The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การใช้การละเล่นไทยเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nsbcm005, 2022-05-02 04:45:39

การใช้การละเล่นไทยเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ

การใช้การละเล่นไทยเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ

การใชก้ ารเล่นแบบไทยในงานกจิ กรรมบำบดั
เพอ่ื พัฒนาความคล่องแคลว่ ของมอื ในเด็ก

พรพทิ กั ษ์ รตั นศลิ ปพงศ์

ภาคนพิ นธว์ ทิ ยาศาสตรบัณฑติ (กิจกรรมบำบดั )
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่

ปีการศึกษา 2564

การใชก้ ารเลน่ แบบไทยในงานกจิ กรรมบำบัดเพอื่ พฒั นาความคลอ่ งแคล่วของมือในเดก็

ภาคนพิ นธเ์ สนอตอ่ คณะเทคนคิ การแพทย์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565
เพื่อเป็นสว่ นหน่ึงของการศึกษาปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑติ (กจิ กรรมบำบัด) โดย นางสาวพรพิทักษ์
รัตนศิลปพงศ์

ผู้เสนอภาคนิพนธ์ขอรับรองว่า ผลงานนเี้ ป็นผลงานทไี่ ด้จากการศกึ ษาค้นคว้าของผ้เู สนอเอง
............................................................
(นางสาวพรพทิ ักษ์ รตั นศิลปพงศ์)
ผเู้ สนอภาคนิพนธ์



ภาคนิพนธ์โดย นางสาวพรพิทกั ษ์ รตั นศลิ ปพงศ์ ไดร้ ับการพิจารณาอนุมัติให้เป็นส่วนหน่ึง
ของการศกึ ษาตามหลักสูตรปรญิ ญาวิทยาศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชากิจกรรมบำบดั โดยคณะกรรมการ

.....................................................................
(รองศาสตราจารย์ ดร. นันทณี เสถียรศกั ดพิ์ งศ์)

อาจารย์ที่ปรึกษา

..................................................................... ...................................................
(รองศาสตราจารย์ ดร. วรรณนภิ า บญุ ระยอง) (อาจารยร์ จุ ริ า ใจแกว้ )
กรรมการ
กรรมการ

.....................................................................
(ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ปยิ ะวฒั น์ ตรีวทิ ยา)

หวั หน้าภาควิชากจิ กรรมบำบดั

.....................................................................
(ศาสตราจารย์ ดร.สาคร พรประเสรฐิ )
คณบดีคณะเทคนคิ การแพทย์



กิตติกรรมประกาศ

ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร. นันทณี เสถียรศักดิ์พงศ์ อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นอย่างสงู
ท่ีกรุณาให้คำปรึกษา แนะนำ คอยตรวจทานเนื้อหาในภาคนิพนธ์ และให้ความช่วยเหลือในทุกดา้ น
ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดีเสมอมา

ขอขอบคุณคณะกรรมการอันประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร. วรรณนิภา บุญระยอง
และอาจารย์รุจิรา ใจแก้ว ที่กรุณาให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงแก้ไข รวมทั้ง
ชว่ ยตรวจทานภาคนิพนธ์ฉบบั นี้ให้มคี วามถูกต้องและสมบรู ณม์ ากขนึ้

ขอขอบคณุ คุณพิลาศิณี สวุ รรณ รองศาสตราจารยเ์ ทียม ศรคี ำจักร์ และผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์
ดร. จิรนันท์ กริฟฟิทส์ สำหรับการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะ
ในการพัฒนาคณุ ภาพเคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการทำภาคนพิ นธ์ครงั้ นี้

ขอขอบคุณเพจ “ชมรมนักกิจกรรมบำบัดเชียงใหม่” และคุณวิชิตา เกศะรักษ์
ท่ี ให ้ ค วา ม ช ่ วย เ ห ล ื อ ป ร ะ ช า ส ั มพ ั นธ์ โ ค รง กา ร วิ จั ยน้ี ให้ แ ก่ กล ุ ่ มป ร ะช า ก ร เ พื ่ อ เ ป ็ น อา ส า ส มัคร
เขา้ รว่ มในการศกึ ษา พรอ้ มทั้งให้ขอ้ มูลทีเ่ ป็นประโยชน์สำหรับการทำภาคนิพนธ์ครั้งน้ี

ข อ ข อ บ ค ุ ณ น ั ก ก ิ จก ร ร ม บ ำ บ ั ด ผู้ ให ้ บ ร ิ ก า ร แ ก ่ เ ด ็ ก ใน ส ถ า น ศ ึ ก ษ า แ ล ะ ส ถ า น พ ย า บ า ล
ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ทุกท่าน ท่ีให้ความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสอบถาม
และใหข้ ้อมูลท่ีเปน็ ประโยชน์สำหรับการทำภาคนพิ นธ์คร้งั น้ี

ขอขอบพระคุณบิดาและมารดาที่ให้โอกาสทางการศึกษาที่ดี ให้กำลังใจ คอยช่วยเหลือ
รวมทัง้ ใหก้ ำลงั ทรัพย์ในการศึกษาเลา่ เรยี นมาโดยตลอด

ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ช่วยเหลือในการเก็บข้อมูลและคอยช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
พรอ้ มทัง้ ใหก้ ำลังใจเสมอมา

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่คณะเทคนิคการแพทย์ที่เป็ นฝ่ายสนับสนุน
และประสานงานในหลายด้านเป็นอย่างดี ทำให้ภาคนิพนธ์นี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และมีคุณค่า
ตอ่ การพฒั นาวิชาชพี ต่อไป

.....................................................
(นางสาวพรพทิ ักษ์ รตั นศลิ ปพงศ)์



ชื่อเรื่องภาคนิพนธ์ การใชก้ ารเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบดั เพ่ือพฒั นาความคล่องแคล่ว
ของมอื ในเดก็
ชื่อผู้เขียน นางสาวพรพทิ ักษ์ รตั นศิลปพงศ์
ชื่อปรญิ ญา วทิ ยาศาสตรบ์ ัณฑติ (กิจกรรมบำบัด)
ชือ่ อาจารยท์ ีป่ รึกษา รองศาสตราจารย์ ดร. นันทณี เสถียรศกั ดพิ์ งศ์

บทคดั ยอ่

การศกึ ษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศกึ ษาการใช้การเล่นแบบไทยเพอ่ื พัฒนาความคล่องแคล่ว
ของมือในเด็ก ประชากรคือนักกิจกรรมบำบัดที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาและสถานพยาบาล
เขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 30 คน วิธีการศึกษาส่งแบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึน
ผ่านสอ่ื ออนไลน์ในรูปแบบ google form ผลการศกึ ษาพบวา่ มนี ักกจิ กรรมบำบัดตอบแบบสอบถาม
ท้ังส้ิน 21 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 70 ของประชากร นักกจิ กรรมบำบัด 7 คน (ร้อยละ 33.33) และ 14 คน
(ร้อยละ 66.67) ใช้และไม่ใช้การเลน่ แบบไทย ตามลำดับ เพื่อพฒั นาความคล่องแคล่วของมือในเดก็
การเล่นเป่ายิงฉุบเป็นการเล่นแบบไทยที่นักกิจกรรมบำบัดใช้มากที่สุด การเล่นแบบไทยใช้ในทุก
ข้นั ตอนของกระบวนการทางกิจกรรมบำบัด โดยใช้มากท่ีสดุ ในการใหก้ ารบำบัดรกั ษา (รอ้ ยละ 100)
เหตุผลที่ไมไ่ ด้ใช้การเลน่ แบบไทยคอื ไม่เหมาะสมกับผูร้ ับบริการ อย่างไรก็ตาม นักกิจกรรมบำบัดได้
แสดงความคดิ เห็นว่าการเลน่ แบบไทยชว่ ยพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเดก็ ได้ วัสดุที่ใช้หาได้ง่าย
กติกาการเล่นเข้าใจง่าย วิธีการเล่นมีความยืดหยุ่น และสนใจที่จะนำการเล่นแบบไทยไปใช้
ในงานกิจกรรมบำบัด



Title Use of Thai Traditional Plays in Occupational Therapy to Improve
Hand Dexterity in Children
Author Miss Ponrpitak Rattanasinlapapong
Degree Bachelor of Science (Occupational Therapy)
Advisor Associate Professor Dr. Nuntanee Satiansukpong

Abstract

This study aimed to examine the use of Thai traditional plays in occupational
therapy to improve hand dexterity in children. The populations were 30 occupational
therapists who were working at schools or occupational therapy clinics in Muang
district, Chiang Mai province. A study method, an online questionnaire (google form)
developed by the researcher was submitted. The results showed that 21 occupational
therapists (70 percent of the population) answered the questionnaire. Seven
occupational therapists (33.33%) and 14 occupational therapists (66.67%) used and
did not use Thai traditional plays, respectively to improve hand dexterity in children.
The “Rock-Paper-Scissors” was the most used. Thai traditional plays were applied in
every step of the occupational therapy process, most used in a treatment step (100%).
The reason for not using Thai traditional plays was unsuitable for clients. However,
occupational therapists have commented that Thai traditional plays can improve hand
dexterity in children, easily find materials, understandable rules, and flexible play
methods. The occupational therapists are interested to use Thai traditional plays in
occupational therapy.



สารบัญ

กติ ตกิ รรมประกาศ หนา้
บทคดั ย่อ ค
Abstract ง
สารบัญตาราง จ
สารบัญรูปภาพ ช
บทนำ ซ
ทบทวนวรรณกรรม 1
วตั ถปุ ระสงค์ 3
นิยามศัพท์ 35
วิธีการศกึ ษา 35
ผลการศึกษา 36
บทวิจารณ์ 41
ประโยชน์ทไี่ ดร้ บั 53
บทสรปุ 56
เอกสารอา้ งอิง 57
ภาคผนวก ก เอกสารรับรองโครงการวิจัยในมนษุ ย์ 59
ภาคผนวก ข แบบสอบถามการใชก้ ารเลน่ แบบไทยในงานกิจกรรมบำบัด 63
เพ่ือพัฒนาความคล่องแคลว่ ของมือในเด็ก 66
ภาคผนวก ค รายนามผู้ทรงคุณวฒุ ิ
ภาคผนวก ง ค่าความเท่ียงตรงเชิงเนือ้ หาของแบบสอบถามการใชก้ ารเล่น 74
แบบไทยในงานกิจกรรมบำบดั เพื่อพัฒนาความคลอ่ งแคล่วของมือในเดก็ 76
ประวตั ผิ ู้เขียน
80



สารบญั ตาราง

ตารางที่ หนา้

1 ข้อมลู ทว่ั ไปของนักกิจกรรมบำบัดทีต่ อบแบบสอบถาม 42

2 ข้อมลู การใหบ้ รกิ ารของนักกจิ กรรมบำบัด 43

3 ความถแี่ ละรอ้ ยละของนักกิจกรรมบำบัดที่ใชก้ ารเล่นแบบไทยในการให้บริการ 44

ทางกิจกรรมบำบดั เพือ่ พัฒนาความคลอ่ งแคลว่ ของมอื ในเด็ก

4 ความถี่และร้อยละของนักกิจกรรมบำบัดที่ใช้การเล่นแบบไทยเพื่อพัฒนา 45

ความคล่องแคล่วของมือในเด็กจำแนกตามขั้นตอนของกระบวนการ

ทางกจิ กรรมบำบัด

5 ความถี่และร้อยละของนักกิจกรรมบำบัดที่แสดงความคิดเห็นต่อเหตุผล 46

ที่เป็นอุปสรรค/ข้อจำกัดต่อการใช้การเล่นแบบไทยในการให้บริการ

ทางกจิ กรรมบำบัดเพื่อพฒั นาความคล่องแคล่วของมือในเด็ก

6 ความถ่แี ละรอ้ ยละของนกั กิจกรรมบำบัดท่ีแสดงความคิดเหน็ ต่อการใช้การเล่น 47

แบบไทยในการให้บริการทางกิจกรรมบำบดั เพ่ือพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ

ในเดก็ จำแนกตามลกั ษณะกลุ่มตัวอยา่ ง

7 ความถี่และร้อยละของนักกิจกรรมบำบัดที่แสดงความคิดเห็นต่อประโยชน์ 49

จากการใช้การเล่นแบบไทยในการให้บริการทางกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนา

ความคลอ่ งแคล่วของมอื ในเด็ก

8 ความถี่และร้อยละของนักกจิ กรรมบำบัดที่แสดงความสนใจในการนำการเลน่ 51

แบบไทยมาใช้ในการใหบ้ ริการทางกิจกรรมบำบัดเพ่ือพฒั นาความคล่องแคลว่

ของมอื ในเดก็



สารบญั รปู ภาพ หนา้
7
ภาพที่ 7
1 การเล่นตบแปะตามเพลง: ปิงปอ่ งแช่ 8
2 การเลน่ ตบแปะตามเพลง: ยา หยา่ ยา่ 9
3 การเลน่ อตี กั 13
4 การเล่นสีซอ (การเล่นเชือกมอื ) 14
5 การเล่นเป่ายิงฉุบ 15
6 การเลน่ หมากเกบ็ 21
7 การเล่นหมากไม้ 22
8 การเปดิ มอื ล่วงหนา้ เพอื่ จบั วัตถุ 23
9 การจบั แบบ Palmar grasp 23
10 การจับแบบ Radial grasp 24
11 การจับแบบ Scissors grasp 27
12 การจบั แบบ Inferior pincer grasp และ Superior pincer grasp 28
13 การจบั วัตถุหนง่ึ ช้นิ ด้วยมือสองข้างแบบสมมาตร
14 การจบั วตั ถสุ องชน้ิ อยา่ งเปน็ อิสระตอ่ กนั ด้วยมือสองขา้ งแบบสมมาตร



บทนำ
เดก็ เปน็ ทรัพยากรที่มีคุณคา่ และมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ วยั เด็กเป็นช่วงเวลา
ท่ีเรยี นรู้เกยี่ วกับตนเองและสิ่งตา่ ง ๆ รอบตวั ความสามารถท่ีเพมิ่ ข้นึ จะกระตนุ้ การทำงานส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายให้ดีขึ้นและพัฒนาสมอง เด็กมีพัฒนาการความสามารถอย่างรวดเร็วทั้งร่างกาย จิตใจ
ความคิด การใช้ภาษาและการแก้ปัญหา (ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคม
กมุ ารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย, 2560)
พัฒนาการด้านร่างกายมีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเด็ก ซึ่งกุลยา
ตันติผลาชีวะ (อ้างถึงใน ผกากานต์ น้อยเนียม, 2556) กล่าวว่า พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก
มีความสำคญั มากต่อพฒั นาการดา้ นร่างกายของเดก็ ซ่ึงหมายถงึ ความสามารถในการหยบิ จบั การคัด
การเขียน และการทำกิจกรรมที่ใช้นิ้วมือ ฝ่ามือ และข้อต่อ เด็กต้องใช้มือในการทำกิจกรรมสำคัญ
ได้แก่ การเขียน การหยิบจบั ป้ันแต่งสิ่งต่าง ๆ
ความคล่องแคล่วของมือ คือทักษะการใช้มือที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา
ทักษะที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ความคล่องแคล่ว
ในการใช้มือควรได้รับการฝึกอย่างสม่ำเสมอทั้งการควบคุมการเคลื่อนไหวและท่าทางในการ จับ
ด้วยความเร็วที่เหมาะสม (ผกาวรรณ สุทธิวงศ์, 2551) การพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ
เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะในวัยเด็ก เพราะมักส่งผลต่อพัฒนาการในช่วงวัยอื่น โดยการพัฒนา
ความคลอ่ งแคลว่ ของมอื ในเดก็ สามารถส่งเสรมิ ได้ผา่ นกจิ กรรมการเล่น
ยุคที่ส่ือ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมตะวันตกยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย
การเล่นแบบไทยเป็นกิจกรรมที่นิยมในหมู่เด็ก ๆ มาก โดยเป็นการเล่นที่ไม่เน้นอุปกรณ์มากนัก
สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่นของประเทศไทย มีกติกาการเล่นที่ไม่ซับซ้อน ไม่เคร่งครัด
การเลน่ สามารถยดื หยุ่นไดต้ ามสภาพการณ์ขณะเลน่ เป็นการเล่นที่สนกุ สนาน กระตุ้นให้เกดิ ไหวพริบ
ในการสังเกตและการแก้ปญั หา การเล่นแบบไทยเป็นการส่งเสริมใหเ้ ด็กได้รู้จักการเลน่ กบั ธรรมชาติ
ซึ่งมสี ่วนชว่ ยในการพัฒนารา่ งกายและจิตใจของเด็ก และส่งเสริมให้เด็กใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์
นอกจากนี้ การเล่นแบบไทยยังแสดงถึงเอกลักษณ์ของชนชาติไทยที่มีการถ่ายทอดและสืบต่อกันมา
จากรุ่นส่รู ่นุ เปน็ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่สะทอ้ นถึงวิถีชีวติ ความคดิ และความเช่ือของคนในสังคม
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่า การเล่นแบบไทยยังไม่ได้รับความนิยมและเริ่มเลือนหายไป
จากสังคมไทย

