The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือนิเทศการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program : IEP)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือนิเทศการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP)

คู่มือนิเทศการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program : IEP)

2 คำนำ กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ได้จัดทำคู่มือนิเทศการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ของครูผู้สอนเด็กพิการเรียนรวม เพื่อเป็นแนวทางให้ครูครูผู้สอนเด็กพิการเรียนรวม ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ใช้เป็นแนวทาง พัฒนาการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ของครูผู้สอนเด็กพิการเรียนรวม ที่สอดคล้องตาม สภาพบริบทของแต่ละสถานศึกษา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือนิเทศนี้จะสร้างความเข้าใจในการนิเทศการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) ของครูผู้สอนเด็กพิการเรียนรวม และเป็นประโยชน์ต่อผู้นิเทศ ผู้รับการนิเทศ และผู้ที่สนใจใน การจัดการเรียนรู้และใช้เป็นเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการเรียนการสอน ให้กับนักเรียนเรียนรวมให้มีคุณภาพ ต่อไป นางสาวกนกวรรณ ทองชาวกรุง ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ก


3 คำชี้แจง เอกสารคู่มือนิเทศการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) เล่มนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาที่่เกี่ยวข้องกับ เด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือเด็กพิการใช้เป็น แนวทางในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือ IEP (Individualized Education Program) ให้แก่เด็กที่มีความต้องการพิเศษ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ แบบฟอร์ม IEP กระบวนการจัดทำ IEP โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 4 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ความเป็นมาของการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ส่วนที่ 2 กระบวนการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ส่วนที่ 3 วิธีการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ส่วนที่ 4 วิธีการวัดและประเมินผลนักเรียนพิการเรียนรวม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือนิเทศนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับศึกษานิเทศก์ ครูผู้สอนเด็กพิการเรียนรวม บุคลากรทางการศึกษาที่่เกี่ยวข้องกับเด็กที่่มีความต้องการพิเศษหรือเด็กพิการ และผู้ที่่สนใจในการนำไปใช้เป็น แนวทางในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ต่อไป นางสาวกนกวรรณ ทองชาวกรุง ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ข


4 สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ............................................................................................................................................................ ก คำชี้แจง........................................................................................................................................................ ข สารบัญ.......................................................................................................................................................... ค-ง ส่วนที่ 1 บทนำ........................................................................................................................................... 1 ความเป็นมาของการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล..................................................... 1 ความหมายของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล...................................................................... 4 หลักการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล........................................................................ 5 วัตถุประสงค์ของการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล.................................................... 8 องค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล................................................................... 9 ประโยชน์จากแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล........................................................................ 10 ส่วนที่ 2 กระบวนการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล............................................................. 12 ขั้นเตรียมการ………………………………………………………………………………………………………………. 12 ขั้นการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล…………………………………………………..…………. 13 ขั้นการนำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลไปใช้………………………………….………….……………. 13 ขั้นการประเมินผลการเรียนรู้ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล………………….……………... 14 ขั้นการสรุปและรายงานผล………………………………………………………………………………..…………. 15 ขั้นการส่งต่อ………………………………………………………………………..……………………….…………….. 15 ส่วนที่ 3 วิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล...................................................................... 18 การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลสำหรับโรงเรียนที่จัดการเรียนร่วม………………..... 19 วิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล………………………………………………..………….… 29 ส่วนที่ 4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ทางการศึกษา……………………………………………………………………………………………..………………. 33 ความสำคัญของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา………………………………………………………………….… 33 จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา………………………………………………………………….… 35 หลักการการวัดและประเมินผลการเรียนรู้หรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา………………………………………………………………….… 36 ค


5 สารบัญ เรื่อง หน้า ส่วนที่ 4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ทางการศึกษา (ต่อ)…………………………………………………………………………………..……….……….. แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา………………………………………………………….……….. 38 การกำกับดูแลคุณภาพการศึกษาสำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา……………………………………………………………………. 43 การจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา……………………………. 44 เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็น พิเศษทางการศึกษา…………………………………………………………………………….……………………….….. 45 แนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการ จำเป็นพิเศษทางการศึกษาแต่ละประเภท………………………………………………………………..…………. 51 บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………………………………. 55 ภาคผนวก………………………………………………………..…………………………………………………………………………. 57 แบบฟอร์มแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล…………………………………………………………..………. 58 ตัวอย่างแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลแผนการสอนเฉพาะบุคคล และการวัดและประเมินผลแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล…………………………….……..………. 62 แบบนิเทศการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)……………………………..……..………. 73 ง


1 ความเป็นมาของการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การจัดการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบัน เกิดกระแสการยอมรับสิทธิ ความเท่าเทียมกัน ของมนุษยชน ข้อบ่งชี้สำคัญของ สิทธิความเท่าเทียมกัน คือ “สิทธิทางการศึกษา” ซึ่งเป็นข้อความที่ประกาศ ไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) และได้รับการยืนยัน อีกครั้งในปฏิญญาสากลว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน (World Declaration on Education for All) ซึ่งระบุว่าผู้ด้อยโอกาสทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาตามที่พวกเขาต้องการ พ่อ แม่ ผู้ปกครองมีสิทธิ โดยชอบธรรมที่จะได้รับคำปรึกษา แนะนำเกี่ยวกับรูปแบบการศึกษาที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพแวดล้อม และตามความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2563) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้รับรองสิทธิ เสรีภาพ และคุ้มครองสิทธิของ คนพิการไว้อย่างครอบคลุม โดยระบุในมาตราต่างๆ ดังนี้ มาตรา 30 (3) การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่น กำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสังคม ความเชื่อทางศาสนาการศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้(4) มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิ และเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม มาตรา 49 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปี รัฐจะต้องจัดให้อย่าง ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (2) ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ต้องได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่งและการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกัน(3) บทบัญญัติ รับรองสิทธิในแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 80 รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านสังคม การสาธารณสุข การศึกษาและวัฒนธรรม (1) คุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน สนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูและการให้การศึกษาปฐมวัย ส่งเสริมความ เสมอภาคของหญิงและชาย เสริมสร้างและพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัวและชุมชน รวมทั้ง สงเคราะห์และจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้พิการหรือทุพพลภาพ และผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ให้มี คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ ส่วนที่ 1 บทนำ


2 เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงได้มีการตรากฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับคนพิการให้ได้รับสิทธิทางการศึกษา ซึ่งประกอบด้วยกฎหมายสำคัญดังนี้ 1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 10 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องจัดให้มีบุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษา ขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การจัดการศึกษาสำหรับบุคคล ซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม การสื่อสาร และการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือ ด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ การศึกษาสำหรับคนพิการในวรรคสอง ให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใด ทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกระทรวง มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มาตรา 24 (1) การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้ สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มาตรา 28 (1) หลักสูตรการศึกษาระดับต่างๆรวมทั้งหลักสูตรการศึกษาสำหรับบุคคลตาม มาตรา 10 วรรคสอง และวรรคสาม ต้องมีลักษณะหลากหลาย ทั้งนี้ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับโดยมุ่ง พัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมกับวัยและศักยภาพ มาตรา 60 ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาในฐานะที่มีความสำคัญสูงสุดต่อการ พัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย โดยการจัดสรรเป็นเงินงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็นพิเศษ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความจำเป็นในการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษแต่ ละกลุ่มตามมาตรา 10 วรรคสอง และวรรคสาม โดยคำนึงถึงความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาและความ เป็นธรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง 2. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 มาตรา 12 ให้กระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา จัดการศึกษาเป็นพิเศษสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาอารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือเด็กซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส หรือเด็กที่มีความสามารถพิเศษให้ได้รับการศึกษาภาคบังคับด้วยรูปแบบและ วิธีการที่เหมาะสม รวมทั้งการได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดตามความจำ เป็นพิเศษ เพื่อประกันโอกาสและความเสมอภาคในการได้รับการศึกษาภาคบังคับ 3. พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 มาตรา 5คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาดังนี้


3 1) ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้งได้รับ เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา 2) เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น 3) ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตรกระบวนการ เรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละ ประเภทและบุคคล มาตรา 7 ให้สถานศึกษาของรัฐและเอกชนที่จัดการเรียนร่วม สถานศึกษาเอกชนการกุศลที่จัดการ การศึกษาสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ และศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ที่ได้รับรองมาตรฐานได้รับเงิน อุดหนุนและความช่วยเหลือพิเศษจากรัฐ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการในการรับเงินอุดหนุนและความช่วยเหลือ เป็นพิเศษ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด มาตรา 8ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล วรรคสอง ให้สถานศึกษา ในทุกสังกัดและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการจัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย วรรคสาม ให้สถานศึกษา ในทุกสังกัดจัดสภาพแวดล้อมและระบบสนับสนุนการเรียนการสอน วรรคสี่ ให้สถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีหน้าที่รับคนพิการในสัดส่วนหรือจำนวนที่เหมาะสม วรรคห้า สถานศึกษาใดปฏิเสธไม่รับ คนพิการเข้าศึกษา ให้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามกฎหมาย วรรคหก ให้สถานศึกษาประสานความร่วมมือจาก ชุมชนและนักวิชาชีพเพื่อให้ คนพิการได้รับการศึกษาทุกระดับ 4. กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการให้คนพิการ มีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา พ.ศ. 2550 ออกตามความในมาตรา 10 วรรคสาม แห่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดให้คนพิการ มีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 5. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2552 ได้กำหนดองค์ประกอบ กระบวนการจัดทำ บุคคลที่เกี่ยวข้อง การนำ แผนไปสู่การปฏิบัติ การทบทวน ปรับปรุงและความสำคัญของแผนการส่งต่อไว้อย่างชัดเจน 6. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555 – 2559) ที่ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและยึด “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและภาคีการมีส่วนร่วม ทุกขั้นตอนมีความสมดุลในการพัฒนาในทุกมิติและพัฒนาสู่วิสัยทัศน์ปี 2570 ทั้งนี้ได้นำเสนอยุทธศาสตร์หลัก 6 ยุทธศาสตร์เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ในส่วนของคนพิการได้ถูกกล่าวไว้ในยุทธศาสตร์การสร้าง ความเป็นธรรมในสังคม โดยการจัดบริการทางสังคมให้ทุกคนตามสิทธิพึงมีพึงได้ เน้นการสร้างภูมิคุ้มกันระดับ ปัจเจกและสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ในการพัฒนาประเทศและพัฒนาช่องทางการเข้าถึง บริการสาธารณะอย่างทั่วถึง โดยการสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทั้งบริการการศึกษา สุขภาพ สวัสดิการสังคม กระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสร้างโอกาสมีส่วนร่วมในกิจกรรม ต่างๆโดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชน สตรี ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม คนยากจน


4 และผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ จากข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเทคโนโลยีสิ่งอำนวย ความสะดวกเพื่อการสื่อสารและบริการสื่อสาธารณะสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2554 7. แผนพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการระยะ 5 ปี(พ.ศ. 2555 – 2559) เป็นแผนยุทธศาสตร์ ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงานพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการโดยมีเป้าหมาย สูงสุด คือ คนพิการทุกประเภทมีสิทธิได้รับการศึกษาและได้รับความช่วยเหลือทางการศึกษาตั้งแต่แรกเกิดหรือ แรกพบความพิการ มีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา และการ จัดบริการทางการศึกษาให้กับเด็กพิการต้องจัดให้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ ด้วยเหตุจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ดังกล่าวข้างต้น หน่วยงานที่จัดการศึกษาสำหรับคนพิการ จึงต้องจัดการศึกษาให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อพัฒนา ศักยภาพของคนพิการให้สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคลให้กับคนพิการในวัยเรียนทุกคน ความหมายแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลและแผนการสอนเฉพาะบุคคล ผดุง อารยะวิญญู ( 2542 ) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ว่าเป็น แผนการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษที่ทางโรงเรียนจัดทำขึ้น โดยได้ร่วมมือ และความ ยินยอมจากผู้ปกครองของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ แผนนี้บรรจุเนื้อหาสาระของแต่ละคน เป็นแผนใน ระยะ 1 ปี และมีการทบทวนแผนทุกภาคเรียน เบญจา ชลธาร์นนท์ ( 2543 ) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล สำหรับคน พิการ ดังนี้ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เป็นแผนการจัดการศึกษา ซึ่งกำหนดแนวทางการศึกษาที่ สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลพิการแต่ละบุคคล ตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความ สะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาให้เป็นเฉพาะบุคคล สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ( 2546 ) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ว่า เป็นแผนซึ่งกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการ ตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาเฉพาะบุคคล ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ที่จะทำให้การจัดการศึกษาที่มี ประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนคนพิการทุกประเภท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( 2548 ) ให้ความหมายว่า แผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล หมายถึง แผนการให้บริการทางการศึกษาพิเศษรายปี ที่จัดทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรให้กับนักเรียน พิการหรือที่มีความบกพร่องเป็นรายบุคคล โดย พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดทำ ซึ่งจะต้องมี รายละเอียดเกี่ยวกับระดับความสามารถในปัจจุบัน ตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยสะดวก สื่อ บริการและความ


