The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวทางการปฏิบัติ การฝึกพูดผู้ป่วยพูดติดอ่าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by isara.suttichujit, 2020-07-23 03:50:48

แนวทางการปฏิบัติ การฝึกพูดผู้ป่วยพูดติดอ่าง

แนวทางการปฏิบัติ การฝึกพูดผู้ป่วยพูดติดอ่าง

แนวทางการฝกึ พูดผปู้ ว่ ยพูดติดอา่ ง (Stuttering)

จดั ทำโดย
นำยอสิ ระ สทุ ธิชจู ติ
และนักเวชศำสตรก์ ำรสอื่ ควำมหมำย หนว่ ยงำนแก้ไขกำรพูด
สถำบนั สริ นิ ธรเพ่อื กำรฟื้นฟูสมรรถภำพทำงกำรแพทยแ์ หง่ ชำติ

สารบญั หนา้
3
หัวข้อ 4
เปำ้ ประสงค์ของแนวทำงปฏิบัติ 5
คำนิยำมของกำรพูดติดอำ่ ง
ระดบั ลักษณะอำกำรพูดตดิ อำ่ ง 6-23
กำรประเมินกำรพูดติดอ่ำง (แบบประเมนิ + แบบฟอร์มลงบนั ทึก) 24
เกณฑก์ ำรวิเครำะหก์ ำรพูดติดอ่ำง 25
เกณฑ์กำรพิจำรณำกำรฝกึ พดู
วธิ ีแก้ไขกำรพูดตดิ อ่ำง 26-56
บรรณำนกุ รม 57

เป้าประสงคข์ องแนวทางปฏิบัติ

1. เพื่อให้นักแก้ไขกำรพูดของสถำบันสิรินธรเพ่ือกำรฟ้ืนฟูสมรรถภำพ
ทำงกำรแพทย์แห่งชำติ สำมำรถให้บริกำรด้ำนกำรประเมินและฟื้นฟู
ทำงกำรแกไ้ ขกำรพูดในผู้พดู ติดอำ่ งได้อย่ำงเหมำะสมและมีประสิทธิภำพ

2. เพ่ือเป็นองค์ควำมรู้ใหก้ บั นกั แก้ไขกำรพูดในสถำนพยำบำลอื่น ๆ ที่สนใจ
ได้นำไปประยกุ ตใ์ ช้

3. เพื่อให้ผู้รับบริกำรได้บรรลุเป้ำประสงค์ของกำรฟ้ืนฟูด้ำนกำรแก้ไขกำร
พดู และมคี ณุ ภำพชีวติ ทีด่ ี

3

คานยิ าม (Van Riper, 1973)

การพดู ติดอา่ ง (stuttering) หมำยถึง ควำมผิดปกติของจังหวะกำรพูด ซึ่งมีสำเหตุมำจำกจังหวะกำรพูดผิดปกติในลักษณะกำรพูดซำ
เสียง ซำพยำงค์หรือซำคำ ทำให้ผู้พูดไม่สำมำรถสื่อควำมหมำยที่ต้องกำรได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ นอกจำกนี ผู้พูดติดอ่ำงอำจมีปัญหำ
ด้ำนภำวะทำงอำรมณ์ จิตใจ และกำรเขำ้ สงั คมรว่ มด้วย และมลี กั ษณะกำรพดู ติดอ่ำงดงั ต่อไปนี

อาการหลัก (Gregory, H., 2002)

1. พดู ซำคำ (Whole Word Repetition) เช่น “แม่ แม่ แม่ แม่ จะไปไหนต่อ” โดยซำคำเดมิ มำกกว่ำ 3 ครงั ขึนไป
2. พดู ซำเสียง หรือซำพยำงค์ (Part Word Repetition) เชน่ “มะ-มะ-มะ ไม่ใช่”
3. พูดลำกเสียง (Audible Prolongation) เช่น “สสสสสสส เสือของเขำ”
4. พดู ติดแบบไม่มเี สยี งออกมำ (Silent Prolongation) เช่น “.........เปิดประตใู ห้หน่อย”
5. พดู และหยดุ อยำ่ งไมเ่ หมำะสม (Inappropriate Pause) เชน่ “หนูจะไปโรง........เรียน”
6. พดู โดยแทรกคำอยำ่ งไม่เหมำะสม (Interjection) เชน่ “วันนอี ยำกกิน อมื ... ขำ้ วมนั ไก่”

อาการรอง (Fraser, 1978) เช่น ขมวดควิ กระพริบตำถ่ี ไมม่ องหน้ำสบตำ กระทบื เทำ้ อำ้ ปำกคำ้ ง เม้มปำกแนน่ เกร็งปำก

ลิน คอและหน้ำอก รมิ ฝปี ำกสั่นกระตกุ รูส้ กึ อำย โกรธ ประหมำ่ กลัว เครยี ด คบั ขอ้ งใจ ขำดควำมมั่นใจในตนเอง หลีกเลี่ยงกำรเข้ำ
สังคม หลีกเลย่ี งคำทค่ี ำดวำ่ จะพูดติดอ่ำง พูดออ้ มคอ้ ม ตอบสนองตอ่ คำถำมชำ้

4

ระดบั ลกั ษณะอาการพดู ติดอา่ ง (Peters & Guitar, 1991)

Developmental Core Behaviors Secondary Behaviors Feeling & Attitudes Underlying Processes
Level

การพดู ผิดจงั หวะที่ 1. มอี ำกำรพดู ไม่คลอ่ งนอ้ ยกว่ำหรอื เทำ่ กับ 10 คำ ตอ่ ไมพ่ บพฤติกรรมรว่ ม ไมร่ ้วู ำ่ ตนเองมีอำกำรติดอำ่ ง และ 1. เกิดจำกกำรพฒั นำทำงภำษำในชว่ งกำรเรยี งคำตำม
ไมผ่ ดิ ปกติ จำนวนคำพดู 100 คำ ไม่รสู้ กึ วำ่ เป็นปญั หำ ไวยำกรณ์ (syntax) เม่อื ประโยคท่ใี ชม้ ีควำมยำว
และซับซอ้ นมำกขนึ (Bernstein, 1981; Silverman,
2. โดยทั่วไปจะพบกำรพูดไม่คล่องแบบพดู เติมคำ เออ
อำ/พูดแล้วเปลีย่ นคำใหม่/พูดซำคำ 1974)
2. เกดิ จำก Speech motor control ยังทำงำนไดไ้ มด่ ี

