วิทยานิพนธน์ ี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยมหาจัุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๔ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารสวนจ่ ังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย THE FACTORS AFFECTING THE EXERCISE OF VOTING RIGHTS FOR MEMBERS OF THE PROVINCIAL ADMINISTRATIVE ORGANIZATION COUNCIL OF THE PEOPLE IN CHIANG KHAN DISTRICT, LOEI PROVINCE พระวัจน์กร กนฺตวณฺโณ (พิมล)
วิทยานิพนธน์ ี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยมหาจัุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทยาลิ ัย) ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารสวนจ่ ังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พระวัจน์กร กนฺตวณฺโณ (พิมล)
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Political Science Graduate School Mahachulalongkornrajavidyalaya University C.E. 2021 (Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University) The Factors Affecting the Exercise of Voting Rights for Members of the Provincial Administrative Organization Council of the People in Chiang Khan District, Loei Province Phra Watjakorn Kantavaṇṇo (Phimon)
ก ชื่อวิทยานพนธิ ์ : ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผู้วิจัย : พระวัจน์กร กนฺตวณฺโณ (พิมล) ปริญญา : รัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ : ผศ. ดร.สรพลุพรมกลุ , ป.ธ. ๕, พธ.บ (การสอนสังคมศึกษา), ศศ.ม. (สังคมศาสตร์เพื่อการพฒนาั ), ศน.ม. (รัฐศาสตร์การปกครอง), Ph.D. (Social Science) : ผศ. ดร.ชาญชยัฮวดศรี, พธ.บ. (สังคมศึกษา), M.A. (Political Science), Ph.D. (Political Science) วันสําเร็จการศึกษา : ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๒) ศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นอย่างไร ๓) ศึกษาข้อเสนอแนะการส่งเสริมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย งานวิจัยนี้เป็นแบบ ผสานวิธีโดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้มีจํานวน ๓๙๗ คน ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ จํานวน ๑๐ คน โดยใช้แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ๑) ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ด้านการรณรงค์หาเสียง อยู่ใน ระดับมากและด้านนโยบายการเลือกตั้งอยู่ในระดับปานกลาง ตามลําดับ ๒) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หาเสียง ด้าน นโยบายการเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ มีความสัมพันธ์กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลยอย่างมีนัยสําคัญทาง สถิตที่ระดับ ๐.๐๕ ๓) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด พบว่า ประชาชนควรใช้สิทธิเลือกตั้งโดยเสรีเลือกคนที่ดีมีความสามารถไปเป็นตัวแทนของ ตน ก่อนตัดสินใจเลือกตั้ง ควรพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครให้รอบด้าน เช่น แนวคิด นโยบาย การ พัฒนาชุมชน สังคม การเสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างเสมอภาค มีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เป็นต้น
ข Thesis Title : The Factors Affecting the Exercise of Voting Rights for Members of the Provincial Administrative Organization Council of the People in Chiang Khan District, Loei Province Researcher : Phra Watjakorn Kantavaṇṇo (Phimon) Degree : Master of Political Science Thesis Supervisory Committee : Assist. Prof. Dr. Suraphon Promgun, Pali V, B.A. (Social Study Teaching), M.A. (Social Sciences for Development), M.A. (Political Science), Ph.D. (Social Science) : Asst. Prof. Chanchai Huadsri, B.A. (Social Study), M.A. (Political Science), Ph.D. (Political Science) Date of Graduation : May 24, 2022 Abstract The objectives of this research were: 1) to study the level of factors affecting the exercise of voting rights for members of the Provincial Administrative Organization Council of the people in Chiang Khan District, Loei Province; 2) to study the correlation between the factors affecting the exercise of voting rights for members of the Provincial Administrative Organization Council of the people in Chiang Khan District; 3) to study the recommendations for promoting the election of members of the Provincial Administrative Organization Council of the people in Chiang Khan District. This study was carried out by means of mixed-method research. The sample included 397 participants and ten key informants. The questionnaire and the interview form were used to collect the data. The statistics used in the data analysis were: Percentage, Mean, Standard Deviation, and Pearson's Correlation Coefficients. The research results were as follows: 1) The overall level of factors affecting the exercise of voting rights for members of the Provincial Administrative Organization Council of the people in Chiang Khan District, Loei Province, was statistically rated at a high level. The aspect of 'Practice per the Four Iddhipāda Dhammas' was rated at a high level, followed by 'Campaign,' rated at the same level, and 'Election policy,' rated at a moderate level.
ค 2) The results of the analysis of the correlation between personal media, campaign, election policy, and self-conduct according to the Four Iddhipāda Dhammas indicated that there was a statistically significant correlation with the exercise of the voting right for members of the Provincial Administrative Organization Council of the people in Chiang Khan District at a level of 0.05. 3) The recommendations on factors affecting the exercise of voting rights for members of the Provincial Administrative Organization Council were that people should exercise their rights to vote freely and choose good people who can represent them. Before deciding to vote, applicants' qualifications should be carefully considered in concepts, community and social development policies, equal sacrifice for the common good, direct communication, etc.
ง กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สําเร็จลงได้ด้วยความช่วยเหลือจากบุคคลหลายฝ่าย เจริญพรขอขอบคุณ ผู้ที่มีส่วนร่วมสําคัญยิ่ง คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. สุรพล พรมกุล ประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. ชาญชัย ฮวดศรีกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ที่ได้เสียสละเวลาเพื่อให้ความรู้ ชี้แนะแนวทาง ตลอดทั้งตรวจดูให้อย่างละเอียดและติดจามความก้าวหน้าในการดําเนินการวิจัย ผู้วิจัย ขอเจริญพรขอบคุณอย่างสูงไว้ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบเครื่องมือในการวิจัยทั้ง ๕ ท่าน คือ พระมหา สุภวิชญ์ปภสฺสโร.รศ, พระมหาประพันธ์สิริปญฺโญ,ผศ.ดร,อาจารย์ศตวรรษ สงกาผัน ดร.จํานง วงศ์คง อาจารย์พิทยพล กองพงษ์ที่ให้ความอนุเคราะห์ตรวจสอบความถูกต้องทั้งด้านภาษา เนื้อหา ระเบียบวิธีและเครื่องมือที่ใช้ในการดําเนินการวิจัยครั้งนี้ ขอขอบคุณคณะกรรมการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์คือรองศาสตราจารย์ดร. สุรพล พรมกุล ประธานสอบป้องกันวิทยานิพนธ์, รองศาสตราจารย์ดร. วินิจ ผาเจริญ กรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิใน การสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ที่ได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีความถูกต้องและสมบูรณ์ ยิ่งขึ้น ผู้วิจัยขอขอบคุณผู้บริหารและบุคลากรในเขตอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย และประชาชนใน เขตอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ที่ได้ให้ความช่วยเหลือ อํานวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยตอบแบบสอบถาม ให้สัมภาษณ์รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นที่สุดที่ได้รับความกรุณาเป็นอย่างดี ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงไว้ณ โอกาสนี้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณคณาจารย์คณะรัฐศาสตรมหาบัณฑิตทุกท่าน ที่ประสิทธิ์ประสาท วิทยาการ รวมถึงให้ความเมตตาเอื้อเฟื้อถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ รวมถึงเพื่อน ๆ ทุกรูปที่คอย ช่วยเหลือแนะนําในระหว่างการเรียน และขอขอบพระคุณบิดามารดาผใหู้ ้กาเนํ ินชีวิตให้ลมหายใจจึงได้มี โอกาสพัฒนาชีวิตจนถึงทุกวันนี้ขอขอบคุณอย่างสูงไว้ณ โอกาสนี้ พระวัจน์กร กนฺตวณฺโณ (พิมล) ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕
จ สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข กิตติกรรมประกาศ ง สารบัญ จ สารบัญตาราง ช สารบัญแผนภาพ ฌ คําอธบายสิ ัญลักษณ์และคําย่อ ญ บทที่ ๑ บทนํา ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและสภาพของปัญหา ๑ ๑.๒ คําถามวิจยั๓ ๑.๓ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๓ ๑.๔ ขอบเขตการวิจัย ๓ ๑.๕ สมมติฐานการวิจัย ๔ ๑.๖ นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย ๔ ๑.๗ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๕ บทที่ ๒ แนวคิดทฤษฎีและงานวิจยทั ี่เกยวขี่้อง ๖ ๒.๑ แนวคิดเกยวกี่ับการเลือกตั้ง ๖ ๒.๒ แนวคิดเกยวกี่ับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ๓๖ ๒.๓ หลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๔๓ ๒.๔ บริบทอําเภอเชียงคาน ๔๘ ๒.๕ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕๐ ๒.๖ กรอบแนวคิดในการวิจัย ๕๗ บทที่ ๓ วิธีดาเนํนการวิ ิจัย ๕๘ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๕๘ ๓.๒ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง และผใหู้ ้ข้อมูลสําคัญ ๕๘ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ๖๑ ๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๖๓ ๓.๕ การวิเคราะห์ข้อมูล ๖๔
ฉ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ๖๖ ๔.๑ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ๖๖ ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๖๙ ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หาเสียง ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ กับการไปใช้ สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียง คาน จังหวัดเลย ๗๕ ๔.๔ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๗๖ ๔.๕ สรุปองค์ความรู้จากการวิจัย ๗๙ บทที่ ๕ สรปผลุอภิปรายและข้อเสนอแนะ ๘๑ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๘๑ ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย ๘๓ ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๘๗ บรรณานุกรม ๘๘ ภาคผนวก ๙๔ ภาคผนวก ก รายนามผเชู้ ี่ยวชาญและหนังสอเชื ิญผเชู้ ี่ยวชาญตรวจเครื่องมอการวื ิจัย ๙๕ ภาคผนวก ข หนังสือขอความอนุเคราะห์แจกแบบสอบถาม Try out ๑๐๒ ภาคผนวก ค หนังสือขอความอนุเคราะห์แจกแบบสอบถามและสัมภาษณ์เพื่อการ ศึกษาวิจัย ๑๐๔ ภาคผนวก ง เครื่องมือการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ ๑๑๔ ภาคผนวก จ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถาม และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม ๑๒๔ ภาคผนวก ฉ ภาพประกอบการสัมภาษณ์เพื่อการวิจัย ๑๓๓ ประวัติผู้วิจยั๑๓๘
ช สารบัญตาราง ตารางที่หน้า ตารางที่๒.๑ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ๑๔ ตารางที่๒.๒ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกตั้ง ๒๑ ตารางที่๒.๓ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ๒๙ ตารางที่๒.๔ แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้ง ๓๔ ตารางที่๒.๕ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ๔๒ ตารางที่๒.๖ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปการเลือกตั้ง ๔๗ ตารางที่๒.๗ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕๕ ตารางที่๓.๑ จํานวนประชาการและกลุ่มตวอยั ่างในอําเภอเชียงคาน ๖๐ ตารางที่๔.๑ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม ๖๗ ตารางที่๔.๒ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม ๖๗ ตารางที่๔.๓ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม ๖๗ ตารางที่๔.๔ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม ๖๘ ตารางที่๔.๕ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม ๖๘ ตารางที่๔.๖ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยภาพรวม ๖๙ ตารางที่๔.๗ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสื่อบุคคล ๗๐ ตารางที่๔.๘ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลยด้านการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้ง ๗๐ ตารางที่๔.๙ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้าน นโยบายการเลือกตั้ง ๗๑ ตารางที่๔.๑๐ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้าน การปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ๗๒
ซ ตารางที่๔.๑๑ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการ ปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ด้านฉันทะ (ความพอใจ) ๗๒ ตารางที่๔.๑๒ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการ ปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ด้านวิริยะ-ความเพียร ๗๓ ตารางที่๔.๑๓ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการ ปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ด้านจิตตะ การเอาใจฝักใฝ่สิ่งนั้น ๗๔ ตารางที่๔.๑๔ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการ ปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ด้านวิมังสา (ความ ไตร่ตรอง) ๗๔ ตารางที่๔.๑๕ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหาร ส่วนจังหวัด ในอําเภอเชียงคานแยกตามรายด้านได้แก่ด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ด้านนโยบายเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตาม หลักอิทธิบาท ๔ ๗๕
ฌ สารบัญแผนภาพ แผนภาพที่หน้า แผนภาพที่๒.๑ กรอบแนวคิดในการวิจัย ๕๗ แผนภาพที่๔.๑ สรุปองค์ความรู้จากการวิจัย ๘๐
ญ คําอธิบายสัญลักษณ์และคําย่อ อักษรย่อในวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ใช้อ้างอิงจากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย การอ้างอิงระบุเล่ม/ข้อ/หน้า หลังอักษรย่อชื่อคัมภีร์ให้ใช้อักษรย่อตัวพื้นปกติเช่น ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๗/๒๑๙. หมายถึง ทีฆนิกาย มหาวรรค ภาษาไทย เล่ม ๑๐ ข้อ ๒๘๗ หน้า ๒๑๙ ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ ก. คําย่อชื่อคมภั ีร์พระไตรปฎกิ พระสุตตันตปฎกิ คําย่อ ชื่อคัมภีร์ภาษา ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
บทที่๑ บทนํา ๑.๑ ความเป็นมาและสภาพของปัญหา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีมาตั้งแต่ในรัชสมัยรัชกาลที่๕ ก่อนการเปลี่ยนแปลง การ ปกครองปีพ.ศ. ๒๔๗๕ จนมาถึงปัจจุบันที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการพัฒนามาเป็น ลําดับและ ตอบสนองแนวทางการปกครองแบบ ประชาธิปไตยที่เด่นชัดไม่ว่ารัฐธรรมนูญของไทยจะมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างไร การดําเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความเติบโตและพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง โดยเพิ่มบทบาทให้อํานาจ ในการตัดสินใจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการ กําหนดนโยบายการพัฒนาการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและการวาง ผังเมือง เพื่อให้ สอดคล้องกับหลักการปกครองตนเองในระบบประชาธิปไตยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงมี ความสําคัญอย่างมากในการพัฒนาชุมชนในขณะนั้น เพราะอยู่ใกล้ชิดชุมชน และสามารถช่วยแก้ไข ปัญหาในท้องถิ่นได้อย่าง รวดเร็ว สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการที่เกิดขึ้นในพื้นที่และเป็นการ ส่งเสริมให้ประชาชน ในท้องถิ่น ได้เรียนรู้การปกครองตนเอง อันเป็นรากฐานสําคัญของการปกครอง ในระบอบ ประชาธิปไตย๑ การเลือกตั้งจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นการแสดงออกทางด้านสิทธิเสรีภาพทาง ความคิดของประชาชนที่ต้องการตัวแทนของตนเองให้มีนโยบายในการบริหารในรูปแบบใดต้องให้มี การพัฒนาไปในทิศทางใดและต้องการผู้แทนของตนเองที่มีลักษณะเช่นใด การเลือกตั้งเป็นกลไกการ ใช้อํานาจอธิปไตยโดยการไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทนที่มีนโยบายตรงกับความต้องการของตนเอง ให้ไป ใช้อํานาจอธิปไตยแทนตนด้วยความชอบธรรมเพื่อลดภาวะความตึงเครียดขจัดความขัดแย้ง หรือการ สืบต่ออํานาจ และเป็นกลไกที่จะควบคุมให้ผู้แทนที่ดํารงตําแหน่งจากการเลือกตั้งตระหนักอยู่เสมอว่า ต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้กําหนดอนาคตทางการเมืองของตน ด้วย การเลือกหรือไม่เลือกตนกลับมาทําหน้าที่ผู้แทนอีก ดังนั้นการเลือกตั้งจึงมีผลกระทบต่อการพัฒนา ทางการเมืองโดยประชาชนจะสํานึกถึงความจําเป็นในการปฏิบัติหน้าที่พลเมืองซึ่งต้องมีส่วนร่วมใน ๑ Chokudomporn, B., Factors Affecting Voters’ Decision-making in Mayor Election in Trat Town Municipality Area, Muang District, Trat Province. Independent Study, (Local Government), (Graduate School: Rambhai Barni Rajabhat University, 2017).
