รายงานการนิเทศบูรณาการโดยใชพ้ น้ื ท่เี ป็นฐาน
ผ่านกระบวนการชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชพี (PLC)
ประจำภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563
เอกสารลำดบั ท่ี 6/2564
กลุ่มนเิ ทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจดั การศึกษา
สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษาสุรินทร์
สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
คำนำ
การนิเทศ ติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษา เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น
โดยความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ยึดหลักการพื้นฐานในการกระตุ้นเตือน
การประสานงาน การให้คำปรึกษา ชี้แนะ ชี้นำ กระตุ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนางานของครูและผู้บริหาร
การนิเทศ ติดตามการดำเนนิ งานของสถานศึกษา ตัง้ อยบู่ นพน้ื ฐานของหลักการประชาธิปไตย ยอมรับในความ
แตกต่างระหว่างบุคคล สร้างความร่วมมือกันในการแก้ปัญหาด้านการบริหาร การเรียนการสอน การสร้าง
บรรยากาศ ที่ส่งเสริมและสร้างสรรค์ เพื่อให้ผู้บริหาร ครู มุ่งส่งเสริมการสร้างขวัญกำลังใจ เน้นการสร้าง
มนุษย์สัมพันธ์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้บริหาร ครูมีความเจริญก้าวหน้าทางวิชาชีพ ปรับปรุงระบบการ
บรหิ าร การเรียนการสอนใหด้ ีขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรยี นท่ีได้รบั การพัฒนาให้เป็นคนท่ีมีความสมบูรณ์ท้ัง
ร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ และสติปัญญา เป็นคนดี คนเก่ง และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ เป็นบทบาทและหน้าที่ที่สำคญั
ของผู้นิเทศ ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจากการวิเคราะห์สภาพปัญหา โดยมีข้อมูลความสำเร็จ จุดแข็ง
จุดอ่อน จุดพัฒนา ของสถานศึกษาในสังกัด รวมทั้งข้อมูลการประเมินคุณภาพภายใน และการประเมิน
คุณภาพภายนอกของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) โดยได้
แสวงหาแนวทางและรูปแบบในการช่วยเหลือ แก้ไข ส่งเสริม พัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ด้วย
กระบวนการ/วธิ กี ารทห่ี ลากหลาย ทง้ั กระบวนการสง่ เสรมิ การนเิ ทศภายในท่ีเปน็ ระบบ การนิเทศจากภายนอก
เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ รายงานผลการดำเนินงานตามแผนการนิเทศ
ติดตาม การดำเนินงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ ครั้งที่ 2/2563 นี้ จัดทำขึ้นเพื่อ
นำเสนอผลการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาในสังกัด ตามกลยุทธ์การนิเทศภายในของ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาผ่านกระบวนการชุมชนแห่งเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning
Community : PLC) โดยใชก้ ระบวนการพัฒนาบทเรียนร่วมกนั (Lesson study)
ขอขอบคุณคณะผู้จัดทำทีไ่ ด้ร่วมมือกันจัดทำรายงานการนิเทศติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษา
ในสังกัดเล่มนี้ และนำผลการนิเทศไปปรับปรุงและพัฒนาการนิเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลสำเร็จต่อการ
พัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษาตอ่ ไป
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาสรุ ินทร์
กมุ ภาพันธ์ 2564
สารบญั หน้า
เรื่อง
คำนำ………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบญั ……………………………………………………………………………………………………………. ข
ส่วนที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………………………….… 1
1
ความเป็นมาและความสำคญั ………………………………………………………………………… 7
ส่วนท่ี 2 หลักการแนวคิดการนเิ ทศการศกึ ษา……………………………………………………….. 37
ส่วนที่ 3 การนิเทศ ตดิ ตามการดำเนนิ งาน……………………………………………………………. 45
ส่วนที่ 4 ผลการนิเทศ ติดตามการดำเนนิ งาน……………………………………………………….. 51
ส่วนที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………. 53
ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………………………. 54
คำสั่งฯ……………………………………………………………………………………………………………… 58
เครอ่ื งมือ………………………………………………………………………………………………………….. 62
ปฏทิ ินนเิ ทศ……………………………………………………………………………………………………… 66
ภาพกิจกรรมนิเทศ……………………………………………………………………………………………..
1
ส่วนที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคญั
สำนกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษาสรุ นิ ทร์ ได้ดำเนินการนเิ ทศ ตดิ ตามการดำเนนิ งาน
ของสถานศึกษาในสังกัด ตามนโยบายและการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานเขตพื้นที่การศึกษาอย่างต่อ
เนือง โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมในการพัฒนารูปแบบและวิธีการ การใช้ทักษะและเทคนิคการนิเทศท่ี
หลากหลาย การใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning
Community : PLC) ในการพัฒนาการเรียนการสอน โดยมุ่งหวังให้เกิดสัมฤทธิผลในการพัฒนา
คุณภาพการศึกษาเป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา ส่งเสริม สนับสนุน ให้สถานศึกษาได้พัฒนา
ประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเต็มความสามารถ ครูได้รับการพัฒนาเป็นครูมืออาชีพ จัดการเรียนรู้
เพื่อเตรียมความพร้อมของผู้เรียนต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ผู้เรียนต้องได้รับการ
พัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งทักษะชีวิตและการทำงาน ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้าน
สารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี ดังนั้น ครูจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวธิ ีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ซึ่งเป็นการเรียนรู้โดยการฝึกลงมือทำ (Learning by Doing and Thinking) ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย
และบรรลุตามมาตรฐานตัวชี้วัดของหลักสูตร จากการนิเทศ ติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษา
อย่างต่อเนื่อง พบว่า กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนกับการพัฒนาคุณภาพด้านงานวิชาการด้วย
กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) ส่งผลให้
ครูมีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยรอบด้านอย่างแท้จริง โรงเรียนมีกระบวนการนิเทศภายในที่
เข้มแข็งและเป็นระบบ ครูผู้สอนมีความกระตือรือร้น ขวนขวายทีจ่ ะหาความรู้ เทคนิคต่าง ๆ เพื่อนำมา
ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนอยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการนิเทศภายในโรงเรียนที่สงัด
อทุ รานนั ท์ กล่าววา่ การนิเทศการสอนมจี ุดมุ่งหมายทีช่ ัดเจนในการช่วยใหค้ รูไดป้ รับเปลี่ยนวิธีการเรียน
การสอน โดยใช้หลักประชาธิปไตยทีเ่ ปิดโอกาสให้ผู้เกีย่ วข้องได้แสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ การ
นเิ ทศต้องดำเนนิ ไปตามหลักมนุษยสัมพนั ธ์และม่งุ ให้เกดิ ขวัญกำลงั ใจที่ดีทัง้ แก่ผู้รับการนิเทศและผู้นิเทศ
การนิเทศการศึกษามุ่งที่จะพัฒนาคน หมายถึง การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการทำงานร่วมกันกับ
ครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้ครูและบุคลากรได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น การนิเทศ
การศึกษาเพื่อพัฒนางาน หมายถึง การนิเทศการศึกษา มีเป้าหมายสงู สุดอยู่ทีผ่ ู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตจาก
การจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูและบุคลากรทางการศึกษา และการนิเทศการศึกษาเพื่อสร้างการ
ประสานสัมพนั ธ์ หมายถึง การสร้างการประสานสัมพันธ์ ระหว่างผู้นิเทศและผูร้ ับการนิเทศ ซึ่งเป็นผล
มาจากการทำงานร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกันมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งไม่ใช่เป็นการ
ทำงานภายใต้การถูกบังคับและคอยตรวจตราหรือคอยจับผิด การนิเทศการศึกษาเพื่อสร้างขวัญและ
กำลังใจ หมายถึง การจัดกิจกรรมการนิเทศที่มุ่งให้กำลังใจแก่ครูและบุคลากรทาง การศึกษา ซึ่งถือว่า
เป็นจุดมุ่งหมายทส่ี ำคัญอีกประการหนึ่งของการนิเทศ เน่อื งจากขวญั และกำลงั ใจเปน็ สิง่ สำคญั ที่จะทำให้
บุคคลมีความตั้งใจทำงาน หากการนิเทศไม่ได้สร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานแล้วการนิเทศ
การศึกษาก็ยอ่ มประสบผลสำเร็จไดย้ าก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศึกษาสรุ ินทร์ ดำเนนิ การขับเคลอ่ื นนโยบายสู่การปฏิบตั ิ 6
ดา้ น สอดคลอ้ งกบั นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐานและมาตรฐาน
2
การศึกษาของสำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษา ตามแนวทางและแผนปฏิบตั กิ ารนิเทศ โดยใช้กระบวนการ
มสี ่วนรว่ ม การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ผา่ นกระบวนการชมุ ชนแห่งเรยี นรู้ทางวิชาชีพ (Professional
Learning Community : PLC) ในการกำหนดวสิ ัยทศั น์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์การนิเทศ
ขอบข่ายการนเิ ทศ ตัวช้วี ดั เป้าหมายการนเิ ทศ รูปแบบการนเิ ทศ กระบวนการนเิ ทศ ท่ีเน้นการนเิ ทศ
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ของครูผ้สู อนผา่ นกระบวนการชุมชนแหง่ การเรียนรทู้ างวชิ าชีพ
(Professional Learning Community : PLC) ดังนี้
วสิ ัยทศั น์
สำนกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษามัธยมศึกษาสรุ ินทร์ เป็นองค์กรคุณภาพ สร้างทนุ มนุษยด์ ้วย
นวตั กรรม น้อมนำศาสตร์พระราชาสกู่ ารพัฒนาทีย่ งั่ ยนื
คา่ นยิ มองคก์ ร
รบั ผิดชอบ มีน้ำใจ ใหบ้ ริการ ประสานงานอยา่ งกัลยาณมติ ร
วฒั นธรรมองคก์ ร
“รว่ มคดิ รว่ มทำ รว่ มรับผดิ ชอบ”
พันธกจิ
1. จดั การศกึ ษาเพ่ือเสรมิ สร้างความมน่ั คงของสถาบันหลักของชาติและการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข
2. สง่ เสรมิ ศักยภาพผูเ้ รยี นเพ่ือเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขนั โดยพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี นให้
มคี วามรู้ ทักษะวชิ าการ ทักษะชีวติ ทกั ษะอาชีพ คุณลักษณะในศตวรรษท่ี 21
3. ส่งเสรมิ พฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีสมรรถนะตรงตามสายงาน และ
มวี ฒั นธรรมการทำงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์อย่างมืออาชพี
4. สร้างโอกาส ความเสมอภาค ลดความเหลอื่ มล้ำ ใหผ้ ูเ้ รยี นทุกคนไดร้ บั บรกิ ารทางการศึกษา
อย่างท่วั ถึงและเท่าเทยี ม
5. ส่งเสรมิ การจดั การศึกษาเพ่อื พฒั นาคุณภาพชีวติ ทเ่ี ป็นมิตรกบั สงิ่ แวดล้อม ยึดหลักปรัชญา
ของเศรษฐกจิ พอเพียง และเป้าหมายการพัฒนาท่ีย่งั ยนื (Sustainable Development Goals : SDGs)
6. ส่งเสริมระบบบริหารจดั การแบบบรู ณาการ และสง่ เสรมิ ใหท้ กุ ภาคสว่ นมีส่วนร่วมในการจดั
การศกึ ษา โดยใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั (Digital Technology) เพอ่ื มุง่ สู่ Thailand 4.0
เป้าประสงค์
1. ผู้เรยี นมีความรักในสถาบนั หลกั ของชาติและยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข มที ัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมอื ง มีหลักคดิ ที่ถูกต้องและเปน็ พลเมืองดี
ของชาติ มีคุณธรรมจริยธรรมมีคา่ นิยมท่พี ึงประสงค์ มจี ติ สาธารณะ รับผดิ ชอบต่อสังคมและผู้อ่ืน
ซื่อสตั ย์ สจุ รติ มัธยสั ถ์ อดออม โอบอ้อมอารี มวี นิ ัย รักษาศลี ธรรม โดยนอ้ มนาพระบรมราโชบาย
รัชกาลที่ 10 สกู่ ารปฏบิ ตั ิ
3
2. ผู้เรยี นท่มี คี วามสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี กฬี า ภาษาและ
อนื่ ๆได้รับการพฒั นาอย่างเต็มตามศักยภาพ
3. ผูเ้ รยี นเป็นบคุ คลแหง่ การเรียนรู้คิดริเริ่มและสรา้ งสรรค์นวตั กรรม มคี วามรู้ มีทกั ษะ มี
สมรรถนะตามหลกั สตู ร และคณุ ลกั ษณะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 มสี ขุ ภาวะท่เี หมาะสมตามวยั มี
ความสามารถในการพึง่ พาตนเองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และการเป็นพลเมอื งพลโลกที่
ดี (Global Citizen) พร้อมกา้ วสสู่ ากล นำไปสู่การสรา้ งความสามารถในการแข่งขนั ระดับประเทศ และ
นานาชาติ
4. ผเู้ รียนทม่ี ีความต้องการจำเปน็ พเิ ศษ (ผู้พิการ) กล่มุ ชาติพนั ธุ์ กลุม่ ผู้ดอ้ ยโอกาสและกลมุ่ ทอ่ี ยู่
ในพ้ืนที่ห่างไกลทรุ กนั ดาร ได้รบั การศึกษาอย่างทวั่ ถึง เทา่ เทียม และมีคุณภาพ
5. ครแู ละบุคลากรทางการศึกษา เป็นบุคคลแห่งการเรยี นรู้ มคี วามรู้และจรรยาบรรณตาม
มาตรฐานวิชาชีพ เป็นผสู้ รา้ งสรรคน์ วัตกรรม ใช้เทคโนโลยี และนอ้ มนำศาสตร์พระราชามาใชใ้ นการ
จดั การเรยี นรู้
6. ผบู้ ริหารสถานศึกษามภี าวะผนู้ ำทางวิชาการ นำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้บริหารงาน ยดึ
หลัก ธรรมาภบิ าลและนอ้ มนาศาสตรพ์ ระราชาสูก่ ารปฏบิ ัติ
7. สถานศกึ ษาจัดการศึกษา เพือ่ การบรรลเุ ป้าหมายการพัฒนาอยา่ งย่งั ยนื (Sustainable
Development Goals: SDGs) และสรา้ งเสรมิ คุณภาพชีวิตท่ีเป็นมติ รกบั สิง่ แวดล้อม ตามหลกั ปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพยี ง
8. สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาและสถานศึกษา มีการบริหารจดั การแบบบูรณาการเชิงพน้ื ท่ี มี
ระบบข้อมลู สารสนเทศที่มีประสทิ ธิภาพ มกี ารกำกบั ติดตาม ประเมินผลและรายงานผลอยา่ งเป็นระบบ
ใชง้ านวจิ ัย เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั และนวตั กรรมเป็นฐานโดยใชร้ ูปแบบ TPS Model ในการบริหารจัดการ
คุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา
กลยทุ ธ์การนเิ ทศ
สำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษาสรุ นิ ทร์ กำหนดกลยทุ ธ์การนิเทศภายในของ
สถานศึกษาในสังกัด คร้ังท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 ดงั น้ี
1. การนิเทศบูรณาการโดยใชพ้ น้ื ท่ีเป็นฐานเพื่อคณุ ภาพการศกึ ษาใหม้ คี วามเหมาะสม
ผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC)
ดงั นี้
1.1 พัฒนาหลกั สตู รและกระบวนการเรยี นรู้
1.2 การอา่ นออกเขยี นได้ อ่านคลอ่ งเขยี นคล่อง
1.3 การจัดการเรียนรเู้ ชิงรุก (Active learning)
1.4 การพฒั นาคุณภาพการศึกษาดว้ ยเทคโนโลยี การศกึ ษาทางไกล (DLTV /DLIT)
1.5 การยกระดบั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
1.6 การประกันคุณภาพการศึกษา
1.7 การจดั การศึกษาของโรงเรยี นในโครงการพิเศษ
1.8 การส่งเสรมิ กจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาองั กฤษ สะเต็มศึกษา DLIT การ
พัฒนาสมรรถนะท่ีสำคัญของผู้เรยี นสูม่ าตรฐานสากล การปลูกฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม ตามคา่ นยิ มหลัก
4
ของคนไทย 12 ประการ หา่ งไกลยาเสพตดิ การสร้างจติ สำนึกในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละ
สิง่ แวดลอ้ ม การประยกุ ต์ใชต้ ามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนนิ ชวี ติ
1.9 การจัดการศึกษาการบรรลุเปา้ หมายการพัฒนาอย่างยั่งยนื (SDGs) เพอ่ื สรา้ ง
เสรมิ คณุ ภาพชวี ติ ทีเ่ ป็นมิตรกับสิง่ แวดลอ้ มตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
1.10 การพฒั นาคณุ ภาพจดั การเรยี นการสอนเรียนรวม
2. การนิเทศภายในโรงเรียน โดยการพฒั นาครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งระบบให้
สามารถจดั การเรยี นรู้ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ โดยใช้กระบวนการชุมชนแหง่ การเรียนรทู้ างวิชาชพี
((Professional Learning Community : PLC) ผ่านการพัฒนาบทเรียนรว่ มกนั (Lesson study)
3. พัฒนาระบบการทดสอบ การประเมิน การประกนั คุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษา
ทกุ ระดับตามหลกั สตู รการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน
4. พัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้เรอื่ งการวจิ ยั และการนำไปประยกุ ต์ใช้
กับการเรยี นการสอน
5. การจัดการเรียนรภู้ าษาอังกฤษและภาษาพน้ื ถน่ิ (ภาษาแม)่ เนน้ เพ่ือการสื่อสาร
6. การจดั การเรียนรเู้ พอ่ื พัฒนากระบวนการคดิ เน้นวทิ ยาการคำนวณ
7. การจดั การเรยี นรู้เพื่อฝึกทกั ษะการคิดแบบมเี หตผุ ล และเป็นขั้นตอน (Coding)
8. การสง่ เสริมการเรียนรเู้ พอื่ ยกระดับการประเมนิ สมรรถนะ นักเรียนมาตรฐานสากล
(Programmer for International Student Assessment : PISA)
9. การจัดการเรยี นรสู้ ่งเสรมิ วนิ ัยนกั เรียน
10. การส่งเสรมิ การเรียนรู้ดา้ นสิง่ แวดล้อมในโรงเรยี น
11. การนเิ ทศตามนโยบายและจดุ เน้น ของสำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน
และกระทรวงศึกษาธกิ าร
ขอบขา่ ยการนิเทศ
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษาสุรินทร์ กำหนดขอบข่ายการนเิ ทศ ติดตามการ
ดำเนินงานของสถานศึกษาในสังกัดบูรณาการโดยใช้พน้ื ท่เี ป็นฐานผา่ นกระบวนการชุมชนแหง่ เรยี นรู้
ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) และการพฒั นาบทเรยี นรว่ มกัน (Lesson
study ) ภาคเรยี นท่ี 2/2563 จำนวน 40 โรงเรยี น ระหวา่ งวันที่ 21 ธันวาคม 2563 – วันที่ 27
มกราคม 2564
5
กรอบแนวคดิ การนิเทศบูรณาการโดยใช้พนื้ ท่เี ปน็ ฐาน
ผ่านกระบวนการชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ทางวชิ าชพี (Professional Learning
Community : PLC)และการพัฒนาบทเรียนรว่ มกนั (Lesson study)
6
แผนการนเิ ทศบรู ณาการ
โดยใช้พน้ื ที่เปน็ ฐานผา่ นกระบวนการชุมชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวชิ าชีพ
(Professional Learning Community : PLC)
และการพัฒนาบทเรยี นร่วมกนั (Lesson study)
วเิ คราะห์ขอ้ มูลผลการดำเนนิ งานนิเทศ ติดตาม 3 ระดับ
(ระดบั โรงเรียน ระดับสหวิทยาเขต ระดบั เขตพื้นทกี่ ารศึกษา)
จดั ทำแผนนิเทศ ติดตามการดำเนินของสถานศกึ ษา
เสนอแผนนเิ ทศต่อที่ประชุม (ประธาน
สหวิทยาเขต/ ก.ต.ป.น.)