5 ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาให้เป็นเฉพาะบุคคล รวมทั้งแนวทางการจัดการเรียนการสอนและการวัดผล ประเมินผล พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ให้นิยาม ไว้ว่า แผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล หมายถึง แผนซึ่งกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของ คนพิการ ตลอดจนกำหนดเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทาง การศึกษาเฉพาะบุคคล มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ( 2556 ) กล่าวว่า แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หมายถึง แผนซึ่งกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการ ตลอดจน กำหนดเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาเฉพาะบุคคล กล่าวโดยสรุป แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หมายความว่า แผนการจัดการศึกษาที่จัดทำขึ้นให้ สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของคนพิการรายบุคคลโดยเฉพาะ โดยการมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง ครูและคณะสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดแผนการศึกษาให้คนพิการเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งใน แผนจะต้องระบุความสามารถในปัจจุบัน เป้าหมายระยะยาว 1 ปี จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เกณฑ์และวิธีการ วัดประเมินผล กำหนดสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความ ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตลอดจนมีการทบทวนปรับปรุงแผนตามความเหมาะสม หลักการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล กฎหมายการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ (Individual with Disabilities Education Act : IDEA) ดังกล่าวเบื้องต้น ระบุให้จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลเพื่อการพัฒนาเด็กพิการทุกคน โดยแผนการ จัดการศึกษาเฉพาะบุคคลจะต้องได้รับการปรับให้ตอบสนองความต้องการพิเศษของผู้เรียนเป็นรายบุคคลตาม กระบวนการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ในกฎหมายฉบับดังกล่าวยังระบุถึง หลักการเบื้องต้น ตามกฎหมายในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ 6 ประการ (Heward : 2006) ได้แก่ 1. เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษา (Zero reject) เป็นการให้โอกาสทางการศึกษาแก่ทุกคน รวมถึงคน พิการ ต้องได้รับการประเมินค้นหาอย่างเป็นระบบ การคัดกรอง และประเมินตั้งแต่แรกเกิด หลักการนี้เป็นการ ประกันความเท่าเทียมทางการศึกษา รวมไปถึงคนพิการด้วย ผู้เรียนทุกคนจะได้รับบริการที่เหมาะสม และมี ประสิทธิภาพตามความต้องการจำเป็นพิเศษ 2. การไม่เลือกปฏิบัติในการตรวจวัดและประเมิน (Nondiscriminatory identification and evaluation) โดยนักเรียนจะต้องได้รับการประเมินต่างๆ โดยปราศจากอคติและ นักการศึกษาจะต้องใช้ กระบวนการและเครื่องมือที่หลากหลายในการประเมิน ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินเด็กได้สอดคล้องกับสภาพ ที่แท้จริงมากที่สุด 3. การให้บริการทางการศึกษาแบบให้เปล่าที่เหมาะสม (Free Appropriate Public Education : FAPE) โดยเด็กพิการทุกคนจะต้องมีแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่สนองตอบต่อความต้องการจำเป็น


6 โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และมีเอกสารต่างๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่สามารถตรวจสอบกระบวนการจัด การศึกษาของครูได้ด้วย 4. การจัดการศึกษาในสภาพแวดล้อมที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด (Least Restrictive Environment : LRE) ผู้เรียนพิการควรได้รับการจัดการศึกษาในห้องเรียนรวมกับเด็กทั่วไปโดยสถานศึกษาจะต้องจัดวางและมี บริการ การช่วยเหลือที่เป็นทางเลือกให้กับผู้เรียน ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะด้านต่างๆ รวมทั้งทักษะ สังคมและเรียนรู้ในสถานการณ์จริงที่สอดคล้องกับวัยวุฒิ เป็นการให้เด็กได้เรียนรู้ถึงการใช้ชีวิต ในสถานการณ์ จริง อีกทั้งยังเป็นประโยชน์กับนักเรียนทั่วไปที่จะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันอีกด้วย 5. การพิทักษ์สิทธิในการรับบริการ (Procedural Due Process) เพื่อให้ผู้ปกครองได้รับทราบ กระบวนการขั้นตอน การจัดวาง และสามารถที่จะตรวจสอบ รวมถึงพิทักษ์สิทธิของคนพิการ ระบบดังกล่าว เป็นการรับผิดชอบร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครอง 6. การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและคนพิการ (Parental and Student Participation) เป็นการให้ ผู้ปกครองและผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผน การดำเนินการในการรับบริการการศึกษาพิเศษ และการ ตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับพวกเขากฎหมายดังกล่าวให้ความสำคัญกับคนพิการ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของ ผู้ปกครองและคนพิการในการจัดการศึกษา และได้มีการกล่าวถึงแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็น เครื่องมือที่จะนำไปสู่การได้รับสิทธิต่าง ๆ โดยคำนึงถึงความต้องการพิเศษของคนพิการแต่ละคนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีนักการศึกษาได้ให้หลักการของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลไว้ ดังต่อไปนี้ ซีเกล กล่าวถึงหลักการในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลว่ามีหลักการดังต่อไปนี้ (Siegel : 2002) 1. ผู้ปกครองจะมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน 2. เมื่อเด็กได้รับสิทธิในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ผู้ปกครองจะต้องเข้า ร่วมประชุมจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยเน้นที่การจัดการศึกษาพิเศษว่าเป็นอย่างไร และจะมี การปรับเปลี่ยนอย่างไร 3. ผู้ปกครองและสถานศึกษาจะต้องลงความเห็นและลงนามร่วมกันในการจัดทำแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคล 4. ถ้าผู้ปกครองต้องการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการจัดการศึกษา ต้องมีการนัดประชุม หารือและลงความเห็น 5. ผู้ปกครองสามารถร้องขอให้มีการนัดประชุมได้ตลอด หากพบปัญหาที่เกี่ยวกับพัฒนาการ ของเด็ก ปัญหาในห้องเรียนหรือบริการต่างๆ 6. สถานศึกษาที่ให้บริการต้องดำเนินการจัดหาบริการหรือสื่อเพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษา ศรียา นิยมธรรม (2546) กล่าวถึง แนวคิดในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล มีหลักการ เบื้องต้น คือ 1. ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการที่จะได้รับบริการทางการศึกษาไม่ว่าจะเป็นคนพิการ หรือคนทั่วไป เมื่อรัฐจัดการศึกษาให้แก่นักเรียนทั่วไปแล้ว ก็ควรจัดการศึกษาให้แก่นักเรียนที่มีความต้องการ


7 จำเป็นพิเศษด้วย หากนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษไม่สามารถเรียนในโปรแกรมการศึกษาที่รัฐจัดให้ นักเรียนทั่วไปได้ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะจัดการศึกษาให้สนองต่อความต้องการของนักเรียนดังกล่าว 2. นักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษควรได้รับการศึกษาควบคู่ไปกับการบำบัด การฟื้นฟู สมรรถภาพทุกด้านโดยเร็วที่สุด ในทันทีที่ทราบว่านักเรียนมีความต้องการพิเศษ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียม นักเรียนให้พร้อมที่จะเรียนต่อไป และมีพัฒนาการทุกด้านถึงขีดสูงสุด 3. การจัดการศึกษาพิเศษควรคำนึงถึงการอยู่ร่วมกันกับสังคมทั่วไปอย่างมีประสิทธิภาพ การ เรียนการสอนนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษจึงควรให้เรียนร่วมกับนักเรียนทั่วไปให้มากที่สุด 4. การจัดการศึกษาพิเศษ ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพความเสียเปรียบของนักเรียนที่มีความ ต้องการจำเป็นพิเศษแต่ละประเภท 5. การศึกษาพิเศษและฟื้นฟูบำบัดทุกด้าน ควรจัดเป็นโปรแกรมให้เป็นรายบุคคลในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนบางอย่างอาจจัดเป็นกลุ่มเล็กสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่อง หรือมีความต้องการ คล้ายคลึงกัน และอยู่ในระดับความสามารถใกล้เคียงกัน 6. การจัดโปรแกรมการสอนนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ควรเน้นที่ความสามารถ ของนักเรียน และให้นักเรียนได้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าที่จะคำนึงถึงความพิการหรือความบกพร่อง เพื่อให้นักเรียนมีความมั่นใจว่า แม้ตนจะมีความบกพร่อง แต่ก็ยังมีความสามารถ ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถ ปรับตัวได้ดีขึ้น 7. การศึกษาพิเศษควรมุ่งให้นักเรียนมีความเข้าใจ ยอมรับตนเอง มีความเชื่อมั่น ช่วยตนเอง ได้ ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม สุทธิพร วิจิตรพันธุ์(2549) กล่าวว่า ลักษณะสำคัญของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่จัดทำ ให้กับเด็กพิการนั้น มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. เด็กพิการแต่ละคนมีแผนการจัดการศึกษาที่ไม่เหมือนกัน และอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ 2. การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลนั้นจะมีเป้าหมายรายปี โดยกำหนด จุดประสงค์ระยะยาวและจุดประสงค์ระยะสั้น 3. ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลจะเชื่อมโยงการบริการที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ จำเป็นพิเศษของเด็กพิการแต่ละคน เช่น การบริการทางด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ การบริการทางการศึกษา 4. ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลจะต้องมีวิธีการประเมินผลประจำปี เพื่อพิจารณา ความก้าวหน้า 5. ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลจะต้องระบุระดับความสามารถทางการศึกษาและ พฤติกรรมของเด็ก โดยการประเมินผลทุกๆ ด้าน 6. มีการแสดงกำหนดเวลาที่เริ่มต้นและสิ้นสุดการให้บริการ 7. แสดงเกณฑ์ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนการประเมินผลอย่างเหมาะสมตามแผน 8. แผนการศึกษาเฉพาะบุคคลเป็นเอกสารที่พิสูจน์การยินยอมของโรงเรียนในการจัด การศึกษาให้กับเด็กพิการ


8 9. เป็นเครื่องมือสื่อสารในการกำหนดการจัดการศึกษาพิเศษให้กับเด็ก โดยเป็นที่ยอมรับ ของผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ประคอง ผลพิชญานันท์ (2552) กล่าวว่า แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล คือ การจัดการศึกษา ให้กับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยยึดหลักที่ว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด การจัดการศึกษาต้องมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ การจัดการเรียนรู้จะต้องจัดเนื้อหา สาระ และกิจกรรม ให้สอดคล้องกับ ความถนัด ความสนใจของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสำคัญ มีหลักการในการจัดทำ ดังต่อไปนี้ 1. ต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ 2. ต้องกำหนดกระบวนการพัฒนาความสามารถของนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ให้สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นแต่ละคน 3. มุ่งพัฒนานักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษอย่างเต็มศักยภาพทุกด้าน 4. บุคคลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมีส่วนร่วมในการจัดทำแผน 5. ต้องดำเนินการจัดทำตามกระบวนการอย่างครบถ้วนตามลำดับ ตั้งแต่การสำรวจ ศึกษา ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินและคัดแยก ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การวางแผนและจัดทำแผน การเตรียมความพร้อม และการประเมินผล 6. ดำเนินการด้านการจัดกระบวนการเรียนการสอน การจัดประสบการณ์เรียนรู้ การจัด กิจกรรมและการประเมินผลให้เป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน ตลอดจนมีการตรวจสอบได้ ดังนั้นหลักการของการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลนั้น จะต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ กฎหมายต่างๆ ที่คำนึงถึงสิทธิของคนพิการ ต้องมีการประเมิน และวางแผนการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับ ความต้องการพิเศษของคนพิการแต่ละคน ภายใต้ความร่วมมือของครู นักการศึกษา คณะสหวิชาชีพ ผู้ปกครอง และคนพิการเอง เพื่อให้คนพิการได้รับการพัฒนาอย่างเป็นกระบวนการ สามารถตรวจสอบ ปรับเปลี่ยน และ ประเมินผลโดยคำนึงถึงศักยภาพที่แท้จริงของคนพิการเป็นหลัก วัตถุประสงค์ของการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 1. เพื่อให้คนพิการได้รับการจัดการศึกษาให้สอดคล้องความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคลโดยเฉพาะ 2. เพื่อใช้เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ การตรวจสอบความก้าวหน้าทางการเรียนและพัฒนาการ ของผู้เรียน 3. เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง ครู และคณะสหวิชาชีพ มีส่วนร่วมในการวางแผนการจัด การศึกษาให้ผู้เรียนแต่ละคนได้รับพัฒนาเต็มศักยภาพ


9 4. เพื่อให้สถานศึกษาสามารถวางแผนจัดบริการทางการศึกษา ตลอดจนจัดหา สิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาที่สอดคล้องกับความ ต้องการพิเศษของผู้เรียน องค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เป็นแผนให้บริการทางการศึกษาพิเศษ ที่จัดทำเป็นลายลักษณ์ อักษรให้กับผู้เรียนที่มีความบกพร่องเป็นรายบุคคล โดยความร่วมมือของบุคลากรที่เกี่ยวข้องและได้รับความ เห็นชอบจาก บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้เรียน และมีการทบทวนแผนทุกภาคเรียน กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคลระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2552 โดยมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลทั่วไปเป็นข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยชื่อ-สกุล เลขประจำตัว ประชาชน การจดทะเบียนคนพิการ วันเดือนปีเกิด ประเภทความพิการชื่อ-สกุลบิดา-มารดา ชื่อ-สกุล ผู้ปกครองและที่อยู่ของผู้เรียนหรือผู้ปกครองที่ติดต่อได้ 2. ข้อมูลด้านการแพทย์หรือด้านสุขภาพเป็นข้อมูลของผู้เรียนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยและการ รักษา ประกอบด้วย โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา โรคภูมิแพ้ ข้อจำกัดอื่น ๆ และผลการตรวจทาง การแพทย์ต่าง ๆ 3. ข้อมูลด้านการศึกษาเป็นข้อมูลที่ผู้เรียนได้รับหรือไม่ได้รับการศึกษา บริการทางการศึกษา ประกอบด้วย การได้รับการศึกษาหรือบริการทางการศึกษาจาก ศูนย์การศึกษาพิเศษ โรงเรียนเฉพาะความ พิการ โรงเรียนเรียนร่วม การศึกษาด้านอาชีพ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และอื่น ๆ 4. ข้อมูลอื่นๆที่จำเป็น เป็นข้อมูลความสามารถพิเศษ บุคลิกภาพเฉพาะบุคคลหรือข้อมูลบุคคลที่มี ส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนพื้นฐานสถานภาพครอบครัว 5. กำหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพิเศษเป็นข้อมูลของผู้เรียนในการวาง แผนการจัดการศึกษา ประกอบด้วย ระดับความสามารถในปัจจุบัน เป้าหมายระยะเวลา 1 ปี จุดประสงค์ เชิงพฤติกรรม (เป้าหมายระยะสั้น) เกณฑ์และวิธีประเมินผล และผู้รับผิดชอบ 6. ความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อบริการ และความ ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา เป็นการระบุรายการ รหัส สิ่งที่มีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องการ จำนวนเงินที่ขอ อุดหนุน เหตุผลและความจำเป็น และผู้ประเมิน 7. คณะกรรมการจัดทำแผนเป็นการระบุองค์คณะบุคคลในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล ประกอบด้วย ผู้บริหาร บิดา/ผู้ปกครอง ครูประจำชั้น หัวหน้างานวิชาการ สหวิทยาการ 8. ความเห็นของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้เรียนการลงความเห็นขอบในการจัดทำแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคล


10 องค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลทั้ง 8 ข้อ เป็นข้อมูลสำคัญพื้นฐานเพื่อนำไปสู่การ วิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล อันจะนำไปสู่กระบวนการวางแผนอย่างมีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษาให้ สอดคล้องและเหมาะสมตามความต้องการพิเศษของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์จากแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทางด้านการศึกษา ตามศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการพิเศษของแต่ละบุคคล โดยเกิดประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้ ประโยชน์ต่อผู้เรียน 1. ผู้เรียนได้รับการช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟูสมรรถภาพ บริการทางการศึกษา เต็มศักยภาพอย่างเป็น ระบบและเหมาะสมกับความต้องการพิเศษของแต่ละบุคคล 2. ผู้เรียนได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความ ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาตามกฎกระทรวง 3. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดการศึกษา การพัฒนาศักยภาพ การวัดและประเมินผล ตลอดจนการปรับปรุงเป้าหมายในการจัดการศึกษาของตน 4. ผู้เรียนได้รับบริการช่วงเชื่อมต่อ (Transition) ทางการศึกษา และด้านอื่นๆ อย่างเหมาะสม ประโยชน์ต่อครูผู้สอน 1. ครูผู้สอนมีข้อมูลในการวางแผนการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของผู้เรียน 2. ครูผู้สอนรู้ขอบเขตความรับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนของตนเอง 3. ครูผู้สอนมีข้อมูลในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียน 4. ครูผู้สอนวัดและประเมินผลการพัฒนาได้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ 5. ครูผู้สอนสามารถปรับปรุงแผนการจัดการศึกษาให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียน 6. ครูผู้สอนสามารถจัดสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความ ช่วยอื่นใดทางการศึกษาที่เหมาะสมกับผู้เรียน ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง 1. ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดการศึกษาและรับรู้เป้าหมายในการพัฒนาบุตรหลาน 2. ผู้ปกครองสามารถขอรับสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและ ความช่วยอื่นใดทางการศึกษา เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาบุตรหลานที่บ้านได้อย่างต่อเนื่อง 3. ผู้ปกครองมีความรู้ ความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาของบุตรหลานได้อย่างถูกต้อง 4. ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการวัดและประเมินผล การปรับปรุงแผนการจัดการศึกษาให้สอดคล้อง เหมาะสมกับศักยภาพของบุตรหลาน 5. ผู้ปกครองรับทราบความก้าวหน้าและพัฒนาการของบุตรหลาน ซึ่งสามารถนำมาวางแผนพัฒนา คุณภาพชีวิตบุตรหลานได้อย่างมีเป้าหมาย


11 ประโยชน์ต่อสถานศึกษา 1. สถานศึกษามีข้อมูลในการจัดผู้เรียนเข้าศึกษาในรูปแบบ ระบบ และระดับที่เหมาะสม 2. สถานศึกษามีข้อมูลในการวางแผนบริหาร จัดงบประมาณ การพัฒนาหลักสูตร และแนวทางในการ จัดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียน 3. สถานศึกษาสามารถวางแผนจัดบริการทางการศึกษา ตลอดจนจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยอื่นใดทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับความ ต้องการพิเศษของผู้เรียน 4. สถานศึกษามีข้อมูลในการกำหนดทิศทางการจัดการ การประสานความร่วมมือ และการส่งต่อ ผู้เรียนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5. สถานศึกษามีข้อมูลเพื่อใช้ในการปรับปรุง พัฒนา ส่งเสริมการจัดการศึกษาของผู้เรียน ประโยชน์ต่อผู้บริหาร 1. ผู้บริหารมีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดการศึกษา การวัดผล ประเมินผล และการปรับปรุงการจัด การศึกษาให้กับผู้เรียนอย่างเหมาะสม 2. ผู้บริหารมีข้อมูลในการวางแผนบริหารจัดการสถานศึกษาด้านบริหารงานทั่วไป แผนงานและ งบประมาณ วิชาการ และบุคลากร ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน ประโยชน์ต่อคณะสหวิชาชีพ คณะสหวิชาชีพได้ใช้ความรู้ความสามารถด้านวิชาชีพ ในการวิเคราะห์ วางแผน ประเมิน และร่วม พัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ


12 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) เป็นแผนการจัด การศึกษาที่จัดทำขึ้นให้สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของผู้เรียนแต่ละคนโดยเฉพาะ โดยความร่วมมือของ ผู้ปกครอง ผู้สอน และคณะสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดแผนการศึกษาให้ผู้เรียนเป็นลายลักษณ์อักษร ตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาให้เป็นการเฉพาะ บุคคล ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ เมื่อพบว่าผู้เรียนมีปัญหาทางด้านการศึกษา สถานศึกษาควรดำเนินการดังนี้ 1.1 การรวบรวมข้อมูล รวบรวมข้อมูลของผู้เรียนจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสัมภาษณ์ การสอบถาม การสังเกต และเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทำความเข้าใจกับผู้ปกครองเกี่ยวกับสภาพปัญหาและ ร่วมกันหาแนวทางช่วยเหลือผู้เรียน 1.2 การคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา ขออนุญาตผู้ปกครองคัดกรองผู้เรียน โดยใช้แบบคัดกรองคนพิการทางการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการ และอาจใช้แบบคัดกรองของหน่วยงานอื่น ๆ เพิ่มเติมตามความเหมาะสมเพื่อให้ได้ข้อมูล ของผู้เรียนที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น กรณีพบว่าผู้เรียนมีแนวโน้มว่ามีความบกพร่องควรแนะนำให้ผู้ปกครองนำส่งแพทย์ หรือนักวิชาชีพ วินิจฉัยเพิ่มเติม 2. ขั้นการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 2.1 แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๕๒ ประกอบด้วย ผู้บริหาร บิดา มารดา ผู้ปกครอง ครูประจำชั้น หรือหัวหน้างานวิชาการ หรือคณะสหวิชาชีพ ตามความต้องการพิเศษของผู้เรียน ส่วนที่ 2 กระบวนการจัดทำแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคล


13 2.2 การประเมินความสามารถพื้นฐาน (Based Assessment) ประเมินความสามารถพื้นฐานของผู้เรียน(Students) ตามหลักสูตรสถานศึกษาในแต่ละกลุ่มสาระ การเรียนรู้/ทักษะการเรียนรู้เพื่อให้ทราบ - จุดเด่น คือ ความสามารถหรือศักยภาพปัจจุบันที่ผู้เรียนสามารถทำได้ในสาระการเรียนรู้/ทักษะการ เรียนรู้ - จุดด้อย คือ สิ่งที่ผู้เรียนไม่สามารถทำได้ในสาระการเรียนรู้/ทักษะการเรียนรู้ ทั้งนี้ควรประเมินจากสภาพจริงในหลายสถานการณ์ ให้ครอบคลุมถึงบริบทด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งประกอบด้วยสิ่งแวดล้อมด้านบุคคลและสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพที่เอื้อหรือเป็นอุปสรรคใน การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน ด้านกิจกรรม (Tasks) ที่ผู้เรียนปฏิบัติได้หรือไม่ได้ในแต่ละวัน หรือไม่ได้รับการ ส่งเสริมในการทำกิจกรรม กิจกรรมนั้นเหมาะสมกับผู้เรียนหรือไม่ และด้านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา(Tools) ที่ผู้เรียนได้รับหรือยังไม่ได้รับก่อนการจัดทำ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และนำข้อมูลมาวิเคราะห์จัดทำแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคลตามความต้องการพิเศษของแต่ละบุคคล กรณีสถานศึกษาประเมินความสามารถพื้นฐานแล้ว พบว่าผู้เรียนมีความพร้อมในทุกสาระ การเรียนรู้/ทักษะการเรียนรู้ ให้ดำเนินการเข้าสู่กระบวนการช่วงเชื่อมต่อ (Transition) 2.3 การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) คณะกรรมการนำข้อมูลจากการประเมินความสามารถพื้นฐาน มาจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล ตามองค์ประกอบที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2552 ในการกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาและ การวางแผนการจัดการศึกษาพิเศษ ตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลือ อื่นใดทางการศึกษา ตามความต้องการพิเศษของผู้เรียน ให้คำนึงถึงบริบทด้านผู้เรียน (Students) ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ด้านกิจกรรม (Tasks) และด้านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา (Tools) ด้วย 3. ขั้นการนำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลไปใช้ 3.1 การจัดทำแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan :IIP) ครูผู้สอนวิเคราะห์จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม(เป้าหมายระยะสั้น) ที่กำหนดในแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล มาดำเนินการออกแบบแผนการสอนเฉพาะบุคคลตามองค์ประกอบ ให้เหมาะสมกับความ ต้องการพิเศษของผู้เรียนแต่ละคน โดยการวิเคราะห์งานหรือกิจกรรมจากกิจกรรมที่ง่ายไปสู่กิจกรรมที่ยากขึ้น หรือจากกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมไปสู่กิจกรรมที่เป็นนามธรรม ตามลำดับ เป็นต้น


14 3.2 การนำแผนการสอนเฉพาะบุคคลไปใช้ ครูผู้สอนนำแผนการสอนเฉพาะบุคคลไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอน พร้อมทั้งบันทึกหลังสอนและ ประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละครั้ง 4. ขั้นการประเมินผลตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล คณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลประชุมเพื่อประเมิน ทบทวน และปรับแผน พร้อมจัดทำรายงานผลการเรียนรู้อย่างน้อยปีการศึกษาละ ๒ ครั้ง โดยประเมินตามขั้นตอนดังนี้ 4.1 การประเมินผลตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล การประเมินตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล(Individual Implementation Plan : IIP) คือ การ ประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการประเมินเพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการตามที่ระบุไว้ ในแผนการสอนเฉพาะบุคคลฉบับนั้นหรือไม่ โดยประเมินตามวิธีการ เครื่องมือ และเกณฑ์การประเมินที่ระบุไว้ ในแผนการสอนเฉพาะบุคคล แต่เนื่องจากแผนการสอนเฉพาะบุคคลหนึ่งฉบับอาจจะต้องนำมาใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนหลายครั้ง จึงต้องมีการประเมินผลการเรียนรู้แต่ละครั้ง เพื่อตัดสินสรุปผลการ ประเมิน ว่าผู้เรียนผ่านหรือไม่ผ่านแผนการสอนเฉพาะบุคคลฉบับนั้น ตามแบบบันทึกหลังการสอนของ แผนการสอนเฉพาะบุคคล 4.2 การประเมินจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม(เป้าหมายระยะสั้น) การประเมินจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ทำได้โดยประมวลผลการผ่านแผนการสอนเฉพาะบุคคลและ นำมาเทียบกับเกณฑ์การผ่านจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 4.3 การประเมินเป้าหมายระยะยาว 1 ปี การประเมินเป้าหมายระยะยาว 1 ปี ทำได้โดยประมวลผลการผ่านจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และ นำมาเทียบเกณฑ์การผ่านเป้าหมายระยะยาว 1 ปีที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 4.4 การประเมินแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การประเมินแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ทำได้โดยประมวลผลการผ่านเป้าหมายระยะยาว 1 ปี และนำมาเทียบเกณฑ์การผ่านตามที่สถานศึกษากำหนด 4.5 การตัดสินระดับผลการเรียนรู้ การตัดสินระดับผลการเรียนรู้ทำได้โดย นำผลการประเมินแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้/ทักษะการ เรียนรู้ ที่กำหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลมาเทียบเคียงกับระดับผลการเรียน ตามที่สถานศึกษา กำหนด ในกรณีที่ผู้เรียนมีพัฒนาการ หรือการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ สามารถทบทวน และปรับ แผนการสอนเฉพาะบุคคล จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เป้าหมายระยะยาว 1 ปีให้เหมาะสม เพื่อให้บรรลุตาม แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หากผู้เรียนมีพัฒนาการ หรือการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ สามารถ ทบทวน และปรับแผนการสอนเฉพาะบุคคล จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เป้าหมายระยะยาว 1 ปีให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ


15 5. ขั้นการสรุปและรายงานผล การสรุปและรายงานผลการจัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลนั้น สถานศึกษาต้องรายงานผลความก้าวหน้าของผู้เรียนตามแบบรายงานผลการพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้ผู้ปกครอง ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างน้อยปีการศึกษาละ 2 ครั้ง 6. ขั้นการเชื่อมต่อ (Transition) การเชื่อมต่อผู้เรียนที่จบการศึกษาแต่ละระดับชั้น หรือย้ายสถานศึกษา ให้สถานศึกษานำส่งแผนการ จัดการศึกษาเฉพาะบุคคล รายงานผลการพัฒนาผู้เรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาต่อไป หากผู้เรียนต้องการรับบริการด้านอื่น เช่น ด้านอาชีพ ด้านการแพทย์ ด้านสังคม เป็นต้น ให้ สถานศึกษานำส่งแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล รายงานผลการพัฒนาผู้เรียน เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานให้กับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้สถานศึกษาพิจารณาดำเนินการจัดทำแผนการให้บริการช่วงเชื่อมต่อตามความ ต้องการพิเศษของผู้เรียนเป็นรายบุคคล จากขั้นตอนในการดำเนินการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุป เป็นแผนภาพการดำเนินการได้ดังนี้


16 แผนภาพแสดงกระบวนการจัดทำแผนการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล


17 อย่างไรก็ตามวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล สำหรับสถานศึกษาอาจมีความแตกต่าง กัน เนื่องจากความแตกต่างในส่วนของเนื้อหาตามโครงสร้างของหลักสูตรที่สถานศึกษาใช้ ดังนั้นวิธีการจัดทำ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แผนการสอนเฉพาะบุคคล รวมไปถึงการวัดและประเมินผลตามแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคลในสถานศึกษาประเภทต่างๆ จะมีความแตกต่างกันไป ซึ่งจะนำเสนอในบทต่อไป


18 การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ให้ศูนย์การศึกษาพิเศษ สถานศึกษาเฉพาะความพิการ สถานศึกษาที่จัดการเรียนร่วม ดำเนินการจัดทำการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ตามประกาศ กระทรวงเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2552 โดยมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลทั่วไปเป็นข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยชื่อ-สกุล เลขประจำตัว ประชาชน การจดทะเบียนคนพิการ วันเดือนปีเกิด ประเภทความพิการชื่อ-สกุลบิดา-มารดา ชื่อ-สกุล ผู้ปกครองและที่อยู่ของผู้เรียนหรือผู้ปกครองที่ติดต่อได้ 2. ข้อมูลด้านการแพทย์หรือด้านสุขภาพเป็นข้อมูลของผู้เรียนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยและการ รักษา ประกอบด้วย โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา โรคภูมิแพ้ ข้อจำกัดอื่น ๆ และผลการตรวจทาง การแพทย์ต่าง ๆ 3. ข้อมูลด้านการศึกษาเป็นข้อมูลที่ผู้เรียนได้รับหรือไม่ได้รับการศึกษา บริการทางการศึกษา ประกอบด้วย การได้รับการศึกษาหรือบริการทางการศึกษาจาก ศูนย์การศึกษาพิเศษ โรงเรียนเฉพาะความ พิการ โรงเรียนเรียนร่วม การศึกษาด้านอาชีพ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และอื่น ๆ 4. ข้อมูลอื่นๆที่จำเป็น เป็นข้อมูลความสามารถพิเศษ บุคลิกภาพเฉพาะบุคคลหรือข้อมูลบุคคลที่มี ส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนพื้นฐานสถานภาพครอบครัว 5. กำหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพิเศษเป็นข้อมูลของผู้เรียนในการวาง แผนการจัดการศึกษา ประกอบด้วย ระดับความสามารถในปัจจุบัน เป้าหมายระยะเวลา 1 ปี จุดประสงค์ เชิงพฤติกรรม (เป้าหมายระยะสั้น) เกณฑ์และวิธีประเมินผล และผู้รับผิดชอบ 6. ความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อบริการ และความ ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา เป็นการระบุรายการ รหัส สิ่งที่มีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องการ จำนวนเงินที่ขอ อุดหนุน เหตุผลและความจำเป็น และผู้ประเมิน 7. คณะกรรมการจัดทำแผนเป็นการระบุองค์คณะบุคคลในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล ประกอบด้วย ผู้บริหาร บิดา มารดา ผู้ปกครอง ครูประจำชั้น หัวหน้างานวิชาการ คณะสหวิชาชีพ 8. ความเห็นของบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้เรียน เป็นการลงความเห็นชอบในการจัดทำแผนการ จัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ส่วนที่ 3 วิธีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล


19


20 การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) สำหรับโรงเรียนเรียนร่วม คำชี้แจงในการกรอกข้อมูลและรายละเอียดของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล คำอธิบาย ชื่อสถานศึกษา ให้ระบุชื่อสถานศึกษาที่ผู้เรียนมีชื่อในทะเบียนนักเรียนและกำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบันเช่น กรณีที่ ๑ ด.ญ.มินตรา สีฟ้า มีชื่อเรียนที่ในทะเบียนนักเรียนโรงเรียนบ้านริมน้ำน่าน ให้ระบุชื่อ สถานศึกษาเป็น โรงเรียนบ้านสีชา ชื่อสถานศึกษาโรงเรียนบ้านสีชา ระดับชั้น.........……….....สังกัด ..........…….......................... กรณีที่ ๒ ด.ญ.มินตรา สีฟ้า เรียนที่โรงเรียนบ้านสีชา และมารับบริการเสริมบางครั้งที่ศูนย์การศึกษา พิเศษ หรือสถานศึกษาอื่น ให้ระบุเป็นโรงเรียนบ้านบ้านสีชา ชื่อสถานศึกษาโรงเรียนบ้านบ้านสีชา ระดับชั้น.........……….....สังกัด ..........…….......................... ระดับชั้น ให้ระบุระดับชั้นที่ผู้เรียนกำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษาปัจจุบัน เช่น อนุบาล๑ , ป.๑ ป.๓ เป็นต้น ชื่อสถานศึกษา โรงเรียนบ้านบ้านสีชา ระดับชั้น ป. ๓ สังกัด ..........…….......................... สังกัด ให้ระบุชื่อหน่วยงานต้นสังกัด เช่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรีเขต 3 ชื่อสถานศึกษาโรงเรียนบ้านบ้านสีชา ระดับชั้นป.๓ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ชลบุรีเขต 3 เริ่มใช้แผนวันที่ ให้ระบุวัน เดือน ปีตั้งแต่วันที่ผู้ปกครองลงนามเห็นด้วย เช่น ผู้ปกครองลง นามเห็นด้วยวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2556 สามารถระบุวันเริ่มใช้แผนตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2556 เป็นต้นไป สิ้นสุดแผนวันที่ - ให้ระบุวัน เดือน ปีที่สิ้นปีการศึกษา คือวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. ............... เริ่มใช้แผนวันที่16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 สิ้นสุดแผนวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 (ประเด็นเสนอ 10 มิ.ย. ภาคการศึกษาเป็นกรอบการเสนอ) ชื่อสถานศึกษา....................………................ระดับชั้น.........……….....สังกัด ..........…….......................... เริ่มใช้แผนวันที่...........................………........สิ้นสุดแผนวันที่....................................…………….......


21 ตัวอย่าง 1. ข้อมูลทั่วไป ชื่อ – ชื่อสกุล เพศ ชาย หญิง เลขประจำตัวประชาชน - - - - การจดทะเบียนคนพิการ ไม่จด ยังไม่จด จดแล้ว วัน/เดือน/ปีเกิด..................................................อายุ......... ปี......... เดือน ศาสนา.....………………….... ประเภทความพิการ................................………….....ลักษณะความพิการ.........................……................ ชื่อสกุลบิดา............................................................................……………………………………..……………….. ชื่อสกุลมารดา..........................………………………………………………………………………………………………… ชื่อ-ชื่อสกุลผู้ปกครอง.........…………………..….…..อายุ.......……....ปี เกี่ยวข้องเป็น........................……..... ที่อยู่ผู้ปกครองที่ติดต่อได้บ้านเลขที่..............ตรอก/ซอย...............หมู่ที่..........ชื่อหมู่บ้าน......…………… ตำบล/แขวง...........…………………….........อำเภอ/เขต................………….................จังหวัด.............…….. รหัสไปรษณีย์.....……………………….....……..โทรศัพท์............………………………………………………….......... โทรศัพท์เคลื่อนที่..........…………...โทรสาร...……………….............e-mail address........…….…………… คำอธิบาย 1. ข้อมูลทั่วไป ชื่อ-ชื่อสกุล ให้ระบุคำนำหน้าชื่อ (ด.ช. ด.ญ. นาย นางสาว)พร้อมทั้งชื่อ และ ชื่อสกุลของผู้เรียน ชื่อ-ชื่อสกุล ให้ระบุคำนำหน้าชื่อ (ด.ช. ด.ญ. นาย นางสาว)พร้อมทั้งชื่อ และ ชื่อสกุลของผู้เรียน เพศ ให้ใส่เครื่องหมาย ✓ในช่อง ให้ตรงกับเพศของผู้เรียน เลขประจำตัวประชาชน ให้ระบุเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลักทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัว ประชาชน การจดทะเบียนคนพิการ ให้ใส่เครื่องหมาย ✓ ในช่องสี่เหลี่ยมหน้าข้อความที่ตรงกับความเป็นจริง ไม่จด หมายถึง ผู้ปกครองหรือผู้เรียนไม่ประสงค์จะจดทะเบียนคนพิการ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized Education Program : IEP ) ชื่อสถานศึกษา โรงเรียนบ้านสีชา ระดับชั้น ป. 3 สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 เริ่มใช้แผนวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 สิ้นสุดแผนวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2557


22 ยังไม่จด หมายถึง ยังไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนคนพิการหรือกำลังดำเนินการ จดแล้วหมายถึงผู้เรียนจดทะเบียนคนพิการเรียบร้อยและมีสมุดทะเบียนคนพิการหรือบัตรประจำตัวคนพิการ วัน เดือน ปี เกิด ให้ระบุวัน เดือน ปีเกิด ของผู้เรียนโดยเขียนชื่อเต็มของเดือนและ พ.ศ. เช่น 1 มิถุนายน 2556 อายุ... ปี... เดือนให้ระบุอายุเต็มปีและเต็มเดือน เช่น 9 ปี 11 เดือน (นับถึงวันที่คณะกรรมการ จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลลงนาม) ศาสนา ให้ระบุชื่อศาสนาที่ผู้เรียนนับถือตามหลักฐานในทะเบียนบ้านผู้เรียน เช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นต้น ประเภทความพิการ ให้ระบุประเภทของความพิการตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ ๙ ประเภท คือบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น บุคคลที่มีความบกพร่องการได้ยิน บุคคลที่มีความบกพร่องสติปัญญา บุคคลที่มีบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ บุคคลที่ มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาบุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์ บุคคลออทิสติก หรือ บุคคลพิการซ้อน ลักษณะความพิการ ให้ระบุรายละเอียดลักษณะของความพิการที่ปรากฏชัดเจน เช่น 1. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ลักษณะความพิการ สายตาเลือนราง 2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ลักษณะความพิการ หูหนวก 3. บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ลักษณะความพิการ ดาวน์ซินโดรม 4. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ ลักษณะความพิการ เช่น แขนขาเกร็ง 5. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ลักษณะความพิการ มีความบกพร่องด้านการอ่าน ด้าน การเขียน ด้านการคิดคำนวณ 6. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ลักษณะความพิการ พูดติดอ่าง 7. บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ลักษณะความพิการ สมาธิสั้น 8. บุคคลออทิสติก ลักษณะความพิการ เช่น มีพฤติกรรมซ้ำๆ กระตุ้นตัวเอง ไม่พูดหรือพูดภาษาที่ ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ ไม่สนใจสังคม 9. บุคคลพิการซ้อน ลักษณะความพิการ เช่น หูหนวก ตาบอด ชื่อ-ชื่อสกุลบิดา ให้ระบุชื่อและชื่อสกุลของบิดาตามทะเบียนบ้าน ชื่อ-ชื่อสกุลมารดา ให้ระบุชื่อและชื่อสกุลของมารดาตามทะเบียนบ้าน ชื่อ-ชื่อสกุลผู้ปกครอง ให้ระบุชื่อและชื่อสกุลของผู้ดูแลผู้เรียนในปัจจุบัน เกี่ยวข้องเป็น ให้ระบุความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้เรียน เช่น ปู่ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา หรือ ผู้อุปการะ เป็นต้น ที่อยู่ผู้ปกครองที่ติดต่อได้ บ้านเลขที่ ............ ตรอก/ซอย ......................... หมู่ที่ ....................... ชื่อหมู่บ้าน ...............................ตำบล/แขวง................................อำเภอ/เขต.......................