๒ การเลือกผู้แทนเลือกรัฐบาล๒ การเลือกตั้ง เป็นกระบวนการแสวงหาเจตนารมณ์ร่วมของประชาชน หรือเป็นเครื่องมือที่จะทําให้เสียงข้างมากของประชาชนปรากฏขึ้น การปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยในปัจจุบันเป็นระบบตัวแทน ประชาชนจะต้องเลือกผู้ที่ได้สมัครรับเลือกตั้งคนใดคนหนึ่ง ไปเป็นตัวแทนของตนในการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง ในทางทฤษฎีจึงถือว่าผู้ที่เป็นตัวแทนได้รับมอบ อํานาจให้ปฏิบัติหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของปวงชนการเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักอํานาจสูงสุด ของปวงชนในทางปฏิบัติดังนั้นการเลือกตั้งจึงเป็นวิถีชีวิตแบบหนึ่งของการเมืองการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งนั้นยึดหลักการพื้นฐานที่จะให้ประชาชนสามารถแสดงเจตนารมณ์ที่ แท้จริงได้โดยการจัดให้มีการลงคะแนนลับปลอดจากการคุกคาม ไม่มีการจํากัดสิทธิ์โดยใช้ผิว เพศ ฐานะ และทุกคนมีความเสมอภาคกันในการลงคะแนนเสียง๓ การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นพื้นฐานของการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบมีส่วนร่วม ถือเป็นสถาบันที่ทําหน้าที่ให้การศึกษาฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยกับ ประชาชน โดยให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในภารกิจของท้องถิ่นและเกิดความ สํานึกในสิทธิหน้าที่ของตนเองที่มีต่อชุมชน หน้าที่พลเมือง อันจะนําไปสู่การปกครองตนเองในที่สุด จึงกล่าวได้ว่าการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นการปกครองของประชาชนโดยประชาชนและมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุดโดยมีตัวแทนของประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ในองค์กรที่ เรียกว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จะทําภารกิจเพื่อตอบสนองปัญหาและความต้องการของ ประชาชนในท้องถิ่นได้ตรงตามเป้าหมาย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด๔ การบริหารราชการ ส่วนท้องถิ่นหรือการปกครองท้องถิ่นที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้นถือเป็นการปกครองที่ส่วนกลางได้ กระจายอํานาจไปให้หน่วยการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีสิทธิตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเองในการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย ดังนั้นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจ สูงสุดในการปกครองประเทศที่เรียกว่า “อํานาจอธิปไตย” นั้น ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม ทางการเมืองการปกครองโดยผ่าน “การเลือกตั้ง” การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในเขตอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัด จํานวน ๖ คน แสดงให้เห็นถึงความสนใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และมี การต่อสู้ระหว่างผู้สมัครในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มีการซื้อสิทธิขายเสียง มีการใส่ร้ายป้ายสีคู่ต่อสู้เพื่อ ๒ บวรศักดิ์อุวรรณโณ, การสร้างธรรมาภิบาลในสังคมไทย, (กรุงเทพมหานคร: วิญญชน, ๒๕๔๔), หน้า ๑๘. ๓ ไพฑูรย์โพธิสว่าง และวิเชียร ตันศิริคงคล, “ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งของผู้นํา ทางการเมืองของประเทศไทย”, รายงานการวิจัย, (คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์: มหาวิทยาลัยบูรพา, ๒๕๕๖), หน้า ๑. ๔ โกวิทย์พวงงาม และอลงกรณ์อรรคแสง, มิติใหม่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น: ผู้บริหาร ท้องถิ่น ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์เสมาธรรม, ๒๕๔๗), หน้า ๓๔.
๓ ชี้นําประชาชนให้เชื่อมั่นศรัทธาตัวเองและอาจได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดในที่สุด ในขณะที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจํานวน ๔๖,๑๗๘ คน๕ อย่างไรก็ตามสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัด ทุกครั้งที่ผ่านมามีปัญหามากมาย เกิดเป็นมายาคติทางการเมืองของการ เลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่เรียกว่าระบบการ “ซื้อสิทธิขายเสียง” จนทําให้การ เลือกตั้งในระดับเทศ ระดับภูมิภาค หรือระดับท้องถิ่นกลายเป็นพิธีกรรมทางการเมืองที่ไร้ความหมาย ดังนั้นผู้วิจัยจึงตัดสินใจที่จะศึกษาปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ว่ามีผลต่อการเลือกตั้ง อย่างไรและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาส่งเสริมสิทธิทางการเมือง ของประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้สิทธิทางการเมืองของตนได้อย่างเต็มที่ ๑.๒ คําถามวิจัย ๑.๒.๑ ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นอย่างไร ๑.๒.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นอย่างไร ๑.๒.๓ แนวทางในการส่งเสริมการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ควรเป็นอย่างไร ๑.๓ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑.๓.๑ เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๓.๒ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๓.๓ เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการส่งเสริมการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๔ ขอบเขตการวิจัย ๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเนื้อหา ประกอบด้วย ๑) ด้านสื่อบุคคล ๒) ด้านการรณรงค์หาเสียง ๓) ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ๔) ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ๕ สํานักทะเบียนอําเภอเชียงคาน, ข้อมูลผู้สมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด, ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔).
๔ ๑.๔.๒ ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น คือ ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามได้แก่เพศ อายุระดับ การศึกษา อาชีพ และรายได้ ตัวแปรตาม ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ตัวแปรตาม คือ ๑) การไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๑.๔.๓ ขอบเขตด้านประชากรและผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ประชากร ได้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๔.๔ ขอบเขตด้านพื้นที่ พื้นที่ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ในเขตอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๔.๕ ขอบเขตด้านระยะเวลา การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดําเนินการวิจัยตั้งแต่วันที่๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๔ ถึงวันที่๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๕ ๑.๕ สมมติฐานการวิจัย ๑.๕.๑ สื่อบุคคลมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๕.๒ การรณรงค์หาเสียงมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๕.๓ นโยบายการเลือกตั้งมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๕.๔ การปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาทมีความสัมพันธ์กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองคการบร์ ิหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๖ นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวิจัย ๑.๖.๑ สิทธิ์เลือกตั้ง หมายถึง สิทธิ์อันพึงกระทําในกิจกรรมการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเลือกตั้ง อําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ๑.๖.๒ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หมายถึง ตัวแทนของประชาชนที่มาจาก การเลือกตั้งโดยตรงมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ ๔ ปีมีหน้าที่พิจารณาและออกกฎหมายของ อบจ. ตรวจสอบควบคุมการบริหาร อบจ. ให้ความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจําปีซึ่งมาจาก ภาษีของประชาชน ๑.๖.๓ รูปแบบการหาเสียง หมายถึง กระบวนการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สร้าง,สารและส่ง สารนั้นไปยังประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อมุ่งเพิ่มความนิยมให้เกิดขึ้นกับตัวผู้สมัคร
๕ ๑.๖.๔ การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง หมายถึง เป็นการแลกเปลี่ยน อภิปราย ถ่ายทอด ข่าวสารต่าง ๆ ระหว่างสมาชิกในสังคมสมาชิกต่าง ๆ สามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ๑.๖.๕ หลักอิทธิบาท ๔ หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ให้บรรลุถึงความสําเร็จหรือทางแห่ง ความสําเร็จ มีอยู่๔ อย่างคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ๑.๗ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๑.๗.๑ ทําให้ทราบปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๗.๒ ทําให้ทราบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๗.๓ ได้แนวทางและข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเมืองเชียงคาน จังหวัดเลย ๑.๗.๔ เพื่อเป็นข้อมูลสาระสนเทศเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
บทที่๒ แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัย เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ประกอบด้วย แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ แนวคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ๒.๒ แนวคิดเกี่ยวกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด ๒.๓ หลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๒.๔ บริบทของอําเภอเชียงคาน ๒.๕ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๖ กรอบแนวคิดการวิจัย ๒.๑ แนวคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การเลือกตั้งจัดเป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมืองเป็น กิจกรรมที่สําคัญในการที่ประชาชนจะได้มีโอกาสควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นแนวทางที่ประชาชน อาจจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงและโดยอ้อม การเลือกตั้งเป็นกระบวนการทาง การเมืองอย่าง หนึ่งซึ่งหมายถึง กิจกรรมทางการเมืองที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนผู้เป็น เจ้าของอํานาจอธิปไตย ด้วยการไปออกเสียงเลือกตั้งผู้แทน เพื่อทําหน้าที่ใน รัฐสภาและในรัฐบาลเป็น กลไกแสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนที่เรียกร้องและสนับสนุนให้มีการปฏิบัติจัดทําหรือละเว้น การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทางการเมืองและการตัดสินใจใน นโยบายสาธารณะที่จะมีผลกระทบ ต่อประชาชน การที่ประชาชนเลือกผู้แทนหรือกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และ นโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของตน ก็เพราะประชาชนเชื่อว่า ผู้แทนที่ตนเลือกไปใช้อํานาจ อธิปไตยแทนตนนั้นจะใช้อุดมการณ์ที่ประกาศเป็น แนวทางในการนํานโยบายไปปฏิบัติและบริหารรัฐ กิจ ในทํานองเดียวกันเพื่อเป็นการพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง ประชาชนจะไม่เลือกผู้แทนที่มี
๗ อุดมการณ์และนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์หรือไม่เอื้อต่อความต้องการของตน ดังนั้นการเลือกตั้งจึงเป็น กิจกรรมที่ประชาชนแสวงหา ทางเลือกในการปกครอง และป่าบัดความต้องการของตนเอง๑ การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมสําคัญในกระบวนการทางการเมืองเป็นที่มาของความชอบ ธรรม ใน การปกครอง เป็นฐานสําคัญของการเลือกสรรผู้นําแนวนโยบายในการปกครองประเทศ สร้างสรรค์ การเรียนรู้ทางการเมืองในหมู่ประชาชน และสร้างบูรณาการของชาติก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการปกครองประเทศ การเลือกตั้งจึงเป็นทั้งกระบวนการ และเป็นสถาบันการสําคัญของ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย๒ พรศักดิ์ผ่องแผ้ว ได้ให้การจํากัดความของคําว่า การเลือกตั้ง คือ เป็น กิจกรรมที่สําคัญ ยิ่งในกระบวนการทางการเมืองและการปกครอง เพราะการเลือกตั้งเป็นการ แสดงออกซึ่งเจตจํานง ของประชาชนในการปกครองประเทศ เจตจํานงที่ปรากฏอยู่ในลักษณะของ การเรียกร้องหรือ สนับสนุนต่อการตัดสินใจทั้งหลายในระบบการเมือง๓ การเลือกตั้งโดยทั่วไป ถ้าคํานึงถึงสภาพการณ์ทางการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ เลือกตั้งแล้ว จะมีส่วนประกอบสําคัญ ๓ ฝ่าย ที่จะทําให้การเลือกตั้งนั้นสมบูรณ์และสําเร็จลงได้ได้แก่ ผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และผู้บริหาร จัดการการ เลือกตั้ง ทั้ง ๓ ฝ่ายนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเป็น ผู้ที่จะ วินิจฉัยตัดสินใจเลือกใครเป็นตัวแทนของพวกตน ขณะที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองหรือ กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ต้องการจะเข้าไปทําหน้าที่แทนผู้เลือกตั้งในสภาและเป็นรัฐบาล บริหารประเทศ จะต้องทําเสนอตนเองและนโยบายหรือแนวความคิดให้ผู้เลือกตั้งได้รับทราบเพื่อ ประกอบการ ตัดสินใจ ส่วนฝ่ายที่บริหารจัดการการเลือกตั้ง ได้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องทํา หน้าที่ตามกฎหมายระเบียบที่ตราไว้สําหรับการเลือกตั้งนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด เป็น กลาง เพื่อสร้าง "ความบริสุทธิ์ยุติธรรม" ให้เกิดขึ้นในการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ตัวแทนของประชาชน อย่างแท้จริง ๔ ณรงค์สินสวัสดิ์ได้อธิบายการเลือกตั้งไว้ในหนังสือการเมืองไทย วิเคราะห์เชิงจิตวิทยาว่า เป็นกระบวนการอันหนึ่งที่สําคัญของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย เพราะถึงแม้หลักพื้นฐานของ ระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยก็คืออํานาจเป็นของปวงชน แต่การใช้อํานาจบริหารหรืออํานาจนิติ บัญญัตินั้นไม่สามารถให้ประชาชนทุกคนเป็นผู้ใช้เพราะจะเป็นเรื่อง ที่ทําให้ยากในทางปฏิบัติประเทศ ๑ บัญชา โขมะพัฒน์, “วิธีการและกระบวนการการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร : กรณีศึกษาอําเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี”, วิทยานิพนธ์พัฒนาบริหารศาสตรมหาบัณฑิต, สถาบัน บัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์, ๒๕๓๗), หน้า ๑. ๒ กมล ทองธรรมชาติและคณะ, การเลือกตั้ง พรรคการเมือง และเสถียรภาพของรัฐบาล, (กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หน้า ๔๖. ๓ พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, “การเลือกตั้งกับการพัฒนาทางการเมือง”, ใน เอกสารการสอนชุดวิชาปัญหากับ การพัฒนาทางการเมืองไทย, (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๔), หน้า ๓๗. ๔ พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, ข่าวสารการเมืองของคนไทย, (กรุงเทพมหานคร: เจ้าพระยาการพิมพ์, ๒๕๓๑), หน้า ๒๐๑.
๘ ที่เป็นประชาธิปไตยทางการเมืองจึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนไปเลือกผู้จะทําหน้าที่ ผู้บริหารคือรัฐบาล และเลือกผู้จะทําหน้าที่นิติบัญญัติคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในประเทศที่ใช้ ระบบประธานาธิบดีประชาชนจะเลือกทั้ง ประธานาธิบดีและสมาชิกรัฐสภา เช่น ในประเทศ สหรัฐอเมริกา สําหรับในประเทศไทยที่ใช้ระบบรัฐสภา ประชาชนจะไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรก่อนแล้วสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะไปเลือกนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล การ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นเรื่อง สําคัญต่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนต่อความ เจริญก้าวหน้าของประเทศ ต่อความมั่นคงของ ประเทศ ถ้าเลือกแล้วได้คนไม่ดีเข้ามาก็จะเป็นผลเสีย เพราะย่อมไม่รู้วิธีแก้ปัญหาของประเทศไม่จริงใจต่อการทํางานเพื่อส่วนรวม ขาดวิสัยทัศน์ที่จะมอง การณ์ไกลไปข้างหน้าและยังจะใช้อํานาจ ไปในทางมิชอบ นอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาบ้านเมืองแล้วยัง ทําให้เกิดความเสียหาย๕ วิสุทธิ์โพธิแท่น ได้อธิบายการเลือกตั้งในหนังสือเรื่อง อะไรนะ.. ประชาธิปไตย” ไว้ว่า ความเชื่อในอํานาจอธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty) ซึ่งถือว่า ความต้องการของปวงชน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของสังคมเป็นสิ่งที่จะต้องดําเนินตามอํานาจ อธิปไตยของปวงชนนี้แสดงให้ เห็นได้จากการเลือกตั้ง (Election) เป็นกระบวนการที่ประชาชนจะ เลือกคนที่จะไปทําหน้าที่ปกครอง แทนตน องค์การในการปกครองสูงสุดของประเทศนั้น คือ รัฐบาล (Government) ในความหมายที่ กว้างซึ่งโดยปกรติแยกออกเป็นสามส่วนคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ (Legislature) ทําหน้าที่ออกกฎหมาย ฝ่ายบริหาร (Executive) หรือรัฐบาลในความหมายที่แคบที่ทํา หน้าที่บริหารให้เป็นไปตามกฎหมาย คือ เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย และฝ่ายตุลาการ (Judiciary) ทํา หน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีความตาม ข้อกฎหมาย การเลือกตั้งที่จะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น จะต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้๑) เป็นการ เลือกที่เป็นไปโดยอิสระ (Free Election) ๒) มีการลงคะแนนเสียงเป็นการลับ (Secret Voting) ๓) การเลือกต้องเป็นไปอย่างแท้จริง (Genuine Election) คือ มีทางเลือกจากผู้สมัครหลายคนและไม่ ทําการคดโกงด้วยวิธีการต่าง ๆ ๔) เป็นการเลือกที่มีกําหนดระยะเวลา (Periodic Election) คือ กําหนดไว้ว่าผู้ที่ได้รับเลือกจะอยู่ในตําแหน่งได้นานเท่าไร ถึงจะ มีเลือกกันใหม่เวลาที่กําหนดไม่ควร สั้นเกินไปหรือนานเกินไป เท่าที่เป็นอยู่ในประเทศประชาธิปไตยต่าง ๆ มีระยะเวลาตั้งแต่๒ ปีถึง ๕ ปีเป็นส่วนใหญ่๕) ผู้ที่จะไปเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง มีสิทธิเสมอภาคและใช้สิทธิได้ทั่วถึง (Equal and Universal Sutrage) การเลือกตั้งอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้หลายวิธีซึ่งมีตั้งแต่ง่ายที่สุด คือ หนึ่งคนหนึ่งเสียง ใครได้เสียงมาก ที่สุดคนนั้นได้รับเลือกหรือวิธีให้ได้เสียงเกินกว่าครึ่ง หรือวิธีกําหนด โควตาของคะแนนหรืออาจจะมีการจัดเขตเลือกตั้งให้เป็นเขตหนึ่งมีผู้แทนได้คนเดียว หรือเขตหนึ่งมี ผู้แทนได้หลายคนก็ได้ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมของประเทศ๖ ๕ ณรงค์สินสวัสดิ์, การเมืองไทย การวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา, (กรุงเทพมหานคร: วัชรินทร์การพิมพ์, ๒๕๓๙), หน้า ๓๔๓. ๖ วิสุทธิ์โพธิแท่น, อะไรนะ..ประชาธิปไตย?, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๘), หน้า ๒๓.
