นธ์ ร.1

18. เพลงยำวเก่ยี วผหู้ ญงิ

เลา่ เปน็ ตเุ ป็นตะวา่ สุนทรภ่รู บั จ้างแต่งเพลงยาวเกี้ยวพาราสี ให้หน่มุ สาวท่ีรกั กันชอบกันแตแ่ ตง่ กลอน
ไม่เป็น ซึ่งล้วนเป็นเรือ่ งคลาดเคลื่อนจากความจริง เพราะหนมุ่ สาวเหล่าน้นั อ่านไม่ออก ชาวบ้านหญิงชายเล่น
กลอนหวั เดียวเรียกเพลงโตต้ อบแก้กนั โดยวธิ ที ่องจาไปรอ้ งปากเปล่า ไม่ใช่ดน้ สด ๆ) ไมต่ อ้ งเขียน เพราะเขียน
ไมไ่ ด้อ่านไม่ออก และไม่รู้จักเพลงยาว

34

ส่วนการเล่นเพลงยาวเป็นงานอดเิ รกของเจา้ นายชั้นสูงที่แตง่ กลอนไดแ้ ละชอบแต่งอวดกัน บางทีแสร้ง
แตง่ เป็นสานวนหญงิ บ้าง สานวนชายบา้ ง เพอ่ื อวดเชิงกลอน

19. พระอภัยมณี วรรณกรรมกำรเมืองต่อต้ำนกำรล่ำอำณำนิคม ใช้ฉำกทะเลอันดำมัน
อ่ำวเบงกอล มหำสมุทรอินเดีย

พระอภัยมณี เป็นวรรณกรรมการเมืองในรูปแบบนิทานกลอน ต่อต้านสงครามล่าอาณานิคม ซ่ึงจะ
ส่งผลกระทบความมัง่ ค่งั ทางการค้าภายในและภายนอกของสยามท่ีกาลงั มีมากสมัยน้ัน เพราะขณะนั้นอังกฤษ
ได้ยดึ อนิ เดยี ลังกา และกาลงั แผอ่ านาจเขา้ ยึดอุษาคเนย์ทางแหลมมลายู พมา่

แต่งโดยใชฉ้ ากทะเลอันดามนั อา่ วเบงกอล มหาสมุทรอนิ เดีย (ไม่เกย่ี วข้องกบั อ่าวไทยและเกาะเสม็ด
จ. ระยอง) แสดงความขัดแย้งระหวา่ งเมืองผลกึ คอื ถลาง (ภเู ก็ต) กบั ลงั กา คือ ศรีลังกา (ขณะน้ันเป็นเมอื งขึ้น
องั กฤษ มปี ระมขุ เป็นหญิง คือ ควนี วกิ ตอเรยี )

นำงละเวง แผลงคาจากนามวิกตอเรีย ผีเส้ือสมุทร แปลงจากผีเสื้อน้า ในมหาวงศ์พงศาวดารลังกา
เกาะแก้วพิสดาร อยใู่ นกลุ่มเกาะนโิ คบาร์ (มีชือ่ ตามตานานว่านาควารีในพระอภยั มณีเรยี กทะเลนาควารินทร์)
ทางตอนใต้ของทะเลอนั ดามัน

ภำพท่ี 16 แผนทแ่ี สดงตำแหนง่ บ้ำนเมอื งในพระอภัยมณี อยู่ทำงทะเลอันดำมัน อำ่ วเบงกอล มหำสมทุ ร
อนิ เดีย (ปรบั ปรุงใหม่จำกขอ้ เสนอแรกสุดของ “กำญจนำคพันธุ์” (ขนุ วิจิตรมำตรำ) ตั้งแต่ พ.ศ. 2490))

35

20. ดนตรคี ืออำนำจของวิชำควำมรู้

สุนทรภู่รู้เพลงดนตรที ้ังของโลกตะวนั ออกและตะวันตก ดนตรีเป็นตัวแทนของอานาจ และ/หรือวิชา
ความรู้ เพราะวิชาความรู้คืออานาจ ผู้ใดมีวิชาความรู้ ผู้นั้นมีอานาจ สิ่งน้ีเป็นที่รับรู้ในทางสากลทั้งโลก
ตะวันออกและตะวันตก พระอภัยมณีเรียนวิชาดนตรีจนชานาญเป่าปี่เป็นเลิศ เท่ากับยกย่อง 2 อย่าง ว่ามี
อานาจ ไดแ้ ก่ (1) เน้อื หาวชิ าความรู้ และ (2) ผู้มวี ิชาความรู้

จากนั้นใชว้ ชิ าความรแู้ กป้ ญั หาความขดั แยง้ โดยไมใ่ ชค้ วามรุนแรง จนนาไปสชู่ ยั ชนะและอานาจ ป่นี อก
(ปี่นอกโซโล) โดยพระอภัยมณี เป็นสัญลักษณ์แบบแผนดนตรีตะวนั ตก เร่ิมมีดนตรีไทยเดิมแล้วมีส่วนผลักดัน
ดนตรไี ทยเดิมเปน็ ดนตรเี พ่อื ฟงั (แบบตะวันตก) เรยี กดนตรไี ทยแบบฉบบั สืบจนทุกวันน้ี