(Andrews, 1983)

ช่วงท่มี ีความเส่ยี ง 1. พูดไม่คลอ่ งมำกกวำ่ 10 คำ ต่อจำนวนคำ 100 คำ ไมพ่ บพฤติกรรมร่วมหรอื อำจพบ มักไมก่ งั วลต่อกำรพดู ของตนเอง เกดิ จำกกำรประมวลผลภำษำและกำรพูดบกพรอ่ ง และ
พูดติดอา่ ง 2. พดู ซำคำมำกกวำ่ สองหน่วยในแต่ละครัง เพียงเล็กน้อย แต่บำงคนอำจรูส้ กึ แปลกใจหรอื มสี ิ่งแวดล้อมเข้ำมำเป็นปัจจยั ร่วม เช่น สถำนกำรณท์ ่ี
หงดุ หงดิ เม่ือพดู ซำคำหลำยครงั
เรม่ิ มีอาการ เชน่ “แม่ แม่ แม่ กินนม” ต้องมีกำรแขง่ กันพูดหรอื พูดมำกกว่ำปกติ หรือ
พูดตดิ อา่ ง 3. พดู ซำคำ/พยำงค์ และพดู ลำกเสยี งมำกกวำ่ กำรพดู สถำนกำรณท์ ีม่ ีกำรใชภ้ ำษำซบั ซอ้ น

แลว้ เปล่ียนคำใหมห่ รือพูดเปน็ วลไี มส่ มบรู ณ์ หลกี เล่ยี งกำรพดู ชอบกระพรบิ ตำ รบั รู้และตระหนกั ต่ออำกำรตดิ อ่ำง
บอ่ ยและผงกศรี ษะรว่ ม อำจพบ ของตนเอง หงุดหงิดเม่อื พูดไม่ได้
1. มีกำรเกรง็ กล้ำมเนอื ขณะพูด พูดเร็วกวำ่ ปกติ แตย่ งั ไม่พฒั นำไปสคู่ วำมกลวั หรอื
2. พบกำรพูดไมค่ ลอ่ งแบบพูดซำคำ/พยำงค์ กำรพดู เสยี งสูงกว่ำปกติ
มองตนเองในดำ้ นลบ
และพดู ลำกเสียงมำกทีส่ ุด

มีอาการพูดติดอ่าง 1. พบกำรพดู ไมค่ ลอ่ งแบบซำคำ/พยำงค์ และพดู ลำก มีพฤติกรรมร่วมคล้ำยกับกลุม่ ท่ี หงุดหงิดอย่ำงมำก กลวั สบั สน เกิดจำกปญั หำด้ำนอำรมณ์ซึ่งเป็นผลจำกควำมเครยี ด
ปานกลาง เสยี ง แตเ่ รมิ่ พบอำกำรพูดตดิ แบบไม่มเี สยี ง เรมิ่ มอี ำกำรพดู ติดอำ่ ง แต่พบ และเครียดท่จี ะพูด และควำมหงุดหงิดเม่ือตอ้ งพูดสอ่ื สำร ทำให้หลกี เลี่ยง
คอ่ นขำ้ งมำก มำกกวำ่ ในบำงคนพบวำ่ มีหลำย
พฤตกิ รรมเกดิ ขึนพรอ้ มกนั ขณะ กำรพดู
2. ไม่มีลม/เสียง/ไมส่ ำมำรถขยับอวัยวะได้ตำมที่
ต้องกำร พดู เกดิ จำกกระบวนกำรกำรเรียนรู้ทำงสติปญั ญำ
(cognitive learning) โดยเฉพำะ self-concept ท่ี
มีอาการพูดติดอา่ ง มอี ำกำรพูดตดิ แบบไม่มเี สียงออกมำเปน็ เวลำนำน และมี มพี ฤติกรรมรว่ มตำมท่ีกลำ่ วมำ รสู้ กึ กลวั สับสน และเครยี ดทจ่ี ะ
มาก อำกำรเกรง็ อย่ำงมำก มกี ำรสั่นของริมฝีปำก/ลนิ / เกดิ ขึนบ่อยครงั บำงคนอำจพบ พดู รวมถงึ มองตนเองในแง่ลบวำ่ บกพรอ่ งตงั แต่ชว่ งวยั เดก็
ขำกรรไกร เม่อื พยำยำมออกเสยี ง
พฤติกรรมท่หี นักขึน หมดหนทำงจะรกั ษำ (Clarke-Stewart & Friedman, 1978)

5

การประเมินการพูดติดอ่าง
(Assessment)

6

วตั ถปุ ระสงคใ์ นการประเมินการพูดติดอา่ ง
(Guitar, 2014)

1. เพ่ือประเมนิ วำ่ ผพู้ ดู ตดิ อำ่ งมปี ญั หำกำรพูดติดอำ่ งหรอื ไม่
2. เพอ่ื ประเมินลักษณะและควำมรนุ แรงของกำรพดู ติดอ่ำง
3. เพื่อประเมนิ อำกำรรองของกำรพูดติดอ่ำง
4. เพ่ือประเมินถึงปัญหำด้ำนอ่ืน ๆ เช่น มีปัญหำด้ำนภำษำและกำรพูดอ่ืน

ร่วมดว้ ยหรือไม่

7

รายละเอยี ดของการประเมนิ การพูดติดอ่าง
(Guitar, 2014)

1. อำกำรหลักของกำรพูดตดิ อ่ำง

2. อำกำรรองของกำรพูดตดิ อำ่ ง

3. ควำมถ่ขี องกำรพดู ติดอ่ำง

4. ชว่ งระยะเวลำของกำรพดู ติดอำ่ ง

5. ควำมรู้สึกและทัศนคตทิ ่ผี ูพ้ ดู ติดอ่ำงมีตอ่ กำรพดู ตดิ อ่ำง

6. นักแก้ไขกำรพูดซักประวัติเพ่ิมเติม โดยต้องทรำบประวัติกำรเจ็บป่วย ประวัติพัฒนำทำง
ภำษำและกำรพูด ประวัติกำรมีคนในครอบครัวท่ีพูดติดอ่ำง ควำมคิดเห็นและควำมรู้สึก
ของพอ่ แม่หรอื คนใกล้ชดิ ควำมสัมพนั ธแ์ ละกจิ กรรมทท่ี ำร่วมกนั ภำยในครอบครัว