๙ ความหมายของการเลือกตั้ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้นิยามคําว่า “การเลือกตั้ง” หมายถึง การเลือกบุคคลเพื่อเป็นตัวแทนตนกรณีต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกําหนด เช่น การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล เป็นต้น พรศักดิ์ผ่องแผ้ว กล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมที่สําคัญยิ่งใน กระบวนการทาง การเมืองและการปกครองประเทศ เจตจํานงดังกล่าวปรากฏอยู่ในลักษณะของการ เรียกร้อง (Demand) หรือสนับสนุน (Support) ต่อการตัดสินใจทั้งหลายในระบบการเมือง๗ จรูญ สุภาพ กล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ราษฎรได้มีส่วนร่วมในการ เลือกสรรและกําหนดตัวเจ้าหน้าที่ที่จะมาบริหารงานสาธารณะ การเลือกตั้งแบบ ประชาธิปไตย จะต้องเป็นความลับ และราษฎรมีโอกาสเลือกโดยเสรี ๘ วิสุทธิ์โพธิแท่น ให้ความหมาย “การเลือกตั้ง” ว่าการที่บุคคลได้เลือก บุคคลหนึ่งหรือ บุคคลจํานวนหนึ่งจากหลาย ๆ คน หรือเลือกจากบัญชีรายชื่อผู้เข้าสมัครรับ เลือกตั้งบัญชีหนึ่งหรือ บัญชีจํานวนหนึ่งจากบัญชีรายชื่อหลาย ๆ บญชั ีเพื่อให้ไปกระทําการอันหนึ่ง อันใดแทนตน๙ พิมลจรรย์นามวัฒน์ให้ความหมายของการเลือกตั้งว่า การที่ประชาชนมีส่วนร่วม ทางการเมืองโดยการออกเสียงลงคะแนนตามความเห็นของตนเองโดยอิสระว่าจะเลือก ผู้ใดเป็นผู้แทน ของตน เข้าไปใช้อํานาจอธิปไตยบริหารกิจการของประเทศผู้ที่จะได้รับการเลือกตั้งนั้นจะเป็นผู้สมัคร ใจเสนอตัวเข้ามาให้ประชาชนเลือกและผู้ที่ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ได้รับการ ยอมรับว่าเป็นผู้แทนของประชาชนทั้งหมด มีสิทธิตามที่ได้รับ มอบหมายจากประชาชนให้เข้าร่วมเป็น คณะบุคคลต้าเป็นการบริหารและปกครอง๑๐ กระมล ทองธรรมชาติและคณะ ให้ความหมายของการเลือกตั้งว่า การเลือกตั้งเป็น กระบวนการทางการเมือง ซึ่งแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ผู้เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ด้วยการไปออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของตนเพื่อทําหน้าที่ในรัฐสภาและ ในรัฐบาล เป็น กลไก การแสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนที่เรียกร้องและสนับสนุนให้มีการ ปฏิบัติจัดทําหรือละ เว้น การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งในทางการเมืองและการตัดสินใจในนโยบาย สาธารณะที่จะมี ๗ พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, ข่าวสารการเมืองของคนไทย, (กรุงเทพมหานคร: เจ้าพระยาการพิมพ์, ๒๕๓๑), หน้า ๒๐. ๘ จรูญ สุภาพ และพรศักดิ์ผ่องแผ้ว, “พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และการบริหารการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร: ศึกษาจากกรณีการเลือกตั้งแทนตําแหน่งที่ว่าง ของจังหวัดมุกดาหาร ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๖”, รายงานการวิจัยประเมินผล, (กรมการปกครอง: กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๒๗), หน้า ๒๔. ๙ วิสุทธิ์โพธิแท่น, อะไรนะ..ประชาธิปไตย?, หน้า ๖๓. ๑๐ พิมลจรรย์นามวัฒน์, “การเลือกตั้ง”, เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการ เมืองไทย หน่วยที่๑๒, สาขาวิชารัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, (นนทบุรี: โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๑), หน้า ๗๑๖.
๑๐ ผลกระทบต่อประชาชน การที่ประชาชนเลือกผู้แทนหรือกลุ่มการเมืองหรือพรรค การเมืองที่มี อุดมการณ์และนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของตน ก็เพราะประชาชนเชื่อว่า ผู้แทนที่ตน เลือกไปใช้อํานาจอธิปไตยแทนตนนั้นจะใช้อุดมการณ์ที่ประกาศเป็นแนวทางในการนํานโยบายไป ปฏิบัติและบริหารรัฐกิจในทํานองเดียวกันเพื่อเป็นการพิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง ประชาชนจะไม่ เลือกผู้แทนที่มีอุดมการณ์และนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์หรือไม่เอื้อต่อความต้องการของคน ดังนั้น การเลือกตั้งจึงเป็นกิจกรรมที่ประชาชนแสวงหาทางเลือกในการปกครองและ บําบัดความต้องการของตนเอง เป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยได้ มีส่วนร่วมทางการเมือง อันเป็นกลไกที่แสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนที่เรียกร้องหรือ สนับสนุน ให้มีการกระทํา หรือละเว้นการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งในทางการเมืองหรือการตัดสินใจในนโยบาย สาธารณะที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน โดยประชาชนทั่วไปเลือกผู้แทนหรือ พรรคการเมืองที่มี อุดมการณ์นโยบายและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับตน ด้วยความคาดหวังว่าผู้แทน หรือพรรคการเมืองที่ ตนเลือกให้ไปใช้อํานาจอธิปไตยแทนตนนั้น จะนําอุดมการณ์และนโยบายไป เป็นแนวนโยบายในการ บริหารประเทศ และท้าหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการแสวงหา ทางเลือกในการเมืองการปกครองของประชาชนนั่นเอง เมื่อพิจารณาจากความหมายของการเลือกตั้ง แล้วจะเห็นว่าการเลือกตั้งมีบทบาทสําคัญ ๒ ประการ คือ บทบาทของประชาชนคือ เป็นการเปิด โอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในกิจการ ของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมในการก้าวหน้าตัว ผู้บริหาร และบทบาทในการบริหาร กิจการของประเทศ การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นการ แสดงออกซึ่งเจตนารมณ์และการ สนับสนุนของประชาชน ซึ่งจะทําให้ระบบการเมืองและคณะ ผู้บริหาร ได้รับการยอมรับอย่าง ถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งเป็นกิจกรรม ที่ซับซ้อนของกระบวนการ ทางการเมืองและเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๑๑ ความสําคัญของการเลือกตั้ง การปกครองที่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันก็คือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่ง มีได้ หมายถึง การที่ประชาชนไปลงคะแนนเสียง (Voting) เลือกตั้งผู้แทนของตนแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นอีก กล่าวคือ การเลือกตั้งยังหมายถึงผลที่ได้จากการไปใช้ สทธิ ิเลือกตั้งของประชาชนอีกด้วย ผลการเลือกตั้งของประชาชนนี้หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจะพบว่า เป็น การแสดงออกถึงการยอมรับว่า อํานาจสูงสุดเป็นของประชาชน และเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน มีอํานาจที่จะดําเนินการเลือกผู้แทนเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แทนตนในการดําเนินกิจกรรมทาง การเมือง เช่น การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เลือกรัฐบาลเพื่อทําหน้าที่ในการ บริหาร ราชการแผ่นดินหรือปกครองประเทศ และกําหนดนโยบายที่จะใช้ในการปกครองประเทศ การ เลือกตั้งตัวแทนประชาชนเป็นกระบวนการทางการเมืองอย่างหนึ่งในระบอบการปกครองที่เขียน ว่า ๑๑ กมล ทองธรรมชาติและคณะ, การเลือกตั้ง พรรคการเมือง และเสถียรภาพของรัฐบาล, (กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หน้า ๑-๒.
๑๑ ถ้าอํานาจอธิปไตยหรืออํานาจสูงสุดในการปกครองเป็นของปวงชน ซึ่งคิดค้นขึ้นแทนระบอบการ ปกครองที่ถือคติอํานาจอธิปไตยเป็นของบุคคลใดบุคคลเดียวหรือคณะบุคคล โดยอ้างลัทธิเทวสิทธิ์ หรืออภิอํานาจ หรือความมีคุณสมบัติพิเศษ บางประการเป็นเครื่องมือให้ความชอบธรรมในย่านาง การปกครองของตน การเลือกตั้งเป็นกระบวนการของการเลือกสรรรัฐบาลที่จะมาทําการปกครอง และสร้างความชอบธรรมให้แก่อํานาจการปกครองของผู้ปกครองให้เป็นไปโดยสันติการเลือกตั้ง ใน ประเทศที่มีพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองมากกว่าหนึ่งพรรคหรือหนึ่งกลุ่มมีบทบาทสําคัญใน การ ยุติข้อขัดแย้งในระบบการเมืองโดยเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาและธรรมเนียมปฏิบัติที่ใช้ บังคับในระบบการเมืองนั้น ๆ การเลือกตั้งที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกาดังกล่าวจะทําให้คู่ต่อสู้ทาง การเมืองยอมรับผลการตัดสินใจของผู้เลือกตั้งโดยฝ่ายที่ชนะ จะได้รับมอบอํานาจจาก ประชาชนให้ ทําการปกครองในช่วงระยะเวลาที่กําหนดไว้ฝ่ายแพ้ก็จะหาทางเอาชนะในคราวต่อไป ตามวิถีทาง หรือกฎเกณฑ์และกติกาได้กําหนดไว้วิธีการเช่นนี้ช่วยอํานวยให้การสืบอํานาจทางการ เมืองและการ ปกครองเป็นไปอย่างสันติวิธีไม่ต้องอาศัยวิธีการที่ผิดกฎหมายและไม่ชอบธรรม เช่น การปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นกลไกในการสับเปลี่ยนอํานาจ ดังนั้น กระบวนการเรียกตั้งภายใต้เงื่อนไข ที่กล่าวมานี้จึงแตกต่างไปจากการเลือกตั้งในประเทศที่มีพรรคการเมืองที่มีอํานาจและ อิทธิพลมากที่สุดเพียงพรรคเดียว หรือกลุ่มคณะบุคคลเพียงคณะเดียว ซึ่งใช้การเลือกตั้งเป็นเพียง ข้ออ้างใน การสร้างความชอบธรรมในอํานาจการปกครองเท่านั้น มิใช่เป็นกลไกเพื่อขจัดความขัดแย้ง หรือ เพื่อตัดสินการสืบอํานาจแต่อย่างใด กระบวนการสับเปลี่ยนอํานาจการปกครองโดยการเลือกตั้ง นี้ยัง เป็นกลไกสําคัญที่จะคอยเตือนเสมอว่าตนมีความรับผิดชอบต่อประชาชนและมีประชาชนคอยจับ คาดูการกระทําของเขาอยู่เสมอ ดังนั้นจะต้องทําหน้าที่อย่างดีที่สุดและด้วยความรับผิดชอบ เพราะ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินอนาคตทางการเมืองของตนด้วยการเลือก หรือไม่เลือกตนกลับมาท้า หน้าที่ ผู้แทนของปวงชนอีก นอกจากนั้น กระบวนการเลือกตั้งยังเป็นกลไกสําคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของ ประชาชน การไปใช้สิทธิเลือกตั้งทําให้บุคคลเกิดความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของ ประเทศ มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในความสามารถของตนเองและเพื่อนมนุษย์ว่าสามารถตัดสินใจ เลือก รัฐบาล เลือกรูปแบบการปกครอง วิธีดําเนินการปกครอง ระบบเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของ ตนเองได้ การเลือกตั้งจะนําไปสู่ความพยายามของประชาชนที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการ กระทําของ รัฐบาล ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้การมีบูรณาการภายในระบบการเมืองของชาติและ ระดม ประชาชนเข้าร่วมในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยมากขึ้น๑๒ การเลือกตั้งจึงเป็นการตัดสินใจทาง การเมืองที่มีความสําคัญต่อระบบการเมือง เพราะการตัดสินใจนี้จะนํามาซึ่งการตัดเลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาล ตลอดจนนโยบายใน การบริหารประเทศ ๑๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖.