ปี่ท่ีพระอภัยมณีเป่า เรียกปี่นอก (ไม่ใช่ป่ีใน และ ไม่ใช่ป่ีชวา) ปี่นอกอยู่ในตระกูลเคร่ืองเป่าพ้ืนเมือง
อษุ าคเนย์ มีลาตัวเปน็ ปลอ้ ง มีป่องตรงกลางลางตัว (คล้าย เตา้ แคน)

ภำพที่ 17 พระอภยั มณีเปำ่ ปน่ี อก สุนทรภใู่ ชฉ้ ำกทะเลอันดำมนั (ไม่ใช่อ่ำวไทย) ดงั นั้นเกำะแก้วพสิ ดำร
อยู่มหำสมทุ รอินเดีย (ไม่ใชเ่ กำะเสมด็ จ. ระยอง) ภำพนี้เปน็ อนุสำวรีย์แห่งควำมเขำ้ ใจคลำดเคลื่อนเรอ่ื ง

ประวตั สิ นุ ทรภู่ท่บี ้ำนกร่ำ อ. แกลง จ. ระยอง

36

ปจั ฉมิ บท

ผลงำน

37

พพิ ิธภัณฑ์สุนทรภู่
Sunthon Phu Museum

พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ วัดเทพธิดารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร คือพ้ืนท่ีประวัติศาสตร์มีชีวิตที่สุนทรภู่
กวีเอกของโลกก็ยังสวยอยู่ช่วงระยะหนึ่ง และเป็นพื้นท่ีที่สุนทรภู่ได้รังสรรค์ผลงานไว้อย่างมากมายภายใต้
ร่มกาสาวพัสตร์ เม่ือเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ทุก ๆ ชีวิตท่ีเคยเกี่ยวข้องกับพื้นที่ดังกล่าวได้สูญหายไปตาม
กาลเวลา พิพิธภัณฑ์สุนทรภจู่ ึงได้เกดิ ขึน้ เพ่อื ทจี่ ะปลกุ ตวั อักษรของสนุ ทรภู่ใหม้ ชี ีวติ ข้นึ มาอกี คร้ัง

พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ซึ่งเป็นกรดท่ีสุนทรภู่มากคร้ังบวชเป็นพระภิกษุ ได้อยู่จาพรรษาที่กุฏิหลังน้ี และ
ปัจจุบันทางวัดเทพธิดารามและเก็บรวบรวมเครื่องอัฐบริขารของสุนทรภู่เม่ือคร้ังท่ีท่านบวชเป็นพระภิกษุไว้ท่ี
กฏุ ิหลงั นี้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ไดป้ ระกาศยก
ย่องสุนทรภู่ว่าเป็นบุคคลท่ีมีผลงานทางด้านวัฒนธรรมดีเด่นของโลก ในวาระครบรอบวันคล้ายวันเกิด
200 ปี ของทา่ นสนุ ทรภู่
1. แรงบันคำลใจไมร่ จู้ บ Unending Inspiration

สุนทรภู่เคยประกาศอหังการ์ของกวีไว้ว่า “หนึ่งขอฝากปากคาทาหนังสือให้ฉันช่ือท่ัวฟ้าสุธาสถาน”
หมายถึงให้ผลงานของตนคงอยู่ชวั่ ฟา้ ดนิ สองรอ้ ยกวา่ ปีผันผ่านกาลเวลาได้เป็นประจักษพ์ ยานวา่ ชือ่ และผลงาน
ของสุนทรภู่กลายเป็นอมตะ เสมือนแหวนเพชรแท้ที่ส่องประกายข้ามกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน และกลายมา
เป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คนในยุคหลังได้ศึกษา เรียนรู้ และสร้างผลงานขึ้นตามรอยของมหากวีแห่ง
กรงุ รัตนโกสินทร์ ผลงานและ “ความเปน็ สนุ ทรภู่” จึงได้รับการสบื ทอดจากอนุชนต่อไปไม่รู้จบ
2. มณปี ญั ญำ Gem of the Intellect

นสิ ัยรกั การเรียนรู้ ชา่ งสังเกต ชอบเดินทางและรับฟังเร่อื งราวแปลกใหมด่ ้วยใจเปิดกว้าง ทา่ มกลางยุค
สมัยแห่งการเปล่ียนแปลงในสังคมหลายดา้ น ส่งผลให้สุนทรภู่มีโลกทัศน์ท่ีกว้างขวางและสะท้อนเร่อื งราวทาง
สังคมผ่านงานวรรณกรรมในหลากหลายมิติทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วิถีชีวิตและวัฒนธรรม นอกจากน้ัน
ผลงานของสุนทรภู่ยังแสดงให้เห็นความงามอันเป็นมรดกเชิงวรรณศิลป์ ผลงานของสุนทรภู่จึงเปรียบเสมือน
อัญมณีช้ินเอกท่ีได้รับการยกยอ่ งมาทุกยุคทุกสมัยและรอให้ทุกคนร่นุ หลังได้เจียระไนเพ่ือให้พบกับความงามที่
แทจ้ ริงในอัญมณีปญั ญาของสนุ ทรภู่
3. ใต้รม่ กำสำวพัสตร์ Under the Protection of Buddhism

