๓๗ ประหยัด หงส์ทองคํา กล่าวว่าหลักการบริหารส่วนจังหวัดประกอบด้วยสาระสําคัญ ๕ ประการคือ ๑. การบริหารส่วนจังหวัด หมายถึง การปกครองของชุมชนหนึ่ง ซึ่งชุมชนเหล่านั้นอาจมี ลักษณะแตกต่างกันในด้านความเจริญ จํานวนประชากร หรือขนาดของพื้นที่เช่น หน่วยหรือองค์การ ปกครองของไทยแบบนครหลวง แบบเทศบาล แบบสุขาภิบาลหรือแบบองค์การบริหารส่วนจังหวัดก็มี ลักษณะแตกต่างกัน โดยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ๒. การปกครองชุมชนที่เรียกว่า เป็นการปกครองท้องถิ่นนั้น องค์การปกครองท้องถิ่น นั้นจะต้องมีอํานาจอิสระ (Autonomy) ในการปฏิบัติหน้าที่ตามความเหมาะสม หมายความว่าอํานาจ ขององค์การปกครองท้องถิ่นจะต้องมีขอบเขตที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ ขององค์กรอย่างแท้จริง ถ้าองค์การท้องถิ่นมีอํานาจน้อยเกินไปก็ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดประโยชน์ แก่ประชาชน และท้องถิ่นได้สมเจตนารมณ์ของการปกครองท้องถิ่น ในทางกลับกันถ้าองค์การ ปกครองท้องถิ่นมีอํานาจมากเกินไปจนไม่มีขอบเขตอะไรมาจํากัดได้องค์การปกครองท้องถิ่นก็จะมี สภาพเป็นรัฐที่มีอํานาจอธิปไตย อันมีผลทําให้ประเทศหรือรัฐก็จะมีสภาพแตกแยกได้ ๓. องค์การปกครองท้องถิ่นจะต้องมีสิทธิตามกฎหมาย (Legal Rights) ที่จะดําเนินการ ปกครองตนเอง สิทธิตามกฎหมายนี้อาจจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทด้วยกัน คือ องค์การปกครอง ท้องถิ่นมีสิทธิที่จะตรากฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ขององค์การปกครองท้องถิ่นเพื่อ ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่และเพื่อใช้บังคับประชาชนในท้องถิ่นนั้น เช่น ข้อบัญญัติจังหวัด เทศ บัญญัติข้อบังคับสุขาภิบาล เป็นต้น และสิทธิในการกําหนดงบประมาณ เพื่อบริหารกิจการอันเป็น หน้าที่ขององค์การปกครองท้องถิ่นนั้น ๆ ๔. องค์การที่จําเป็นในการปกครองตนเอง (Necessary Organization) องค์การที่จําเป็น ในการปกครอง โดยทั่วไปแล้วแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ด้วยกันคือองค์การฝ่ายบริหารและองค์การฝ่ายนิติ บัญญัติ ๕. ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกิจกรรมของการปกครองตนเองของประชาชนเป็น หัวใจที่สําคัญประการหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปท้องถิ่นของประชาชนอาจทําได้หลายแบบหลาย ระดับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจ ความสามารถ ความเสียสละของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ แต่ละคน เป็นสําคัญ๔๘ วิญญูอังคณารักษ์ได้ให้ความหมายว่า การบริหารส่วนจังหวัด หมายถึง การปกครองใน รูปลักษณะการกระจายอํานาจบางอย่างที่รัฐได้มอบหมายให้ท้องถิ่นทํากันเอง เพื่อให้ประชาชนใน ท้องถิ่นมีโอกาส ปกครองและบริหารงานท้องถิ่นด้วยตนเอง เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของ ประชาชนในท้องถิ่นให้งานดําเนินไปอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลตรงกับความ ประสงค์ของประชาชน โดยเหตุที่ว่าประชาชนในแต่ละท้องถิ่นย่อมจะทราบความต้องการของท้องถิ่น ๔๘ ประหยัด หงส์ทองคํา, การปกครองท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๐), (อัดสําเนา).
๓๘ นั้น ๆ ได้ดีกว่าบุคคลอื่น และย่อมมีความผูกพันต่อท้องถิ่นนั้น โดยมีงบประมาณของตนเอง และมี อิสระ ในการบริหารงานพอสมควร อุทัย หิรัญโต ให้คํานิยามว่า “การบริหารส่วนจังหวัด คือการปกครองที่รัฐบาลมอบ อํานาจให้ประชาชนในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหน่ึง จัดการปกครองและดําเนินกิจการบางอย่าง โดย ดําเนินการ เพื่อผลประโยชน์ของท้องถิ่น การบริหารงานของท้องถิ่น ทีมีองค์การมีเจ้าหน้าที่ซึ่ง ประชาชนเลือกตั้งขึ้นมาทั้งหมด หรือบางส่วน ทั้งนี้มีความเป็นอิสระในการบริหารงาน แต่รัฐบาลต้อง ควบคุมด้วยวิธีต่าง ๆ ตามความเหมาะสมจะปราศจากการควบคุมของรัฐหาได้ไม่ เพราะการปกครอง ท้องถิ่นเป็นสิ่งที่รัฐทําให้เกิดขึ้น”๔๙ ประทาน คงฤทธิศึกษากร ได้ให้คํานิยามไว้ว่า “การบริหารส่วนจังหวัด เป็นระบบการ ปกครองที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระจายอํานาจทางการปกครองของรัฐ และโดยสมัยนี้จะเกิด องค์กร ทําหน้าที่ปกครองท้องถิ่นโดยคนในท้องถิ่นนั้น ๆ องค์การนี้จัดตั้งและถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่มีอํานาจในการกําหนดนโยบายและควบคุมให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายของตนเอง”๕๐ ๒.๒.๒ ความสําคัญของการบริหารส่วนจังหวัด การบริหารส่วนจังหวัดมีความสําคัญอย่างยิ่งทั้งในแง่การพัฒนาชุมชนและการปกครอง ระบบประชาธิปไตย นอกจากความสําคัญแล้ว การบริหารส่วนจังหวัดยังเป็นเรื่องจําเป็น เพราะสังคม ที่กว้างใหญ่มีอาณาเขตใหญ่โตย่อมเป็นเรื่องยากที่จะให้รัฐบาลกลางดูแลได้ทั่วถึง จึงมีความจําเป็นที่ จะต้องมีการกระจายอํานาจเพื่อให้ท้องถิ่นได้ช่วยเหลือตนเอง ความสําคัญและความจําเป็นของการ บริหารส่วนจังหวัดจึงสรุปได้ดังนี้ ธีรวุฒิโศภิษฐิกุล กล่าวไว้ว่า การบริหารส่วนจังหวัดมีความสําคัญต่อการปกครอง ประเทศหลายประการ กล่าวคือ ๑. การบริหารส่วนจังหวัดจะมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลกลางหรือรัฐบาล ส่วนกลาง เพราะการปกครองส่วนท้องถิ่นมีองค์กรกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ของประเทศ มีความ ใกล้ชิดกับประชาชนในท้องถิ่นจึงสามารถทําหน้าที่แทนรัฐบาลกลางได้ดี ๒. การบริหารส่วนจังหวัดช่วยตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นได้ดีกว่า รัฐบาลกลาง ๓. การบริหารส่วนจังหวัดช่วยให้การเรียนรู้ทางการเมืองแก่ประชาชนทําให้ประชาชนได้ ฝึกฝนเรียนรู้สร้างจิตสํานึกรวมทั้งวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมในระบอบการปกครอง การปกครอง ท้องถิ่นจึงเป็นรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ๔๙ อุทัย หิรัญโต, การปกครองท้องถิ่น, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๓), หน้า ๓. ๕๐ ประทาน คงฤทธิ์ศึกษากร, “รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในองค์กร การ บริหารส่วนตําบล : ศึกษาเฉพาะกรณีตําบลขุนคง อําเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๓), หน้า ๑๙.
๓๙ ๔. การบริหารส่วนจังหวัดช่วยเป็นแหล่งฝึก และสร้างผู้นําทางการเมืองการปกครอง ท้องถิ่น๕๑ ๒.๒.๓ การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาความหมายเกี่ยวกับการบริหารส่วนจังหวัด ดังนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ ได้บัญญัติให้มีการจัดการปกครองส่วน ท้องถิ่นตามหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นตามวิธีการและรูปแบบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอํานาจ ดูแลและจัดทําบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น รวมทั้ง ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น โดยมีผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิก สภาท้องถิ่นเป็นผู้มีหน้าที่ในการดําเนินการ สมาชิกสภาท้องถิ่นได้แก่สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) สมาชิกสภาองค์กร บริหารส่วนตําบล (ส.อบต.) และสมาชิกสภาเมืองพัทยาต้องมาจากการเลือกตั้งส่วนผู้บริหารท้องถิ่น ได้แก่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรีนายกองค์การ บริหารส่วนตําบล และนายกเมืองพัทยา มาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากความเห็นชอบของสภา ท้องถิ่น หรือในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษจะมีที่มาโดยวิธีอื่นก็ได้แต่ต้องคํานึงถึง การมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย๕๒ ลิขิต ธีรเวคิน ได้อธิบาย การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หมายถึง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเข้าไปการออกแบบนโยบาย และบริหารงานในองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของประชาธิปไตยแบบตัวแทน โดยผู้มี สิทธิเลือกตั้งดังกล่าว จะเป็นประชาชนซึ่งอาศัยในเขตการปกครองท้องถิ่น ตั้งแต่ละดับจังหวัดลงมา โดยมีชื่อเรียกเขตการปกครองท้องถิ่นแตกต่างกันไปตามเขตการปกครอง ตัวอย่างเช่น องค์การ บริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) และเทศบาล เป็นต้น การเลือกตั้ง ท้องถิ่นจึงเป็นช่องทางหนึ่งของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระดับท้องถิ่น โดยการ เลือกตัวแทนของตนเข้าไปใช้อํานาจตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้ข้อจํากัดของการมีจํานวน ประชากรที่เพิ่มขึ้นและมีพื้นที่เขตการปกครองที่มีขนาดใหญ่อย่างเช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) การมีประชาธิปไตยโดยตรงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ๕๑ ธีรวุฒิโศภิษฐิกุล, การปกครองท้องถิ่นไทย, (ฉะเชิงเทรา: (เอ็มเอ็นคอมพิวออฟเซท, ๒๕๕๐), หน้า ๒๑. ๕๒ สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ความรู้เกี่ยวกับสมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นการหาเสียงและ ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงท้องถิ่น, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.loppao.com/images/Document Service/carrot0010/buy9/kit12-9-62/4.pdf [๑๖ มีนาคม ๒๕๖๕].
๔๐ ดังนั้น จึงต้องมีการเลือกตั้งตัวแทนที่เรียกว่า สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อทําหน้าที่แทนประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้ลงคะแนนเสียงข้างมากให้กับสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น ประชาธิปไตยแบบตัวแทน เป็นวิธีการใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ใน ชุมชนที่มีจํานวนประชากรมาก ไม่สามารถลงคะแนนเสียงโดยตรงได้จึงต้องใช้วิธีการแบบมีตัวแทน๕๓ ๒.๓.๔ การจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดในปีพ.ศ. ๒๔๙๘ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ได้จัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๔๙๘ ตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.๒๔๙๘ ผู้ที่ผลักดันและสนับสนุนให้เกิด อบจ. คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยควบคู่กันไป แนวความคิดที่เสนอและใช้เป็นเหตุผลหลักในการอภิปรายในสภา ผู้แทนราษฎรเพื่อสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง อบจ. ขึ้นในครั้งนั้นคือ การปรับปรุงบทบาทของสภาจังหวัด ให้มีประสิทธิภาพและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้น และต้องการให้อบจ. ทําหน้าที่เสมือนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง ส่งผลให้พระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการส่วนจังหวัดฉบับนั้น ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรอย่างง่ายดายด้วยคะแนนเสียง ท่วมท้น ทั้งนี้เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าใจว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้อํานาจแก่ประชาชน ในการดูแลชะตาชีวิตของตนเองหรืออย่างน้อยก็เข้ามามีบทบาทในการบริหารท้องถิ่น แต่ในความเป็น จริง อบจ. ในขณะนั้น ไม่ได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและยังเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดซึ่งเป็นราชการส่วน ภูมิภาค ขณะเดียวกัน อบจ. มีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานสภา จังหวัด นอกจากนั้นใน มาตรา ๗ (๒) กําหนดให้สมาชิกสภาจังหวัดส่วนหนึ่งมาจากประธานกรรมการ สุขาภิบาล (ซึ่งหมายถึง นายอําเภอ ที่เขตสุขาภิบาลตั้งอยู่) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ส่งผลให้อบจ. ในขณะนั้นมีลักษณะเป็นหน่วยงานราชการ โครงสร้างและ องค์ประกอบของ อบจ. ในรูปแบบนี้ได้ใช้มาจนถึงปีพ.ศ.๒๕๔๐ ในปีพ.ศ.๒๕๓๗ เมื่อรัฐบาลประกาศยกฐานะสภาตําบลขึ้นเป็นองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) ตามพระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ.๒๕๓๗ ส่งผลให้มีอบต. เกิดขึ้นครอบคลุมพื้นที่ตําบลทั่วประเทศ ดังนั้นบทบาทอํานาจหน้าที่ในการบริหารและพัฒนาพื้นที่ใน จังหวัดที่อยู่นอกเขตเทศบาล และพื้นที่ของ อบจ. มีการทับซ้อนกันกับพื้นที่ของ อบต. ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ในปีพ.ศ.๒๕๔๐ มีการตราพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.๒๕๔๐ โดยให้เหตุผลว่า อบจ. ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบพื้นที่ทั้งจังหวัดที่อยู่นอกเขตสุขาภิบาลและเทศบาล เมื่อได้มี พระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล จึงสมควรปรับปรุงบทบาทหน้าที่ของ อบจ. ให้สอดคล้องกัน และปรับปรุงโครงสร้างของ อบจ. ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนั้น อบจ. จึงมีฐานะเป็นนิติ ๕๓ ลิขิต ธีรเวคิน, “ประชาธิปไตยไทยในทศวรรษ ๒๑ : ทางตัน ทางออก และแนวทางแก้ไข”, อ้างใน วุฒิสารตันไชย, อรทัยก๊กผล, ธีรพรรณ ใจมั่น และ ภควัต อัจฉริยปัญญา, ประชาธิปไตยไทยในทศวรรษใหม่ (KPIYEARBOOK), (กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๕๙), หน้า ๔.
๔๑ บุคคล และมีพื้นที่รับผิดชอบทั้งจังหวัด โดยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งของ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และต่อมาพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่๓) พ.ศ.๒๕๔๖ ได้กําหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในจังหวัดโดยตรง๕๔ สรุปได้ว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นช่องทางหนึ่งของการมี ส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระดับท้องถิ่น โดยการเลือกตัวแทนของตนเข้าไปใช้อํานาจ ตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้ข้อจํากัด เลือกตั้งท้องถิ่นจึงเป็นตัวชี้วัดสําคัญที่แสดงให้เห็นถึง สถานะของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐบาลท้องถิ่น และยังเป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพของ ประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นได้ในหลากหลายมิติอีกด้วย โครงสร้างองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตาม พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด พุทธศักราช ๒๕๔๐ โครงสร้างและองค์ประกอบของ อบจ. ประกอบด้วย สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฝ่ายนิติบัญญัติ) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฝ่ายบริหาร) ๑. สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ในจังหวัดหนึ่งให้มีสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดอันประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาจังหวัด สําหรับจํานวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ถือเกณฑ์ตามจํานวน ราษฎรแต่ละจังหวัด ตามหลักฐานทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง ดังนี้ (ก) จังหวัดใดมีราษฎรไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ คน มีสมาชิกสภาจังหวัดได้๒๔ คน (ข) จังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คน แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน มีสมาชิกได้๓๐ คน (ค) จังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน แต่ไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ คน มีสมาชิกได้ ๓๖ คน (ง) จังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่า ๑,๕๐๐,๐๐๐ คน แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ คน มีสมาชิกได้ ๔๒ คน (จ) จังหวัดใดมีราษฎรเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ คนขึ้นไป มีสมาชิกได้๔๘ คน สมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัด อยู่ในตําแหน่งได้คราวละ ๔ ปีให้สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลือกตั้ง สมาชิกสภาเป็นประธานสภา ๑ คน และเป็นรองประธานสภา ๒ คน ๒. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฝ่ายบริหาร) มาจากการเลือกตั้งของประชาชนใน จังหวัด และนายก อบจ. มีอํานาจแต่งตั้งรองนายก อบจ. ตามกฎหมายกําหนด สําหรับรองนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดให้มาจากสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ดังนี้ ๕๔ ณัฐฏ์ภัทร์สัมฤทธิ์, “การรับรู้เกี่ยวกับหน้าที่และความจําเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัด”, วารสารการบริหารท้องถิ่น, ปีที่๘ ฉบับที่๓ (๒๕๕๘): ๒-๓.