๑๒ ความสําคัญของการเลือกตั้งในด้านผลที่ได้จากการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อาจพิจารณาได้อีก ในแง่ของ "สัญลักษณ์” ที่ทําให้บุคคลที่ไปใช้สิทธิเกิดความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม กล่าวคือ การเลือกตั้งเป็นพิธีการที่สําคัญอย่างหนึ่งในการปกครองแบบประชาธิปไตยทํานอง เดียวกันกับพิธี ทางศาสนาท้าให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าตนได้ท้า "หน้าที่พลเมืองดี" (Civil Duty) ซึ่งส่งผลในเชิง ลักษณะที่แฝงเร้นต่อระบบการเมืองอยู่อีกหลายประการ อาทิการเลือกตั้งทําให้อํานาจของรัฐบาลมี ความชอบธรรม ทั้งนี้เนื่องจากทําให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้รับการ ยอมรับจากประชาชน นอกจากนั้น การเลือกตั้งยังช่วยคลายความตึงเครียดของความขัดแย้งทางการเมือง ตลอดจนช่วยลด ความขัดแย้งทางสังคมลงได้อีกด้วย กล่าวคือกลุ่มทางสังคมทั้งหลายต่าง กลุ่มต่างก็มีความต้องการที่ แตกต่างกัน จึงทําให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่ละกลุ่ม เหล่านั้นต่างอยากจะได้ในสิ่ง ที่ตนต้องการ โดยเรียกร้องผ่านกระบวนการเลือกตั้งแบบปกติซึ่ง "อํานวยประโยชน์กว่าการใช้กําลัง เข้าแย่งชิงผลประโยชน์กัน กล่าวโดยสรุป การเลือกตั้งจึงมีความสําคัญ คือ เป็นการเลือกผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่จะ มาทําหน้าที่ปกครองเป็นกลไกเชื่อมโยง ความต้องการของประชาชนเข้ากับนโยบายสาธารณะ สร้าง ความชอบธรรมทางการเมืองให้แก่ผู้ปกครองในทางการเมืองการปกครอง ลดความตึงเครียดและ ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมและทําให้เกิดการระดมมวลชนเข้าสู่กระบวนการทางการเมือง การ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประสานประโยชน์ให้ประชาชนเห็นความจําเป็นของการ ปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นพลเมืองที่ดี หลักการเลือกตั้ง นักกฎหมายมหาชน และนักรัฐศาสตร์มักจะอ้างที่มาของหลักการเลือกตั้ง ซึ่งเป็น เจตนารมณ์ของการเลือกตั้งว่า ปรากฏอยู่ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มาตรา ๒๑ ซึ่งระบุ สาระสําคัญเกี่ยวกับสิทธิในการปกครองตนเองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนโดยมี กระบวนการการเลือกตั้งที่แท้จริงรองรับ การเลือกตั้งดังกล่าวต้องเป็นกลางมีคุณภาพสูงและมี คุณสมบัติที่ไม่เบี่ยงเบนไปจากหลักการ กล่าวคือ ต้องเป็นการเลือกตั้งอย่างลับ(secret) มีความเป็น อิสรเสรี (Freedom) เป็นวาระ (Period) อย่างเสมอภาค (Equal Suffirage) เป็นการทั่วไป (Universal Suflage) และเป็นการเลือกตั้งที่แท้จริง (Genuine Election) (United Nations General Assembly, "Universal Declaration of Human Rights ๑๙๘๔ ," (United Nations Department of Public information, ๑๔๙) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Declaration of Human Right, ๑๙๔๕) มาตรา ๒๑ ระบุว่า (1) Everyone has the right to take part in the government of his country. directly or through freely chosen representatives. (2) Everyone has the right of equal access to public service in his country. (3) The will of people shall be the basic of the authority of government this will shall be expressed in periodic and genuine elections which shall be equal suffrage and shall be held by secret vote or by equivalent free writing procedures หลักทั้ง ๖ ประการข้างต้นนี้ดูเป็นเรื่องง่ายแต่มีนัยเชิงปฏิบัติ ที่จะนําไปสู่การซ่อนเร้นหรือเบี่ยงเบนเจตนารมณ์ซึ่งนําไปสู่การ เลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมขึ้นได้ โดยง่าย การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นองค์ประกอบ สําคัญของการปกครองแบบ
๑๓ ประชาธิปไตยโดยทางผู้แทน (Representative Democracy) ทั้งนี้ก็เพราะการเลือกตั้งเป็น กระบวนการทางการเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ ปกครองโดยการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนเข้าไปทําหน้าที่ทางการปกครอง หรือใช้อํานาจ แทนพวกเขาแต่ทว่าการเลือกตั้งจะมีความหมายและถือว่าเป็นฐานที่มาของความชอบธรรมได้อํานาจ ทางการ เมืองของผู้ปกครองนั้นจะต้องมีลักษณะตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล ดังต่อไปนี้ ๑. ความเป็นอิสระแห่งการเลือกตั้ง หมายถึง การแสดงเจตนารมณ์ในการเลือกตั้งจะต้อง เป็นไปอย่างอิสรเสรีปราศจากการบีบบังคับข่มขู่ด้วยประการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้อามิสสินจ้าง หรือการใช้อิทธิพลบีบบังคับ ๒. หลักการเลือกตั้งตามกําหนดระยะเวลา หมายถึง การจัดให้มีการเลือกตั้งตามกําหนด ระยะเวลา ทั้งนี้เพื่อประชาชนมีโอกาสตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปกครองว่าได้ปฏิบัติตาม เจตนารมณ์ของประชาชนหรือไม่ และเป็นเงื่อนไขสําคัญในการพิจารณาความชอบธรรมในการใช้ อํานาจของผู้ปกครองและเป็นเงื่อนไขเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสสามารถเปลี่ยนแปลงตัวผู้ปกครองได้ โดยสันติวิธีผู้ปกครองที่ใช้อํานาจโดยชอบธรรมในระหว่างที่อยู่ในอํานาจ เมื่อครบวาระแล้วก็มี โอกาสได้รับความไว้วางใจจากประชาชนและได้รับเลือกเข้ามาใหม่ ๓. การเลือกตั้งที่ยุติธรรม หมายถึง การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์เป็นไปตามตัวบทกฎหมายและ เจตนารมณ์ของกฎหมาย ปราศจากการครอบงําและเล่ห์ทางการเมือง ปราศจากการใช้อิทธิพลทาง การเมืองทางเศรษฐกิจ และสถานภาพทางสังคม เช่น นักการเมืองที่อยู่ในตําแหน่งใช้อํานาจหน้าที่ ของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนสนับสนุน หรือผู้ที่มีกําลังทางเศรษฐกิจเข้มแข็งกว่าใช้เงินทองทุ่มเท หา เสียง หรือซื้อคะแนนเสียงเพื่อตนเอง หรือสนับสนุนผู้สมัครนอกจากนี้การต่อสู้แข่งขันระหว่าง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองจะต้องเป็นไปอย่างอิสรเสรีภายในขอบเขตของกฎหมายและเจตนารมณ์ของ กฎหมายที่มีพื้นฐานอยู่บนความยุติธรรมและความเสมอภาค ๔. หลักการใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นการทั่วไป หมายถึง การให้สิทธิเลือกตั้งแก่ประชาชน ทั่วไป โดยไม่มีการกีดกันหรือจํากัดสิทธิบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นพิเศษเนื่องมาจากเพศ สีผิว สถานภาพ ทางสังคม เศรษฐกิจ เงื่อนไขข้อนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่า สิทธิในการมีส่วนร่วม ใช้อํานาจ อธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนทุกคน ๕. หลักความเสมอภาค หมายถึง การมีสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนมีความสําคัญ และได้รับความยอมรับโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าผู้เลือกตั้งนั้นจะมีสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจและ การเมืองอย่างใด มาตรการในการให้ความเสมอภาค อย่างเช่น การให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งคน หนึ่ง ๆ ลงคะแนนเสียงได้เพียงหนึ่งคะแนน (One Man One Vote) และคะแนนเสียงทุก ๆ คะแนน ความสําคัญเท่ากัน เป็นต้น ๖. หลักการลงคะแนนลับ หมายถึง การออกเสียงเลือกตั้งของประชาชนเป็นเอกสิทธิของ ผู้เลือกตั้งโดยเด็ดขาด และได้รับการปกป้องพิทักษ์โดยการออกเสียงลับ ทั้งนี้เพื่อให้การเลือกตั้ง เป็นไปโดยบริสุทธิ์ปราศจากการข่มขู่แบบนั้นจากอิทธิพลใด ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อเสรีภาพของผู้ เลือกตั้ง
๑๔ หลักทั้ง ๖ ประการนี้เป็นอุดมคติแต่มีความจําเป็นมากในการที่จะประกันความบริสุทธิ์ ยุติธรรมของการเลือกตั้ง การเลือกตั้งจึงเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามีส่วนร่วมในการแสดง บทบาท ทางการเมือง ช่วยกันรับผิดชอบต่อประเทศชาติและยังเป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของ ประชาชนที่รัฐบาลจะต้องตระหนักและยึดถือเป็นเรื่องสําคัญ ประเทศเสรีประชาธิปไตยทุก ประเทศ จึงให้ความสําคัญต่อการเลือกตั้งมาก นอกจากนี้การเลือกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นว่า การ ปกครองบริหารประเทศ ของตนนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์กล่าวคือการเข้าปฏิบัติหน้าที่ก็ เพราะได้รับการกลั่นกรองและขอมรับจากประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ขณะเดียวกันก็เป็นการ แสดงความชอบธรรมในการได้มาซึ่งอํานาจเพื่อให้นานาประเทศยอมรับ๑๓ ตารางที่๒.๑ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด แนวคิดเกี่ยวกบการเลั ือกตั้ง พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, ๒๕๓๑.หน้า ๒๐๑. ได้ให้การจํากัดความของคําว่า การเลือกตั้ง คือ กิจกรรมทสี่ําคญยั ิ่งในกระบวนการทางการเมือง และการปกครอง เพราะการเลือกตั้งเป็นการ แสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนในการ ปกครองประเทศ เจตจํานงทปรากฏอย ีู่่ใน ลักษณะของการเรียกร้องหรือสนับสนุนต่อการ ตัดสินใจทั้งหลายในระบบการเมือง ณรงค์สินสวัสดิ์, ๒๕๓๙.หน้า ๓๔๓. ได้อธิบายการเลือกตั้งไว้ในหนังสือการเมืองไทย วิเคราะห์เชิงจิตวิทยาว่า เป็นกระบวนการอันหนึ่ง ที่สําคัญของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย เพราะถึงแม้หลักพื้นฐานของระบบการเมืองแบบ ประชาธิปไตยก็คืออํานาจเป็นของปวงชน วิสุทธิ์โพธิแทน่ , ๒๕๓๘.หน้า ๒๓. ได้อธิบายการเลือกตั้งในหนังสือเรื่อง อะไรนะ.. ประชาธิปไตย” ไว้ว่า ความเชื่อในอํานาจ อธิปไตยของปวงชน (Popular Sovereignty) ซึ่ง ถือว่า ความต้องการของปวงชนเพื่อผลประโยชน์ ร่วมกันของสังคมเป็นสิ่งที่จะต้องดําเนินตาม อํานาจ อธิปไตยของปวงชนนี้แสดงให้เห็นไดจาก้ การเลือกตั้ง (Election) ๑๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒-๕, ๙๗.
๑๕ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด ความหมายของการเลือกตั้ง พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, ๒๕๓๑. หน้า ๒๐. กล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมที่สําคญยั ิ่งใน กระบวนการทางการเมืองและการปกครอง ประเทศ เจตจานงดํ ังกล่าวปรากฏอยู่ในลักษณะ ของการ เรียกร้อง (Demand) หรือสนับสนุน (Support) ต่อการตัดสินใจทงหลายในระบบ ั้ การเมือง จรูญ สุภาพ, ๒๕๒๗. หน้า ๒๔. กล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ ราษฎรได้มีส่วนร่วมในการเลอกสรรและกื ําหนด ตัวเจ้าหน้าที่ที่จะมาบริหารงานสาธารณะ การ เลือกตั้งแบบ ประชาธิปไตยจะต้องเป็นความลับ และราษฎรมีโอกาสเลือกโดยเสรี วิสุทธิ์โพธิแทน่ , ๒๕๓๘. หนา้๖๓. ให้ความหมาย “การเลือกตั้ง” ว่าการที่บุคคลได้ เลือก บุคคลหนึ่งหรือบุคคลจานวนหนํ ึ่งจาก หลาย ๆ คน หรือเลือกจากบัญชีรายชื่อผู้เข้า สมัครรับ เลือกตั้งบัญชีหนึ่งหรือบัญชีจํานวนหนึ่ง จากบัญชีรายชื่อหลาย ๆ บัญชีเพื่อให้ไปกระทํา การอันหนึ่ง อันใดแทนตน พิมลจรรย์นามวัฒน์, ๒๕๔๑. หน้า ๗๑๖. ให้ความหมายของการเลือกตั้งว่า การที่ ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการออก เสียงลงคะแนนตามความเห็นของตนเองโดย อิสระว่าจะเลือก ผู้ใดเป็นผแทนู้ของตน เขาไปใช ้ ้ อํานาจอธิปไตยบริหารกิจการของประเทศ กระมล ทองธรรมชาติและคณะ, ๒๕๓๑. หน้า ๑-๒. ให้ความหมายของการเลือกตั้งว่า การเลือกตั้ง เป็นกระบวนการทางการเมือง ซึ่งแสดงออกถึง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ผู้เป็น เจ้าของอํานาจอธิปไตย ด้วยการไปออกเสียง เลือกตั้งผู้แทนของตนเพื่อทําหน้าที่ในรัฐสภา ๒.๑.๑ แนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกตั้ง โดยหลักทั่วไปการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ยอมให้ประชาชน มี อํานาจเท่าเทียมกันในการปกครองประเทศ โดยประชาชนเลือกตัวแทนของตนเข้าไปทําหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดกําหนดไว้จึงจําเป็นจะต้องเลือกตั้งเสมอไม่ว่าจะเป็นการ เลือกตั้งโดยตรง (direct democracy) หรือการเลือกตั้งโดยอ้อม (representative democracy) เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีปากมีเสียงในการกําหนดทิศทางการปกครองประเทศ การเลือกตั้งจึงเป็น
๑๖ วิธีการที่ดีที่สุดในระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งนั้นเป็นกิจกรรมที่แสดงออก ถึงเจตนาของการเข้า ไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ในการเลือกตั้งผู้แทนที่มีความคิด ความเห็น นโยบาย และ อุดมการณ์คล้ายคลึงกับตนมากที่สุด เพื่อเข้าไปทําหน้าที่แทนตนเพื่อ ประโยชน์แก่ตนให้เกิดความกิน ดีอยู่ดีในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ การเลือกตั้งจึงเป็นเครื่องมือ สําคัญในการเป็นช่องทางให้ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศสามารถเลือกตัดสินใจเพื่อตอบสนอง ความต้องการของตนเอง การ เลือกตั้งจึงเป็นพื้นฐานในการปกครองระบอบประชาธิปไตยในการให้ความเห็นชอบหรือฉันทานุมัติให้ บุคคลหรือคณะบุคคลเข้าไปทําหน้าที่ในการบริหารประเทศ ตามเจตนารมณ์ ๑๔ ๑. กระบวนการตัดสินใจเลือกตั้ง ผู้วิจัยได้ทําการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจเลือกตั้งและสามารถสรุปกระบวนการ ตัดสินใจจากนักวิชาการได้ดังนี้ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้วางรากฐานมาอย่างยาวนานโดยเริ่มตั้งแต่ระดับ ประถมศึกษาถือได้ว่าตั้งแต่อายุประมาณ ๗ ขวบโดยประมาณ เด็กจึงเกิดการซึมซับเรื่อยมา จนกระทั่งอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งการได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องหรือการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ย่อมได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจึงทำให้เข้าใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ดังนั้นไม่ว่า ประชาชนจะมีระดับอายุที่ต่างกันแต่ส่วนใหญ่นั้นก็ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งนั่นเอง การศึกษาเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์เกิดความรู้และประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใน ปัจจุบันนี้มีสื่อหลายประเภทที่ช่วยอํานวยความสะดวกต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก หากประชาชนให้ ความสนใจก็จะได้รับความรู้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งมีการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ใกล้จะเลือกตั้ง ดังนั้น ประชาชนไม่ว่าจะจบ การศึกษาระดับใดก็สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการเลือกตั้งได้ไม่ว่าจะเป็นประวัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผลงานในอดีตที่ผ่านมา เป็นต้น ประชาชนในปัจจุบัน ให้ความสนใจและตื่นตัวต่อการเมืองในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ ว่าจะประกอบอาชีพอะไร เพราะการเมืองมีอิทธิพลต่อการประกอบอาชีพไปโดยอัตโนมัติไม่ว่าจะเป็น การวางนโยบาย การกำหนดแผนในการปฏิบัติการเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของ ประชาชนทุกอาชีพ ดังนั้นประชาชนจึงให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งเป็นอย่างดี ประชาชนในปัจจุบันไม่ว่าจะยากจนหรือรวยก็สามารถแยกแยะได้ถึงการเมืองโดยเฉพาะ การเลือกตั้ง ว่าจะเลือกใครเป็นตัวแทนของตัวเองให้ไปทำหน้าที่ในรัฐสภา รายได้ของประชาชนถึงแม้ จะแตกต่างกัน บ้างตามอาชีพแต่ปัจจุบันเมื่อประชาชนให้ความสำคัญต่อการเมืองก็ไม่อุปสรรคต่อการ เลือกตั้งแต่อย่างใด ๑๔ วิสุทธิ์โพธิแท่น, ประชาธิปไตยแนวความคิด และตัวแบบประเทศประชาธิปไตยในอุดมคติ, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๔), หน้า ๑๐๗.
๑๗ พฤติกรรมการลงคะแนนเลือกตั้งเป็นพฤติกรรมทางการเมือง อันเป็นรูปแบบของการมี ส่วนร่วมทางการเมืองอย่างหนึ่ง นักรัฐศาสตร์หลายท่านได้ให้ข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งในปัจจุบัน นับวันแต่จะมีความซับซ้อน หรือมีปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องมากขึ้น มีการใช้เทคนิคและกุศโลบายต่าง ๆ เพื่อ มุ่งหมายชัยชนะทางการเมืองมากขึ้น๑๕ การตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จากการศึกษาเรื่องอิทธิพลในการตัดสินใจก่อนที่จะมี การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ได้ทราบว่ามีอิทธิพลดังกล่าวแบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่๑ อิทธิพลในการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือขั้นตอนที่จะ ได้รับ ข่าวเก่ียวกับการเลือกตั้ง ซึ่งจะเริ่มจากการที่ประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงได้รับข่าวสารการ เลือกตั้ง การสมัครรับเลือกตั้ง ข่าวสารเกี่ยวกับตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง และนโยบายต่าง ๆ ของพรรค การเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยผ่านสื่อในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือ เกี่ยวกับพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงจะนําข่าวสารนั้นมาเป็น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะลงคะแนนให้ ขั้นตอนที่๒ อิทธิพลในการสร้างหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร เมื่อผู้ลงคะแนนเสียงได้รับข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร และนโยบายของพรรคการเมือง ที่ผู้รับสมัครรับเลือกตั้งสังกัดอยู่ผู้ลงคะแนนเสียงจะสร้างหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกว่าจะให้ ความสําคัญกับคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัคร หรือจะให้ความสําคัญกับนโยบายพรรคการเมืองเมื่อได้ สร้างเกณฑ์แล้ว ประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงจะเริ่มประเมินข่าวสารต่าง ๆ เปรียบเทียบให้สอดคล้อง กับหลักเกณฑ์หรือจุดมุ่งหมายของตน ขั้นตอนที่๓ อิทธิพลในการประเมินและจัดลําดับผู้สมัครเลือกตั้ง เมื่อผู้ลงคะแนนเสียง เลือกตั้งได้กําหนดหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกและตัดสินใจไว้แล้ว ผู้เลือกลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะ ประเมินผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละคนตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ดังกล่าวแล้ว ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละ คนสมควรจะได้รับการประเมินเท่าไหร่ตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ ขั้นตอนที่๔ อิทธิพลจากการตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้กับผู้รับสมัครที่มีคะแนนรวม สูงสุด จากการประเมิน ในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายนี้อาจมีตัวแปรอย่างอื่นเข้ามาสอดแทรก อันได้แก่ อิทธิพลของเงินทองอามิสสินจ้างที่หัวคะแนนของผู้สมัครรับการเลือกตั้งนามาแจกจ่ายให้ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับเหตุผลและหลักเกณฑ์ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ๑๖ ๑๕ สุรพล พรมกุล, ทองแพ ไชยต้นเชือก, “พฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๗ ในจังหวัดขอนแก่น”, วารสารธรรมทรรศน์, ปีที่๑๕ ฉบับที่๓ (๒๕๕๗): ๑๑๑-๑๑๓. ๑๖ ปิยะรัตน์สนแจ้ง, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผฎแทนราษฎร้ : ศึกษากรณี ประชาชนกรุงเทพมหานคร ปีพ.ศ. ๒๕๖๒”, การค้นคว้าอิสระรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสื่อสารการเมือง, (วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๖๑), หน้า ๒๐-๒๓.