7. เกบ็ ตัวอย่ำงคำพดู
(กำหนดให้ต้องมีพยำงคท์ ังหมดในตวั อยำ่ งคำพดู ประมำณ 300 พยำงคข์ ึนไป)

8

แนวทางการเกบ็ ตวั อย่างคาพดู เพ่อื วิเคราะห์การพูดตดิ อา่ ง
(เด็กกอ่ นวยั เรียนและเดก็ วัยเรียน)

สาหรบั เด็กกอ่ นวัยเรยี น
1. ผ้ปู กครองบนั ทึก VDO ขณะทเ่ี ด็กอยู่ทีบ่ ้ำน
2. พดู คุยกบั เด็กระหว่ำงกำรเล่นแลว้ บนั ทึก VDO หรอื บนั ทึกเสยี งไว้

สาหรบั เดก็ ในวยั เรียน
1. ให้ผ้พู ดู ตดิ อำ่ งเล่ำเร่อื งจำกภำพเปน็ ภำษำของตนเอง (หนำ้ 14)
2. สนทนำเกย่ี วกบั กจิ กรรมท่ชี อบทำหลงั เลิกเรียน กฬี ำทช่ี อบ งำนอดิเรก หรอื สตั วเ์ ลียง
3. อ่ำนบทควำมสัน ๆ (หน้ำ 15-17)

9

แนวทางการเก็บตวั อยา่ งคาพูดเพ่ือวเิ คราะห์การพูดตดิ อา่ ง
(ผใู้ หญท่ อี่ า่ นหนงั สือไม่ได้)

1. ให้ผพู้ ดู ติดอ่ำงเล่ำเรื่องจำกภำพเป็นภำษำของตนเอง (หนำ้ 14)
2. สนทนำเก่ียวกับกิจกรรมท่ีชอบทำ กีฬำที่ชอบ งำนอดิเรก กำรเรียนหรือกำรทำงำน

รำยกำรทีวที ่ีชอบ
3. รอ้ งเพลงทคี่ นุ้ เคย เชน่ เพลงชำติไทย เพลงลอยกระทง
4. เรยี กช่ือคำศพั ทจ์ ำกภำพ โดยใชห้ มวดสตั ว์ ส่งิ ของ และผลไมจ้ ำก Language Test

10

แนวทางการเก็บตัวอยา่ งคาพูดเพื่อวิเคราะห์การพดู ติดอ่าง
(ผูใ้ หญท่ อี่ า่ นหนงั สอื ได้)

1. Automatic Speech Tasks (หน้ำ 12-13)
2. ใหผ้ ู้พดู ตดิ อ่ำงเล่ำเร่อื งจำกภำพเปน็ ภำษำของตนเอง (หน้ำ 14)
3. สนทนำเกี่ยวกับกิจกรรมที่ชอบทำ กีฬำที่ชอบ งำนอดิเรก กำรเรียนหรือกำรทำงำน

รำยกำรทวี ที ่ีชอบ
4. ร้องเพลงทีค่ นุ้ เคย เชน่ เพลงชำติไทย เพลงลอยกระทง
5. อำ่ นบทควำมสนั ๆ (หน้ำ 15-17)
6. อำ่ นคำศพั ท์ที่ขึนตน้ ด้วยตวั เสียงสระ (หนำ้ 18)
7. อำ่ นคำศพั ทท์ ่ขี ึนต้นดว้ ยเสียงพยญั ชนะทัว่ ไป (หน้ำ 19)

11

ตวั อยา่ งกิจกรรม Automatic Speech Tasks
(นบั ตวั เลขตามลาดับ)

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27 28 29 30

12

ตัวอย่างกจิ กรรม Automatic Speech Tasks
(ทอ่ งลาดบั วันทแี่ ละเดอื น)

จนั ทร์ องั คำร พธุ พฤหสั บดี

ศกุ ร์ เสำร์ อำทติ ย์

มกรำคม กุมภำพันธ์ มีนำคม เมษำยน
พฤษภำคม มถิ นุ ำยน กรกฎำคม สิงหำคม
กนั ยำยน ตลุ ำคม พฤศจิกำยน ธนั วำคม

13

ตัวอยา่ งภาพท่ใี ชใ้ นการบรรยาย

14

ตัวอยา่ งบทความที่ใช้ในการประเมิน (100 คา)
“พริก”

พริกมีต้นกำเนิดแถบอเมริกำกลำงและอเมริกำใต้ ค้นพบเมื่อมีกำร
สำรวจพบอเมริกำใต้ใหม่ ๆ และมีผู้นำไปปลูกในภูมิอำกำศท่ีเหมำะสมคือ
ไม่ร้อนจัดและฝนไม่ชุกจนขยำยพันธุ์ไปท่ัว รวมถึงในประเทศไทยท่ีมี
ภูมิอำกำศร้อนชืน พริกจึงมีช่ือเรียกเฉพำะแตกต่ำงกันไปตำมท้องถิ่น
นอกจำกพริกสดที่นำมำใช้ปรุงอำหำรแล้วยังสำมำรถเก็บพริกไว้ใช้ในรูป
ของพรกิ แห้งไดอ้ ีกดว้ ย โดยนำผลพรกิ ที่แก่จัดมำทำให้แห้งทังผลหรือนำมำ
ป่นเกบ็ ไว้

(อ้างองิ บทความจาก http://www.royin.go.th/?knowledges=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B9%92%E0%B9%96- 15
%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%97 ตพี ิมพ์26 มนี าคม 2557)

ตวั อยา่ งบทความท่ีใช้ในการประเมนิ (100 คา)
“โรคชิคนุ กุนยา”

โรคไข้ปวดข้อยุงลำย เรียกอีกอย่ำงว่ำ “โรคชิคุนกุนยำ” เป็นโรคท่ีมี
ยุงลำยเป็นพำหะ เกิดจำกเชือไวรัส เคยระบำดในหลำยพืนที่ และเคย
ระบำดในประเทศไทยเมอ่ื 10 ปีก่อนทำงภำคใต้ พบโรคครังแรกท่ีประเทศ
แอฟริกำ โดยช่ือ “ชิคุนกุนยำ” นันเป็นภำษำแอฟริกำที่หมำยถึง “เดินจน
ตัวงอ” เพรำะโรคนีมีอำกำรเด่นคือปวดข้อมำกจนทำให้เดินตัวงอ ผู้ที่ติด
เชืออำจมไี ข้สงู อำกำรเด่นคอื ปวดข้อมำก บำงรำยอำจมอี ำกำรข้อบวม