๔๒ (ก) ในกรณีมีสมาชิก ๔๘ คน ให้มีรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้๔ คน (ข) ในกรณีมีสมาชิก ๓๖-๔๒ คน ให้มีรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้๓ คน (ค) ในกรณีมีสมาชิก ๒๔-๓๐ คน ให้มีรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้๒ คน ข้าราชการส่วนจังหวัด สําหรับเจ้าหน้าที่อื่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นได้แก่ ข้าราชการ ส่วนจังหวัดซึ่งรับเงินเดือนจากงบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดข้าราชการส่วน จังหวัดมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาและมีรองนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดกับปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารองจากนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัด การบริหารงานจะแบ่งส่วนราชการภายในออกเป็นสํานักและกองต่าง ๆ เช่น สํานักปลัดฯ ดูแลกิจการทั่วไปของ อบจ. กองกิจการสภาฯ ดูแลงานฝ่ายนิติบัญญัติ(ฝ่ายสภาฯ) กองแผนและ งบประมาณรับผิดชอบเรื่องแผนและงบประมาณของ อบจ. กองช่างรับผิดชอบทางด้านงานช่าง การ ก่อสร้างและซ่อมบํารุง กองคลังดูแลด้านการเงิน การคลัง การพัสดุทรัพย์สิน การจัดเก็บรายได้กอง การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รับผิดชอบงานด้านการศึกษา การศาสนาและวัฒนธรรม๕๕ ตารางที่๒.๕ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด ประหยัด หงส์ทองคํา (๒๕๒๓) การปกครองท้องถิ่นเป็นรูปการปกครองที่เกิด จากการกระจายอํานาจจากส่วนกลางไปยัง ท้องถิ่นเพื่อวัตถุประสงค์ในอนทั ี่จะให้ประชาชน ในท้องถิ่นได้มีโอกาสเรียนรู้และดําเนินกิจกรรม ต่าง ๆ วิญญูอังคณารกษั ์ (๒๕๑๙ หน้า ๔) การปกครองท้องถิ่น หมายถึง การปกครองใน รูปลักษณะการกระจายอํานาจบางอย่างที่รัฐได้ มอบหมายให้ทองถ้ ิ่นทํากันเอง เพื่อให้ประชาชน ในท้องถิ่นมีโอกาส ปกครองและบริหารงาน ท้องถิ่นด้วยตนเอง อุทัย หิรัญโต (๒๕๓๒ หน้า ๔) การปกครองท้องถิ่น คือ การปกครองที่รัฐบาล มอบอํานาจให้ประชาชนในท้องถิ่นท้องถิ่นหนึ่ง จัดการปกครองท้องถิ่นและดําเนินกิจกรรม บางอย่าง โดยดําเนินการกันเองเพื่อบําบัดความ ๕๕ องค์การบริหารส่วนจังหวัด, โครงสร้างองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตาม พ.ร.บ. องค์การ บริหารส่วนจังหวัด พุทธศักราช ๒๕๔๐), หน้า ๑, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.oic.go.th [๓ มีนาคม ๒๕๖๕].
๔๓ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด ต้องการของตน ประทาน คงฤทธิศึกษาธีกร (๒๕๒๖ หน้า ๘) การปกครองท้องถิ่นเป็นแบบการปกครองที่เป็น ผลจากการกระจายอํานาจทางการปกครองของ รัฐ โดยจะเกิดองค์การทําหน้าที่ปกครองท้องถิ่น ธีรวุฒิโศภิษฐิกุล (๒๕๕๐ หน้า ๒๑) การปกครองท้องถิ่นมีความสําคัญต่อการปกครอง ประเทศหลายประการ เช่น ๑. การปกครอง ท้องถิ่นจะมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล กลางหรือรัฐบาลส่วนกลาง ๒. การปกครอง ท้องถิ่นช่วยตอบสนองความต้องการของ ประชาชนในท้องถิ่นได้ดีกว่ารัฐบาลกลาง ๓.การ ปกครองท้องถิ่นช่วยให้การเรียนรู้ทางการเมือง แก่ประชาชนทําให้ประชาชนได้ฝึกฝนเรียนรู้ สร้างจิตสํานึก ๔. การปกครองท้องถิ่นช่วยเป็น แหล่งฝึก และสร้างผู้นําทางการเมืองการปกครอง ท้องถิ่น ลิขิต ธีรเวคิน (๒๕๕๙ หน้า ๔) การเลือกตั้งท้องถิ่น หมายถงึสมาชิกสภา ท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเข้าไปการออกแบบ นโยบาย และบริหารงานในองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นหรือรัฐบาลท้องถิ่น ซงเปึ่ ็นไปตามลักษณะ ของประชาธิปไตยแบบตัวแทน สรุปได้ว่า การวิจัยครั้งนี้สามารถสังเคราะห์ตัวแปรของการวิจัยเรื่อง มีผลต่อการไปใช้ สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย คือ (๑) สนับสนุนการเลือกตั้ง ช่วยรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้ง การสนับสนุนพรรคการเมืองหรือตัว ผู้สมัครเพราะมองเห็นว่านโยบายมีความเป็นรูปธรรม (๒) การตัดสินใจเลือกตั้ง ซึ่งเป็นวิธีการตัดสินใจ ทั้งในด้านเลือกผู้สมัครเมื่อหัวคะแนนเขาชักชวนหรือว่าเลือกผู้สมัครเมื่อประกาศรายชื่อตัวบุคคลของ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตลอดถึงการตัดสินใจเลือกผู้สมัครเพราะมองเห็นว่าเป็นที่น่าเคารพนับถือ (๓) การ ลงคะแนนเลือกตั้ง เป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับการสังเกตการณ์พฤติกรรมของคณะกรรมการเลือกตั้ง การ ตรวจสอบสิทธิก่อนลงคะแนนเลือกตั้ง ตรวจสอบลําดับขั้นตอนวิธีการของการลงคะแนนเลือกตั้ง เตรียมเอกสารที่จําเป็น ตลอดถึงการไม่ซื้อสิทธิขายเสียงซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สําคัญของการเลือกตั้ง ๒.๓ หลักพุทธธรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๒.๓.๑ ความหมายของอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ นั้นผู้วิจัยได้ศึกษาตามหลักคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อจะใช้หลักการและ แนวคิดให้ประสบผลสําเร็จตามหลักอิทธิบาท ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ใน พระไตรปิฎก เพื่อจะให้เป็น
๔๔ ข้อปฏิบัติหรือ เป็นแนวทางให้ประสบผลสําเร็จ หรือประกอบการงานก็ดีเมื่อต้องการสมาธิเพื่อให้กิจ ที่ทํานั้นดําเนินไปอย่างได้ผลดีก็พึงปลุกเร้าและชักจูงด้วยอิทธิบาท ๔ พระพุทธองค์ได้ให้หลักการและ แนวคิดเกี่ยวกับอิทธิบาท ๔ ในสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ๕๖ ไว้ว่า สาวกทั้งหลาย ของเรา ผู้ปฏิบัติตามเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑) เจริญอิทธิบาท อันประกอบไปด้วยฉันท์สมาธิปธานสังขาร (สมาธิที่เกิดจากฉันทะ ความเพียรสร้างสรรค์) ๒) เจริญอิทธิบาทอันประกอบไปด้วยวิริยะสมาธิปธานสังขาร (สมาธิที่เกิดจากวิริยะความ เพียรสร้างสรรค์) ๓) เจริญอิทธิบาทอันประกอบไปด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร (สมาธิที่เกิดจากจิตตความ เพียรสร้างสรรค์ ๔) เจริญอิทธิบาทอันประกอบไปด้วยวิมังสาสมาธิปธานสังขาร (สมาธิที่เกิดจากวิมังสา สมาธิความเพียรสร้างสรรค์) ประการนั้นแล สาวกของเราเป็นอันมากจึงได้บรรลุที่สุดแห่งอภิญญาและ อภิญญาบารมีอยู่ ดังนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสใน สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค๕๗ ว่า พระผู้มีพระภาคผู้ ทรงรู้ทรงเห็น เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติอิทธิบาท ๔ ประการนี้และ เพื่อเพิ่มพูนความสําเร็จ เพื่อให้ชํานาญในเรื่องความสําเร็จ เพื่อพลิกแพลงให้เกิดความสําเร็จแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับอิทธิบาท ๔ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นพอสรุปได้ดังนี้คือ พระพุทธองค์ได้กล่าวถึง อิทธิบาท ๔ ว่า เป็นสิ่งเพิ่มพูนความสําเร็จ เพื่อให้ชํานาญ เพื่อพลิกแพลงให้เกิดความสําเร็จเพื่อละ กิเลสอันเป็นเครื่องผูกใจ ๔ ประการจากการทบทวนเอกสารปรากฏว่า มีนักวิชาการและผู้วิจัยได้ ศึกษาและอธิบายถึงความหมายของอิทธิบาท ๔ ดังนี้ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้เขียนเกี่ยวกับอิทธิบาท ๔ สรุปได้ว่าหลักธรรมที่ ไม่เคยล้าสมัย หรือหลักธรรมอันเป็นหลักแห่งความสําเร็จ หรือทางแห่งความสําเร็จ ๔ ประการ ที่ใน ปัจจุบันแม้เราจะหลงลืมกันไปบ้างว่า คืออะไร แต่ถ้าหากได้ย้อนรําลึกกันบ้างว่ามีอะไร และคืออะไร จะเห็นได้ว่าหลักธรรมอายุ๒ พันกว่าปีนี้ไม่มีคราวใดที่จะเรียกว่าล้าสมัย ๑) ฉันทะ เพราะเหตุว่าทรงรักสิ่งที่ทรงทํา จึงได้ทําสิ่งที่ทําอยู่ในขณะนี้ ๒) วิริยะ คือความพากเพียร ความพยายามไม่ย่อท้อ ๓) จิตตะ คือความเอาพระทัยจดจ่อในสิ่งที่ทรงทํา เพราะฉะนั้นท่านจึงทําได้ ๔) วิมังสา ทํางานแล้วไม่ทิ้ง คอยตรวจสอบ ทบทวน ไตร่ตรอง พิจารณา ดังนั้น หลักความสําเร็จ ปฏิบัติตามหลักธรรม ที่จะนําไปสู่ความสําเร็จแห่งกิจการ ที่ เรียกว่า อิทธิบาท (ธรรมให้ถึงความสําเร็จ) ซึ่งมี๔ ข้อ คือ ๕๖ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๗/๒๙๒. ๕๗ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๗/๒๑๙.
๔๕ ๑) ฉันทะ : รักงาน (การเห็นคุณค่า ความรัก ความพอใจ) คือ มีใจรัก พอใจจะทําสิ่งนั้น และทําด้วยใจรัก ต้องการทําให้เป็นผลสําเร็จอย่างดีแห่งกิจหรืองานที่ทํา มิใช่สักว่าทําพอให้เสร็จ ๆ หรือ เพียงเพราะอย่างได้รางวัลหรือผลกําไร ๒) วิริยะ : สู้งาน (ความเพียร เห็นเป็นความท้าทาย ใจสู้ขยัน) คือ พากเพียรทํา ขยันหมั่น ประกอบ หมั่นกระทําสิ่งนั้นด้วยความพยายามเข้มแข็งอดทน เอาธุระ ไม่ทอดทิ้ง ไม่ท้อถอย ก้าวไป ข้างหน้าจนกว่าจะสําเร็จ ๓) จิตตะ : ใส่ใจงาน (ความคิด อุทิศตัวต่องาน ใจจดจ่อ จริงจัง) คือ เอาจิตฝักใฝ่ตั้งจิต รับรู้ในสิ่งที่ทํา และทําสิ่งนั้นด้วยความคิดไม่ปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย ใช้ความคิดในเรื่องนั้น บ่อย ๆ เสมอ ๆ ทํากิจหรืองานนั้นอย่างอุทิศตัวอุทิศใจ ๔) วิมังสา : ทํางานด้วยปัญญา (ไตร่ตรอง พิสูจน์ทดสอบ ตรวจตรา ปรับปรุงแก้ไข)ใช้ ปัญญาสอบสวน คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อน เกินเลยบกพร่องขัดข้องในสิ่งที่ทํานั้น โดยรู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น เพื่อจัดการและดําเนินงานนั้นให้ได้ผลดียิ่งขึ้นไป๕๘ พระกวีวรญาณ อ้างใน พัชราพร วีรสิทธิ์ได้กล่าวไว้ว่า หลักในการทํางานให้สําเร็จนั้นตาม หลักพระพุทธศาสนาเรียกว่า “อิทธิบาท” มาจากคําว่า อิทธิ= ความสําเร็จ บาท = วิถีทางที่จะนําไปสู่ เมื่อ “อิทธิบาท” เป็นชื่อของธรรมหมวดหนึ่ง ก็หมายความว่า ธรรมหมวดนั้นแหละเป็น“หลักการ” สําคัญที่จะนําเราไปสู่จุดหมายปลายทาง หรือไปสู่ความสําเร็จได้ ๕๙ พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) ได้อธิบายว่า อิทธิบาท คือ ทางที่จะไปสู่ ความสําเร็จ ๔ ประการ คือ ๑) ฉันทะ ความพอใจ ๒) วิริยะ ความเพียร ๓) จิตตะ ความเอาใจใส่และ ๔) วิมังสา ไตร่ตรองค้นคว้าในสิ่งนั้น ๆ ถ้าเรารักสิ่งนั้น เอาใจใส่สิ่งนั้น มันก็ก้าวหน้า การคิดการทําก็ ก้าวหน้าต่อไป เพราะเรารักสิ่งนั้น ถ้าไม่รักมันก็ไปไม่ได้ ๖๐ พระราชญาณวิสิฐ (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ได้กล่าวไว้ว่า อิทธิบาท ๔ คือ หลักธรรมที่ นําไปสู่ความสําเร็จ ในการกระทํากิจการงานหรือการอาชีพ ประการแรก อิทธิบาท แปลความว่า ทาง แห่งความสําเร็จ กล่าวคือ ข้อปฏิบัติให้บรรลุความสําเร็จด้วยดีมีประสิทธิภาพนั่นเอง๖๑ ๕๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพ์ครั้งที่๔๖, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ กรมศาสนา, ๒๕๔๕), หน้า ๔๐. ๕๙ พัชราพร วีรสิทธิ์, “ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบห้าประการของบุคลิกภาพและความสามารถ ในการเผชิญปัญหาและอุปสรรคตามหลักอิทธิบาท ๔ ของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในสํานักงานประกันสังคม”, วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยรามคําแหง , ๒๕๔๖), หน้า ๑๑. ๖๐ พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ), พจนานุกรมธรรมของท่านปัญญานันทะ, (กรุงเทพมหานคร:ธรรมสภา, ม.ป.ป.), หน้า ๑๕๐. ๖๑ พระราชญาณวิสิฐ (เสริมชัย ชยมงฺคโล), ความสําเร็จ หลักธรรมสู่ความสําเร็จและสันติสุข , (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๔๕), หน้า ๙.