จากชวี ิตท่เี คยขึน้ ไปถึงตาแหนง่ กวีทีป่ รึกษาใกลช้ ิดองค์กษัตรยิ ์เพียงช่ัวพรบิ ตาโชคชะตากด็ งึ สนุ ทรภู่มา
อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ สูญเสียยศถาบรรดาศักด์ิทุกอยา่ งท่ีเคยมี นับเป็นช่วงชีวิตที่ยากลาบากท่ีสุดของสนุ ทรภู่
แต่ในความยากแค้นนั้นกลับกลายเป็นพลังผลักดันให้สุนทรภู่สร้างสรรค์ผลงานอันโดดเด่นไว้มากที่สุด
กุฏิสุนทรภู่ จึงเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์มชี ีวิตอันสาคัญยิ่ง ในวันที่เทคโนโลยีเชื่อมต่อโลกจริงเข้ากบั โลกเหมอื น
จรงิ ได้ สนุ ทรภใู่ นร่มกาสาวพสั ตร์ผ้เู คยรงั สรรคผ์ ลงานในห้องน้ีจะกลับมามีลมหายใจอีกคร้ัง

ผลงำนนริ ำศของสุนทรภู่ 38

รำพนั พิลำป ๏ สนุ ทรทาคาประดิษฐน์ ิมติ ฝนั
จึงจดวันเวลาด้วยอาวรณ์
เพง่ิ พบเห็นเปน็ วบิ ตั มิ หศั จรรย์ ในนิมติ เมอื่ ภวังค์วิสงั หรณ์
แตง่ ไวเ้ หมอื นเตือนใจจะไดค้ ดิ จรญิ พรภาวนาตามบาลี
เดอื นแปดวนั จันทราเวลานอน ให้สุดสนิ้ ดนิ ฟ้าทุกราศี
ระลกึ คณุ บญุ บวชตรวจกสิณ เสยี งเป็ดผีหวห่ี วีดจังหรีดเรียง
เงยี บสงัดวัดวาในราตรี สาเนยี งนกแสกแถกแสกแสกเสยี ง
หรง่ิ หริง่ เรื่อยเฉอ่ื ยชื่นสะอื้นอก ตีอกเพยี งผึงผงึ ตะลงึ ฟัง
เสยี งแมงมุมอ้มุ ไข่มาใตเ้ ตยี ง เสยี วสยองยามยินถวิลหวงั
ฝา่ ยฝูงหนูมสู กิ กกิ กิกรอ้ ง ริมบานบงั บนิ ร้องสยองเย็น
อนึ่งผ้งึ ซงึ่ มาทาประจารงั ยามวิโยคยากแคน้ สุดแสนเขญ็
ยิ่งเยอื กทรวงงว่ งเหงาซบเซาโศก เทย่ี วซอ่ นเรน้ ไร้ญาติหวาดวญิ ญาณ์ฯ
ไมเ่ ทยี มเพื่อนเหมอื นจะพาเลอื ดตากระเด็น บรรพชติ พิศวาสพระศาสนา
เหน็ แต่ฟ้าฟ้าก็เปลีย่ วสดุ เหลยี วแล
๏ แต่ปวี อกออกขาดราชกิจ แสนเทวษเวยี นวา่ ยสายกระแส
เหมือนลอยล่องท้องชะเลอยู่เอกา ได้เห็นแตศ่ ิษยห์ าพยาบาล
ดฟู ากฝงั่ หวงั จะหยดุ กส็ ุดเนตร จงั หวดั หวั เมอื งสนิ้ ทกุ ถนิ่ ฐาน
เหมอื นทรวงเปลย่ี วเที่ยวแสวงทกุ แขวงแคว รบั ประทานหวานเยน็ ก็เป็นลม
ทางบกเรอื เหนอื ใตเ้ ทย่ี วไปทว่ั เหมอื นไปปะบระเพด็ เหลอื เขด็ ขม
เมืองพรบิ พรีทเี่ ขาทารองน้าตาล ทกุ ขร์ ะทมแทบจะตายเสยี หลายคราวฯ
ไปราชพรมี ีแตพ่ าลจังทานพระ ฟังแต่เสยี งเสอื สีห์ชะนหี นาว
ไปขนึ้ เขาเลา่ ก็ตกอกระบม เพราะเชื่อลาวลวงว่าแร่แปรเปน็ ทอง
หาแก้ไดใ้ ห้ไปเข้ากนิ เจ้าของ
๏ ครั้งไปด่านกาญจน์บุรีทกี่ ะเหรีย่ ง ยามขดั ขอ้ งขาดมุ้งร้นิ ยุงชุม
นอนนา้ คา้ งพรา่ งพนมพรอยพรมพราว เหลอื ทนจริงเจบ็ แสบใส่แกลบสุม
ทงั้ ฝา่ ยลกู ถกู ปอบมันลอบใช้ เป็นกลุ่มกลุ่มกลมุ้ กัดน่งั ปัดยงุ
เขา้ วัสสามาอยู่ที่สองพ่ีนอ้ ง ทาทองเป็นป้นั เตาเผาถลงุ
ทกุ เชา้ ค่าลาบากแสนยากย่งิ จดเกลือหงุ หายสูญส้นิ ทุนรอนฯ
เสยี งฉฉู่ หู่ ว่วู อ่ นเวยี นรอ่ นรุม
โอ้ยามยากอยากใคร่ได้เหล็กไหลเลน่
ลองตาราอาจารย์ทองบ้านจุง