จดั ประชุมช้ีแจงผู้บรหิ ารโรงเรียน ในสงั กัด
ประชุมชแ้ี จงรองวิชาการและครูผู้นเิ ทศภายในโรงเรยี นในสงั กดั
ดำเนินการนเิ ทศภายในโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชพี ผา่ นการพัฒนาบทเรยี น
รว่ มกนั
สรุปผลการดำเนินงานและวเิ คราะหจ์ ดุ เดน่ /จุดพัฒนา
นเิ ทศสง่ เสรมิ นเิ ทศแนะนำจุดพฒั นา
สรุปผลและจัดทำรายงาน
ยกย่องเชิดชู พฒั นาตอ่ ยอด สรา้ งเครอื ขา่ ยชุมชน และขยายผล
7
สว่ นท่ี 2
หลกั การแนวคดิ การนิเทศการศกึ ษา
การนเิ ทศการศึกษา
1. ความหมายของการนิเทศการศึกษา
การนิเทศ (Supervision) คือ การช่วยเหลือแนะนำปรับปรุง บริการการให้ความร่วมมือ
และการประสานงานให้ผู้ที่ปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานทำงานได้ดีขึ้น การนิเทศสามารถนำไปใช้กับ
งานที่ ต้องอาศัยผู้ดูแลตรวจตราให้คำแนะนำ คอยช่วยเหลือ บริการและบริหารงานเพื่อให้งานสำเร็จ
ลลุ ว่ งไปตามวัตถุประสงคท์ ีว่ างไว้ซ่ึงได้มี ผู้ให้ความหมายของคำวา่ การนเิ ทศการศกึ ษาไวแ้ ตกต่างกัน ดงั น้ี
แฮร์ริส (Harris อ้างใน นพพร ละออเอี่ยม, 2550 :10) ได้กล่าวถึงความหมายของการนิเทศ
การศึกษาว่าหมายถึง สิ่งที่บุคลากรในโรงเรียนกระทำต่อบุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ
จะคงไว้หรือเปลี่ยนแปลงปรับปรุงการดำเนินการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และส่งผล
สะทอ้ นไปถงึ การพัฒนานกั เรียนด้วย
ส่วนสเปียร์ส (Spears อ้างใน อัญชลี ธรรมะวิธีกุล, 2555) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่าการ
นิเทศไว้ว่า การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการที่จะทำให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน
ของครู โดยการทำงานร่วมกบั บคุ คลท่ีเก่ยี วข้องกบั การนเี้ ปน็ กระบวนการกระตนุ้ ความเจริญกา้ วหน้าของ
ครู และมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือครู เพื่อให้ครูได้ช่วยตนเองได้สอดคล้องกับ ไวลส์ และโลเวลล์ (Wiles &
Lovell อ้างใน อัญชลี ธรรมะวิธีกุล , 2555) กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา คือ การแนะนำซึ่งกันและกัน
วางแผนร่วมกนั ปรึกษาหารอื กันเพือ่ หาทางปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนให้ดขี ึ้น
สำหรับนักการศึกษาและนักวิชาการไทย ได้ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษาไว้อย่าง
หลากหลายโดย นิพนธ์ ไทยพานิช (2531 : 17) ได้ให้ความหมายของการนเิ ทศการศกึ ษาไว้วา่ เป็นความ
พยายามของบุคลากรทางการศึกษาที่จัดทำกิจกรรมและให้บริการกับผู้บริหารและครูในทางตรงและ
ทางอ้อม ที่จะปรับปรุงการเรียนการสอนของครู เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนของ
นักเรียนเช่นเดียวกับ อัญชลี โพธิ์ทอง (2544 : 65) กล่าวถึงความหมายของการนิเทศการศึกษาว่า เป็น
กระบวนการในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ โดยการนิเทศการศึกษาเป็นการ
พฒั นาคุณภาพของนกั เรียนโดยผา่ นตัวกลางคอื ครู และบคุ ลากรอ่ืนๆ ทเ่ี กย่ี วข้องทางการศึกษา
ส่วน บญุ ศรี ใสลาเพาะ (2551 : 25) กล่าววา่ การนเิ ทศการศกึ ษา คือ กระบวนการหรือ
กิจกรรมในการปฏบิ ตั ิงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รบั การนเิ ทศ เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
ท่ีเน้นผู้เรียนเปน็ สำคญั ให้มคี ณุ ภาพและประสทิ ธิภาพ
ในขณะที่ อรรถพล ปิ่นมัน (2550 : 29) สรุปว่า การนิเทศการศึกษาเป็นการหาวิธีการ
ชว่ ยเหลอื ครู และครู รู้จกั การชว่ ยเหลอื ตนเอง มีความเชอ่ื มนั ในตนเองมากขน้ึ และสามารถวิเคราะห์
ปัญหาต่างๆ ไดโ้ ดยผ้บู ริหารและคณะครู ในสถานศกึ ษาต้องรว่ มมือกนั ทำงานเปน็ ทมี
นอกจากนี้ สงดั อทุ รานนั ท์ (อา้ งใน รชั นี ลาภรตั นทอง, 2553 : 6) ไดใ้ หค้ วามหมายของ
การนเิ ทศการศึกษาว่า เปน็ กระบวนการทำงานรว่ มกนั ระหว่างครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้
ไดม้ าซึ่งผลสัมฤทธสิ์ ูงสุดในการเรยี นของนักเรียน
8
จากความหมายของการนิเทศการศึกษาดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า การนิเทศการศึกษา
หมายถึง กระบวนการพัฒนาครู เพื่อให้ครูปรับปรุงและพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การจัด
การศึกษาบรรลุ จุดมุ่งหมายที่วางไว้การนิเทศการศึกษาจึงเป็นกระบวนการในการแนะนำช่วยเหลือครู
ให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งการนิเทศนั้นอยู่บนหลักการของ
ประชาธิปไตย ได้แก่ การเคารพซึ่งกันระหวา่ งผู้นิเทศและผู้รบั การนิเทศ
2. ความสำคัญและความจำเปน็ ของการนิเทศการศกึ ษา
การนิเทศการศึกษาเป็นศาสตรท์ างการบริหารที่มคี วามสำคัญในการพฒั นาครู ให้มีความรู้
ความสามารถ และมีเจตคติที่ดีต่อการปฏิบัติงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุดมีนักวิชาการท่ี
กลา่ วถงึ ความสำคัญของการนิเทศการศึกษาไว้ดงนัี้
ชาญชยั อาจิณสมาจาร (ม.ป.ป. : 5-6) กล่าวถึงความสำคัญของการนิเทศการศึกษา ดังน้ี
1 การนิเทศการศึกษามีความจำเปน็ ในการให้บริการทางวชิ าการการศึกษาเปน็ กจิ กรรม
ท่ีซบั ซ้อนและยุง่ ยาก เพราะเกี่ยวขอ้ งกับบคุ คลการนิเทศการศกึ ษาเป็นการใหบ้ ริการแก่ครู
จำนวนมากทีม่ ีความสามารถตา่ ง ๆ กนั อกี ประการหนงึ่ การศกึ ษาได้ขยายตวั ไปอยา่ งมากเมื่อไมน่ านมาน้ี
สิง่ เหลา่ น้กี ็ตองอาศยั ความช่วยเหลอื ทง้ั นน้ั
2) การนิเทศการศึกษามีความจำเป็นต่อความเจริญงอกงามของครู แม้ว่าครู จะได้รับ
การฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดี ตามแต่ครูจะต้องปรับปรุงการฝึกฝนอยู่เสมอในขณะทำงานในสถานการณ์
จริง
3) การนเิ ทศการศกึ ษามคี วามจำเป็นตอ่ การช่วยเหลอื ครใู นการตระเตรยี มการสอน
เนื่องจากครูต้องปฏิบัติงานในกิจกรรมต่าง ๆ กัน และจะต้องเผชิญกับภาวะที่ค่อนข้างหนักครูจึงไม่อาจ
สละเวลาได้มากเพียงพอต่อการตระเตรียมการสอนการนิเทศการศึกษาจึงสามารถลดภาระของครูได้ใน
กรณี ดังกลา่ ว
4) การนิเทศการศึกษามีความจำเป็นต่อการทำให้ครูเป็นบุคคลที่ทันสมัยอยู่เสมอจาก
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีอยู่เสมอทำให้เกิดพัฒนาการทางการศึกษาทั้งทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ
ขอ้ แนะนำทีไ่ ด้จากการวิเคราะห์ จากการอภิปราย และจากข้อคน้ พบของการวจิ ยั มีความจำเป็นต่อความ
เจริญเติบโตดงั กลา่ ว การนิเทศการศึกษาสามารถให้บริการได้
5) การนิเทศการศึกษามีความจำเป็นต่อภาวะผู้นำแบบประชาธิปไตยการนิเทศ
การศึกษาสามารถใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ยังสามารถรวมพลังของทุกคนที่ร่วมอยู่ใน
กระบวนการทางการศกึ ษาดว้ ย
สว่ นสุทธนู ศรไี สย์ (2545 : 7-8) ได้กลา่ วถงึ ความสำคัญของการนเิ ทศการศึกษาไวว้ ่าการ
นิเทศการศกึ ษาสามารถเปน็ ประโยชน์ต่อครู ได้ดงนี้ั
1) การนิเทศช่วยให้ครู มีความเชื่อม่ันในตนเอง ถ้าครูยังมีความสนใจเก่ียวกับเรื่องต่าง
ๆ ในห้องเรียนครูก็จะเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบและจะมีความเข้มแข็งในการปฏิบัติงานทุก
ดา้ น
2) การนิเทศสนับสนุนให้ครูสามารถประเมินผลการทำงานได้ด้วยตนเองครูสามารถ
มองเห็นดว้ ยตนเองว่าประสบผลสำเรจ็ ในการสอนไดม้ ากน้อยเพยี งใด
3) การนิเทศช่วยให้ครูได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันครูผู้สอนแต่ละคน
สามารถสังเกตการทำงานหรอื การสอนของครูคนอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงการสอนของตนนอกจากนี้จะมีการ
9
แลกเปล่ยี นวัสดุอุปกรณ์การสอนและรับเอาวธิ ีการใหมๆ่ จากครูคนอ่ืนไปทดลองใช้ รวมท้ังเรียนรู้วิธีการ
ช่วยเหลอื ให้การสนบั สนนุ แกค่ รูคนอน่ื ๆ ด้วย
4) การนิเทศช่วยกระตุ้นครูให้มีการวางแผนจัดทำจุดมุ่งหมายและแนวปฏิบัติไปพร้อม
ๆ กันครูแต่ละคนสามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อนครู ด้วยกันเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาการสอนอย่าง
กว้าง ๆ ภายในโรงเรียนการวางแผนฝกึ หรือให้บรกิ ารเสริมวิชาการ การพัฒนาหลักสูตรและการกระตุ้น
ให้ครูผู้สอนทำงานวิจัยเกี่ยวกับชั้นเรียนรวมทั้งการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของครูกับกลุ่มและ
ชี้ให้เห็นความสามารถในการควบคุมและจัดการความน่าเชื่อถือและความเป็นวิชาการของครู คนนั้นได้
เปน็ อยา่ งดี
5) การนิเทศจะเป็นกระบวนการที่ท้าทายความสามารถของครูให้มีความคิดเชิง
นามธรรมสูงขึ้นในขณะปฏิบัติงานครูผู้สอนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับ ซึ่งเป็นผลมาจากผลการประเมิน
ข้อมูลเหล่านี้ จะสะท้อนให้เห็นข้อดีและข้อเสียของการปฏิบัติงานรวมทั้งแนวคิดหลายแนวทางที่จะใช้
เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ท้าทายและ
ช่วยพฒั นาแนวคดิ เชิงนามธรรมของครู ใหส้ งู ขน้ึ ด้วย
สอดคล้องกับ วิจิตร วรุตบางกูร (อ้างใน สถาพร เถรวงแก้ว, 2550 : 22) ซึ่งได้กล่าวถึง
ความสำคัญและความจำเปน็ ของการนิเทศการศึกษาดังนี้
1) สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะการศึกษาจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้อง
กับการเปล่ยี นแปลงของสงั คมดว้ ย ซง่ึ การนิเทศการศึกษาจะช่วยให้เกิดการเปล่ียนแปลงขึ้นในองค์การท่ี
เก่ยี วข้องกบั การศกึ ษา
2) ความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งแม้แต่แนวคิดเกี่ยวกับการเรียน
การสอนกเ็ กิดข้นึ ใหม่ตลอดเวลาการนเิ ทศการศึกษาจึงช่วยทำให้ครมู ีความรูท้ ันสมยั อยเู่ สมอ
3) การแก้ปญั หาและอุปสรรคตา่ งๆ เพ่อื ให้การเรียนการสอนพัฒนาข้ึนจำเป็นต้องได้รับ
การชแี้ นะหรือการนิเทศการศึกษาจากผชู้ ำนาญการโดยเฉพาะ จงึ จะทำใหแ้ ก้ปัญหาได้สำเร็จลุล่วงกล่าว
โดยสรุป การนิเทศมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเนื่องจากกระบวนการนิ เทศเป็น
กระบวนการที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ ความสามารถ ความ
ชำนาญ เพิ่มพูนศักยภาพในการปฏิบัติงานในด้านการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้เรียนให้
สอดคล้องบริบททางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนา
คุณภาพของผ้เู รยี น
3. จุดม่งุ หมายของการนิเทศการศกึ ษา
นกั วิชาการกลา่ วถงึ จุดมงุ่ หมายของการนิเทศการศึกษาไวด้ งน้ีั
เซอร์ จีโอแวนนี และสตาร์ แรทท์ (Sergiovanni and Starratt, 2007 อ้างใน เก็จกนก
เอื้อวงศ์, 2556 : 8) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาว่าเป็นการชว่ ยเหลือสถานศึกษาโดย
เพิ่มโอกาสและความสามารถของสถานศึกษา เพื่อให้มีการดำเนินการที่มีประสิทธิ ภาพมากขึ้นในการ
ส่งเสริมความสำเร็จทางวิชาการของนักเรียนบีช และไรน์ ฮาร์ทซ (Beach and Reinhartz, 2000 อ้าง
ใน เก็จกนก เอื้อวงศ์, 2556 : 8) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาว่า เป็นการดำเนินการเพอ่ื
สนับสนุนส่งเสริมครูให้มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาและความงอกงามในวิชาชีพในระยะยาว ซึ่งจะส่งผล
สงู สุดตอ่ คณุ ภาพ การเรยี นการสอน ความงอกงามและการพัฒนาดังกล่าวข้ึนอยู่กบั ระบบท่มี ีพื้นฐานจาก
ความไว้วางใจและการให้การสนับสนุนความพยายามของครู ในการพัฒนาประสิทธิภาพการสอนในช้ัน
10
เรียนสอดคลอ้ งกับ เบอรต์ ัน และบรคู เนอร์ (Burton and Brueckner, 1955 อา้ งในปรีชา คมั ภรี ปกรณ์
2549: 96-97) ได้กำหนดจุดมุง่ หมายของการนิเทศการศึกษาโดยแบ่งออกเปน็ 3 ระดับคือ
1) เป้าหมายสูงสุดของการนิเทศ คือการส่งเสริมความเจริญเติบโตของผู้เรียนเพื่อการ
นำไปสู่ การพัฒนาสงั คมให้ดขี ้ึน
2) เป้าหมายรองของการนิเทศ คือ การส่งเสริมการใช้ภาวะผู้นำในการพยายาม
ปรับปรุงโปรแกรมการศึกษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตลอดปีทุกระดับการศึกษาภายในระบบการ
พฒั นาและจากประสบการณก์ ารเรียนรหู้ รือเนอ้ื หาหน่ึงไปยังอีกเนื้อหาหนึ่ง
3) เป้าหมายในระดับตน้ คือการร่วมมอื กันพฒั นาองค์ประกอบท่ีพงึ ประสงค์ในการเรียน
การสอนไดแ้ ก่
3.1) กระบวนการนเิ ทศในทกุ รปู แบบจะชว่ ยในการปรบั ปรุงการจัดการเรียนการ