๔๖ ๒.๓.๒ องค์ประกอบของอิทธิบาท ๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของอิทธิบาท ๔ ไว้ดังนี้ ๑. ฉันทะ แปลว่า ความพอใจ ได้แก่ความมีใจรักใคร่สิ่งที่ทําและพอใจใฝ่รักในจุดหมาย ของสิ่งที่ทํานั้น อยากทําสิ่งนั้น ๆ ให้สําเร็จ อยากให้งานนั้นหรือสิ่งนั้นบรรลุพูดง่าย ๆ ว่ารักงานและ รักจุดหมายของงาน พูดให้ลึกลงไปในทางธรรมว่า ความรักความใฝ่ใจปรารถนาต่อภาวะดีงามเต็ม เปี่ยมสมบูรณ์ของสิ่งนั้น ๆ ของงานนั้น อยากทําให้สําเร็จผลตามจุดหมายที่ดีงามนั้น เมื่อเห็นสิ่งนั้น หรืองานนั้นกําลังเดินหน้าไปสู่จุดหมาย ก็เกิดปีติเป็นความเอิบอิ่มใจ ครั้นสิ่งหรืองานที่ทํานั้นบรรลุ จุดหมายก็รับโสมนัสเป็นความฉ่ําชื่นใจที่พร้อมด้วยความรู้สึกโปร่งโล่งผ่องใสเบิกบานแผ่ออกไปเป็น อิสระไร้ขอบเขตถ้าสามารถปลุกเร้าฉันทะให้เกิดอย่างแรงกล้าเกิดความรักในคุณค่าความดีงามความ สมบูรณ์ของสิ่งนั้นหรือจุดหมายนั้นอย่างเต็มที่แล้วคนก็จะทุ่มเทชีวิตและจิตใจอุทิศให้แก่สิ่งนั้นเมื่อรัก แท้ก็มอบใจให้อาจถึงขนาดยอมสละชีวิตเพื่อสิ่งนั้นได้เมื่อมีฉันทะนําแล้วก็ต้องการทําสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ให้สําเร็จผลอย่างดีที่สุดของสิ่งนั้นของงานนั้นไม่ห่วงพะวงกับสิ่งล่อเร้าหรือผลตอบแทนทั้งหลายจิตใจ ก็มุ่งแน่วแน่มั่นคงในการดําเนินสู่จุดหมายเดินเรียบสม่ําเสมอไม่ซ่าน ไม่ส่าย ฉันทะสมาธิจึงเกิดขึ้น โดยนัยนี้และพร้อมกับปธานสังขาร คือ ความเพียรสร้างสรรค์ก็ย่อมเกิดควบคู่มาด้วย ๒. วิริยะ แปลว่า ความอาจหาญ แกล้วกล้า บากบั่น ก้าวไป ใจสู้ไม่ย่อท้อไม่หวั่นกลัวต่อ อุปสรรคและความยากลําบาก เมื่อคนรู้ว่าสิ่งใดมีคุณค่าควรแก่การบรรลุถึง ถ้าวิริยะเกิดขึ้นแก่เขาแล้ว แม้ได้ยินว่าจุดหมายนั้นจะลุถึงได้ยากนัก มีอุปสรรคมาก หรืออาจใช้เวลาเท่านั้นปีเท่านี้เดือนเขาก็ไม่ ท้อถอย กลับเห็นเป็นสิ่งท้าทายที่เขาจะเอาชนะให้ได้ทําให้สําเร็จ คนที่มีความเพียร เท่ากับมีแรงหนุน เวลาทํางานหรือปฏิบัติธรรมก็ตาม จิตใจจะแน่วแน่มั่นคง พุ่งตรงต่อจุดหมาย สมาธิก็เกิดขึ้นได้เรียกว่า เป็นวิริยะสมาธิพร้อมทั้งมีปธานสังขาร คือ ความเพียรสร้างสรรค์เข้าประกอบคู่ไปด้วยกัน ๓. จิตตะ แปลว่า ความคิดจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ ได้แก่ความมีจิตผูกพัน จดจ่อเฝ้าคิด เรื่องนั้นใจอยู่กับงานนั้น ไม่ปล่อย ไม่ห่างไปไหน ถ้าจิตตะเป็นไปอย่างแรงกล้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือ งานอย่างใดอย่างหนึ่ง คนผู้นั้นจะไม่สนใจไม่รับรู้เรื่องอื่น ๆ ใครพูดอะไรเรื่องอื่น ๆ ไม่สนใจ แต่ถ้าพูด เรื่องงานนั้นจะสนใจเป็นพิเศษทันทีบางทีจัดทําเรื่องนั้น งานนั้น ขลุกง่วนอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนไม่เอาใจใส่ ร่างกายการแต่งเนื้อแต่งตัว อะไรเกิดขึ้นก็ไม่สนใจ เรื่องอื่นเกิดขึ้นใกล้ๆ บางที่ก็ไม่รู้ทําจนลืมวันลืม คืน ลืมกินลืมนอน ความมีใจฝักใฝ่เช่นนี้ย่อมนําให้สมาธิเกิดขึ้น จิตจะแน่วแน่แนบสนิทในกิจที่ทํามี กําลังมากเฉพาะสําหรับกิจนั้น เรียกว่าเป็นจิตตสมาธิพร้อมกันนั้นก็เกิดปธานสังขาร คือ ความเพียร สร้างสรรค์ร่วมสนับสนุนไปด้วย ๔. วิมังสา แปลว่า ความสอบสวนไตร่ตรอง ได้แก่ การใช้ปัญญาพิจารณาหมั่นใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อน เกินเลย บกพร่องหรือขัดข้อง เป็นต้นในกิจที่ทํา รู้จัก ทดลองและคิดค้นหาทางแก้ไขปรับปรุง ข้อนี้เป็นการใช้ปัญญาชักนําสมาธิซึ่งจะเห็นได้ไม่ยากคนมี วิมังสาเป็นพวกชอบคิด ค้นหาเหตุผล ชอบสอบสวนทดลอง เมื่อทําอะไร ก็คิดพิจารณาทดสอบไปเช่น คิดว่าผลนี้เกิดจากสาเหตุอะไร ทําไมจึงเป็นอย่างนี้ผลคราวนี้เกิดจากปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบเหล่านี้ เท่านั้น ลองเปลี่ยนองค์ประกอบนั้นแล้ว ไม่เกิดผลอย่างที่คาดหมาย เป็นเพราะอะไร จะแก้ไขที่จุด ไหน ฯลฯ เป็นเหตุให้จิตแน่วแน่แล่นดิ่งไปกับเรื่องที่พิจารณา ไม่ฟุ้งซ่านไม่วอกแวก และมีกําลัง
๔๗ เรียกว่าวิมังสาสมาธิซึ่งจะมีปธานสังขาร คือ ความเพียรสร้างสรรค์เกิดมาด้วย เช่นเดียวกับสมาธิข้อ อื่นๆ๖๒ ตารางที่๒.๖ สรุปแนวคิดเกี่ยวกับหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปการเลือกตั้ง นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด ความหมายของอิทธิบาท ๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ๒๕๔๕), หน้า ๔๐. ได้เขียนเกี่ยวกับอิทธิบาท ๔ สรุปได้ว่าหลักธรรม ที่ไม่เคยล้าสมยัหรือหลักธรรมอันเป็นหลักแห่ง ความสําเร็จ หรือทางแห่งความสําเร็จ ๔ ประการ ที่ในปัจจุบันแม้เราจะหลงลมกื ันไปบ้างว่า คือ อะไร แต่ถ้าหากได้ย้อนรําลึกกันบ้างว่ามีอะไร และคืออะไรจะเห็นได้ว่าหลักธรรมอายุ๒ พัน กว่าปีนี้ไม่มีคราวใดที่จะเรียกว่าล้าสมัย พระกวีวรญาณ, ๒๕๔๖. หน้า ๑๑. ได้กล่าวไว้ว่า หลักในการทํางานให้สําเร็จนั้นตาม หลักพระพุทธศาสนาเรียกว่า “อิทธิบาท” มาจาก คําว่า อิทธิ= ความสําเร็จ บาท = วิถีทางที่จะ นําไปสู่เมื่อ “อิทธิบาท” เป็นชื่อของธรรมหมวด หนึ่ง ก็หมายความว่า ธรรมหมวดนั้นแหละเป็น “หลักการ” สาคํ ัญที่จะนําเราไปสู่จุดหมาย ปลายทาง หรือไปสู่ความสําเร็จได้ พระราชญาณวิสิฐ (เสริมชัย ชยมงฺคโล), ๒๕๔๕, หน้า ๙. ได้กล่าวไว้ว่า อิทธิบาท ๔ คอืหลักธรรมทนี่ําไปสู่ ความสําเร็จ ในการกระทํากิจการงานหรือการ อาชีพ ประการแรก อิทธิบาท แปลความว่า ทาง แห่งความสําเร็จ กล่าวคือ ข้อปฏิบัติให้บรรลุ ความสําเร็จด้วยดีมีประสิทธภาพนิ ั่นเอง องค์ประกอบของอิทธบาทิ๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ,๒๕๔๒, หน้า ๘๔๒ – ๘๔๔. ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของอิทธิบาท ๔ ไว้ดังนี้ ๑. ฉันทะ แปลว่า ความพอใจ ได้แก่ความมใจร ี ัก ใคร่สิ่งทที่ํา และพอใจใฝ่รักในจุดหมายของสิ่งที่ ทํานั้น ๖๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, พิมพ์ครั้งที่๘, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หน้า ๘๔๒-๘๔๔.
๔๘ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด ๒. วิริยะ แปลว่า ความอาจหาญ แกล้วกล้า บาก บั่น ก้าวไป ใจสู้ไม่ย่อท้อไมหว่ ั่นกลัวต่ออุปสรรค และความยากลําบาก ๓. จิตตะ แปลว่า ความคิดจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ ๔. วิมังสา แปลว่า ความสอบสวนไตร่ตรอง ๒.๔ บริบทอําเภอเชียงคาน ๒.๔.๑ ประวัติความเป็นมา ประวัติความเป็นมาเมืองเชียงคานเดิมตั้งอยู่ที่เมืองชะนะคาม ประเทศลาว ซึ่งสร้างโดย ขุนคาน โอรสของขุนคัวแห่งอาณาจักรล้านช้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐ ต่อมาประมาณ พ.ศ. ๒๒๕๐ อาณาจักรล้านช้างแยกออกเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง ซึ่งมีพระเจ้ากีส ราชเป็นกษัตริย์และอาณาจักรเวียงจันทน์ซึ่งมีพระเจ้าไชยองค์เว้เป็นกษัตริย์โดยกําหนดอาณาเขต ให้ดินแดนเหนือแม่น้ําเหืองขึ้นไปเป็นอาณาเขตหลวงพระบาง และใต้แม่น้ําเหืองลงมาเป็นอาณาเขต เวียงจันทน์ต่อมาทางหลวงพระบางได้สร้างเมืองปากเหืองซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ําโขงเป็นเมืองหน้า ด่านและทางเวียงจันทน์ได้ตั้งเมืองเชียงคาน เดิมเป็นเมืองหน้าด่านเช่นกัน ต่อมา พ.ศ. ๒๓๒๐ พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้เจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึกกับพระสุรสีห์ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์ตีเวียงจันทน์ได้จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต กลับมายังกรุงธนบุรีแล้วได้รวมอาณาจักรล้านช้างเข้าด้วยกันและให้เป็นประเทศราชของไทย และได้ กวาดต้อนผู้คนพลเมืองมาอยู่เมืองปากเหืองมากขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯให้เมืองปากเหืองไปขึ้นกับเมือง พิชัย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่๓ เจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองเวียงจันทน์คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจาก ไทยโดยยกกําลังจากเวียงจันทน์มายึดเมืองนครราชสีมาแต่ในที่สุดเจ้าอนุวงค์ถูกจับขังจนสิ้นชีวิต กองทัพไทยที่ยกมาปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครราชสีมาได้ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายของลําน้ําโขง มายังเมืองปากเหืองมากขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุพินาศ (กิ่ง ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมือง ปากเหืองคนแรก แล้วพระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่าเมืองเชียงคาน ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกจีนฮ่อได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์เมืองหลวงพระบางและได้เข้า ปล้นสะดมเมืองเชียงคานเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ําโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมือง เชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) เป็นจํานวนมาก ครั้งต่อมา เห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ไม่เหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่จึง อพยพไปอยู่ที่บ้านท่านาจันทร์ซึ่งใกล้กับที่ตั้งของอําเภอเชียงคานปัจจุบัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่ เชียงคาน ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ําโขงให้กับฝรั่งเศส ทําให้เมืองปากเหืองตกเป็นของ ฝรั่งเศส คนไทยที่อยู่เมืองปากเหืองจึงอพยพมาอยู่เมืองใหม่เชียงคานหรืออําเภอเชียงคานปัจจุบันโดย สิ้นเชิง แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเชียงคานใหม่ ได้ตั้งที่ทําการอยู่บริเวณวัดธาตุเรียกว่าศาลา เมืองเชียงคาน ต่อมาได้ย้ายไปอยู่บริเวณวัดโพนชัย จนกระทั่งปีพ.ศ. ๒๔๕๒ เมืองเชียงคานซึ่งมีพระ
๔๙ ยาศรีอรรคฮาด (ทองดีศรีประเสริฐ) ได้รับตําแหน่งนายอําเภอเชียงคานคนแรก ต่อมาปี๒๔๘๔ ได้ ย้ายที่ว่าการอําเภอเชียงคานมาอยู่ณ ที่อยู่ปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้ ๖๓ ๒.๔.๒ ที่ตั้งและอาณาเขต อําเภอเมืองเชียงคานมีอาณาเขตติดต่อกับอําเภอข้างเคียง ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงไซยบุรี (ประเทศลาว) ทิศตะวันออก ติดต่อกับอําเภอปากชม ทิศใต้ติดต่อกับอําเภอเมือง ทิศตะวันตก ติดต่อกับอําเภอท่าลี่ ๒.๔.๓ การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาคอําเภอเมืองเลยแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น ๘ ตําบล ๗๘ หมู่บ้าน ได้แก่ ๑. ตําบลเชียงคาน ๘ หมู่บ้าน ๒. ตําบลธาตุ ๑๕ หมู่บ้าน ๓. ตําบลนาซ่าว ๑๕ หมู่บ้าน ๔. ตําบลเขาแก้ว ๑๓ หมู่บ้าน ๕. ตําบลปากตม ๗ หมู่บ้าน ๖. ตําบลบุฮม ๑๐ หมู่บ้าน ๗. ตําบลจอมศรี ๗ หมู่บ้าน ๘. ตําบลหาดทรายขาว ๕ หมู่บาน้ ๒.๔.๔ การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อําเภอเมืองเลยประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๙ แห่ง ได้แก่ ๑. เทศบาลเชียงคาน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตําลบเชียงคาน ๒. เทศบาลตําบลเขาแก้ว ครอบคลุมพื้นที่ตําบลเขาแก้วทั้งตําบล ๓. เทศบาลตําบลธาตุครอบคลุมพื้นที่ตําบลธาตุทั้งตําบล ๔. องค์การบริหารส่วนตําบลเชียงคาน ครอบคลุมพื้นที่ตําบลเชียงคาน ( เฉพาะเขต เทศบาลตําเชียงคาน ๕. องค์การบริหารส่วนตําบลนาซ่าว ครอบคลุมพื้นที่ตําบลนาซ่าวทั้งตําบล ๖. องค์การบริหารส่วนตําบลปากตม ครอบคลุมพื้นที่ตําบลปากตมทั้งตําบล ๗. องค์การบริหารส่วนตําบลบุฮม ครอบคลุมพื้นที่ตําบลบุฮมทั้งตําบล ๘. องค์การบริหารส่วนตําบลจอมศรีครอบคลุมพื้นที่ตําบลจอมศรีทั้งตําบล ๖๓ สํานักงานพัฒนาชุมชนอําเภอเชียงคานจังหวัดเลยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย, [ออนไลน์],แหล่งที่มา https://district.cdd.go.th/chiangkhan/ [ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔].
๕๐ ๙. องค์การบริหารส่วนตําบลหาดทรายขาว ครอบคลุมพื้นที่ตําบลหาดทรายขาวทั้งตําบล คําขวัญ : เชียงคาน เมืองคนงาม ข้าวหลามยาว มะพร้าวแก้ว เพริศแพร้วเกาะแกง แหล่ง วัฒนธรรม น้อมนําศูนย์ศิลปาชีพ พิกัดภูมิศาสตร์: ๑๗°๕๓′๕๔″N ๑๐๑°๓๙′๕๔″E อักษรไทย อําเภอเชียงคาน พื้นที่ทั้งหมด ๘๖๗.๐ ตร.กม. (๓๓๔.๘ ตร.ไมล์) ประชากร (๒๕๖๓) ทั้งหมด ๖๑,๑๘๒ คน ความหนาแน่น ๗๐.๕๖ คน/ตร.กม. (๑๘๒.๗ คน/ตร.ไมล์) รหัสไปรษณีย์ ๔๒๑๑๐ รหัสภูมิศาสตร์ ๔๒๐๓ ที่อยู่ : ที่ว่าการอําเภอเชียงคาน ตําบลเชียงคาน อําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๔๒๑๑๐ ๒.๕ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๕.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง อรัญญา เริงสําราญ ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปทุมธานี : ศึกษาในห้วงเวลาปีพ.ศ.๒๕๕๗ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานีอยู่ในระดับมาก เมื่อ ๒๒ พิจารณาเป็นรายด้าน ดังนี้ด้านโยบายพรรค คือ เป็นนโยบายดีชัดเจน เป็นนโยบายที่แก้ปัญหาได้ตรงประเด็น ด้านตัว ผู้สมัคร อยู่ในระดับมากที่สุด เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นผู้ที่ประพฤติสุจริต เป็นผู้ที่มี คุณธรรมจริยธรรม และน่าเชื่อถือ ด้านพรรคการเมือง อยู่ในระดับมาก คือ เป็นพรรคที่มีนโยบายดีมี ประโยชน์กับประชาชน เป็นพรรคที่มีการบริหารงานดีด้านสื่อการรณรงค์หาเสียง อยู่ในระดับปาน กลาง คือ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ขนาดเล็ก สื่อสิ่งพิมพ์สื่อมวลชนและการปราศรัยหาเสียง และด้าน สื่อบุคคล อยู่ในระดับปานกลาง คือ ผู้นําชุมชน บุคคลในครอบครัว หัวคะแนน ญาติพี่น้องของผู้สมัคร และบุคคลของพรรคการเมือง๖๔ ดาวเรือง นาคสวัสดิ์ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง เมื่อ พิจารณาพบว่า เปิดรับสื่อโทรทัศน์มากที่สุด เปิดรับสื่ออินเตอร์เน็ตสื่อวิทยุและสื่อหนังสือพิมพ์อยู่ใน ระดับมากชาวสุโขทัยมีความคิดเห็น เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรโดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านพรรค การเมืองที่สังกัดและปัจจัยด้าน ๒๓ คุณลักษณะของผู้สมัครรับเลือกตั้งคือการมีความรู้ความสามารถ ๖๔ อรัญญา เริงสําราญ, “ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี”, สาร นิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง, (วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๗).