1

นักกิจกรรมบำบัดเป็นหนึ่งวิชาชีพทีม่ ีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความคล่องแคล่วของมอื
ในเด็ก โดยให้กิจกรรมการบำบัดรกั ษาผา่ นกิจกรรมการเลน่ ในรูปแบบตา่ ง ๆ งานวิจัยของพรประไพ
พงษ์ธรรม (2556) ระบุว่า การเลน่ เปน็ สือ่ การบำบัดรกั ษาหนึง่ ท่นี ักกิจกรรมบำบดั ให้ความสำคัญและ
นำมาใช้ในการปฏิบตั ิงานทางกิจกรรมบำบัดสำหรับผู้รับบรกิ ารเด็ก เน่อื งจากการเล่นเป็นกิจกรรมการ
ดำเนนิ ชวี ิตทม่ี ีความจำเป็นต่อมนษุ ยโ์ ดยเฉพาะในวัยเดก็ ซ่งึ ใช้เวลาส่วนมากไปกับการเรียนรสู้ ่งิ ต่าง ๆ
ผ่านกจิ กรรมการเลน่ การเลน่ เปน็ สื่อพื้นฐานท่ีสำคัญสำหรับการเรียนรู้และการเสรมิ สร้างพัฒนาการ
เพือ่ เตรยี มความพร้อมกอ่ นเขา้ เรยี นและเขา้ ส่สู งั คม

จากการทบทวนวรรณกรรมทเ่ี ก่ียวข้องพบวา่ การเล่นแบบไทยที่ชว่ ยพัฒนาความคลอ่ งแคล่ว
ของมือระบุว่า การเล่นตบแปะตามเพลง การเล่นอีตัก การเล่นสีซอ (การเล่นเชือกมือ)
การเล่นเป่ายิงฉบุ การเล่นหมากเก็บ และการเล่นหมากไม้ เป็นกิจกรรมการเลน่ แบบไทยที่สามารถ
พัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็กได้ (การเล่นแบบไทยกระตุ้นสมอง, ม.ป.ป; กินาดัล กังแฮ,
2561; ธันญาภรณ์ พิบูลย์พล และนิตยา โฆษา, 2559; ปวีณา พัวประเสริฐ, 2563; เมริษา
ย อ ด ม ณ ฑ ป , 2 5 6 1 ; Australian Seniors, 2016; Champion Pediatric Therapy, 2020;
Drobnjak, 2016) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีเอกสารที่ระบุว่าการเล่นแบบไทยดังกล่าวถูกนำมาใช้
ในงานกิจกรรมบำบดั เพ่ือพัฒนาความคล่องแคล่วของมอื ในเด็ก ผูว้ จิ ยั จึงคิดจะสำรวจการใช้การเล่น
แบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็ก เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงว่า
นักกิจกรรมบำบัดในปัจจุบันใช้การเล่นแบบไทยเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็กหรือไม่
ใช้กิจกรรมใดบา้ ง รวมถึงศึกษาความคดิ เห็นของนกั กจิ กรรมบำบดั ต่อการใชแ้ ละไม่ใช้การเล่นแบบไทย
และความ สนใจในการ นำการ เล่นแบบไท ยม าใช้ ในการปฏิบัติงานท างกิจกรร มบำบัดเพ ื่อพัฒนา
ความคล่องแคล่วของมือในเด็ก การศึกษานี้ผู้วิจัยจะศึกษาการเล่นแบบไทยของนักกิจกรรมบำบัด
ในเดก็ ช่วงอายุ 2-18 ปี เนอื่ งจากเป็นช่วงอายุทเ่ี หมาะกับการเล่นแบบไทย 6 ชนดิ ท่ีใช้ในการศกึ ษานี้

2

ทบทวนวรรณกรรม
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนา
ความคล่องแคล่วของมือในเด็ก ซึ่งได้เรียบเรียงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนำเสนอ
เป็นสาระสำคญั เรียงลำดับ ดังนี้
1. การเลน่ แบบไทย

1.1 ความหมายของการเล่นแบบไทย
1.2 ลักษณะการเล่นแบบไทย
1.3 การเลน่ แบบไทยที่ใชพ้ ัฒนาความคลอ่ งแคล่วของมือ

1.3.1 ตบแปะตามเพลง
1.3.2 อตี กั
1.3.3 สีซอ
1.3.4 เป่ายงิ ฉบุ
1.3.5 หมากเกบ็
1.3.6 หมากไม้
2. ความคล่องแคล่วของมอื
2.1 ความหมายของความคลอ่ งแคล่วของมอื
2.2 การพฒั นาการทำงานของมอื
2.3 ปจั จัยทม่ี ีอิทธิพลตอ่ พัฒนาการของเดก็
3. งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง

3

1. การเล่นแบบไทย
1.1 ความหมายของการเลน่ แบบไทย

การเล่นแบบไทย คือ การเล่นของสังคมที่ไม่ทราบที่มา แต่มีการยอมรับและถ่ายทอด
ต่อกันมาไม่ขาดสาย สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นกิจกรรมที่เด็กเล่นโดยความสมัครใจ
เกดิ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลิน อาจเล่นคนเดยี วหรอื เลน่ เปน็ กลุม่ ในขณะท่ีเล่นเดก็ จะเกดิ การเรียนรู้
ด้วยตนเอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการเด็กทั้ง 4 ด้าน อันได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย
จิตใจ-อารมณ์ สังคม และสติปัญญา อีกทั้งยังสรา้ งความเชื่อมั่นในตนเองด้วย (รัชฎวรรณ ประพาน
อ้างถึงใน “การละเล่นพื้นบา้ นไทย.”, 2557)

การเลน่ แบบไทย คือ การเล่นทใ่ี ห้ความเพลดิ เพลนิ และมคี ณุ ค่าแฝงอยู่ เชน่ ช่วยเสรมิ สร้าง
พัฒนาการของเด็กทง้ั 4 ด้าน ได้แก่ พฒั นาการดา้ นรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปญั ญา ช่วยให้เด็ก
มีทักษะการสังเกต มีไหวพริบ และช่วยให้เด็กสามารถเล่นร่วมกับเพื่อนได้ (จารุวรรณ ธรรมวัตร
อา้ งถงึ ใน “การละเล่นพ้นื บ้านไทย.”, 2557)

การเล่นแบบไทย คอื การเล่นที่ผเู้ ลน่ สมัครใจเคลื่อนไหวรปู แบบตา่ ง ๆ เน้นความสนุกสนาน
อาจเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่ม เป็นการถ่ายทอดของคนไทยจากรุ่นสู่รุ่น วัสดุในการเล่น
เป็นของใกล้ตัว หาได้ง่ายในท้องถิ่นของประเทศไทย มีกติกาการเล่นที่ไม่ซับซ้อน
การเล่นมีความยดื หยนุ่ สามารถปรับให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ได้ และมคี วามเหมาะสมกับวิถีชีวิต
และวฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ (ฟาลาตี หมาดเต๊ะ, 2557)

จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การเล่นแบบไทย คือ การเล่นของสังคม
ที่มีการยอมรับและถ่ายทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นกิจกรรมที่ผู้เล่นสมัครใจเคลื่อนไหว
รูปแบบต่าง ๆ เน้นความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ อาจเล่นคนเดยี วหรือเลน่ เปน็ กลมุ่ วสั ดทุ ใี่ ช้ในการเล่น
หาได้ง่าย วิธีการเล่นมีความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เหมาะสมกับส ถานการณ์ต่าง ๆ ได้
การเล่นแบบไทยจะช่วยเชื่อมโยงประสบการณ์ทางสังคม ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย
จิตใจ-อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ทั้งยังช่วยสร้างความภูมิใจและความเชื่อมั่นในตนเอง
และช่วยใหเ้ ด็กสามารถปรบั ตวั ในการทำกจิ กรรมร่วมกบั ผอู้ ื่นได้อย่างมคี วามสขุ

4

1.2 ลกั ษณะการเลน่ แบบไทย
นกั มานุษยวิทยาและนกั คติชนไดส้ รุปลกั ษณะการเลน่ แบบไทยวา่ มีลกั ษณะเป็นทั้ง “play”

และ “game” คือการเล่นแบบไทยบางชนิดไม่เน้นการแข่งขัน แต่เล่นเพื่อความสนุกสนาน เช่น
เล่นจ้ำจี้ เล่นขายของ ตบแปะตามเพลง เป็นต้น ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายกับคำว่า “play” ในขณะที่
การเล่นแบบไทยบางชนิดเป็น “game” เพราะเป็นการเล่นที่มีการแข่งขัน มีกฎเกณฑ์ที่ใช้ใน
การตัดสิน เช่น อีตัก นอกจากนี้ ยังมีการเล่นแบบไทยที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างการเล่นเพื่อ
ความสนุกและการเลน่ ที่มีกตกิ ายืดหยุ่นด้วย (สมจนิ ตนา คปุ ตสุนทร, 2547)

ธิดา โมสิกรัตน์ (อ้างถึงใน สมจินตนา คุปตสุนทร, 2547) กล่าวว่า การเล่นแบบไทย
มีลักษณะเป็นกิจกรรมทางสังคม เปิดโอกาสพบปะเพื่อสร้างสัมพันธ์กัน มีลักษณะเป็นกิจกรรม
นันทนาการทำให้ได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เบิกบานใจ สุขภาพกายและจิตดี เป็นการเลน่ ท่ี
ไม่เคร่งครัดจริงจัง กติกาในการเล่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ หรือสภาพแวดล้อม
ขณะเลน่ ดังนน้ั จึงอาจพบวา่ การเล่นแบบไทยอย่างหนง่ึ ๆ อาจมวี ธิ ีการเล่นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ
การดัดแปลงวิธีการเล่นให้มีความเหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น โดยอาจมีการดัดแปลงในเรื่องของ
บทร้องประกอบการเลน่ กตกิ า หรืออปุ กรณ์ทใี่ ช้ในการเล่น เป็นต้น

1.3 การเลน่ แบบไทยทีใ่ ชพ้ ัฒนาความคล่องแคล่วของมือ
การเล่นแบบไทยนั้นมีหลายชนิด ซึ่งกรมพละศึกษารวบรวมไว้ได้ถึง 1 ,200 ชนิด

โดยสามารถแบ่งการเล่นได้เป็นการเล่นกลางแจ้งและการเล่นในร่ม ทั้งที่มีบทร้องและไม่มีบทร้อง
และพบการเลน่ แบบไทยได้ท้ังในเดก็ และผใู้ หญ่ (พรทพิ ย์ เกยรุ านนท์, 2556)

การศึกษานี้ ผู้วิจัยได้คดั เลือกการเลน่ แบบไทยที่เป็นการเล่นในร่ม 6 ชนิด ได้แก่ ตบแปะ
ตามเพลง อีตัก สีซอ (การเล่นเชือกมือ) เป่ายิงฉุบ หมากเก็บ และหมากไม้ ซึ่งเป็นการเล่นแบบไทย
ที่ใชพ้ ฒั นาความคล่องแคลว่ ของมอื การเล่นทั้ง 6 ชนิดน้เี ปน็ การเล่นทใี่ ช้อปุ กรณ์ในการเล่นไมม่ ากนัก
และอุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น กติกาในการเล่นไม่ซับซ้อน วิธีการเล่น
มีความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับสถานที่และความต้องการของผู้เล่นได้หลากหลายรูปแบบ
อีกทั้งยังมีเอกสารท่ีระบุว่าการเล่นแบบไทยข้างต้นสามารถใช้ในการพัฒนาความคลอ่ งแคล่วของมือ
ในเดก็ ได้ ดังนี้

5

การเล่นตบแปะตามเพลง มีส่วนช่วยในการพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ ส่งเสริม
พัฒนาการดา้ นกลา้ มเน้อื มดั เล็กทีม่ อื และตาของเดก็ ฝกึ การตอบสนองอยา่ งฉับไว ฝึกสหสัมพันธ์ของ
ตาและมือ และฝึกสหสมั พนั ธใ์ นการใช้มอื ท้ังสองข้าง (เมริษา ยอดมณฑป, 2561)

การเล่นอีตกั ช่วยให้เด็กไดฝ้ ึกการใชส้ ายตา ส่งเสรมิ ให้เกดิ ความคลอ่ งแคล่วของมือและน้ิว
ฝึกการใช้กำลังและการกะระยะในการใช้กระดาษตักวัตถุทีละนิด (การเล่นแบบไทยกระตุ้นสมอง,
ม.ป.ป)

การเล่นสีซอ (การเล่นเชือกมือ) หรือเกมพันด้าย มีประโยชน์ในแง่ของการฝึก
ความคล่องแคล่วของมือและนิ้ว (hand and finger dexterity) ตอนวางแผนการใช้นิ้วแต่ละนิ้ว
ในการเกี่ยวเชือกไปมา ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของมือและนิ้ว (hand and finger strength)
ในการทรงท่ากางมือไว้ ไม่งอนิ้วขณะเล่น ฝึกการทำงานประสานกันของมือทั้งสองข้าง (bilateral
hand coordination) ฝึกสหสัมพันธ์ของมือกับตา (eye-hand coordination) ช่วยให้มือและนิ้ว
มีความยืดหยุ่น (hand and finger flexibility) (ปวีณา พัวประเสริฐ, 2563; Australian Seniors,
2016)

การเลน่ เปา่ ยิงฉบุ ชว่ ยใหเ้ ด็กไดพ้ ัฒนาทักษะของกล้ามเน้ือมัดเลก็ ความแข็งแรงของแขน
และมือ ส่งเสริมใหเ้ กิดความยืดหยุ่นในการงอและเหยยี ดนิ้วมือในเด็ก ส่งเสริมความคล่องแคลว่ ของ
มือและการทำงานแบบแยกนว้ิ (Champion Pediatric Therapy, 2020; Drobnjak, 2016)

การเลน่ หมากเก็บและหมากไม้ ชว่ ยพฒั นาความคล่องแคล่วของมือในเด็ก ส่งเสริมการใช้
กล้ามเนื้อมัดเล็ก ฝึกใช้กล้ามเนื้อมือให้มีความว่องไว ช่วยด้านประสาทสัมพันธ์เพราะใช้อวัยวะ
หลายอย่างทำงานพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เช่น การประสานงานระหว่างมือกับตาในการกะระยะ
ขณะทโี่ ยนวัตถขุ ้นึ ไปในอากาศและการกะกำลังมือในการโยนวัตถุให้สูงและรบั ใหท้ ัน ทั้งยงั ชว่ ยพัฒนา
ในเรื่องของการรู้จำนวน และการใช้สมาธิในการโยนแลว้ รับ (การเล่นแบบไทยกระตุ้นสมอง, ม.ป.ป;
กินาดัล กงั แฮ, 2561; ธันญาภรณ์ พิบลู ย์พล และนิตยา โฆษา, 2559)

สรุปได้ว่า การเล่นตบแปะตามเพลง การเล่นอีตัก การเล่นสีซอ (การเล่นเชือกมือ)
การเล่นเป่ายิงฉุบ การเล่นหมากเก็บ และการเล่นหมากไม้ ล้วนเป็นการเล่นแบบไทยที่มีส่วนช่วย
ในการพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเดก็ ซ่ึงรายละเอยี ดของการเลน่ แตล่ ะประเภท มดี ังนี้

6

1.3.1 ตบแปะตามเพลง คอื การเล่นแบบไทยทีใ่ ชม้ ือเปน็ หลัก ต้องมผี เู้ ลน่ อย่างนอ้ ย 2 คน
อุปกรณ์ประกอบการเลน่ : ไม่ใช้
วิธีการเล่น: ใช้มือสัมผัส/ตบมือเข้าจังหวะกับผู้เล่นคนอื่น เพลงที่ใช้ประกอบการเล่น

และรูปแบบการตบแปะตามเพลงมีความหลากหลายและมีการแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ตัวอย่าง
เพลงประกอบการเล่น เช่น การเล่นตบแปะตามเพลง: ปิงป่องแช่ แสดงในภาพที่ 1 การเล่นตบแปะ
ตามเพลง: ยา หยา่ ย่า แสดงในภาพท่ี 2 เป็นต้น

ภาพที่ 1 การเลน่ ตบแปะตามเพลง: ปงิ ปอ่ งแช่

ภาพที่ 2 การเล่นตบแปะตามเพลง: ยา หยา่ ยา่

7

1.3.2 อีตกั คือการเลน่ ท่ีใชท้ ักษะการตักวัตถุเปน็ หลัก แสดงในภาพที่ 3

ภาพที่ 3 การเล่นอีตกั
ที่มา: https://www.trueplookpanya.com/blog/content/58003

อุปกรณ์ประกอบการเล่น: กระดาษแข็ง กว้าง 2 นิ้ว ยาว 2 นิ้ว (พับปลายสองด้าน
ซ้อนทับกัน ให้มีลักษณะคล้ายรูปช้อนใช้สำหรับตัก) เมล็ดน้อยหน่าหรือเมล็ดมะขาม และชอล์ก
(ใชข้ ดี พน้ื ใหเ้ ปน็ กรอบวงกลม)