23 จังหวัด......................................................รหัสไปรษณีย์ ....................................................... โทรศัพท์....................................................โทรศัพท์เคลื่อนที่ .............................................. โทรสาร ...................................................E-mail address................................................. ระบุที่อยู่ปัจจุบันของผู้ปกครองซึ่งสามารถติดต่อได้ รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรสาร และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) 2. ข้อมูลด้านการแพทย์ หรือ ด้านสุขภาพ โรคประจำตัว (ระบุ) ...............….......................................................................... ประวัติการแพ้ยา (ระบุ) ................….................................................................. โรคภูมิแพ้(ระบุ) .....................……................................................................... ข้อจำกัดอื่นๆ (ระบุ) ............................…........................................................... ผลการตรวจทางการแพทย์ (ระบุ) ..................................................................... คำอธิบาย ข้อมูลด้านการแพทย์ หรือ ด้านสุขภาพ ให้ใส่เครื่องหมาย ลงใน และระบุรายละเอียดด้าน การแพทย์ หรือด้านสุขภาพของผู้เรียน 3. ข้อมูลด้านการศึกษา ไม่เคยได้รับการศึกษา/บริการทางการศึกษา เคยได้รับการศึกษา/บริการทางการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ...............…........................ระดับ.............. พ.ศ. .............. โรงเรียนเฉพาะความพิการ ...........….................ระดับ.............. พ.ศ. .............. โรงเรียนเรียนร่วม .....................…….................ระดับ.............. พ.ศ. ............. การศึกษาด้านอาชีพ............................................ระดับ.............. พ.ศ. .............. การศึกษานอกระบบ................................….........ระดับ.............. พ.ศ. .............. การศึกษาตามอัธยาศัย........................................ระดับ.............. พ.ศ. .............. อื่นๆ....................................................…………....ระดับ.............. พ.ศ. .............. คำอธิบาย ไม่เคยได้รับการศึกษา / บริการทางการศึกษา หมายความว่า ไม่เคยได้รับการศึกษาในสถานศึกษา และไม่เคยได้รับบริการทางการศึกษาใด ๆ


24 เคยได้รับการศึกษา / บริการทางการศึกษา หมายความว่า เคยได้รับการศึกษาในสถานศึกษาหรือ บริการทางการศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง ทั้งนี้ให้ระบุรายละเอียดโดยใส่เครื่องหมาย ลงใน ข้อความ ที่ตรงตามความเป็นจริงและกรอกข้อมูลในช่องว่าง โดยให้ระบุชื่อสถานศึกษา ระดับชั้น และ พ.ศ. ให้ ระบุปีการศึกษาสุดท้ายที่ได้รับการศึกษา 4. ข้อมูลอื่นๆที่จำเป็น ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ คำอธิบาย ข้อมูลอื่นๆที่จำเป็น ให้ระบุข้อมูลอื่นๆที่จำเป็นต่อการจัดการศึกษาที่เป็นข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่อ การเรียนการสอน ส่วนที่จะสนับสนุนส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียน และข้อมูลการเชื่อมต่อทางการศึกษา (Transition) ข้อจำกัดหรืออุปสรรค เช่น แพ้อาหารทะเล แพ้แสง กลัวเสียงดัง ฐานะยากจน พ่อแม่หย่าร้าง ข้อจำกัดทางภาษา การใช้ภาษาถิ่น ติดเกม เป็นต้น ส่วนที่เป็นส่วนสนับสนุนส่งเสริมศักยภาพ เช่น มีความสามารถทางศิลปะ ดนตรี คอมพิวเตอร์ ภาษา เป็นต้น 5. การกำหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพิเศษ ระดับความสามารถ ในปัจจุบัน เป้าหมายระยะ เวลา 1 ปี จุดประสงค์เชิง พฤติกรรม (เป้าหมายระยะสั้น) เกณฑ์และวิธี ประเมินผล ผู้รับผิดชอบ คำอธิบาย ▪ หมายถึง การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลผู้เรียนโดยพิจารณาจากระดับ ความสามารถ ในปัจจุบันซึ่งประเมินโดยสหวิชาชีพ/นักวิชาชีพ หรือ ผู้ชํานาญในแต่ระดับ เพื่อกำหนด เป้าหมายในการจัด การศึกษาระยะเวลา 1 ปี พร้อมทั้งกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ของเป้าหมายแต่ ละด้าน รวมทั้งกำหนด เกณฑ์และวิธีการประเมินผลของแต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้


25 ▪ ระดับความสามารถในปัจจุบัน ให้ระบุจุดเด่นและจุดที่ต้องพัฒนา (จุดด้อย) ตามระดับ ศักยภาพ ปัจจุบันของผู้เรียน จุดเด่น คือ ระบุความสามารถหรือศักยภาพปัจจุบันที่เด็กสามารถทำได้ในสาระ/มาตรฐาน การ เรียนรู้/ตัวชี้วัดชั้นปีตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ หรือทักษะตามหลักสูตร จุดด้อย คือ สิ่งที่ผู้เรียนทำไม่ได้ในสาระ/มาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัดชั้นปีตามกลุ่มสาระการ เรียนรู้ ต่างๆ หรือทักษะตามหลักสูตร ▪ เป้าหมายระยะเวลา 1 ปี ให้กำหนดเป้าหมายสิ่งที่ผู้เรียนควรได้รับการพัฒนาในสาระ/ มาตรฐาน การเรียนรู้/ตัวชี้วัดชั้นปีตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ หรือทักษะตามหลักสูตร จากสิ่งที่ ผู้เรียนทำไม่ได้ องค์ประกอบสำคัญในการเขียนเป้าหมายระยะเวลา 1 ปี 1. เมื่อไร 2. ใคร(ผู้เรียน) 3. ทำอะไร ▪ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (เป้าหมายระยะสั้น) ให้กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จากเป้าหมาย ระยะยาว 1 ปีโดยวิเคราะห์รายละเอียดแตกเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมย่อย ๆ ที่สอดคล้องกับศักยภาพของ ผู้เรียนและสาระการเรียนรู้ การเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ดีควรประกอบด้วย 1. สถานการณ์หรือเงื่อนไข (กำหนดสภาพสถานการณ์ที่จะสอนเด็กอย่างไร) 2. ใคร(ผู้เรียน) 3. ทำอะไร/ เรียนรู้อะไร (พฤติกรรมที่สามารถสังเกตและวัดได้) 4. เกณฑ์ของความสำเร็จ (เกณฑ์กำหนดที่ผู้เรียนจะผ่านจุดประสงค์นั้นๆ) 5. เมื่อไร (วัน เดือน ปีที่ผู้เรียนจะผ่านเกณฑ์ที่กำหนด) ▪ เกณฑ์และวิธีประเมินผล กำหนดวิธีการ/เครื่องมือการประเมินและเกณฑ์การผ่านลงในช่อง โดย เกณฑ์การผ่าน แต่ละจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมต้องสอดคล้องกับข้อกําหนดในการผ่าน ตัวชี้วัดของสถานศึกษา แต่ละแห่ง ▪ เกณฑ์การผ่านของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ปฏิบัติตามแนวทางการวัดและประเมินผล ตามหลักสูตรสถานศึกษา ▪ ผู้รับผิดชอบ ระบุชื่อครูผู้สอนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้/ทักษะ/วิชา


26 6. ความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และ ความ ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ที่ รายการ รหัส สิ่งที่มีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องการ จำนวน เงิน ที่ขอ อุดหนุน เหตุผล และ ความ จำเป็น ผู้ประเมิน ผู้จัดหา วิธีการ ผู้จัดหา วิธีการ (1) (2) (3) (1) (2) (3) (1) (2) (3) (1) (2) (3) รวมรายการ ที่ ขอรับการ อุดหนุน …………………………………………………………………………………………………………………………………………..รายการ รวมจำนวน เงิน ที่ขอรับ การ อุดหนุน …………………………………………………………………………(บาท) (………………………………………………………………..) หมายเหตุ ผู้จัดหา (1) ผู้ปกครอง (2) สถานศึกษา (3) สถานพยาบาล/อื่นๆ วิธีการ (1) ขอรับเงินอุดหนุน (2) ขอยืม (3) ขอยืมเงิน คำอธิบาย ความต้องการด้านสิ่งอํานวยความสะดวก เทคโนโลยีอํานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความ ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา หมายถึง การระบุรายการและรหัสของสิ่งอํานวยความ สะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตามบัญชี ก ข และ ค ที่เคยได้รับ และที่ ต้องการขอรับ โดยระบุ แหล่งที่มา จำนวนเงินที่ขออุดหนุน เหตุผลความจําเป็น และผู้ประเมินความ ต้องการของผู้รับบริการ ▪ ที่ ให้กรอกตัวเลขแสดงลำดับที่ ▪ รายการ ให้กรอกชื่อสิ่งอํานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใด ทางการศึกษา ตามบัญชี ก ข และ ค ที่ต้องการขอรับบริการ เรียงตามความ จําเป็นและความต้องการ ตามลำดับจากมากไป หาน้อย เช่น ถาดไม้ตัวเลข ▪ รหัส ให้กรอกตัวเลขและตัวอักษรของรายการที่ต้องการที่กรอกไว้ในช่องรายการ ตามที่กำหนดไว้ใน บัญชี...เช่น BE 1602 ▪ สิ่งที่มีอยู่แล้ว/แหล่งที่มา ให้พิจารณารายการตามที่ระบุไว้ว่าสิ่งที่ได้รับบริการอยู่แล้วนั้น ใครเป็นผู้ จัดหาและได้มาด้วยวิธีการใด แล้วใส่เครื่องหมาย” ลงในช่องให้ตรงตามหมายเลขที่ ปรากฏในหมายเหตุใต้ ตาราง


27 ▪ สิ่งที่ต้องการ/แหล่งที่มา ให้พิจารณารายการตามที่ระบุไว้ว่าสิ่งที่ต้องการรับบริการ นั้น ใคร เป็นผู้ จัดหาและได้มาด้วยวิธีการใด แล้วใส่เครื่องหมาย ลงในช่องให้ตรงตามหมายเลขที่ ปรากฏในหมายเหตุใต้ ตาราง ในกรณีต้องการขอสื่อหรือบริการให้ระบุในช่อง สิ่งที่ต้องการ / แหล่งที่มาผู้จัดหา ให้ใส่เครื่องหมาย ใน ช่อง (2) วิธีการให้ใส่เครื่องหมาย” ในช่อง (1) ▪ จำนวนเงินที่ขออุดหนุน ให้กรอกตัวเลขจำนวนเงินของรายการข้างต้น ตามที่กำหนดไว้ในบัญชี ▪ เหตุผลและความจําเป็น ให้กรอกเหตุผลและความจําเป็นที่ขอรับบริการตามรายการข้างต้น เช่น รายการ ถาดไม้ตัวเลข เหตุผลและความจําเป็นเพื่อฝึก พัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ การรู้จัก ตัวเลข ฝึกสมาธิ เป็นต้น ▪ ผู้ประเมิน ให้กรอกชื่อและตำแหน่งทางวิชาชีพของผู้ประเมินความต้องการตามรายการที่ ขอรับ บริการข้างต้น เช่น นางใจดี เมตตา ครูประจำชั้น หรือครู ประจำวิชา ▪ รวมรายการที่ขอรับบริการ ให้รวมจำนวนรายการที่ขอรับบริการ แล้วกรอกตัวเลข ▪ รวมจำนวนเงินที่ขอรับการอุดหนุน ให้รวมจำนวนเงินที่ระบุไว้ในช่องจำนวนเงินที่ขออุดหนุน แล้ว กรอกตัวเลข 7. คณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ชื่อ ตำแหน่ง ลายมือชื่อ 7.1 ………………………………... ผู้บริหารสถานศึกษา/ผู้แทน ………………… 7.2 ………………………….……… บิดา หรือมารดา หรือผู้ปกครอง ………………… หรือผู้ดูแลคนพิการ 7.3 …………………………..….… ครูประจำชั้นหรือครูแนะแนวหรือ ………………… อาจารย์ที่ปรึกษาหรือครูการศึกษา พิเศษ หรือครูที่รับผิดชอบ งานด้านการศึกษาพิเศษที่ผู้บริหาร สถานศึกษามอบหมาย 7.4 ………………………………… .…………………. ………………… 7.5 …………………………………… ………………… ………………… ประชุมวันที่ ………… เดือน …………………พ.ศ. …………….


28 คณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หมายถึง กลุ่มบุคคลที่สถานศึกษาแต่งตั้งให้ เป็นคณะกรรมการในการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยมีคณะกรรมการจำนวนไม่น้อยกว่า ๓ คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้แทน บิดา มารดาหรือผู้ปกครอง ครูประจำชั้นหรืออาจารย์ที่ ปรึกษา และผู้เกี่ยวข้องหรือนักวิชาชีพ รวมถึงผู้เรียน ▪ ชื่อ ให้ระบุชื่อและชื่อสกุลของคณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ▪ ตำแหน่ง ให้ระบุตำแหน่งของคณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียน บิดา มารดา ผู้ปกครอง ผู้ดูแลคนพิการ ครูประจำชั้น ครูแนะแนว ครูที่ปรึกษา ครู การศึกษาพิเศษ ครูที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษาพิเศษที่ผู้บริหารสถานศึกษามอบหมาย เป็นต้น ▪ ลายมือชื่อ ให้คณะกรรมการ ฯ ลงนาม หลังจากที่จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เรียบร้อยแล้ว ▪ ประชุมวันที่ ให้ระบุวัน เดือน ปี ที่คณะกรรมการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล ร่วมประชุม เห็นชอบ และลงลายมือชื่อในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 8. ความเห็นของบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้เรียน การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ฉบับนี้ ข้าพเจ้า เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ลงชื่อ...................................................................... (....................................................................) บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้เรียน วันที่............เดือน.............................พ.ศ....................... คำอธิบาย ▪ ให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง พิจารณาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลและ ใส่เครื่องหมาย ลงในช่องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พร้อมทั้งลงลายมือชื่อ และระบุวันที่ เดือน ปีที่ลง ลายมือชื่อ


29 วิธีการจัดทำแผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan : IIP) ชื่อ-สกุล ................................................ระดับชั้น ..........ประเภทความพิการ..................................................... ภาคเรียนที่.........................ปีการศึกษา................................ ผู้รับผิดชอบ......................................................... สาระการเรียนรู้…………....................................สาระที่……….…….. เรื่อง ...................................................... เป้าหมายระยะยาว 1 ปี ................................................................................................................................... จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม(เป้าหมายระยะสั้น) .................................................................................................. เกณฑ์และวิธีประเมินผล...................................................................................................................................... แผนที่...... วันที่ใช้แผน.............................................ถึง ....................................................เวลา.....................นาที ชื่อ-สกุล ให้ระบุคำนำหน้าชื่อ (ด.ช. ด.ญ. นาย นางสาว นาง) พร้อมทั้งชื่อ และชื่อสกุลของ ผู้เรียน ระดับชั้น ให้ระบุระดับชั้นที่ผู้เรียนกำลังศึกษา ประเภทความพิการ ให้ระบุประเภทของความพิการ จำแนกความพิการทางการศึกษาที่ กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ ๙ ประเภท ภาคเรียนที่และ ปีการศึกษา ให้ระบุภาคเรียนและปีการศึกษาที่จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคลและแผนการสอนเฉพาะบุคคลและนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้รับผิดชอบ ให้ระบุชื่อ-นามสกุล ผู้สอนที่รับผิดชอบจัดการเรียนการสอนตามทักษะ/ สาระการ เรียนรู้/วิชานั้นๆ สาระการเรียนรู้ ให้ระบุชื่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ หรือทักษะตามหลักสูตร(ตามที่ระบุไว้ใน แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล) สาระที่ ให้ระบุ ชื่อ สาระในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เป็นจุดด้อยของผู้เรียนที่ต้องได้รับการพัฒนา เรื่อง ให้ระบุชื่อเรื่อง/ ชื่อเนื้อหา /ชื่อกิจกรรมที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เป้าหมายระยะยาว 1 ปี ให้ระบุเป้าหมายระยะยาวตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP)ที่นำมาจัดทำแผนการสอนเฉพาะบุคคล( Individual Implementation Plan : IIP) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม(เป้าหมายระยะสั้น) ให้ระบุลำดับข้อและเนื้อความของจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล(IEP) ในข้อที่นำมาจัดทำแผนการสอนเฉพาะบุคคล(IIP)