สอน
3.2) การนิเทศจะช่วยสร้างสิ่งแวดลอ้ มหรอื บรรยากาศทางกายภาพสังคม
และจิตวิทยาที่เอ้ือต่อการเรยี น
3.3) การนเิ ทศจะชว่ ยในการประสานและบูรณาการความพยายาม และวสั ดุ
ทางการศกึ ษาทั้งหมดเพ่ือให้การศึกษาดาเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
3.4) การนเิ ทศจะชว่ ยในการประสานความร่วมมือของทกุ คนเพ่ือแก้ปัญหา
ของตนเองและคนอ่นื อนั จะเป็นการสง่ เสรมิ วิธกี ารสอนที่ถกู ต้องและป้องกนั ปัญหาในการสอน
3.5) การนิเทศจะช่วยกระตุ้นและพัฒนาผู้สอนให้มีความคิดในทางสร้างสรรค์
เชน่ เดียวกับสำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน (2546: 24-25) ได้ระบุถงึ จุดมุ่งหมายของการ
นิเทศการศกึ ษาโดยมุ่งเนน้ ท่กี ระบวนการพัฒนาครใู นด้านต่างๆ ดังนี้
3.5.1) เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีให้แก่ครูในด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการและ
ทางความคิดความมมี นุษยสัมพนั ธ์ความคิดริเริม่ สร้างสรรค์และความมุ่งมันมีอุดมการณ์ในอันที่จะอบรม
นักเรียนให้เปน็ ผูม้ ีคณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ตี ามความตอ้ งการของสังคมและประเทศชาติ
3.5.2) เพื่อพัฒนาวิชาชพี ครู และเสริมสร้างสมรรถภาพด้านการสอนให้แก่ครูใน
ด้าน การวิเคราะห์และปรับปรุงจุดประสงค์การเรียนรู้วิธีการศึกษาพื้นฐานความรู้ของผู้เรียนการเลือก
และปรับปรุงเนื้อหาการสอนการพัฒนากระบวนการเรียนการสอน การพัฒนาการใช้ประกอบการเรียน
การสอนการดำเนนิ กจิ กรรมการเรยี นการสอนให้เหมาะสม และการประเมนิ ผลการเรียนการสอน
3.5.3) เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานของครู โดยใช้กระบวนการกลุ่ม ได้แก่
ความร่วมมือกันจดั กิจกรรมการเรียนการสอนและการแก้ปัญหาการสอนการร่วมมือกันทำงานอยา่ งเป็น
ขั้นตอนมีระบบระเบียบการร่วมมือกันทำงานด้วยความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจและยอมรับ ซึ่งกันและกัน
การร่วมมือกันทำงานอย่างมีเหตุมีผลในการพัฒนาหลักสูตรสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องและก้าวหน้าเกิด
ประโยชน์สูงสุดการประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายการนิเทศและแหล่งวิทยาการในการบริการ
ชว่ ยเหลอื งานวิชาการของโรงเรียน
3.5.4) เพ่ือสรา้ งขวญั และกำลังใจในตำแหน่งวิชาชพี โดยสร้างความมน่ั ใจใน
ความถูกตอ้ งเก่ยี วกบั การใชห้ ลกั สตู รและการสอนสรา้ งความสบายใจในการทำงานร่วมกันและสร้าง
ความกา้ วหน้าในวชิ าชพี ครู ส่วน สงดั อุทรานันท์ (อ้างใน รัชนี ลาภรตั นทอง, 2553 : 7) ไดก้ ล่าวถึง
จดุ มุ่งหมายของการนเิ ทศการศกึ ษาว่า มจี ุดมุง่ หมายทสี่ ำคัญ 4 ประการ ดังน้ี
11
(1) เพื่อพัฒนาคน หมายถึง การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการทำร่วมกันกับ
ครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาเพื่อให้ครแู ละบุคลากรได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางทด่ี ขี ึ้น
(2) เพื่อพัฒนางาน หมายถึง การนิเทศการศึกษามีเป้าหมายสูงสดุ อยู่ท่ีผู้เรียนซึ่ง
เปน็ ผลผลติ จากการจัดกระบวนการเรยี นรู้ของครู และบคุ ลากรทางการศึกษาโดยเหตนุ ี้การนเิ ทศที่จัดขึ้น
จงึ มีจุดหมายทจ่ี ะพัฒนางาน คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนที่ดขี ึ้น
(3) เพื่อสร้างการประสานสัมพันธ์ หมายถึง การนิเทศการศึกษาเป็นการสร้าง
การประสานสัมพันธ์ระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกัน รับผิดชอบ
ร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันซึ่งไม่ใช่เปน็ การทำงานภายใต้ การถูกบังคับและคอยตรวจ
ตราหรือคอยจบั ผิด
(4) เพือ่ สร้างขวัญและกำลังใจ หมายถึง การจดั กิจกรรมการนิเทศท่ีมงุ่ ให้กำลังใจ
แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญอีก ประการหนึ่งของการนิเทศ
เนื่องจากขวญั และกำลงั ใจเปน็ สงิ่ สำคญั ท่ีจะทำใหบ้ ุคคลมีความต้ังใจทำงาน หากนเิ ทศไม่ไดส้ ร้าง
กำลงั ใจแก่ผู้ปฏิบัติงานแลว้ การนิเทศการศึกษากย็ อมประสบผลสำเรจ็ ไดย้ าก
สำหรับ บนั ลอื พฤกษะวนั (อ้างใน เกจ็ กนก เอ้ือวงศ์, 2556 : 9) กล่าวว่าจดุ มุ่งหมายของ
การนเิ ทศภายในโรงเรียนทส่ี ำคญั 5 ประการ
1) มงุ่ พัฒนาบุคลากรในหนว่ ยงานให้ได้รบั ความรเู้ พิ่มความสามารถในการปฏิบัติงานให้
ดขี ้นึ
2) มุ่งพัฒนางานการเรยี นการสอนและสรา้ งสรรค์งานให้มีประสิทธิภาพ
3) มุ่งพฒั นาการประชาสมั พันธ์ เพอ่ื สรา้ งความเข้าใจในการจัดการศกึ ษาและ
การนเิ ทศตลอดจนการดำเนนิ กิจกรรมของโรงเรียนในอันที่จะไดร้ บั ความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่ายทง้ั
ในและนอกชมุ ชน
4) ส่งเสรมิ การสร้างขวัญและกำลงั ใจของบุคลากรให้ทำงานด้วยความม่ันใจมีกำลงั ใจใน
การทำงาน
5) ประสานงานและอำนวยความสะดวกส่งเสรมิ การนิเทศจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ
จากแนวคิดข้างตน้ พบว่า จดุ มุ่งหมายของการนิเทศการศึกษามีจุดมงุ่ หมายสูงสุด คือการพัฒนาคุณ ภาพ
ผู้เรียนโดยผ่านกระบวนการนิเทศ เพื่อพัฒนาครู ให้มีภาวะผู้นำทางวิชาการในการพัฒนาปรับปรุง
หลักสูตรและกระบวนการเรยี นการสอนเสริมสร้างสมรรถนะด้านการสอนการปฏิบัติงานของครูส่งเสริม
การประสานความร่วมมือในการแก้ปัญหาในการจดั การเรียนการสอนและเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้ครูมี
ความไว้วางใจและความมนั คงในความก้าวหน้าในวชิ าชพี
4. หลักการของการนิเทศการศึกษา
หลักการของการนเิ ทศการศึกษาน้ันมาจากความคดิ ความเชื่อของนักการศึกษาท่ีมีต่อการ
นเิ ทศการศึกษา ไดแ้ ก่
ฮอย และฟอร์ สิธ (Hoy and Forsyth, 1986 อา้ งใน เก็จกนก เอื้อวงศ์, 2556 : 10)
กล่าวว่าการท่ผี นู้ ิเทศจะดำาเนิน การนิเทศการเรียนการสอนได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพไดน้ ั้น ผ้นู เิ ทศตอ้ งมี
สมมติฐานตอ่ การพฒั นาการเรียนการสอน ดงั น้ี
1) บคุ คลท่ีเป็นหวั ใจของพฒั นาการเรยี นการสอนได้คือครู
2) ครูต้องการอิสรภาพที่จะพัฒนาการเรียนการสอนตามแบบฉบบั ของตนเอง
12
3) การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมการสอนของครู จำเปน็ ต้องได้รบั การสนบั สนนุ
ทางสังคม รวมท้ังการจัดให้มีการกระตนุ้ ทางปัญญาและทางวชิ าชีพ
4) แบบแผนการนิเทศทีย่ ึดติดตายตวั และการใช้การบบี บงั คับจะไม่ทำให้เกิด
ความสำเรจ็ ในการพัฒนาการสอน
5) การพฒั นาการสอนมกั จะประสบความสำเรจ็ ในสถานการณก์ ารทำงานแบบ
เพอื่ นร่วมวิชาชพี ไมใ่ ช่การแสดงออกวา่ เหนอื กวา่ และเป็นการสนับสนนุ ใหค้ รู มีการแสวงหาความร้แู ละมี
การทดลองกวา้ ง ไม่มีท่าทคี ุกคามผู้อ่ืนมีความนา่ ไวว้ างใจ และสามารถมีสมั พันธภาพแบบเสริมพลังจูงใจ
ซึ่งกันและกันระหว่างครู และผู้นิเทศ ซึ่งทำให้เกิดความงอกงามด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายการนิเทศจึงเป็นการ
เรียนรู้ตลอดชีวีตสมมตฐิ านทีบ่ ีชและไรนฮ์ ารท์ นำเสนอไวป้ ระกอบด้วย
5.1) ครู สามารถแก้ไขปญั หาการเรียนการสอนโดยการปรับพฤติกรรมของตนเอง
5.2) การตระหนักถึงความจำเปน็ ในการปรบั พฤติกรรมของตนเองต้องมาจาก
ภายในตัวครู เองมากกวา่ การถูกบังคับจากผู้อืน่
5.3) พฤติกรรมการสอนของครู จะไดร้ ับการศกึ ษาวิเคราะห์และระบุได้อย่างชดั เจน
โดยผ่านการอภิปรายแลกเปลี่ยนการเรียนรู้กนั อยา่ งไม่เปน็ ทางการการเยี่ยมชน้ั เรียนและการสังเกตอย่าง
เป็นระบบ
5.4) ผู้นิเทศสามารถใหม้ ุมมองทเี่ ป็นประโยชน์ แก่ครไู ดโ้ ดยใช้การเสนอแนะการ
อภปิ รายแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ อยา่ งเอ้อื อำนวยและการสังเกตห้องเรียน
5.5) เม่ือได้สารสนเทศที่ชัดเจนเป็นทยี่ อมรับครูจะเป็นผู้มบี ทบาทสำคัญใน
การกำหนดสงิ่ ท่ีต้องการการเปล่ยี นแปลง
5.6) คุณภาพการปฏิบัติงานของครู และผู้นิเทศจะสูงขึ้นเมื่อสัมพันธภาพของครู
และผู้นิเทศมีลกษณะของความเป็นเพื่อนและอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจความร่วมมือการเคารพ
และความมันใจซึ่งกันและกันในส่วนของหลัก การการนิเทศ เซอร์จิ โอแวนนีและสตาร์ แรทท์
(Sergiovanni and Starratt, 1983 อ้างใน เก็จกนก เอื้อวงศ์, 2556 : 11) กล่าวถึงหลักการนิเทศ
การศกึ ษาดังน้ี
5.6.1) การนเิ ทศการศึกษาต้องคานึงถึงการปรับปรุ งการเรี ยนการสอนและ
การดาเนินการโดยทวั ไปรวมทงั้ จัดให้มีความพร้อมทางวตั ถุตา่ งๆ
5.6.2) การนิเทศการศึกษาและการบริ หารการศกึ ษามีความสัมพนั ธ์กนอยา่ ง
ใกล้ชดิ
5.6.3) การนิ เทศการศึกษาที่ดี ตอ้ งอยู่บนพนื้ ฐานของปรชั ญาวิทยาศาสตรแ์ ละ
ความเปน็ ประชาธปิ ไตย
5.6.4) การนเิ ทศการศึกษาท่ดี ีเมือ่ อย่ใู นสถานการณ์ท่ไี ม่สามารถใชว้ ิธกี ารทาง
วิทยาศาสตร์ได้อาจใช้วธิ กี ารศึกษาปรับปรงุ และประเมนิ ผลการผลิต
5.6.5) การนิเทศการศึกษาทด่ี ีควรเป็นความคดิ รเิ ร่ิมสร้างสรรค์
5.6.6) การนิเทศการศึกษาที่ดีตอ้ งมีการวางแผนอย่างเป็นระบบมีการประสาน
ความร่วมมอื และจดั ให้มกี จิ กรรมอย่างต่อเน่ือง
13
5.6.7) การนิเทศการศึกษาที่ดีต้องเป็นวิชาชีพนอกจากนี้ สงัด อุทรานันท์ (อ้าง
ใน รชั นี ลาภรัตนทอง, 2553 : 10) ไดก้ ล่าวถึงหลกั การสำคญั ของการนเิ ทศการศึกษาซึง่ ประกอบด้วย 3
หลักการใหญ่ดังน้ี
หลักการที่ 1 การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการทำงานร่วมกันของผู้บริหารผู้นิเทศ
และผู้รับการนิเทศ โดยการดำเนินการนิเทศต้องมีการทำงานเป็นขั้นตอน (Steps) มีความต่อเนื่อง
(Continuity) ไม่หยุดน่งิ (Dynamic) และมีความเกย่ี วขอ้ งสัมพนั ธ์ (Interaction) ในหมผู่ ้ปู ฏิบัตงิ าน
หลักการที่ 2 การนเิ ทศการศกึ ษามีเป้าหมายอยทู่ ี่คุณภาพของผู้เรียนแต่การดำเนินงาน
นั้นต้องผ่านตัวกลางคือ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ไม่ใช่การดำเนินการกับนักเรียนโดยตรง แต่การ
นเิ ทศการศึกษาเป็นการทำงานโดยผ่านตัวครู และบุคลากรทางการศึกษาซ่ึงถือว่าเป็นการทำงานร่วมกัน
กับครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อพัฒนาให้บุคคลเหล่านี้ มีความรู้ ความเข้าใจและสามารถ
ปฏิบตั งิ านไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
หลักการที่ 3 การนิเทศการศึกษาเน้นบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตยซึ่งไม่ได้
หมายถึงเฉพาะบรรยากาศแห่งการทำงานร่วมกันเท่านั้น และจะหมายรวมถึงการยอมรับซึ่งกันและกัน
การเปลี่ยนแปลงบทบาทในฐานะผู้นำและผู้ตาม ตลอดจนการยอมรับผิดชอบต่อผลงานร่วมกันด้วย
สอดคล้องกับ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (อ้างใน เก็จกนก เอื้อวงศ์, 2556 : 11) กล่าวถึงหลักการนิเทศ
การศึกษาไวด้ งั น้ี
1) การนิเทศการศกึ ษาควรมีการบรหิ ารอย่างเปน็ ระบบมีการวางแผนเป็นการ
ดำเนินงานเป็นโครงการ
2) การนิเทศการศึกษาถือหลักการมีสว่ นร่วมในการทำงานคอื ความเป็นประชาธิปไตย
เคารพในความคดิ เห็น ของผู้อ่ืนเห็นความแตกตา่ งระหว่างของบุคคลเปน็ ความรว่ มมือรว่ มใจกัน
3) การดำเนินงานและใชค้ วามรูค้ วามสามารถในการปฏบิ ตั ิงานเพื่อให้งานนนั้ ไปสู่
เปา้ หมายท่ตี ้องการ
4) การนิเทศการศึกษาจะให้ได้ผลดีควรใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา
และช่วยให้ผู้ร่วมงานได้ศึกษาปัญหา ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานเสียก่อน
จากหลักการของการนิเทศการศึกษาดังกล่าวขา้ งตน้ เป็นหลกั การทส่ี ามารถจะนำไปใช้ในการดำเนินการ
นิเทศของผู้นิเทศ เป็นแนวทางในการปฏิบัติการนิเทศการศึกษาของหน่วยงานทางการศึกษา ซึ่ง
ประกอบด้วยหลักการท่ีสำคญั คอื หลักของการมุ่งประโยชน์เพ่ือการพัฒนาครูเปน็ สำคัญ หลักแห่งความ
ร่วมมือของผู้บริหาร ผู้นิเทศและครู หลักของการสรา้ งสัมพนั ธภาพบนความเท่าเทียมและการยอมรับซ่งึ
กันและกัน หลักของความเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง และหลักของความยืดหยุนให้อิสระในการ
พฒั นาตนเอง
5. ภารกิจของการนิเทศการศึกษา
การนิเทศการศึกษามีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาครู และพัฒนาความก้าวหน้าในวิชาชีพครู