๕๑ อยู่ในระดับมาก คือ ปัจจัยด้านนโยบายของผู้สมัครปัจจัยด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งและปัจจัย ด้านสื่อบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ๖๕ พันธุ์ทิพา อัครธีรนัย ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครนายก : ศึกษาในช่วงเวลา พ.ศ. ๒๕๕๙ ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง ๓๖-๕๐ ปีจบการศึกษาระดับ ประถมศึกษา มีรายได้เต่อเดือนระหว่าง ๑๐,๐๐๑-๑๕,๐๐๐บาท และประกอบอาชีพเกษตรกร พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของประชาชนชาวจังหวัดนครนายก พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ในสื่อ โทรทัศน์ลําดับถัดมาสื่อวิทยุสื่อหนังสือพิมพ์และอินเตอร์เน็ต ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครนายก ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นราย ด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากในด้านคุณลักษณะของผู้สมัครรองลงมาด้านสื่อบุคคล ด้านพรรคการเมือง ด้านนโยบายและด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผลพิสูจน์สมมติฐาน พบว่า อายุและอาชีพของ ประชาชนชาวจังหวัดนครนายก มีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใน การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครนายก และพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของชาว จังหวัดนครนายกมี ความสัมพันธ์เชิงบวกกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นครนายก ในภาพรวมอยู่ระดับปานกลางด้านคุณลักษณะของ ผู้สมัครอยู่ในระดับมากรองลงมาด้าน สื่อบุคคล ด้านพรรคการเมือง ด้านนโยบายและด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ๖๖ ณิชาภา เหมะธุลิน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรศึกษากรณี: ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬ” ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบ แบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง ๔๖-๕๕ ปีการศึกษาระดับ มัธยมศึกษา ประกอบ อาชีพเกษตรกร รายได้ต่อเดือนต่ํากว่า ๑๐,๐๐๐บาท ความคิดเห็นเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อการ ตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในเขตเลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬด้านพรรค การเมือง อยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่สังกัดพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มจะเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาล รองลงมาคือ สังกัดพรรคการเมืองที่ผู้เลือกตั้งชื่นชอบและหัวหน้าพรรคมีภาพลักษณ์ที่ดีสังกัดพรรค การเมืองที่มีนโยบายที่ดีสังกัดพรรคการเมืองที่มีชื่อเสียง และสังกัดพรรคการเมืองที่มีขนาดใหญ่ด้าน นโยบาย รองลงมาคือ ด้านคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ด้านสื่อในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และด้านสื่อบุคคลตามลําดับการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เพศ อายุระดับการศึกษา ไม่มี ความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเขตเลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬ ๖๕ ดาวเรือง นาคสวัสดิ์. “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”, สาร นิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง, (วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๙). ๖๖ พันธุ์ทิพา อัครธีรนัย, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด นครนายก : ศึกษาในช่วงเวลาพ.ศ.๒๕๕๙”, สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง (วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๙).
๕๒ ส่วนอาชีพ และรายได้มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเขต เลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕๖๗ อดิศักดิ์จันทร์วิทัน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรของประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ : ศึกษาในห้วงเวลาปีพ.ศ.๒๕๕๘” ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายมีอายุระหว่าง ๔๖-๕๕ ปีและจบ การศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายได้มากกว่า ๓๐,๐๐๑ บาทขึ้นไปและมีอาชีพค้าขาย มีพฤติกรรม การเปิดรับสื่อ ภาพรวมเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในแต่ละสื่อพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีระดับ พฤติกรรมการเปิดรับสื่อมาก ได้แก่สื่อวิทยุรองลงมาคือสื่อหนังสือพิมพ์สื่อโทรทัศน์และสื่อ ตามลําดับ ปัจจัยที่มีผลต่อการ ตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ :ศึกษาในห้วงเวลาปี พ.ศ.๒๕๕๙ ในภาพรวมอยู่ในค่าเฉลี่ยระดับมาก เมื่อพิจารณา เป็นรายด้าน พบว่า ด้านปัจจัยด้าน นโยบายของผู้สมัครอยู่ในระดับมากที่สุดคือ ปราบปรามยาเสพ ติดและปราบปรามอาชญากรรมและ รองลงมาด้านคุณลักษณะของผู้สมัครรับเลือกตั้งด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้านพรรคที่สังกัด และด้านอิทธิพลของสื่อบุคคลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ประชาชนชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่มี เพศ อายุระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ส่วนด้านอาชีพที่แตกต่างกัน และ พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของชาวจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ ประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ๖๘ กณิศ พรมนิกร ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในการ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด”ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบ แบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง ๔๑-๕๐ปีจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ประกอบอาชีพเกษตรกร และส่วนใหญ่มีรายได้ต่ํากว่า ๑๐,๐๐๐ บาท ระดับการเปิดรับสื่อของกลุ่ม ตัวอย่างภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาในแต่ละสื่อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับ การเปิดรับสื่ออยู่ในระดับมาก ได้แก่สื่อโทรทัศน์กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการเปิดรับสื่ออยู่ในระดับ ปาน กลาง คือ สื่อบุคคล รองลงมา สื่อวิทยุและสื่อหนังสือพิมพ์ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการ เปิดรับสื่อ อยู่ระดับน้อย ได้แก่สื่อนิตยสาร รองลงมาคือ สื่ออินเทอร์เน็ต และสื่อ SMS ตามลําดับ ระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง รองลงมา คือ ด้านพรรค การเมืองที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสังกัด ด้านรูปแบบการหาเสียงเลือกตังมีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอยู่ในระดับมาก ได้แก่ เปิดเวทีปราศรัยตามจุดสําคัญ ๆ ในชุมชน และติดตั้ง ๖๗ ณิชาภา เหมะธุลิน, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรศึกษา กรณี: ผู้มี สิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬ”, สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๖). ๖๘ อดิศักดิ์จันทร์วิทัน, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ ประชาชน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์”, สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง, (วิทยาลัยสื่อสาร การเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๙).
๕๓ ป้ายขนาดใหญ่ตามเส้นทางในชุมชน เปิดเวทีปราศรัยย่อยตามจุดต่าง ๆ ติดตั้งป้าย ขนาดใหญ่ตาม จุดสําคัญ ๆ ในชุมชน เข้าถึงพูดคุยทําความสนิทสนมกับทุกคนอย่างสม่ําเสมอทั้ง ก่อนเลือกตั้งและ ขณะกําลังจะเลือกตั้ง พิมพ์รูปแบบและเบอร์ขนาดเล็กแจกให้ทุกคนพิมพ์โปสเตอร์ขนาดใหญ่ไป ติดตามสถานที่สําคัญ ๆ อาศัยอํานาจบารมีของผู้มีบารมีออกเดินในชุมชน เป็นกลุ่มพร้อมผู้สมัคร ทีมงาน และหัวคะแนน และอาศัยหัวคะแนนพร้อมของแจกในรูปสิ่งของเป็นหลักการทดสอบ สมมติฐาน พบว่า ๑ ) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีเพศ และอาชีพ ต่างกันให้ความสําคัญกับ ปัจจัยที่มีผลต่อ การตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวม และราย ด้านแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .๐.๐๕ ส่วนด้านรูป แบบการหาเสียงเลือกตั้ง ไม่แตกต่างกัน ๒ ) ผู้ มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุระดับการศึกษา และรายได้ต่างกันให้ความสําคัญกับ ปัจจัยที่มีผลต่อการ ตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดร้อยเอ็ดแตกต่างกัน๖๙ ทัศนีย์ ปิยะเจริญเดช ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง“ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี :” ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศ ชาย มีอายุระหว่าง ๒๖ – ๓๕ ปีจบการศึกษาระดับปริญญาตรีประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง ๑๐,๐๐๑ – ๑๕,๐๐๐ บาท ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรีในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ในทุกด้าน ได้แก่ด้านพรรค การเมือง ด้านอิทธิพลของสื่อบุคคล ด้านคุณลักษณะของ ผู้สมัคร ด้านการรณรงค์หาเสียง และด้าน นโยบายของผู้สมัคร จากการทดสอบสมมติฐานที่๑ พบว่า เพศ อายุระดับการศึกษา อาชีพ และ รายได้ต่อเดือนของประชาชนชาวจังหวัดเพชรบุรีมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรีหมายถึง ประชาชน ชาวจังหวัดเพชรบุรีที่มีเพศ อายุระดับ การศึกษาอาชีพ และรายได้ต่อเดือนต่างกันมีการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด เพชรบุรีแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ สมมติฐานที่๒ พบว่า พฤติกรรมการ เปิดรับสื่อด้านสื่อวิทยุหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรีศึกษา ในห้วงเวลาปีพ.ศ. ๒๕๕๙ ส่วนสื่อโทรทัศน์ไม่มี ความสัมพันธ์ ๗๐ นุชปภาดา ธนวโรดม ศึกษาเรื่องพฤติกรรมการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต เทศบาลนครนครสวรรค์ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อพฤติกรรมการเลือกตั้ง ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลนครสวรรค์จังหวัดนครสวรรค์โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ๓.๗๘ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านสรุปได้ดังนี้๑) ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง อยู่ในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ย ๖๙ กณิศ พรมนิกร, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการลงคะแนนเสียง เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด”, สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง, (วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๕). ๗๐ ทัศนีย์ปิยะเจริญเดช, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด เพชรบุรี : ศึกษาในห้วงเวลา ปีพ.ศ. ๒๕๕๙”, สารนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สื่อสารการเมือง, Zวิทยาลัย สื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๙).
๕๔ ๓.๗๗ ๒) ด้านการลงคะแนนเลือกตั้ง อยู่ในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ย ๔.๐๙ และ ๓) ด้านระยะเวลาการ ตัดสินใจเลือกตั้งอยู่ในระดับ ปานกลาง มีค่าเฉลี่ย ๓.๔๖ ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย เพศและ รายได้ไม่พบความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นการปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ส่วนอายุสถานภาพ การศึกษา และอาชีพ พบความแตกต่างกันเป็นการยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว๗๑ กฤตยชญ์สมมุ่ง, ธํารงศักดิ์เพชรเลิศอนนต์ศึกษาเรื่องพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง เลือกตั้ง วันที่๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ กรณีศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตที่๒ และเขตที่๕ ศึกษา ได้รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างทฎใชี่้ในการศึกษาจํานวน ๓๙๙ ตัวอย่าง พบว่า ประชาชนเขตที่๒ และเขตที่๕ จังหวัดนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทฎสีุ่ด โดยลงคะแนนเสียงจากปัจจัยด้านพรรค การเมือง มากที่สุด รองลงมาได้แก่ด้านตัวบุคคลและด้านปัจจัยการหาเสียง ผลการเปรียบเทียบ ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนที่มีอาชีพ และเขตเลือกตั้งที่ต่างกัน พฤติกรรมการเลือกตั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถติ .๐๕ ยกเว้น เพศอายุการศึกษาและรายได้ ต่างกัน มีพฤติกรรมการเลือกตั้งไม่แตกต่างกัน๗๒ พระมหาวันเพ็ญ สารโท (ทุมซะ) ภาสกร ดอกจันทร์พระนิทัศน์ธีรปญฺโญ ศึกษาเรื่อง การนําหลักอิทธิบาท ๔ ไปใช้ในการปกครองบริหารงานของกํานันผู้ใหญ่บ้าน อําเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลําภูผลการวิจัยพบว่า ๑) การนําหลักอิทธิบาท ๔ ไปใช้ในการปกครองบริหารงานของกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อําเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลําภูโดยรวมทุกด้านปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ๒) การ ทดสอบสมมติฐานด้านเพศ ด้านอายุไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐาน ส่วนด้านระดับการศึกษา, อาชีพ, รายได้, แตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐาน ๓) แนวทางการพัฒนา คือ การนําหลักอิทธิบาท ๔ ไปใช้ในการปกครองบริหารงานของกํานันผู้ใหญ่บ้าน อําเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลําภูและ หน่วยงานอื่น ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด๗๓ พระชินกร สุจิตฺโต (ทองดี) สุกิจชัย มุสิก ชวลิต ไหลรินทร์ศึกษาเรื่อง การประยุกต์ใช้ หลักอิทธิบาท ๔ ใน การปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อําเภอวังน้อย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ผลการวิจยพบวั ่า ๗๑ นุชปภาดา ธนวโรดม, “พฤติกรรมการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), บทคัดย่อ. ๗๒ กฤตยชญ์สมมุ่ง, ธํารงศักดิ์เพชรเลิศอนนต์, “พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง วันที่๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ กรณีศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตที่๒ และเขตที่๕”, การประชุมนําเสนอผลงานวิจัยระดับ บัณฑิตศึกษา, ครั้งที่๑๕, (๒๕๖๒): ๒๑๔๕. ๗๓ พระมหาวันเพ็ญ สารโท (ทุมซะ) ภาสกร ดอกจันทร์พระนิทัศน์ธีรปญฺโญ, “การนําหลักอิทธิบาท ๔ ไปใช้ในการปกครองบริหารงานของกํานันผู้ใหญ่บ้าน อําเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลําภู”, วารสารรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, ปีที่๒ ฉบับที่๑ (มกราคม-กมภาพุันธ์๒๕๖๕): ๓๘-๔๖.
๕๕ ๑) บุคลากรมีความคิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ในการปฏิบัติงานของ บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมทั้ง ๔ ด้านอยู่ ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลําดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านวิริยะ มี ค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านฉันทะ ส่วนด้านวิมังสา มีค่าเฉลี่ยต่ําสุด ตามลําดับเมื่อจําแนกตาม เพศ อายุระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือน พบว่า โดยรวม อยู่ในระดับมาก ๒) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ในการ ปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของ บุคลากร ที่มีเพศ อายุระดับการศึกษา สถานภาพ และรายได้ต่อเดือนต่างกัน พบว่า ไม่แตกต่างกัน ๓) ศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น อําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ด้านจิตตะ มีความถี่มากที่สุด คือ ควรมีความเข้าใจถึงความต้องการใส่ใจและให้ความสําคัญกับงานทุกชิ้นที่เข้ามาหาเอาใจใส่ในการ ทํางานทั้งตนเองและในทีมงานรู้คิดและวิเคราะห์ถึงงานที่ทําทุกอย่างว่าให้ผล๗๔ ตารางที่๒.๗ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด อรัญญา เริงสําราญ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี อยู่ในระดับมาก เมื่อ ๒๒ พิจารณาเป็นรายด้าน ดังนี้ด้านโยบายพรรค คือ เปนนโยบายด ็ ีชัดเจน เป็นนโยบายที่แก้ปัญหาได้ตรงประเด็น ด้านตัว ผู้สมัคร อยู่ในระดับมากที่สุด ใหญ่ ดาวเรือง นาคสวัสดิ์ผลการวิจัยพบว่า เปิดรับสื่ออินเตอร์เน็ตสื่อวิทยุ และสื่อหนังสือพิมพ์อยู่ในระดับมากชาวสุโขทัยมี ความคิดเห็น เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตดสั ินใจ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยภาพรวมอยู่ ในระดับมาก พันธุ์ทิพา อัครธีรนัย ผลการวิจัยพบว่า พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ในสื่อโทรทศนั ์ลําดับถัดมาสอวื่ิทยุสื่อ หนังสือพิมพ์และอินเตอร์เน็ต ปัจจัยที่มีผลต่อการ ตัดสินใจในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครนายก ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ๗๔ พระชินกร สุจิตฺโต (ทองดี), สุกิจชัย มุสิก, ชวลิต ไหลรินทร์, “การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ใน การปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา”, วารสารนิสิตวัง, ปีที่๒๒ ฉบับที่๒ (กรกฎาคม–ธันวาคม ๒๕๖๓): ๑-๑๓.