30 เกณฑ์และวิธีประเมินผล ให้ระบุเกณฑ์และวิธีประเมินผลของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมตามแผนการ จัดการศึกษาเฉพาะบุคคล(IEP) ในข้อที่นำมาจัดทำแผนการสอนเฉพาะบุคคล(IIP) แผนที่ ให้ระบุลำดับที่ของแผนการสอนเฉพาะบุคคลตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม วันที่ใช้แผน ให้ระบุวันที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการสอนเฉพาะบุคคลนั้น เวลา ให้ระบุเวลาที่ใช้สอน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ ………………………………………………………………………………………………. คำอธิบาย ▪ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ ให้ระบุลำดับที่และเนื้อความของจุดประสงค์ย่อยที่วิเคราะห์มา จาก จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื้อหา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. คำอธิบาย ▪ เนื้อหา ให้ระบุเนื้อหาตามเรื่องที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ชัดเจน กิจกรรมการเรียนการสอน ขั้นนำ ................................................................................................................................................. ขั้นสอน .............................................................................................................................................. ขั้นสรุป............................................................................................................................................... คำอธิบาย ▪ กิจกรรมการเรียนการสอน ให้ระบุกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนสอนแต่ละขั้นตอนตาม เนื้อหา นั้น ๆ ซึ่งประกอบด้วย ขั้นนํา ขั้นสอน และขั้นสรุป


31 สื่อ/อุปกรณ์/สิ่งอำนวยความสะดวก/เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก/บริการ …………………………………………………………………………………………………..…………………………………………. คำอธิบาย ▪ สื่อ /อุปกรณ์ สิ่งอํานวยความสะดวก/ เทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวก/บริการ ให้ระบุ สื่อ / อุปกรณ์ สิ่งอํานวยความสะดวก/ เทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวก/บริการที่ ผู้สอนใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน การวัดและประเมินผล วิธีการ ................................................................................................................................................. เครื่องมือ ............................................................................................................................................ เกณฑ์การผ่าน..................................................................................................................................... คำอธิบาย ▪ การวัดและประเมินผล ให้ระบุรายละเอียดการวัดและประเมินผลผู้เรียนตามแผนการสอน เฉพาะ บุคคล ซึ่งประกอบด้วย - วิธีการ ให้ระบุวิธีการที่ผู้สอนใช้ในการวัดและประเมินผล เช่น สังเกต ทดสอบ เป็น ต้น - เครื่องมือ ให้ระบุเครื่องมือที่ผู้สอนใช้ในการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับวิธีการวัดและ ประเมินผล เช่น แบบสังเกตพฤติกรรม แบบทดสอบ เป็นต้น - เกณฑ์ ให้ระบุเกณฑ์การวัดและประเมินผลที่ผู้สอนใช้ในการ วัดและประเมินผล การเสริมแรง …………………………………………………………………………………………………..…………………………………………. คำอธิบาย ▪ การเสริมแรง ให้ระบุรายการหรือรายละเอียดที่ใช้ในการเสริมแรง เช่น คําชม การสัมผัส การปรบมือ การให้รางวัล เป็นต้น


32 ความคิดเห็นของผู้บริหารหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชื่อ........................................................... (........................................................) ตำแหน่ง...................................................... ............/................/.............. คำอธิบาย ▪ ความคิดเห็นของผู้บริหารหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย หลังจากการออกแบบแผนการสอน เฉพาะบุคคล แล้วให้ครูผู้รับผิดชอบนําแผนการสอนเสนอผู้บริหารหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ให้ลงความ เกี่ยวกับแผนการสอน ฉบับนี้ แล้วจึงให้ครูผู้รับผิดชอบนําไปจัดการเรียนการสอนได้ บันทึกหลังสอน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชื่อ........................................................... (........................................................) ครูผู้สอน คำอธิบาย ▪ บันทึกหลังการสอน ให้บันทึกผลหลังการสอนตลอดจนปัญหา อุปสรรค ของผู้เรียนที่เกิดขึ้น ขณะ ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล และข้อเสนอแนะ โดยผู้รับผิดชอบอาจจัดทำ รูปแบบการบันทึกให้สะดวกกับการบันทึกได้


33 ส่วนที่ 4 การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา ความสำคัญของการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิคนพิการ โดยได้กำหนดในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ไว้หลายฉบับ สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับคนพิการ บัญญัติไว้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และ ความเสมอภาค ของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองและบุคคล ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อย กว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสถานะยากลําบาก ต้องได้รับ ความคุ้มครองและการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษาโดย ทัดเทียมกันกับบุคคลอื่น และเพื่อตอบสนอง เจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาเกี่ยวกับคนพิการไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิ และโอกาสเสมอภาคกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมี คุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถ พึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าว มีสิทธิและโอกาสในการรับการศึกษาขั้น พื้นฐานเป็นพิเศษ และให้จัดการศึกษาสำหรับบุคคลพิการ ตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบ ความพิการ โดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าว มีสิทธิได้รับสื่อ สิ่งอํานวยความสะดวก บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทาง การศึกษา และพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ที่ระบุในหมวด 1 มาตรา 5(3) ว่าคนพิการมีสิทธิทางการศึกษาโดยได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้ง การจัด หลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจําเป็น พิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคลและกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศ เรื่อง กำหนด ประเภทและ หลักเกณฑ์ของคนพิการ ทางการศึกษา พ.ศ. 2552 ไว้ 9 ประเภท ได้แก่ 1. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น 2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 3. บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 4. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ 5. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้


34 6. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 7. บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ 8. บุคคลออทิสติก 9. บุคคลพิการซ้อน จากแนวคิดการจัดการศึกษาที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะกลุ่มเด็กพิการ ที่ควรได้รับโอกาสทาง การศึกษา และการอยู่ร่วมในสังคมเหมือนกับเด็กปกติ โดยให้เด็กพิการได้รับ การศึกษาที่เหมาะสมกับ ศักยภาพและความสามารถ ตามเจตนารมณ์ดังกล่าวจึงมีการจัดการศึกษา ให้กับเด็กพิการได้เรียนรวมกับเด็ก ปกติในโรงเรียน ภายใต้ความเชื่อพื้นฐานที่ว่า เด็กพิการ ถือเป็น ส่วนหนึ่งของสังคม และในสังคมย่อมมีทั้งคน ปกติและคนพิการ ซึ่งต้องอยู่ร่วมกัน ในปี พ.ศ. 2541 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศนโยบายให้ผู้พิการทุกคน ที่อยากเรียนต้องได้เรียน ปี พ.ศ. 2542 มีการรับเด็กพิการเข้าเรียนร่วมในโรงเรียนทั่วไป ตามนโยบาย ของรัฐบาล และในปี พ.ศ. 2543 ได้ขยายโอกาสและบริการทางการศึกษาสำหรับคนพิการให้ทั่วถึง ให้มีคุณภาพ และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมติคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาเพื่อคนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้มีความสามารถพิเศษ ได้มีนโยบายให้ คนพิการทุกคน ต้องได้เรียน โดยให้ได้รับ การพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อพัฒนาตนเองและสังคม ซึ่งสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ขยายการจัดตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษเพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน การจัดการศึกษาสำหรับ นักเรียนพิการและมีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษาในโรงเรียน มีการจัด โครงการโรงเรียน แกนนําจัดการเรียนร่วมขึ้น โดยจัดการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่มีความ ต้องการจําเป็น พิเศษทางการศึกษาได้เรียนร่วมกับเด็กปกติ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2547 เป็นต้นมา ปัจจุบัน โรงเรียน จัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็น หลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standards-based Curriculum) ที่มีมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมาย ในการพัฒนา คุณภาพนักเรียนทุกคน ในส่วนของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็น พิเศษทางการศึกษาต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งกําหนดให้ผู้สอนจะต้องประเมินนักเรียนใน 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การประเมินผล การเรียนรู้ตามกลุ่มสาระ การเรียนรู้ การประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนและการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยกำหนด ตัวชี้วัดของมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละ กลุ่มสาระการเรียนรู้ไว้ ให้เป็นเป้าหมายเพื่อการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็น การกำหนดมาตรฐานสำหรับเด็ก ปกติทั่วไป ยังไม่เหมาะกับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทาง การศึกษาที่เรียนรวมอยู่ด้วยปัญหาที่พบได้แก่ ความไม่ยืดหยุ่นของมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด การจัด กิจกรรม การเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ยังไม่สอดคล้องกับพัฒนาการและศักยภาพ ของนักเรียนที่มีความ ต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทเกี่ยวกับการบริหารและการจัดการศึกษา ของชาติ ได้กำหนด สาระสำคัญเพื่อเป็นแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในหมวด 4 มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินนักเรียน


35 โดยพิจารณาจากพัฒนาการของนักเรียน ความประพฤติการสังเกตพฤติกรรมการเรียนการร่วมกิจกรรมและ การทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอน (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545) พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ที่กําหนดให้มี การวางระเบียบ ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ และประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการปรับใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555) สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการดําเนินงานของสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จึงเห็นความ จําเป็นในการพัฒนาแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นักเรียนที่มีความต้องการ จําเป็นพิเศษทาง การศึกษา ซึ่งเรียนร่วมอยู่ในสถานศึกษาทุกสังกัด เพื่อให้ครูผู้สอน สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ การวัดและประเมินผลผู้เรียน ทั้งในระดับเขตพื้นที่การศึกษา และในระดับชาติได้มีแนวทางในการวัดและ ประเมินผลนักเรียนพิการ หรือบกพร่องได้อย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน โอกาส ความเท่า เทียม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ นําไปสู่การพัฒนา ตนเองได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งสามารถบรรลุตาม มาตรฐานการเรียนรู้ เช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไป จุดมุ่งหมายของการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา การวัดและประเมินผลการเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษา จะต้อง ดำเนินการควบคู่กับการจัดกระบวนการเรียนการสอน เพื่อนําผลการประเมิน มาพัฒนานักเรียนให้บรรลุถึง ความรู้ ความสามารถตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ การวัดและประเมินผล การเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความ ต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษามีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ 1. เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถพื้นฐานและความต้องการจําเป็นพิเศษ เพื่อวางแผนการจัดการ เรียนรู้ 2. เพื่อประเมินพัฒนาการและผลการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างการจัดกิจกรรม การเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง 3. เพื่อตัดสินผลการเรียน เมื่อจบหน่วยการเรียนรู้หรือจบรายวิชาตามมาตรฐาน และตัวชี้วัดใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) โดยให้โอกาสนักเรียนแสดงความรู้ความสามารถด้วยวิธีการที่ หลากหลาย โดยคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของนักเรียน ที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา จากจุดมุ่งหมายการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการ จําเป็นพิเศษทาง การศึกษาดังกล่าวข้างต้น อธิบายเพิ่มเติม ดังนี้ การประเมินระดับความรู้ความสามารถและความต้องการจําเป็นพิเศษของนักเรียน เป็นรายบุคคล โดยการตรวจสอบหรือประเมินความรู้ ทักษะและความพร้อมพื้นฐานของนักเรียน ตามหลักสูตรสถานศึกษาใน แต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรู้ ก่อนวางแผน การจัดการศึกษาของแต่ละบุคคลโดยคณะกรรมการ