เพื่อให้ครูได้ปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบให้เป็นไปตามเป้าหมายของสถานศึกษาและจุดมุ่งหมายในการจัด
การศึกษา คือการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนและการดำเนินการนิเทศการศึกษาให้บรรลุผลสำเร็จดังกล่าว
จำเป็นตอ้ งปฏิบัตหิ น้าที่ให้ครอบคลุมภารกจิ ตา่ งๆ นกั วิชาการได้กลา่ วถึงภารกิจของการนิเทศการศึกษา
ไว้ดังนี้ กลิกแมน , กอร์ คอบ และโรสกอร์ ดอน (Glickman, Gordon and Ross Gardon, 2009 อ้าง
14
ใน เก็จกนก เอื้อวงศ์, 2556 : 12) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการนิเทศการศึกษาเพื่อความสำเร็จของ
สถานศึกษาในการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียนโดยกลา่ วถึงภารกจิ ของการนิเทศ 5 ประการได้แก่
1) การให้การช่วยเหลือโดยตรง (Direct Assistance) ผู้นิเทศจะติดต่อสัมพันธ์กับผู้รับ
การนิเทศอย่างต่อเนื่องเป็นการส่วนตัว โดยอาจเข้าไปสังเกตการสอน และให้การช่วยเหลือแนะนำครู
เป็นรายบุคคล เพ่ือการพัฒนาการเรียนการสอน โดยอาศยั การนิเทศแบบคลนิ ิกการนิเทศแบบเพื่อนสอน
เพื่อน การสาธิตการสอน และการให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้คำแนะนำเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน
และทรพั ยากรในการนิเทศอ่นื ๆ
2) การพัฒนาโดยกลุ่ม (Group Development) ผู้นิเทศมีการจัดประชุมครู เพื่อ
แก้ปัญหาการดำเนินการกลุ่มที่มีประสิทธิภาพต้องมีผู้นำกลุ่มที่มีทักษะระหว่างบุคคลที่ดีกลุ่มที่มี
ประสิทธิภาพจะมี 2 มิติ โดยมิติแรก คือ มิติด้านภาระงาน (Task Dimension) กลุ่มจะต้องมีแนวทาง
และเป้าประสงค์ของกลุ่ม เช่น กลุ่มเพื่อพัฒนาตารางแผนการสอนใหม่ หลักสูตรใหม่หรือแผนพัฒนา
วิชาชีพและมิติที่สองคือมิติด้านบุคคล (Person Dimension) กลุ่มที่มีประสิทธิภาพและมีการใช้ทักษะ
ระหวา่ งบคุ คลอยา่ งดี สมาชกิ กลุ่มจะมีความพึงพอใจ ซ่งึ จะเป็นพลังขับเคลื่อนในการทำงานร่วมกัน การ
ที่กลุ่มมีลักษณะละเอียดอ่อนและให้ความสำคัญกับความรู้สึกของสมาชิก ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศใน
การพบปะกันและช่วยให้กลุ่มบรรลภุ ารกิจทตี่ ั้งไว้
3) การพัฒนาทางวิชาชีพ (Professional Development) มีการดำเนินการ 2 ระดับ
ระดับแรก คือ ครู แต่ละคนต้องมีโอกาสในการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อการสนับสนุนการประกอบ
วิชาชีพของตนและการทำให้บรรลุเป้าหมายของวิชาชีพระดับที่สอง คือ ครู ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ
โรงเรียนหรือหน่วยงาน ต้องทำความเข้าใจเรียนรู้ใช้ทักษะความรู้ และโปรแกรมการพัฒนาร่วมกันที่จะ
ให้บรรลุเป้าหมายของหน่วยงานการพัฒนาทางวิชาชีพอาจมีกิจกรรมที่เกี่ยวกับการวางแผนระยะยาว
การประชุมเพื่อการแก้ปัญหา การทดลอง การสนับสนุนทางการบริหารกิจกรรมกลุ่มย่อยการให้ข้อมูล
ย้อนกลบั การสาธิตการสอนและการสอนแนะ
4) การพัฒนาหลักสูตร(Curriculum Development) สถานศึกษาที่ประสบ
ความสำเรจ็ ครูต้องเขา้ ไปเกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลกั สูตร โดยตอ้ งมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตร
ตั้งแต่จุดมุ่งหมายของหลักสูตรเนื้อหาของหลักสูตร การจัดการหลักสูตรและสามารถนำหลักสูตรไปสู่
กระบวนการเรียนการสอนในช้ันเรียน และสอดคลอ้ งกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ของสถานศึกษา ผู้นเิ ทศและ
ครู ตอ้ งทำงานร่วมกันในการพิจารณาวัตถุประสงค์ของหลักสูตรศึกษาและทำความเขา้ ใจเกี่ยวกับเนื้อหา
หลักสตู รและรปู แบบของหลักสูตรท่มี ีความเหมาะสมกับผู้เรียนเพิม่ ทางเลือกและข้อตกลงของครู ในการ
นำหลกั สูตรไปปฏบิ ตั ิ
5) การวิจัยปฏิบัติการ (Action Research) เป็นการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับ
สภาพที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและสถานศึกษา และแสวงหาแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนการ
นิเทศจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือให้ครูมีความสามารถในการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ เมื่อครูขาด
ความพร้อมในการวิจัยเชิงปฏบิ ัติการ มีความรู้ความสามารถและการตระหนักถึงความสำคัญในระดับต่ำ
ผู้นิเทศอาจเลือกวิธีการนิเทศแบบสั่งการ เพื่อให้ครูได้ศึกษา อ่านบทความเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อให้เกิด
การพัฒนา และเมื่อครูมีความพร้อมในระดับหนึ่งผู้นิเทศอาจเลือกใช้วิธีการนิเทศแบบสั่งการและให้
ข้อมูลโดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเป้าหมายของการวิจัยการเก็บ รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลรวมทงั้
การจัดทำแผนปฏิบัติการ แล้วจึงใช้การนิเทศแบบร่วมมือ และหากครูสามารถพัฒนาเองจนสามารถ
15
ยกระดับความรู้ ความสามารถได้แล้วจึงสามารถใชก้ ารนเิ ทศแบบไม่ชี้นำ กลิกแมน กล่าวว่าการวิจยั เชงิ
ปฏิบัติการเป็นแกนหลักของภารกิจการนิเทศโดยส่วนใหญ่ เมื่อกล่าวถึงภารกิจการนิเทศจะเป็นการ
กล่าวถึงโดยแยกออกจากกัน ซึ่งความเป็นจริงแล้วในการพัฒนาการเรียนการสอนตามภาระงานที่
กล่าวถึงมีความสัมพันธ์กันการวิจัยเชิงปฏิบัติการจึงสามารถเป็นแกนหลักและเป็นกลไกที่จะช่วย
ผสมผสานงานต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน ภารกิจการนิเทศทั้ง 5 ลักษณะข้างต้นเป็นสิ่งสำคัญในการ
สนับสนุนและการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อพัฒนาครูผู้นิเทศต้องวางแผนในการดำเนินการตามภารกิจ
ทั้งหมดโดยการรวมเป้าหมายของสถานศึกษาและความต้องการของครูให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อจะนำไปสู่
พลังในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างไรก็ตามการที่ผู้นิเทศจะปฏิบัติตามภารกิจ 5
ประการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้นิเทศจะต้องมีสิ่งจำเป็นเบื้องต้น (Prerequisites) ได้แก่ ความรู้
ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะเชิงเทคนิค เพื่อการปฏิบัติภารกิจของการนิเทศการศึกษา โดยการ
ดำเนินการตามภารกิจดังกล่าวจะช่วยให้ครูได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายของสถานศึกษา
และความต้องการของครู การที่จะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนได้นั้นผู้นิเทศต้องมี
สง่ิ จำเปน็ เบื้องตน้ คือความรู้และทกั ษะพนื้ ฐานได้แก่
1) ความรู้ผู้นิเทศจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของครูและสถานศึกษา มี
ความรู้ความเข้าใจ เกยี่ วกบั การพฒั นาครู และหลักการในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ รวมทัง้ แนวปฏิบัติในการ
นิเทศซ่งึ เป็นทางเลือกใหมๆ่ ทไี่ มเ่ คยปฏบิ ตั มิ าก่อน
2) ทักษะระหว่างบุคคล ผู้นิเทศต้องเข้าใจว่าพฤติกรรมการปฏิบัติงานของตนจะส่งผล
กระทบต่อครู ผู้รับ การนิเทศทักษะนี้จะสามารถนำมาใช้เพื่อการสนับสนุนให้เกิดสัมพันธภาพเชิงบวก
ระหวา่ งผูน้ เิ ทศและผูร้ บั การนิเทศ
3) ทักษะเชิงเทคนิค ได้แก่ ทักษะในการสังเกต การวางแผน การวัด และประเมินผล
และการพัฒนาการเรียนการสอน ความรู้และทักษะพื้นฐานดังกล่าวเป็นองค์ประกอบของการนิเทศ ซึ่ง
จะเปน็ กลไกในการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาส่วน แฮริส (Harris, 1985 อ้างใน เกจ็ กนก เออ้ื วงศ์, 2556 :
14) นักวิชาการที่นำเสนอแนวคิดสำคัญในการนิเทศการเรียนการสอน ได้แบ่งภาระงานนิเทศออกเป็น
10 ประการดงั นี้
1) งานพัฒนาหลักสูตร (Developing Curriculum) เป็นงานที่เกี่ยวกับการออกแบบ
พัฒนาหลักสูตรจัดทำแนวทางการพัฒนาหลักสูตร กำหนดมาตรฐานหลกั สตู ร จัดทำหน่วยการเรียนการ
สอนและสรา้ งรายวิชาใหม่ๆใหเ้ หมาะสมกับสภาพการณ์ของสถานศึกษา
2) งานจัดการเรียนการสอน (Organizing for Instruction) เป็นงานที่ต้องมีการ
จดั เตรียมทัง้ ผเู้ รียนครูและบคุ ลากรพนื้ ที่และวัสดุ อุปกรณ์ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เวลาและวตั ถุประสงคก์ ารสอน
3) การจัดเตรียมบุคลากร (Providing Staff) เป็นการจัดให้มีบุคลากรที่เพียงพอและมี
ความสามารถเหมาะสมกับในการเรียนการเรยี นการสอน โดยดำเนินการคดั เลอื ก บรรจุ ทดสอบและการ
พัฒนาบคุ ลากร
4) การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก (Providing Facilities) เป็นการออกแบบและ
จัดเตรยี มเครือ่ งมือ ส่ือ อุปกรณ์ เพือ่ การเรียนการสอนและมีการพฒั นาปรบั ปรงุ ห้องเรยี นและเคร่ืองมือ
อุปกรณก์ ารสอน
5) การจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ (Providing Materials) เปน็ การคดั เลือกและจัดหาอุปกรณ์
การสอนที่เหมาะสมกบั หลกั สตู รและการเรียนการสอน
16
6) การจดั อบรมบุคลากรประจำการ (Arranging for In-Service Education) เปน็ การ
วางแผนและจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ที่จะพัฒนาการปฏิบัติงานของครู ในสถานศึกษา อาจจัดเป็น
การประชุมปฏิบัติการ การประชุมหารือการศึกษาดูงานการฝึกอบรม รวมทั้งการจัดการศึกษาที่เป็น
ทางการอ่นื ๆ
7) การปฐมนิเทศ (Orientation Staff Members) เป็นการให้ขอมูลที่มีความจำเป็นที่
จะให้บุคลากรปฏบิ ัติตามหน้าที่ท่ีรับผิดชอบและเป็นการช่วยเหลอื บุคลากรบรรจใุ หมใ่ ห้สามารถปรบั ตวั
และมีความคุน้ เคยกับสิ่งอำนวยความสะดวกบคุ ลากรอนื่ ๆ และชุมชน
8) งานประสานบรกิ ารพเิ ศษสำหรบั นกั เรียน (Relating Special Pupil Services) เป็น
การจัดบริการอื่นๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนการสอนเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานโยบาย
การจัดลำดับความสำคัญของงานและการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างการบริการบคุ คลและการบริการ
ทีจ่ ัดข้ึนเพื่อวัตถปุ ระสงคท์ างการสอนของสถานศึกษา
9) การพัฒนาการประชาสัมพันธ์ (Developing Public Relation) เป็นการเชื่อม
ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนให้มีความเข้าใจอันดีต่อกันเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อให้ข้อมูล
สารสนเทศแก่ชมุ ชนและรับขอ้ มูลจากชมุ ชนเพ่ือประโยชนใ์ นการสนบั สนุนการเรียนการสอน
10) การประเมนิ การเรยี นการสอน (Evaluating Instruction) เปน็ การวางแผนการจัด
องค์การและการปฏิบัติตามกระบวนการในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์และการตีความข้อมูล
เพื่อนำผลการประเมินมาใช้ตัดสินใจในการปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างไรก็ตามภารกิจตามที่กล่าว
ท้งั หมดนี้ แฮรสิ เสนอวา่ มีภารกจิ เพยี ง 5 ประการทถี่ ือว่าเป็นภารกิจหลัก คือ การประเมิน การเรียนการ
สอนงานพัฒนาหลักสูตร การจัดอบรมบุคลากรประจำการ การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ และการจัดเตรียม
บุคลากร
การนเิ ทศภายในโรงเรยี น
1. ความหมายของการนเิ ทศภายในโรงเรยี น
การนเิ ทศภายในเป็นกระบวนการที่ดำเนินการในโรงเรียน โดยบุคลากรภายในโรงเรยี นเป็นผมู้ ี
บทบาทในการนเิ ทศได้มีนักการศกึ ษาให้ความหมายตามแนวคดิ และความเช่ือของแต่ละบุคคลดังนี้
อุดมศักดิ์ พลอยบตุ ร (2536: 57) ไดใ้ หค้ วามหมายว่า การนเิ ทศภายในโรงเรยี น หมายถึงการ
สอนงาน มีการชี้นำ(แนะนำ) มีการทำเป็นตัวอย่าง หาทางยั่วยุส่งเสริมให้กาลังใจในการปฏิบัติงาน
พัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ สำหรับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2536: 23) ให้
ความหมายว่า การนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึงการปฏิบัติงานร่วมกัน ระหว่างผู้บริหารกับครูใน
โรงเรียนให้มีคุณภาพตามที่หลักสูตรกำหนดส่วน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
(2541: 42) ได้ให้ความหมาย ของการนิเทศภายในโรงเรียนไว้ว่าการนิเทศภายในโรงเรียนเป็นการ
ส่งเสริมสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือในโรงเรียนให้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตามภารกิจหลกั
คอื การสอนหรือการสร้างเสริมพฒั นาการของนักเรียนทุกด้าน ทั้งรา่ งกาย สติปญั ญา จติ ใจอารมณ์ และ