๕๖ นักวิชาการหรอแหลื ่งข้อมูล สรุปแนวคิด ณิชาภา เหมะธุลิน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนใน เขตเลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬด้านพรรค การเมือง อยู่ในระดับมากที่สุด อดิศักดิ์จันทรว์ ิทัน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศชายมีอายุระหว่าง ๔๖-๕๕ ปีและจบ การศึกษาระดับปริญญาตรีมีรายได้มากกว่า ๓๐,๐๐๑ บาทขึ้นไปและมีอาชีพค้าขาย มี พฤติกรรม การเปิดรับสื่อ ภาพรวมเฉลี่ยอยในู่ ระดับมาก กณิศ พรมนิกร ผลการวิจยพบวั ่า ปัจจัยที่มผลตี ่อการตัดสินใจ เลือกตั้งสมาชิกสภาผแทนราษฎรในจ ู้ ังหวัดร้อยเอ็ด แตกต่างกันตัวอย่างภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ทัศนีย์ปิยะเจริญเดช ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก งานวิจัยทเกี่ี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง นุชปภาดา ธนวโรดม ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของประชาชนที่มี ต่อพฤติกรรมการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตงใน ั้ เขตเทศบาลนครสวรรค์จังหวัดนครสวรรค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก กฤตยชญ์สมมงุ่ , ธํารงศักดิ์เพชรเลิศอนนต์ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนเขตที่๒ และเขตที่๕ จังหวัดนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่มีความคิดเห็น เกี่ยวกับปัจจัยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมากทฎสีุ่ด งานวิจัยทเกี่ี่ยวกับหลักธรรม พระมหาวันเพ็ญ สารโท (ทุมซะ) ภาสกร ดอก จันทร์พระนิทศนั ์ธีรปญฺโญ ผลการวิจัยพบว่า การนําหลักอิทธิบาท ๔ ไปใช้ ในการปกครองบริหารงานของกํานันผู้ใหญบ่ ้าน อําเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลําภูโดยรวมทุก ด้านปฏิบัติอยู่ในระดับมาก พระชินกร สุจติฺโต (ทองดี) สกุิจชัย มุสิก ชวลิต ไหลรินทร์ ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรมความคี ิดเห็นต่อการ ประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ในการปฏิบัติงานของ บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมทั้ง ๔ ด้านอยู่ ในระดับมาก
๕๗ ๒.๖ กรอบแนวคิดในการวิจัย งานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่ส่งผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย” ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร แนวคิดทฤษฎีและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องของ ดาวเรือง นาคสวสัดิ์ ๗๕ นํามากําหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยในครั้งนี้ ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม (Independent Variables) (Dependent Variables) แผนภาพที่๒.๑ กรอบแนวคิดในการวิจัย ๗๕ ดาวเรือง นาคสวัสดิ์, “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”, สาร นิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสื่อสารการเมือง, (วิทยาลัยสื่อสารการเมือง: มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๕๙). การไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนใน อําเภอเชียงคาย จังหวัดเลย ปัจจัยที่ส่งผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชน ใน อําเภอเชียงคายจังหวัดเลย - ด้านสื่อบุคคล - ด้านการรณรงค์หาเสียง - ด้านนโยบายเลือกตั้ง - ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔
บทที่๓ วิธีดําเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย” เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) โดยผู้วิจัยได้กําหนดวิธีการดําเนินการวิจัยตามลําดับดังนี้ ๓.๑ รูปแบบการวิจัย ๓.๒ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง และผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๕ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๑ รูปแบบการวิจัย การวิจัยเรื่อง “ปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย” เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) โดยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้การวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) จากแบบสอบถาม (Questionnaire) ประกอบการ สัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Informant) จํานวน ๑๐ คน ๓.๒ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง และผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ๓.๒.๑ ประชากร ประชากร (Population) ได้แก่ ประชากรที่มีรายชื่อตามทะเบียนที่ถูกจัดเป็นรายอําเภอ ของอําเภอเชียงคาน มีประชากรทั้งหมด ๖๑,๑๘๒ คน แยกประชาชนที่มีอายุ๑๘ ปีขึ้นไปมีจํานวน ประชากรทั้งหมด ๔๖,๑๗๘ คน๑ ๑ สํานักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานสถิติจังหวัดเลย พ.ศ. ๒๕๖๕, (ม.ป.ท., ม.ป.ป.), หน้า ๘.
๕๙ ๓.๒.๒ กลุ่มตัวอย่าง ขั้นที่๑ ได้แก่ ประชากรที่มีอายุ๑๘ ปีขึ้นไปที่มีสิทธิ์เลือกตั้งของ อําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผู้วิจัยได้กําหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการใช้สูตรของทาโร่ยามาเน่ (Taro Yamane)๒ ที่ ระดับความ คาดเคลื่อน ๐.๐๕ จากจํานวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด ๔๖,๑๗๘ คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จํานวน ๓๙๗ คน โดยผู้วิจัยได้ทําการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ݊ 1 + ݊݁ଶ โดย N = จํานวนประชากรทั้งหมด e = ความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ n = จํานวนกลุ่มตัวอย่าง ประชากรทั้งหมด ๔๖,๑๗๘ คน เมื่อแทนค่าในสูตรจะได้ดังนี้ ݊ = ସ,ଵ଼ ଵାସ,ଵ଼ (.ହ)మ ݊ = 46,178 ଵା46,178 (.ଶହ) ݊ = 46,178 ଵଵ.ସସହ ݊ = 397.564 เพราะฉะนั้นจํานวนกลุ่มตัวอย่าง เท่ากับ ๓๙๗ คน ๒) กลุ่มตัวอย่าง ขั้นที่๑ การคํานวณขนาดตัวอย่างที่เหมาะสมสําหรับใช้ในการวิจัย โดยใช้เทคนิควิธีการ สุ่มตัวอย่าง จากสูตรของ ทาโร่ยามาเน่ (Taro Yamane)๓ ที่ระดับความคลาดเคลื่อน ๐.๐๕ ได้กลุ่ม ตัวอย่างขอประชากรที่มีอายุ๑๘ ปีขึ้นไปที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ๓๙๗ คน โดยใช้สูตรจากตารางสําเร็จรูป และสามารถดําเนินการดังต่อไปนี้ ๒ สุรพล พรมกุล, ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่๑, (กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๔), หน้า ๗๘-๗๙. ๓ อ้างแล้ว.
๖๐ แบ่งอําเภอวังสะพุงออกเป็น ๘ ตําบล๔ แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม คือ กลุ่มที่๑ ตําบลเชียงคาน ตําบลธาตุ กลุ่มที่๒ ตําบลนาซ่าว ตําบลเขาแก้ว กลุ่มที่๓ ตําบลปากตม ตําบลบุฮม กลุ่มที่๔ ตําบลจอมศรี ตําบลหาดทรายขาว ขั้นที่๒ สุ่มมากลุ่มละ ๑ ตําบลโดยใช้การสุ่มแบง่าย (Stratified random sampling) ได้ ๔ ตําบลคือ ตําบลเชียงคาน ตําบลนาซ่าว ตําบลปากตม ตําบลจอมศรี ขั้นที่๓ เมื่อสุ่มได้๔ ตําบลในอําเชียงคาน ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของของอําเภอโดยใช้การ สุ่มแบบง่ายแล้ว สุ่มกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตําบลละ ๑๐๐ คน ได้ดังนั้นจึงได้กลุ่มตัวอย่าง ของอําเภอเชียงคานจํานวนเท่ากับ ๓๙๗ ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่๓.๑ จํานวนประชาการและกลุ่มตัวอย่างในอําเภอเชียงคาน ลําดับ ตําบลในอาเภอเชํ ียงคาน จํานวนประชากร ๑ ตําบลเชียงคาน ๑๐๐ ๒ ตําบลนาซ่าว ๑๐๐ ๓ ตําบลปากตม ๑๐๐ ๔ ตําบลจอมศรี๙๗ รวมจํานวนทงหมดั้๔ ตําบล ๓๙๗ ๓.๒.๓ ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ผู้วิจัยทําการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ให้ข้อมูลสําคัญจํานวน ๑๐ คน ประกอบด้วย ดังนี้ ๑ นายอภินันต์ สุวรรณโค นายอําเภอเชียงคาน ๒ นายกมล คงปนิ่ นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลเชียงคาน ๓ นายสิทธิชัย บังใบ นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลธาตุ ๔ นายส่งเสริม จนดาศรั ี หัวหน้าสํานักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย ๕ นายถนัดชัย ธนะสูตร หัวหน้าสํานักปลัดอําเภอเชียงคาน ๖ นายเดชา กัตติยะ หัวหน้าปลัดเทศบาลตําบลธาตุ ๗ นายวิรัตน์โภชะ ปลัดเทศบาลตําบลเชียงคาน ๘ นายสุเมท ทมสงครามุ กํานันตําบลธาตุ ๙ นางอรอุมา วงษ์ลา ผู้ใหญ่บ้านธาตุหมู่๑๕ ๑๐ นายวุฒิศักดิ์กรมทอง ข้าราชการครู ๔ ศูนย์ข้อมูลประเทศไทย, อําเภอเชียงคาน, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://loei.kapook.com [๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔].
๖๑ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๓.๑ แบบสอบถาม ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) เป็นเครื่องมือในการเก็บ ข้อมูลซึ่งผู้วิจัยได้สร้างขึ้นจากการตรวจสอบเอกสาร ทฤษฎีผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนได้ สัมภาษณ์นักวิชาการ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าที่ ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นตามทฤษฎีการสร้างเครื่องของ Linkert ชนิด ๕ ตัวเลือก โดยแบ่งแบบสอบถาม ออกเป็น ๒ ตอน คือ ตอนที่๑ : สถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบสอบถามตรวจสอบ รายการ (Check-List) เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว ได้แก่เพศ อายุระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ในเขต เลือกตั้งอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ตอนที่๒ : ข้อมูลแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จํานวน ๔๑ ข้อ และมีเกณฑ์ ให้คะแนน ดังนี้ ๕ หมายถึง มากที่สุด ๔ หมายถึง มาก ๓ หมายถึง ปานกลาง ๒ หมายถึง น้อย ๑ หมายถึง น้อยที่สุด และได้ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ซึ่งได้จําแนกออกเป็นปัจจัยด้านอยู่๔ ด้าน ๑) ด้านสื่อบุคคล ๗ ข้อ ๒) ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ๗ ข้อ ๓) ด้านนโยบายเลือกตั้ง ๗ ข้อ ๔) ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ๒๐ข้อ ตอนที่๓ : สอบถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองตามหลักอิทธิบาท ๔ ของประชาชนอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยได้กําหนดให้ผู้ที่ตอบแบบสอบถาม ทําเครื่องหมาย (√) ลงในช่องปริมาณการปฏิบัติตนที่ผู้ตอบเห็นว่าตรงกับตนเองเพียงระดับเดียวจาก ๕ ระดับ (Rating Scale)๕ ทั้ง ๔ ด้าน จํานวน ๒๐ ข้อ คือ ๕ ปัญญา คล้ายเดช, ระเบียบวิจัยทางรัฐศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่๒, (ขอนแก่น: หจก.ขอนแก่นการพิมพ์, ๒๕๖๐), หน้า ๒๑๗.
๖๒ ๑. ด้านฉันทะ (ความพอใจ) ๕ ข้อ ๒. ด้านวิริยะ (ความเพียร) ๕ ข้อ ๓. ด้านจิตตะ (ความเอาใจใส่) ๕ ข้อ ๔. ด้านวิมังสา (ความรอบคอบ) ๕ ข้อ โดยคําถามในตอนที่๒ และที่๓ มีลักษณะแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Likert Scale) ระดับ ดังนี้ ๕ หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด ๔ หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก ๓ หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ ปานกลาง ๒ หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ น้อย ๑ หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ น้อยที่สุด โดยเกณฑ์การแปลผลค่าเฉลี่ย โดยกําหนดเกณฑ์ในการวิเคราะห์ตามแนวคิดของเบสท์ (Best) ดังนี้ ค่าเฉลี่ย ๔.๕๐ – ๕.๐๐ แปลว่า มากที่สุด ค่าเฉลี่ย ๓.๕๐ – ๔.๔๙ แปลว่า มาก ค่าเฉลี่ย ๒.๕๐ – ๓.๔๙ แปลว่า ปานกลาง ค่าเฉลี่ย ๑.๕๐ – ๒.๔๙ แปลว่า น้อย ค่าเฉลี่ย ๑.๐๐ – ๑.๔๙ แปลว่า น้อยที่สุด ๓.๓.๒ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ในการหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ ๑. ขอคําแนะนําจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบเครื่องมือที่ สร้างไว้ ๒. หาความเที่ยงตรง (Validity) โดยการนําแบบสอบถามที่สร้างเสร็จ เสนอประธานและ กรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เพื่อขอความเห็นชอบและนําเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ แล้วนํามาปรับปรุง ให้เหมาะสม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๕ ท่านประกอบด้วย ๑. พระมหาสุภวิชญ์ปภสฺสโร,รศ. ๒. พระมหาประพันธ์ สิริปญฺโญ, ผศ.ดร. ๓. นายศตวรรษ สงกาผัน ๔. ดร.จํานง วงศ์คง ๕. นายพิทยพล กองพงษ์
๖๓ เพื่อพิจารณาทั้งในด้านเนื้อหาสาระ และโครงสร้างของคําถาม รูปแบบของแบบสอบถาม ตลอดจนภาษาที่ใช้และตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC)๖ ได้ค่าดัชนี ความสอดคล้อง ตั้งแต่๐.๘-๑.๐๐ ๓. หาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (Reliability) นําแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้แต่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจํานวน ๓๐ คน แล้วนํามาหาค่าความ เชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ตาม วิธีการของครอนบาค (Cronbach) ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ ๐.๙๕๐ แสดงให้เห็นว่าแบบสอบถามมี ความเชื่อมั่นอยู่ในระดับสูงสามารถนําไปแจกกับกลุ่มตัวอย่างได้จริง ๔. นําแบบสอบถามที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เพื่อขอ ความเห็นชอบ และจัดพิมพ์แบบสอบถามเป็นฉบับสมบูรณ์ในการนําไปใช้แจกกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ต่อไป ๓.๓.๓ แบบสัมภาษณ์ (Interview) ผู้วิจัยได้ดําเนินการสร้างแบบสัมภาษณ์ดังนี้ (๑) ศึกษาวิธีการสร้างแบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ตําราและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการกําหนดกรอบความคิดในการสัมภาษณ์ (๒) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารการวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาถึง รายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่กําหนดไว้ (๓) ขอคําแนะนําจากอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสัมภาษณ์ (๔) สร้างแบบสัมภาษณ์ให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Informants) เพื่อนํามาวิเคราะห์ ๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๔.๑ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยนําแบบสอบถามไปถึงมือผู้ตอบเอง โดยมีขั้นตอน ดําเนินการ ดังนี้ ขั้นตอนที่๑ ผู้วิจัยทําหนังสือจากมหาวิทยาลัยติดต่อโดยตรง กับกลุ่มประชาชนซึ่งเป็น ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ขั้นตอนที่๒ กําหนดนัดหมายวันเวลาทําการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มประชากร เป้าหมาย ๖ ชูศรีวงศ์รัตนะ, เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย, พิมพ์ครั้งที่๗, (กรุงเทพมหานคร: เทพเนรมิตร, ๒๕๔๑), หน้า ๗๕.
๖๔ ขั้นตอนที่๓ ผู้วิจัยนําแบบสอบถามซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้วนําไปส่งให้กับประชากร ตามที่ ได้นัดหมายไว้แล้ว โดยอธิบายแบบสอบถามให้กลุ่มประชากรทราบพร้อมกับตอบข้อซักถาม พร้อมกับ รอรับแบบสอบถามคืน ขั้นตอนที่๔ ทําการรวบรวมตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของการตอบ แบบสอบถามที่ได้กลับมาให้ได้ตามจํานวนตัวอย่างที่ต้องการเพื่อนําไปวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๔.๒ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลมีขั้นตอน ดังนี้ ๑. ขอหนังสือจากศูนย์บัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต ขอนแก่น ถึงผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Informants) เพื่อสัมภาษณ์ตามที่กําหนดไว้ ๒. ทําการนัดวัน เวลา และสถานที่กับผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Informants) เพื่อสัมภาษณ์ ตามที่กําหนดไว้ ๓. ดําเนินการสัมภาษณ์ตามวัน เวลาและสถานที่ที่กําหนดไว้จนครบทุกประเด็นโดยขอ อนุญาตใช้วิธีการจดบันทึกและการบันทึกเสียงประกอบการสัมภาษณ์ ๔. นําข้อมูลที่ได้มารวบรวมเพื่อวิเคราะห์โดยวิธีการที่เหมาะสมและนําเสนอต่อไป ๓.๕ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๕.๑ การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปเพื่อการวิจัยทาง สังคมศาสตร์โดยสถิติดังนี้ สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) สําหรับอธิบายลักษณะสําคัญทั่วไปของกลุ่ม ตัวอย่างและพรรณนา ปัจจัยส่วนบุคคล สถิติที่ใช้คือ ค่าความถี่ (Freqency), ค่าร้อยละ (Percentage), และอธิบายถึงปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองตาม หลักอิทธิบาท ๔ ของประชาชน อําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย คือ ค่าเฉลี่ย (Mean) และ ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) ใช้สําหลับทดสอบสมมติฐานเพื่อหาค่า ความสัมพันธ์ของปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลและตามหลักอิทธิบาท ๔ สถิติที่ใช้คือ ใช้สําหรับการทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) เพื่อเป็นการหาคําตอบให้กับ วัตถุประสงค์และสมมติฐานในการวิจัย ผู้วิจัยวิเคราะห์โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์ สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) โดยการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยตั้งค่า นัยสําคัญไว้ที่ระดับ ๐.๐๕ และมีการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามปลายเปิด (Open ended Question)วิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis Technique) ประกอบ
๖๕ บริบทหน้าเสนอเป็นความเรียงประกอบตาราง โดยการแจกแจงความถี่ของผู้ตอบคําถามปลายเปิด โดยมีเกณฑ์การหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม ดังนี้ ค่า r = .๐๑ - .๒๕ มีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย = .๒๖ - .๕๕ มีความสัมพันธ์กันระดับปานกลาง = .๕๖ - .๗๕ มีความสัมพันธ์กันสูง = .๗๖ - .๙๙ มีความสัมพันธ์กันสูงมาก = ๑ มีความสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ ๗ ๓.๕.๒ การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์โดยวิธีการดังนี้ ๑. นําข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาถอดเสียงและบันทึกเป็นข้อความ ๒. นําข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์และการจดบันทึกมาจําแนกเป็นประเด็นและเรียบเรียง เฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์การวิจัย ๓. วิเคราะห์คําให้สัมภาษณ์ของผู้ให้ข้อมูลสําคัญตามวัตถุประสงค์การวิจัย โดยใช้เทคนิค การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis Technique) ประกอบบริบท (Context) ๔. สังเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัยและนําเสนอต่อไป ๗ นางสาวนิสรา ใจซื่อ, “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความสําเร็จในการเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง”. รายงานการวิจัย, (ศูนย์วิจัยมหาลัยธุรกิจบัณฑิต: มหาลัยธุรกิจบัณฑิต, ๒๕๕๗), หน้า ๑๐๔.