(อ้างองิ บทความจาก https://www.dailynews.co.th/article/722348 ตพี มิ พ์ 27 กรกฎาคม 2562)

16

ตัวอยา่ งบทความทใี่ ช้ในการประเมนิ (100 คา)
“โรคจิตหลงผดิ ”

ควำมหลงผิดที่พบในโรคจิตมีหลำยรูปแบบ เชน่ หวำดระแวง หลงผิด
ว่ำเร่ืองท่ีเกิดขึนรอบตัวล้วนแต่เกี่ยวกับตนเอง หลงผิดว่ำตนเองเป็นเทพ
หรือเป็นคนสำคัญกลับชำติมำเกิด ชนิดที่พบบ่อยคืออำกำรหวำดระแวง
โดยเช่ือว่ำตนเองถูกกล่ันแกล้งหรือปองร้ำย อำจเป็นคน ๆ เดียวหรือเป็น
ขบวนกำร ควำมหลงผิดที่ดึงเร่ืองต่ำง ๆ มำเชื่อมโยงกับตนเองก็พบบ่อย
เช่นกัน โดยเห็นคนคุยกันก็คิดว่ำคุยเร่ืองตนเอง อ่ำนหนังสือพิมพ์ก็รู้สึกว่ำ
เอำเรอ่ื งของตนเองไปเขยี น

(อ้างอิงบทความจาก https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/09042014-0855)

17

ตวั อยา่ งคาศพั ท์ท่ีขนึ้ ต้นดว้ ยตวั เสยี งสระ (20 คา)

อำหำร อันตรำย อนิ ทรยี ์ อกี ำ
อทุ กภยั อปุ ำทำน เอกชน แอบอ้ำง
ออ้ ยอ่ิง ออกตรวจ โอชำ โอบกอด
อนั ตรธำน อศั จรรย์ อิทธพิ ล อุบัติเหตุ
อวยชยั เอือนเอย่ เอยี งคอ ไอศวรรย์

18

ตวั อย่างคาศพั ทท์ ่ีข้ึนต้นด้วยพยัญชนะทั่วไป (20 คา)

กนิ ข้ำว ตอนเยน็ เรือใบ พดั ลม
ไปเที่ยว เก็บของ แสงแดด ภำษำ
เสอื ผำ้ นักเรียน แม่ค้ำ ตำรวจ
แมค่ ำ้ มะม่วง ใส่เสอื นำหวำน
นำตก นักร้อง รถไฟ พ่อแม่

19

20

21

22

23

เกณฑ์การวิเคราะหก์ ารพดู ตดิ อา่ ง

นำตัวอย่ำงคำพูดหรือกำรใช้ภำษำของผู้ท่ีมีอำกำรพูดติดอ่ำงมำคำนวณว่ำต้องได้รับกำรฝึกพูดหรือไม่
โดยทำตำมขันตอนต่อไปนี
1. เขยี นคำพูดทงั หมด รวมถึงลกั ษณะของกำรพูดติดอำ่ ง
2. นับจำนวนพยำงค์ทีพ่ ดู ไม่คลอ่ ง เปรยี บเทยี บกับ จำนวนพยำงคท์ ี่พดู ทงั หมดและคดิ เปน็ ร้อยละ

เกณฑ์วเิ คราะห์การพูดติดอ่าง (Theodore J. Peters & Barry Guitar, 1991)
1. มีอำกำรพดู ไมค่ ล่องมำกกวำ่ 10 คำ ตอ่ จำนวนคำพดู ทงั หมด 100 คำ (ร้อยละ 10)
2. พดู ซำคำมำกกวำ่ สองหน่วยในแต่ละครัง
3. มอี ำกำรรอง เช่น กระทืบเทำ้ อ้ำปำกค้ำง เมม้ ปำกแน่น

24

เกณฑก์ ารพิจารณาฝึกพูด

ลกั ษณะอาการติดอ่าง ข้อปฏิบัติ
กำรพดู ผิดจังหวะทไ่ี มผ่ ิดปกติ
ใหค้ ำแนะนำเบอื งตน้
ช่วงที่มีควำมเสยี่ งพดู ติดอำ่ ง
ให้คำแนะนำเบอื งต้น
เริ่มมอี ำกำรพดู ตดิ อ่ำง ตงั แต่ และเฝ้ำระวังอำกำรพดู ตดิ อำ่ ง
ระดับเลก็ นอ้ ยถึงมำก
ควรไดร้ ับกำรฝกึ พูด
โดยนกั แกไ้ ขกำรพูด

25

วธิ แี กไ้ ขการพดู ตดิ อ่าง
(Intervention)

26

วธิ ีทางอ้อม Play therapy
(สำหรบั เดก็ ทยี่ งั ไมต่ ระหนกั (Dell, 1979)
ถึงกำรพดู ติดอำ่ งของตนเอง)
วิธกี ารแก้ไข ผูพ้ ดู ตดิ อ่างเด็ก Modeling Easy Stutters
การพูดตดิ อา่ ง วธิ ที างตรง ผพู้ ดู ตดิ อ่างผใู้ หญ่ (Guitar, 2014)
(สำหรับเด็ก/ผใู้ หญท่ ต่ี ระหนัก
ถงึ กำรพดู ตดิ อ่ำงของตนเอง) Fluency Shaping Therapy
(Roth & Worthington, 2001)

Stuttering Modification Therapy
(Van Riper, 1973)

Delayed Auditory Feedback
(Roth & Worthington, 2001)

27

วธิ ที างออ้ ม

28

Play therapy (Dell Jr., 1979)

• Play therapy มักใช้กับเด็กเล็กท่ียังไม่ตระหนักต่อกำรพูดติดอ่ำง
ของตนเอง โดยอำศัยกำรเล่นและพูดคุยกับเด็กเพื่อสร้ำง
ประสบกำรณ์ที่ดใี นกำรพูด

• ผ้ฝู ึกและเดก็ นงั่ ใหส้ ำยตำอยใู่ นระดับเดียวกัน และใหค้ วำมสนใจเด็ก
• ควรใชค้ ำพดู ทเ่ี ข้ำใจงำ่ ย พูดช้ำ ๆ แตไ่ มช่ ำ้ จนเกนิ ไป
• อำจแกล้งพูดติดอ่ำงคล้ำยเด็กโดยพูดตำมคำท่ีเด็กพูดติด แต่ไม่ถี่