๏ คราวไปคิดปริศนาตามตาเถร 39
มันตามติดขวิดครอ่ มอ้อมอทุ ร
เดชะบญุ คณุ พระอนิสงส์ เขากาเพนพบมหิงสร์ ิมสงิ ขร
เหตดุ ้วยเคราะห์เพราะวา่ ไวว้ างใจคน หากมีขอนขวางควายไมว่ ายชนม์
ช่วยดารงรอดตายมาหลายหน
จงึ่ จาจนใจเปล่าเปลืองเข้าเกลอื ฯ

๏ โอย้ ามอย่สู ุพรรณกินมนั เผือก เค้ียวแต่เปลอื กไมห้ มากเปรีย้ วปากเหลอื

จนแรงโรยโหยหวิ ผอมผิวเน้ือ พริกกบั เกลือกลกั ใหญย่ งั ไมพ่ อ

ทั้งผา้ พาดบาตรเหลก็ ของเล็กน้อย ขโมยถอยไปท้งั เรือไมเ่ หลือหลอ

เหลือแต่ผ้าอาศัยเสยี ใจคอ ชาวบ้านทอถวายแทนแสนศรัทธาฯ

เคยเดินเล่นเย็นลมเลยี บชมรอบ รมิ แขวงขอบเขตที่เจดีย์ฐาน

พระปรางคม์ สี ีท่ ศิ พิสดาร โบสถ์วิหารการเปรยี ญลว้ นเขยี นทอง

๏ คดิ ถงึ คราวเจา้ นิพพานสงสารโศก ไปพิศโี ลกลายแทงแสวงหา
ลงหนองนา้ ปลา้ ตะเข้หากเทวดา ชว่ ยรกั ษาจงึ่ ไดร้ อดไม่วอดวาย
วนั ไปอยภู่ ผู าเขามา้ ว่งิ เหนอ่ื ยนอนพงิ เพงิ ไศลหลับใจหาย
คร้นั ดกึ ดูงูเหลือมเล้อื ยเลื่อมลาย ลอ้ มรอบกายเกีย้ วตวั กนั ผวั เมยี
หนีไมพ่ ้นจนใจไดส้ ติ สมาธถิ อดชีวิตอุทิศเสีย
เสยี งฟฟู่ ูข่ ู่ฟอ้ เคล้าคลอเคลยี แลบลนิ้ เลยี แลว้ เล้ือยแลเฟื้อยยาว
ดูใหญเ่ ทา่ เสากระโดงผโี ป่งสงิ เปน็ รปู หญิงยืนหลอกผมหงอกขาว
คดิ จะตหี นีไปกลวั ไม้ทา้ ว โอ้เคราะห์คราวขึ้นไปเหนอื เหมอื นเหลือตายฯ
เจียนจะจมนา้ มว้ ยระหวยระหาย
๏ เมื่อขาลอ่ งตอ้ งตอเรือหล่อลม่ แต่ปะตายหลายหนหากทนทาน
ปะหาดตนื้ ขนึ้ รอดไม่วอดวาย ขโมยลกั หลายหนผจญผลาญ
แลว้ มหิ นาซ้าบุตรสุดที่รัก

40

ตอ้ งต่าตอ้ ยย่อยยับอปั ระมาณ มาอยู่วหิ ารวัดเลียบย่ิงเยียบเย็น

โอย้ ามจนล้นเหลือส้นิ เสอ่ื หมอน สซู้ มุ่ ซอ่ นเสียมิใหใ้ ครใครเหน็

ราหูทับยบั เยินเผอญิ เป็น เปรยี บเหมือนเชน่ พราหมณ์ชีมณีจันท์ฯ

๏ จะสกึ หาลาพระอธฐิ าน โดยกนั ดารเดือดร้อนสดุ ผอ่ นผนั

พอพวกพระอภยั มณีศรีสุวรรณ เธอช่วยกนั แกร้ ้อนคอ่ ยหย่อนเย็น

อยมู่ าพระสิงหะไตรภพโลก เห็นเศรา้ โศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ

ทุกค่าคนื ฝนื หนา้ นา้ ตากระเดน็ พระโปรดเปน็ ท่ีพึ่งเหมอื นหนง่ึ นึก

ดงั ไขห้ นกั รกั ษาวางยาทพิ ย์ ฉนั ทองหยิบฝอยทองไมต่ อ้ งสกึ

คอ่ ยฝา่ ฝืนชืน่ ฉา่ ดั่งอามฤก แตต่ กลึกเหลอื ท่ีจะไดส้ บายฯ

๏ ค่อยเบาบางสรา่ งโศกเหมอื นโรคฟนื้ จะเดนิ ยืนยงั ไมไ่ ดย้ งั ไม่หาย

ได้หม่ สีมีหมอนเสือ่ อ่อนลาย คอ่ ยคลายอายอุตสา่ หค์ รองฉลองคุณ

เหมอื นพบปะพระสทิ ธาท่ีปรารภ ชุบบตุ รลพเล้ียงเหลือชว่ ยเกอื้ หนุน

สนอมพักตร์รักษาดว้ ยการญุ ทรงสรา้ งบญุ คณุ ศีลเพ่มิ ภญิ โญ

ถงึ ยากไรไ้ ด้พงึ่ เหมือนหนง่ึ แกว้ พาผอ่ งแผว้ ผวิ พักตรข์ ้นึ อักโข

พระฤๅษีทีท่ า่ นชว่ ยชุบเสอื โค ใหเ้ รืองฤทธิอ์ สิ โรเดโชชยั

แลว้ ไมเ่ ล้ียงเพียงแตช่ ุบช่วยอุปถมั ภ์ พระคุณลา้ โลกาจะหาไหน

ชว่ ยช้ที างกลางปา่ ใหค้ ลาไคล หลวชิ ยั คาวีจาลีลา

แตล่ ะองคท์ รงพรตพระยศย่ิง เปน็ ยอดมง่ิ เมอื งมนษุ ย์น้สี ดุ หา

จงไพบลู ย์พูนสวัสด์ิวฒั นา พระชนั ษาสืบยนื อย่หู มืน่ ปีฯ

๏ เป็นคราวเคราะห์กต็ อ้ งพรากจากวิหาร กลัวพวกพาลผรู้ า้ ยจาย้ายหนี

อยวู่ ัดเทพธดิ าดว้ ยบารมี ได้ผา้ ปีปัจจยั ไทยทาน

ถงึ ยามเคราะหก์ เ็ ผอญิ ให้เหินห่าง ไม่เหมอื นอย่างอย่ทู ี่พระวหิ าร

โอ้ใจหายกลายกลบั อัประมาณ โดยกนั ดารเดือดรอ้ นไมห่ ย่อนเยน็

ได้พ่ึงพระปะแพรพอแก้หนา้ สองวัสสาสิน้ งามถงึ ยามเขญ็

คดิ ขัดขวางอยา่ งจะพาเลือดตากระเด็น บนั ดาลเปน็ ปลวกปลอ่ งขนึ้ ห้องนอน

กดั เส่อื สาดขาดปรุทะลุสมุด เสยี ดายสดุ แสนรักเรื่องอกั ษร

เสียแพรผ้าอาศัยไตรจีวร ดูพรุนพลอนพลอยพานา้ ตาคลอ

ถึงคราวคลายปลายอ้อยบุญน้อยแลว้ ไม่ผ่องแผ้วพกั ตราวาสนาหนอ

นับปีเดือนเหมอื นจะหกั ทง้ั หลักตอ แตร่ ั้งรอรอ้ นรนกระวนกระวายฯ

๏ ถึงเดอื นยม่ี ีเทศนส์ มเพชพักตร์ เหมอื นลงรกั รู้วา่ บุญสน้ิ สญู หาย

สซู้ ่อนหน้าฝา่ ฝืนสะอนื้ อาย จนถงึ ปลายปีฉลูมธี ุระ

41

[ภำพจำลองบรรยำกำศสนุ ทรภู่กับองค์หญงิ วลิ ำส (กรมหมื่นอัปสรสดุ ำเทพ) และคณะนักศกึ ษำ]

ไปทางเรือเหลือสลดดว้ ยปลดเปลื้อง ระคางเคืองข้องขัดสลดั สละ
ลืมวนั เดอื นเชียนเฉยแกล้งเลยละ เห็นแตพ่ ระอภยั พระทัยดี
ช่วยแจวเรอื เกื้อหนนุ ทาบุญด้วย เหมอื นโปรดช่วยชูหนา้ เป็นราศี
กลับมาถึงผึง้ มาจับอย่กู บั กระฎี ทารงั ทที่ ศิ ประจิมรมิ ประตู
ต้องขดั เคืองเรอ่ื งราวด้วยคราวเคราะห์ จวบจาเพาะสุรยิ าถงึ ราหู
ท้ังบ้านท้งั วงั วดั เปน็ ศตั รู แมน้ ขืนอยยู่ ากเยน็ จะเห็นใคร
เครอ่ื งกระฎีที่ยังเหลือแตเ่ สือ่ ขาด เขา้ ไสยาศยงุ กดั ปัดไม่ไหว
เคยสวา่ งกลางคืนขาดฟนื ไฟ จะโทษใครเคราะห์กรรมจ่งึ จาจนฯ
มิใช่รากรกั เรร่ ะเหระหน
๏ โอ้อายเพือ่ นเหมือนเขาวา่ ก่งิ กาฝาก ต้องคดิ ขวนขวายหารกั ษากาย
ทที่ กุ ข์สุขขุกเข็ญเกิดเปน็ คน สัจจงั จริงจงรักสมคั รหมาย
ไดพ้ งึ่ บ้างอยา่ งน้เี ป็นท่ียง่ิ มิไดว้ ายเวลาคดิ อาลัยฯ
ไมล่ มื คณุ พนู สวสั ด์ิถงึ พลดั พราย เหมือนนางสะสวยสมลว้ นคมสัน
ล้วนใส่ชอ้ งป้องพกั ตร์ดลู ักขณะ ดั่งดวงจนั ทร์แจม่ ฟา้ ไม่ราคี
ทเี่ อกองคท์ รงศรฉี วีวรรณ
สุดแต่นึกน้าตามาแต่ไหน
๏ จะลับวดั พลัดทีก่ ระฎตี กึ ขืนหล่งั ไหลรินร่านา่ ราคาญ
เฝา้ นองเนตรเช็ดพกั ตร์สกั เท่าไร เร่ไปปลี ะร้อยเรอื นเดือนละรอ้ ยบา้ น
คิดอายเพอ่ื นเหมอื นเขาเล่าแม่เจา้ น่ี เหลือที่ท่านอปุ ถมั ภ์ชว่ ยบารงุ
เพราะบุญน้อยย่อยยับอัประมาณ แก้ปูนเพชพบทองสกั สองถงุ
ตอ่ เมอื่ ไรไปทาทองสาเรจ็ กนิ หมกู งุ้ ไก่เป็ดจนเขด็ ฟนั
จะผาสกุ ทุกส่ิงนอนกลงิ้ พุง

ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ 42
จะเทยี่ วรอบขอบประเทศทุกเขตคนั
ซึง่ รูปทรงสจั ศีลถวลิ สวรรค์
๏ แล้วร่าภาวนาในพระไตรลกั ษณ์ ขอความฝนั วันนี้บอกดรี า้ ยฯ
หอมกลิ่นธูปงูบระงับหลับสบาย ประหารรกั หนักหนว่ งตดั หว่ งหาย
ส้นิ กาลงั ยังมีนารรี ่นุ ฝันว่าว่ายสายชะเลอยูเ่ อกา
ช่วยจูงไปไวท้ ่ีวัดได้ทัศนา รูปเหมอื นหนุ่ เหาะเร่รอ่ นเวหา
ทงั้ พระทองสององคล์ ว้ นทรงเครอื่ ง พระศลิ าขาวลา้ ด่งั สาลี
พอเสยี งแซแ่ ลหาเห็นนารี แลเล่ือมเหลืองเรืองจารัสรัศมี
ล้วนใส่ชอ้ งป้องพักตรด์ ลู ักขณะ ล้วนสอดสีสาวนอ้ ยนบั รอ้ ยพัน
ท่ีเอกองคท์ รงศรีฉววี รรณ เหมือนนางสะสวยสมล้วนคมสัน
ทั้งคมขาล้านางสาอางสะอาด ดง่ั ดวงจันทร์แจม่ ฟ้าไมร่ าคี
ใส่เคร่ืองทรงมงกฎุ ดังบตุ รี โอษฐเ์ หมอื นชาดจิ้มเจมิ เฉลมิ ศรี
รูปจริตพศิ ไหนวิไลเลศิ แก้วมณเี นาวรัตน์จารสั เรือง
พอแลสบหลบชะมา้ ยชายชาเลอื ง เหมือนหนุ่ เชดิ โฉมแชม่ แฉล้มเหลือง
ลาพระกรออ่ นชดประณตนอ้ ม ดูปลดเปล้ืองเปลง่ ปลงั่ กาลังโลม
หรือชาวสวรรคช์ น้ั ฟา้ นภาโพยม แลละม่อมเหมือนหนงึ่ เขียนวเิ ชียรโฉม
แปลกมนษุ ย์ผดุ ผ่องละอองพกั ตร์ มาประโลมโลกาให้อาวรณ์
ครั้นปราศรยั ไถถ่ ามนามกร วไิ ลลกั ษณ์ล้าเลิศประเสริฐสมร
ขืนถามอีกหลีกเลย่ี งหลบเมยี งมา่ ย กเ็ คอื งคอ้ นขามเขินสะเทน้ิ ที
นางน้อยนอ้ ยพลอยตามงามงามดี เหมือนอายชายเฉยเมนิ ดาเนนิ หนี
แลว้ ชวนวา่ อยา่ อยู่ชมพทู วปี เกบ็ มาลเี ลือกถวายไวห้ ลายพรรณ
แลว้ ทรงรถกลดกั้งนางทั้งนนั้ นมิ นต์รบี ไปสาราญวมิ านสวรรค์
ที่น่งั ทพิ ย์ลบิ เลอื่ นคล้อยเคลือ่ นคลา้ ย นั่งที่ชน้ั ลดล้อมนอ้ มคานับ
ประเดยี๋ วเดยี วเฉียวฉิบแลลบิ ลบั พรรณรายพรายเรืองเครื่องประดบั
จนลมจับวบั ใจอาลยั ลานฯ
๏ ซง่ึ ส่ังใหไ้ ปสวรรค์ฤๅชนั ษา จะมรณาในปนี เี้ ป็นปีขาล
แม้นเหมอื นปากอยากใคร่ตายหมายวิมาน ขอพบพานภคั ินีของพี่ยา
ยังนกึ เหน็ เชน่ โฉมประโลมโลก ย่ิงเศร้าโศกแสนสวาทปรารถนา
ได้แนบชมสมคะเนสกั เวลา ถงึ ชวี ามว้ ยไมอ่ าลัยเลย
อยหู่ ลัดหลดั พลัดพรากไปฟากฟ้า ใหด้ นิ้ โดยโหยหานิจจาเอ๋ย
ถึงชาติน้พี ี่มิไดบ้ ญุ ไม่เคย ขอชนื่ เชยชาติหน้าด้วยอาวรณ์