วธิ ีการเลน่ :
1) ใช้ชอล์กขีดเส้นวงกลมลงบนพื้นไม้หรือปูนที่เป็นพื้นเรียบ ขนาดของวงกลมขึ้นอยู่กับ
จำนวนผ้เู ลน่ และการตกลงกนั ว่าจะลงเมลด็ มะขามคนละก่เี มลด็
2) ผู้เริ่มเล่นคนแรกทอดเมล็ดมะขามกองกลางทั้งหมดลงบนพื้น โดยให้อยู่ภายในบรเิ วณ
กรอบวงกลมที่ใช้ชอลก์ ขีดเส้นไว้ ถ้าเมล็ดมะขามกระจายออกนอกเส้นหรือทับเส้น ผู้เล่นคนนั้นก็จะ
หมดสทิ ธเ์ิ ล่น ให้สลับผเู้ ล่นคนถัดไปทอดใหม่ จนกว่าจะทอดเมลด็ มะขามลงบนพ้ืนไดภ้ ายในบริเวณที่
กำหนดได้
3) ผู้ท่ไี ด้เริ่มกอ่ นใช้กระดาษท่พี บั เปน็ ชอ้ นแล้วตกั เมล็ดมะขามทีละนอ้ ย เดมิ กำหนดทลี ะ 1
เมลด็ (สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม) โดยไมท่ ำใหเ้ มลด็ อืน่ ท่ไี ม่ไดต้ ักเคลือ่ นไหว
4) หากผู้เล่นเขี่ยโดนเมล็ดอ่ืนเคลื่อนไหว ถือว่า “ตาย” ต้องหยุดเล่นแล้วสลับตากับผ้เู ลน่
คนอ่ืน โดยให้ผู้ทเี่ ลน่ ตอ่ ทอดเมลด็ มะขามใหมใ่ ห้อย่ภู ายในวงกลมกอ่ นเรม่ิ ตักทกุ รอบ
5) เมื่อเมล็ดมะขามบนพื้นถูกตักหมดถือว่าจบเกม ใครตักได้เท่าไหร่ก็เป็นเจ้าของเมล็ด
มะขามทีต่ ักได้ ผู้ที่ตักไดจ้ ำนวนเมล็ดมะขามมากสดุ เปน็ ผูช้ นะในตานนั้ ไป

8

1.3.3 สซี อ (การเลน่ เชือกมือ) คือการผูกด้ายหรือเชอื กเป็นวงกลม แล้วใช้มอื สองข้างพนั ดา้ ยสลับกัน
ไปมากบั ผเู้ ล่นคนอ่ืน แสดงในภาพท่ี 4

ภาพท่ี 4 การเล่นสีซอ (การเลน่ เชอื กมือ)
ทมี่ า: https://www.sac.or.th/databases/folktoys/item.php?id=86
อุปกรณ์ประกอบการเล่น: เชือกหรอื ดา้ ยยาว 140-180 เซนติเมตร (ผกู ใหเ้ ปน็ วงกลม)
วธิ กี ารเล่น:
1) ผเู้ ลน่ คนแรกหนั ฝ่ามอื เข้าหากัน นว้ิ ตง้ั ตรงช้ขี น้ึ คลอ้ งเชอื กดว้ ยน้วิ หัวแม่มือและน้ิวก้อย
ท้งั สองขา้ ง จะไดเ้ ชอื กทม่ี ีลกั ษณะเปน็ ส่ีเหล่ียมผืนผ้า แสดงในภาพท่ี 4 ก)
2) สอดนิว้ กลางไปทเ่ี ชือกท่ีทแยงบริเวณกลางฝา่ มอื ฝ่ังตรงข้าม ทำท้งั สองข้าง จะได้เชือกที่
มีปมไขว้กันตรงกลาง 2 ปม มเี สน้ ตรงขนานกนั ด้านนอกอย่ดู า้ นละเสน้ แสดงในภาพที่ 4 ข)

ภาพที่ 4 ก) การเลน่ สีซอ: ทา่ ข้นั ที่ 1

ภาพที่ 4 ข) การเล่นสซี อ: ทา่ ขนั้ ท่ี 2
9

3) ผู้เลน่ คนท่ี 2 สอดมือขา้ งหนึ่งเข้าระหวา่ งเชอื กเสน้ ทเี่ ป็นปมกบั เชือกเส้นขนาน ใช้มือกด
เชอื กเส้นขนานทัง้ สองเส้นลง ผู้ถอื เชือกอยใู่ นทา่ พนมมอื แสดงในภาพที่ 4 ค)

ภาพท่ี 4 ค) การเล่นสซี อ: ทา่ ขนั้ ที่ 3
4) ผู้เลน่ คนที่ 2 นำห่วงเชือกทีอ่ ยู่ฝัง่ น้ิวกอ้ ยคลอ้ งข้ามมือไปไว้ระหว่างน้ิวชี้กับน้ิวหัวแม่มือ
และนำห่วงเชือกที่อยู่ฝั่งนิ้วหัวแม่มือคล้องข้ามมือมาไว้ระหว่างนิ้วนางและนิ้วก้อย เมื่อผู้ถือเชือก
กางมือจะได้เชือกทอ่ี ยูใ่ นลักษณะไขวก้ ัน 2 เสน้ แสดงในภาพที่ 4 ง)

ภาพที่ 4 ง) การเล่นสซี อ: ทา่ ขนั้ ที่ 4
5) ผู้เล่นคนที่ 2 ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชีท้ ั้งสองข้างจับปมไขว้สอดลงใต้เส้นตรงด้านนอก

ทั้งสองฝั่ง บิดข้อมือขึ้น ดึงเชือกออกจากมือผู้ถือเชือกคนแรก เชือกจะมีลักษณะไขว้กันเป็นตาราง
ขนมเปียกปูนเล็ก ๆ มีปมไขว้ 4 ปม ประกอบด้วยปมด้านข้าง 2 ปม และปมด้านหน้ามือ 2 ปม
ในมอื ของผเู้ ล่นคนที่ 2 แสดงในภาพท่ี 4 จ)

10

ภาพที่ 4 จ) การเลน่ สีซอ: ทา่ ขน้ั ที่ 5
6) ผู้เล่นคนแรกใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างจับปมด้านข้างยกขึ้นมา สอดลงใต้
เส้นเชอื กด้านนอกแลว้ บดิ ขอ้ มือข้ึนระหว่างช่องว่าง ดึงเชือกออกจากมอื ผถู้ ือ จะไดเ้ ชือกรูปเส้นขนาน
2 เส้นอยู่ตรงกลาง และคู่ขนาน 1 คู่ด้านนอก แสดงในภาพท่ี 4 ฉ)

ภาพที่ 4 ฉ) การเล่นสซี อ: ท่าขัน้ ท่ี 6
7) ผเู้ ล่นคนท่ี 2 ใช้น้วิ ก้อยท้งั สองข้างเก่ยี วเส้นขนานดา้ นในของฝั่งตรงข้ามสลับกันทีละเส้น
โดยเกี่ยวไขว้มา จากนั้น ใช้นิ้วหัวแม่มือสอดใต้เส้นคู่ขนานด้านนอก บิดข้อมือขึ้น แล้วดึงเชือกออก
จากมือของผู้เล่นคนแรก จะได้เชือกมีลักษณะเป็นเส้นคู่ขนานด้านบน มีปมไขว้กัน 2 เส้นด้านล่าง
แสดงในภาพที่ 4 ช)

ภาพท่ี 4 ช) การเลน่ สซี อ: ทา่ ขน้ั ที่ 7
11

8) ผูเ้ ล่นคนแรกจบั ปมสอดลงระหว่างเส้นคูข่ นานด้านบน ควำ่ ขอ้ มือลง ดึงเชอื กออกจากมือ
ของผู้เล่นคนที่ 2 จะได้เชือกที่มีปมรปู ส่เี หล่ียมขนมเปียกปนู แสดงในภาพท่ี 4 ซ)

ภาพท่ี 4 ซ) การเล่นสซี อ: ทา่ ขัน้ ที่ 8
9) ผ้เู ลน่ คนทีส่ องจับปมด้านขา้ งกดลงด้านล่าง สอดใต้เส้นตรงดา้ นนอกทงั้ สองฝงั่ บดิ ข้อมือ
ขึ้น ดงึ เชือกออกจากมือคนแรก เชอื กจะไขว้กนั เป็นตารางขนมเปยี กปูนอันใหญ่ แสดงในภาพท่ี 4 ฌ)

ภาพที่ 4 ฌ) การเลน่ สีซอ: ทา่ ขั้นที่ 9
10) ผเู้ ล่นคนแรกจบั ปมดา้ นข้างยกขน้ึ บิดขอ้ มอื หงาย จะไดเ้ ชือกรปู สเี่ หลย่ี มขนมเปียกปูน
ทม่ี ีเสน้ คขู่ นานอยู่ตรงกลาง ผเู้ ล่นอีกคนจะได้สีซอ โดยดึงเส้นคู่ขนานตรงกลางไปทิศทางตรงข้ามกัน
ในแนวขนึ้ -ลงไปมาเหมอื นเวลาสีซอ แสดงในภาพท่ี 4 ญ)

ภาพท่ี 4 ญ) การเล่นสีซอ: ทา่ ขั้นที่ 10
12

1.3.4 เป่ายิงฉุบ คือกิจกรรมการเล่นที่ฝึกการเหยียดและงอนิ้วเพื่อทำท่าต่าง ๆ แสดงในภาพที่ 5
พบได้ในการเล่นแบบอืน่ เช่น การเล่นตบแปะ โดยมากจะใชผ้ ลแพ้ชนะจากการเปา่ ยิงฉุบเป็นเกณฑ์
ตดั สินเพือ่ กระทำส่ิงตา่ ง ๆ เชน่ การเลอื กผูเ้ ลน่ คนแรก การเลอื กผู้ออกคำส่งั เปน็ ต้น นิยมเล่นเป็นคู่

ภาพท่ี 5 การเลน่ เป่ายงิ ฉบุ
ทม่ี า: https://www.timeforkids.com/k1/rock-paper-scissors/
อุปกรณป์ ระกอบการเล่น: ไม่มี
วธิ กี ารเล่น:
1) ผู้เล่นทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน เริ่มต้นด้วยท่ากำมือ (ให้ใช้มือได้เพียงข้างใดข้างหนึ่ง
เทา่ นัน้ ในการเปา่ ยงิ ฉบุ )
2) ผูเ้ ล่นออกท่าพรอ้ มกนั เมื่อพดู คำวา่ “ฉุบ” โดยท่าในการเป่ายิงฉุบมี 3 ทา่ ได้แก่ ทา่ ค้อน
(กำมอื ) ทา่ กรรไกร (เหยยี ดน้ิวช้แี ละนิว้ กลาง น้ิวท่เี หลอื งอ) และทา่ กระดาษ (เหยียดน้ิวมือท้ัง 5)
3) ดูว่าใครเป็นผู้ชนะ โดยท่าค้อนชนะท่ากรรไกร ท่ากรรไกรชนะท่ากระดาษ และ
ท่ากระดาษชนะท่าคอ้ น หากออกทา่ เหมือนกันถอื วา่ “เสมอ” และให้ผเู้ ลน่ ทั้งคเู่ ป่ายิงฉุบใหม่จนกว่า
จะได้ผู้ชนะ บางครั้งก็นับจำนวนอัตราส่วนครั้งทีช่ นะ เช่น ชนะ 2 ใน 3 ครั้ง หรือชนะ 3 ใน 5 คร้ัง
เป็นต้น

13

1.3.5 หมากเก็บ คือการเล่นทีใ่ ช้มือจับและปล่อยวัตถอุ ย่างคล่องแคล่วแม่นยำ แสดงในภาพท่ี 6

ภาพท่ี 6 การเลน่ หมากเกบ็
ท่ีมา: https://www.redegb.com/2020/05/09/กีฬาหมากเกบ็ /

อุปกรณ์ประกอบการเล่น: ก้อนหินทีม่ ีลักษณะกลม จำนวน 5 ก้อน ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้
โซ่พลาสตกิ ขนาดเลก็ รอ้ ยเปน็ กอ้ นกลม ๆ เรียกว่า “หมาก”

วธิ ีการเลน่ :
1) ให้แต่ละคนเสี่ยงทายว่าใครจะได้เล่นก่อนด้วยการ “ขึ้นร้าน” คือให้ถือหมากทั้ง 5
แลว้ โยนข้นึ ใช้หลังมอื รับ จากนนั้ พลกิ มอื กลบั รับหมากอีกทดี ว้ ยฝ่ามือ ใครเหลือหมากท่ีรับด้วยฝ่ามือ
มากสุดเป็นผู้เล่นกอ่ น
2) ผู้เล่นคนแรกเริ่มเล่น “หมาก 1” โดยทอดหมากห่าง ๆ กัน เลือก “ลูกนำ” 1 เม็ด
โยนเม็ดนำขึ้น และเก็บหมากบนพื้นทีละเม็ดพร้อมกับรับลูกนำที่ หล่นลงมาให้ทันก่อนถึงพื้น
ถ้ารับลูกนำไม่ได้หรือทำให้หมากเม็ดอื่นบนพื้นขยับถือว่า “ตาย” ต้องสลับให้ผู้เล่นคนอื่นเล่น
ถ้าเล่นผา่ นหมาก 1 โดยไม่ตายก็เล่นหมาก 2 3 4 ตอ่
3) “หมาก 2” ให้เกบ็ หมากบนพนื้ ทลี ะ 2 เม็ด
4) “หมาก 3” ให้เกบ็ หมากบนพ้ืนทีละ 3 เม็ด
5) “หมาก 4” ไม่ต้องทอดหมากลงพื้น ให้ใช้มือถือหมากทั้งหมดไว้ หยิบลูกนำโยนขึ้นไป
บนอากาศ แล้ว “โปะ (วาง/ปล่อย)” หมากทั้งหมดลงพื้นพร้อมรับลูกนำให้ทัน จากนั้นโยนลูกนำ
ขึ้นอีกครั้งแล้วใช้มือเดียวรวบหมากทั้งหมดบนพน้ื พร้อมรับลกู นำให้ทัน

14

6) เม่ือผา่ นหมาก 4 ให้ทำการ “ขึ้นร้าน” เพื่อเก็บแตม้ โดยจะกำหนดแตม้ ไว้ตอนตน้ เกมว่า
หากใครถึงก่อนเป็นผชู้ นะไป ถา้ ผเู้ ลน่ ตายหมากไหน กใ็ ห้เริ่มท่ีหมากเดมิ เล่นวนหมาก 1 – 4 จนกว่า
จะได้แตม้ ครบ หากแตม้ เกนิ ทกี่ ำหนด ต้องเรมิ่ ตน้ นบั แตม้ ใหมโ่ ดยถือเอาแต้มท่เี กนิ เป็นแต้มตั้งต้น

1.3.6 หมากไม้ คือการเล่นที่ฝึกใช้มือจับและปล่อยวัตถุอย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ เช่นเดียวกบั
การเลน่ หมากเก็บ แสดงในภาพที่ 7 แต่มรี ายละเอยี ดการเลน่ แตกต่างจากการเลน่ หมากเก็บ

ภาพท่ี 7 การเลน่ หมากไม้
ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=iNdVSEZIkns

อุปกรณ์ประกอบการเลน่ : ไมไ้ ผห่ รอื ตะเกียบ 10 อนั (ความยาว 5-6 นวิ้ เส้นผา่ ศูนย์กลาง
ประมาณ 0.5 เซนตเิ มตร) และลกู มะนาวหรือลกู หมากขนาดทส่ี ามารถกำได้พอดีมือ

วิธีการเล่น:
1) ผู้เลน่ นงั่ ล้อมวงหันหนา้ เขา้ หากนั โอนอ้ ยออก/เป่ายงิ ฉุบเพ่ือเลอื กผเู้ ร่มิ เลน่ ก่อน
2) ผู้เลน่ คนแรกทอดไม้ลงบนพนื้ ใชม้ ือขา้ งถนดั ถือลูกมะนาวโยนขน้ึ ไปบนอากาศพร้อมกับ
หยิบไม้ 1 ชิ้นจากพื้นด้วยมือข้างเดิม แล้วรีบสลับไม้ไปไว้ที่มืออีกข้างหนึ่ง พร้อมกับรับลูกมะนาว
ให้ทันก่อนจะตกพน้ื หากมะนาวตกพื้นถอื วา่ “ตาย”
3) การเลน่ มหี ลายทา่ แตล่ ะท้องถ่นิ อาจมจี ำนวนหรือท่าในการเล่นทแ่ี ตกต่างกัน ตวั อย่างท่า
ทีใ่ ช้ในการเล่นหมากไม้ เช่น ท่าอเี ก็บ ท่าอีแหย ท่าอคี ีบ ทา่ อคี วง เปน็ ตน้
4) ใครตายก็ต้องหยุดและเวียนให้ผู้เล่นคนอื่นเล่น จนกว่าจะกลับมาถึงรอบตัวเองอีกคร้ัง
หากผใู้ ดเลน่ ไดค้ รบท่าก่อนคนอ่นื ถอื ว่าเป็นผูช้ นะ

15

2. ความคลอ่ งแคลว่ ของมอื
2.1 ความหมายของความคลอ่ งแคลว่ ของมอื

Wang, Bohannon, Kapellusch, Garg, and Gershon (2015) กล่าววา่ ความคลอ่ งแคล่ว
ของมือ คือ ความสามารถของบุคคลในการทำงานประสานกันของนิ้วมือและการจัดการวัตถุ
โดยกระทำในระยะเวลาทเี่ หมาะสม