จนเกนิ ไป เพ่ือไมใ่ หเ้ ดก็ รู้วำ่ ผฝู้ กึ แกล้งตดิ อำ่ ง และผ้ฝู ึกต้องทวนคำท่ี
เด็กพดู ตดิ อำ่ งให้เดก็ ไดย้ นิ อีกครงั ในแบบกำรพดู ปกติ
• กำรพูดตำม ควรพูดในแบบที่เปน็ กำรสะทอ้ นคำพูดหรอื ควำมคิดของ
สิ่งท่เี ด็กตอ้ งกำรส่ือสำร เช่น “เมื่อคนื หนูดูกำร์ตูนมำ” “หนดู กู าร์ตูน
เหรอ” “ใช่ ดเู รือ่ งอะลำดนิ สนุกมำก” “โห สนุกมากเลยเหรอ”
• ควรใหเ้ ดก็ เปน็ ผนู้ ำในกำรสนทนำและลดกำรตงั คำถำม

29

ตวั อย่างกจิ กรรมของ Play therapy

กิจกรรมกำรเล่นสมมติ ให้เด็กเป็นผู้นำและผู้ฝึกบรรยำยหรือ
สะท้อนในสงิ่ ที่เด็กกำลงั เลน่ รวมถึงให้ตน้ แบบกำรพูดท่ีคล่องให้กับ
เดก็ เชน่
ผู้ฝึก: “โอโ้ ห มรี ถคนั สเี ขียวดว้ ย ไหนดซู ิ มีตัวอะไรเดนิ มาเอ่ย ?”
เดก็ : “มวี ัวเดินมำ แลว้ กม็ ีสิง สงิ สงิ โตดว้ ย”
ผฝู้ ึก: “ว้าว สิง สงิ สงิ โต มาเหรอ ทา่ ทางมนั ใจดจี งั เลย”
เด็ก: “เมื่อคืนหนูดูกำร์ตูนไลออ้ นคิงกบั แมด่ ้วย”
ผู้ฝกึ : “เหรอ ตอ้ งสนุกแนเ่ ลย”
เด็ก: “สนกุ มำกค่ะ มันมสี งิ สงิ โตเจ้ำป่ำแลว้ ก.็ ..แลว้ ก.็ ..แลว้ กร็ อ้ ง
เพลงดว้ ยกนั ฮำคนู ่ำ มำทำท่ำ!”
ผฝู้ ึก: “วา้ ว มีสิงโตเจา้ ปา่ แล้วพวกมันกร็ อ้ งเพลงดว้ ยกันเนอะ”

30

วธิ ที างตรง

31

1. Modeling Easy Stutters (Guitar, 2014)

• Modeling Easy Stutter ใชก้ บั เด็กที่เรม่ิ ตระหนกั ต่อกำรพูดตดิ อำ่ งของตนเอง โดยแกล้งพูดติดอ่ำงแทรก
แบบสมุ่ ในทกุ 2-3 ประโยคให้เดก็ ดรู ะหว่ำงเลน่ กับเด็ก เมื่อเด็กตระหนักว่ำผ้ฝู กึ พูดตดิ ขัดเหมอื นตนเอง ผู้ฝกึ
จะแสดงวธิ กี ำรแกไ้ ขโดยอำจพูดว่ำ “หืม ครูพดู ติดขดั เหรอ ไมเ่ ปน็ ไรนะ ครูจะพยายามลด”

• หำกเดก็ พดู ซำ ๆ อย่ำงรวดเร็ว ผู้ฝึกต้องแสดงตวั อยำ่ งโดยคอ่ ย ๆ พูดอย่ำงช้ำ ๆ
• หำกเด็กพดู ซำมำกหรอื ลำกเสียงยำว ผ้ฝู ึกต้องแสดงตัวอย่ำงโดยพูดซำหรอื ลำกเสียงให้สนั ลง
• เมอ่ื เดก็ คุน้ ชนิ กบั ตวั อยำ่ งขำ้ งตน้ แล้ว ผฝู้ ึกจะเสนอควำมชว่ ยเหลือให้กับเดก็ โดยอำจบอกวำ่ “ใหค้ รูช่วยไหม

เวลาท่หี นูพูดติด หนูยงั พูดต่อได้นะ” จำกนันแสดงตวั อยำ่ งโดยพดู ติดขดั เหมือนกบั เด็ก แล้วคอ่ ย ๆ พดู อยำ่ ง
ชำ้ ๆ และผ่อนคลำย แสดงให้เด็กเหน็ วำ่ กำรพดู ชำ้ ๆ จะชว่ ยให้พดู คลอ่ งขนึ ได้

32

1. Modeling Easy Stutters (Guitar, 2014)

• หำกเด็กแสดงอำกำรหงุดหงิดกับกำรพูดติดอ่ำงของตนเอง ผู้ฝึกควรแสดงกำรยอมรับและเห็นอก

เห็นใจ มีท่ำทีผ่อนคลำย พูดกับเด็กให้ช้ำลง เพ่ือลดทัศนคติแง่ลบกับกำรพูดของตนเองและพูด

ออกมำได้งำ่ ยขึน

• ผู้ฝึกอำจใช้กำรเล่นสนุกเพ่ือลดอำกำรหงุดหงิดของเด็ก และดึงควำมสนใจของเด็กไปจำกควำม
กังวล เช่น ชวนให้เด็กทำตำม “หนูพูด บะ ซ้ากัน 5 ครังได้ไหม บะ-บะ-บะ-บะ-บะ!” หรือเร่ิมต้น

ทำเสียงสัตว์หรือของเล่นอื่น ๆ โดยลำกเสียงให้ยำว เช่น “ลิง เจ๊ียกเจี๊ยกกกกกก” “รถไฟ

ปู๊นปู๊นนนนนน” เพ่ือให้เด็กรู้ว่ำผู้ฝึกเองก็พูดติดอ่ำงเช่นกัน เด็กจะมีท่ำทีผ่อนคลำยและมี

ปฏสิ ัมพันธก์ บั ผ้ฝู กึ มำกขนึ 33

ตวั อยา่ งการใช้เทคนิค Modeling Easy Stutters (Guitar, 2014)