สงั คมให้เต็มวยั และตามศักยภาพ โดยความร่วมมอื ของบุคลากรในโรงเรยี นทำนองเดียวกบั ปรยี าพร วงศ์
อนุตรโรจน์ (2546: 223) ไดใ้ หค้ วามหมายของการนิเทศภายในไวด้ งั นี้
17
การนิเทศภายในสถานศึกษา หมายถึง การนิเทศที่มีการริเริ่มและจัดดำเนินการโดยบุคลากร
ภายในสถานศึกษาและในหลายโอกาสก็เชิญบุคลากรภายนอกเป็นวิทยากรร่วมโครงการและ วไลรัตน์
บุญสวัสดิ์ (อ้างใน รัชนี ลาภรัตนทอง, 2553 : 12) กล่าวไว้ว่า การนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง การ
ทำงานของผู้บรหิ ารโรงเรียนที่ ทำร่วมกับครใู นการพฒั นาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตาม
วัตถุประสงคแ์ ละเป้าหมายของการศึกษาที่กำหนดไว้นอกจากนี้ สิปปนนท์ เกตุทต (อ้างใน รัชนี ลาภรัต
นทอง, 2553 : 12) กล่าววา่ การนิเทศการศึกษาภายในโรงเรยี นเองเป็นผู้นเิ ทศ ได้แก่ ครู ผู้ช่วย ครูใหญ่
หรือหัวหน้าหมวดวิชา รวมทั้งครู ที่มีความรู้ความ สามารถ และความชำนาญ ตลอดจนมีประสบการณ์
ในการสอนเฉพาะสาขาวิชาบุคลากรเหล่านี้ จะตอ้ งสามารถทำการนเิ ทศครู ในโรงเรยี นในรูปของการเป็น
พเี่ ลีย้ งการปรึกษางานในหมู่คณะ การใหค้ วามรู้เพิ่มเติมโดยยึดถือหลักการผนึกกำลังปฏิบัติงานได้สำเร็จ
ด้วยดีส่วน สนอง เครือมาก และวิสิฐ วงศ์จิตราทร (อ้างใน สุรชัย คูณแก้ว, 2555 : 14) ได้ให้
ความหมายไว้ว่า การนิเทศภายในเป็นความรว่ มมือของบคุ ลากรภายในโรงเรยี นในการทีจ่ ะปรบั ปรงุ แก้ไข
หรือพัฒนาการสอนของครู เพื่อให้การเรียนการสอนมีคุณภาพสอดคล้องกับ กิติมา ปรีดีดิลก (อ้างใน
สุรชัย คูณแก้ว, 2555 : 14) กล่าวถึงการนิเทศภายในว่า เป็นการนิเทศบุคลากรในโรงเรียนเอง ผู้นิเทศ
อาจได้แก่ ผู้บริหาร ผู้ช่วยผู้บริหารหัวหน้าหมวดวิชา และหัวหน้าฝ่ายต่างๆ การนิเทศภายในจะเกิด
ประสิทธิภาพสูงสุดนั้น จะต้องทำอย่างมีขั้นตอนและกระบวนการ เมื่อนิเทศแล้วจะต้องได้ผลตาม
จุดมุ่งหมายของการนิเทศซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจของการนิเทศ 4 ประการคือ พัฒนาคน พัฒนางาน
ประสานสัมพันธ์ และสร้างขวัญและกำลังใจด้าน ชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ (อ้างใน สุรชัย คูณแก้ว, 2555 :
14) ได้กล่าวไว้ว่า การนิเทศภายในโรงเรียนอาจรวมถึงกระบวนการที่นำไปสู่การปรับปรุงการสอน โดย
การทำงานร่วมกับครู อาจารย์และนักเรียนเป็นกระบวนการกระตุ้นและช่วยเหลือครู ให้รู้จักช่วยตนเอง
เพอื่ พฒั นาการสอน
จากความหมายที่กล่าวข้างต้น การนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง กระบวนการในการ
ปฏิบัติงานทางการศึกษาที่ผู้บริหารโรงเรียนและบุคลากรภายในโร งเรียนร่วมมือกันจัดขึ้นเพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน อันจะนำมาซึ่งสัมฤทธิ์ ผลสูงสุดในการเรียนของนักเรียนและ
เพื่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นในตัวผู้เรียนในทุก ด้านโดยบุคลากรในโรงเรียนรวมถึงเป็นการพัฒนา
ความก้าวหนา้ ของครูอีกทางหนึ่งดว้ ย ซึ่งการนิเทศถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลปเ์ พราะกระบวนการนิเทศที่
จดว่าเป็นศาสตร์ ก็เพราะกระบวนการนี้เป็นปรัชญาที่แสวงหาความจริงความรู้และคุณค่าในสิ่งต่างๆ ท่ี
เกี่ยวกับการศึกษาส่วนที่ว่าเป็นศิลป์ เพราะต้องอาศัยเทคนิควิธีการและมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน
รว่ มกับผอู้ น่ื การติดตอ่ ประสานงานการจงู ใจเพ่อื การเปลยี่ นแปลงไปส่เู ปา้ หมายของการจัดการศึกษา
2. ความมุ่งหมายของการนเิ ทศภายในโรงเรียน
บนั ลือ พฤกษะวนั (2537: 80) ไดก้ ำหนดจุดมงุ่ หมายการนิเทศภายในไว้ 3 ประการดังน้ี
1) มุง่ พัฒนาบคุ ลากรใหห้ น่วยงานไดร้ บั ความรู้ เพ่อื เพ่ิมความสามารถในการปฏบิ ัติงานใหด้ ี
ข้นึ
2) มุ่งพฒั นางาน หมายถึง งานการเรียนการสอนและสร้างสรรค์งานใหม้ ีประสทิ ธิภาพ
3) มุ่งเสริมการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในการจัดการศึกษาและการนิเทศ
ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนเพื่อพัฒนางานกิจการนักเรียน งานธุรการ งานการเงิน
และพัสดุ งานอาคารสถานที่ งานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนให้มีประสิทธิภาพตาม
ภาระหน้าที่ โดยผู้บริหารต้องนิเทศครู ผู้สอน เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถปรับปรุงหรือพัฒนางานให้มุ่ง
18
คุณภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้และมีสัมฤทธิ์ ผลตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร นอกจากนี้ ปรียา
พร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2546: 225) กลา่ วถึงความมงุ่ หมายของการนิเทศภายในไว้ดังนี้
1) เพ่ือพฒั นาและส่งเสรมิ การบรหิ ารและงานวชิ าการของสถานศึกษา
2) เพื่อการบรหิ ารงานวิชาการในสถานศกึ ษาให้มปี ระสทิ ธิภาพยิง่ ขึ้น
3) เพื่อสำรวจวิเคราะห์ วจิ ยั และประเมิน ผลเพือ่ ปรบั ปรุงคุณภาพและมาตรฐาน
การศกึ ษา
4) เพื่อพัฒนาหลักการและสอ่ื การเรียนการสอนใหไ้ ด้มาตรฐานและเอกสารทางวชิ าการให้
มีประสทิ ธภิ าพสอดคล้องกบั ความตอ้ งการและจำเปน็ ของสถานศึกษาและครู อาจารย์
5) เพ่ือพฒั นาบุคลากรโดยเฉพาะครู อาจารย์ให้มีความรู้ทักษะและประสบการณ์อัน
จำเปน็ ทจ่ี ะนำไปใชใ้ นการเรยี นการสอนการจัดการศึกษาท้ังใหส้ ามารถแกป้ ัญหาเหลา่ น้ันได้
3. ความสำคัญและความจำเปน็ ของการนิเทศภายในโรงเรียน
ชารี มณี ศรี (2538: 201-202) ได้กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการนิเทศภายใน
โรงเรียนดังนี้ การนิเทศภายนอกไม่ทั่วถึงและการนิเทศไม่มีคุณภาพพัฒนาบุคลากรในโรงเรียน โดยไม่
หวังพึ่งหรือรอคอยการพฒั นาจากผู้อืน่ การช่วยเหลือกันและกัน ส่งเสริมให้โรงเรยี นสามารถนิเทศตนเอง
ได้การปรับปรุงงานวิชาการโดยการนิเทศภายในได้รวดเร็ว เกชา กลั่นเพ็ง (2545 : 12-13) ได้สรุป
ความสำคัญของการนิเทศภายในโรงเรยี น ดงั น่้ี
1) การนิเทศภายในกระทำโดยบุคลากรทุกคนของโรงเรียนเอง ซึ่งรู้ถึงปัญหาและสาเหตุ
ของปัญหาด้านการเรียนการสอน ปัญหาเกี่ยวกับตัวเด็ก ผู้ปกครอง ชุมชนและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้เป็น
อย่างดีเยี่ยม เพราะอยู่ใกล้ชิดกับปัญหาหรือเผชิญปัญหาด้วยตนเอง จึงแก้ปัญหาได้ถูกต้องตรงจุดได้
มากกวา่ บคุ คลอ่ืนทีอ่ ยภู่ ายนอกโรงเรียน
2) การนิเทศภายใน บุคลากรผู้ทำหน้าที่นิเทศกับครู มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
ทำให้มีบรรยากาศการนิเทศที่ดีไม่เกิดความคับข้องใจอันเกิดจากความมันใจในกระบวนการนิเทศและผู้
นเิ ทศ
3) การนิเทศภายในเป็นการสร้างกระบวนการนิเทศการเรียนการสอนที่มีความต่อเนื่อง
สม่ำเสมอ เพราะทั้งผู้นิเทศและครู โรงเรียนเดียวกันใกล้ชิดกันอยู่แลว้ อาจใช้เป็นแบบทั้งที่เป็นทางการ
และรปู แบบที่ ไม่เป็นทางการผสมผสานกนั ไป ซึง่ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลดี ตอ่ การนิเทศการเรยี นการสอน
4) การนิเทศภายใน ช่วยแก้ปัญหาด้านการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีใน
ลกั ษณะรว่ มมอื รว่ มใจกนั ระหวา่ งครู กับศึกษานิเทศก์
5) การนิเทศภายในช่วยให้ครู และบุคลากรของโรงเรียนมีความรู้เท่าทันกับความ
เปลี่ยนแปลงทั้ง ในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาวิทยากรและเทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่
ตลอดเวลา โดยใช้ระบบตดิ ตอ่ สอ่ื สารช้ีแจง แนะนำระหวา่ งบคุ คลในโรงเรียน
6) การนิเทศภายในช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการใช้ระบบการนิเทศจากภายนอก ซึ่งมี
ข้อจำกดั ท้งั ดา้ นอัตรากำลังคน งบประมาณ ส่งิ อำนวยความสะดวก เวลาและอื่นๆ นานาประการซึ่งเป็น
เหตุ ให้การนิเทศจากภายนอก มีประสิทธิภาพไม่ดีพอโรงเรียนได้รับผลน้อยไม่ทันต่อความต้องการใน
การพฒั นา
7) การนเิ ทศภายในเป็นการใช้บุคลากรท่มี ีอยู่อยา่ งคุ้มค่า สามารถใชบ้ คุ ลากรของโรงเรียน
ทำหน้าทท่ี ง้ั ดา้ นการสอนและด้านการนิเทศทั้งสองอย่างควบคู่กนั ไป ทั้งน้เี พราะปัจจบุ นั ครูประถมศึกษา
19
ได้รับการพัฒนาทั้งด้านความรู้ ความสามารถจนมีบุคลากรท่ีมีคุณวุฒิสูงทั้งที่จบปริญญาตรี ปริญญาโท
ปริญญาเอก ทางด้านการศึกษา บุคลากรบางส่วนก็มีประสบการณ์สูงเพราะได้คลุกคลีกับกิจกรรมการ
เรียนการสอนบางกลุ่มประสบการณ์ มาเป็นเวลานานจนมีผลงานดี เด่นเป็นตัวอย่างที่ยอมรับในวง
การศึกษาจึงควรให้บุคลากรดังกล่าวได้แสดงความสามารถให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาของ
โรงเรยี นอย่างเต็มศกั ยภาพ
8) การนิเทศภายในเป็นการสนองเจตนารมณส์ ูงสุดของการนิเทศการศกึ ษาที่ต้องการให้ครู
ได้นิเทศซึ่งกันและกันหรือสามารถนิเทศกันเองได้ เช่นเดียวกับ กนก พานทอง (2547 : 22) กล่าวถึง
ความจำเป็นในการนิเทศภายในโรงเรียนว่า เป็นการส่งเสริมคุณภาพการเรียนการสอน เนื่องจากขาด
แคลนผู้ทำหน้าที่นิเทศการศึกษาโดยตำแหน่งมีจำกัด จึงไม่สามารถสนองความต้องการนิเทศการศึกษา
ของโรงเรียนต่างๆ ได้ทั่วถึงตลอดจนสิ่งสนับสนุนอื่นๆ ประกอบกับปัจจุบันบุคลากรภายในโรงเรียนมี
ความรู้ความสามารถเพียงพอเป็นผู้รู้ปัญหาอย่างแท้จริง และสามารถจะติดตามการปฏิบัติงานหรือผล
การนิเทศได้ตลอดเวลา เพราะอยู่ใกล้ชิดกัน ทำให้งานดำเนินไปถึงจุดมุ่งหมายโดยไม่ขาดความต่อเนื่อง
และยงั เปน็ การสร้างการยอมรบั ซึ่งกันและกันดว้ ยในขณะท่ี ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2548 : 262-263)
ได้กล่าวถึง ความสำคัญและความจำเป็นของการนิเทศภายในโรงเรยี นว่า เป็นหน่วยปฏิบัติในการพฒั นา
คุณภาพการศึกษา การศึกษาจะมีคุณภาพขึ้นอยู่กับการจัดการเรียนการสอนของครู ในสถานศึกษา
ดังนั้นภารกิจหลักของโรงเรียนก็คือ การดำเนินงานด้านวิชาการ ได้แก่ งานหลักสูตรและการเรียนการ
สอน และมีภารกิจในการสนับสนุนการเรียนการสอน เช่น งานอาคารสถานที่ งานบุคลากร งานกิจการ
นักเรยี น งานความสัมพันธร์ ะหวา่ งโรงเรียนกบั ชุมชน งานธรุ การและการเงิน และไดก้ ลา่ วถึงความสำคัญ
ของการนเิ ทศการเรยี นการสอนดงั นี้
8.1) ศึกษานิเทศก์มจี ำนวนจำกัดไมส่ ามารถนิเทศได้อย่างท่ัวถึงและเจาะลึกถึงการเรยี น
การสอนในห้องเรยี น
8.2) การนิเทศภายในโรงเรยี นเปน็ การใช้ทรัพยากรในโรงเรยี นให้เกิดประโยชนส์ งู สุดซึ่ง
บคุ ลากรมี จำนวนมากและมคี วามชำนาญในสาขาเป็นการพฒั นาและปรบั ปรุงคณุ ภาพการศึกษาดว้ ย
8.3) การนิเทศภายในโรงเรียนจะสรา้ งความใกลช้ ดิ ความคุ้นเคยกนั และการทำงาน
รว่ มกันมคี วามรู้สึกเปน็ เจ้าของรว่ มกัน เกิดความสมั พันธท์ ่ีดีตอ่ กนั ในการทำงาน
8.4) การประสานในโรงเรียนสะดวกเพราะความค้นุ เคยกนั สามารถประชาสัมพนั ธง์ าน
ได้ท่ัวถงึ
จากแนวความคิดหลากหลายที่ กล่าวมาโดยสรุปว่า การนิเทศภายในโรงเรียนมีความ
จำเปน็ ตอ่ การพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา ทง้ั นี้ เพราะการนเิ ทศการศึกษาเปน็ ตวั แทนของการเปล่ียนแปลง
โดยการนำเอาความเปล่ียนแปลงจากภายนอกมาส่โู รงเรียนแตก่ ารนิเทศการศึกษาจากภายนอกโรงเรียน
ไม่สามารถสนองตอบความต้องการของโรงเรียนได้ เพราะจำนวนศึกษานิเทศก์มีน้อยขาดงบประมาณ
เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่จะทำการนิเทศภายในโรงเรียนได้อย่างทั่วถึงและที่สำคัญบุคลากรในโรง เรียน
ยอ่ มรูป้ ญั หา สามารถแกป้ ญั หาและสามารถทีจ่ ะทำการนเิ ทศกันเองได้
4. หลักการนิเทศภายในโรงเรียน
หลักการนิเทศภายในสถานศึกษาเป็นแนวปฏิบัติที่ผู้นิเทศต้องนำไปปฏิบัติขณะทำการ
นิเทศการนเิ ทศภายในสถานศกึ ษาโดยเฉพาะทางด้านวิชาการจะบรรลผุ ลตามความม่งุ หมายทว่ี างไว้อย่าง
มปี ระสิทธภิ าพผ้ดู ำเนินงานต้องมหี ลักยดึ ในการทำงานหลกั การนเิ ทศภายในสถานศึกษามีดงั นี้
20
1) การนิเทศควรมีการบริหารเป็นระบบและมีการวางแผนการดำเนนิ งานเป็นโครงการ
2) การนิเทศต้องถือหลักการมีสว่ นรว่ มในการทำงานคือมคี วามเป็นประชาธปิ ไตย
เคารพในความคดิ เห็นของผูอ้ ื่นเหน็ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล เนน้ ความร่วมมือร่วมใจกนั ในการ
ดำเนินงาน เพ่ือให้งานนัน้ ไปสู่เปา้ หมายท่ีต้องการ