Dizmen (2015) กล่าวว่า ความคล่องแคล่วของมือ คือ การเคลื่อนไหวน้ิวมือซึ่งรวมถึง
การหยิบจับวัตถุขนาดเล็ก ความมั่นคงในการใช้อุปกรณ์ขนาดเล็ก ความเร็ว และความแม่นยำ
ในการเคลอ่ื นไหวชว่ งส้ัน ๆ

American Dental Education Association (2015) กล่าวว่า ความคล่องแคล่วของมือ
คือ ความสามารถในการใช้มืออย่างเชีย่ วชาญ ทำงานประสานกันในการกำ หยิบ จับ การจัดการกบั
วัตถุ และการทำการเคล่อื นไหวเลก็ นอ้ ยไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งแม่นยำ

ความคล่องแคล่วของมือ คือ ความสามารถในการประสานสัมพนั ธ์การเคลื่อนไหวของมอื
ดว้ ยความรวดเรว็ และแมน่ ยำ เกิดจากความสามารถพน้ื ฐาน คือ ปฏกิ ิริยาที่รวดเรว็ รว่ มกับการทำงาน
ของกล้ามเนือ้ โดยความคลอ่ งแคล่วของมือมคี วามสำคัญต่อการใชม้ อื เพ่ือทำงานต่าง ๆ ใหส้ ำเร็จและ
มีประสิทธภิ าพในระยะเวลาทเ่ี หมาะสม (นันทณี เสถยี รศกั ดพ์ิ งศ์, 2560)

จากความหมายที่กล่าวมาขา้ งต้น สรปุ ได้ว่า ความคล่องแคลว่ ของมอื คือ การเคล่อื นไหวมอื
ใหท้ ำงานประสานกนั เพือ่ หยิบจับหรือจดั การกบั วตั ถไุ ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และถกู ตอ้ งแมน่ ยำ

2.2 การพฒั นาการทำงานของมือ
การพัฒนาทักษะการใช้มือของมนุษย์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาซึ่งเป็น

การเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณและพัฒนาสมบูรณ์เต็มที่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ในช่วง 2-3 ปีแรก
ทักษะการใชม้ ือของเด็กมีพฒั นาการอย่างรวดเรว็ และโดดเด่นช่วยใหเ้ ด็กได้สำรวจวัตถุและสิง่ แวดล้อม
รอบตัว การเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณในช่วงแรกนั้นเป็นการเคลื่อนไหวทั่วไปที่มีลักษณะ
ไม่เฉพาะเจาะจง ทารกใช้การเคลื่อนไหวนั้นเพื่อสำรวจสิ่งรอบตัวและเก็บรวบรวมข้อมูลจาก
สิ่งแวดล้อมไว้ ประสบการณ์การรับความรู้สกึ ทีไ่ ด้นี้จะนำไปสู่การพัฒนาการควบคุมการเคลื่อนไหว
ของมือแบบต้ังใจ (voluntary controlled hand movement) การเคลื่อนไหวแบบไมเ่ ฉพาะเจาะจง

16

จะพัฒนาต่อไปเป็นการเคลื่อนไหวแบบสำรวจที่เริ่มจากรูปแบบการกำขั้นพื้นฐานและพัฒนาไปสู่
การเคลือ่ นไหวทม่ี ีความแม่นยำ สามารถจดั การกับวัตถุไดอ้ ยา่ งคล่องแคลว่ มากขึ้น (Wolff, 2020)

ทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานของมือประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ (Wolff, 2020) ได้แก่
การจำวัตถุได้ (recognition of an object) ความแม่นยำในการเอื้อมไปยังวัตถุ (accurate reach
for the object) ตำแหน่งท่ีเหมาะสมของมือ (proper hand orientation) ระยะทีเ่ หมาะสมในการ
เปิดมือเพื่อจับวัตถุ (proper hand opening) แรงที่เหมาะสมในการกำวัตถุแต่ละชนิด (proper
forces to grasp) และการกำและการจัดการกับวัตถุด้วยมือเดียวหรือสองมือ ( grasp and
manipulation of the object with one or both hands)

ทักษะการใช้มือแบบสมบูรณ์พัฒนาจากปฏิสัมพันธ์ท่ีซับซ้อนของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
และการเจริญเติบโตของระบบประสาทส่วนกลาง อันได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น
การควบคุมการทรงท่าของร่างกาย (postural control) ความสามารถในการรับรู้และ
ความคิดความเข้าใจ (cognitive and perceptual abilities) การมองเห็น (vision) ประสบการณ์
การรบั ความรูส้ กึ (sensory experiences) และการมีปฏิสมั พันธก์ บั ส่งิ แวดลอ้ ม (Wolff, 2020)

รปู แบบท่ัวไปของทักษะการใช้มอื มกี ารพัฒนาอยา่ งเป็นลำดบั ขนั้ ในช่วงอายทุ ี่เฉพาะเจาะจง
โดยมีความแตกต่างกันตามพัฒนาการของแต่ละบุคคลและสอดคล้องกับการเจรญิ เติบโตของระบบ
ประสาทส่วนกลาง อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์การรับความรู้สึกมีผลอย่างมากต่อ
การเปล่ียนแปลงน้ี ประสบการณก์ ารรับความรูส้ กึ ด้านการมองเห็น การสัมผัส และการรบั รผู้ ่านข้อตอ่
มบี ทบาทสำคญั ต่อการพัฒนาทกั ษะการใชม้ อื การกระตุ้นการรบั ความรู้สึกและการมองเห็นนำมาซ่ึง
การสะทอ้ นกลับ (feedback) ทสี่ ำคัญตอ่ การพัฒนาทกั ษะการใชม้ อื อย่างตอ่ เนื่อง ผู้ดแู ลหรือผู้บำบัด
สามารถจัดสภาพแวดล้อมเพ่ือส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาการในเดก็ ปกติและในเด็กทีม่ ีพัฒนาการ
ไม่ปกตไิ ด้ (Wolff, 2020)

Wolff (2020) กล่าวว่าการทำความเข้าใจถึงทักษะการใช้มือว่ามีการพัฒนาจาก
การเคลื่อนไหวพื้นฐานแบบหยาบ ๆ ไปสู่รูปแบบการเคลื่อนไหวที่มีความแม่นยำได้อย่างไรน้ัน
จะตอ้ งทราบความร้พู ้นื ฐานเก่ียวกับพัฒนาการการเคลอื่ นไหวของทกั ษะท่ีจำเป็นสำหรบั การใช้มือทำ
กิจกรรมต่าง ๆ อันประกอบด้วย การเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ การพัฒนาทักษะการใช้มอื เดียว
และการพัฒนาทกั ษะการใช้สองมือ รายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบ มีดงั น้ี

17

1) การเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ (Spontaneous movements)
การเคลื่อนไหวแรกที่ทารกแสดงออกเป็นการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ โดยเป็น

การเคลื่อนไหวที่ไม่มีความเฉพาะเจาะจง เคลื่อนไหวอย่างไร้เป้าหมายและดูเหมือนจะเป็น
การเคลื่อนไหวโดยบังเอิญหรือการเคลื่อนไหวแบบสุ่ม (random movements) ไม่มีการแยกส่วน
ของรยางค์สว่ นบนของร่างกาย พบไดท้ ั้งในแขนและขา

การเคลื่อนไหวแขนครั้งแรกพบในระหว่างที่อยู่ในครรภ์มารดาได้ 8 สัปดาห์และต่อเนื่อง
จนกระทั่งคลอดออกมา การเอ้ือมอย่างมีจุดมุ่งหมายปรากฏข้ึนเม่ืออายุ 16 สัปดาห์ การเคลือ่ นไหว
แรกของตัวอ่อนในครรภ์จะมีความแปรปรวนอย่างมากจนกระทั่งมีอายุครรภ์ 36-38 สัปดาห์
การเคลื่อนไหวแบบนีจ้ ะถูกแทนที่ด้วยการเคลื่อนไหวแบบบิดหรือการด้ิน (writhing movements)
ที่สังเกตได้ในช่วง 36 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์จนถึง 2 เดือนหลังคลอด โดยเป็นการเคลื่อนไหว
ทเ่ี กดิ ในส่วนตน้ มรี ะดับความเร็วและความถนี่ อ้ ยถึงปานกลาง การเคล่ือนไหวตอ่ มาคอื การเคล่ือนไหว
แบบกระสับกระส่าย (fidgety movement) ในช่วงหลัง 2 เดือนถึง 5 เดือน มีการเคลื่อนไหวมาท่ี
ส่วนปลายมากขึ้น ความเร็วและความถี่ในการเคลื่อนไหวน้อยลง แต่ยังมีความไม่แน่นอน
ในการเคล่ือนไหวนนั้ อยู่

การเคลื่อนไหวแบบไม่เฉพาะเจาะจงของแขนนี้จะนำไปสู่การเอื้อมและการกำ
ซึ่งมีการอธิบายไว้ในวรรณกรรมว่าเป็นพฤติกรรมก่อนจะมีการเอื้อม (prereaching behavior)
เน่อื งจากการเคลอ่ื นไหวน้ีจะทำใหท้ ารกได้สำรวจร่างกายตนเองและสภาพพื้นผิวของส่ิงต่าง ๆ รอบตัว
เพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มูลไว้สำหรับการพัฒนาไปสู่การเอื้อมและการกำต่อไป หากไม่มีการเคลื่อนไหว
ตามสัญชาติญาณหรือมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเกิดขึ้นนั่นหมายถึงเด็กจะมีความเสี่ยงสูง
ของความผิดปกติทางระบบประสาทในภายหลังได้ ในทางกลับกัน หากมีการเคลื่อนไหวแบบปกติ
กส็ ามารถคาดการณไ์ ดว้ า่ เดก็ จะมพี ฒั นาการทีป่ กติดว้ ย

2) การทำงานของมอื ขา้ งเดยี ว (Unimanual function)
2.1) การเอื้อมมือเดยี ว (Unimanual reaching)

การเคลอื่ นไหวแบบตัง้ ใจและมีจุดมงุ่ หมายเรมิ่ ขึน้ เมอ่ื มนษุ ยอ์ ายุ 3 เดือน โดยเข้ามาแทนที่
การเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวนี้สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลง
พฒั นาการในกระบวนการของระบบประสาทส่งั การ

18

การเอ้ือมทพ่ี บในชว่ งแรกของทารกสามารถแบ่งแบบกว้าง ๆ ได้ 2 ประเภท คอื การเอื้อม
ไปยังวัตถุ เป็นการเอื้อมที่นำไปสู่การกำ (reach-to-grasp) และการเอื้อมมายังตัวเองคือการนำมอื
เอื้อมมายังใบหน้าตนเอง (ส่วนมากจะเอื้อมมายังปากและตา) การเอื้อมทั้งสองแบบนี้ใช้
การเคลอ่ื นไหวอย่างมีทศิ ทางของแขนรว่ มดว้ ย ซงึ่ การเออื้ มทัง้ สองมคี วามแตกต่างกันตามการกำหนด
เปา้ หมายทางประสาทสัมผัส เป้าหมายของการเอ้ือมมายงั ตนเองถูกกำหนดโดยการนำเข้าของข้อมูล
ผ่านระบบข้อต่อ (proprioceptive input) ขณะที่เป้าหมายของการเอื้อมไปยังวัตถุถูกกำหนดโดย
การนำเข้าของข้อมูลผ่านระบบการมองเห็น (visual input) การเอื้อมอย่างมีจุดมุ่งหมายถูกพบ
ครง้ั แรกในชว่ งอายุครรภ์ 22 สปั ดาหโ์ ดยเป็นการเอ้อื มมายังปาก

2.2) การเอ้อื มเพือ่ กำวัตถุ (Reach to grasp)
การเอื้อม (Reach) ช่วงของการเอื้อมเพื่อกำวัตถุแบบสมบูรณ์ประกอบด้วย การเอื้อม

(reach) การกำ (grasp) การนำ (transport) และการปลอ่ ยวัตถุ (release) ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การเอื้อม
คือการเคลื่อนไหวแขนไปยังเป้าหมายซึ่งมีความสำคัญเทียบเท่ากับระยะเปิดมือ (hand opening)
และการปรบั รปู ร่างของมือเพ่อื กำวัตถุต่าง ๆ แมว้ ่าชว่ งในการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ในขณะที่มีการเอื้อมอย่างสมบูรณ์ ทว่าแต่ละปัจจัยก็ได้พัฒนาอย่างเป็นลำดับขั้นในระหว่างที่
ยังเปน็ ทารก น่ันคอื การเอ้อื มอย่างมจี ดุ มุ่งหมายจะเกิดข้ึนก่อนการกำ การเอือ้ มไปยังวัตถุได้นั้นอาศัย
การบูรณาการร่วมกันของการรับรู้ข้อมูลจากการมองเห็นและการรับรู้ข้อมูลจากข้อต่อต่าง ๆ
ในร่างกาย การเอื้อมแบบสมบูรณ์คือการเคลื่อนไหวได้อย่างราบเรียบและคงที่ไปยังเป้าหมาย
ความเร็วและวิถีของการเอื้อมจะแปรเปลี่ยนไปตามขนาดของเป้าหมาย ตำแหน่ง ของเป้าหมาย
และความตงั้ ใจในการเออ้ื ม

การเอื้อมอย่างมีจุดมุ่งหมายที่สามารถคาดการณ์และเหน็ ได้ชัดพบในขณะที่อายุ 4 เดือน
ก่อนช่วงอายุนี้ ทารกอาจจะพยายามเอื้อมไปแตะวัตถุในระยะที่สายตามองเห็นได้สำเร็จบ้าง
เป็นครั้งคราว เมื่อผ่านการทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ การเคลื่อนไหวของมือและแขนจะเริ่มมีจุดมุ่งหมายและ
สามารถควบคมุ ไปยังทิศท่ีเปน็ เป้าหมายไดม้ ากขึ้น อยา่ งไรกต็ าม การเออ้ื มในระยะแรกน้ันจะคอ่ นขา้ ง
ตะกกุ ตะกัก ขาดความราบเรียบ ขาดความคงท่ี และมีความแปรปรวนสูง ในระหวา่ งนี้ ทารกจะต้อง
เรยี นรเู้ ก่ียวกบั สหสัมพันธ์การเคล่ือนไหวระหว่างไหล่ แขน และมอื เร่ิมจากการใชไ้ หล่และลำตัวเพื่อ
ขยับมือไปยงั เป้าหมายขณะทีค่ ้างข้อศอกไว้ให้อยู่ในช่วงองศาที่สามารถควบคุมได้ วิถีของการเอ้อื ม

19

จะเริ่มมีความคงที่มากขึ้น เมื่ออายุประมาณ 1 ปี ทารกจะสามารถเอื้อมไปในแนวเส้นตรงได้
และมรี ปู แบบเอื้อมทีเ่ ปน็ แบบแผนมากขน้ึ เมือ่ อายุ 2-3 ปี

การกำ (Grasp) การจดั การกับวัตถุต่าง ๆ ได้น้นั เกดิ จากปัจจยั ด้านทักษะการใช้มือหลาย
ปจั จัยรว่ มกัน ได้แก่ การควบคมุ การกำและการปลอ่ ยวตั ถุ ความสามารถในการย้ายวัตถุจากมือหน่ึง
ไปยังอีกมือหนึ่ง และการทำงานแยกกันของแต่ละนิ้ว การกำแบบสมบูรณ์คือกลไกที่มีการพัฒนา
ระหว่างการเปิดมือพร้อมกันกับการปรับรูปแบบของมือให้เหมาะสมกับขนาดและรูปร่างของวัตถุ
ในขณะท่ีเอ้ือม ช่วงเวลาในการเปดิ มอื และปิดมอื สง่ ผลตอ่ การกำวตั ถุอย่างมีสหสมั พนั ธ์และราบเรียบ
การปิดมือเร็วหรือช้าเกินไปทำให้กำวัตถุไม่ได้หรือเป็นการกำที่ดูงุ่มง่าม ในระหว่างที่มีการกำ
แบบสมบูรณ์ มือจะต้องเปดิ กวา้ งสดุ ท่ีประมาณ 75% ของระยะการเอ้อื มและเรมิ่ ปิดเมอื่ เข้าใกล้วัตถุ

รปู แบบการกำของทารกกอ่ นท่จี ะสามารถกำไดอ้ ยา่ งมจี ดุ มงุ่ หมายจะมีลกั ษณะเปน็ การเปิด
และการปิดของน้ิวมือตามสัญชาตญาณ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับของการกำ (reflexive grasp) เกิดขน้ึ
ในชว่ งทารกจนถงึ อายุ 4 เดือน โดยทารกจะงอนิ้วเข้าหาวัตถเุ ปน็ การตอบสนองเมอื่ ได้รับการกระตุน้ ที่
ฝา่ มอื การควบคุมการกำอย่างมีจุดม่งุ หมายเกิดขึ้นในช่วงอายุ 4-6 เดอื น ผ่านการให้การกระตุ้นแบบ
สมั ผัสและการพูด ในช่วงเวลาน้ี ทารกเริ่มทจ่ี ะบูรณาการขอ้ มูลจากการมองเห็นเพื่อเตรียมมือสำหรับ
การกำวัตถุใหไ้ ดต้ ามท่มี ่งุ หวังไว้ การรวมกันของข้อมลู จากสิง่ เร้าทางกายสัมผัสและทางการมองเห็นมี
ความสำคัญต่อการพัฒนาความสามารถในการกำและการปรับมือให้มีรูปแบบการกำที่เหมาะสมกับ
วัตถุ รปู แบบการกำมกี ารพัฒนาตลอดเวลาจากประสบการณแ์ ละปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความหลากหลาย
ของขนาดและรูปรา่ งของวัตถุ ตอนอายุ 5 เดอื น เด็กจะสมั ผสั และร้สู ึกได้ถงึ วัตถุนน้ั การกำอย่างต้ังใจ
พัฒนาผ่านประสบการณ์เหล่านี้ ต่อมารปู แบบการกำได้พัฒนาผ่านการกระตุน้ และการเห็นวัตถหุ รอื
ของเล่นทห่ี ลากหลาย ความสามารถในการกำวัตถไุ ดต้ ามที่คาดหวงั ปรากฏขึน้ คร้งั แรกในชว่ งอายุ 5-6
เดือน โดยมีการเปิดมอื เพ่อื เตรยี มกำและค่อย ๆ ปิดมอื ก่อนจะสัมผัสกบั วตั ถุ