เด็ก: “มันมี...ม.ี ..มีรถคนั สีนำเงินจ...จอดอยู่ตรงปม๊ั ”
ผู้ฝกึ : “คะ่ ลองพดู ชา้ ลงนดิ นึงนะคะ (พดู ใหช้ ้าพอด)ี มนั มรี ถสนี า้ เงนิ จอดอยตู่ รงปั๊ม”
เดก็ : “มนั มรี ถสนี ำเงนิ จ...จอดอยู่ตรงป๊ัม”
ผู้ฝึก: ดีมากคะ่ เริ่มคล่องข้ึนแล้ว แลว้ รถสแี ดงไปไหนดีคะ
เด็ก: “....ให้มำเตมิ ลมครับ ยยยยยำงมันแบนมำก”
ผู้ฝึก: “ค่ะ ลองพูดใหมอ่ ีกทนี ะคะ (พูดใหก้ ระชบั ข้ึน) ยางมนั แบนมาก”
เดก็ : (ไมพ่ ูดตอบ เร่ิมแสดงอำกำรเบอ่ื )
ผฝู้ ึก: “มนั ยากเหมอื นกนั เนอะ ครเู ข้าใจค่ะ แตห่ นูยงั พูดใหมไ่ ด้นะ ให้ครชู ว่ ยไหมคะ”
เดก็ : (ยังไม่ตอบสนอง ก้มหนำ้ )
ผู้ฝึก: “เอาแบบนี้ เราลองมาทาเสียงรถกันดูเนอะว่าพอเติมลมแล้วมันวิ่งได้เร็วแค่ไหน ลองดูนะคะ บร๊ืนบร๊ืนนนนนนน
ลองลากเสียงแข่งกนั ดูนะ บร๊นื บรืน๊ นนนนนน!”
เด็ก: บร๊ืนบรนื๊ นนนนน!
ผู้ฝึก: ใช่! รถมันจะพุ่งออกไปเร็วเลยใช่ไหมคะ ครูเองก็พูดติดเหมือนกันเนอะบางคร้ัง เอาแบบน้ี รอบน้ีเรามาลอง
ช่วยกนั แกด้ ้วยกันนะคะ พดู ชา้ ๆ ยางมนั แบนมาก

34

2. Fluency Shaping Therapy (Roth & Worthington, 2019)

(เปา้ หมาย: กำจัดกำรพดู ไมค่ ล่อง และเปลยี่ นอปุ นสิ ัยในกำรพดู ไปสูก่ ำรพดู คล่อง)

1. เริม่ ตน้ ออกเสียงอย่างง่าย/ผอ่ นลมหายใจกอ่ นออกเสยี ง (Easy onset)
ผู้พดู ติดอ่ำงผ่อนลมหำยใจออกเบำ ๆ ก่อนเรมิ่ ออกเสยี ง และออกเสยี งเบำ ๆ ก่อนเพิม่ ควำมดงั ถงึ ระดับสนทนำ
2. ลดอัตราเรว็ ในการพูด (Decreased speaking rate)
ผ้พู ดู ตดิ อ่ำงยดื เสียงพดู ออกไป โดยเฉพำะคำที่ขนึ ต้นดว้ ยเสียงสระ เชน่ “อำบนำ” และพดู ในอัตรำท่ชี ้ำลงขณะที่
คงทว่ งทำนองกำรพูดเดิมไว้
3. แตะอวัยวะทใ่ี ชใ้ นการพดู อยา่ งเบา ๆ (Light articulation contact)
ผ้พู ดู ตดิ อำ่ งตอ้ งเคลอ่ื นไหวอวยั วะทใี่ ชใ้ นกำรพดู อย่ำงผ่อนคลำย
4. ออกเสยี งตอ่ เนื่อง (Continuous phonation)
ผพู้ ดู ติดอำ่ งตอ้ งลดช่วงหยุดระหว่ำงคำ และคงกำรออกเสยี งอย่ำงต่อเนื่องจนจบช่วงกำรหำยใจในแต่ละครงั

** กำรฝึกเหล่ำนีเป็นกำรสอนให้ผู้พูดติดอ่ำงในเทคนิคเหล่ำนีตลอดเวลำ รวมถึงทังคำที่พูดติดและไม่ติดด้วย
ไม่ใชเ่ ฉพำะชว่ งทีพ่ ดู ติดเท่ำนนั

35

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เปา้ หมาย: เปลยี่ นพฤตกิ รรมกำรพูดไม่คล่องให้อย่ใู นระดบั ทีย่ อมรบั ได้ ลดควำมกลวั ทศั นคตดิ ำ้ นลบ และอำกำรรอง)

กำรแก้ไขกำรพูดนีมีพืนฐำนจำกสมมติฐำนที่ว่ำกำรพูดติด
อำ่ งเก่ยี วข้องกับการวางแผนการเคลอ่ื นไหวอวัยวะทีใ่ ช้ใน
การพดู ประกอบดว้ ยวิธีกำรดังนี
3.1 Identification
3.2 Relaxation
3.3 Desensitization
3.4 Modification

36

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เป้าหมาย: เปลยี่ นพฤติกรรมกำรพดู ไมค่ ล่องให้อยใู่ นระดับที่ยอมรับได้ ลดควำมกลัว ทัศนคติด้ำนลบ และอำกำรรอง)

3.1 Identification เปน็ กำรฝกึ เพื่อเพ่มิ กำรตระหนักของผู้พูดตดิ อำ่ งตอ่ รปู แบบ ควำมรุนแรง และ
ตำแหน่งของกำรพูดไมค่ ลอ่ ง รวมถึงอำกำรรอง ซึ่งวิธีกำรนียงั ชว่ ยเพิ่มกำรตระหนักตอ่ กำรพูดคล่องของ
ตนเอง และเพ่ิม Proprioceptive awareness ของอวัยวะในกำรพูด โดยแบ่งเปน็
• การพดู ตดิ อ่างใหช้ ้า (Stuttering slowly) ให้พูดติดอำ่ งออกไปอย่ำงช้ำ ๆ เพือ่ ให้รสู้ ึกถงึ