แม้นร้เู หาะก็จะได้ตามไปดว้ ย 43
เสมอเนตรเชษฐาเวลานอน
สายสุดใจไมห่ ลับจะรับขวัญ สู้มอดมว้ ยมไิ ด้ทิง้ ม่งิ สมร
ประโลมแก้วแววตาสุดาดวง จะกลา่ วกลอนกลอ่ มประทบั ไว้กับทรวง
ยามกลางวนั บรรทมจะชมโฉม รอ้ งโอดพันพดั ชาช้าลกู หลวง
แม้นไมย่ ิ้มหงิมเหงาจะเลา่ นยิ าย ใหอ้ นุ่ ทรวงไสยาสน์ไมค่ ลาดคลาย
ไมร่ ู้เหาะก็มิได้ขน้ึ ไปเหน็ ขบั ประโลมข้างทพี่ ดั วีถวาย
ถ้ารับรกั จักอุตสา่ หพ์ ยายาม เร่อื งกระตา่ ยต่ืนตมู เหลือมมู มาม
แมน้ เหมอื นเชน่ ชาวสุธาภาษาสยาม
๏ นี่จนใจไมร่ ู้จักทห่ี ลกั แหล่ง ไปตามความคิดคงไดป้ ลงทองฯ
เมอ่ื ยามฝนั นน้ั ว่านึกนง่ั ตรกึ ตรอง สุดแสวงสวาทหมายไม่วายหมอง
เห็นโฉมยงองคเ์ อกเมขลา เดอื นหงายสอ่ งแสงสว่างดังกลางวัน
รศั มสี เี ปลง่ ดังเพง็ จนั ทร์ ชจู นิ ดาดวงสว่างมากลางสวรรค์
ว่านวลระหงองค์นี้อยู่ชน้ั ฟา้ พระราพนั กรณุ าด้วยปรานี
วิมานเรยี งเคียงกนั ทกุ วันน้ี ชื่อโฉมเทพธดิ าม่ิงมารศรี
จะใหแ้ กว้ แลว้ กว็ ่าไปหาเถิด เหมือนหนึ่งพ่ีนอ้ งสนทิ ร่วมจิตใจ
ที่ขัดข้องหมองหมางเป็นอย่างไร มใิ หเ้ กดิ การระแวงแหนงไฉน
จะผนั แปรแก้ไขดว้ ยใกล้เคยี ง ฯ
๏ สดับคาฉ่าชน่ื จะยื่นแก้ว แล้วคลาดแคลว้ คลับคล้ายเคลม้ิ หายเสียง
ทรงปักษาการเวกแฝงเมฆเมียง จึ่งหมายเสี่ยงวาสนาอตุ ส่าห์คอย
เหมอื นบปุ ผาปารกึ ชาติช่ืน สดุ จะยน่ื หยิบได้มไี ม้สอย
ดว้ ยเดชะพระกศุ ลให้หล่นลอย ลงมาหน่อยหนง่ึ เถดิ นะจะประคอง
มิให้เคืองเปลอื้ งปลดเสยี ยศศกั ด์ิ สนอมรกั ร้อยปไี มม่ ีหมอง
แม้นมง่ั มพี จี่ ะจ้างพวกช่างทอง หล่อจาลองรูปวางไวข้ ้างเคยี งฯ
โอ้ยามนปี้ ีขาลสงสารวัด เคยโสมนัสในอารามสามวัสสา
สิ้นกุศลผลบุญการุณา จะจาลาเลยลับไปนับนาน

44

[ภำพจำลองบรรยำกำศสุนทรภู่ และคณะนกั ศึกษำ]

๏ คิดจนตนื่ ฟืน้ ฟังระฆงั ฆอ้ ง กลองหอกลองทึ้มท้มึ กระหึ่มเสยี ง
โกกิลากาแกแซ่สาเนยี ง โอ้นึกเพยี งขวญั หายไม่วายวัน
วสิ ัยเราเล่าก็ไมส่ ูใ้ ฝ่สูง นางฟ้าฝงู ไหนเล่ามาเข้าฝัน
ให้เฟอื นจิตกิจกรมพรหมจรรย์ ฤๅสาวสวรรคน์ ัน้ จะใคร่ลองใจเรา
ให้รักรูปซบู ผอมตรมตรอมจติ เสยี จริตคดิ ขยม่ิ ง่วงหงมิ เหงา
จะไดห้ ัวเราะเยาะเล่นทุกเยน็ เช้า จงึ แกล้งเขา้ ฝนั เหน็ เหมอื นเชน่ น้ี
แมน้ นางอื่นหมนื่ แสนแดนมนุษย์ นกึ กลัวสดุ แสนกลวั เอาตวั หนี
สู้นง่ิ นงั่ ตง้ั มน่ั ถอื ขนั ตี อยู่กระฎดี ง่ั สันดานนพิ พานพรหม
รักษาพรตปลดปละสละรกั เพราะนา้ ผักต้มหวานน้าตาลขม
คดิ รังเกยี จเกลยี ดรกั หกั อารมณ์ ไมน่ ิยมสมสวาทเปน็ ขาดรอนฯ
เฝ้าผูกพนั มั่นหมายสายสมร
๏ แตค่ ร้งั น้วี ิปริตนิมิตฝนั เจริญพรพนู สวัสด์กิ าจัดภัย
สาวสวรรคช์ ้นั ฟา้ จงถาวร มกั นอนสะดุ้งดว้ ยพระขวญั จะหวน่ั ไหว
ซงึ่ ผกู จิตพิศวาสหมายมาดมุ่ง ชว่ ยเลอื่ มใสโสมนัสสวสั ดีฯ
เสวยสวรรค์ช้ันฟ้าสุราลัย