การเตรียมรูปร่างของมือให้เหมาะสมกับขนาดของวัตถุเริ่มพัฒนาเมื่ออายุ 8 เดือนและ
พฒั นาอยา่ งต่อเน่ืองไปถงึ ปีถัดไป เดก็ เล็กจนถงึ อายุ 6 ปี มกั จะเอ้ือมเกนิ วัตถุและเปิดมือกว้างเกินไป
(แสดงในภาพท่ี 8) เด็กที่อายุมากขึ้นจะกำวัตถุได้แม่นยำขึ้นโดยปกติพบในช่วงอายุ 6 -8 ปี
ความสามารถในการปรับทิศทางการกำให้เข้ากับวัตถุเร่ิมพัฒนาเม่ืออายุ 6 เดอื น และมีความแม่นยำ
มากข้ึนเร่อื ย ๆ จนถึงอายุ 15 เดอื น ความสามารถในการควบคมุ แรงเป็นอกี หน่งึ องค์ประกอบท่สี ำคัญ

20

ของการกำอย่างแม่นยำซึ่งช่วยให้จับวัตถุได้โดยไม่ตกหล่น ปริมาณแรงที่ใช้ในการกำขึน้ อยู่กบั ขนาด
ความเสียดทาน น้ำหนัก และพื้นผิวของวัตถุ ความสามารถในการควบคุมแรงค่อย ๆ เริ่มพัฒนาขึ้น
เมื่ออายุ 2 ปี ก่อนหน้านั้น ทารกจะควบคุมแรงผ่านกลไกการป้อนกลับ (feedback mechanism)
การควบคุมแรงทปี่ ลายนว้ิ พฒั นาตลอดชว่ งวยั เด็กตอนตน้ จนถึงระดบั ผู้ใหญ่เม่อื อายุ 6-9 ปี

ภาพท่ี 8 การเปิดมือล่วงหน้าเพื่อจับวตั ถุ
ที่มา: https://www.clinicalkey.com/#!/content/book/3-s2.0B9780323530910000026

รปู แบบการจบั วตั ถุ (Grasp patterns) การจบั แบบสมบรู ณ์หมายความรวมถึงรูปแบบท่ี
นำไปใช้สำหรับการปฏิบัติงานในแต่ละวันแบบนับไม่ถ้วน รูปแบบการจับที่มีความเฉพาะเจาะจง
สำหรับแต่ละงานนั้นถูกกำหนดด้วยขนาดและรูปร่างของวัตถุ ตำแหน่ง และการใช้งานตามที่ตั้งใจ
ในอดีตสามารถแบ่งรูปแบบการจับเป็นทั้งการจับแบบใช้กำลัง (power grips) หรือการจับแบบ
แม่นยำ (precision grips)

ลักษณะของการจับแบบใช้กำลังคือนิ้วมือทกุ นิว้ จะพุ่งเข้าหาฝ่ามือและแรงจะพุ่งไปที่วัตถุ
ชนิดของการจับแบบนี้ ได้แก่ การจับวัตถุทรงกระบอก (cylindrical grasp) เช่น การจับแก้วน้ำ
การจับวัตถุทรงกลม (spherical grasp) และการจับวัตถทุ ี่มลี ักษณะคล้ายตะขอ (hook grasp) เชน่
การถือกระเป๋าที่มีหูหิ้วหรือที่จับ สำหรับการจับแบบแม่นยำ วัตถุจะถูกจับไว้ระหว่างนิ้วหัวแม่มือ
และนว้ิ อน่ื ๆ แรงจะถกู ส่งผา่ นระหว่างนว้ิ โปง้ กบั นวิ้ อ่นื ๆ ชนดิ ของการจับแบบนี้ ไดแ้ ก่ การจับโดยใช้
ปลายนิ้ว (tip-to-tip pinch) เชน่ การจบั ลูกแก้ว การจับโดยใช้ด้านหน้าของปลายน้ิว (pad-to-pad
pinch) เช่น การบีบที่หนีบผ้า การจับแบบสามนิ้ว (three-point pinch หรือ three jaw chuck)
เชน่ การจับลกู บาศก์ และการจบั แบบดา้ นขา้ ง (lateral pinch) เชน่ การรดู ซปิ

21

พฒั นาการของการจับอยา่ งมีจุดมุ่งหมายเป็นไปอย่างคงท่โี ดยเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการเคลอื่ นไหวของ
นว้ิ มือแบบเข่ียและถูช่วงอายุ 4-5 เดือน ในตอนแรกน้ิวมอื จะงอเขา้ -เหยียดออกพรอ้ ม ๆ กัน จากนั้น
ภายใน 5-6 เดือน ทารกส่วนใหญ่จะแสดงความแตกต่างของการเคลื่อนไหวนิ้วแต่ละนิ้วและมีการ
เคลอ่ื นไหวแบบแยกน้ิวโดยเฉพาะความสามารถในการเหยียดน้วิ ช้ีเพอ่ื ช้ี พฤติกรรมเหล่านี้เป็นไปอยา่ ง
อัตโนมัติเป็นคร้ังคราวโดยไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ การจับในระยะแรกของวัยนี้ (5 เดือน) เป็นการ
เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณและมีลักษณะคล้ายกับการบีบ การจับแบบตั้งใจเริ่มเมื่ออายุ 6 เดือน
แม้ว่าการพัฒนารูปแบบการจับตามปกตินั้นจะพัฒนาอยา่ งเป็นลำดับขั้น แต่มีหลักฐานที่บ่งชีว้ ่าการ
พัฒนารูปแบบในการจับนั้นอาจขึ้นอยู่กับวัตถุแต่ละชนิดและข้อกำหนดของแต่ละงานมากกว่า
การพฒั นารูปแบบการจับทีไ่ ด้อธิบายในอดีตถูกเพ่มิ เติมรายละเอียดในภายหลังว่าเร่ิมต้นด้วยการจับ
แบบกำมือ (palmar grasp) ของนิ้วทั้ง 4 นิ้วเป็นหลักไม่รวมนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งการจับแบบนีจ้ ะใชฐ้ าน
ฝง่ั นิ้วกอ้ ย (ulnar-based) มากกวา่ (แสดงในภาพที่ 9)

ภาพที่ 9 การจบั แบบ Palmar grasp
ทีม่ า: https://www.clinicalkey.com/#!/content/book/3-s2.0B9780323530910000026

การจับแบบกำมือจะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีการจับจากทางฝั่งนิ้วหัวแม่มือ
(radial grasp) รว่ มด้วย ในขณะท่ีอายุ 7 เดอื น ทารกจะใชน้ วิ้ ช้ี นิว้ กลาง และน้ิวหัวแม่มือกดวัตถุไป
ยังฝ่ามือ (แสดงในภาพท่ี 10 ก) ซึ่งการจับแบบนี้ช่วยให้เข้าถึงปากได้ง่ายเมื่อหงายแขนขึ้น
(แสดงในภาพที่ 10 ข) ทารกมักจะหยิบวัตถุเข้าปากถือเป็นช่วงเวลาแห่งการสำรวจและเรียนรู้
คุณสมบัตขิ องวัตถุ นอกจากนี้ ยังเปน็ ช่วงที่สามารถยา้ ยวัตถุจากมอื หน่งึ ไปยงั อีกมือหนึง่ ไดโ้ ดยงา่ ย

22

ภาพท่ี 10 ก) การจบั แบบ Radial grasp ข) การหงายแขนชว่ ยใหน้ ำวตั ถเุ ข้าหาปากง่ายขึ้น
ท่ีมา: https://www.clinicalkey.com/#!/content/book/3-s2.0B9780323530910000026

การจับแบบแมน่ ยำเริม่ ปรากฏขน้ึ เมื่ออายุ 8-9 เดือน ทารกสว่ นใหญ่สามารถจับวตั ถุได้ด้วย
ส่วนปลายนิ้วโดยไม่ใช้ฝ่ามือในการจับร่วมด้วย สำหรับวัตถุขนาดเล็กจะใช้การจับแบบกรรไกร
(scissors grasps) คอื การจับวัตถรุ ะหว่างน้ิวหัวแม่มือและขอบด้านข้างของน้ิวช้ีขณะท่ีมือน่ิงอยู่กับท่ี
(แสดงในภาพที่ 11) พัฒนาการในขั้นตอนนี้มีความสำคัญต่อความสามารถในการจัดการและ
การใชว้ ัตถุ

ภาพท่ี 11 การจบั แบบ Scissors grasp
ที่มา: https://www.clinicalkey.com/#!/content/book/3-s2.0B9780323530910000026

เมอ่ื อายุ 10 เดือน ทารกจะสามารถจบั สงิ่ ของด้วยด้านหน้าของปลายน้ิว (distal fingertip
pads) การจับแบบนี้ช่วยให้ควบคุมการปล่อยได้ดีขึ้น เรียกว่าการจับที่วัตถุอยู่ต่ำกว่านิ้วชี้
(inferior pincer grasp) (แสดงในภาพที่ 12 ก) สำหรับการจับแบบที่วัตถุอยู่เหนือนิ้วช้ี
(superior pincer grasp) หรือการจับแบบหนีบโดยใช้ปลายนิ้ว (tip-to-tip pinch) ปรากฏขึ้นเมื่อ
อายุ 12 เดือน การจับแบบนี้ช่วยให้มีความแม่นยำและความมั่นคงมากขึ้น (แสดงในภาพที่ 12 ข)
เดก็ เรม่ิ ปรบั มือใหเ้ ข้ากบั ขนาดและน้ำหนกั ของวตั ถุในระยะนี้

23

ภาพที่ 12 ก) การจับแบบ Inferior pincer grasp ข) การจับแบบ Superior pincer grasp
ท่ีมา: https://www.clinicalkey.com/#!/content/book/3-s2.0B9780323530910000026

เม่อื อายุ 15 เดอื น ทารกจะมคี วามชำนาญในการใช้มอื จับสงิ่ ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งแม่นยำมากข้ึน
ความสามารถในการจดั การกับวตั ถุได้อย่างคลอ่ งแคล่วขึ้นมีการพฒั นาตอ่ เนอื่ งในอีกไม่ก่ีเดือนถัดมา
และภายใน 18 เดือน ทารกจะมีความคล่องแคล่วมากขึ้น สามารถจัดการกับเครื่องมือและอุปกรณ์
ต่าง ๆ ไดม้ ากขน้ึ เช่น การใชช้ ้อนทานอาหารไดด้ ้วยตนเอง

การปลอ่ ยวตั ถุ (Object release) การปล่อยวัตถุเกิดข้ึนหลงั การพัฒนารูปแบบการกำใน
ตอนต้น การปล่อยวัตถุจะสังเกตเห็นครั้งแรกในทารกผ่านพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
เช่นเดียวกับการจับวัตถุ เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของปฏิกิริยาสะท้อนกลับดั้งเดิม (primitive
reflexes) การปดั เบา ๆ บรเิ วณหลงั มอื ทำใหเ้ กิดการเหยยี ดนวิ้ ตามสญั ชาตญาณ

การปล่อยวัตถุแบบตั้งใจพบในเด็กอายุ 5-6 เดือน ซึ่งในช่วงแรกจะเป็นการปล่อยแบบ
บังเอิญและไม่มีความคงที่ในการปล่อย เมื่ออายุ 6 เดือน การปล่อยวัตถุจะมีความสม่ำเสมอและ
มีจุดมุ่งหมายสังเกตไดจ้ ากการท่ีทารกเริ่มนำวัตถเุ ขา้ ปาก โดยในระยะแรก ๆ จะมกี ารปล่อยโดยใช้มือ
ข้างหนึง่ ดึงวัตถอุ อกจากมืออกี ข้างหนง่ึ เมอื่ อายุ 7 เดอื น เดก็ สามารถปล่อยวัตถุลงบนพื้นผิวทั่วไปได้
และมีการปล่อยอย่างสม่ำเสมอระหว่างการเคลื่อนย้ายวัตถุระหว่างมือสองข้าง การปล่อยที่ซับซ้อน
ในบริบทของการเล่นจะปรากฏเมื่ออายุ 10-11 เดือน เป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ สนุกสนานกับ
ความสามารถใหม่นี้และเรม่ิ มกี ารปล่อยวตั ถุและอาหารจากเกา้ อสี้ งู ของพวกเขา

การเปดิ มืออย่างมรี ะดบั สำหรบั การปลอ่ ยวตั ถุอยา่ งแม่นยำ เชน่ การนำแทง่ ลกู บาศก์มาวาง
ซ้อนกันได้เมื่ออายุ 12 เดือน ในช่วงแรกเด็กจะออกแรงกดขณะปล่อยและขาดความสามารถในการ
ปล่อยวัตถุได้อย่างแม่นยำและเบามือ การควบคุมการปล่อยพัฒนาอย่างตอ่ เนื่องในช่วง 1-2 ปีแรก

24

โดยมีความซบั ซอ้ นมากข้นึ เร่อื ย ๆ ซ่งึ จำเปน็ ตอ้ งใชท้ กั ษะ การปลอ่ ยวัตถุขนาดเล็กอย่างแม่นยำ เช่น
การวางชิ้นส่วนปริศนา (placing puzzle pieces) หรือการนำวัตถุเล็ก ๆ ใส่ลงในขวดโหล
การควบคุมการปล่อยยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กอายุ 2-3 ปี ซึ่งมักจะมีปัญหากับงานที่มีความ
ละเอียดอ่อน ทกั ษะน้ีมกี ารพัฒนาอยา่ งต่อเนอื่ งไปจนถงึ อายุ 5-6 ปี โดยจะมคี วามแมน่ ยำ ความเร็ว
และความคลอ่ งแคล่วในการปลอ่ ยมากขึ้น

การจดั การกับวตั ถุ (Manipulation) การจดั การกบั วัตถอุ ย่างมีประสิทธิภาพตอ้ งใช้ทกั ษะ
และความสามารถในการเคลื่อนไหวแบบแยกส่วนของแต่ละนิ้ว การปรับแรงในการจับ การควบคมุ
การปล่อยอย่างแม่นยำ และการควบคุมเวลาและความเร็วในการปล่อย การจัดการกับวัตถุอย่าง
คลอ่ งแคล่วเปน็ ทักษะทีม่ กี ารพัฒนาตัง้ แตว่ ยั ทารกจนถึงวัยรนุ่

พฤติกรรมก่อนการจัดการกับวัตถุ (premanipulation) พบในวัยทารกตอนต้น
กอ่ นการพัฒนาการจับและการเอือ้ มแบบตัง้ ใจ เมอื่ อายุ 1-4 เดือน ทารกจะเคล่อื นไหวแขนเพอื่ สำรวจ
วัตถุ เมื่อวางวัตถุไว้ในมือเด็กอายุ 1-2 เดือน เด็กจะบิดข้อมือเพื่อขยับวัตถุที่อยู่ในระยะ
สายตามองเห็นได้ (rotation) เด็กจะเคลื่อนไหวแขนอย่างตั้งใจเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ
(translation) หรือเขย่าวัตถุ (vibration) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมการใช้นิ้วมือและการเขี่ยพบใน
เด็กอายุ 4 เดือน การสำรวจวัตถุยังคงพัฒนาต่อเนื่องไปจนอายุ 5-6 เดือนพร้อมกับความสามารถ
ในการเคลื่อนย้ายวัตถุ เมื่ออายุ 6 เดือน เด็กจะสามารถหมุนวัตถุ แกว่งวัตถุ และกระแทกวัตถุได้
เช่นเดียวกับการที่สามารถย้ายวัตถุจากมือข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ ความสามารถใน
การทำงานแยกนิ้วและการควบคุมการปล่อยในขณะที่อายุ 9-10 เดือน ส่งผลต่อการพัฒนา
ทกั ษะการจดั การวตั ถุตอ่ ไปทำให้สามารถจิ้ม แหย่ และหยิบวตั ถขุ นาดเล็กได้

ทักษะการจัดการวัตถุในมือ (in-hand manipulation) เริ่มพัฒนาเมื่ออายุ 1 ปี
Exner (1992) กลา่ ววา่ การจัดการวัตถใุ นมอื เปน็ การเคล่อื นไหวน้วิ มือเพื่อปรบั วัตถุใหอ้ ยูใ่ นตำแหน่งท่ี
เหมาะสมกบั งานมากขึน้ โดยเขาได้กำหนดองคป์ ระกอบยอ่ ยของทกั ษะน้ไี ว้หลายประการ ได้แก่