บทที่๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย”ผู้วิจัยนําแบบสอบถามที่รวบรวมได้จาก กลุ่มตัวอย่างจํานวน ๓๙๘ คน มาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปการวิเคราะห์ข้อมูลทาง สังคมศาสตร์ผลการวิเคราะห์ข้อมูลนําเสนอดังต่อไปนี้ ๔.๑ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หาเสียง ด้าน นโยบายการเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๔.๔ ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๔.๕ สรุปองค์ความรู้จากการวิจัย ๔.๑ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้กําหนดสัญลักษณ์และตัวอักษรที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตรงกันในการแปลความหมายของข้อมูล ดังนี้ xത แทน ค่าเฉลี่ย (Mean) N แทน จํานวนประชากร n แทน จํานวนคนในกลุ่มตัวอย่าง S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) * แทน มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ Rank แทน ค่าแสดงอันดับที่
๖๗ ตารางที่๔.๑ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = ๓๙๗) เพศ จํานวน ร้อยละ ชาย ๒๒๓ ๕๖.๒ หญิง ๑๗๔ ๔๓.๘ รวม ๓๙๗ ๑๐๐.๐ จากตารางที่๔.๑ พบว่า เพศ ผู้ตอบแบบสอบถาม ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จําแนกตามเพศ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จํานวน ๒๒๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๖.๒ และเพศหญิง จํานวน ๑๗๔ คน คิด เป็นร้อยละ ๔๓.๘ ตารางที่๔.๒ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = ๓๙๗) ระดับอายุจํานวน ร้อยละ ๑๘ - ๒๕ ปี๑๐๐ ๒๕.๒ ๒๖ - ๓๕ ปี๗๗ ๑๙.๔ ๓๖ - ๔๕ ปี๑๐๐ ๒๕.๒ ๔๖ ปีขึ้นไป ๑๒๐ ๓๐.๒ รวม ๓๙๗ ๑๐๐.๐ จากตารางที่๔.๒ พบว่า อายุผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุอยู่ที่๔๖ ปีขึ้นไปปีมี จํานวน ๑๒๐ คนคิดเป็นร้อยละ ๓๐.๒ รองลงมาคือ มีอายุอยู่ระหว่าง ๑๘ - ๒๕ ปีมีจํานวน ๑๐๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๒ อายุอยู่ระหว่าง ๓๖ - ๔๕ ปีมีจํานวน ๑๐๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๒ และ น้อยที่สุด คือ ผู้มีอายุระหว่าง ๒๖ - ๓๕ ปีปีมีจํานวน ๗๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๔ ตามลําดับ ตารางที่๔.๓ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = ๓๙๗) ระดับการศึกษา จํานวน ร้อยละ ประถมศึกษา ๘๑ ๒๐.๔ มัธยมศึกษา ๙๙ ๒๔.๙ ปวช./ปวส. ๖๔ ๑๖.๑ ปริญญาตรี๘๗ ๒๑.๙ สูงกว่าปริญญาตรี๖๖ ๑๖.๖ รวม ๓๙๗ ๑๐๐.๐
๖๘ จากตารางที่๔.๓ พบว่า ระดับการศึกษา ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับ มัธยมศึกษามีจํานวน ๙๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๔ รองลงมาคือ มีการศึกษาระดับผู้มีการศึกษาระดับ ปริญญาตรีมีจํานวน ๘๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙ ผู้มีการศึกษาระดับ ประถมศึกษามีจํานวน ๘๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๔ ผู้มีการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีมีจํานวน ๖๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๖.๖ และน้อยที่สุดคือมีการศึกษาระดับปริญญาตรีมีจํานวน ๘๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙ ตามลําดับ ตารางที่๔.๔ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = ๓๙๗) ระดับอาชีพ จํานวน ร้อยละ เกษตรกร ๑๒๐ ๓๐.๒ รับราชการ ๕๑ ๑๒.๘ ธุรกิจส่วนตัว ๘๘ ๒๒.๒ ค้าขาย ๓๗ ๙.๓ รับจ้าง ๓๖ ๙.๑ นักเรียน/นักศึกษา ๔๓ ๑๐.๘ อื่น ๆ ๒๒ ๕.๕ รวม ๓๙๗ ๑๐๐.๐ ตารางที่๔.๔ พบว่า อาชีพ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร มี จํานวน ๑๒๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๒ รองลงมาคือ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีจํานวน ๘๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๒ ประกอบอาชีพรับราชการ มีจํานวน ๕๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๘ ประกอบ อาชีพนักเรียน/นักศึกษา มีจํานวน ๔๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๘ ประกอบอาชีพค้าขาย มีจํานวน ๓๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๙.๓ ประกอบอาชีพรับจ้าง มีจํานวน ๓๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๙.๑ และน้อยที่สุด คือ ประกอบอาชีพอื่น ๆ มีจํานวน ๒๒ คิดเป็นร้อยละ ๕.๕ ตามลําดับ ตารางที่๔.๕ จํานวนและค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม (n = ๓๙๗) ระดับรายได้ตอเด่ ือน จํานวน ร้อยละ ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ๑๐๒ ๒๕.๗ ๕,๐๐๑ - ๑๐,๐๐๐ บาท ๑๒๕ ๓๑.๕ ๑๐,๐๐๑ – ๑๕,๐๐๐ บาท ๑๐๕ ๒๖.๔ ๑๕,๐๐๑ บาทขึ้นไป ๖๕ ๑๖.๔ รวม ๓๙๗ ๑๐๐.๐
๖๙ ตารางที่๔.๕ พบว่า รายได้ต่อเดือนของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มี๕,๐๐๑ - ๑๐,๐๐๐ บาท มีจํานวน ๑๒๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๕ รองลงมาคือ มี๑๐,๐๐๑ – ๑๕,๐๐๐ บาท มีจํานวน ๑๐๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๔ และมีรายได้ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท มีจํานวน ๑๐๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๗ และน้อยที่สุดคือ มีรายได้๑๕,๐๐๑ บาทขึ้นไป มีจํานวน ๖๕ คน คิดเป็นร้อย ละ ๑๖.๔ ตามลําดับ ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวมและรายด้าน มี รายละเอียดดังแสดงในตารางที่๔.๖ - ๔.๑๓ ตารางที่๔.๖ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยภาพรวม (n = ๓๙๗) ข้อที่ เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใชส้ิทธิ เลือกตั้งสมาชกสภาองคิ ์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จํานวนระดับความคิดเหน็ อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ ด้านสื่อบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ ๓.๔๑ ๐.๘๑ ปานกลาง ๓ ๒ ด้านการรณรงค์หาเสียง ๓.๘๔ ๐.๖๘ มาก ๒ ๓ ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ๓.๔๑ ๐.๘๑ ปานกลาง ๔ ๔ ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ๓.๘๗ ๐.๔๗ มาก ๑ ภาพรวม ๓.๖๖ ๐.๕๔ มาก จากตารางที่๔.๖ พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่๑ ) ด้านการปฏิบัติ ตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ๒) ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ๓) ด้านสื่อบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจ ๔) ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ๔ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (xത=๓.๖๖) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับมาก เรียงลําดับค่าเฉลี่ย จากมากไปหาน้อยสามดําลับแรก พบว่า ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (xത= ๓.๘๗) รองลงมาคือ ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง (xത=๓.๘๑) และด้านสื่อบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการ ตัดสินใจ (xത=๓.๔๑) ตามลําดับ
๗๐ ตารางที่๔.๗ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสื่อบุคคล (n = ๓๙๗) ด้านที่ด้านสื่อบุคคล จํานวนระดับความคิดเห็น อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑. เป็นผู้ทฎความรี่มี ความสามารถปราฏในท ู้องถ้ ิ่น ๓.๒๒ ๐.๙๕ ปานกลาง ๖ ๒. เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นทรีู่้จกในเขตท ั ้องถิ่น ๓.๑๕ ๑.๐๗ ปานกลาง ๗ ๓. เป็นบุคคลที่สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้ง่าย ๓.๒๗ ๑.๐๐ ปานกลาง ๕ ๔. เป็นบุคคลที่ประชาชนพึ่งพาได้๓.๓๔ ๑.๑๕ ปานกลาง ๔ ๕ เป็นผู้ที่มีประสบการณทางการเม์ ือง ๓.๖๖ ๑.๒๐ มาก ๓ ๖ เป็นผู้ที่มีมีมนุษย์สัมพันธ์ดีเป็นกันเอง ๓.๕๐ ๐.๙๖ มาก ๒ ๗ เป็นผู้ที่ชอบศึกษาค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ ๓.๗๖ ๐.๗๖ มาก ๑ ภาพรวม ๓.๔๑ ๐.๘๑ ปานกลาง จากตารางที่๔.๗ พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (xത=๓.๔๑) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน อยู่ในระดับ ปานกลาง เรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยสามลําดับแรก พบว่า ข้อ ๗ เป็นผู้ที่ชอบศึกษา ค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (xത=๓.๗๖) รองลงมา คือ ข้อ ๖ เป็นผู้ที่มีมีมนุษย์สัมพันธ์ ดีเป็นกันเอง (xത=๓.๕๐) และข้อ ๔ เป็นบุคคลที่ประชาชนพึ่งพาได้ (xത=๓.๓๔) ตามลําดับ ตารางที่๔.๘ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง (n = ๓๙๗) ข้อที่ด้านการรณรงค์หาเสยงเลีอกตื ั้ง จํานวนระดับความคิดเห็น อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ เปิดเวทีปราศรยในช ัุมชน ๔.๐๙ ๐.๘๗ มาก ๑ ๒ แจกแผ่นพับ/ใบปลิว แนะนําผู้สมัคร ๓.๘๗ ๐.๙๑ มาก ๓ ๓ เดินหาเสียง เขาถ้ ึงประชาชน ๓.๕๙ ๐.๙๑ มาก ๗ ๔ ติดตั้งป้ายหาเสยงตามสถานการณี ์ต่างๆ ๓.๘๓ ๑.๑๑ มาก ๕ ๕ พบปะและร่วมกิจกรรมกับชุมชน ๓.๘๔ ๑.๐๒ มาก ๔ ๖ ใช้รถแห่ประชาสัมพันธ์หาเสียง ๓.๘๗ ๑.๒๑ มาก ๒ ๗ ใช้สื่อใหม่ (อินเตอร์เนต็ /ไลน์/เฟชบุ๊ค/ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ๓.๗๘ ๑.๑๕ มาก ๖ ภาพรวม ๓.๘๔ ๐.๖๘ มาก
๗๑ จากตารางที่๔.๘ พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวมอยู่ในระดับ มาก (xത=๓.๘๔) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน อยู่ในระดับ มาก เรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยสามลําดับแรก พบว่า ข้อ ๑ เปิดเวทีปราศรัยในชุมชน มี ค่าเฉลี่ยสูงสุด (xത=๔.๐๙) รองลงมา คือ ข้อ ๖ ใช้รถแห่ประชาสัมพันธ์หาเสียง (xത=๓.๘๗) และข้อ ๒ แจกแผ่นพับ/ใบปลวิ (xത=๓.๘๙) ตามลําดับ ตารางที่๔.๙ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านนโยบายการเลือกตั้ง (n = ๓๙๗) ข้อที่ด้านนโยบายการเลือกตั้ง จํานวนระดับความคิดเหน็อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๓.๖๙ ๑.๒๗ มาก ๑ ๒ การปัญญัติกฎหมายเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ๓.๔๘ ๑.๓๐ ปานกลาง ๓ ๓ ส่งเสริมปราบปรามการทุจรตอยิ ่างจริงจัง ๓.๑๒ ๑.๓๕ ปานกลาง ๗ ๔ ให้ส่งเสริมให้ประชาขนได้รับสวัสดิ์การรักษา อย่างทั่วถึง ๓.๔๒ ๑.๒๒ ปานกลาง ๔ ๕ ช่วยส่งเสริมอาชีพเผื่อก่อให้เกิดรายได้ภายใน ชุมชน ๓.๓๖ ๑.๑๖ ปานกลาง ๕ ๖ สนับสนุนส่งเสริมภูมิปัญญาทองถ้ ิ่น ๓.๖๐ ๑.๐๔ มาก ๒ ๗ ปรับปรุงแหล่งน้ํา เพื่ออุปโภคบริโภค ๓.๒๔ ๑.๓๓ ปานกลาง ๖ ภาพรวม ๓.๔๑ ๐.๘๑ ปานกลาง จากตารางที่๔.๙ พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (xത= ๓.๔๙) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งอยู่ในระดับมากและปาน กลาง โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย สามลําดับแรก พบว่า ข้อ ๑. การป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (xത=๓.๖๙) รองลงมา คือ ข้อ ๖. สนับสนุนส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น (xത=๓.๖๐) และที่อยู่ในระดับสุดท้ายมีข้อ ๓ ส่งเสริมปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง (xത=๓.๑๒) ตามลําดับ
๗๒ ตารางที่๔.๑๐ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลัก อิทธิบาท ๔ (n = ๓๙๗) ข้อที่การปฏิบัติตนตามหลักอิทธบาทิ๔ ระดับการมสี่วนร่วม อันดบั ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ ฉันทะ (ความพอใจ) ๓.๘๓ ๐.๖๙ มาก ๔ ๒ ด้านวิริยะ (ความเพียร) ๓.๘๕ ๐.๕๘ มาก ๓ ๓ ด้านจิตตะ (การเอาใจฝักใฝ่สงนิ่ั้น) ๓.๘๖ ๐.๕๒ มาก ๒ ๔ ด้านวิมังสา (ความไตร่ตรอง) ๓.๙๗ ๐.๕๐ มาก ๑ ภาพรวม ๓.๘๗ ๐.๔๗ มาก จากตารางที่๔.๑๐ พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔โดยรวมอยู่ในระดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ อยู่ใน ระดับมาก โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย สามลําดับแรก พบว่า ข้อ ๔. ด้านวิมังสา ความ ไตร่ตรอง (xത=๓.๙๗) รองลงมา คือ ข้อ ๓. ด้านจิตตะ การเอาใจฝักใฝ่สิ่งนั้น (xത=๓.๘๖) และที่อยู่ใน ระดับสุดท้ายคือ ข้อ ๑ . ฉันทะ (ความพอใจ) (xത=๓.๘๓) ตามลําดับ ตารางที่๔.๑๑ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิ บาท ๔ ด้านฉันทะ (ความพอใจ) (n = ๓๙๗) ข้อที่ฉันทะ (ความพอใจ) ระดับการมสี่วนร่วม อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ พอใจที่จะใช้สทธิ ิเลือกตั้งตามกฎหมาย ๓.๘๘ ๐.๘๙ มาก ๒ ๒ การเลือกตั้งสามารถประสานความสามัคคีได้๔.๐๐ ๐.๘๘ มาก ๑ ๓ พอใจในนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ๓.๘๗ ๐.๙๖ มาก ๓ ๔ พอใจในคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ๓.๘๓ ๐.๙๖ มาก ๔ ๕ ไปเลือกตั้งด้วยความเต็มใจโดยไม่ถูกบังคับขู่เข็ญ ๓.๕๔ ๑.๐๕ มาก ๕ ภาพรวม ๓.๘๓ ๐.๖๙ มาก
๗๓ จากตารางที่๔.๑๑ พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔โดยรวมอยู่ในระดับมาก (xത=๓.๘๓) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลยในระดับมาก โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมาก ไปหาน้อย สามลําดับแรก พบว่า ข้อ ๒. การเลือกตั้งสามารถประสานความสามัคคีได้ (xത=๔.๑๓) รองลงมา คือ ข้อ ๑. พอใจที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งตามกฎหมาย (xത=๓.๘๘) และที่อยู่ในระดับสุดท้ายคือ ข้อ ๕. ไปเลือกตั้งด้วยความเต็มใจโดยไม่ถูกบังคับขู่เข็ญ (xത=๓.๕๔) ตามลําดับ ตารางที่๔.๑๒ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิ บาท ๔ ด้านวิริยะ-ความเพียร (n = ๓๙๗) ข้อที่ด้านวิริยะ (ความเพียร) ระดับการมสี่วนร่วม อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยพิจารณาตามเหตุและผล ๓.๗๗ ๐.๙๘ มาก ๕ ๒ ความเพียรอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ๓.๙๕ ๐.๙๗ มาก ๑ ๓ มีความเพียรเกี่ยวกับการศึกษาเพิ่มเติมข้อมูลการเลือกตั้ง ๓.๘๐ ๐.๘๐ มาก ๔ ๔ มีความสนใจในการทํากิจกรรมทางการเมือง ๓.๘๐ ๐.๘๙ มาก ๓ ๕ มีความกล้าแสดงออกช่วยเหลือกิจกรรมการเลือกตั้ง ๓.๙๓ ๐.๙๕ มาก ๒ ภาพรวม ๓.๘๕ ๐.๕๘ มาก จากตารางที่๔.๑๒ พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔โดยรวมอยู่ในระดับมาก (xത=๓.๘๕) เมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมาก ไปหาน้อย สามลําดับแรก พบว่า ข้อ ๒.ความเพียรอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (xത=๓.๙๕) รองลงมา คือ ข้อ ๕. มีความกล้าแสดงออกช่วยเหลือกิจกรรมการเลือกตั้ง (xത=๓.๙๓) และที่อยู่ใน ระดับสุดท้ายคือ ข้อ ๑. ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยพิจารณาตามเหตุและผล (xത=๓.๗๗) ตามลําดับ