๑๘ บรู๊ช ไอ นิวแมน (Bruce I. Newman) นักวิชาการชาวอเมริกัน ผู้เสนอทฤษฎีการตลาด ทางการเมืองที่นํามาสู่การตัดสินใจเลือกตั้ง โดยประยุกต์๔ ทางธุรกิจ มาเป็น ๔ ทางการเมือง ดังนี้ ๑. ผลิตภัณฑ์ (Product) ได้แก่ นโยบาย และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสําคัญ สําหรับการรณรงค์ ๒. การตลาดแบบผลักดัน (Push Marketing) เป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ นโยบายและผู้สมัครผ่านกลไกของพรรค สู่สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรคในระดับท้องถิ่น โดยใช้ สื่อของพรรคเป็นหลัก ๓. การตลาดแบบดึง (Pull Marketing) เป็นการรณรงค์ผ่านสื่อมวลชนเป็นหลัก ได้แก่ หนังสือพิมพ์วิทยุและโทรทัศน์ ๔. การสํารวจความคิดเห็น (Polling) เป็นเครื่องมือที่มีความสําคัญในการที่จะได้ข้อมูล เพื่อนํามาจัดทํานโยบายและตรวจสอบประสิทธิผลของการณรงค์ ๑๗ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ให้ความหมายไว้ว่า การเลือกตั้ง หมายถึง การเลือก บุคคลเพื่อเป็นตัวแทนตนกรณีต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกําหนด เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล เป็นต้น๑๘ ธานินทร์กรัยวิเชียร ได้อธิบายความหมายของการเลือกตั้ง หมายถึง การที่ประชาชนได้ เลือกบุคคลหนึ่งจากบุคคลหลาย ๆ บุคคล หรือจากบัญชีรายชื่อหนึ่งหรือหลายบัญชีเพื่อให้เข้าไปมี ส่วนมีเสียงในคณะบริหารราชการแผ่นดิน๑๙ วิสุทธิโพธิแท่น ได้ให้ความหมายการเลือกตั้งไว้ว่า การเลือกตั้งหมายถึง การที่บุคคลได้ เลือกบุคคลหนึ่งหรือจํานวนหนึ่งจากหลาย ๆ คน หรือจากบัญชีรายชื่อผู้เข้าสมัครรับ เลือกตั้งบัญชี หนึ่ง หรือจํานวนหนึ่งจากบัญชีรายชื่อหลาย ๆ บัญชีเพื่อทําการอันใดอันหนึ่งแทนตน๒๐ พรศักดิ์ผ่องแผ้ว ได้อธิบายไว้ว่าการเลือกตั้ง หมายถึง กระบวนการทางการเมือง และ การปกครอง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สําคัญยิ่งในกระบวนการทางการเมืองและการปกครอง เพราะ การ เลือกตั้งเป็นการแสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนในการปกครองประเทศ เจตจํานงดังกล่าว ๑๗ พันธุ์ทิพา อัครธีรนัย, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด นครนายก: ศึกษาในช่วงเวลา พ.ศ. ๒๕๕๙”, สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง (วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๙), หน้า ๑๒-๑๔. ๑๘ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕, (กรุงเทพมหานคร: อักษร เจริญทัศน์, ๒๕๓๘), หน้า ๒๐. ๑๙ ธานินทร์กรัยวิเชียร, ระบบประชาธิปไตย, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, ๒๕๒๐), หน้า ๔๖. ๒๐ วิสุทธิ์โพธิแท่น, ประชาธิปไตยแนวความคิด และตัวแบบประเทศประชาธิปไตยในอุดมคติ, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๔).
๑๙ ปรากฏในลักษณะของการเรียกร้อง (demand) หรือสนับสนุน (support) ต่อการตัดสินใจทั้งหลาย ในระบบการเมือง๒๑ ความสําคัญของการเลือกตั้งตามหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ได้วางหลักไว้ว่า เจตจํานงของประชาชนย่อมเป็นมูลฐานแห่งอํานาจรัฐของผู้ปกครอง เจตจํานงดังกล่าวต้องแสดงออก โดยการเลือกตั้งอันสุจริต ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามกําหนดเวลาด้วยการลงคะแนนเสียงอย่างทั่วถึง โดยถือหลักหนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่านั้น นอกจากนี้วิถีทางการเมืองการเลือกตั้งยังมีความสําคัญดังต่อไปนี้ ๑. เป็นวิธีการที่ทําให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองตามหลักการ ประชาธิปไตย โดยประชาชนใช้ตัวแทนของตนที่ได้มาจากการเลือกตั้งนั้น ไปทําหน้าที่แทนตน ใน รัฐสภาและในคณะรัฐบาล ๒. เป็นวิธีการที่ใช้เปลี่ยนอํานาจทางการเมืองการปกครองที่ทันสมัย และเป็นไปอย่าง สันติวิธีซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ในสมัยโบราณที่ใช้กําลัง ใช้อาวุธ เข้าต่อสู้เพื่อแก่งแย่งอํานาจการ ปกครอง ซึ่งเราจะเห็นได้จากการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ๓. เป็นวิธีการป้องกันมิให้เกิดการรัฐประหาร เมื่อรัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศหรือ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ลุล่วงก็คืนอํานาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภาฯ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ให้ ประชาชนตัดสินใจว่าจะเลือกใครเป็นผู้บริหารต่อไป ๔. เป็นวิธีการที่จะทําให้เกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอํานาจ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคล อื่น หรือกลุ่มบุคคลอื่นได้เข้ามามาทําหน้าที่ในการบริหารประเทศ ทําให้ประชาชนได้มีโอกาส เปลี่ยนตัวผู้แทน เปลี่ยนรัฐบาล เมื่อไม่พอใจการทํางานของรัฐบาลเดิม ๕. เป็นวิธีการเสริมสร้างความถูกต้องและชอบธรรมในการใช้อ านาจทางการเมืองให้กับ บุคคลที่จะมาทําหน้าที่เป็นคณะรัฐบาล๒๒ หลักเกณฑ์และกติกาการเลือกตั้ง โดยหลักการเลือกตั้งจะต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ กําหนดไว้ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กําหนดกติกาเลือกตั้งไว้ ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ รวมทั้งสิ้น ๓ ฉบับ ได้แก่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่า ด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง แต่การเลือกตั้งจะบรรลุจุดมุ่งหมายได้นั้นจะต้อง ประกอบไปด้วย หลักเกณฑ์๖ ประการ อันได้แก่ ๒๑ พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, “การเลือกตั้งกับการพัฒนาทางการเมือง”, ใน เอกสารการสอนชุดวิชาปัญหา กับการพัฒนาทางการเมืองไทย, หน้า ๒๖. ๒๒ สุขุม นวลสกุล, การเมืองและการปกครองไทย, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคําแหง, ๒๕๒๑), หน้า ๑๔๔.
๒๐ ๑. หลักอิสระแห่งการเลือกตั้ง หมายถึง การให้อิสระต่อการเลือกตั้ง โดยประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพที่จะเลือกใคร หรือพรรคการเมืองใดก็ได้ผู้สมัครรับเลือกตั้งก็มีสิทธิที่จะเลือกสังกัดพรรค การเมืองที่ตนเองชอบก็ได้ไม่มีการบังคับ พรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้าแข่งขันอย่างน้อยสองพรรคขึ้น ไป เพราะการที่ประชาชนจะต้องเลือกผู้ปกครองจากพรรคการเดียว หรือกลุ่มบุคคลเดียว โดยไม่ได้ เปรียบเทียบกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลอื่น การเลือกตั้งนั้นก็ไม่มีความหมาย และไม่ได้ตอบสนองความ ต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ๒. หลักการเลือกตั้งตามกําหนดเวลา หมายความว่า การเลือกตั้งจะต้องมีกําหนด ระยะเวลาที่แน่นอนไว้เช่น กําหนดให้มีการเลือกตั้งทุก ๔ ปีหรือ ๕ ปีเป็นต้น ๓. หลักการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม หมายถึง การเลือกตั้งที่เป็นไปตามตัวบท กฎหมาย ไม่มีคดโค้ง หรือใช้อิทธิพล เงินทองหรืออํานาจหน้าที่ในการบังคับ ซื้อคะแนนเสียงเพื่อ ตนเอง และหมู่คณะ ๔. หลักการใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างเสมอภาค หมายถึง การให้สิทธิแก่ประชาชนโดยไม่มีการ กีดกัน หรือจํากัดสิทธิบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นพิเศษ เพราะความแตกต่างทางฐานะเศรษฐกิจ สังคม ผิวดํา ผิวขาว หญิง ชาย ยากจน ร่ํารวย ทุกคนมีสิทธิลงคะแนนเสียงคนละหนึ่งคะแนน และ คะแนน เสียงทุกคะแนนมีน้ําหนักเท่ากัน ๕. หลักการออกเสียงโดยทั่วไป หมายถึง การเปิดโอกาสให้มีการออกเสียงเลือกตั้งอย่าง ทั่วถึงแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า เว้นแต่กรณีที่มีข้อจํากัดอันเป็นที่รับรองโดยทั่วไป เด็กเยาวชนที่อายุ ยังไม่ครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์บุคคลวิกลจริต หรือมีจิตบกพร่อง เป็นต้น ๖. หลักการลงคะแนนลับ หมายถึง การออกเสียงเลือกตั้งของประชาชน ถือเป็นสิทธิของ ผู้เลือกตั้งโดยเด็ดขาด สิทธินี้จะได้รับการพิทักษ์ปกป้องก็โดยการลงคะแนนลับ ผู้ออกเสียงไม่ จําเป็นต้องบอกว่าตนเลือกใคร ทั้งนี้เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ปราศจาก การขู่บังคับจากอิทธิพลใด ๆ ที่จะมีผลต่อเสรีภาพและความปลอดภัยของผู้เลือกตั้ง ๒๓ “การพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุด จากทางเลือกหลาย ๆ ทาง ผู้นําต้องตัดสินใจด้วยหลัก เหตุผลเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด” จาก แนวคิดนักวิชาการที่ได้ให้ความหมายของการตัดสินใจไว้ข้างต้น พอสรุปองค์ประกอบของการ ตัดสินใจได้ว่า ประกอบด้วย ๓ ปัจจัย ได้แก่ ๑. ปัจจัยตัวผู้ตัดสินใจ โดยผู้ตัดสินใจมีความสามารถในการประเมินคุณค่า ประโยชน์ หรือ ความสําคัญของทางเลือกแต่ละอย่าง ๒. ปัจจัยทางเลือก โดยผู้ตัดสินใจต้องมีทางเลือกมากกว่า ๑ ทางเลือก ซึ่งถ้ามีทางเลือก เพียงทางเดียวก็ไม่จําเป็นต้องตัดสินใจเลือก ๒๓ สุขุม นวลสกุล, การเมืองและการปกครองไทย, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคําแหง, ๒๕๒๑), หน้า ๖๕-๗๑.
๒๑ ๓. ผลทางเลือกในอดีตจะขึ้นอยู่กับการเลือก ซึ่งผลการเลือกแต่ละอย่างจะแตกต่าง และ ไม่เท่ากันตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน๒๔ นอกจากนี้การศึกษาหลักการกําหนดพิจารณาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งยังมีความสัมพันธ์ กับปัจจัย ดังต่อไปนี้ ๑. สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม กับอิทธิพลที่มีผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีความสนใจทางการเมืองน้อย จะตัดสินใจโดยไม่อิงกับประเด็นนโยบายทาง การเมือง ด้านการชักจูงโน้มน้าวและอามิสสินจ้างจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ๒. ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับอิทธิพลที่มีต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งพบว่า ผู้ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเกือบครึ่งหนึ่งใช้เกณฑ์ในการเลือกโดยคํานึงถึงระหว่างตัวผู้สมัครกับพรรค การเมืองอย่างละครึ่งคละกันไป ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ อาชีพ รายได้และการศึกษา ส่วนที่อยู่อาศัยและเพศนั้นมีอิทธิพลในบางกรณีผู้มีฐานะทาง เศรษฐกิจ และสังคมสูงมักจะตัดสินใจในวันเลือกตั้งส่วนผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงมักจะ ตัดสินใจก่อน วันเลือกตั้ง และไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจโดยง่าย ๓. สภาพแวดล้อมของช่วงเวลากับอิทธิพลที่มีต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พบว่า ผู้ลงคะแนนเสียงประมาณหนึ่งในสี่เลือกผู้สมัครโดยคํานึงถึงความนิยมของพรรคการเมือง เป็น เกณฑ์สําคัญ ส่วนที่เหลือเป็นการพิจารณาเลือกบุคคลโดยคํานึงถึงความเป็นคนท้องถิ่น มีศักยภาพที่ จะสามารถช่วยเหลือท้องถิ่นได้มีความรู้ความสามารถ แจกข้าวของเงินทอง และ หาเสียงเป็นที่ ประทับใจ นอกจากนี้ผู้นําท้องถิ่น ได้แก่กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง และ ครูยังมีอิทธิพล ต่อผู้ลงคะแนนเสียงที่มีสภาพเศรษฐกิจต่ํา๒๕ ตารางที่๒.๒ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกตั้ง นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด แนวคิดเกี่ยวกบการตั ัดสนใจเล ิ ือกตั้ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ๒๕๒๕, หน้า ๔๐. ให้ความหมายไว้ว่า การเลือกตั้ง หมายถึง การ เลือกบุคคลเพอเป ื่ ็นตัวแทนตนกรณีต่าง ๆ ตามที่ กฎหมายกําหนด เช่น การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิก วุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล เป็นต้น ธานินทร์กรัยวิเชียร, ๒๕๒๐. ได้อธิบายความหมายของการเลือกตั้ง หมายถึง การที่ประชาชนได้เลือกบุคคลหนึ่งจากบุคคล หลาย ๆ บุคคล หรือจากบัญชีรายชื่อหนึ่งหรือ ๒๔ กวีวงศ์พุฒ, ภาวะผู้นํา, (กรุงเทพมหานคร: ศูนย์ส่งเสริมวิชาชีพบัญชี, ๒๕๓๙), หน้า ๘๘. ๒๕ พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, “การเลือกตั้งกับการพัฒนาทางการเมือง”, ใน เอกสารการสอนชุดวิชาปัญหา กับการพัฒนาทางการเมืองไทย, (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๔), หน้า ๓๕.
๒๒ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด หลายบัญชีเพอให ื่้เข้าไปมีส่วนมีเสียงในคณะ บริหารราชการแผ่นดิน วิสุทธิโพธิแทน่ , ๒๕๒๔. ได้ให้ความหมายการเลือกตั้งไว้ว่า การเลือกตั้ง หมายถึง การที่บุคคลได้เลอกบืุคคลหนึ่งหรือ จํานวนหนึ่งจากหลาย ๆ คน หรือจากบัญชี รายชื่อผู้เข้าสมัครรับ เลือกตงบั้ัญชีหนึ่ง หรือ จํานวนหนึ่งจากบัญชีรายชื่อหลาย ๆ บัญชีเพื่อ ทําการอันใดอันหนึ่งแทนตน พรศักดิ์ผ่องแผ้ว, ๒๕๓๔. ได้อธิบายไว้ว่าการเลือกตั้ง หมายถึง กระบวนการทางการเมือง และการปกครอง ซึ่ง เป็นกิจกรรมทสี่ําคัญยิ่งในกระบวนการทาง การเมืองและการปกครอง เพราะ การเลือกตั้ง เป็นการแสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนใน การปกครองประเทศ เจตจํานงดังกล่าว ปรากฏ ในลักษณะของการเรียกร้อง (demand) หรือ สนับสนุน (support) ต่อการตัดสินใจทั้งหลาย ในระบบการเมือง ๒.๑.๒ แนวคิดพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พฤติกรรมทางการเมือง เป็นการแสดงออกทางการเมือง ซึ่งจะมีผล ก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดังนั้นพฤติกรรมทางการเมือง จึงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง ได้แก่ การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมในการรณรงค์หาเสียง การเข้ารับสมัครรับ เลือกตั้ง เป็นต้น การเข้าร่วมประชาพิจารณ์การเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งณรงค์สินสวัสดิ์กล่าว ว่า พฤติกรรมทางการเมืองของบุคคล เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองในระดับต่าง ๆ การไป ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การช่วยพรรคการเมืองหาเสียง การลงสมัครเลือกตั้ง การเดินขบวนหรือ แสดงออกซึ่งการคัดค้านรัฐบาล การเลือกพรรคการเมืองที่เห็นว่าดีที่สุด การเลือกอุดมการณ์ทาง การเมืองที่เห็นว่าดีที่สุด รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้นําการเมือง เป็นต้น พฤติกรรมทางการเมืองที่มี ลักษณะเด่นคือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง๒๖ พฤทธิสาณ ชุมพล อธิบายการเลือกตั้งและพฤติกรรมการเลือกตั้งใน ประเทศอังกฤษไว้ ในหนังสือประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในอังกฤษว่า ระบอบประชาธิปไตยใน ระบบรัฐสภาของอังกฤษ เป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Detwocracy) ประเภท หนึ่ง ในอันที่จะเป็น ๒๖ ชัยวุธ ตรึกตรอง, แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมือง, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.chaiwut.net [๑๒ มีนาคม ๒๕๖๕].