3) การนเิ ทศเป็นงานสร้างสรรคเ์ ปน็ การแสวงหาความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคล
ใหแ้ ตล่ ะบุคคลได้แสดงออกและพฒั นาความสามารถเหล่านัน้ ไดอ้ ย่างเตม็ ท่ี
4) การนิเทศเป็นการแก้ปญั หาที่เกดิ ข้ึนจากการเรยี นการสอน โดยใหค้ รู อาจารย์ได้
เรยี นรวู้ า่ ปญั หาของตนเองเป็นอยา่ งไร จะหาวิธแี กไ้ ขปญั หานน้ั ไดอ้ ย่างไร
5) การนิเทศเปน็ การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีข้นึ สรา้ งความเข้าใจระหวา่ ง
กนั สรา้ งมนษุ ยส์ มั พันธ์ มวี ธิ ีการทำงานท่ีดีและความสามารถทจ่ี ะอย่รู ว่ มกันได้
6) การนิเทศเปน็ การสร้างความผกู พนั และความมนั คงต่องานอาชีพ รวมทงั้ ความเช่อื
มนั ในความสามารถของตนเองเกดิ ความพึงพอใจในการทำงาน
7) การนเิ ทศเปน็ การพฒั นาและส่งเสรมิ วิชาชพี ครใู หม้ ีความรู้สกึ ภาคภูมใิ จในวชิ าชพี วา่
เปน็ อาชีพที่ตอ้ งใชว้ ิชาความรแู้ ละความสามารถและสามารถที่จะพฒั นาได้ ชารี มณศี รี (2538: 201-
202) ไดก้ ลา่ วถงึ หลักการนิเทศการศึกษาเพื่อเปน็ แนวทางใหผ้ บู้ ริหารไดป้ ระสบผลสำเร็จในการพฒั นา
คณุ ภาพการศึกษาดังน้ี
1) การนเิ ทศการศึกษาเป็นการช่วยกระตนุ้ เตอื นการประสานงานและแนะนำให้เกิด
ความงอกงามแก่ครู โดยทั่วไป
2) การนิเทศตั้งอยู่บนรากฐานของประชาธปิ ไตย
3) การนิเทศเป็นกระบวนการส่งเสริมสร้างสรรค์
4) การนิเทศกับงานปรับปรุงหลกั สตู รเป็นงานท่เี กีย่ วพนั กัน
5) การนิเทศคือการสรา้ งมนษุ ยสมั พันธ์
6) การนิเทศม่งุ สรา้ งเสริมบำรุงขวญั
7) การนเิ ทศมีจุดมงุ่ หมายทีจ่ ะขจัดช่องระหวา่ งโรงเรยี นและชมุ ชนโดยเฉพาะในชนบท
5. ขน้ั ตอนในการบริหารงานนิเทศภายในโรงเรยี น
กติ ิมา ปรีดดี ลิ ก ได้กลา่ วสรุปแนวคิดของ แฮริส (Harris, อ้างใน สมพงษ์ นยิ มลักษณ์
,2548 : 42) เกยี่ วกับขนั้ ตอนของกระบวนการนเิ ทศการศึกษา ไว้ดังนี้
1) ข้ันวางแผน (Planning) ได้แก่ การคดิ การตง้ั วัตถุประสงค์ การคาดการณ์ ไว้ล่วงหน้า
การกำหนดตารางงาน การค้นหาวธิ ีปฏบิ ตั ิงาน และการวางโปรแกรมงาน
2) ขั้นการจดั โครงการ (Organizing) ไดแ้ ก่ การต้ัง เกณฑ์ มาตรฐาน การรวบรวม
ทรัพยากรท่ีมีอยู่ท้ังคนและวัสดุอุปกรณ์ ความสัมพันธ์แต่ละข้นั การมอบหมายงาน การประสานงานการ
กระจายอำนาจตามหน้าที่ โครงสรา้ งขององค์การ และการพัฒนานโยบาย
3) ข้ันการนำสู่การปฏิบัติ (Leading) ไดแ้ ก่ การตดั สนิ ใจ การเลือกสรรบุคคล การเรา้
การจูงใจใหม้ ีกำลังคิดรเิ ร่ิมอะไรใหม่ ๆ การสาธติ การจูงใจและให้คำแนะนำการส่อื สาร การกระตนุ้
สง่ เสรมิ กำลังใจ การแนะนำนวัตกรรมใหม่ ๆ และใหค้ วามสะดวกในการทำงาน
4) ขั้นการควบคมุ (Controlling) ได้แก่ การส่ังการ การใหร้ างวัล การลงโทษ การให้
โอกาส การตำหนิ การไล่ออก และการบังคับใหก้ ระทำตาม
21
5) ขั้นประเมินผล (Appraising) ได้แก่ การตัดสินการปฏิบัติงาน การวิจัย การวัดผล การ
ปฏบิ ตั งิ านกจิ กรรมทสี่ ำคญั คือ พิจารณาผลงานในเชิงปฏบิ ัติวา่ ได้ผลมากนอ้ ยเพยี งใด และวดั ผลด้วยการ
ประเมินอย่างมีแบบแผน มีความเที่ยงตรง ทั้งนี้ควรจะมีการวิจัยด้วยส่วน ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์
(2546: 232-235) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการบริหารงานนิเทศภายในสถานศึกษาสามารถสรุปได้ว่า การ
นิเทศจะประกอบด้วยบุคคล 2 กลุ่มคือ ผู้นิเทศและผู้รับ การนิเทศ เพื่อร่วมกันทำงานให้บรรลุ
จดุ มุ่งหมายทต่ี ง้ั ไวร้ ่วมกัน โดยมขี น้ั ตอนในการนิเทศ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาและความต้องการในการนิเทศเป็นขั้นตอนที่เปน็
พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ก่อนที่ผู้นิเทศจะดำเนินการนิเทศ ผู้นิเทศต้องทราบสภาพปัญหา และความ
ต้องการของผู้รับการนิเทศ สภาพปัจจุบันเป็นสภาพที่เป็นจริงและกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนความ
ต้องการ หมายถึง เปน็ จุดสุดทา้ ยท่ตี ้องการจะไปถงึ เป็นสภาพทีค่ าดหวงั ว่าจะเกิด
ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนและการจัดทำโครงการนิเทศ การวางแผนตามลักษณะงานนิเทศ
ภายในโรงเรียนหมายถึงวิธีการที่อาศัยหลักการและเหตุผลและข้อมูลที่ได้จากการศึกษาสภาพปัจจุบัน
และปัญหาความต้องการของสถานศึกษาว่ามีความต้องการนิเทศในด้านใดบ้างแล้วนำมาจัดทำแผนและ
โครงการต่อไปในการวางแผนยังกำหนดวิธีการว่าจะทำอย่างไรโดยกำหนดเป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องและ
สมั พันธก์ ัน
ขั้นตอนที่ 3 การดำเนินงาน การดำเนินการนิเทศเป็นการนำแผนงานหรือโครงการไป
ปฏบิ ตั เิ พื่อให้ได้ตามความตอ้ งการหรอื เปา้ หมายท่วี างไว้ซงึ่ จะมีรายละเอียดของแตล่ ะขั้นตอนดังน้ี
1) การให้ความรู้ในงานที่ ปฏิบัติเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะดำเนินการว่า
จะต้องอาศัยความรู้ความสามารถอย่างไรบ้างจะมีข้ันตอนในการดำเนินการอยา่ งไรและจะทำอย่างไรจงึ
จะทำให้ได้ผลงานออกมาอย่างมคี ุณภาพเป็นความจำเป็นสำหรับการเริ่มการนิเทศทีจ่ ดั ข้ึนใหม่เพื่อจะได้
สรา้ งความเข้าใจกนั และทำให้การนเิ ทศน้ันไดผ้ ล
2) การปฏบิ ตั ิงานประกอบดว้ ยการปฏบิ ัตงิ านท่ีได้รบั ความร่วมมอื จากผบู้ รหิ ารผู้ให้การ
นเิ ทศและผรู้ บั การนเิ ทศ
3) การสรา้ งขวญั และกำลงั ใจผู้รับการนเิ ทศควรได้รับการเสริมกำลังใจ โดยเฉพาะจาก
ฝ่ายบริหารเพื่อให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจและทำงานด้วยความพึงพอใจการสร้างขวัญและกำลังใจ
ควรปฏิบัติไปพร้อมๆ กับการทำงานจึงจะได้ผลขั้นตอนที่ 4 การประเมิน ผลการนิเทศ การประเมิน ผล
เป็นขั้นสุดท้ายในการดำเนินการผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการประเมินผลได้แก่ผู้บริหารหรือผู้ที่ได้รับมอบ
หนา้ ทใ่ี ห้ทำการประเมินผลหลักการทีใ่ ช้ในการประเมินผลดังน้ี
1) การประเมนิ ผลต้องอาศัยข้อมูลท่นี ่าเชื่อถือโดยการตั้งจดุ มุง่ หมายทชี่ ดั เจนการใช้
เครอื่ งมอื และการรวบรวมข้อมูลทเ่ี หมาะสมรวมทง้ั การวิเคราะห์ข้อมลู ที่ได้เปน็ ท่ียอมรบั ของฝา่ ยนิเทศ
ครู อาจารย์และนกั เรยี นนักศึกษา
2) การประเมินผลเป็นขั้นตอนหน่ึงของการนิเทศทจ่ี ำเป็นต้องทำเมอ่ื ได้จดั ทำโครงการ
นิเทศแลว้
3) การประเมนิ ผลต้องอาศยั ข้อมลู จากหลายฝา่ ยทั้งจากผูบ้ ริหารผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ
4) การประเมินผลสามารถทำได้ 2 ระยะคือ การประเมนิ ผลระหว่างโครงการ เพ่ือจะได้
พิจารณาวิธดี ำเนนิ การเพ่ือปรับปรงุ โครงการ ส่วนการประเมนิ ผลสรปุ เป็นการประเมินผลเพอ่ื การ
ตดั สนิ ใจถงึ ผลที่ได้รับจากโครงการ
22
5) การประเมนิ ผลเปน็ ระบบมี 3 สว่ นคือ
5.1) การประเมินผลทป่ี จั จัยนำเขา้ ได้แก่ การประเมนิ ผลท่มี ุ่งตวั นักเรียนนักศึกษา
เครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ท่ใี ชใ้ นการสอนรวมท้ังคุณสมบตั ิและความสามารถของครผู สู้ อน
5.2) การประเมินผลที่กระบวนการเปน็ การประเมินขณะดำเนนิ การตามโครงการเพอ่ื
การปรบั ปรงุ
5.3) การประเมนิ ผลผลติ เปน็ การประเมินผลหลังจากดำเนินตามโครงการ แล้ว
พิจารณาผลท่ีได้จากโครงการวา่ บรรลุจุดมุ่งหมายตัง้ ไวห้ รือไมก่ ารประเมินผลมีเทคนิควิธกี ารดงั นี้
5.3.1) การประเมนิ ผลเชิงปรมิ าณ ซึ่งสามารถจะดำเนินการไดใ้ นลักษณะ
ประเมนิ ผลเดียวหรอื ประเมนิ ผลเป็นกลุม่ ไดผ้ ้ดู ำเนินการประเมนิ จะรวบรวมข้อมลู โดยใชเ้ ครื่องมือชนิด
ต่างๆ จากบคุ คลทเ่ี ก่ียวข้องการประเมนิ ผลนี้ ต้องใช้เครอื่ งมอื ที่มคี วามเช่อื ถือ และมีความเทยี่ งตรง ใน
การวดั จึงอยู่ที่คณุ ภาพของเครือ่ งมือที่ใช้ เชน่ แบบสอบถามชนิดต่างๆ รวมทั้งการวิเคราะห์ และการ
แปรผลขอ้ มูลดว้ ย
5.3.2) การประเมินผลเชงิ คณุ ภาพเป็นการประเมินผล จากการสงั เกตสัมภาษณ์การ
ประชมุ สัมมนา ร่วมกัน อาจจะมีแบบสงั เกตพฤตกิ รรม แบบสมั ภาษณ์ ประกอบดว้ ยกไ็ ด้ การประเมินผล
แบบนี้ ผู้ประเมินต้องมีความละเอียด ช่างสังเกต ขณะเดียวกันก็ต้องไม่มีอคติมีใจเป็นกลางโดยทั่ว ไป
การประเมิน ผลการนิเทศจะใช้เทคนิควิธี ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพประกอบกันไป เพื่อให้ได้ ขอมูลที่
ตองและเชอื่ ถอื ได้
จากข้นั ตอนการนเิ ทศท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ สรปุ ได้ว่า ในการจัดทาโครงการนเิ ทศน้นั ควรจะได้
ศกึ ษาสภาพปัจจุบนั ปญั หา และความต้องการในการนิเทศจัดทำแผนการนิเทศแลว้ จึงนำแผนไปสู่การ
ปฏบิ ตั ใิ ห้เปน็ ไปตามจุดมุ่งหมายทีว่ างไว้ควรมี การประเมินผลโครงการนเิ ทศเพื่อนำไปปรับปรุง และ
พฒั นาการเรียนการสอน
6. ขอบขา่ ยของการนิเทศภายในโรงเรยี น
การนิเทศภายในโรงเรียนเป็นการนิเทศการปฏบิ ัติงานของครู และบุคลากรทางการศึกษา
ตามขอบขา่ ยและภารกจิ การบริหารโรงเรยี น สงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน ที่เป็น
นิติบุคคลซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บริหารโรงเรียน เพื่อให้บรรลุภารกิจของโรงเรียนอย่างมี
ประสิทธิภาพประกอบดว้ ยงาน 4 ดา้ น ได้แก่
6.1 ด้านวชิ าการ
งานด้านวิชาการเปน็ งานท่ีเก่ียวกบั การนำหลกั สูตรไปใช้ ใหบ้ รรลุตามจดุ หมายของ
หลักสูตรสถานศึกษา ตลอดจนคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคต์ ามท่ีกำหนดไวใ้ นหลักสตู รได้แก่
6.1.1 การพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษา
6.1.2 การนาหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้และการออกแบบการจดั การเรยี นรู้
6.1.3 การส่งเสรมิ และสนับสนนุ ใหค้ รู จดทาและใช้แผนการจัดการเรยี นรู้
6.1.4 การจดั การเรียนการสอนตามแนวปฏริ ปู การเรียนรู้แบบบรู ณาการ และเน้น
ทักษะการคดิ
6.1.5 การจดั หาพฒั นาสื่อและเทคโนโลยที างการศึกษา
6.1.6 การสนับสนนุ ใหค้ รู ผลติ และใช้ส่ือการเรียนรู้
6.1.7 การจดั กจิ กรรมเสริมหลักสตู ร
23
6.1.8 การจดั มมุ หนงั สือ หอ้ งสมดุ และแหลง่ เรียนรใู้ นสถานศกึ ษา
6.1.9 การวดั และประเมินผลตามสภาพจรงิ
6.1.10 การสอนซ่อมเสริม
6.1.11 การวิจยั เพ่ือพัฒนาการศกึ ษา
6.1.12 การประกันคุณภาพการศกึ ษา
6.1.13 การสง่ เสริมและสนับสนุนใหค้ รจู ดั ทำแฟม้ ขอ้ มลู นักเรียนเป็นรายบุคคล
6.1.14 การประเมนิ คุณภาพการศกึ ษาของสถานศึกษา
6.1.15 การจัดศูนยโ์ สตทศั นปู กรณ์
6.1.16 การจัดบรกิ ารแนะแนว
6.2 ดา้ นบรหิ ารบคุ คล
งานด้านบริหารบุคคล เป็นการจัดดาเนินการ เพื่อให้บุคลากรในสถานศึกษาได้รู้และ
เข้าใจหน้าที่ และความรับผิดชอบของตน การติดตามดูแลช่วยเหลือให้ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายให้
ประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างบรรยากาศในการทำงานให้ผู้ร่วมงานทุกคนเกิดความ
สำนึกในหนา้ ท่ีทรี่ ับผิดชอบสร้างความร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติงาน สง่ เสรมิ ให้บุคลากรในสถานศึกษา
พัฒนาตนเองให้มคี วามสามารถในการปฏิบตั งิ านสงู ขน้ึ ไดแ้ ก่
6.2.1 การวางแผนอตั รากาลังและกำหนดตำแหนง่
6.2.2 การกำหนดความต้องการ หนา้ ที่และความรบั ผิดชอบของบุคลากร
6.2.3 การมอบหมายหนา้ ทแี่ ละความรบั ผิดชอบ
6.2.4 การปฐมนเิ ทศบุคลากรใหม่
6.2.5 การจัดสวัสดกิ าร
6.2.6 การนเิ ทศ ตดิ ตามผลการปฏบิ ัติงาน
6.2.7 การพัฒนาบุคลากร
6.2.8 การสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนได้ศึกษาตอ่
6.2.9 การประเมินผลปฏิบตั งิ าน
6.2.10 การพิจารณาความดีความชอบ
6.2.11 การกำหนดมาตรฐานการปฏบิ ตั ิงานของบุคลากร
6.2.12 งานวนิ ยั และนติ ิกร
6.3 ด้านบริหารทัว่ ไป
งานดา้ นบรหิ ารท่ัวไปเปน็ งานที่เกีย่ วข้องกับระบบสำนักงาน ซึ่งมีข้อกำหนด
กฎเกณฑ์ และวิธีการท่ีแน่นอน ไดแ้ ก่
6.3.1 งานธุรการและสารบรรณ
6.3.2 งานทะเบียนและรายงาน
6.3.3 งานขอ้ มูลและสารสนเทศ
6.3.4 งานจัดทำแผนปฏบิ ตั ิการและการจดั ระบบการศกึ ษา
6.3.5 งานอาคารสถานที่สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย
6.3.6 งานประชาสมั พันธ์
6.3.7 งานสวัสดิการ
24
6.3.8 งานพระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษา
6.3.9 งานระเบยี บ กฎหมาย กฎกระทรวง และข้อปฏิบัตติ ่างๆ
6.3.10 กจิ กรรม 5 ส.