[ภำพคณะนกั ศกึ ษำกับภำพส่มี ติ ิของหลวงพ่อขำว]

๏ ขอเดชะพระอุมารักษาสวาท 45
วมิ านแก้วแววฟ้าฝงู นารี
ใหผ้ ุดผาดเพยี งพักตร์พระลักษมี
๏ ขอเดชะพระอนิ ทร์ดดี พิณแก้ว คอยพดั วแี วดล้อมอยู่พรอ้ มเพรียงฯ
สาวสรุ างคน์ างราระบาเรียง ใหเ้ จอื้ ยแจ้วจบั ใจแจม่ ใสเสยี ง
ขอพระจันทร์กรุณารกั ษาศรี คอยขับกล่อมพร้อมเพรียงเคียงประคอง
เหมอื นหุน่ เชดิ เลิศล้วนนวลละออง ใหเ้ หมือนมณีนพเกา้ อยา่ เศรา้ หมอง
ให้ผุดผอ่ งผวิ พรรณเพียงจนั ทราฯ
๏ ขอพระพายชายเชยราเพยพดั ใหศ้ รีสวสั ด์สิ วา่ งจติ กนิษฐา
หอมดอกไม้ในทวีปกลบี ผกา ให้หอมช่ืนรนื่ วิญญาณน์ ิทรารมณ์ฯ
อยา่ ให้มอมมรี ะคายเท่าปลายผม
๏ ขอเดชะพระคงคารกั ษาสนอม กลอ่ มประทมโสมนัสสวัสดีฯ
ใหเ้ ย็นเรื่อยเฉอ่ื ยฉา่ เชน่ นา้ ลม สุดแสนรักลกั ประโลมโฉมฉวี
ขออย่ามีโทษโปรดยกโทษกรณ์
๏ ดว้ ยเดิมฝันฉันได้ยลวิมลพักตร์ มาหมายมาดนางสวรรคร์ ่วมบรรจถรณ์
ถวิลหวังตง้ั แตน่ ้นั จนวันน้ี ให้ถาพรภิญโญเดโชชัยฯ
ด้วยเกิดเป็นเช่นมนุษยบ์ ุรุษราช มณเี มขลามาโปรดปราศรัย
ขอษมาการุญพระสุนทร ขอใหไ้ ด้ดั่งประโยชน์โพธิญาณ
เพราะพระโปรดโปรยปรายสายสนาน
๏ อนึง่ โยมโฉมยงพระองค์เอก เหมอื นนพิ พานพน้ ทุกข์เปน็ สุขสบาย
จะใหแ้ กว้ แล้วอยา่ ลมื ท่ีปลื้มใจ ยามดกึ ดนื่ ได้สงั วรอวยพรถวาย
จะพ้นทกุ ขส์ ุขสิน้ มลทนิ โทษ กบั กระตา่ ยแตม้ สวา่ งอยู่กลางวง
ให้หนา้ ช่ืนร่นื รสพจมาน ใหผ้ ุดผาดเพิม่ ผลาอานิสงส์
บวชตะบงึ ถึงตะบันน้าฉนั ชน่ื ศลี ดารงร่วมสร้างพุทธางกูร
เหมอื นพระจันทรก์ รณุ าให้ตายาย ความสขุ โศกสน้ิ กายกห็ ายสูญ
เหมือนวอนเจ้าสาวสวรรคก์ ระสนั สวาท ไดเ้ พ่มิ พูนผาสุกสนุกสบาย
ไดส้ มบูรณ์พนู เกิดประเสรฐิ ทรง ชว่ ยชุบชพี ชูเชดิ ให้เฉิดฉาย
อนั โลกยี ์วสิ ัยท่ใี นโลก สไู้ ปตายตนี เขาลาเนาเนินฯ
เป็นมนุษย์สุดแตข่ อใหบ้ ริบรู ณ์ ทห่ี มายมนั่ เหมอื นจะหมางระคางเขนิ
ขอบญุ พระจะใหอ้ ย่ชู มพูทวปี ให้หา่ งเหนิ โหยหวนราจวนใจ
ไมช่ ืน่ เหมือนเพอ่ื นมนษุ ย์กส็ ดุ อาย ใหศ้ ิษยท์ ราบสุนทราอัชฌาสัย
ก็กลัวภยั ใหข้ ยาดพระอาชญา
๏ โอป้ นี ป้ี ีขาลบันดาลฝัน
กค็ ดิ เหน็ เปน็ เคราะหจ์ าเพาะเผอิญ
จึงแตง่ ตามความฝันราพันพิลาป
จะสงั่ สาวชาวบางกอกข้างนอกใน


Click to View FlipBook Version