1) การย้ายวตั ถุจากฝ่ามอื ไปยังน้วิ มอื (translation) เหมอื นการขยับเหรยี ญทีก่ ำอยู่ไปยังนิ้ว
2) การหมนุ วตั ถุบนผิวดา้ นหนา้ นว้ิ (pads of the finger) เหมอื นการคลายสกรู
3) การใชน้ ้ิวหวั แม่มือเพื่อย้ายวัตถไุ ปในแนวราบบนนิว้ อน่ื ๆ (shift) เหมอื นการหมุนดนิ สอ

25

การย้ายวตั ถุจากน้ิวมือไปยังฝ่ามือ (finger to palm translation) และการหมุนอย่างงา่ ย
พบในเด็กอายุ 2 ปี สว่ นการหมุนท่ซี ับซอ้ นข้ึน เชน่ การใชด้ นิ สอในการเขียน มพี ฒั นาการต่อเนื่องไป
จนอายุ 7 ปี ในช่วงอายุ 3-7 ปี เด็ก ๆ จะมีทักษะในการจัดการกับวัตถุที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น
การติดกระดุม การใชอ้ ุปกรณ์ในการเขยี น และการใชอ้ ุปกรณใ์ นการรบั ประทานอาหาร ความสามารถ
ในการใช้ทักษะเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการพัฒนาความสามารถในการ
ควบคมุ แรงในการจบั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม การเคลือ่ นไหวของน้วิ มคี วามแมน่ ยำมากขึ้นเม่อื เข้าสู่ช่วงอายุ
6-12 ปี โดยจะมีการพัฒนาทั้งในเรื่องของเวลาและความเร็วที่ใช้ เมื่ออายุ 12 ปี สหสัมพันธ์และ
ความแมน่ ยำในการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กจะมีความใกลเ้ คียงกบั ผู้ใหญ่

3) การทำงานของมือสองข้าง (Bimanual function)
3.1) การเอ้อื มจบั วัตถุแบบสองมือ (Bimanual Reach to Grasp)

งานในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ต้องใช้การทำงานของสองมือร่วมกัน ซึ่งจะมีความซับซ้อน
มากขึ้นทั้งในระดับของการควบคุมการใช้งานและการควบคุมระบบประสาทเพื่อให้เกิดสหสัมพันธ์
ระหว่างสองมือขึ้น โดยในแต่ละงานจะมีลักษณะการใช้มือที่ต่างกัน คือ การเคลื่อนไหวมือสองขา้ ง
ในลักษณะสมมาตรกัน (เคลื่อนไหวในทิศทางและตำแหน่งเดียวกัน) ในการโยน การยก การผลัก
การดึง และการเคลื่อนไหวมือสองข้างแบบไมส่ มมาตรกนั ทั้งการใช้มือขา้ งหนึง่ คงทา่ ไว้ในขณะที่มอื
อกี ข้างถูกใช้เพื่อจัดการกับวัตถุและการใช้มอื สองข้างในลกั ษณะทเ่ี ป็นอิสระต่อกนั ในบทบาทท่ีต่างกัน
เช่น การใช้มอื พมิ พง์ านบนแป้นพิมพ์ หรือการเลน่ เครอื่ งดนตรี เปน็ ต้น

การทำงานของมือสองข้างถกู ควบคมุ โดยปฏิสัมพนั ธ์ของโครงสร้างทางประสาทจำนวนมาก
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเจริญอย่างสมบูรณ์ (maturation) และการสร้างปลอกไมอีลิน
(myelination) ของ corpus callosum ในทารกแรกเกดิ การเชือ่ มต่อน้ีจะยงั ไม่สมบูรณ์และใช้เวลา
ในการพฒั นาหลายปี การควบคุมระหว่างมือจะดขี ้นึ เม่ือมีการพฒั นาของระบบประสาททำให้สามารถ
ควบคุมสหสัมพันธ์ด้านเวลาและมิติในการใช้มือทั้งสองข้างทำงานที่ซับซ้อนได้ การที่มนุษย์ใช้มือ
สองข้างทำงานได้อย่างอิสระนั้นต้องอาศัยความสามารถพื้นฐานจากการทรงท่าได้อย่างสมบูรณ์
(mature postural) และความสามารถในการควบคมุ ลำตัว (trunk control)

26

การเอ้ือมแบบสองมือ (Bimanual reaching) การเคลื่อนไหวแขนสองข้างแบบสมมาตร
และแบบไม่สมมาตรเกิดขึ้นตั้งแต่ในวัยทารกแรกเกิด เริ่มจากการเคลื่อนไหวแบบทั่วไปตาม
สัญชาตญาณกอ่ น ซงึ่ สว่ นใหญ่แขนจะเคลอื่ นไหวพร้อมกันอย่างสมมาตร แต่การเคลอ่ื นไหวของแขน
แบบสลบั กันกเ็ กิดขึ้นในทารกตง้ั แต่แรกเกิดจนอายุ 2 เดอื นได้เช่นกนั หากมกี ารกระต้นุ ทางกายสัมผัส
ทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ การเอื้อมแบบสองมืออย่างตั้งใจเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 2 เดือน
โดยแขนสองข้างจะมีการเคลื่อนไหวแบบสมมาตรเพื่อเอื้อมไปยังวัตถุ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหว
แบบปัดจะเกดิ ในแขนข้างถนดั เท่านน้ั

การเออื้ มแบบสองมืออย่างสมมาตรมีการพฒั นาและเด่นชัดขณะที่อายุ 4 เดอื นซ่ึงเป็นช่วงท่ี
ลำตัวมีความมั่นคงมากขึ้น อีกทั้งมีการเคลื่อนไหวอย่างสมมาตรเข้าหาแกนกลางลำตัวด้วยเช่นกนั
เม่ืออายุ 5 เดอื น การเอ้อื มจับแบบสองมือคงท่ีมากขึ้นเพราะมอื สองข้างจะเคลอ่ื นไปยังวัตถุพร้อมกัน
แม้จะมีการเออื้ มแบบสองมือในช่วงอายนุ แ้ี ต่การจับยงั คงเปน็ การจับแบบมือเดยี วอยู่

การจบั แบบสองมือ (Bimanual grasp) การใช้น้วิ มอื ท้ังสองข้างเกดิ ข้ึนก่อนการจับแบบ
สองมือซง่ึ สงั เกตไดช้ ัดในช่วงอายุ 4-5 เดือน การจับแบบสองมอื จะพบมากเม่ืออายุ 8-9 เดือน โดยใน
ระยะนี้จะพบได้ทัง้ การเอื้อมพร้อมกันและการเอ้ือมอย่างเป็นลำดับ (แสดงในภาพท่ี 13)

ภาพท่ี 13 การจบั วตั ถุหนึง่ ชนิ้ ด้วยมอื สองข้างแบบสมมาตร
ทมี่ า: https://www.clinicalkey.com/#!/content/book/3-s2.0B9780323530910000026

27

ทารกจะใช้ทั้งมอื ขา้ งเดยี วและมือสองข้างในการจับวัตถเุ มือ่ อายุ 7 เดือน ขึ้นอยู่กับขนาด
ของวตั ถุ ตำแหนง่ ของวัตถุ และปรมิ าณส่ิงสนับสนุนภายนอกท่จี ัดเตรียมให้ โดยมักจะใช้มือสองขา้ งใน
การจับวัตถขุ นาดใหญแ่ ละใช้มอื ข้างเดยี วในการจบั วัตถุขนาดเลก็ ในสภาพแวดลอ้ มทีไ่ มเ่ อื้อตอ่ การทำ
กิจกรรม เด็กอาจจะใช้มือข้างหนึ่งทำกจิ กรรมในขณะที่มืออีกข้างทำหนา้ ที่ยึดไว้ให้เกดิ ความมั่นคง
(stabilization) เมื่ออายุ 8-11 เดือน การควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายและการควบคุม
การทรงท่าที่ดีข้ึนจะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้มอื เดียวและการใช้สองมือในการทำกิจกรรมได้
อยา่ งไรกต็ าม การเอือ้ มจับแบบสองมอื จะพบได้มากกว่าหากความมนั่ คงในการทรงทา่ ถกู รบกวน เช่น
ชว่ งทที่ ารกเรม่ิ มีการฝึกเดนิ

การจัดการกับวัตถุแบบสองมือ (Bimanual manipulation) การย้ายวัตถุจากมือหน่ึง
ไปยงั อกี มอื หนง่ึ สังเกตไดช้ ัดเจนเมอ่ื อายุ 4-6 เดอื น มคี วามคงที่และคล่องมากข้ึนเมื่ออายุ 7-8 เดือน
เปน็ ช่วงทีท่ ารกมคี วามชำนาญในการจบั วตั ถุด้วยนิ้วทางดา้ นนวิ้ หัวแม่มอื (radial grasp) ในวยั นี้ทารก
จะเริ่มเล่นวัตถุสองช้ินพร้อมกัน โดยมีวิธีในการเล่นคอื กระแทกวัตถุเข้าหากัน แกว่งวัตถุบนอากาศ
หรือกระแทกวตั ถุกบั พน้ื (แสดงในภาพที่ 14)

ภาพท่ี 14 การจับวัตถสุ องชนิ้ อยา่ งเปน็ อิสระต่อกันด้วยมอื สองขา้ งแบบสมมาตร
ทม่ี า: https://www.clinicalkey.com/#!/content/book/3-s2.0B9780323530910000026

28

ทกั ษะการใช้มอื สองข้างแบบสมมาตรยงั คงพัฒนาอย่างตอ่ เนอื่ งทงั้ ในด้านการใช้มือสองข้าง
บีบวัตถุ การดึงวัตถุแยกออกจากกัน และการกดหรือดันวัตถุเข้าหากัน สามารถนำของเล่นที่มี
หลายชิ้นส่วนไปใช้ในช่วงการบำบัดเพื่อส่งเสริมความสามารถเหล่านี้ได้ ทักษะการใช้มือแบบ
ไม่สมมาตรมกี ารพัฒนาไปพร้อมกันเพือ่ ใชใ้ นการสำรวจวัตถุด้วยมือข้างเดียวในขณะที่มืออีกข้างจบั
วตั ถุ เมอื่ อายุ 9 เดือน เด็กมที ักษะการใชม้ อื มากขึน้ โดยสามารถใช้มือข้างหนึ่งจัดตำแหน่งวัตถุขณะท่ี
มืออีกข้างกำลังจัดการกับวัตถุนั้นได้ และเริ่มมีการพัฒนาความสามารถในการหมุนวัตถุและ
จดั ตำแหนง่ วตั ถชุ ว่ งอายุ 9-12 เดือน สหสมั พนั ธใ์ นการใช้มอื ทง้ั สองขา้ งจะดีข้นึ และเปน็ อิสระมากขึ้น
สามารถหมุนของเล่นด้วยมือสองข้างได้ จากนั้นทารกยังคงพัฒนาการควบคุมการใช้สองมือได้ดขี น้ึ
และมีความชำนาญในงานทีย่ ากขึ้นเมื่ออายุ 1-2 ปี เช่น การตีกลองโดยใช้มือสองข้างแบบสมมาตร
ส่วนการใช้มือสองข้างในการทำกิจกรรมแบบไม่สมมาตรก็พบได้ในช่วงนี้ ตัวอย่างกิจกรรม เช่น
การนำวตั ถุออกจากมืออีกข้างหนงึ่ หรือการร้อยลูกปัดขนาดเลก็

เด็กจะเริ่มเชี่ยวชาญในงานที่ยากขึ้นเมื่ออายุ 2-4 ปี โดยต้องเคลื่อนไหวมือสองข้างแบบ
อิสระพรอ้ มกันไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เช่น การตดิ กระดมุ -รดู ซปิ การแกะถงุ ขนม เป็นต้น

สหสมั พนั ธใ์ นการใช้สองมอื มีการพัฒนาไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะการรับรู้และความคิด
ความเข้าใจตลอดช่วงวัยเด็กตอนต้นจนถึงช่วงวัยรุ่น ทำให้สามารถใช้สองมือในการใช้อุปกรณ์ที่
ซับซ้อนมากขึน้ ได้ เช่น การตัดอาหาร หรือการเคลือ่ นไหวมืออย่างเป็นลำดบั และการเคลือ่ นไหวมอื
รว่ มกัน เชน่ การใช้กรรไกร ความเรว็ ประสทิ ธิภาพ เวลา และความแมน่ ยำยังคงพัฒนาอยา่ งต่อเน่ือง
โดยมีความแปรปรวนนอ้ ยลง ในช่วงวยั รุ่นตอนต้นทกั ษะต่างๆ จะมคี วามใกล้เคียงกบั ทกั ษะของผู้ใหญ่

29

2.3 ปัจจยั ทีม่ ีอทิ ธิพลตอ่ พัฒนาการของเด็ก
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม

ได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ (คณะอนุกรรมการตรวจสอบและ
ประเมนิ ผลภาคราชการ กลุ่มกระทรวง คณะที่ 2, 2562; ฐิตมิ า ชูใหม่, 2559)

ปัจจยั ภายใน ประกอบดว้ ย
1. พันธุกรรม มีส่วนสำคัญมากต่อการพัฒนาเด็กทั้งทางรา่ งกาย จิตใจ และศักยภาพภาย
ในตัวบุคคล (internal potential) มีการกำหนดลักษณะด้านร่างกายและจิตใจของแต่ละบุคคล
เช่น ลักษณะทางกายภาพ (physical appearance) ทำให้เด็กมีลักษณะภายนอกและพัฒนาการ
ส่วนบุคคลต่างกัน ความแข็งแกร่ง ความอดทนต่อโรค ระดับวุฒิภาวะ (maturity) เป็นตัวกำหนด
ร ะ ย ะ เ วลาท ี ่ เ หม าะ สม ที ่ เ ด ็ กจะ ม ีขี ด ความ สาม าร ถใน ก ารแ สด ง พ ฤต ิก รร มอ ย ่ างใด อ ย ่ างหน่ึง
ออกมาได้เอง ความสามารถทางสมอง (intellectual ability) ส่งผลต่อการเรียนรู้และการทำความ
เขา้ ใจความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวเองกับสิ่งแวดลอ้ ม พืน้ ฐานทางอารมณ์ (temperament) สง่ ผลให้การ
ปรับตัวหรือการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ของบุคคลมีความแตกต่างกัน และมีการพัฒนาไปเป็น
บคุ ลกิ ภาพในวยั ต่อมา เป็นต้น
2. เพศ มีอิทธิพลต่ออัตราการเติบโตและพัฒนาการในเด็ก โดยเพศชายจะโตเร็วกว่า
เพศหญิงเล็กน้อยและมีอัตราการเติบโตเท่ากันเมื่ออายุประมาณ 7 เดือน จากนั้นเพศหญิง จะ
โตเร็วกว่าเมื่ออายุ 4 ขวบ และจะไม่มีความแตกต่างกันเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เพศส่งผลต่อลักษณะ
กิจกรรมที่เด็กสามารถทำได้ดี เช่น เด็กผู้หญิงจะสามารถช่วยตัวเองเรื่องการแต่ งตัวได้ดีกว่า
สว่ นเดก็ ผูช้ ายจะสามารถเข้ากล่มุ เพอื่ นและเล่นเกมได้เร็วกว่าเดก็ ผ้หู ญิง อยา่ งไรก็ตาม ปจั จัยทางเพศ
เพยี งอย่างเดียวไม่สามารถบอกความสามารถของบุคคลน้ันได้ จำเปน็ ตอ้ งอาศัยปจั จยั จากส่ิงแวดล้อม
ท่ีจะช่วยให้เห็นความแตกต่างในการเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของเด็กไดช้ ดั ยงิ่ ข้ึน
3. ยีน เป็นสาเหตุของการเกิดโรคและความผิดปกติบางอย่างในเด็ก Gay Frankenfield
(อ้างถึงใน ไสวรรณ ไผ่ประเสรฐิ และคณะ, 2556) ได้ศึกษาผลกระทบของการเจ็บปว่ ยเรื้อรงั ที่มีตอ่
พัฒนาการด้านสังคมของเด็ก พบว่า การเจ็บป่วยเรื้อรังของเด็กสง่ ผลต่อการพัฒนาทักษะทางสงั คม
กล่าวคือ เมื่อเด็กเจ็บป่วยทำให้ต้องเผชิญความเจ็บปวด ไม่สุขสบายทางกาย และความวิตกกังวล
อันเนื่องมาจากการรักษาและการไม่สามารถเข้าสังคมไดต้ ามปกติ ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีพัฒนาการทาง
สงั คมไม่เป็นไปตามวัยเม่อื เทยี บกบั เด็กทมี่ สี ขุ ภาพปกติ