๒๓ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ระบอบการปกครองจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนใน การ กําหนดนโยบายสาธารณะ ซึ่งกระทําได้โดยระบอบ ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) ที่ใช้ ในนครรัฐกรีกโบราณ แต่ในรัฐชาติสมัยใหม่ที่มีประชาชนจํานวนมากและสังคมมีความซับซ้อน ประชาธิปไตยทางตรงถูกมองว่าไม่มีทางปฏิบัติได้ประชาธิปไตยแบบตัวแทนจึงเกิดขึ้นแทนที่โดยมี การเลือกตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ในการปกครอง ประเทศแทนประชาชน วิธีการเลือกตัวแทนรวม ทั้ง ปัญหาที่ว่าจะทําอย่างไรให้ตัวแทนรับผิดชอบ ขึ้นต่อหรือตรวจสอบได้โดยผู้ที่เลือกเขาจึงเป็นประเด็น สําคัญในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งในอังกฤษมีทั้งในระดับ ของการปกครองท้องถิ่น (Local Election) การเลือกตั้งสมาชิกสภาสก็อตแลนด์สภาเวลส์และสภา ไอร์แลนด์เหนีย และการ เลือกตั้งสมาชิกชาวอังกฤษสู่สภายุโรป (European Parliament) แต่การ เลือกตั้งที่สําคัญที่สุดต่อการปกครองอังกฤษก็คือ การเลือกตั้งทั่วไป (General Parliament) เป็น สมาชิกสภาสามัญชนใน รัฐสภาที่เวสมินสเตอร์ ๒๗ คํารงศักดิ์ยอดทองดีได้ศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พฤติกรรมทาง การเมืองเป็นคําที่นักรรัฐศาสตร์ให้ความสนใจในการศึกษามากคําหนึ่ง แต่ศัพท์คํานี้ในทางปฏิบัติ อาจจะมีการให้ความหมายและขอบเขตในการศึกษาและใช้งานแตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับความ มุ่งหมายของผู้ศึกษาและใช้งานเป็นสําคัญ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวถึง พฤติกรรมทางการเมืองตาม ความหมายโดยทั่วไปแล้วก็จะครอบคลุมตั้งแต่เรื่องของการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การเข้ามา มีส่วนในกิจกรรมหรือองค์กรการเมือง การมีความสัมพันธ์คิดต่อกับนักการเมือง การอภิปรายหรือ การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นปัญหาการเมือง ตลอดจน ความสนใจติดตามข่าวสารต่าง ๆ ในทาง การเมืองและเกณฑ์การแบ่งทฤษฎีของการลงคะแนน เลือกตั้งนั้นนักรัฐศาสตร์ได้ทําการแบ่งทฤษฎี ของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งออกเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ๆ ตัวแบบที่นํามาใช้ในการศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน ประกอบด้วยมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์สังคมวิทยาและจิตวิทยา มีสาระสําคัญดังนี้ ๑. มุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์แนวทางการศึกษาพฤติกรรมในแนวตัวแบบนี้ได้นําเอา แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยความชอบด้วยเหตุผลของมนุษย์มาใช้ในการตัดสินใจทางการเมือง โดยมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์นี้ตั้งอยู่บนฐานคติที่สําคัญ ๓ ประการ คือ ๑.๑ การลงคะแนนเสียงจะเป็นเครื่องมือที่จะนํามาซึ่งผลประโยชน์หรือ เป้าหมายที่ ประชาชนต้องการ ๑.๒ การลงคะแนนเสียงของผู้ลงคะแนนเสียงนั้นจุดสนใจจะมุ่งที่เป้าหมายทางการ เมืองของผู้ลงคะแนนเสียง ๑.๓ การตัดสินใจลงคะแนนเสียงนั้นจะกระทําอย่างละเอียดรอบคอบ ระมัดระวัง โดยใช้ข่าวสารที่มากเพียงพอ ๒๗ พฤทธิสาณ ชุมพล, ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในอังกฤษ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๑๙๗.
๒๔ ๒. มุมมองเชิงสังคมวิทยา แนวทางการศึกษานี้เห็นว่าสถานภาพทางเศรษฐกิจและ สังคม ของบุคคลจะเป็นการกําหนดพฤติกรรมที่แตกต่างของบุคคลในการเลือกตั้ง เช่น ปัจจัยเรื่อง เพศ การศึกษา อาชีพ รายได้เป็นต้น หาใช่เพราะประเด็นปัญหาทางการเมืองไม่ข้อสรุปทั่วไป เกี่ยวกับ พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน จากการใช้ตัวแบบมุมมองเชิงสังคม วิทยาใน การศึกษาพบว่า ๒.๑ ผู้ลงคะแนนเสียงส่วนมาก โดยเฉพาะผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ํา ไป ลงคะแนนเสียงด้วยความสํานึกว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองดีหรือเป็นพิธีการในระบอบ ประชาธิปไตย ยิ่งกว่าการไปด้วยเหตุผลการผลักดันนโยบาย หรือด้วยความรู้สึกมีประสิทธิภาพทางการเมืองและ กลุ่มที่มีคุณลักษณะทางเศรษฐกิจสังคมสูงซึ่งมีจํานวนน้อยกว่านั้นก็มีความสํานึกไม่แตกต่างกันมาก นัก ๒.๒ ผู้ลงคะแนนเสียงที่มีคุณลักษณะทางเศรษฐกิจสังคมต่ํา ซึ่งเป็นประชาชน ส่วนมากของประเทศ มีความผูกพันทางการเมืองกับพรรคการเมืองต่ํา มีความเข้าใจในนโยบายทาง การเมืองน้อย ขาดความรู้ข่าวสารทางการเมืองที่เพียงพอ และขาดความรู้สึกว่าตนมีความสําคัญใน การทางการเมือง ด้วยเหตุนี้จึงง่ายต่อการถูกชักจูง โดยเฉพาะการชักจูง ที่เป็นการติดต่อส่วนบุคคล และการให้สินจ้างรางวัล บุคคลใกล้ชิดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการเลือกได้แก่เพื่อนฝูง ญาติพี่ น้อง ผู้ใหญ่บ้าน กํานัน ครูเจ้าหน้าที่ทางราชการ และพระภิกษุที่เคารพนับถือ ๒.๓ ในทางตรงกันข้ามผู้ลงคะแนนเสียงที่มีคุณลักษณะทางเศรษฐกิจสังคม สูง ส่วนมากมักจะมีความนิยมพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือชอบนโยบายทางการเมือง เฉพาะ อย่างเป็นผู้ที่มีความรู้ทางการเมืองและเปิดรับข่าวสารการเมืองสูง ทําให้สามารถตัดสินใจด้วยตนเอง ได้อย่างมั่นใจและมีเหตุผล “เชิงการเมือง” สินจ้างรางวัลมีอิทธิพลน้อยต่อการทําให้เกิด การ เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของบุคคลกลุ่มนี้ ๒.๔ นอกจากนั้นผู้ลงคะแนนเสียงที่มีคุณลักษณะทางเศรษฐกิจสังคมสูง มัก ให้ ความสําคัญในการเลือกตั้งโดยคํานึงถึงพรรคมากกว่าผู้ลงคะแนนเสียงที่มีคุณลักษณะทาง เศรษฐกิจ สังคมต่ําที่มักลงคะแนนเสียงโดยคํานึงถึงผู้สมัครเป็นเกณฑ์และมีจํานวนไม่น้อยที่ลงคะแนนเสียง ตามคนอื่น ๆ โดยไม่คํานึงถึงเกณฑ์ใด ๆ๒๘ ๓. มุมมองเชิงจิตวิทยา แนวทางการศึกษานี้ให้ความสนใจต่อปัจจัยทางด้าน ความรู้สึก หรือความผูกพันทางการเมือง ที่มีพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง กล่าวคือ เป็น ความรู้สึกพึง พอใจ สนใจหรือนิยมชมชอบในพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งหรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง นอกจากนี้นัก สังคมศาสตร์ยังได้แบ่งหน้าที่ของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งออกเป็น ๓ ประเภท ตามทฤษฎีดังนี้ ๓.๑ ทฤษฎีปัจจัยตัวกําหนด มีความคิดสําคัญอยู่ที่ว่า ปัจจัยทางสังคมเป็น ตัวกําหนดที่สําคัญของพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยเสนอว่าปัจจัยทางสังคมอันเป็น ภูมิ ๒๘ ดํารงศักดิ์ยอดทองดี, “ช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนในบัตรเลือกตั้ง : กรณีศึกษาเจตนาของผู้ร่าง กฎหมายกับพฤติกรรมการใช้สิทธิของผู้เลือกตั้ง”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๕), หน้า ๓๑.
๒๕ หลังของบุคคลทั้งในระดับกว้างทั่วไปและเรื่อยลงมาจนถึงช่วงที่จะมีการตัดสินใจมีอธิพลอย่าง สําคัญ ต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยมีแนวความคิดพื้นฐานอยู่ที่ตัวแบบ แรงผลักดันทาง สังคม (Social Force) ของ Lazarะfeled และทฤษฎีสนาม (Field Theory) Ker Levin ซึ่งเป็น ทฤษฎีเสนอเงื่อนไขที่กําหนดรูปแบบของพฤติกรรม แนวทางการศึกษาดังกล่าวนี้ได้นําความคิดทาง สังคมวิทยาเรื่องสถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคมของบุคคล (SES : Socio Economic Status) ที่ว่าฐานะตําแหน่งทางสังคมเป็นสําคัญในการกําหนดความแตกต่างใน พฤติกรรมของคนมาใช้ใน การศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งซึ่งฐานะตําแหน่ง ดังกล่าวอาจได้มาโดยเพศ ตระกูล หรือได้มาในภายหลังโดยระดับการศึกษา รายได้อาชีพ ภูมิลําเนา ตลอดจนปัจจัยปัจจัยทางด้าน เศรษฐกิจและสังคมเหล่านี้เองก็จะเป็นตัวกําหนดให้กลุ่มผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมคล้ายคลึง กันมีแนวโน้มว่าจะมีพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ที่คล้ายคลึงกันและในทางกลับกันกลุ่มผู้มี ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกันก็จะมีแนวโน้ม ว่าจะมีพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงที่ แตกต่างกันตามไปด้วย ๓.๒ ทฤษฎีความสํานึกเชิงเหตุผล ทฤษฎีนี้ให้ความสําคัญกับปฏิกิริยาของ ความ สํานึกตรงครองของผู้ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มีต่อ นโยบายพรรคและสาภาพของ ผู้สมัคร รบเลั ือกตั้ง ความคิดเชิงเหตุผล (Rational Fame Work) ของผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เสมือนกับ การตัดสินใจของผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์ดังนั้นการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัครคน ใดคนหนึ่ง ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็จะปฏิบัติโดยอาศัยเหตุผลที่ว่าจะ ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครที่ สังกัดพรรคการเมืองที่มีนโยบายสอดคล้องกับผลประโยชน์และ ค่านิยมของตนเองมากที่สุด ๓.๓ ทฤษฎีจิตวิทยา แนวการศึกษานี้ให้ความความสนใจต่อปัจจัยทางด้าน ความรู้สึกหรือความผูกพันทาง การเมืองที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ความ ผูกพันทางการเมืองเป็นเรื่องของสังคมจิตวิทยาของบุคคลเกี่ยวกับทัศนคติความเชื่อ และ พฤติกรรม ต่อพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งซึ่งความผูกพันพรรคการเมืองนี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ ของบุคคล กล่าวคือโดยทั่วไปบุคคลมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่ตนมีความ ผูกพัน แต่บุคคล อาจจะเปลี่ยนแปลงไปลงคะแนนให้พรรคการเมืองอื่นได้เนื่องมาจากทัศนคติของ เขาที่มีต่อประเด็น ทางการเมือง คือ เร่ือง ความสนใจใน ด้วยผู้สมัคร ความเห็นต่อนโยบายและ ปัญหาการเมือง ภาพพจน์ที่มีต่อการปฏิบัติงานของพรรค สถานการณ์ภายในและภายนอก ประเทศ สภาพการแข่งขัน ของผู้สมัคร จะผันแปรไปในแต่ละช่วงสมัยของการเลือกตั้งซึ่งเป็น ปัจจัยช่วงสมัยสั้น ๆ (Short Team Force) เมื่อประมวลรวมกันแล้วจะมีผลต่อปัจจัยพื้นฐานคือ ความนิยมของพรรค ซึ่งอาจทําให้ผู้ ลงคะแนนเสียงเปลี่ยนค่านิยมพรรคจากพรรคหนึ่งไปยังอีก พรรคหนึ่งเป็นการแกว่งออกจากสภาวะ ปกติและเมื่อถึงการเลือกตั้งคราวต่อไป ที่มักจะแกว่งกลับ โดยนัยเดียวกันเช่นนี้เรื่อยไป คือ จะกลับไป ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทัศนคติความเชื่อในสิ่งที่ตนเอง ยึดมั่นแต่เดิม คือ พรรคการเมืองเดิมหรือ ผู้สมัครรายเดิมที่ตนผูกพัน (Long Term Force) ดังนั้น แม้ว่าทําการศึกษาโดยอาศัยทฤษฎีปัจจัย
๒๖ กําหนดข้างต้นแล้วก็ยังคงต้องอาศัยแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนทางการเมืองซึ่งเป็นภาพขยายของ ทฤษฎีปัจจัยกําหนดมาประกอบในการวิเคราะห์ควบคู่อีกทางหนึ่ง ๒๙ สร้อยตระกูล อรรถมานะ ได้อธิบายความหมายของพฤติกรรมไว้ว่า พฤติกรรม (behavior) นั้นอาจกล่าวได้ว่า คือการกระทำหรืออาการที่แสดงออกของบุคคล (Action) ทั้งนี้รวมถึง การงดเว้นการกระทำด้วย (Inaction) นอกจากนั้นการตัดสินใจที่รู้สึกได้ของบุคคล กลุ่ม หรือองค์กร หรือการกระทำที่ซ่อนเร้นแต่พร้อมที่จะแสดงออก อาทิการมีความคิดริเริ่ม ก็นับเป็นการกระทำ เช่นกัน ดังนั้น คําว่า “พฤติกรรม” จึงรวมถึงสิ่งที่บุคคล กลุ่มหรือองค์กร ประพฤติปฏิบัติซึ่งเป็น พฤติกรรมที่เปิดเผย (Overt behavior) และยังรวมถึงพฤติกรรมที่ยังไม่แสดงออกหรือ พฤติกรรม ซ่อนเร้น (Covert behavior) ทั้งนี้รวมถึงกระบวนการภายในอื่น ๆ ได้แก่ความคิด ความรู้สึก ทัศนคติเป็นต้น นอกจากนั้น ยังรวมถึงการงดเว้นการกระทำหรือการไม่แสดงออกทั้งที่ตั้งใจและไม่ ตั้งใจอีกด้วย๓๐ จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า พฤติกรรม หมายถึง สิ่งที่บุคคลกระทำเพื่อเป็นการ ตอบสนองต่อสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้แล้วแสดงออกมาในรูปแบบของการกระทำลักษณะต่าง ๆ ซึ่งใน การวิจัยครั้งนี้หมายถึงพฤติกรรมในการเลือกนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบล ธีรภัทร์เสรีรังสรรค์กล่าวว่าการเลือกตั้ง คือ การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมที่ประชาชน แสวงหาทางเลือกในการปกครองและบําบัดความต้องการของตนเองเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยได้มีส่วนร่วมทางการเมืองอันเป็นกลไกท่แสดงออกซี ึ่งเจตจํานง ของประชาชนที่เรียกร้องหรือสนับสนุนให้มีการกระทําหรือละเว้นการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งในทาง การเมืองหรือการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนโดยประชาชนทั่วไป เลือกผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์นโยบายและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับตนด้วยความ คาดหวังว่าผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่ตนเลือกให้ไปใช้อํานาจอธิปไตยแทนตนนั้นจะนําอุดมการณ์ และนโยบายไปเป็นแนวนโยบายในการบริหารประเทศ และทําหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการแสวงหาทางเลือกในการเมืองการปกครองของประชาชนนั่นเอง๓๑ วัชรา ไชยสาร กล่าวว่า การเลือกตั้ง คือ กิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตยได้มีส่วนร่วมทางการเมือง (Participation) อันเป็นกลไกที่แสดงออกซึ่งเจตจํานงของ ประชาชนที่เรียกร้อง หรือสนับสนุนให้มีการกระทําหรือการละเว้นการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งในทาง การเมือง หรือตัดสินใจในนโยบายสาธารณะที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน โดยประชาชนทั่วไปเลือก ผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์นโยบายและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับตนด้วยความคาดหวังว่า ๒๙ สุจิต บุญบงการ และพรศักดิ์ผ่องแผ้ว, พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของคนไทย, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๙), หน้า ๑๙. ๓๐ ส ร้อยตระกูล ติวยานนท์อรรถมานะ, พฤติกรรมองค์การทฤษฎีและการประยุกต์, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๑), หน้า ๑๓-๑๔. ๓๑ ธีรภัทร์เสรีรังสรรค์, “การประเมินผลการทํางานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ : คณะกรรมการ การเลือกตั้ง”, โครงการวิจัย, (กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๔๘), หน้า ๗.