กล้ำมเนือทใ่ี ชใ้ นกำรพูดวำ่ ตดิ อ่ำงทส่ี ว่ นใด เชน่ เส้นเสียง ช่วงอก ฯลฯ เมอื่ ทรำบตำแหน่งแล้ว ให้
ทำซำจนกวำ่ ผพู้ ูดติดอำ่ งจะตระหนกั ถงึ ส่งิ ทีเ่ กิดขึนขณะพดู ติดอ่ำง จำกนันใหพ้ ดู คำดังกล่ำวออกมำ
โดยไม่ติด และเปรียบเทียบระหว่ำงพูดติดกับพดู ไมต่ ิด
• กาจดั อาการรอง (Eliminating secondary symptoms) ให้ผพู้ ดู ติดอ่ำงสงั เกตอำกำรรองของ
ตนเองและจดบันทึกไว้ วิธีหลักคือ กำรฝึกควบคุมพฤตกิ รรมดงั กลำ่ วโดยกระทำพฤตกิ รรมโดยตังใจ
ฝกึ ควบคมุ พฤติกรรมใหม้ คี วำมหลำกหลำยขนึ จำกนันคอ่ ย ๆ ลดพฤติกรรมดังกลำ่ วลง และพดู ติด
อำ่ งโดยไมแ่ สดงพฤตกิ รรม

37

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เปา้ หมาย: เปล่ียนพฤตกิ รรมกำรพดู ไมค่ ลอ่ งให้อยใู่ นระดับทีย่ อมรบั ได้ ลดควำมกลวั ทัศนคตดิ ำ้ นลบ และอำกำรรอง)

3.2 Relaxation ลดควำมวิตกกังวลและควำมตึงเครียด
ของกล้ำมเนือของผู้พูดติดอ่ำง โดยใช้วิธีกำรท่ีเรียกว่ำ
Progressive relaxation method (Jacobson, 1938;
Ham, 1986) ประกอบด้วย 5 ขนั ตอนดังนี

• ข้นั ที่ 1 ใหผ้ ูพ้ ดู ติดอำ่ งน่ังในทำ่ ทีส่ บำย

38

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เปา้ หมาย: เปล่ยี นพฤติกรรมกำรพูดไมค่ ลอ่ งให้อยู่ในระดบั ที่ยอมรับได้ ลดควำมกลวั ทัศนคติดำ้ นลบ และอำกำรรอง)

• ขั้นที่ 2 อธิบำยเร่ืองกำรหดตัวและคลำยตัวของกล้ำมเนือ เพื่อช่วยให้ผู้พูดติดอ่ำงตระหนัก
และแยกแยะระหว่ำงกลำ้ มเนอื ท่เี กรง็ และผ่อนคลำยได้

• ขั้นที่ 3 ให้ผูพ้ ดู ติดอ่ำงเกรง็ กลำ้ มเนอื ท้องประมำณ 5 วินำที จำกนันจึงผ่อนคลำยกล้ำมเนือ
มุ่งควำมสนใจไปท่ีควำมรูส้ กึ ของกล้ำมเนือขณะทเี่ กร็งและผ่อนคลำย จำกนันให้ผู้พูดติดอ่ำง
ทำกจิ กรรมในขันตอนนีซำ 3-5 ครัง

• ข้ันที่ 4 ให้เกร็งและคลำยกล้ำมเนือเช่นนีในกล้ำมเนือกลุ่มอ่ืน ๆ โดยค่อย ๆ เคลื่อนไปหำ
กลำ้ มเนือบริเวณใบหน้ำ เช่น บริเวณแขน หัวไหล่ คอ และใบหน้ำ ผู้ฝึกสำมำรถตรวจสอบ
ระดบั ควำมผอ่ นคลำยของกล้ำมเนือโดยกำรสมั ผัสและกดเบำ ๆ เพื่อระบุระดับของแรงต้ำน
กำรมแี รงตำ้ นทผี่ ฝู้ ึกสำมำรถรบั รู้ไดจ้ ะบง่ บอกวำ่ ควำมผ่อนคลำยกล้ำมเนือนนั ไมเ่ พยี งพอ

39

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เป้าหมาย: เปลีย่ นพฤติกรรมกำรพดู ไม่คล่องให้อยใู่ นระดบั ทย่ี อมรบั ได้ ลดควำมกลวั ทศั นคตดิ ้ำนลบ และอำกำรรอง)

• ข้ันที่ 5 ฝึกกลำ้ มเนือบริเวณใบหน้ำ เพ่ือให้ผู้พูดติดอ่ำงสำมำรถผ่อนคลำยกล้ำมเนือท่ีใช้ใน
กำรพูดได้ดี ให้ผู้พูดติดอ่ำงทำกิจกรรมที่ 5.1 – 5.5 ดงั นี

5.1 กัดฟันกรำมใหแ้ น่นและผ่อนคลำย

40

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เป้าหมาย: เปลย่ี นพฤตกิ รรมกำรพดู ไมค่ ล่องให้อย่ใู นระดบั ที่ยอมรับได้ ลดควำมกลวั ทัศนคตดิ ้ำนลบ และอำกำรรอง)

5.2 เม้มปำกแนน่ และคลำยออก

41

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เป้าหมาย: เปลย่ี นพฤติกรรมกำรพูดไม่คล่องให้อยู่ในระดบั ทีย่ อมรบั ได้ ลดควำมกลัว ทัศนคติด้ำนลบ และอำกำรรอง)

5.3 กดลนิ สว่ นหนำ้ กับเพดำนปำกให้แน่นและผ่อนคลำย

42

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เปา้ หมาย: เปล่ยี นพฤตกิ รรมกำรพูดไม่คลอ่ งให้อย่ใู นระดบั ทยี่ อมรับได้ ลดควำมกลวั ทัศนคตดิ ้ำนลบ และอำกำรรอง)

5.4 หลบั ตำทงั สองขำ้ งให้แน่นและลืมตำ

43

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เป้าหมาย: เปล่ยี นพฤตกิ รรมกำรพดู ไม่คล่องให้อย่ใู นระดับที่ยอมรบั ได้ ลดควำมกลัว ทศั นคตดิ ้ำนลบ และอำกำรรอง)

5.5 ขมวดคิวตงึ แลว้ ผอ่ นคลำย

44

3. Stuttering Modification Therapy (Van Riper, 1973)

(เป้าหมาย: เปลยี่ นพฤติกรรมกำรพดู ไมค่ ล่องให้อยใู่ นระดบั ทีย่ อมรับได้ ลดควำมกลัว ทัศนคติด้ำนลบ และอำกำรรอง)

3.3 Desensitization ลดควำมรูส้ กึ ดำ้ นลบเก่ียวกับกำรพูดติดอ่ำงของตนเอง เช่น ควำมกลัว ควำมคับข้องใจ และ
ควำมอับอำย โดยลดควำมอ่อนไหวทีส่ ง่ ผลให้เกดิ กำรพูดตดิ อำ่ ง ซึ่ง Fraser (1978) ให้รำยละเอยี ดไวด้ งั นี