30

ปจั จัยภายนอก ประกอบดว้ ย
1. อาหารและโภชนาการ เป็นอีกปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็ก การได้รับ
สารอาหารอย่างครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
ให้เป็นไปตามวัย ทำให้เด็กมีการเจริญเติบโต มีทักษะในการเรียนรู้ และสามารถรับมือกับ
โรคภยั ไขเ้ จ็บได้ดกี วา่ เด็กทมี่ ภี าวะทางโภชนาการบกพรอ่ ง
2. โครงสร้างของครอบครัว สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของครอบครัวจาก
ครอบครัวขยายกลายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น เด็กที่ถูกเลี้ยงดูในครอบครัวเดี่ยวอาจทำให้
ขาดโอกาสในการได้รบั การถ่ายทอดประสบการณแ์ ละการมีปฏิสมั พันธก์ ับสมาชิกในครอบครัวท่ีไม่ใช่
บิดามารดา นอกจากนี้ สถิติการหย่าร้างที่สูงขึ้นทำให้เด็กต้องอยู่กับบิดาหรือมารดาเพียงผู้เดียว
อาจทำให้เดก็ ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เทา่ ที่ควร ส่งผลต่อการเจริญเตบิ โตและพฒั นาการของเด็ก
3. สัมพันธภาพระหว่างบุคคล เป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการด้านอารมณ์ สติปัญญา
และบุคลิกภาพของเด็ก โดยเฉพาะการมีปฏิสัมพันธ์กับบิดามารดาซึ่งเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ
การพฒั นาบทบาททางเพศของเดก็ มากท่ีสุด จากน้นั เด็กจะเริ่มมีปฏิสมั พนั ธ์กับบุคคลอ่ืนท่ีไม่ใช่บิดา
มารดามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลิกภาพ มารดาเป็นผู้ตอบสนอง
ความต้องการพื้นฐานในเรื่องความรัก ความอบอุ่น และอาหาร หากไม่มีการพัฒนาสัมพันธภาพ
ระหว่างมารดาและทารกจะทำใหเ้ ดก็ มคี วามเสย่ี งในการเกดิ พัฒนาการล่าชา้ มากยงิ่ ข้นึ
4. ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว รายได้ การศึกษา และสถานภาพทาง
สังคมของครอบครัวส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก โดยครอบครัวที่มีฐานะทาง
เศรษฐกจิ และสงั คมดยี อ่ มสามารถจดั หาอาหารทดี่ ีมีคณุ ภาพ จดั หาของเล่นเพือ่ กระตุ้นประสบการณ์
การรับรู้ และการเรียนรู้จากการเล่นได้หลากหลายมากกว่าครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและ
สังคมต่ำ บิดามารดาที่มีระดับการศกึ ษาสงู กว่ามักจะมองเห็นความสำคัญในการกระตุ้นและส่งเสรมิ
พัฒนาการเด็กให้เหมาะสมตามวัย อย่างไรก็ตาม เด็กที่มาจากครอบครัวที่ฐานะทางเศรษฐกิจ
และสังคมต่ำไมจ่ ำเปน็ ต้องมีปญั หาด้านการเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการไมส่ มตามวัยเสมอไป หากเด็ก
ไดร้ ับความรกั และความเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูจากบิดามารดาเปน็ อย่างดี
5. สถานพฒั นาเดก็ ปฐมวัย/โรงเรียน เปน็ สถานท่ที ่ีจัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ในการฝึก
ทักษะที่จำเป็นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้เด็กได้พบกับสังคมเพื่อนและ

31

มีโอกาสในการสร้างปฏิสัมพนั ธ์กับบคุ คลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมากขึ้น ส่งผลให้เด็กมพี ัฒนาการ
รอบดา้ นทส่ี มวยั มากข้นึ

6. วัฒนธรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้จากบรรพบุรุษย่อมส่งผลต่อการดำเนินชีวิต
และการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการเด็ก เช่น รูปแบบการรับประทานอาหาร
ในบางวัฒนธรรมอาจนำไปสูก่ ารเจ็บป่วยได้ หรือรูปแบบการสร้างวินัยในบางครอบครวั อาจมีการใช้
ความรนุ แรงและสง่ ผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจติ ใจของเดก็ ได้ เป็นต้น

7. สื่อมวลชน มีอิทธิพลต่อการเจริญเจริญเติบโตและพัฒนาการในเด็กอย่างมาก
เนื่องจากเด็กเป็นช่วงวัยที่มีความยากลำบากในการแยกแยะระหว่างความจริงกันจินตนาการ
การทีเ่ ดก็ ไดร้ ับข้อมลู ขา่ วสารจากสื่อต่าง ๆ โดยไม่ไดอ้ ยภู่ ายใตค้ ำแนะนำหรือการดูแลของผู้ปกครอง
อย่างเหมาะสม อาจทำให้เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบสื่อที่ไม่เหมาะสม เช่น เด็กอาจมีการใช้
ความรุนแรงหรือมีพฤตกิ รรมกา้ วรา้ วมากขึน้ ขาดทักษะในการคิดสรา้ งสรรค์ เปน็ ตน้

นอกจากปัจจยั ทก่ี ลา่ วมาข้างต้น ยงั มปี จั จยั ที่ส่งผลกระทบตอ่ พฒั นาการของเด็กในปัจจุบัน
(WORKPOINTNEWS, 2564) ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ซึ่งเปน็ ปัจจัยท่ีไม่สามารถควบคุมได้และอาจเป็นการบีบบังคับให้เด็กต้องกกั ตัวอยูแ่ ตบ่ ้าน ไม่สามารถ
ออกไปทำกิจกรรมนอกสถานที่เพื่อส่งเสริมให้เกิดพัฒนาการที่เหมาะสมตามช่วงวัยได้ ข้อมูลจาก
รายงานจับทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2563 (ThaiHealth Watch) พบว่า เด็กและเยาวชนไทยใช้
หน้าจอมอื ถือหรอื จอใสสปั ดาห์ละ 35 ชวั่ โมง ซง่ึ มากกวา่ สถติ โิ ลกที่ระบไุ วว้ ่าไมค่ วรเกินสปั ดาห์ละ 16
ชั่วโมง แม้ว่าการปล่อยให้เด็กใชเ้ วลาเรียนรู้ส่ือที่บิดามารดาเห็นวา่ เป็นประโยชนจ์ ะเป็นการส่งเสรมิ
พัฒนาการด้านหนึ่ง แต่ในความจริง เด็กจะมีช่วงเวลาในการเรียนรู้ที่เหมาะสมใน แต่ละช่วงวัย
ซึง่ วัยเด็กเป็นวัยทม่ี ีการเรียนรู้ผ่านการเลน่ การใหเ้ ดก็ ไดเ้ ล่นกับสิ่งแวดลอ้ มจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการ
ได้ดีกว่าการปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอใส ผู้ปกครองควรใช้โอกาสที่ได้อยู่บ้านกับบุตรใน
การทำกจิ กรรมเสรมิ ทักษะต่าง ๆ ผ่านกิจกรรมการเลน่ ของเด็ก โดยไม่จำเปน็ ตอ้ งซอื้ ของท่มี รี าคาแพง
อาจนำของใช้ในบา้ นทีไ่ มเ่ ปน็ อันตรายมาเล่นเพ่อื เสรมิ สรา้ งทกั ษะทจี่ ำเปน็ ในเด็กไดเ้ ช่นกนั

จากเนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ปัจจัยทั้งภายในและภายนอกมีอิทธิพลต่อ
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กทกุ ดา้ น ทง้ั ดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปัญญา
การพัฒนาเด็กนอกจากจะพัฒนาในด้านร่างกายควรใหค้ วามสำคัญกับปจั จัยหนุนเสริมด้วย โดยต้อง
คำนงึ ถงึ ประโยชน์สูงสดุ ทเ่ี ดก็ ควรจะได้รบั เพื่อเป็นพ้นื ฐานในการพัฒนาเดก็ ไดอ้ ย่างมีศกั ยภาพตอ่ ไป

32

3. งานวจิ ัยที่เกีย่ วข้อง
จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยยังไม่พบการศึกษาการใช้

การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเดก็ แต่มีการศึกษาผล
ของการใช้การเลน่ แบบไทยต่อพัฒนาการของเดก็ ทัง้ ด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคมและสติปัญญา
ซงึ่ ผลการศึกษาล้วนออกมาในเชิงบวก มเี นอื้ หาดงั นี้

ชุลีพร นาหัวนิล และคณะ (2563) ได้ศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการละเล่นเพื่อส่งเสรมิ
พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ สำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของ
เดก็ ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกจิ กรรมการละเล่นของเดก็ ไทย กลุ่มตวั อย่างทใ่ี ช้ คอื เด็กอายรุ ะหว่าง
5-6 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย จังหวัดขอนแก่น
ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 20 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ใช้วิธีการทดลอง
แบบ One group pretest-posttest design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการละเล่นของเด็กไทย จำนวน 20 แผน และแบบประเมินพัฒนาการ
กล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็กปฐมวัย จากการศึกษาพบว่า ผลการเปรียบเทียบพัฒนาการกล้ามเน้ือ
มัดใหญ่ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการละเล่นของเด็กไทยภาพรวมและรายด้าน หลังจัดกิจกรรม
มคี ่าคะแนนเฉล่ยี สงู กวา่ กอ่ นการจัดกจิ กรรมการละเลน่ ของเด็กไทย อยา่ งมีนัยสำคัญท่ีระดับ 0.01

จรัญญา สีพาแลว และคณะ (2562) ได้ศึกษาการเพิ่มความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของ
นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายโดยการเล่นหมากเก็บแบบประยุกต์ โดยเปรียบเทียบผล
การเพิ่มความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของกลุ่มรับการเล่นหมากเก็บแบบประยุกต์กับกลุ่มไม่ได้รับ
การเล่นหมากเกบ็ แบบประยกุ ต์ด้วยวธิ ีการเปรยี บเทียบความถูกต้องของการตอบและเวลาปฏิกิรยิ า
ความสูงและความกว้างของคลื่นไฟฟ้าสมอง P300 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันประถมศกึ ษา
ตอนปลาย โรงเรียนวอนนภาศัพท์ จังหวัดชลบุรี เพศชายและหญิง อายุ 10-12 ปี จำนวน 60 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย หมากเก็บแบบประยุกต์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น กิจกรรมทดสอบ
ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ (spatial ability task) ที่ประกอบด้วยภาพสัตว์ จำนวน 16 ข้อ และ
รูปทรงเรขาคณิต จำนวน 16 ข้อ รวม 32 ข้อ และเครื่องตรวจวดั คลื่นไฟฟ้าสมอง ผลวิจัยปรากฏวา่
กลุ่มทดลองมคี วามสูงของคลืน่ ไฟฟ้าสมอง P300 มากกว่ากลุ่มควบคุม มีความกว้างของคลื่นไฟฟ้า
สมอง P300 น้อยกว่ากลุ่มควบคุม สรุปได้ว่า การเล่นหมากเก็บแบบประยุกต์สามารถเพิ่ม
ความสามารถดา้ นมติ สิ มั พันธข์ องนกั เรยี นระดับชนั้ ประถมศกึ ษาได้

33

ฟาลาตี หมาดเตะ๊ (2557) ได้ศึกษาผลของการฝึกการละเล่นพ้ืนบ้านท่มี ตี ่อพัฒนาการของ
เด็กปฐมวัย (อายุ 5-6 ปี) เพศชายและหญิง จำนวน 30 คน ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลโรงเรียน
บ้านบเู กะกุง จงั หวัดปตั ตานี โดยใชแ้ ผนการจัดประสบการณโ์ ดยใชก้ จิ กรรมการละเล่นพ้ืนบ้านจำนวน
12 กิจกรรมท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรูเ้ ร่ืองการละเล่นพื้นบ้านที่ผู้วิจัย
สร้างขึ้น และแบบทดสอบสมรรถภาพทางกลไกสำหรับเด็กปฐมวัย ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
(Kasetsart Motor Fitness Test) เมื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพทางกลไกของเด็กปฐมวัยก่อนและ
หลังการฝึกกจิ กรรมการละเล่นพ้ืนบ้าน พบว่าเดก็ ปฐมวยั ท้ังชายและหญงิ มีสมรรถภาพทางกลไกดีขึ้น
เช่นเดียวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่องการละเล่นพื้นบ้านที่ มีค่าคะแนนอยู่ในเกณฑ์ระด ั บ ดี
หลงั ใช้กิจกรรมการละเล่นพืน้ บา้ น ดงั นัน้ การฝึกกิจกรรมการละเล่นพืน้ บ้านจึงมีผลดตี ่อเด็กปฐมวยั

นอกจากการศึกษาดังที่กล่าวมาแล้ว พบว่ามีผู้ศึกษาเกี่ยวกับผลของการเล่นพื้นบ้าน
ในต่างประเทศทีร่ ะบวุ ่าการเล่นพนื้ บา้ นนั้นมสี ่วนชว่ ยในการพฒั นาความคลอ่ งแคลว่ ของมือ ดังนี้

Tan et al. (2020) ได้ศึกษาผลของการเล่นพื้นบ้านของประเทศสิงคโปร์และการเล่น
แบบอิสระ (free Play) ที่มีต่อพัฒนาการด้านทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills) ในเด็กปกติ
ก่อนวัยเรียน อายุ 3-6 ปี จำนวน 192 คน โดยเปรียบเทียบผลการเพิ่มความสามารถด้าน
ทกั ษะการเคล่อื นไหวระหว่างกลมุ่ รับการเลน่ พนื้ บ้านสิงคโปร์และกลุม่ รบั การเล่นแบบอิสระก่อนและ
หลงั การทดลอง ใช้เวลาในการทดลอง 5 สปั ดาห์ สัปดาห์ละ 4 ครัง้ ครัง้ ละ 30 นาที เครอ่ื งมอื ที่ใช้ใน
การวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดกิจกรรมการเล่นพื้นบ้านสิงคโปร์ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึ น
ซึ่งประกอบด้วยการเล่น 5 ชนิด ได้แก่ Bola Tin, Congkak, Five Stones, Zero point (Ye-Ye)
และ Kuti Kuti โดยการเล่นดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับการเล่นแบบไทยคือ เกมปากระป๋อง
หมากหลุม หมากเก็บ กระโดดหนังยาง และเกมเขี่ยไพ่ ตามลำดับ 2. แผนการจัดกิจกรรมการเลน่
แบบอิสระซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เด็กได้เลือกทำตามความสนใจของตนเอง
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น ต่อบล็อก ปั้นแป้งโดว์ เป็นต้น 3. แบบทดสอบ Movement Assessment
Battery for Children-2nd Edition (MABC-2) ใช้ประเมินทักษะการเคลื่อนไหว (motor skills)
ในกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มกอ่ นและหลังการทดลอง ผลวิจัยปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างมพี ัฒนาการด้าน
การทรงตวั และทกั ษะการเคล่ือนไหวโดยรวมดีข้นึ อย่างมนี ยั สำคัญทั้งกลมุ่ ทรี่ บั การเล่นพนื้ บา้ นสงิ คโปร์
และกลุ่มรบั การเล่นแบบอิสระ โดยกลุ่มทีไ่ ดร้ ับการเลน่ พ้ืนบ้านสิงคโปร์นั้นมีความสามารถด้านความ
คลอ่ งแคล่วของมอื และทกั ษะการเคลอื่ นไหวโดยรวมดขี ึ้นมากกวา่ กล่มุ ที่รบั การเลน่ แบบอสิ ระ

34

วตั ถุประสงค์
เพื่อศึกษาการใช้การเล่นแบบไทยเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็กของ
นักกิจกรรมบำบดั ในสถานศึกษาและสถานพยาบาล เขตอำเภอเมือง จังหวดั เชียงใหม่

นยิ ามศัพท์
1. นักกิจกรรมบำบัด คือ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี (สาขากิจกรรมบำบัด) และ
ข้ึนทะเบียนได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขากิจกรรมบำบัด ในการศึกษานี้ หมายถงึ
นักกิจกรรมบำบัดที่ให้บริการแก่เด็กในสถานศึกษาและสถานพยาบาล เขตอำเภอเมือง
จงั หวดั เชียงใหม่
2. การเล่นแบบไทย คือ การเล่นที่ผู้เล่นสมัครใจเคลื่อนไหวรูปแบบต่าง ๆ เน้นความสนุกสนาน
เพลิดเพลิน อาจเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่ม เป็นการถ่ายทอดของคนไทยจากรุ่นสู่รุ่น วัสดุใน
การเล่นเปน็ ของใกลต้ วั หาได้ง่ายในท้องถิ่นของประเทศไทย มีกติกาการเล่นทีไ่ ม่ซับซ้อน การเล่นมี
ความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ได้ และมีความเหมาะสมกับวิถีชีวิตและ
วัฒนธรรมของท้องถิ่น ในการศึกษานี้ การเล่นแบบไทยคือการเล่นข้างต้น ซึ่งผู้วิจัยได้คัดเลือก
การเล่นแบบไทย 6 ชนดิ ได้แก่ ตบแปะตามเพลง อตี กั สซี อ (การเล่นเชือกมอื ) เป่ายิงฉุบ หมากเก็บ
และหมากไม้
3. ความคล่องแคล่วของมือ คือ ความสามารถในการประสานสัมพันธ์การเคลื่อนไหวของมือด้วย
ความรวดเร็วและแม่นยำ เกดิ จากความสามารถพื้นฐาน คือ ปฏิกริ ยิ าทีร่ วดเร็วร่วมกับการทำงานของ
กล้ามเนื้อ โดยความคล่องแคล่วของมือมีความสำคัญต่อการใช้มือเพื่อทำงานต่าง ๆ ให้สำเร็จและ
มปี ระสทิ ธิภาพในระยะเวลาทเี่ หมาะสม (นนั ทณี เสถียรศกั ด์ิพงศ์, 2560)
4. เด็ก คอื บุคคลท่ีอายตุ ่ำกว่า 18 ปบี รบิ ูรณ์ ไมร่ วมผู้ทบี่ รรลุนติ ิภาวะด้วยการสมรส (พระราชบญั ญัติ
คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546, 2546) ในการศึกษานี้ หมายถึง ผู้มีอายุระหว่าง 2-18 ปีที่เข้ารับบริการ
ทางกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษาหรอื สถานพยาบาล ในเขตอำเภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่