๒๗ ผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่ตนเลือกให้ไปใช้อํานาจอธิปไตยแทนตนนั้นจะนําอุดมการณ์และนโยบาย ในการบริหารประเทศและทําหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการ แสวงหาทางเลือกในการเมืองปกครองของประชาชน นั่นเอง๓๒ จิติล คุ้มครอง กล่าวว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มองว่า พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นปรากฏการณ์ของการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่าง หนึ่ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากเพราะพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งในด้าน การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นผลมาจากการตัดสินใจ (Decision Making) ภายใต้สภาวะ แวดล้อม บุคลิกภาพและความสนใจของแต่ละคน แนวความคิดกลุ่มนี้เป็นที่สนใจในหมู่นักวิชาการ ด้านสังคมวิทยา รัฐศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ซึ่งให้ความสนใจอิทธิพลของสถานภาพด้าน เศรษฐกิจและสังคม เพราะเห็นว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของ ประชาชน นอกจากนี้ยังให้ความสนใจต่อกิจกรรมของพรรคการเมือง เพราะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ ส่งผลต่อการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง แนวความคิดของทฤษฎีกลุ่มนี้ได้แก่ ๑. ทฤษฎีปัจจัยกำหนด (Deterministic Theories) มีแนวความคิดพื้นฐานที่ว่าปัจจัย ทางสังคมเป็นตัวกำหนดที่สำคัญของพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทั้งนี้ปัจจัยทางสังคมที่เป็น ภูมิหลังของบุคคลมีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่าทฤษฎี ปัจจัยกำหนด เน้นว่าพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงการเลือกตั้งของแต่ละบุคคลเกิดจากปัจจัยด้านภูมิ หลัง ซึ่งเป็นปัจจัยภายในของบุคคลมากกว่าปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น อิทธิพลการ พึ่งพาทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าประชาชนหรือคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จะ ตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากเหตุผลของแต่ละบุคคลมากกว่าเกิดจากการโน้มน้าวหรือชักจูงจากคนอื่น ซึ่ง ความสํานึกเชิงเหตุผลนี้จะมีลักษณะของเหตุผลที่เกิดจากปัจจัยที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องต้องกัน ระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งกับกลุ่มของประชาชนที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง ได้แก่ การเป็นคนในพื้นที่เดียวกัน เช่น จังหวัดเดียวกัน ภาคเดียวกัน เป็นชาวนาหรือกรรมกรเหมือนกันเป็นต้น ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า ทฤษฎีปัจจัยกำหนดมีความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนนั้น ขึ้นอยู่ กับปัจจัยด้านภูมิหลัง ได้แก่อาชีพ ที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะของความเป็นเมืองหรือชนบท ศาสนา อุปนิสัยการลงคะแนนในอดีตหรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ปัจจัยด้านภูมิหลัง เป็นตัวกำหนด พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน สรุปได้ว่า เป็นการมองว่าพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นปรากฏการณ์ของการ เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างหนึ่งที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากซึ่งเป็นผลมาจากการ ตัดสินใจภายใต้สภาวะแวดล้อม บุคลิกภาพและความสนใจของแต่ละคน ได้แก่ทฤษฎีปัจจัยกําหนด ที่มองว่าปัจจัยทางสังคมเป็นตัวกำหนดที่สําคัญของพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทฤษฎีความ สํานึกเชิงเหตุผลเป็นทฤษฎีที่เน้นปฏิกิริยาของการสํานึกตรึกตรองของผู้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มี ต่อนโยบายสภาพ และค่าบริหารของพรรคการเมือง และทฤษฎีระบบที่เชื่อว่าความสมดุลของระบบ ๓๒ วัชรา ไชยสาร, ระบบการเลือกตั้งกับการเมืองไทยยุคใหม่, พิมพ์ครั้งที่๒, (กรุงเทพมหานคร: นิธรรม, ๒๕๔๔), หน้า ๘–๙.
๒๘ จะมีเสถียรภาพของความมั่นคงในระดับต่าง ๆ กัน ซึ่งทฤษฎีระบบจะมีความสัมพันธ์กับทฤษฎีปัจจัย กําหนดและทฤษฎีความสํานึกเชิงเหตุผลเพราะมีส่วนทําให้ประชาชนมีพฤติกรรมการเลือกตั้ง เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทางการเมือง ๒. ทฤษฎีความสํานึกเชิงเหตุผล (Consciously Rational Theories) ทฤษฎีนี้มี แนวความคิดที่เน้นปฏิกิริยาของการสํานึกตรึกตรองของผู้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มีต่อนโยบาย ของพรรคการเมือง สภาพของผู้สมัครรับเลือกตั้งและค่าบริหารเลือกตั้ง ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้เป็น เหมือนกรอบความคิดเชิงเหตุผล (Rational Framework) ของผู้ไปลงเลือกตั้งในลักษณะเดียวกัน ลักษณะการตัดสินใจของผู้บริโภคทางด้านเศรษฐศาสตร์ซึ่งมองว่าประชาชนจะตัดสินใจเลือกตั้งโดย อาศัยหลักเหตุผลของตนกับกิจกรรมการดําเนินนโยบายของพรรคการเมือง กล่าวคือพฤติกรรมการ ลงคะแนนเสียงของประชาชนจะได้รับอิทธิพลจากนโยบายของพรรค การจัดกิจกรรมของพรรค ซึ่ง ประชาชนจะถูกจูงใจให้เกิดความนิยมศรัทธาจึงให้การสนับสนุนทฤษฎีนี้จะมองกิจกรรมของพรรค การเมืองเป็นตัวกระตุ้นที่สําคัญของการไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยเฉพาะในเขตเลือกตั้งที่มีการแข่งขันสูง โดยจะกระตุ้นให้ผู้ไปใช้สิทธิมีความกระตือรือร้นมากขึ้น กล่าวคือ ประชาชนจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อสนับสนุนที่ตนสังกัดหรือศรัทธา ลักษณะดังกล่าวนี้เคยเกิดขึ้นค่อนข้างชัดเจนในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของกรุงเทพมหานครระหว่างประชาชนที่สนับสนุนพรรคพลังธรรมกับพรรค ประชากรไทยโดยพรรคประชากรไทยซึ่งแต่เดิมเป็นเจ้าของฐานะคะแนนเสียงส่วนใหญ่กลับพ่ายแพ้ ต่อพรรคพลังธรรมภายใต้การนําของ พลตรีจําลอง ศรีเมือง ที่สามารถกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความ ศรัทธาในแนวทางแนะนโยบายพรรคที่เน้นความซื่อสัตย์สุจริต จนเกิดภาวะที่เรียกว่า “จําลองฟีเวอร์” ขึ้น อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้มีความเชื่อถือว่าความสํานึกเชิงเหตุผลที่เกิดขึ้นจากปัจจัยที่มีระยะสั้นช่วง สมัย (Short – term Force) เท่านั้น ๓. ทฤษฎีระบบ (Systems Theory) แนวความคิดของทฤษฎีระบบเชื่อว่าความสมดุล (Homeostatic) ของระบบจะมีเสถียรภาพของความมั่นคงในระดับต่าง ๆ กัน การขึ้นลงของอัตรา การ ลงคะแนนเสียงและการเลือกตั้งพรรคใดพรรคหนึ่งจะขึ้นอยู่กับส่วนผสมของพลังที่เกิดขึ้นเฉพาะ ช่วง สมัยบวกกับปัจจัยพื้นฐานของประชาชนในขณะนั้น เช่น ความสนใจตัวผู้สมัครความเห็นต่อ นโยบาย และปัญหาทางการเมือง ภาพพจน์ที่มีต่อการปฏิบัติงานของพรรค ฯลฯ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ทฤษฎีระบบมีความสัมพันธ์กับสองทฤษฎีข้างต้นมากพอสมควรโดยเฉพาะทฤษฎีความสํานึกเชิง เหตุผล เพราะความสํานึกเชิงเหตุผลจะทําให้ประชาชนมีพฤติกรรมการเลือกตั้งแปรเปลี่ยนไปตาม สถานการณ์ทางการเมือง๓๓ ๓๓ จิติล คุ้มครอง, “พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนในกรอบรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๔๐ : ศึกษากรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต ๒ จังหวัดชลบุรี”, วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตร มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยบูรพา, ๒๕๔๐), หน้า ๓๐ - ๓๒.
๒๙ ตารางที่๒.๓ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด แนวคิดเกี่ยวกบพฤตั ิกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พฤทธิสาณ ชุมพล, ๒๕๔๔.หน้า ๑๙๗. อธิบายการเลือกตั้งและพฤติกรรมการเลือกตั้งใน ประเทศอังกฤษไว้ในหนังสือประชาธิปไตยแบบ รัฐสภาในอังกฤษว่า ระบอบประชาธิปไตยใน ระบบรัฐสภาของอังกฤษเป็นประชาธิปไตยแบบ ตัวแทน (Representative Detwocracy) ประเภท หนึ่ง ในอันที่จะเป็นประชาธิปไตยอย่าง แท้จริง ระบอบการปกครองจะต้องเปิดโอกาสให้ ประชาชนทุกคนได้มีส่วนใน การกําหนดนโยบาย สาธารณะ ซึ่งกระทําได้โดยระบอบ ประชาธิปไตย ทางตรง คํารงศักดิ์ยอดทองดี, ๒๕๔๕. หน้า ๓๑. ได้ศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พฤติกรรมทางการเมืองเป็นคําที่นักรรัฐศาสตร์ให้ ความสนใจในการศึกษามากคําหนึ่ง แต่ศัพท์ค้านี้ ในทางปฏิบัติอาจจะมีการใหความหมายและ้ ขอบเขตในการศึกษาและใช้งานแตกต่างกัน ออกไป โดยขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายของผู้ศึกษา และใช้งานเป็นสําคัญ สร้อยตระกูลติวยานนท์อรรถมานะ (๒๕๔๑ หน้า ๑๓-๑๔) พฤติกรรม (behavior) นั้นอาจกล่าวได้ว่า คือ การกระทําหรืออาการที่แสดงออกของบุคคล (Action) ทั้งนี้รวมถึงการงดเว้นการกระทําด้วย (Inaction) นอกจากนั้นการตัดสินใจที่รสู้ึกได้ของ บุคคล กลุ่ม หรือองค์กร ธีรภัทร์เสรีรังสรรค์ (๒๕๔๘ หน้า ๗) การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมที่ประชาชนแสวงหา ทางเลือกในการปกครองและบําบัดความต้องการ ของตนเองเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยได้มีส่วนร่วมทางการ เมืองอันเป็นกลไกที่แสดงออกซึ่งเจตจํานงของ ประชาชน วัชรา ไชยสาร (๒๕๔๔ หน้า ๘-๙) กิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตยได้มีส่วนร่วมทางการเมือง อันเป็น กลไกที่แสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนที่ เรียกร้อง
๓๐ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด จิติล คุ้มครอง (๒๕๔๐ หน้า ๓๐-๓๒) เป็นการมองว่าพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง เลือกตั้งเป็นปรากฏการณ์ของการเข้ามามีส่วน ร่วมทางการเมืองอย่างหนึ่งที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องกับ ผู้คนจํานวนมากซึ่งเป็นผลมาจากการตัดสินใจ ภายใต้สภาวะแวดล้อม บุคลกภาพและความิ สนใจของแต่ละคน ๒.๑.๓ แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้ง ๑. แนวคิดเกี่ยวกับการสื่อสารทางการเมือง ในการทําวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับความหมายการสื่อสารทางการเมืองได้ดังนี้ การสื่อสารทางการเมืองเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งสําหรับนักการเมืองในปัจจุบันจะเห็นได้จาก การสื่อสารมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งตั้งแต่อดีตที่ประชาชนจะสามารถติดตามผลงานหรือข้อมูลต่าง ๆ จากนักการเมืองได้ผ่านสื่อเท่านั้นจนมาถึงยุคปัจจุบันสื่อได้ถูกพัฒนามากขึ้นทําให้ประชาชนเข้าถึง ข้อมูลด้วยตนเองได้มากขึ้นกว่าในอดีตการนําเสนอข้อมูลหรือผลงานตัวเองของนักการเมืองจึงเป็น ส่วนสําคัญอย่างยิ่งสําหรับนักการเมืองในปัจจุบันจึงมีนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ให้ ความหมายของการสื่อสารทางการเมืองไว้หลายท่านด้วยกันเช่น ปาริชาติวลัยเสถียร และคณะ การใช้สื่อบุคคลควรเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับประเด็น การสื่อสาร เพราะบุคคลหนึ่งไม่สามารถเป็นสื่อที่ดีได้ในทุกเรื่อง เช่น พระมีข้อดีที่ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ใน พื้นที่ตลอด ทราบสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่าง ๆในชุมชน และด้วยสถานภาพทําให้สามารถ ชักชวนโน้มน้าวชาวบ้านได้ง่ายแต่พระมีข้อจํากัดที่ขาดความรู้เฉพาะด้านจึงทําให้ไม่สามารถสื่อสารได้ ชัดเจน และหากพระเข้ามาเกี่ยวข้องหรือมีบทบาทมากไปก็อาจเป็นที่ครหาของชาวบ้านว่าไม่ใช่กิจ ของสงฆ์เป็นต้น การเลือก บุคคลเป็นสื่อ จึงต้องพิจารณาบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ เชื่อถือ ศรัทธาในเรื่อง ที่สื่อสาร และสามารถ สื่อสารเรื่องราวนั้นได้สอดคล้องกลมกลืนกับสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน๓๔ พฤทธิสาณ ชุมพล๓๕ ให้ความหมายของการสื่อสารทางการเมืองว่าเป็นกระบวนการทาง การเมืองที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง ทัศนะและความเห็น ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ทางการเมืองระหว่างบุคคล ซึ่งการสื่อสารทางการเมืองเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสมาชิกของสังคมการเมืองและสามารถทําให้สังคมการเมืองดํารงอยู่ได้โดยที่ระบบการเมือง จะหาช่องทางเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงนโยบายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของ ฝ่ายการเมือง จาก ความหมายข้างต้นสามารถสรุปหลักการของการสื่อสารทางการเมืองได้ดังนี้ ๓๔ ปาริชาติวลัยเสถียร, ทฤษฎีและหลักการพัฒนาชุมชน สาขาพัฒนาชุมชน, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๒), หน้า ๖๕. ๓๕ พฤทธิสาณ ชุมพล, ระบบการเมือง : ความรู้เบื้องต้น, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๙), หน้า ๑๙๓–๑๙๘.
๓๑ ๑. การสื่อสารทางการเมืองจะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือมากกว่านั้น ๒. การสื่อสารทางการเมืองจะต้องเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ๓. เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันทางการเมือง เสถียร เชยประทับ๓๖ ได้สรุปช่องทางการสื่อสารทางการเมืองเป็น ๔ ช่องทาง ดังนี้ ๑. ช่องทางการสื่อสารที่เป็นองค์กร ซึ่งประกอบด้วยสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ เช่น สมาคมการเมือง (Political Associations) พรรคการเมือง (Political Parties) กลุ่มผลประโยชน์ ทางการเมือง (Interest Groups) หรือกลุ่มมวลชนอื่น ๆ ที่สามารถประสานประชาชนเข้ากับผู้นําของ องค์กรเหล่านี้ที่อาจมีโครงสร้างที่ถาวรหรือไม่ก็ได้ ๒. ช่องทางการสื่อสารประเภทกลุ่ม การสื่อสารสําหรับช่องทางลักษณะนี้จะมีลักษณะ ถาวรแต่มีความเป็นสถาบันและแพร่หลายน้อยกว่า เช่น กลุ่มสมาคมศิษย์เก่ากลุ่มแม่บ้านตํารวจ หรือ กลุ่มภายในเพื่อนฝูงซึ่งการสื่อสารภายในลักษณะกลุ่มเช่นนี้จะมีความเป็นทางการน้อยกว่าการสื่อสาร ภายในองค์กรนอกจากนี้การสื่อสารภายในกลุ่มยังเป็นแหล่งของการแลกเปลี่ยนข่าวสารความคิด ตลอดจนอิทธิพล ซึ่งทําให้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตัดสินใจ ทางการเมืองเกือบทุกชนิดตั้งแต่ ระดับล่างสุดจนถึงระดับบนสุด ๓. ช่องทางการสื่อสารที่เป็นสื่อมวลชน การสื่อสารผ่านช่องทางสื่อมวลชน สื่อมวลชนจะ ทําหน้าที่นําข่าวสารไปเผยแพร่สู่ประชาชน ประชาชนจะถูกเชื่อมเข้ากันกับสื่อมวลชนส่งผลให้ ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองโดยอาศัยการรับข่าวสารจาก สื่อมวลชนเพื่อเข้าไป มีส่วนร่วมทางการเมือง แต่อย่างไรก็ดีสื่อมวลชนไม่ได้มีความสําคัญมากหรือสามารถเข้าไปแทนที่สื่อ ระหว่างบุคคล เพียงแต่ช่วยเชื่อมเครือข่ายและช่วยให้เกิดเครือข่ายใหม่ ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร นั้น ๆ ๔. ช่องทางการสื่อสารสําหรับการแสดงและรวบรวมผลประโยชน์การสื่อสารในช่องทางนี้ จะไม่ได้ถูกนํามาใช้ตลอดเวลา แต่จะใช้เฉพาะบางเวลาและในเหตุการณ์ที่เหมาะสม เช่น การไปออก เสียงเลือกตั้งก็เสมือนกับเป็นการสื่อสารว่าแต่ละคนก็ต้องการคนใดไปเป็นผู้แทน แต่เมื่อการเลือกตั้ง ยุติลงการสื่อสารช่องทางนี้ก็ยุติลงไปด้วย ซึ่งคงไม่สามารถบอกได้ว่าการสื่อสารในช่องทางพิเศษ เหล่านี้มีอะไรบ้างแต่การเลือกตั้งการเดินขบวนเรียกร้องต่อต้าน การประท้วง หรือการแสดงออก ทางการลงประชามติเหล่านี้ล้วนเป็นการสื่อสารช่องทางพิเศษ Brian McNair๓๗ ได้ให้ความหมายของการสื่อสารทางการเมืองโดยอธิบายถึง คุณลักษณะของการสื่อสารทางการเมืองไว้๓ ประการ ดังนี้ ๑. การสื่อสารทุกรูปแบบของนักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องในทางการเมืองโดยมีเป้า หมายเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ๓๖ เสถียร เชยประทับ, การสื่อสารกับการเมือง: เน้นสังคมประชาธิปไตย, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า. ๑๔๒ -๑๕๕. ๓๗ Brain McNair, An Introduction To Political Communication, 5nd ed., (New York: Routledge, 2011), pp. 4-14.