๗๔ ตารางที่๔.๑๓ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิ บาท ๔ ด้านจิตตะ การเอาใจฝักใฝ่สิ่งนั้น (n = ๓๙๗) ข้อที่ด้านจิตตะ (การเอาใจฝักใฝส่ ิ่งนนั้ ) ระดับการมสี่วนร่วม อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ มีการตรวจสอบข้อมูลของผู้สมัคร ๓.๘๗ ๐.๗๙ มาก ๓ ๒ มีการติดตามการหาเสียงของผู้สมัคร ๔.๐๑ ๐.๘๖ มาก ๒ ๓ มีการเฝ้าสังเกตการนําเสนอข้อมูลข่าวสาร ๓.๘๒ ๑.๐๖ มาก ๔ ๔ มีการให้คําแนะนําปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ๓.๕๑ ๑.๔๒ มาก ๕ ๕ มีการเผ้าระวังการซื้อสิทธิขายเสียง ๔.๐๗ ๐.๘๒ มาก ๑ ภาพรวม ๓.๘๖ ๐.๕๒ มาก จากตารางที่๔.๑๓ พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔โดยรวมอยู่ในระดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมาก ไปหาน้อย สามลําดับแรก พบว่า ข้อ มีการเผ้าระวังการซื้อสิทธิขายเสียง (xത=๔.๐๗) รองลงมา คือ ข้อ ๒. มีการติดตามการหาเสียงของผู้สมัคร (xത=๔.๐๑) และที่อยู่ในระดับสุดท้ายคือ ข้อ ๔. มีการให้ คําแนะนําปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (xത=๓.๕๑) ตามลําดับ ตารางที่๔.๑๔ แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการแปลผลระดับความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยทีมีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิ บาท ๔ ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง -ด้านวิมังสา (ความไตร่ตรอง) (n = ๓๙๗) ข้อที่ด้านวิมังสา (ความไตร่ตรอง) ระดับการมสี่วนร่วม อันดับ ܠത S.D. ระดับ ที่ ๑ คิดถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมจึงไปเลือกตั้ง ๓.๗๘ ๐.๙๕ มาก ๔ ๒ การเลือกตั้งสามารถพัฒนาชุมชนสังคมให้เจริญ ๓.๖๗ ๑.๐๘ มาก ๕ ๓ การเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบการพัฒนาการของประชาธิปไตย ๔.๓๔ ๐.๗๕ มาก ๑ ๔ การเลือกตั้งสามารถแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนได้๓.๙๙ ๑.๑๖ มาก ๓ ๕ การเลือกตั้งสามารถลดความตึงเครียดทางการเมืองได้๔.๐๗ ๑.๐๐ มาก ๒ ภาพรวม ๓.๙๗ ๐.๕๐ มาก
๗๕ จากตารางที่๔.๑๔ พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔โดยรวมอยู่ในระดับมาก (xത=๓.๙๗) เมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ อยู่ใน ระดับมาก โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย สามลําดับแรก พบว่า ข้อ ๓. การเลือกตั้งเป็น องค์ประกอบการพัฒนาการของประชาธิปไตย (xത=๔.๓๔) รองลงมา คือ ข้อ ๕.การเลือกตั้งสามารถ ลดความตึงเครียดทางการเมืองได้ (xത=๔.๐๗) และที่อยู่ในระดับสุดท้ายคือ ข้อ ๒. การเลือกตั้ง สามารถพัฒนาชุมชนสังคมให้เจริญ (xത=๓.๖๗) ตามลําดับ ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หาเสียง ด้าน นโยบายการเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ กับการไปใช้สิทธิ เลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ตารางที่๔.๑๕ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด ในอําเภอเชียงคานแยกตามรายด้านได้แก่ด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้ง ด้านนโยบายเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ (n = ๓๙๗) ปัจจัยทีมีผลตอการไปใช ่ส้ิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารสวนจ่ ังหวัด ของประชาชนในอาเภอเชํยงคานี จังหวัดเลย ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพนธั ์แบบเพียร์สนั การไปใชส้ิทธเลิ ือกตั้ง Pearson Correlation Sig (๒-tailed) ระดับ ความสัมพันธ์ - ด้านสื่อบุคคล ๐.๘๑๖** .๐๐๐ มาก - ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ๐.๗๐๗** .๐๐๐ มาก - ด้านนโยบายเลือกตั้ง ๐.๘๕๔** .๐๐๐ มาก ด้านการปฏิบตัิตนตามหลักอิทธิบาท ๔ - ฉันทะ ๐.๘๐๓** .๐๐๐ มาก - วิริยะ ๐.๖๑๔** .๐๐๐ มาก - จิตตะ ๐.๖๙๓** .๐๐๐ มาก - วิมังสา ๐.๔๕๕** .๐๐๐ ปานกลาง หมายเหตุ * มนีัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕
๗๖ จากตารางที่๔.๑๕ แสดงการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับการไปใช้สิทธิ เลือกตั้ง ผลการวิจัยของปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับ มาก พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสื่อบุคคล ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ๐.๘๑๖ มีค่า Sig (2-tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ๐.๗๐๗ มีค่า Sig (2-tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ ด้านนโยบายเลือกตั้งบุคคล ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ๐.๘๕๔ มีค่า Sig (2-tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ มีค่า Sig (2- tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ ฉันทะ (ความพอใจ) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ๐.๘๐๓ มีค่า Sig (2-tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ วิริยะ (ความเพียร) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ๐.๖๑๔ มีค่า Sig (2-tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ จิตตะ (การเอาใจฝักใฝ่สิ่งนั้น) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบ เพียร์สัน ๐.๖๙๓ มีค่า Sig (2-tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ วิมังสา (ความไตร่ตรอง) ค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ๐.๔๕๕ มีค่า Sig (2-tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ ซึ้งน้อยกว่า ๐.๐๕ กล่าวคือ มี ความสัมพันธ์กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ โดยค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ ( Pearson Correlation ) ( r ) เท่ากับมีค่าสัมพันธ์ในระดับมากและปานกลางและเป็นไป ในทิศทางเดียวกัน ผลการวิจัยของการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีค่าเท่ากับ Sig (2- tailed) เท่ากับ ๐.๐๐๐ ซึ่งน้อยกว่า ๐.๐๕ กล่าวคือ มีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิ เลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีค่า ความสัมพันธ์ในระดับมาก ๔.๔ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑. ด้านสื่อบุคคล ประชาชนควรใช้สื่อทางระบบออนไลน์ให้มาก เพื่อเข้ามาประยุกต์ให้เข้ากับระบบการ เลือกตั้ง อันจะนําไปสู่กระบวนการเลือกตั้งที่มีคุณภาพออกมา๘๘ ควรนําสื่อในด้านของผู้ลงสมัครรับ เลือกตั้งนําข้อมูลข่าวสารมาให้ประชาชนในชุมชนได้รับทราบ๘๙ สื่อเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดสันติ สุขในระบบการเลือกตั้ง ดังนั้น ประชาชนควรพิจารณาจากสื่อที่มีความน่าเชื่อถือได้มากที่สุด โดย พิจารณาจากข่าวสาร ข้อมูลของการลงข่าว๙๐ควรมุ่งเน้นการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีใน ๘๘ สัมภาษณ์นายอภินันต์สุวรรณโค, นายอําเภอเชียงคาน, ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๘๙ สัมภาษณ์นายกมล คงปิ่น, นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลเชียงคาน, ๒๓ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๙๐ สัมภาษณ์นายสิทธิชัย บังใบ, นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลธาตุ, ๔ มีนาคม ๒๕๖๕.
๗๗ ข้อมูลหรือเนื้อหาสาระไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้ง กับ ประชาชนจะทําให้เกิดการสื่อสารภาพลักษณ์ที่ดีของผู้สมัครรับเลือกตั้ง๙๑ ซึ่งสื่อบุคคลเป็นสื่อที่มี ประสิทธิภาพสูงในการ สื่อสาร โดยทําหน้าที่สื่อสารข้อมูลของสถาบันไปสู่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้าง ความน่าเชื่อถือและโน้มน้าวใจของประชนาชนได้ ๙๒ สื่อสารที่มีความเป็นกันเองและส่วนตัวก่อให้เกิด ความคุ้นเคย ซึ่งช่วยให้เกิดการยอมรับความคิดได้ง่ายขึ้นการพูดคุยกับประชาชนอย่างเผชิญหน้า ทํา ให้ผู้รับสารสามารถซักถามหรือแสดงความคิดเห็นของตนแก่ผู้พูดอีกทั้ง การสื่อสารระหว่างบุคคลหรือ การสื่อสารแบบตัวต่อตัว มีผลต่อการทําให้ประชาชนเกิดการยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ยอมรับที่จะปฏิบัติมากที่สุด๙๓ ทําให้ประชาชนผู้รับสารสามารถทําความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงสาร ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเช่น เดียวกับประชาชนก็สามารถปรับปรุงแก้ไขสารได้เช่นกัน อีกทั้งยัง ช่วยลดอุปสรรคของการ สื่อสาร และเป็นสิ่งที่สามารถจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ฝังรากลึก ได้จากการติดต่อโดยตรง๙๔ ๒. ด้านการรณรงค์หาเสียง ควรสนับสนุนการช่วยรณรงค์ให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนโดยการชักชวนประชาชน ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติข้อมูลข่าวสารในทางการเมืองกับประชาชน ทุกเพศทุกวัย โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะและควรชี้แนะแนวทางให้ประชาชนทราบถึงสิทธิและเสรีภาพใน การออกไปใช้สิทธิการเลือกตั้ง ๙๕ควรเชิญชวนชาวบ้านไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง เพื่อสรรหาบุคลากรผู้ ที่จะสามารถมาทําหน้าที่รับใช้ประชาชนได้ ๙๖ควรสนับสนุนให้ประชาชนมีความต้องการในการ เลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นในส่วนของนโยบายการทํางาน แผนการพัฒนาบ้านเมืองให้มีความสามัคคีกัน เพื่อ จะนําไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคง๙๗ควรปรับปรุงกระบวนการในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ การเลือกตั้ง โดยให้เน้นไปที่การชักชวนญาติหรือเพื่อนฝูง ให้มาร่วมในกิจกรรมทางการเมืองให้เป็นไป ตามการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยการแนะนําข้อมูลการเลือกตั้งให้ประชาชนรับทราบ เพื่อให้ประชาชนมีความกระตือรือร้นเห็นความสําคัญของการไปใช้สิทธิเลือกตั้งและรักษาระบอบ ประชาธิปไตยเอาไว้ ๙๘ควรประชาสัมพันธ์เชิญชวนผ่านหอกระจายข่าวหมู่บ้านและในที่ประชุมหมู่บ้าน ๙๑ สัมภาษณ์นายส่งเสริม จันดาศรี, หัวหน้าสํานักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย, ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. ๙๒ สัมภาษณ์นายสุเมท ทุมสงคราม, กํานันตําบลธาตุ, ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๙๓ สัมภาษณ์นายถนัดชัย ธนะสูตร, หัวหน้าสํานักปลัดอําเภอเชียงคาน, ๒๓ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๙๔ สัมภาษณ์นางอรอุมา วงษ์ลา, ผู้ใหญ่บ้านธาตุหมู่๑๕, ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๙๕ สัมภาษณ์นายวุฒิศักดิ์กรมทอง, ข้าราชการครู, ๒๐ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๙๖ สัมภาษณ์นายวิรัตน์โภชะ ปลัดเทศบาลตําบลเชียงคาน, ๒๓ กุมภาพันธ์๒๕๖๕๙๗ สัมภาษณ์นายส่งเสริม จันดาศรี, หัวหน้าสํานักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย, ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕. ๙๘ สัมภาษณ์นายอภินันต์สุวรรณโค, นายอําเภอเชียงคาน, ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๕.
๗๘ ให้ประชาชนช่วยกันรณรงค์ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง พร้อมแจ้งข้อดีในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และข้อเสีย ในการไม่ใช้สิทธิเลือกตั้ง ๙๙ ๓. ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ควรแนะนําให้ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ให้ศึกษาข่าวสาร รับฟังนโยบายของผู้สมัคร แต่ละคนว่ามีแนวทางในการพัฒนาบ้านเมืองหรือสังคมอย่างไร เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ดีเข้าไปทํางานหรือ ทําหน้าที่แทนตนในส่วนของจังหวัด๑๐๐ ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์การสามารถที่จะช่วย ให้การดําเนินงานบรรลุถึงเป้าประสงค์ได้กําหนดขึ้นจากข้อมูลที่เป็นจริงได้รับการกําหนดขึ้นก่อนที่จะ มีการดําเนินงานโดยการกําหนดกลวิธีและจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม๑๐๑ ควรกําหนดขึ้นเพื่อสนอง หรือส่งผลประโยชน์ให้กับประชาชนมีการพิจารณาว่านโยบายใดควรทําก่อนควรทําหลังโดยการ จัดลําดับความสําคัญใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและต้องเป็นลายลักษณ์อักษรที่ประชาชนสามารถเข้าใจได้ อย่างชัดแจ้งมีขอบเขตและระยะเวลาในการใช้สามารถใช้นโยบายเป็นหลักการในการปฏิบัติภารกิจ ของตน และสามารถประสานสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่นและประชาชนได้ ๑๐๒ โดยให้คลุมไปถึง สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและควรสอดคล้องกับระเบียบกฎหมายและข้อบังคับต่างๆของสังคม โดยส่วนรวม และความคิดเห็นของประชาชน๑๐๓ ๔. ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ด้านฉันทะ ควรสร้างความสัมพันธ์ให้ประชาชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและควรให้ ประชาชนให้มีความพึ่งพอใจต่อนโยบายในการไปใช้เลือกตั้งและพยายามเพิ่มพูนความรู้ของตนเองอยู่ เสมอ ต้องไม่ยึดติดกับบุคคล หรืองานนั้น แต่ควรคํานึงถึง ผลประโยชน์กับประชาชนที่มอบหมายงาน ให้เหมาะสมกับความสามารถและความถนัดของบุคลากรแต่ละคน๑๐๔ และด้านวิริยะ ควรให้ ความสําคัญกับงานที่ได้รับมอบหมายจากความไว้วางใจจากประชาชนด้วยความเต็มใจ มีความอดทน ขยันหมั่นเพียรในการงาน ไม่ละเลยปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน แม้จะไม่ใช้ในเวลาทํางาน พยายามรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นก่อนตัดสินใจ๑๐๕ ด้านจิตตะ มีความเข้าใจถึงความต้องการใส่ใน และให้ความสําคัญกับงานทุกชิ้นที่เข้ามาหา เอาใจใส่ในการทํางานทั้งตนเอง และในทีมงาน รู้คิดและ วิเคราะห์ถึงงานที่ทําทุกอย่าง ว่าให้ผลคุ่มค่าเพียงไรและ ด้านวิมังสา๑๐๖ พัฒนาวิธีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพื่อให้สอดคล่องกับความต้องการของงานบริการ หาเหตุผลและจุด ๙๙ สัมภาษณ์นายสิทธิชัย บังใบ, นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลธาตุ, ๔ มีนาคม ๒๕๖๕. ๑๐๐ สัมภาษณ์นายสุเมท ทุมสงคราม, กํานันตําบลธาตุ, ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๑๐๑ สัมภาษณ์นายวุฒิศักดิ์กรมทอง, ข้าราชการครู, ๒๐ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๑๐๒ สัมภาษณ์นายกมล คงปิ่น, นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลเชียงคาน, ๒๓ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๑๐๓ สัมภาษณ์นายอภินันต์สุวรรณโค, นายอําเภอเชียงคาน, ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๑๐๔ สัมภาษณ์นางอรอุมา วงษ์ลา, ผู้ใหญ่บ้านธาตุหมู่๑๕, ๑๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๑๐๕ สัมภาษณ์นายถนัดชัย ธนะสูตร, หัวหน้าสํานักปลัดอําเภอเชียงคาน, ๒๓ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๑๐๖ สัมภาษณ์นายส่งเสริม จันดาศรี, หัวหน้าสํานักปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย, ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕.