35

วิธีการศกึ ษา
การศกึ ษาครง้ั นเี้ ปน็ การศึกษาเชงิ สำรวจ (survey research) มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือศึกษาการ
ใช้การเล่นแบบไทยเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็กของนกั กิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา
และสถานพยาบาล เขตอำเภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่

ประชากร
ประชากรในการศึกษาครั้งนี้คือนักกิจกรรมบำบัดที่ให้บริการแก่เด็กในสถานศึกษาและ

สถานพยาบาล เขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีจำนวน 30 คน จากฐานข้อมูลการให้บริการ
ทางกิจกรรมบำบัดในประเทศไทย แยกตามเขตบริการสุขภาพ (ข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม
พ.ศ. 2564) และจากการสบื คน้ เพมิ่ เตมิ จากแหลง่ ข้อมูลชมรมนกั กจิ กรรมบำบดั เชียงใหม่

กลุ่มตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้ คือ นักกิจกรรมบำบัดผู้ตอบแบบสอบถามกลับมา 21 คน

คดิ เป็นร้อยละ 70 ของประชากรนกั กจิ กรรมบำบัด 30 คน

สถานที่ศกึ ษา
อำเภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม่

เคร่อื งมือท่ใี ช้
แบบสอบถามการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่ว

ของมอื ในเดก็ ท่พี ัฒนาขึน้ โดยผู้วิจัย ซ่ึงมที ้ังคำถามปลายปิดและคำถามปลายเปิด เพ่ือให้ได้รับข้อมูล
การใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็ก ที่ตรงกับ
คำถามการวจิ ัย 3 ประเด็น ดังน้ี

1. นักกิจกรรมบำบัดในปัจจุบันใช้การเล่นแบบไทยเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ
ในเดก็ หรือไม่ โดยมกี ารใชก้ จิ กรรมใด และใชใ้ นขั้นตอนใดของกระบวนการทางกจิ กรรมบำบัดบ้าง

2. นักกิจกรรมบำบัดมคี วามคดิ เห็นอย่างไรต่อการใช้และไม่ใช้การเลน่ แบบไทยเพื่อพัฒนา
ความคล่องแคลว่ ของมือในการปฏิบัตงิ านทางกจิ กรรมบำบัดในผรู้ ับบริการเดก็

3. นักกิจกรรมบำบัดสนใจนำการเล่นแบบไทยที่ตนยังไม่เคยใช้มาใช้ในการปฏิบัติงาน
ทางกจิ กรรมบำบัดเพื่อพฒั นาความคลอ่ งแคลว่ ของมอื ในผรู้ บั บริการเดก็ หรือไม่ เพราะเหตใุ ด

36

การพฒั นาคุณภาพเครอ่ื งมือ
แบบสอบถามการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่ว

ของมือในเด็กมขี น้ั ตอนของการพัฒนาเครอ่ื งมือ ดงั น้ี
1. ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง
2. สร้างแบบสอบถามการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนา

ความคล่องแคลว่ ของมือในเด็ก (ฉบับร่าง)
3. นำแบบสอบถามการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนา

ความคล่องแคล่วของมือในเด็ก (ฉบับร่าง) ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย อาจารย์ประจำ
ภาควิชากิจกรรมบำบัดที่มีความรูด้ ้านการทำแบบสอบถามและการพัฒนาความคล่องแคล่วของมือ
2 ท่าน และนักกิจกรรมบำบัดที่ให้บริการแก่ผู้รับบริการเด็กในสถานพยาบาล 1 ท่าน ทำการ
ตรวจสอบเนื้อหาของเครื่องมือ หลังจากนั้นผู้วิจัยจึงนำผลที่ได้ไปตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา
(content validity) ดว้ ยการหาค่า IOC (index of item-object congruence) โดยใชส้ ตู ร

∑R
100 = N

โดยท่ี IOC คอื ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างคำถามกับจุดประสงค์
∑R คอื ผลรวมของคะแนนการพจิ ารณาจากผูเ้ ช่ยี วชาญ
N คือ จำนวนผเู้ ชย่ี วชาญ
ผลการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา พบว่า แบบสอบถามฯ มีค่า IOC ของแต่ละข้อ

อยรู่ ะหวา่ ง 0.67-1.00 และมคี า่ IOC ทงั้ ฉบับเท่ากับ 0.88
4. นำผลการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหามาปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามฯ โดยผู้วิจัย

ได้ปรบั ปรุงข้อคำถามจำนวน 6 ขอ้ คอื ข้อ 2 และขอ้ 4 ถึงขอ้ 8 ซ่งึ มีรายละเอยี ดดงั น้ี
การปรับปรุงข้อคำถามข้อ 2 ได้ลดจำนวนช่องของตารางการเล่นแบบไทยชนิดอื่น ๆ

จากเดมิ ท่ีมี 4 ช่อง (ข้อ 2.7 ถึงข้อ 2.10) ตดั เหลอื เพียง 2 ชอ่ ง (ขอ้ 2.7 และข้อ 2.8)
การปรับปรุงข้อคำถามข้อ 4 เรียงลำดับข้อคำถามใหม่โดยนำคำถามข้อ 6 (เหตุผลที่เป็น

อุปสรรค/ข้อจำกัดต่อการใช้การเล่นแบบไทย) มาเป็นคำถามข้อที่ 4 แล้วเรียงคำถามข้อถัดไป
ตามลำดับ

37

การปรับปรุงข้อคำถามข้อ 5 ปรับภาษาที่ใช้ในแบบสอบถามข้อ 5.5 ให้กระชับ
สื่อความหมายชัดเจน ไม่กำกวม จากเดิม “ระดับความถนัดหรือความชำนาญของท่านในการนำ
การเล่นแบบไทยมาใช้ในงานกิจกรรมบำบัดเพอื่ พฒั นาความคลอ่ งแคล่วของมอื ในเด็ก” เปน็ “ความรู้
ความเข้าใจของนักกิจกรรมบำบดั เกี่ยวกับการเล่นแบบไทยส่งผลต่อการใชห้ รอื ไม่ใชก้ ารเล่นแบบไทย
ในการให้บริการทางกจิ กรรมบำบัดเพ่ือพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็ก”

การปรับปรงุ ขอ้ คำถามขอ้ 6 เพิ่มประโยชนข์ องการเลน่ แบบไทย 2 ขอ้ คอื ข้อ 6.1 ส่งเสริม
ความสามารถในการทรงท่าขณะทำกิจกรรม และข้อ 6.3 ส่งเสริมการทำงานร่วมกันของนิ้วมือ
อย่างมีสหสัมพันธ์ (finger coordination) และปรับรูปแบบตารางจากการให้แสดงความคิดเห็นต่อ
ประโยชน์จากการใช้การเล่นแบบไทยเป็นระดับต่าง ๆ (มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด)
เป็นให้แสดงความคิดเหน็ ต่อประโยชน์ของการใช้การเล่นแบบไทยแยกตามชนิดต่าง ๆ (ตบแปะตาม
เพลง อีตกั สซี อ เป่ายิงฉุบ หมากเก็บ หมากไม)้

การปรบั ปรุงข้อคำถามขอ้ 7 เปลี่ยนข้อความแสดงระดบั ความสนใจจากระดับ “นอ้ ยทสี่ ดุ ”
เปน็ “ไมส่ นใจ”

การปรบั ปรงุ ขอ้ คำถามขอ้ 8 แบ่งข้อคำถามท่ีเขยี นไวย้ าว จากเดมิ “ความคิดเหน็ เพิ่มเติมใน
การนำการเล่นแบบไทยมาใช้ในการการให้บริการทางกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่ว
ของมอื ในเดก็ (การเลน่ แบบไทยชนิดอน่ื ทนี่ ำมาใช้ (ถ้ามี), วัตถปุ ระสงคใ์ นการนำมาใช้, ประโยชน์ที่ได้
จากการนำมาใช้, ข้อจำกัดในการใช้ในทางคลินิก ข้อเสนอแนะในการนำมาใช้ ฯลฯ)” เป็นข้อย่อย
จำนวน 2 ขอ้ เพื่อใหช้ ัดเจนขน้ึ เปน็ ข้อ 8.1 วิธกี ารใช้การเล่นแบบไทยชนดิ อน่ื ในการให้บรกิ ารแก่เด็ก
และขอ้ 8.2 ข้อจำกดั และขอ้ เสนอแนะในการใชก้ ารเล่นแบบไทยดงั กล่าว

5. นำแบบสอบถามการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนา
ความคลอ่ งแคล่วของมือในเดก็ ไปใชร้ วบรวมข้อมลู โดยแบบสอบถามประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วน คือ
ข้อคำถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม และข้อคำถามเกี่ยวกับ ความคิดเห็น
ของนักกิจกรรมบำบัดต่อการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่ว
ของมือในเดก็

38

ข้ันตอนการศกึ ษา
1. ศกึ ษาขอ้ มลู และเอกสารงานวิจยั ท่เี กยี่ วข้องและเขยี นโครงร่างงานวจิ ยั
2. เสนอโครงร่างงานวิจัยใหอ้ าจารย์ท่ปี รกึ ษาและคณะกรรมการเพอ่ื พจิ ารณา
3. ยื่นขอจริยธรรมงานวจิ ัยผ่านคณะเทคนคิ การแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจากท่ี

โครงร่างงานวิจัยผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมงานวิจัย คณะเทคนิคการแพทย์
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหมแ่ ลว้

4. สืบค้นข้อมูลจำนวนและสถานที่ปฏิบัติงานของนักกิจกรรมบำบัดที่ให้บริการแก่เด็ก
ในสถานศึกษาและสถานพยาบาล เขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากฐานข้อมูลการให้บริการ
ทางกิจกรรมบำบัดในประเทศไทย แยกตามเขตบริการสุขภาพ (ข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม
พ.ศ. 2564) และจากการสบื คน้ เพม่ิ เติมจากแหลง่ ข้อมูลชมรมนกั กิจกรรมบำบดั เชียงใหม่ เพ่ือมาเป็น
ประชากรในงานวิจัยนี้

5. ประชาสัมพันธ์ช้ีแจงรายละเอียดการดำเนินการวิจัยใหก้ ลุ่มประชากรทราบ โดยทำสื่อ
ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ในรปู แบบออนไลน์ เช่น การเผยแพร่ผ่านเพจ “ชมรมนกั กิจกรรมบำบัด
เชียงใหม่” เพื่อเชิญชวนนักกิจกรรมบำบัดที่ให้บริการผู้รับบริการเด็กในสถานศึกษาและ
สถานพยาบาล เขตอำเภอเมอื ง จังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมงานวิจยั

6. ผู้วิจัยสำรวจข้อมูลประชากรเพื่อรวบรวมชื่อ อีเมลหรือช่องทางที่สะดวกให้ติดตาม
แบบสอบถาม และสถานที่ปฏิบัติงานของนักกิจกรรมบำบัดที่ให้บริการแก่เด็กในสถานศึกษาและ
สถานพยาบาล เขตอำเภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม่

7. ดำเนินการส่งสื่อประชาสัมพันธ์รูปแบบออนไลน์เพื่อเชิญชวนอาสาสมัครเข้าร่วม
โครงการวิจัย ซึ่งมี QR code ที่มีรายละเอียดข้อมูลในส่วนของเอกสารชีแ้ จงโครงการวิจัย เอกสาร
แสดงความยินยอม และแบบสอบถามการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความ
คล่องแคลว่ ของมอื ในเดก็ (รูปแบบ google form)

8. ผวู้ ิจยั ติดตามผลการตอบกลับโดยสง่ จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ้งั หมด 2 คร้งั เว้นระยะห่าง
ในการตดิ ตามผลตอบกลับแตล่ ะครงั้ เป็นเวลา 2 สปั ดาห์

9. รวบรวมผลการสำรวจทั้งหมดแลว้ ทำการวเิ คราะหข์ ้อมลู
10. สรุปผลและเขียนรายงานผลการวจิ ัย

39

ช่วงเวลาทีเ่ ก็บรวบรวมขอ้ มลู
ช่วงเดอื นกนั ยายน – เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564

การวิเคราะหข์ ้อมลู
วิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยสถิตเิ ชิงพรรณนา (descriptive statistics) ไดแ้ ก่
1. ขอ้ มูลท่ัวไปของนักกจิ กรรมบำบดั และขอ้ มลู ทวั่ ไปของผู้รับบริการ วเิ คราะห์โดยใช้สถติ ิ

เชิงพรรณนา ได้แก่ หาคา่ ความถี่ ร้อยละ คา่ เฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2. ข้อมูลความคิดเห็นของนักกิจกรรมบำบัดต่อการใช้การเล่นแบบไทยเพื่อพัฒนา

ความคลอ่ งแคลว่ ของมอื ในเดก็ วเิ คราะหโ์ ดยใช้สถิตเิ ชิงพรรณนา ไดแ้ ก่
ข้อมูลจำนวนนักกิจกรรมบำบัดที่ใช้และไม่ใช้การเล่นแบบไทยในการปฏิบัติงาน

ทางกิจกรรมบำบัดในเด็ก ความถี่ในการใช้การเล่นแบบไทย ขั้นตอนทางกิจกรรมบำบัดที่มีการใช้
การเล่นแบบไทย ความคิดเห็นในการใช้การเล่นแบบไทยในการปฏิบัติงานทางกิจกรรมบำบัด
ประโยชนท์ ี่ได้รบั จากการใช้การเล่นแบบไทยต่อการพัฒนาความคล่องแคลว่ ของมือ และความสนใจ
ในการนำการเล่นแบบไทยมาใช้ในการปฏิบัติงานทางกิจกรรมบำบัดในผู้รับบริการเด็กในอนาคต
หาคา่ ความถี่ รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี

การเล่นแบบไทยประเภทอื่น ๆ ที่ในการปฏิบัติงานทางกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนา
ความคล่องแคล่วของมือในเด็ก และความคิดเห็นเพิ่มเติมในการนำการเล่นแบบไทยมาใช้ในการ
ปฏิบตั งิ านทางกจิ กรรมบำบัด (สงิ่ สนับสนุน/อุปสรรคตอ่ การนำการเล่นแบบไทยมาใช้เพ่อื พฒั นาความ
คล่องแคล่วของมือในการปฏิบัติงานทางคลินิกกับผู้รับบริการเด็ก) วิเคราะห์ข้อมูลโดยการจัดและ
จำแนกขอ้ มูลให้เปน็ หมวดหมู่ จากนน้ั นำเสนอในลกั ษณะข้อความบรรยาย

40

ผลการศกึ ษา
การศึกษาครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัด
เพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็ก ในกลุ่ม ประชากรนักกิจกรรมบำบัดที่ให้บริการแก ่เด็ก
ในสถานศึกษา และสถานพยาบาล เขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 30 คน เก็บรวบรวม
ข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามการใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคลว่
ของมือในเด็กทผ่ี ้วู จิ ยั พัฒนาขึน้
ผู้วิจัยได้ส่งสื่อประชาสัมพันธ์รูปแบบออนไลน์ซึ่งมี QR code ที่มีรายละเอียดข้อมูล
ในส่วนของเอกสารชี้แจงโครงการวิจัย เอกสารแสดงความยินยอม และแบบสอบถาม
การใช้การเล่นแบบไทยในงานกิจกรรมบำบัดเพื่อพัฒนาความคล่องแคล่วของมือในเด็ก
(รูปแบบ google form) จำนวน 30 ฉบับไปยังประชากรและได้รับแบบสอบถามกลับคืนในรอบแรก
จำนวน 11 ฉบับ การติดตามผลครั้งที่ 1 ได้รับ 7 ฉบับ การติดตามผลครั้งที่ 2 ได้รับ 3 ฉบับ
รวมที่ได้รับทั้งหมด 21 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากร แบบสอบถามฯ ที่ได้มีข้อมูลครบ
สมบูรณจ์ ำนวน 21 ฉบับถูกนำมาวิเคราะหข์ ้อมูลด้วยสถติ ิเชิงพรรณนา
ผลการศึกษาวจิ ยั นำเสนอข้อมลู เปน็ 3 ส่วนตามลำดับ ดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมลู ทว่ั ไปของนกั กจิ กรรมบำบดั
ส่วนที่ 2 ข้อมูลความคิดเห็นของนักกิจกรรมบำบัดต่อการใช้การเล่นแบบไทยเพื่อพฒั นา
ความคล่องแคลว่ ของมือในเดก็
สว่ นท่ี 3 ข้อเสนอแนะอืน่ ๆ ของนกั กิจกรรมบำบัด

41


Click to View FlipBook Version