• การต้งั ใจพูดตดิ อา่ ง (Voluntary stuttering) กำรพูดติดอ่ำงปลอมจะช่วยให้ผู้พูดติดอ่ำงสำมำรถยอมรับกำร
พูดติดของตนเองได้ และยังช่วยให้พบว่ำผู้อื่นตอบสนองต่อกำรพูดติดอย่ำงไร ทำให้ผู้พูดติดอ่ำงกล้ำเผชิญกับ
ปญั หำ

• การพดู ติดอา่ งอยา่ งงา่ ยโดยออกเสยี งให้ยาวข้ึน (Stuttering easily with prolongation) เปน็ กำรให้พูดตดิ
อ่ำงอย่ำงใจเย็น สบำย ออกเสียงโดยใช้อวัยวะที่ใช้ในกำรพูดที่เบำและผ่อนคลำย ให้ผู้พูดติดอ่ำงฝึกคลำย
กล้ำมเนือ โดยให้ลองเกร็งปำกหรือลิน จำกนันค่อย ๆ ลดอำกำรเกร็งลงเพ่ือให้รู้สึกถึงควำมแตกต่ำงระหว่ำง
กล้ำมเนอื ที่เกรง็ และผอ่ นคลำย เน่อื งจำกผ้พู ูดติดอำ่ งจะไม่ไดป้ ระโยชนจ์ ำกกำรพยำยำมเค้นคำพูดระหว่ำงพูดติด
หรอื ใหผ้ ้พู ูดตดิ อ่ำงออกเสยี งแรกในคำทมี่ ักพดู ติดให้ยำวขึนแล้วเปลีย่ นไปยงั เสยี งถัดไป ในพยัญชนะที่ไม่สำมำรถ
ออกเสียงยำวได้ เช่น ป พ บ ด ก ค ให้ออกเสยี งโดยใหอ้ วยั วะทีใ่ ช้ออกเสยี งสัมผัสกันเบำ ๆ

• ไม่หลีกเล่ียง ถ่วงเวลา และใช้คาอ่ืนแทนคาท่ีต้องการพูด (Eliminating avoidances, postponements
and substitutions)

• คงการมองหนา้ สบตา (Maintaining eye contact)

45

ตวั อยา่ งคาศพั ท์ทข่ี นึ้ ตน้ ดว้ ยตัวเสียง ป (30 คา)

ประเทศ ปำทอ่ งโก๋ ปิดไฟ ปีระกำ ปุจฉำ
ปลกุ ปัน่ ปทู ะเล เปด็ ปักกิง่ เปรมปรีด์ิ เปลวไฟ
แปะโป้ง แปง้ สำลี ปมด้อย
ปอกเปลือก ปลอมแปลง โป้ปด ปกติ เปลี่ยนผนั
ปว่ ยไข้ ปว้ นเป้ียน เป้ำหมำย เปรียวปำก เปลอื งแรง
ปรบั ปรุง ปลำสู้ ปวงชน เปือ่ ยเนำ่ ปำกกำ
ไปเทีย่ ว ป้ำยเตอื น

46

ตัวอย่างคาศพั ท์ทขี่ ้นึ ต้นด้วยตัวเสียง พ/ผ (30 คา)

ภำพพจน์ พระเจำ้ พริกเผำ พริกแกง ผีเสือ
ผุพัง ผู้ชำย เผน่ หนี เพลงเพรำะ เผด็ ร้อน
แพร่งพรำย โพนทะนำ โผกอด
แผนกำร ผอมแห้ง เผ่ำพนั ธุ์ ผลพวง พวงอง่นุ
พอกหนำ้ พวกพ้อง เผือกทอด เผำไหม้ เพอ้ เจอ้
ผวนคำ พร่ำบ่น พลบั พลึง เพ่อื นสนทิ ไผ่งำม
เพกิ ถอน ไพต่ ำย

47

ตวั อย่างคาศัพท์ทีข่ ึ้นตน้ ดว้ ยตวั เสยี ง บ (30 คา)

บำ้ บอ บะหมี่ บนิ ได้ บบี เคน้ บีบคอ
บุบสลำย บูดเบียว เบนเขม็ เบ้หน้ำ เบด็ ตกปลำ
แบมอื แบง่ ปัน โบกมือ บนบำน
บอกเลำ่ เบำะนง่ั เบำหวิว เบำหวำน บ่นวำ่
บว้ นปำก บวกลบ เบ่ือหน่ำย บำบดั เบ้ำตำ
บำเหนจ็ ใบเ้ บอื ใบบัว บ๊วยเคม็ บำนำญ
เบียดเบยี น

48

ตวั อยา่ งคาศัพท์ทข่ี น้ึ ตน้ ดว้ ยตวั เสียง ด (30 คา)

ดำวเครำะห์ ดักแด้ ดินทรำย ดงี ำม ดีดดิน
ดุษณี ดูดนำ เด็กนอ้ ย เด่นดัง เดรัจฉำน
แดนไกล แดงโร่ โดยดี โดนดุ ดมกลน่ิ
ดอกรัก ดอมดม เดำส่มุ ดว้ ยเกล้ำ ดวลปืน
ดวงใจ เดอื ดดำล เดือนเพญ็ ดำดิน ดบั ไฟ
ได้ผล ด้ำยแดง เด๋ยี วกอ่ น ดอื แพง่ ดึกดำบรรพ์

49

ตัวอย่างคาศพั ท์ทขี่ ึ้นต้นด้วยตวั เสียง ก (30 คา)

กำกใย กำรบ้ำน กนิ ขำ้ ว กบิ๊ ติดผม กลบี ดอก
กญุ แจ กหุ ลำบ เก็บเงนิ เกณฑท์ หำร แกล้งกนั
แกงส้ม แกะกลอ่ ง กบเขยี ด โกนผม
กอไผ่ เกำะช้ำง เก้ำสิบ กม้ หนำ้ เกำเหลำ
เกอื กม้ำ เกี่ยวข้ำว เกี๊ยวนำ เก่ำเกบ็ กวนใจ
กรรมเวร กลำกลนื ไกข่ นั กลว้ ยนำว้ำ ไกลลิบ
ใกล้รงุ่

50


Click to View FlipBook Version