6.4 ด้านงบประมาณ
งานด้านงบประมาณเป็นงานทเ่ี กย่ี วข้องกับระบบการเงินและพัสดุ ไดแ้ ก่
6.4.1 งานงบประมาณ
6.4.2 งานจดั ทำแผนปฏบิ ตั กิ ารประจำปี
6.4.3 งานจัดตั้งและการของบประมาณประจำปี
6.4.4 งานเบกิ จา่ ยงบประมาณ
6.4.5 งานรายงานการใช้จา่ ยเงินงบประมาณประจำปี
6.4.6 การตรวจสอบ ตดิ ตาม และประเมินประสิ ทธภิ าพการบริหารงบประมาณ
6.4.7 การบริหารการเงิน
6.4.8 การบรหิ ารการบญั ชี
6.4.9 การบริหารงานพสั ดุ
6.4.10 ระบบทรัพยากรและการลงทุนเพ่ือการศกึ ษา
2.7 บทบาทของผู้บรหิ ารโรงเรียนกบั การนเิ ทศการศกึ ษา
งานบริหารการศึกษามีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่คุณภาพของผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตของการจัด
การศึกษา ดังนั้นในการบริ หารการศึกษา ผู้บริหารจำเป็นจะต้องทำงานสองอย่างคือ งานบริหารและ
งานนเิ ทศ ซ่ึงในปัจจบุ ันน้ี ผู้บริหารมบี ทบาทในการนเิ ทศมากโดยเฉพาะการนิเทศภายในสถานศึกษาของ
ตนเอง
ไวส์ (Wiles อ้างใน อัญชลี ธรรมะวิธีกุล, 2555) ได้กล่าวถึงบทบาทของผู้บริหาร
สถานศกึ ษาฐานะผนู้ เิ ทศไวด้ ังนี้
1) บทบาทดา้ นมนุษยสมั พันธ์ ของผูบ้ ริหารสถานศึกษามีหน้าท่ที ำใหเ้ กดิ ความเข้าใจอัน
ดีภายในกลุม่ และพยายามขจัดขอ้ ขดั แยง้ ตา่ ง ๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ ในกลุ่ม
2) บทบาทในฐานะผู้นำผู้บริหารสถานศกึ ษาทาหนา้ ท่ีดงต่อไปน้ี คือ พฒั นาความเป็นผู้
นาให้เกิดขึ้นแก่ตัวผู้อื่น ช่วยให้ผู้อื่นมี ความรับผิดชอบ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ร่วมในการใช้อำนาจ
และมีสว่ นรว่ มในความรบั ผิดชอบ
3) บทบาทในดา้ นการจัดและดาเนนิ งานในหน่วยงาน ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษามีหน้าท่ีดังนี้
คือพัฒนาการจัดองค์การของหน่วยงานในสถานศึกษา ช่วยให้ดำเนินงานของคณะกรรมการต่างๆ ใน
องค์การดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพในการตัดสินใจเรื่องใดก็ตามต้องดำเนินไปตามขั้นตอนของ
กระบวนการตัดสินใจ เมื่อกลมุ่ ตัดสินใจในเร่ืองใดไปแล้วจะต้องไม่คัดค้าน พยายามทำให้ทุกคนในกลุ่มมี
เป้าหมายอนั เดยี วกนั เพื่อให้เกิดวนิ ัยในกล่มุ และส่งเสรมิ ให้มีวนิ ัยในตนเอง
4) บทบาทในการคัดเลือกและการใช้ประโยชน์บุคลากร ผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าท่ี
ดังนี้ คือ พิจารณาเลือกบุคลากรใหม่ให้ตรงกับความต้องการโดยให้ครูในสถานศึกษามีส่วนร่วมในการ
พิจารณาเลือกด้วย ช่วยให้บุคลากรที่เข้าทางานใหม่รู้สึกว่าเขาเป็นที่ต้องการของสถานศึกษามีความ
อบอุน่ ใจ และมคี วามเช่ือมนั ในตนเอง
25
5) บทบาทในการสร้างขวัญของครูผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าที่ ดังต่อไปนี้ คือช่วยให้
ครพู อใจงานท่ที ำมีความสะดวกสบายปลอดภัยในการปฏบิ ัติงานใหค้ รมู สี ว่ นร่วมในการวาง โครงการและ
นโยบายต่างๆ ของสถานศึกษา ช่วยให้ครูเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง ให้ครูรู้สึกว่าตนเองมี
ความสำคัญ และเป็นที่ต้องการของบุคคลอื่น จัดให้มีการบริการต่างๆ คู่มือครูการศึกษาต่อ การอบรม
ฯลฯ ตามทค่ี รู ตอ้ งการ
6) บทบาทในการพัฒนาบุคลากร ผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าที่ดังต่อไปนี้ คือ จัดให้มี
การอบรมในหน่วยงาน โดยจัดให้ตรงตามความต้องการของครู การประชุมครู ที่จดให้มีขึ้น ช่วยให้ครูมี
ความก้าวหน้าใช้วิธีการสังเกตการสอน แต่ต้องมีความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายใช้วิธีการวัดผลเพื่อพัฒนา
บุคลากรให้เกดิ ประสิทธภิ าพการเรียนการสอน
ส่วนสุจริต เพียรชอบ (อ้างใน อัญชลี ธรรมะวิธีกุล , 2555) ได้กล่าวถึงบทบาทผู้บริหาร
สถานศึกษาในการนเิ ทศการศึกษาภายในสถานศกึ ษาดงั น้ี
1) ช่วยเหลือทางด้านวิชาการและด้านบริการ ได้แก่ปฐมนิเทศครูใหม่จัดประชุมครูก่อน
เปดิ ภาคเรียน สังเกตการณส์ อนในชน้ั การเย่ยี มชัน้ เรียนอื่น ๆ การสาธติ การสอน การนิ เทศด้วยการให้
คำปรกึ ษาหารือเป็นรายบุคคลหรือรายหมู่ การประชุมปฏิบตั ิการ การอบรมสัมมนา จดั หนังสือท่ีมีคุณค่า
ทางวิชาการให้ครู ได้ศึกษา ปรับปรุงห้องสมุดให้ทันสมัย และแนะนำครู ให้ใช้ห้องสมุด แนะนำให้ครู
เป็นสมาชิกของสมาคมทางวิชาการต่างๆ จัดบริการโสตทัศนศึกษาใหแ้ ก่ครูเป็นอย่างดี และสนับสนุนให้
ครู ใชอ้ ปุ กรณ์เหล่านนั้ ตลอดจนสนับสนุนใหค้ รู ไปศึกษาตอ่
2) ช่วยเหลอื ครูในด้านปัญหาสว่ นตวั
3) การสร้างขวญั ของคณะครู ในสถานศึกษา
4) การประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ านในสถานศึกษา
สำหรับ อำนวยพร วงษ์ถนอม (อ้างใน อัญชลี ธรรมะวธิ กี ลุ , 2555) ได้กลา่ วถงึ บทบาทของ
ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาในการนเิ ทศการศกึ ษา ดังน้ี
1) จัดให้การปฐมนเิ ทศครู ใหมใ่ หเ้ ข้าใจในหน้าที่การงานท่ีตนรบั ผิดชอบ
2) สถานศึกษาจัดการอบรม หรือให้การนเิ ทศดว้ ยการสอนแกค่ รู อย่างสม่ำเสมอ
3) แนะนาใหค้ รู รู้จกดัดแปลงเนอื้ หาวิชาท่สี อนให้เหมาะสมแกส่ ภาพท้องถ่ิน
4) ช่วยใหค้ รมู ีความเชื่อมันในความสามารถของตนที่ จะแก้ปญั หา และอุปสรรคใน
การเรยี นการสอน
5) เสนอแนะวธิ ีสอนทเี่ หมาะสมกับเน้ือหาวชิ า และสภาพแวดลอ้ มใหค้ รู
6) สง่ ครูไปสงั เกตการสอนในสถานศึกษาอืน่ ๆ ท่เี ห็นวา่ เป็นตวั อยา่ งทด่ี ีได้
7) ให้ครไู ดเ้ ขา้ ร่วมการฝกึ อบรมทางวชิ าการท่ีจดั ขึ้นภายในและภายนอกกลมุ่
สถานศึกษา
8) จัดใหม้ กี ารติดตามผลภายหลงั การฝกึ อบรม
9) จัดหาหนงั สอื ทางวิชาการ คู่มือครู วารสาร และบริการอื่นๆ เพื่อช่วยเหลอื ครู
ก้าวหน้าทางวิชาการ และวิชาชีพ
10) ผู้บริหารควรเยี่ยมช้นั เรยี น เพื่อมุง่ ที่จะให้คำปรึกษาช่วยเหลือและแก้ไขปญั หา
ทางการสอน
11) การบำรุงขวัญและให้กาลังใจแก่ครู
26
12) ผบู้ ริหารควรมีเกณฑ์ในการพิจารณาความดคี วามชอบของครู โดยใชว้ ิธีความเปน็
ธรรมใหม้ ากทส่ี ุด
13) จัดให้มีการสัมมนาของคณะครู เพือ่ แสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั การเรยี นการสอน
14) สนับสนุนให้ครู มโี อกาสศกึ ษาในสาขาวชิ าที่เก่ยี วข้อง และจะเปน็ ประโยชน์
โดยตรงตอ่ การศกึ ษา
15) จัดให้มีการประกวดการเรียนการสอนระหว่างสถานศึกษาภายในกลุ่ม สรุปได้ว่า
ผู้บริหารโรงเรียนจะต้องบริหารงานโดยมีบทบาท 2 ประการ คือ งานบริหารและงานนิเทศ โดยบทบาท
ของผู้บริหารด้านการนิเทศนัน้ ผู้บริหารจะต้องให้การช่วยเหลือทางด้านวิชาการใหแ้ ก่ครู และบุคลากร
ในโรงเรยี น การชว่ ยเหลือครู ในดา้ นปญั หาส่วนตัว การสรา้ งขวัญและกาลงั ใจให้แก่ครู และบคุ ลากรใน
โรงเรียน การประเมินผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งการพัฒนาครู และบุคลากรในโรงเรียน เพื่อพัฒนา
คุณภาพผู้เรยี นใหด้ ยี ิ่งขน้ึ
8. การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นกิจกรรมท่ีมีความสำคัญมากกิจกรรมหนึง่ ที่เป็นส่อื
เชอ่ื มโยงระหวา่ งผูเ้ รียนและหลักสูตรชว่ ยให้การจัดการศึกษาเปน็ ไปตามวัตถุประสงค์ทตี่ ้องการ ดังที่ สุธี
ระ ทานตวณชิ (2532: 123) ไดก้ ล่าววา่ กจิ กรรมการเรยี น หมายถงึ กิจกรรมท่ีชว่ ยกระตุน้ ให้การเรียน
การสอนเป็นไปดว้ ยความสมบรู ณ์ยิง่ ขึ้นกลา่ วคือทาให้ผู้เรยี นมีความเขา้ ใจแจ่มแจ้งและจดจำไดน้ านย่ิงขึ้น
หรือจะช่วยให้การเรยี นการสอนทจี่ ะดำเนินการในครัง้ ตอ่ ไปมปี ระสทิ ธิ ภาพมากข้นึ
สาหรับ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2535: 183) กล่าวว่า การจัดและการดำเนินการเรียนการ
สอนจะเป็นไปด้วยดี ต้องอาศัยการวางแผนการบริ หารงานที่มาจากความร่วมมือของบุคลากรใน
โรงเรียนโดยเฉพาะครูอาจารย์ ซึ่งเป็นตัวหลักสำคัญที่จะทำให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ ในการ
บริหารงานจัดการเรียนการสอนผู้บริหารโรงเรียนควรยึดหลักการจัดการเรี ยนการสอนตามแนวของ
หลกั สตู รกลา่ วคอื ครู และนักเรยี นรว่ มกนั ดำเนินกจิ กรรมตา่ งๆ โดยมีเด็กเปน็ ศูนย์กลางของความสนใจ
นั่นคือกิจกรรมของเด็กโดยเด็กและเพื่อเด็ก ครูเป็นผู้ดำเนินการให้กิจกรรมเป็นไปในแนวทางตามท่ี
แผนการสอนและคู่มือเสนอแนะไว้ เด็กเป็นผปู้ ฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ มากทสี่ ดุ ไมว่ ่าจะเป็นการสอนโดยวิธี
ใดๆ ก็ตาม ครูเป็นเพียงผู้ควบคุมดูแลและแนะนำเพื่อให้กิจกรรมการเรียนการสอนบรรลุ ประสงค์การ
เรยี นรขู้ องหลักสูตร
ส่วน ปรีชา คัมภรี ปกรณ์ (อ้างใน สมพงษ์ นยิ มลักษณ์, 2548 : 26) กล่าวถึงหลกั การจดั การ
เรียนการสอนท่สี ำคญั ไว้หลายประการคอื
1) ครูต้องเปิดโอกาสให้นกั เรียนไดเ้ รียนรู้ทางด้านทฤษฎี และการปฏบิ ัติเพอื่ ใหเ้ กิด
การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง เกิดความเขา้ ใจและสามารถปฏิบัติไดม้ ากกวา่ การจำ
2) ครูควรเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นได้เรยี นรู้ เก่ียวกับวธิ กี ารแกป้ ัญหา มคี วามคิด
วิจารณญาณและรูจ้ ักนำความรู้ไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวัน ดังน้ันการสอนของครตู อ้ งมุ่งให้นักเรยี นไดร้ ู้
วธิ กี ารแสวงหาความร้มู ากกวา่ ให้ทอ่ งจำ
3) เน้อื หาวชิ าทจ่ี ัดให้แกน่ ักเรียนตอ้ งผสมผสานกัน และแสดงให้เห็นถงึ ความสมั พันธ์
ระหวา่ งความร้ตู ่างๆ ตลอดถึงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกล่มุ ประสบการณ์ที่เรยี นดว้ ยบทบาทของผูบ้ รหิ าร
โรงเรยี นในด้านการจดั กจิ กรรมเรยี นการสอนนัน้ ผบู้ รหิ ารโรงเรียนมภี ารกจิ ทีจ่ ะตอ้ งกระทำ ดงั นี้
(สำนกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2536 : 8 -9)
27
3.1) จดั ใหม้ แี ผนการสอนให้ครบถ้วนทกุ ชั้น และทุกกลมุ่ ประสบการณ์ สำหรบั
หลกั สูตรฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2533 มุ่งเน้นให้ครูผูส้ อนเป็นผู้จดั ทำแผนการสอนเอง ผู้บริหารตอ้ งเปน็ ผู้นำ
และกระตนุ้ ใหค้ รูจดั ทำและติดตามการนำไปใชด้ ว้ ย
3.2) จัดหอ้ งเรยี นให้เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั จานวนหอ้ งเรยี น
3.3) จดั สถานที่ และอุปกรณ์เครือ่ งมือเครื่องใชแ้ ละหอ้ งพเิ ศษเพื่อสนบั สนนุ การจัด
กิจกรรม การเรยี นการสอนในกล่มุ ประสบการณ์ต่างๆ ตามสภาพความพร้อมของโรงเรียน
3.4) ตรวจสอบการจัดตารางสอนให้เหมาะสมกับเวลาและสอดคล้องกบั อัตราเวลา
เรียนในหลกั สูตรทุกกล่มุ ประสบการณท์ ุกช้ันเรียน และให้มีตารางสอนรวมของโรงเรียนด้วย
3.5) จัดทำหรือจัดหาเอกสารประกอบหลักสูตรและแบบพิมพต์ ่างๆ ท่ีสนบั สนุนการ
สอน เชน่ แนวการสอนคู่มือครู และเอกสารทีเ่ ก่ยี วข้องสำหรบั ครผู ูส้ อนให้เพยี งพอทุกระดับชนั้ และทุก
กลมุ่ ประสบการณ์
3.6) จดั ครูประจำชน้ั ครู ประจำวิชาใหเ้ หมาะสมโดยคำนึงถึงความรคู้ วามสามารถของ
ประสบการณ์และความถนดั
3.7) ติดตามการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนของครู โดยการตรวจแผนการสอนหรอื
บันทึกการสอนของครูอย่างสมำ่ เสมอ
3.8) เยย่ี มช้ันเรยี นหรอื สงั เกตการสอนโดยกำหนดเป็นปฏิทินปฏิบัตงิ านไว้
3.9) จดั ครเู ขา้ สอนแทนครู ที่ขาดหรอื ครู ทไี่ ม่มาปฏิบัตงิ านโดยมกี ารบนั ทึกมอบหมาย
งานและบนั ทึกรายงานผลการปฏบิ ัติงานเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร
3.10) ตดิ ตาม ให้การชว่ ยเหลอื พิเศษ ช่วยแกป้ ัญหาในส่วนทเ่ี กีย่ วข้องกับการเรียนการ
สอนให้แก่ครู ให้ขวัญและกำลังใจในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตร
3.11) เป็นผู้นำให้ครูปรับปรุงการเรียนการสอนให้รู้จกใช้เทคนิคและวิธีการสอนแบบ
ต่าง ๆ และเลือกกิจกรรมการสอน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ทักษะและเจตคติที่ดี สรุปได้ว่า การจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน เป็นกิจกรรมที่สำคัญที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจเพราะการเรียนจะบรรลุ
ตามเป้าหมายของหลักสูตรได้นั้น ต้องอาศัยกิจกรรมการเรียน การสอนเป็นสำคัญ ซึ่งผู้บริหารโรงเรียน
ตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลอื และสนับสนนุ กระตนุ้ ให้ครจู ดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสม
การศกึ ษาที่เกย่ี วข้อง สวัสดิ์ เดชกัลยาและคณะ (2549) ได้ศึกษาการดำเนนิ งานนิเทศ ภายใน
โรงเรียนในสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษานครนายก โดยมีวัตถุ ประสงค์
1) เพ่ือศึกษาการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนในสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน สงั กัดสำนัก
เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษานครนายก
2) เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานนเิ ทศภายในโรงเรยี นในสถานศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน สังกัด
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษานครนายก โดยจำแนกตามขนาดของสถานศึกษาโดยได้ศึกษาขนั้ ตอนการ
ดำเนนิ งานนิเทศภายในโรงเรยี น 4 ขน้ั ตอนคือ
2.1) การศึกษาสภาพปัจจบุ ันปญั หาและความต้องการ
ของสถานศกึ ษา
2.2) การวางแผนการนิเทศ
2.3) การดำเนนิ การนิเทศ
2.4) การประเมนิ ผลการนิเทศและเพื่อเปรียบเทียบ
28
การดำเนนิ งานนิเทศภายในโรงเรียนในสถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน สงั กดั สำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษานครนายก โดยจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่
ขา้ ราชการครู จำนวน 244 คน ประกอบด้วยข้าราชการครู ในสถานศึกษาขนาดใหญจ่ านวน 42 คนและ