๓๒ ๒. การสื่อสารที่สื่อสารถึงนักการเมืองโดยผู้เลือกตั้งและสื่อมวลชน ๓. การสื่อสารของสื่อมวลชนที่ทําหน้าที่เสนอข่าวเกี่ยวกับการเมือง เช่น บทบรรณาธิการ การรายงานข่าวที่เกี่ยวกับการเมือง จากคุณลักษณะของการสื่อสารทางการเมืองข้างต้น กล่าวโดยสรุปว่าการสื่อสารทาง การเมืองเป็นการสื่อสารที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องทางการเมืองซึ่งไม่จํากัดเฉพาะภาษา พูด และภาษาเขียน หากยังหมายรวมถึงความหมายของสัญญะที่มองเห็นด้วยสายตา เช่น การ แต่งกาย การออกแบบโลโก้ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์หรืออัตลักษณ์ทางการเมือง อริสโตเติล๓๘ อธิบายว่าการสื่อสาร หรือวิชาวาทศิลป์ (Rhetoric) คือ การจูงใจ ทุก รูปแบบ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ๓๙ ให้ความหมายการสื่อสารไว้ว่าเป็นกระบวนการที่บุคคลหนึ่ง ถ่ายทอดสารไปยังอีกบุคคลหนึ่งและบุคคลหลังมีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยภาษาสัญลักษณ์ทั้งที่เป็น ภาษา พูดและไม่ใช่ภาษาพูด ปรมะ สตะเวทิน๔๐ ได้ให้คำอธิบายของการสื่อสารว่าเป็นกระบวนการของการถ่ายทอด สาร จากบุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้ส่งสาร (source) ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับสาร (receiver) โดยผ่านสื่อ (channel) สรุปได้ว่า การสื่อสารหมายถึงกระบวนการของการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งสาร ผ่านสื่อไปยังผู้รับสาร เดนตัน และวูดเวิร์ด (Denton & Woodward)๔๑ ให้ความหมายการสื่อสารทาง การเมืองว่าหมายถึงการถกเถียงสาธารณะเกี่ยวกับการจัดสรรสาธารณะประโยชน์ (รายได้) อำนาจ หน้าที่ สุรพงษ์โสธนะเสถียร๔๒ ได้ให้ความหมายการสื่อสารทางการเมืองไว้ว่า เป็นกระบวนการ ในการชี่นําและตรวจสอบพลังความพยายามของมนุษย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งปวงคำนึงถึงพลังของ ประชาชนการสื่อสารทางการเมืองจึงไม่เชื่อในเรื่องชะตากรรม แต่เชื่อมั่นในความสามารถและการ ๓๘ นันทนา นันทวโรภาส, สื่อสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้, พิมพ์ครั้งที่๒, (กรุงเทพมหานคร: แมสมีเดีย, ๒๕๕๘), หน้า ๘๐. ๓๙ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท, การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ, พิมพ์ครั้งที่๓, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๒๗. ๔๐ ปรมะ สตะเวทิน, การสื่อสารมวลชน : กระบวนการและทฤษฎี, พิมพ์ครั้งที่๒, (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจํากัดภาพพิมพ์, ๒๕๔๑), หน้า ๔๔. ๔๑ นันทนา นันทวโรภาส, สื่อสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้, พิมพ์ครั้งที่๒, (กรุงเทพมหานคร: แมสมีเดีย, ๒๕๕๘), หน้า ๘๖. ๔๒ สุรพงษ์โสธนะเสถียร, หลักและทฤษฎีการวิจัยทางสังคมศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: ประสิทธิ ภัณท์แอนด์พริ้นติ้ง, ๒๕๔๗), หน้า ๔๙.
๓๓ กระทำของมนุษย์ที่อาศัยผลประโยชน์จากธรรมชาติของการเมืองการสื่อสารทางการเมืองจึงเป็นเรื่อง ของมนุษย์ที่แสวงหาประโยชน์เสมือนเกษตรกรอาศัยความสามารถและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของ ตนในการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวข้าวซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของผลผลิตในธรรมชาติ พฤทธิสาณ ชุมพล๔๓ ได้ให้ความหมายการสื่อสารทางการเมืองไว้ว่า ประเด็นสำคัญของ การสื่อสารทางการเมืองที่ควรพิจารณาคือ ๑) เกี่ยวข้องกับบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปหรือมากกว่านั้น ๒) เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ๓) เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน ในทางการเมือง สรุปได้ว่า การสื่อสารทางการเมืองหมายถึงเป็นกระบวนการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับ การแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริงทัศนะและความคิดเห็นตลอดจนประสบการณ์ต่างๆในทางการเมือง ระหว่างบุคคลการสื่อสารทางการเมืองนับเป็นกระบวนการพิเศษที่ก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สมาชิกของสังคมการเมืองและทําให้บุคคลสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ในสังคมการเมือง๔๔ ๒.แนวคิดเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียง ความหมายของการรณรงค์คําว่า “รณรงค์”มักได้ยินเสมอในสังคม ซึ่งมีลักษณะการ สร้างกิจกรรมหรือผลิตสื่อ ประชาสัมพันธ์เพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายในการรณรงค์มีความเชื่อและ คล้อยตามในสิ่งที่รณรงค์มักใช้ในการเมืองและกิจกรรมทางสังคม โดยแท้จริงแล้วการรณรงค์มี ความหมายที่ค่อนข้างกว้าง ดังที่ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ให้ความหมายไว้ว่า เป็นการเตรียมผู้ซื้อและผู้บริโภคหรือผู้ ลงคะแนน เสียงหรือผู้เข้าร่วมขบวนการไปสู่การปฏิบัติหรือการกรทําซึ่งอาจจะเป็นการซื้อ การ ลงคะแนนเสียง การร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเพื่ออุดมการณ์โดยการรณรงค์จะมีอยู่๓ ชนิด คือการ รณรงค์ทาง การเมืองสําหรับตําแหน่ง การรณรงค์ขายสินค้า และการรณรงค์เพื่ออุดมการณ์ ๔๕ ทั้งนี้ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ให้ความหมายในภาพรวมว่า การรณรงค์หมายถึง ขั้นตอนของเหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่มีกิจกรรมโน้มน้าวใจเข้าไปเกี่ยวข้อง ณรงค์สมพงษ์ให้ความเห็นว่าการรณรงค์หมายถึง วิธีการดําเนินการที่จะสร้างความ ร่วมมือในการทํากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนําไปสู่การยอมรับวิธีปฏิบัติให้แพร่กระจายออกไป ๔๓ พฤทธิสาณ ชุมพล, ระบบการเมือง : ความรู้เบื้องต้น, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๒-๑๘. ๔๔ Warren K. Agree, Phillip H. Ault and Edwin Emery, Introduction to Mass Communication, (New York: Harper & Row, 1976). ๔๕ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท, การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ, พิมพ์ครั้งที่๕, (กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๓๘๔.
๓๔ อย่างกว้างขวางและต่อเนื่องในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ๔๖การรณรงค์เป็นความพยายามซึ่ง สะท้อนให้เห็น วัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูล โน้มน้าวใจ และจูงใจการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมให้เกิดขึ้นกับ อย่าง กว้างขวางและต่อเนื่องในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งการรณรงค์เป็นความพยายามซึ่งสะท้อนให้เห็น วัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูล โน้มน้าวใจและจูงใจ สรุปได้ว่า การรณรงค์สามารถใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในทุกบริบทของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเชิง พาณิชย์การเมือง และสังคม ซึ่งในบทความนี้จะเน้น นําเสนอลักษณะและวิธีการสื่อสารในการ รณรงค์กิจกรรมทางสังคม ซึ่งในกรณีของการรณรงค์เพื่อ กิจกรรมต่าง ๆ ของสังคม การรณรงค์จึง หมายถึง การวางแผนอย่างมีกลยุทธ์เพื่อให้สามารถ ดําเนินการปฏิบัติเพื่อให้สามารถโน้มน้าวใจ กลุ่มเป้าหมายในครั้งนั้น ๆ ให้มีความเชื่อและประพฤติตามสิ่งที่ได้นําเสนอไป โดยประเด็นที่สื่อสาร จะเน้นการสร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับสังคมโดยรวม ตารางที่๒.๔ แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้ง นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด แนวคิดเกี่ยวกบการสั ื่อสารทางการเมือง ปาริชาติวลัยเสถียร และคณะ ๒๕๔๒, หนา้๖๕. การใช้สื่อบุคคลควรเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับ ประเด็นการสื่อสาร เพราะบุคคลหนึ่งไม่สามารถ เป็นสื่อที่ดีได้ในทุกเรื่อง เช่น พระมีข้อดีที่ว่าเป็น บุคคลที่อยู่ในพื้นที่ตลอด ทราบสถานการณ์ ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในชุมชน และด้วย สถานภาพทําให้สามารถชักชวนโน้มน้าวชาวบ้าน ได้ง่าย พฤทธิสาณ ชุมพล, (๒๕๓๙), น. ๑๙๓–๑๙๘. ให้ความหมายของการสื่อสารทางการเมืองว่าเป็น กระบวนการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการ แลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง ทัศนะและความเห็น ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ทางการเมือง ระหว่างบุคคล ซึ่งการสื่อสารทางการเมืองเป็น กระบวนการที่ก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สมาชิกของสังคมการเมืองและสามารถทําให้ สังคมการเมืองดํารงอยู่ได้โดยที่ระบบการเมือง จะหาช่องทางเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึง นโยบายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของ ฝ่ายการเมือง ๔๖ ณรงค์สมพงษ์, สื่อเพื่อการส่งเสริมและเผยแพร่, พิมพ์ครั้งที่๒, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์โอ เดียนสโตร์, ๒๕๓๕), หน้า ๒๘.
๓๕ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด เสถียร เชยประทับ, (๒๕๔๐), น. ๑๔๒ -๑๕๕. เช่น การไปออกเสียงเลือกตั้งก็เสมือนกับเป็นการ สื่อสารว่าแต่ละคนก็ต้องการคนใดไปเป็นผู้แทน แต่เมื่อการเลือกตั้งยุติลงการสื่อสารช่องทางนี้ก็ ยุติลงไปด้วย ซึ่งคงไม่สามารถบอกได้ว่าการ สื่อสารในช่องทางพิเศษเหล่านี้มีอะไรบ้างแต่การ เลือกตั้งการเดินขบวนเรียกร้องต่อต้าน การ ประท้วง หรือการแสดงออกทางการลงประชามติ เหล่านี้ล้วนเป็นการสื่อสารช่องทางพิเศษ Brain McNair, (๒๐๑๑), pp. ๔-๑๔ โดยสรุปว่าการสื่อสารทาง การเมืองเป็นการ สื่อสารที่มีวัตถประสงคุ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องทางการ เมืองซึ่งไม่จํากัดเฉพาะภาษา พูดและภาษาเขียน หากยังหมายรวมถึงความหมายของสัญญะที่ มองเห็นด้วยสายตา เช่น การ แต่งกาย การ ออกแบบโลโก้ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้าง ภาพลักษณ์หรืออัตลักษณ์ทางการเมือง อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท. ๒๕๔๗.หน้า ๒๗ ให้ความหมายการสื่อสารไว้ว่าเป็นกระบวนการที่ บุคคลหนึ่ง ถ่ายทอดสารไปยังอีกบุคคลหนึ่งและ บุคคลหลังมีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยภาษาสัญลักษณ์ ทั้งที่เป็น ภาษาพูดและไม่ใช่ภาษาพูด ปรมะ สตะเวทิน., ๒๕๔๑.หน้า ๔๔. ได้ให้คําอธิบายของการสื่อสารว่าเป็น กระบวนการของการถ่ายทอดสาร จากบุคคลฝ่าย หนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้ส่งสาร (source) ไปยังบุคคลอีก ฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับสาร (receiver) โดยผ่าน สื่อ (channel) สุรพงษ์โสธนะเสถียร, ๒๕๔๗. หน้า ๗๓. ได้ให้ความหมายการสื่อสารทางการเมืองไว้ว่า เป็นกระบวนการ ในการชี้นําและตรวจสอบพลัง ความพยายามของมนุษย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทั้งปวงคํานึงถึงพลังของประชาชนการสื่อสารทาง การเมืองจึงไม่เชื่อในเรื่องชะตากรรม แต่เชื่อมั่น ในความสามารถและการกระทําของมนุษย์ที่ อาศัยผลประโยชน์จากธรรมชาติของการเมือง การสื่อสารทางการเมืองจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ แสวงหาประโยชน์ พฤทธิสาณ ชุมพล. ๒๕๔๗. หน้า ๑๒-๑๘. ได้ให้ความหมายการสื่อสารทางการเมืองไว้ว่า ประเด็นสําคัญของการสื่อสารทางการเมืองที่ควร
๓๖ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด พิจารณาคือ ๑) เกี่ยวข้องกับบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปหรือมากกว่า นั้น ๒) เป็นการแลกเปลยนี่ ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง และ ๓) เพื่อ ก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน ในทางการเมองื แนวคิดเกี่ยวกบการรณรงคัหาเส์ ียง อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ๒๕๕๒, หน้า ๓๘๔. ลงคะแนน เสียงหรือผู้เข้าร่วมขบวนการไปสู่การ ปฏิบัติหรือการกระทําซึ่งอาจจะเป็นการซื้อ การ ลงคะแนนเสียง การร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อ อุดมการณ์โดยการรณรงค์จะมีอยู่ 3 ชนิด คือ การรณรงค์ทาง การเมืองสําหรับตําแหน่ง การ รณรงค์ขายสินค้า และการรณรงค์เพื่ออุดมการณ์ ณรงค์สมพงษ์๒๕๓๕, หน้า ๒๘. การรณรงค์เป็นความพยายามซึ่ง สะท้อนให้เห็น วัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูล โน้มน้าวใจ และจูง ใจการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมให้เกิดขึ้นกับ อย่างกว้างขวางและต่อเนื่องในช่วงเวลาใดเวลา หนึ่งการรณรงค์เป็นความพยายามซึ่งสะทอนให ้ ้ เห็นวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูล โน้มน้าวใจและ จูงใจ ๒.๒ แนวคิดเกี่ยวกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ๒.๒.๑ ความหมายการบริหารส่วนจังหวัด ในการทําวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับความหมายการบริหารส่วนจังหวัด ได้ดังนี้ ประหยัด หงส์ทองคํา ได้ให้ความหมายไว้ว่า “การบริหารส่วนจังหวัด หมายถึง การ ปกครองส่วนหนึ่งของประเทศซึ่งมีอํานาจอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรอํานาจอิสระในการ ปฏิบัติหน้าที่ไม่มากจนมีผลกระทบกระเทือนต่ออํานาจอธิปไตยของรัฐเพราะชุมชนท้องถิ่นมิใช่ชุมชน ที่มีอธิปไตย องค์กรปกครองท้องถิ่นมีสิทธิตามกฎหมายและมีองค์กรที่จําเป็นเพื่อประโยชน์ในการ ปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรปกครองท้องถิ่นนั้นเอง”๔๗ ๔๗ ประหยัด หงส์ทองคํา, การปกครองท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๐), (อัดสําเนา).