36 จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เพื่อให้ทราบจุดเด่น คือ ความสามารถหรือศักยภาพในปัจจุบัน ที่นักเรียน สามารถทำได้ในสาระการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรู้ จุดด้อย คือ สิ่งที่นักเรียนไม่สามารถทำได้ในสาระ การเรียนรู้ ทักษะ การเรียนรู้ ทั้งนี้ ควรตรวจสอบหรือประเมินความสามารถพื้นฐานจากสภาพจริงในหลาย สถานการณ์ให้ครอบคลุมก่อนจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และนํา ข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ตามความต้องการจําเป็น พิเศษของแต่ ละบุคคล กรณีสถานศึกษา ตรวจสอบหรือประเมินความสามารถพื้นฐานแล้วพบว่า นักเรียนมีความพร้อมใน ทุกสาระการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรู้ ให้ดำเนินการส่งต่อตามความเหมาะสม ต่อไป (สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2558 : 12) และการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) ควรให้สอดคล้องตาม มาตรฐานและตัวชีวัดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ด้วย การประเมินพัฒนาการและผลการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative Evaluation) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและผลการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อนําผลการประเมิน ไปปรับปรุง กระบวนการจัดการเรียนรู้ การประเมินประเภทนี้ใช้ระหว่าง การจัดการเรียนการสอนเป็นระยะ ๆ เพื่อตรวจสอบว่า นักเรียนมีความรู้ความสามารถ ตามจุดประสงค์ ที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) ปกติผู้ประเมิน จะกำหนด เกณฑ์การผ่านไว้ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ทั้งนี้ ให้สอดคล้องตาม ศักยภาพนักเรียนรายบุคคล ซึ่งหาก นักเรียน ไม่ผ่านจุดประสงค์ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะต้องหาวิธีการที่จะ ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ นอกจาก นี้ผลการประเมินยังใช้เพื่อการปรับปรุงแผนการจัด การศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) ให้เหมาะสมกับศักยภาพของนักเรียนแต่ละบุคคลได้อย่างต่อเนื่อง การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน (Summative Assessment) เป็นการประเมิน เพื่อตัดสินผล การจัดการเรียนรู้หลังจบหน่วยการเรียนรู้หรือเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้ตามแผน การจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) รวมทั้งการประเมินปลายภาคเรียนหรือปลายปี ผลจาก การประเมิน ใช้ในการตัดสินผลการ จัดการเรียนรู้ หรือตัดสินใจว่านักเรียนควรจะได้มีคะแนน อยู่ในระดับคุณภาพใด ซึ่งความน่าเชื่อถือของการวัด และประเมินผลนั้น ครูผู้สอนควรให้ความสำคัญ แก่การประเมิน ตามสภาพจริงด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การพูดคุยและใช้คําถาม การสังเกต การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ การประเมินการปฏิบัติ การตรวจการบ้าน การแสดงออกในการปฏิบัติงาน การแสดงกิริยา อาการต่าง ๆ การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน แบบทดสอบ การบันทึกการประเมินตนเองของนักเรียนตลอดเวลาที่จัดกิจกรรม เป็นต้น เพื่อให้ทราบว่านักเรียน บรรลุ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) โดยอิงมาตรฐาน และตัวชี้วัดตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา เพื่อให้สถานศึกษามีการดเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สหรับนักเรียนที่มีความต้องการ จําเป็นพิเศษทางการศึกษา เป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ มีผลการประเมิน ตรงตามสภาพความรู้ ความสามารถที่แท้จริง ตามศักยภาพของนักเรียนรายบุคคล สอดคล้องกับ แนวปฏิบัติในการวัดและ


37 ประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สถานศึกษาจึงควร กำหนดหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ที่สอดคล้องตามหลักสูตรสถานศึกษา ดังนี้ 1. สถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน ที่มีความต้องการ จําเป็นพิเศษทางการศึกษา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม 2. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษา มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินระดับความสามารถและความต้องการจําเป็นพิเศษ ปรับปรุง พัฒนานักเรียน และ ตัดสินผลการเรียน 3. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษา ควร อยู่บนพื้นฐานที่สอดคล้องและตอบสนองกับความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษาของนักเรียน โดยใช้ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เป็นเครื่องมือ ในการดำเนินการ เชื่อมโยงกับมาตรฐานและตัวชีวัด ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รวมทั้งประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และ เขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตลอดจนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอน ต้อง ดำเนินการด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับสภาพปัญหาความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษาและ ศักยภาพของนักเรียน โดยการส่งเสริมสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงกิจกรรม หรือรูปแบบวิธีการวัดและ ประเมินผล มีแนวทาง ดังนี้ 4.1. การช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกด้านการนําเสนอ เป็นการช่วยเหลือ ให้นักเรียนที่ มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา ได้เรียนรู้เนื้อหาและทักษะต่าง ๆ รวมทั้ง การวัดและประเมินผล ด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาความพิการหรือบกพร่อง 4.2. การช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกด้านการตอบสนอง เป็นการให้นักเรียน ที่มีความ ต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา ได้ตอบสนองหรือแสดงออกในรูปแบบวิธีการที่เหมาะสม กับสภาพปัญหา ความพิการหรือบกพร่อง 4.3. การช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกด้านการจัดสภาพแวดล้อม เป็นการปรับ สภาพแวดล้อม สถานที่ รวมทั้งรูปแบบของการสอบหรือการทำงานที่ได้รับมอบหมายที่เหมาะสม กับสภาพ ปัญหาความพิการหรือบกพร่อง 4.4. การช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกด้านการจัดเวลาและตารางเป็นการ ปรับเปลี่ยน เกี่ยวกับเวลา หรือตารางเวลาในการเรียนหรือการทดสอบที่เหมาะสมกับสภาพปัญหา ความพิการหรือ บกพร่อง เพื่อให้สามารถวัด และประเมินผลนักเรียนได้อย่างรอบด้านทั้งด้านความรู้ความคิด กระบวนการ พฤติกรรมและเจตคติ สอดคล้องเหมาะสมกับศักยภาพและความสามารถ ของนักเรียน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐาน ความเที่ยงตรง ยุติธรรม และเชื่อถือได้


38 5. การประเมินนักเรียนพิจารณาจากพัฒนาการของนักเรียน ความประพฤติการสังเกตพฤติกรรมการ เรียนรู้ การร่วมกิจกรรมและการทดสอบ โดยประเมินควบคู่ไปกับ กระบวนการเรียนการสอน เหมาะสมตาม ศักยภาพ ของนักเรียนรายบุคคลและความสามารถ ของนักเรียนแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา 6. เปิดโอกาสให้นักเรียนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตรวจสอบผลการประเมินผลการเรียนรู้ 7. ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนระหว่างสถานศึกษาและรูปแบบการศึกษาต่าง ๆ 8. ให้สถานศึกษาจัดทำเอกสารหลักฐานการศึกษา เพื่อเป็นหลักฐานการประเมินผล การเรียนรู้ รายงานผลการเรียน แสดงวุฒิการศึกษาและรับรองผลการเรียนของนักเรียน แนวทางการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา การวัดและประเมินผลการเรียนรู้สหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษา ควรอยู่ บนพื้นฐานที่สอดคล้องและตอบสนองกับความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษาของนักเรียน โดยใช้ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เป็นเครื่องมือ ในการดำเนินการ เชื่อมโยงกับมาตรฐานและตัวชี้วัด ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ครูผู้สอนดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายวิชา ตามตัวชี้วัดในรายวิชา พื้นฐาน ตามผลการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติม โดยการปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพ ความพิการหรือความบกพร่อง ของนักเรียน เพื่อเอื้ออํานวยให้นักเรียนได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ ตามที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล (IEP) นักเรียนได้รับการพัฒนาความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่จําเป็นพื้นฐานตาม มาตรฐานการเรียนรู้ ของหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ครูผู้สอนดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้โดยใช้วิธีการที่ หลากหลาย จากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริง ของนักเรียน โดยวัดและประเมินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับ การจัดการเรียนการสอน สังเกต พัฒนาการและความประพฤติของนักเรียน สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม ผู้สอนควรเน้นการ ประเมินตามสภาพจริง เช่น การประเมิน การปฏิบัติงาน การประเมินจากโครงงาน หรือการประเมินจากแฟ้ม สะสมงาน เป็นต้น ควบคู่ไปกับการใช้การทดสอบแบบต่าง ๆ อย่างสมดุล ต้องให้ความสำคัญกับการประเมิน ระหว่างเรียนมากกว่าการประเมินปลายปี/ปลายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพื่อประเมินการเลื่อนชั้นเรียนและการ จบการศึกษาระดับต่าง ๆ 2. การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน เป็นการประเมินศักยภาพของนักเรียน ในการอ่าน หนังสือ เอกสารและสื่อต่าง ๆ เพื่อหาความรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์ ความสุนทรีย์และประยุกต์ใช้ แล้วนํา เนื้อหาสาระที่อ่าน มาคิดวิเคราะห์นําไปสู่การแสดงความคิดเห็น การสังเคราะห์ สร้างสรรค์ การแก้ปัญหาใน


39 เรื่องต่าง ๆ และถ่ายทอดความคิดนั้น ด้วยการเขียน ที่มีสํานวนภาษาถูกต้อง มีเหตุผลและลำดับขั้นตอนในการ นําเสนอ สามารถสร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่าน ได้อย่างชัดเจนตามระดับความสามารถในแต่ละระดับชั้น การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการ จําเป็นพิเศษทาง การศึกษา สถานศึกษาควรคำนึงถึงสิ่งที่เป็นข้อจํากัดที่เกี่ยวข้อง และเป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาความสามารถ ด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน เช่น ความบกพร่องทางการเห็น ความบกพร่องทางการเรียนรู้ สถานศึกษา สามารถปรับวิธีการและเครื่องมือในการประเมิน ให้เหมาะสมกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ในกรณีนักเรียน ที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษาอื่นให้ปรับวิธีการประเมินให้เหมาะสมกับสภาพความพิการและ ความบกพร่อง แต่ละบุคคล และสอดคล้องกับแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) การประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์และเขียน สถานศึกษาต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้ เป็นข้อมูลในการพัฒนานักเรียนและประเมินการเลื่อนชั้น ตลอดจนการจบ การศึกษาระดับต่าง ๆ 3. การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นการประเมินคุณลักษณะที่ต้องการ ให้เกิดขึ้นกับ นักเรียนอันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสํานึก สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็น พิเศษทาง การศึกษา ให้สถานศึกษาดำเนินการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามที่หลักสูตร แกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนด โดยการปรับกระบวนการ วิธีการประเมิน และเครื่องมือที่ใช้ให้เหมาะ กับสภาพความพิการ และความบกพร่องแต่ละบุคคล สอดคล้อง ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และในการประเมินให้ประเมินแต่ละคุณลักษณะ แล้วรวบรวมผลการประเมินจากผู้ประเมินทุกฝ่ายและ แหล่งข้อมูลหลายแหล่งเพื่อให้ได้ข้อมูลนํามาสู่การสรุปผลเป็นรายปี/รายภาคและใช้เป็นข้อมูลเพื่อประเมิน การเลื่อนชั้นและการจบการศึกษาระดับ ต่าง ๆ 4. การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นการประเมินการปฏิบัติกิจกรรมและผลงาน ของนักเรียน และเวลาในการเข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในแต่ละกิจกรรม โดยปรับวิธีการ ประเมินผลให้ สอดคล้องกับศักยภาพ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจําเป็นพิเศษของนักเรียน ผลการประเมินจะ ใช้เป็นข้อมูลประเมินการเลื่อนชั้นเรียน และการจบการศึกษา ระดับต่าง ๆ จากหลักเกณฑ์และวิธีการปรับใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา 2544 : 23) ได้กำหนดคุณภาพที่ต้องการให้ เกิดขึ้นแก่นักเรียน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกคน ครอบคลุม มาตรฐานและตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการ เรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน สำหรับนักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เฉพาะ การวัดและประเมินผลจะต้องคำนึงถึงปัจจัยความแตกต่าง ของนักเรียน อาทิ นักเรียนที่พิการ อาจต้องมีการปรับการประเมินผลที่เอื้อต่อสภาพนักเรียนทั้งวิธีการและ เครื่องมือที่ใช้หรือกลุ่มนักเรียน ที่มีจุดเน้นเฉพาะด้าน อาจกำหนดสัดส่วนน้ำหนักคะแนนและวิธีการประเมินที่


40 ให้ความสำคัญ แก่ทักษะด้านการปฏิบัติ นอกจากนั้น การวัดผล และประเมินผลการเรียนรู้ควรอยู่บนหลักการ พื้นฐาน เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และตัดสินผลการเรียน ควรประเมินเป็นระยะสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ในการปรับปรุงการเรียนการสอนและแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ สิ่งสำคัญ อีกประการที่มีผล ต่อ ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของการวัดและประเมินผล ได้แก่ วิธีการและเครื่องมือที่ใช้ใน การ ประเมิน ครูผู้สอนควรให้ความสำคัญในการประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การพูดคุยและใช้ คําถาม การสังเกต การสะท้อนการเรียนรู้ การประเมินจากการปฏิบัติการตรวจการบ้าน การแสดงออกในการ ปฏิบัติงาน การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน แบบทดสอบ เป็นต้น เพื่อให้ทราบว่านักเรียนบรรลุมาตรฐานการ เรียนรู้และตัวชี้วัด หรือมีแนวโน้มว่าจะบรรลุตัวชี้วัดเพียงใด และสิ่งเหล่านี้ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับ นักเรียนพิการแต่ละประเภท เพื่อให้การวัด และประเมินผลเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็น พิเศษใน โรงเรียนจัดการเรียนร่วม แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ (สุจินดา ผ่องอักษร, 2558) 1. กรณีนักเรียนพิการหรือบกพร่องที่มีความรู้ความสามารถเท่าเทียมหรือใกล้เคียง กับ นักเรียนทั่วไปที่เรียนร่วม เต็มเวลาในโรงเรียนจัดการเรียนร่วม กำหนดแนวปฏิบัติ ดังนี้ 1.1 ให้วัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และเกณฑ์ต่าง ๆ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชาเช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไป 1.2 อาจมีการปรับวิธีการ/เวลาในการวัดและประเมินให้ยืดห ยุ่น ตาม ความต้องการ จําเป็นพิเศษของนักเรียนแต่ละคน 1.3 จัดให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกและวิธีการสื่อสารให้นักเรียนสามารถเข้าถึง เนื้อหา สาระในแบบทดสอบตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เช่น การขยายตัวอักษร/สัญลักษณ์ รูปภาพของ แบบทดสอบ การใช้อักษร เบรลล์ การฟัง การตอบปากเปล่าหรือการช่วยจดบันทึก สำหรับนักเรียนที่มีความ บกพร่องทางการเห็น การนําเสนอข้อสอบ (presentation) โดยมีผู้อ่าน/ เครื่องอ่านข้อสอบให้ฟัง เทปเสียง หรือซีดีโปรแกรมอ่านหน้าจอ (Screen reader) บริการอ่าน ข้อสอบ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน เป็นต้น 2. กรณีนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษาที่เรียนร่วมกับเด็ก ทั่วไปในกลุ่ม สาระการเรียนรู้ รายวิชาใดเต็มเวลาและหรือบางเวลาในโรงเรียนจัดการเรียนรวมและ มีการปรับตัวชี้วัดให้ เหมาะสมกับนักเรียนพิการแต่ละประเภท กำหนดแนวปฏิบัติ ดังนี้ 2.1 ให้ใช้เกณฑ์การวัดและประเมินผลในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ตาม มาตรฐานและ ตัวชี้วัด เช่นเดียวกับนักเรียนปกติ 2.2 เป็นการพิจารณาเฉพาะบุคคลไม่เปรียบเทียบกับนักเรียนทั่วไป 2.3 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชาที่ต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหา/ตัวชี้วัดที่ใช้ในการ ประเมินจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกันในชั้นเรียน 2.4 ปรับวิธีการในการวัดและประเมินผลให้ให้เหมาะสมกับความต้องการ จําเป็นของแต่