๗๙ ที่ผิดพลาดและแก่ไขด้วยสติปัญญา๑๐๗ ความรอบคอบ ต้องมีบรรทัดฐาน หรือกฎเกณฑ์ที่ทุกคน ยอมรับ และส่งเสริมให้ทุกคนปฏิบัติตาม กล้าเสนอแนะเมื่อพบช่องทางที่ดีกว่า จากเหตุที่ปรากฏและ ไตร่ตรอง๑๐๘ สรุปได้ว่า สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งควรมีหลักการและวิธีการที่จะทําให้ข้อมูล ข่าวสารไปถึงประชาชน โดยการเพิ่มจุดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การลงข้อมูลข่าวสารผ่านระบบออนไลน์การชีแจงหลักการและวิธีการของการเลือกตั้ง ควรสนับสนุน การรณรงค์หาเสียงเพิ่มมากขึ้นโดยการผูกสัมพันธไมตรีกับประชาชนให้แสดงออกถึงสิทธิ์และหน้าที่ ทางการเมืองของประชาชนได้อย่างเต็มที่ประชาชนควรพิจารณาการเลือกตั้งผ่านคุณสมบัติของ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผ่านนโยบายของผู้รับสมัครรับเลือกตั้ง ประชาชนควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ของการเลือกตั้งโดยการไม่ซื้อสิทธิขายเสียง ประชาชนควรคิดเสมอว่าการไปใช้สิทธิเลือกตั้งมีผลดี อย่างไร เมื่อไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งประชาชนอาจจะเสียสิทธิบางประการในอนาคต และประชาชนควร นําหลักอิทธิบาท ๔ มาประกอบกับการไปใช้เลือกตั้งด้วยทุกครั้ง อันนําไปสู้การตัดสินใจที่ดีเพื่อให้การ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมีประสิทธิภาพ ๔.๕ สรุปองค์ความรู้จากการวิจัย ผู้วิจัยได้สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย” ดังแสดงใน แผนภาพที่๔.๑ ๑๐๗ สัมภาษณ์นายวุฒิศักดิ์กรมทอง, ข้าราชการครู, ๒๐ กุมภาพันธ์๒๕๖๕. ๑๐๘ สัมภาษณ์นายวิรัตน์โภชะ, ปลัดเทศบาลตําบลเชียงคาน, ๒๓ กุมภาพันธ์๒๕๖๕
๘๐ แผนภาพที่๔.๑ สรุปองค์ความรู้จากการวิจัย ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบรหารสิ ่วนจังหวัดของประชาชน ในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หาเสียง ด้านนโยบาย การเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ มีความสัมพันธ์กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้อเสนอแนะปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชน ในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๑. ควรส่งเสริมให้ประชาชนมีสติในการรับฟังข่าวสาร เข้าใจถึงกลยุทธ์ของสื่อเพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือใน การสร้างผลประโยชน์ทางการเมือง ๒. ควรมีนโยบายส่งเสริมด้านการให้ความรู้ด้านประชาธิปไตยให้กับประชาชน โดยเฉพาะสิทธิของ ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยและรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๓. ควรเชิญชวนชาวบ้านไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง เพื่อสรรหาบุคลากรผู้ที่จะสามารถมาทําหน้าที่รับใช้ ประชาชนได้ ๔. ควรทําให้ประชาชนมีวิธีในการปฏิบัติตนในการไปใช้สิทธิเลือก โดยการนําหลักธรรมมาช่วยในการ ตัดสินใจ ด้านที่มีระดับสูงสุดคือด้านการปฏิบัติตนตามหลัก อิทธิบาท ๔
บทที่๕ สรุปผล อภิปรายและข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้๑) เพื่อศึกษาระดับ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอ เชียงคาน จังหวัดเลย ๒) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ๓) เพื่อศึกษา ข้อเสนอแนะการส่งเสริมการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอ เชียงคาน จังหวัดเลย การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีจํานวน ๔๖,๑๗๘ คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง ที่ได้จากสูตรของ Taro Yamane ที่ระดับความคาดเคลื่อน ๐.๐๕ ได้กลุ่มตัวอย่างจํานวน ๓๙๗ คน วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสําคัญ และใช้เทคนิคการวิเคราะห์ เนื้อหาประกอบบริบท ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๕.๒ อภิปรายผล ๕.๓ ข้อเสนอแนะ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๕.๑.๑ ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นชาย จํานวน ๒๒๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๕ มีอายุอยู่ที่๔๖ ปีขึ้นไป มีจํานวน ๑๒๐ คนคิดเป็นร้อยละ ๓๕.๒ มีการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา มีจํานวน ๙๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๙ ประกอบอาชีพเกษตรกร มีจํานวน ๑๒๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๒ มีรายได้ต่อเดือน ๕,๐๐๑ - ๑๐,๐๐๐ บาท มีจํานวน ๑๒๕ คน คิดเป็น ร้อยละ ๓๑.๕ ตามลําดับ
๘๒ ๕.๑.๒ ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวมอยู่ในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ย ๓.๖๖ เมื่อพิจารณาเป็น รายด้านสรุปได้ดังนี้ ๑) ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสื่อบุคคล โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย ๓.๔๑ ๒) ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ) ด้านการรณรงค์หาเสียง โดยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย ๓.๔๑ ๓.๘๔ ๓) ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านนโยบายการเลือกตั้ง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มี ค่าเฉลี่ย ๓.๔๑ ๔) ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ โดยรวมอยู่ในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ย ๓.๘๗ ๕.๑.๓ ผลการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัยพบว่า ผลการทดสอบสมมติฐาน ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยจําแนกตามตัวแปรต้นได้แก่สื่อ บุคคล การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นโยบายการเลือกตั้ง การปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ เพื่อ นําไปสู่การตอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ซึ่งสามารถแสดงรายละเอียดดังนี้ สมมติฐานที่๑ สื่อบุคคลมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวมแตกต่างกัน จึงยอมรับ สมมติฐาน สมมติฐานที่๒ การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้ สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลยโดยรวมแตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐาน สมมติฐานท่ี๓ นโยบายการเลือกตั้งมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิ เลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลยโดยรวมแตกต่างกัน จึง ยอมรับสมมติฐาน
๘๓ สมมติฐานที่๔ การปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาทมีความสัมพันธ์กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลยโดยรวมแตกต่างกัน จึงยอมรับ สมมติฐาน ๕.๑.๔ ข้อเสนอแนะปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย สรุปได้ดังนี้ ๑. ด้านสื่อบุคคล ทําให้ประชาชนมีความกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทําให้ได้รับรู้เรื่องราว ข่าวสารอย่างถูกต้องและใช้สติพูดคุยกันอย่างระมัดระวังในเรื่องของข้อโต้แย้งทางการเมืองเพื่อไม่ให้ เกิดปัญหาที่จะตามมาทีหลัง ๒. ด้านการรณรงค์หาเสียง ควรสนับสนุนการช่วยรณรงค์ให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนโดยการชักชวนประชาชน ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติข้อมูลข่าวสารในทางการเมืองกับประชาชน ทุกเพศทุกวัย โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะและควรชี้แนะแนวทางให้ประชาชนทราบถึงสิทธิและเสรีภาพใน การออกไปใช้สิทธิการเลือกตั้ง ๓. ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ควรแนะนําให้ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ให้ศึกษาข่าวสาร รับฟังนโยบายของผู้สมัคร แต่ละคนว่ามีแนวทางในการพัฒนาบ้านเมืองหรือสังคมอย่างไร เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ดีเข้าไปทํางานหรือ ทําหน้าที่แทนตนในส่วนของจังหวัด ๔. ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ทําให้ประชาชนมีเข้าใจถึงการนําหลักธรรมมาใช้กับการเลือกตั้ง อันเนื่องมาจากรูปแบบ ของประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จึงสามารถกล่าวได้ว่า การไปใช้สิทธิเลือกตั้งควรนํา หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง ๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย จากการวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย” สามารถอภิปรายผล ได้ดังนี้ ๕.๒.๑ ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ประชาชนให้ ความสําคัญกับการเลือกตั้ง ประชาชนเห็นความสําคัญกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
๘๔ สอดคล้องกับงานวิจัยของ อรัญญา เริงสําราญ ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี : ศึกษาในห้วงเวลาปีพ.ศ.๒๕๕๗ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานีอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ ดาวเรือง นาคสวสัดิ์ ให้ความหมายว่า “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใน การเลือกตั้ง เมื่อพิจารณาพบว่า เปิดรับสื่อโทรทัศน์มากที่สุด เปิดรับสื่ออินเตอร์เน็ตสื่อวิทยุและสื่อ หนังสือพิมพ์อยู่ในระดับมากชาวสุโขทัยมีความคิดเห็น เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ พันธุ์ทิพา อัครธีร นัย ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด นครนายก : ศึกษาในช่วงเวลา พ.ศ. ๒๕๕๙ ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของ ประชาชนชาวจังหวัดนครนายก พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ อดิศักดิ์ จันทร์วิทัน ได้ศึกษาเร่ือง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ ประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ : ศึกษาในห้วงเวลาปีพ.ศ.๒๕๕๘” ผลการศึกษาพบว่า มีพฤติกรรม การเปิดรับสื่อ ภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ ทัศนีย์ปิยะเจริญเดช ได้ ศึกษาวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี :” ผล การศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรีใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ นุชปภาดา ธนวโรดม ศึกษาเรื่องพฤติกรรมการ เลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของ ประชาชนที่มีต่อพฤติกรรมการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลนครสวรรค์จังหวัด นครสวรรค์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ กฤตยชญ์สมมุ่ง, ธํารงศักดิ์เพชร เลิศอนนต์ศึกษาเรื่องพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง วันที่๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ กรณีศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตที่๒ และเขตที่๕ พบว่า ประชาชนเขตที่๒ และเขตที่๕ จังหวัด นครศรีธรรมราชส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมากทฎสีุ่ด เมื่อพิจารณาผลการวิจัยในแต่ละด้านสามารถนํามาอภิปรายผลได้ดังนี้ ๑) ด้านสื่อบุคคล ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะว่า ประชาชนควรพิจารณาจากสื่อที่มีความน่าเชื่อถือได้มากที่สุด โดยพิจารณาจาก ข่าวสาร ข้อมูลของการลงข่าว สอดคล้องกับงานวิจัยของ กณิศ พรมนิกร ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผล ต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ร้อยเอ็ด”ผลการศึกษาพบว่า ระดับการเปิดรับสื่ออยู่ในระดับ ปานกลาง คือ สื่อบุคคล ไม่สอดคล้อง กับงานวิจัยของ ดาวเรือง นาคสวสัดิ์ ให้ความหมายว่า “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง เมื่อพิจารณาพบว่า คือ ปัจจัยด้านสื่อบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ อยู่ในระดับมาก ไม่สอดคล้อง กับงานวิจัยของ ณิชาภา เหมะธุลิน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรศึกษากรณี: ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬ” ผล การศึกษาพบว่า ด้านสื่อบุคคล อยู่ในระดับมากที่สุด อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ไม่
๘๕ สอดคล้องกับงานวิจัยของ อดิศักดิ์จันทร์วิทัน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ผลการศึกษาพบว่า ด้านอิทธิพลของ สื่อบุคคล อยู่ในระดับมาก อย่างมีนัยสําคัญทางสถติิที่ระดับ ๐.๐๕ ๒) ด้านการรณรงค์หาเสียง ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนโดยการชักชวน ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติข้อมูลข่าวสารในทางการเมืองกับ ประชาชนทุกเพศทุกวัย โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะและควรชี้แนะแนวทางให้ประชาชนทราบถึงสิทธิและ เสรีภาพในการออกไปใช้สิทธิการเลือกตั้ง ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ อรัญญา เริงสําราญ ได้ศึกษา เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี : ศึกษา ผลการศึกษา พบว่า ด้านสื่อการรณรงค์หาเสียง อยู่ในระดับปานกลาง คือ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ขนาดเล็ก สื่อ สิ่งพิมพ์สื่อมวลชนและการปราศรัยหาเสียง ดาวเรือง นาคสวสัดิ์ ให้ความหมายว่า “ปัจจัยที่มีผลต่อ การตัดสินใจในการเลือกตั้ง เมื่อพิจารณาพบว่า ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งชาวสุโขทัยมีความ คิดเห็น อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ พันธุ์ทิพา อัครธีรนัย ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผล ต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครนายก : ผลการศึกษาพบว่า ด้าน การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของประชาชนชาวจังหวัดนครนายกมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการ ตัดสินใจใน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครนายก จังหวัดนครนายกมีด้านการ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณิชาภา เหมะธุลิน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรศึกษากรณี: ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต เลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬ” ผล การศึกษาพบว่า การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง อยู่ในระดับมาก อย่าง มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ สอดคล้องกับงานวิจัยของ อดิศักดิ์จันทร์วิทัน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลการศึกษาพบว่า ด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง อยู่ในดับมาก มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ สอดคล้องกับงานวิจัยของ ทัศนีย์ปิยะเจริญเดช ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี :” ผลการศึกษาพบว่า ด้านการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้ง อยู่ในระดับมาก มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ สอดคล้องกับงานวิจัยของ ๓) ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ในระดับปาน กลาง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ควรรับฟังนโยบายของผู้สมัครแต่ละคนว่ามีแนวทางในการพัฒนา บ้านเมืองหรือสังคมอย่างไร เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ดีเข้าไปทํางานหรือทําหน้าที่แทนตนในส่วนของจังหวัด ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ ดาวเรือง นาคสวสัดิ์ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ ในการเลือกตั้ง เมื่อพิจารณาพบว่า ปัจจัยด้านนโยบายของผู้สมัคร อยู่ในระดับมาก ไม่สอดคล้องกับ งานวิจัยของ พันธุ์ทิพา อัครธีรนัย ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครนายก : ศึกษาในช่วงเวลา พ.ศ. ๒๕๕๙ ผลการศึกษาพบว่า ด้าน นโยบาย อยู่ในระดับมาก ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณิชาภา เหมะธุลิน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มี
๘๖ ผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรศึกษากรณี: ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่๑ จังหวัดบึงกาฬ” ผลการศึกษา ด้านนโยบาย อยู่ในระดับมาก อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของ อดิศักดิ์จันทร์วิทัน ได้ศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ : ศึกษาในห้วงเวลาปีพ.ศ. ๒๕๕๘” ผลการศึกษาพบว่า ด้านปัจจัยด้านนโยบายของผู้สมัคร อยู่ในระดับมาก ไม่สอดคล้องกับ งานวิจัยของ ทัศนีย์ปิยะเจริญเดช ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี :” ผลการศึกษาพบว่า ด้านนโยบายของผู้สมัคร อย่างมี นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ๔) ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้ สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อยู่ ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า เป็นเพราะประชาชนมีเข้าใจถึงการนําหลักรรมมาใช้กับการ เลือกตั้ง อันเนื่องมาจากรูปแบบของประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จึงสามารถกล่าวได้ ว่า การไปใช้สิทธิเลือกตั้งควรนําหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้กับการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ พระมหาวันเพ็ญ สารโท (ทุมซะ) ภาสกร ดอก จันทร์พระนิทัศน์ธีรปญฺโญ ศึกษาเรื่อง การนําหลักอิทธิบาท ๔ ไปใช้ในการปกครองบริหารงานของ กํานันผู้ใหญ่บ้าน อําเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลําภูผลการวิจัยพบว่า การนําหลักอิทธิบาท ๔ ไป ใช้ในการปกครองบริหารงานของกํานันผู้ใหญ่บ้าน อําเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลําภูโดยรวมทุก ด้านปฏิบัติอยู่ในระดับ สอดคล้องกับงานวิจัยของ พระชินกร สุจิตฺโต (ทองดี) สุกิจชัย มุสิก ชวลิต ไหลรินทร์ศึกษาเรื่อง การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ใน การปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น อําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรมีความ คิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท ๔ ในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อําเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมทั้ง ๔ ด้านอยู่ในระดับมาก อภิปรายผลความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น ได้แก่ด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หา เสียง ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท ๔ กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของประชาชนในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จําแนกตาม รายด้าน ได้แก่ด้านสื่อบุคคล ด้านการรณรงค์หาเสียง ด้านนโยบายการเลือกตั้ง ด้านการปฏิบัติตน ตามหลักอิทธิบาท ๔ โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson product moment correlation coefficient) มีความสัมพันธ์กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ๑) สื่อบุคคลมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ๒) การรณรงค์หาเสียงมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่มีผลต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดในอําเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