41 ละบุคคล เช่น ให้สอบปากเปล่าหรือสัมภาษณ์ อ่านข้อสอบให้ฟัง โดยครู เพื่อนหรือ พี่เลี้ยง การสังเกต พฤติกรรมทุก ๆ ด้าน ประเมินผล จากการมีส่วนร่วม ประเมินผลจากแฟ้มงาน (Portfolio) ให้ฟังเทป บันทึกเสียง/หนังสือเสียงช่วยให้เรียนรู้ สอบที่ใดก็ได้ ที่วัดศักยภาพจริง ของ เด็กได้ เป็นต้น 2.5 ปรับเครื่องมือวัดและประเมินผล เช่น ปรับลักษณะของเครื่องมือ โดยแบ่ง แบบทดสอบเป็นตอน ๆ และให้สอบทีละตอนแทนที่จะสอบครั้งเดียวทั้งฉบับ เป็นต้น 2.6 กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนใหม่ให้เหมาะสมกับศักยภาพนักเรียนและ สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) 2.7 ปรับระยะเวลาหรือกําหนดเวลาในการสอบให้เหมาะสมหรือพร้อม ที่จะสอบ เช่น ไม่ จํากัดเวลาสอบแล้วพักแล้วสอบใหม่ ขยายเวลาในการสอบให้มีเวลามากขึ้น 2.8 ปรับสถานที่สอบเพื่อนักเรียนจะได้ไม่ไปทำความรบกวนให้กับผู้อื่น หากจําเป็นให้ การช่วยเหลือ จัดอุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่จําเป็นอื่น ๆ ตามความต้องการ จําเป็นของนักเรียนแต่ ละคน เช่น ปรับวิธีการสอบ กําหนดเวลาในการสอบให้เหมาะสม/ พร้อมที่จะสอบ 2.9 การนําเสนอข้อสอบ (presentation) โดยมีผู้อ่าน/เครื่องอ่านข้อสอบ ให้ฟัง ใช้เทป เสียง ซีดี โปรแกรมอ่านหน้าจอ (Screen reader) หรือบริการอ่านข้อสอบ เป็นต้น 2.10 วัดและประเมินผลความก้าวหน้าและระบุไว้ในช่องการวัดประเมินผล ของแผนการ จัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) อาจใช้เกณฑ์ระดับคะแนน ดังตัวอย่าง ระดับ 4 ดีเยี่ยม มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 80-10 ระดับ 3.5 ดีมาก มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 75-79 ระดับ 3 ดี มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 70-74 ระดับ 2.5 ค่อนข้างดี มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 65-69 ระดับ 2 น่าพอใจ มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 60-64 ระดับ 1.5 พอใช้ มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 55-59 ระดับ 1 ขั้นต่ำ มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 50-54 ระดับ 0 ต่ำกว่าเกณฑ์ มีคะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยร้อยละ 0-49 3. กรณีนักเรียนพิการหรือบกพร่องขั้นรุนแรงที่ไม่สามารถปรับใช้มาตรฐาน การเรียนรู้และ ตัวชี้วัดในกลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชาใด ๆ ได้ถึงแม้จะปรับวิธีการสอนหรือวิธีการ สอบแล้วก็ตาม การจัดการ เรียนรู้มุ่งเน้นการเรียนรู้ทักษะชีวิต เพื่อการดำรงชีวิตในสังคมอย่าง มีความสุข กำหนดแนวปฏิบัติ ดังนี้ 3.1 ให้ประเมินผลตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ในแผน การจัดการ ศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) 3.2 เป็นการประเมินเฉพาะบุคคลไม่เปรียบเทียบกับนักเรียนปกติ 3.3 ประเมินความสามารถในการปฏิบัติตามระดับคุณภาพ เช่น ระดับคุณภาพ 4 มีทำได้ถูกต้องด้วยตนเองทั้งหมด ระดับคุณภาพ 3 ทำได้ถูกต้องด้วยตนเอง (กระตุ้นด้วยวาจา)


42 ระดับคุณภาพ 2 ทำได้เองบ้าง ทำไม่ได้บ้าง (ครูต้องกระตุ้นด้วยท่าทาง และวาจา) ระดับคุณภาพ 1 มีทำได้ โดยครูต้องกระตุ้นเตือนทั้งหมด (กระตุ้นด้วย กาย ท่าทาง วาจา) 3.4 ประเมินความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน ได้ใช้วิธียืดหยุ่นและปรับวิธีการ ให้ คะแนน เช่น ระดับคุณภาพ 5 ทำได้ครบ 5 ครั้ง ระดับคุณภาพ 4 ทำได้ครบ 4 ครั้ง ระดับคุณภาพ 3 ทำได้ครบ 3 ครั้ง ระดับคุณภาพ 2 ทำได้ครบ 1-2 ครั้ง ระดับคุณภาพ 1 ทำไม่ได้ 3.5 การประเมินผลการเรียนรู้อย่างหลากหลาย โดยกำหนดสัดส่วนคะแนน ที่ เหมาะสม เช่น จากการทดสอบ การร่วมกิจกรรม การนําเสนองาน การมาเรียน เป็นต้น ตัวอย่าง การกำหนดสัดส่วนคะแนน การมาเรียน ร้อยละ 10 การนําเสนองาน ร้อยละ 30 จากการร่วมกิจกรรม ร้อยละ 20 การประเมินระหว่างเรียน ร้อยละ 30 การสอบปลายปี/ปลายภาค ร้อยละ 10


43 การกำกับดูแลคุณภาพการศึกษา สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและกำกับ ติดตาม การจัดการ ศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ให้บรรลุคุณภาพ ตามเป้าหมายที่ กำหนด เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรียนและนําผลการประเมินมาใช้เป็นข้อมูลในการ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการ จําเป็นพิเศษทางการศึกษา ควร พิจารณาดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ สภาพความพิการหรือความบกพร่องของ นักเรียน ความต้องการของผู้ปกครองและสอดคล้องกับ นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ หรือหน่วยงานต้น สังกัด โดยมีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนพิการหรือบกพร่องในระดับต่าง ๆ ดังนี้ 1. การประเมินผลระดับชั้นเรียน เป็นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน ตามกระบวนการ จัดการ เรียนรู้ ที่ผู้สอนดำเนินการเพื่อพัฒนานักเรียนและตัดสินผลการเรียน ในรายวิชา/กิจกรรมที่สอน โดย ประเมินผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่กำหนดเป็น เป้าหมายตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) แผนการสอน เฉพาะบุคคล (IP) ด้วยวิธีการ ต่าง ๆเช่น การซักถาม การตรวจการบ้าน การแสดงออก ในการปฏิบัติผลงาน การแสดง กิริยาอาการต่าง ๆ ของนักเรียนตลอดเวลาที่จัดกิจกรรม เพื่อดูว่าบรรลุตัวชี้วัด หรือมีแนวโน้ม ว่าจะบรรลุตัวชี้วัด เพียงใด แล้วแก้ไขข้อบกพร่องเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง 2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการตรวจสอบผลการเรียนของนักเรียน เป็นรายปี/รายภาค ผล การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนานักเรียน การ อนุมัติผลการเรียน การตัดสินการเลื่อนชั้นเรียนและเป็นการประเมิน เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาว่าส่งผลต่อ การเรียนรู้ของนักเรียน ตามเป้าหมายหรือไม่ นักเรียนมีสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนา ในด้านใด สถานศึกษาควรตรวจสอบผล การเรียนของนักเรียนตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เพื่อเป็นข้อมูลและสารสนเทศ ในการปรับปรุง นโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อพัฒนา และปรับปรุงการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และการรายงานผลการ จัดการศึกษา ต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองและชุมชน 3. การประเมินระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพนักเรียนในระดับ เขต พื้นที่การศึกษา เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่ ตามภาระ ความ รับผิดชอบ การดำเนินการ ประเมินคุณภาพของนักเรียนด้วยวิธีการ และเครื่องมือที่เป็น มาตรฐานจัดทำและ ดำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษาต้องจัดให้มีการประเมินนักเรียน ที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษาทุกคนตามที่เขตพื้นที่การศึกษากําหนดให้มีการ ประเมินผล โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะความ พิการหรือความบกพร่องเพื่อพิจารณาการช่วยเหลือ และอํานวยความสะดวกในด้านการวัดและประเมินผล สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษา ตลอดจนเพื่อการตัดสินใจในการใช้ข้อมูลผลการ ประเมินในระดับนโยบายต่อไป


44 4. การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพนักเรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ ของหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สถานศึกษา ต้องจัดให้นักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทาง การศึกษา ทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการประเมินโดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะความพิการหรือความบกพร่อง เพื่อ พิจารณาการช่วยเหลือและอํานวยความ สะดวกในด้านการวัดและประเมินผลสำหรับนักเรียนพิการหรือ บกพร่อง ผลจากการ ประเมินใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มี ความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในระดับนโยบายของ ประเทศ การจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา ระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาเป็นกรอบภาระงาน และแนวปฏิบัติ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงกับการเรียนรู้เป็น กระบวนการเดียวกัน สาระของ ระเบียบดังกล่าว กำหนดบนพื้นฐานของนโยบายด้านการเรียนการ สอนและการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรสถานศึกษา ดังนั้นสถานศึกษาควรกำหนด รายละเอียดเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ทางการศึกษา เพิ่มเติมในระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผล ของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับ หลักการ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการ จําเป็นพิเศษทาง การศึกษา และแนวปฏิบัติในการวัด และประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความ ต้องการ จําเป็นพิเศษทางการศึกษา กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอันจะสะท้อนคุณภาพและมาตรฐานการปฏิบัติงาน ของสถานศึกษาที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในกระบวนการดําเนินงานและสร้างความเชื่อมั่นแก่สังคม ซึ่งจะส่งผล ต่อการพัฒนา นักเรียนให้มีคุณ ภาพตามเป้าหมายการจัดการศึกษาในแผน การจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงการเรียนรู้ของนักเรียน และตัดสินว่า นักเรียนมีความรู้ ทักษะความสามารถ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนบรรลุ ตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดในระดับใด สามารถที่จะได้รับการเลื่อนชั้นหรือจบการศึกษาได้หรือไม่ สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบ จัดการศึกษา จะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียน ของสถานศึกษา ให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นข้อกําหนดของหลักสูตร แกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และสอดคล้องกับแนวทางการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา โดยควรมีสาระต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย 1. หลักการดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของสถานศึกษา 2. การตัดสินผลการเรียน 3. การให้ระดับผลการเรียน 4. การรายงานผลการเรียน 5. เกณฑ์การจบการศึกษา


45 6. เอกสารหลักฐานการศึกษา 7. การเทียบโอนผลการเรียน เกณฑ์การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา 1. การตัดสินผลการเรียน การตัดสินผลการเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา ให้ดำเนินการ ตามหลักเกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อตัดสินผลการเรียนที่หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนด ดังนี้ 1. นักเรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมด 2. นักเรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัดหรือตัวชี้วัดที่ปรับใช้สำหรับ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะและ ผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด 3. นักเรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชาหรือได้รับการตัดสินผล การเรียนที่กำหนด ไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) 4. ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา กำหนดในการ อ่าน คิด วิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยคำนึงถึงศักยภาพและ ความสามารถของนักเรียนแต่ละรายบุคคล เพื่อให้การตัดสินผลการเรียน มีความสอดคล้องกับความต้องการจําเป็นพิเศษ และเป็นการลด ข้อจํากัด ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถปรับใช้หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในเรื่อง การตัดสินผลการเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทาง การศึกษา โดยปรับจากข้อกําหนดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เหมาะสม กับกลุ่มนักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา สามารถตัดสินผลการเรียนเป็นรายปีหรือรายภาค ตามความเหมาะสม โดยสอดคล้อง กับวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนและโครงสร้างเวลาเรียนของ หลักสูตรสถานศึกษานั้น ๆ ซึ่งในการปรับใช้จากข้อกําหนด ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ควรได้คำนึงถึงสิ่งสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1. เวลาเรียน : นักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษาที่ศึกษา ในระบบ ควรมีเวลา เรียนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมด แต่อาจยืดหยุ่นตามสภาพ ความพิการหรือบกพร่อง ให้อยู่ ในดุลพินิจของสถานศึกษา 2. คุณภาพนักเรียน : นักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา จะต้อง ได้รับการ ประเมินคุณภาพที่สอดคล้องสัมพันธ์กับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชีวัดของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัด ที่กำหนด และสามารถปรับ ใช้ให้เหมาะสมตามสภาพความ พิการหรือบกพร่องตามศักยภาพของนักเรียนรายบุคคล 3. มิติของการประเมิน : นักเรียนที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษทางการศึกษา ควรได้รับการ ประเมินและตัดสินผลตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล (IEP)


Click to View FlipBook Version