ข้าราชการครู ในสถานศึกษาขนาดเล็กจำนวน 202 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเปน็ แบบสอบถามแบบ
มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 40 ข้อมีค่าความเชื่อมัน 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ไดแ้ ก่ คา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย คา่ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบ t–test สาหรบั กลุม่ ตัวอย่างท่ีเปน็
อิสระต่อกันผลการวจิ ัยสรปุ ได้ดงั น้ี
1. สภาพการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนในสถานศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน สังกดั สำนกั งาน
เขตพื้นที่การศึกษานครนายกโดยรวม อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ขั้นตอนการ
ดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียน 4 ขั้นตอน อยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน โดยเรียงลำดับจากมากไปหา
นอ้ ยไดด้ ังนี้ ขนั้ ท่ี 3 การดำเนนิ การนิเทศ ขั้นท่ี 2 การวางแผนการนิเทศ ขนั้ ที่ 1 การศกึ ษาสภาพปัจจุบัน
ปญั หาและความตอ้ งการของสถานศึกษา และขัน้ ที่ 4 การประเมินผลการนเิ ทศ ตามลาดับ
2. ผลการเปรียบเทียบการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครนายก โดยจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่าการดำเนิน
งานนิเทศภายในโรงเรียนตามขั้นตอนการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนทั้ง 4 ขั้นตอน คือ การศึกษา
สภาพปจั จบุ ันปญั หาและความตอ้ งการของสถานศึกษา การวางแผนการนิเทศ การดำเนนิ การนเิ ทศและ
การประเมนิ ผลการนเิ ทศของสถานศึกษาขนาดใหญแ่ ละสถานศึกษาขนาดเล็กท้ังโดยรวมและรายด้านน้ัน
ไมแ่ ตกต่างกัน
จากงานวิจัยข้างต้น พบวา่ สถานศึกษาขั้นพืน้ ฐานสังกดั สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษา
นครนายก มกี ารดำเนนิ งานนเิ ทศภายในโรงเรยี นทง้ั 4 ข้ันตอน ไดแ้ ก่
1) การศึกษาสภาพปจั จบุ ันปัญหาและความตอ้ งการของสถานศึกษา
2) การวางแผนการนิเทศ
3) การดำเนินการนิเทศ
4) การประเมนิ ผลการนิเทศ
โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยในขั้นที่ 3 มีการดำเนินการมากที่สุด และขั้นที่ 4 มีการ
ดำเนินการน้อยที่สุด และจากการเปรียบเทียบการดำเนินงานนิเทศภายในโรงเรียนในสถานศึกษาข้ัน
พื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครนายกของสถานศึกษาขนาดใหญ่และสถานศึกษาขนาด
เล็ก ทั้งไม่แตกต่างกัน เฉลียว นัยนา (2550)ได้ศึกษากระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา ข้ัน
พื้นฐานในอำเภอแม่สรวย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2 โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษา
กระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน กลุ่มประชากร คอื ผบู้ ริหารโรงเรียนและครูผู้สอน
โรงเรียนในอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต 2 ปี
การศึกษา 2547 จำนวน 533 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า และ
แบบปลายเปิด นำขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าวิเคราะห์โดยใชร้ อ้ ยละคา่ เฉลีย่
ผลการศึกษากระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั้ง 5 ขั้นตอน พบว่าการ
ปฏิบัติโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยของการปฏิบัติมากที่สุดคือ การวางแผนและ
กำหนดทางเลอื ก ส่วนด้านท่ีมีคา่ เฉล่ยี ของการปฏบิ ตั ิน้อยท่สี ุด คอื การประเมนิ และรายงานผลส่วนแนว
ทางการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานท้ัง 5 ขั้นตอน พบว่า มีขอเสนอแนะ
29
ดงั นี้ คือ ควรมีการสอบถามสภาพการจัดการเรียนการสอนของครู ครคู วรมสี ่วนรว่ มในการวางแผนการ
และดำเนินการนิเทศภายในสื่อและเครื่องมือที่ใช้ในการนิเทศควรสอดคล้องกับสภาพการดำเนินการ
จัดการเรยี นการสอน และควรมกี ารสรุปผลการนเิ ทศภายในทุกครัง้ ทม่ี ีการดาเนนิ การทุกคร้ัง
จากงานวิจัย ข้างต้นพบว่า สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในอำเภอแม่สรวย สำนักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษาเชียงราย เขต 2 มีการดำเนนิ การนิเทศภายในท้ัง 5 ขนั้ ตอน อยใู่ นระดบั ปานกลาง ซ่ึงแนวทาง
ในการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั้ง 5 ขั้น ตอนนั้น ควรมีการสอบถาม
เกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนการสอนของครู เปิดโอกาสให้ครู เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนการ
ดำเนินการนิเทศภายใน รวมทั้งสื่อและเครื่องมือที่ใช้ในการนิเทศภายในควรมีความสอดคล้องกับสภาพ
การจดั การเรียนการสอนของครู และควรนำผลสรุปเกี่ยวกับการนเิ ทศภายในมาใช้ในการพฒั นาปรับปรุง
การดำเนนิ งานให้ดยี งิ่ ข้ึน
กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน โดยการใช้กระบวนการเปดิ ช้นั เรียน (Lesson study)
ในประเทศไทยการสอนโดยการใช้กระบวนการเปิดชั้นเรียน (Lesson study) นำมาใช้ครั้งแรก
ในปีการศึกษา 2547 โดย รศ.ดร.ไมตรี อินทรประสิทธิ์ ได้มีการขยายตัวไปอย่างแพร่หลายในแวดวง
การศึกษาในระดับ ประถม มัธยม และอุดมศึกษาทั่วทุกภูมิภาค ในขณะเดียวกันก็ได้นำนวัตกรรม
Lesson study นี้มาใช้กับการสอนคณิตศาสตร์แก่นักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เพือ่ ใหค้ ณาจารยแ์ ละนักศึกษาไดใ้ ช้เพ่ือให้ เกดิ การเปลี่ยนแปลงและเปดิ โลกทัศน์ เพราะเป็นวิธีการที่ครู
เปน็ ผู้ลกั ดันใหเ้ กดิ การปรบั ปรุงการสอน โดยมีเป้าหมายหลกั อยู่นกั เรียน ทำใหค้ รคู ้นพบว่าการรว่ มมือกัน
อย่างดีระหว่างครูด้วยกัน ทำให้ครูได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนการเรียนรู้เกี่ยวกับการสอนนวตั กรรม Lesson
study เป็นนวัตกรรมทีเ่ ป็นอีกหนึ่งวิธีทีจ่ ะช่วยในการพัฒนาวิชาชีพครูเพราะเป็นแนวทางท่ีจะช่วยใหค้ รู
ได้ปรับปรุงการสอนดว้ ยตัวของครูเอง (teacher-led instruction improvement) และเป็นการผลักดัน
ให้ครูเกิดความรู้สึกที่จะพัฒนาวิชาชีพครูภายใต้กระบวนการปรับปรุงการสอนด้วยตัวของครูเองอยู่
ตลอดเวลาโดยไม่ต้องรอใหม้ ผี ู้เช่ียวชาญจากภายนอกมาดูแล เพราะจดุ ประสงค์หลักหรือจุดเน้นที่ จะทำ
ใหเ้ กิดผลคอื นักเรยี น ดงั น้ันการนำแนวทางน้ีมาใช้ในการสอนของครูไม่นา่ จะเป็นด้านเน้ือหา วธิ ีการสอน
สอื่ การสอน ทนี่ ำมาใช้จะเกดิ ผลต่อการเรยี นรู้ของนักเรยี นมาก
นวัตกรรม Lesson study ได้รับการยอมรับในประเทศต่าง ๆ ว่ามีคุณค่าต่อครูสามารถ
เปลี่ยนแปลงครูและนักเรียนได้นวัตกรรม Lesson study จึงน่าจะได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสมกับ
ประเทศไทยอย่างย่ิงในภาวะท่ีประเทศไทยในปัจจุบัน ต้องการให้ครูได้ปฏิรูปการสอนตนเองเพ่ือจะได้
ส่งผลต่อการปฏิรูปการเรียนของนักเรียนและใช้ในการพัฒนาวิชาชีพครูในประเทศไทยอันจะช่วยให้เกิด
ผลดีต่อการปฏิรูปครูเป็นอย่างยิ่ง (Inprasitha, 2009) Lesson study มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาครู
เหตุผลที่ Lesson study ไดร้ ับความนิยมมีเหตผุ ลหลายประการ คอื
1. ทำให้เกดิ ความเข้าใจเก่ียวกบั แนวคดิ ทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกบั แนว ปฏิบตั ิในการสอน
2. ปรบั เปลี่ยนความคิดและวิธีการสอน และการเรยี นรู้
3. เรียนรู้ที่จะพฒั นาการปฏบิ ัติการสอนของครจู ากการสะท้อนผลของนักเรียน
4. ได้รับการสนับสนุนและการช่วยเหลือจากเพ่ือนครูแนวปฏิบัตขิ อง Lesson study เป็น
30
กระบวนการปรบั ปรุงการสอนอยา่ งต่อเนือ่ ง โดยมจี ุดมุ่งหมายให้ครูได้แลก เปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคการสอน
จากเพื่อนครูดว้ ยกันทำให้เกดิ การยอมรับขอ้ บกพร่องของตนเองแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่
รศ.ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธ์ิ ได้นำนวัตกรรม Lesson study โดยเอาวิธีการสอนคณิตศาสตร์
แนวใหม่ คือ Open Approach และ Lesson study เป็นวิธีการสอนแบบเปิดและทำให้เกิดการวิจัย
แผนการสอน ซึ่งอาจารย์ได้ไปศึกษามาจาก ประเทศญี่ปุ่นวิธีการแบบเปิดนี้จะช่วยลดอุปสรรคเรื่อง
จำนวนเด็กต่อห้อง ที่มีมากเกินไปได้เพราะวิธีการแบบเปิด จะทำให้ครูได้ด้านความแตกต่างระหว่าง
บุคคลอย่างชัดเจนเพราะความแตกต่างระหว่างบุคคลจะเกิดคำตอบของนักเรียนท่ีเป็นกระบวนการ
นั้นเอง ต่อจากนี้จะขออธิบายเฉพาะการสอนแบบเปิดถ้าใช้ Open Approach Lesson study แล้วครู
ใหค้ วามสำคัญกับการใช้แผนการเรยี นรู้จนทำให้เกดิ เป็นการวิจัย แผนการสอนในชัน้ เรยี นเกิดขึน้ เพราะ
แผนการสอนคอื เป็นเคร่ืองมือสำคัญอย่างหนึง่ ในการสอนซึง่ มกี ระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ 1) ร่วมมือกนั
สร้างแผนการสอนของครูในกลุ่มคณิตศาสตร์หรือผู้สนใจ 2) ร่วมกันสังเกตการสอน 3) ประชุมเพื่อ
สะทอ้ นผล การสอนรว่ มกัน
ขั้นตอนที่ 1 ครูจะประชุมเพื่อสร้างแผนการสอนร่วมกัน โดยกำหนดเรื่องที่ สอนตามหลักสูตร
สถานศึกษาการสร้างแผนการสอนต้องยึดหลักการสร้างคำถามหรือคำสั่งปลายเปิดและให้ครอบคลุม
เนื้อหาที่ต้องการสอน ซึ่งเป็นวิธีการ Open Approach จากหลักการดังกล่าวครูทุกคนต้องช่วยกันคิด
แล้วแสดงความคิดน้ันร่วมกัน โดยคำถามที่จะต้องใช้ในช้ันเรียนต้องเป็นคำถามแบบเปิดแต่จะมีประเด็น
ความรู้ไว้ ในคำถามให้กับนักเรียนได้ร่วมกันคิดและหาคำตอบ เป้าหมายสำคัญของวิธีการสอนแบบเปิด
ต้องการให้นักเรียนทุกคนเรียนคณิตศาสตร์ได้สอดคล้องกับศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ใน
กระบวนการทางการคิดคณิตศาสตร์การปรับปรุงและพัฒนาการสอนลักษณะน้ีจะช่วยแก้ปญั หาครูที่ต้อง
สอนกิจกรรมในลักษณะเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกปีได้เพราะจะทำใหครูสนุกกับการหาคำถามมาถามเด็กและ
คำตอบที่ได้กันแตกต่างกันในแต่ละปีช่วยลดปัญหาการเรียนระหว่างเด็กเก่งกับเด็กอ่อนให้เกิดความ
สมดุลกัน เนื่องจากนักเรียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นโดยที่ครูจะไม่ปฏิเสธคำตอบไปสู่ความรู้ให้กับ
นักเรียนแต่จะทำหนา้ ทเี่ ชอ่ื มโยงคำตอบไปสู่ความรู้ให้กบั นักเรียน
กระบวนการของ Lesson Study โดยทั่วไปประกอบด้วย 8 ข้ันตอนดังน้ี (Inprasitha, 2003)
1. Problem Identify cation กำหนดประเด็นที่จะสอน ขึ้นอยู่กับความ ต้องการของ
นักเรียน
2. Class planning วางแผนการสอน โดยเน้นทนี่ ักเรียนและครูเป็นสำคัญ
3. Class implementation นำแผนการสอนไปใช้โดยเน้นบทเรียนที่ส่งเสริมการ
เรียนรู้และกระบวนการคิดของนกั เรียนและแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลอื่ น
4. Class evaluation and review of result ประเมินผลบทเรียนว่าส่งผลตอ่ การ
เรียนรรู้ของนักเรยี นอย่างไรและร่วมกันอภิปรายสะท้อนความคิด
5. Reconsideration of class ปรับปรุงบทเรยี นโดยอาศัยข้อมลู ท่รี วบรวมได้
6. Implementation base on reconsideration นำแผนการสอนทป่ี รับปรุงแล้วมา
สอนนกั เรยี นกลุ่มอ่นื
7. Evaluation and review ประเมนิ ผลบทเรียนและร่วมกันอภิปรายสะท้อนความคิด
เก่ียวกับบทเรยี น
8. Share result นำผลท่ีได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้รว่ มกัน
31
การศกึ ษาชนั้ เรียนส่งิ หนงึ่ ท่ีต้องการ คือ การพิจารณาด้านเวลาและความพยายามในการกำหนด
ตารางการทำงานให้เรียบร้อยอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้ลงมือกระทำก็จะเป็นผู้ที่สร้างคุณค่าด้านการใช้เวลา
และความพยายามจากในปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นที่จะปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนและการปลูกฝังความ
ตระหนักในทจี่ ะใช้กับการศึกษาชั้นเรียนจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในหมู่ครู และการปรับปรุง
การสอนข้อค้นพบจากการศึกษาชั้นเรียนนี้ช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพในการสอนให้แก่ครูและแนน่ อน
รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือประโยชน์ที่นักเรียนได้รับจากการปรับปรุงการนำไปใช้และวิธีคิดในวิชา
คณิตศาสตร์ของพวกเขา แม้ว่ามันจะให้ประโยชน์มาก กระบวนการดังกล่าว ยังเหมือนอยู่ ในภาวะมี
อุปสรรคอย่างไรก็ตามครูต้องระลึกว่าจะต้องร่วมกันทำงานเพ่ือปรับปรุงการเรียนรู้ของนักเรียนการ
แลกเปล่ียนจุดประสงค์ร่วมกันก็สามารถเพิ่มคุณค่าได้เป็นอย่างดีทีเดียว และมันยังช่วยให้ครูได้จดจำใน
ประเด็นที่ได้สังเกต คือ อยู่ที่วิธีคิดของเด็ก ไม่ใช่ความสามารถในการสอนของพวกเขา สิ่งนี้มันสามารถ
ชว่ ยลดความกังวลลงไปไดส้ ำหรับครู (Inprasitha, 2009) ในการจดั การเรียนการสอนในวิชาคณติ ศาสตร์
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) ระดับประถมในขั้นตอนแรกนั้นครูผู้ร่วมโครงการ
จะมาร่วมกัน สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยดูว่าต้องการสอนนักเรียนเร่ืองอะไรบ้างและจะต้ังคำถาม
อย่างไร จากนั้นจะมากำหนดคำถามปลายเปิดให้ครอบคลุมประเด็นที่ต้องการสอนเด็ก ซ่ึงเป็น วิธีการ
แบบเปิด จะซอ่ นประเด็นความรู้ไว้ในคำถามให้เด็ก ๆ ได้ร่วมกันคดิ และหาคำตอบโดยคำตอบของเด็กแต่
ละคนอาจจะแตกต่างนักเรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันในการให้เหตุผล
และต้องยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันครูพยายามเช่ือมโยงข้อมูลที่เด็ก ๆ อธิบายซึ่งครูจะต้องใจ
เยน็ ไม่สรุปว่าความคิดของ ใครผดิ หรอื ถูกแตเ่ ม่ือเดก็ มีความเหน็ ที่ผดิ ออกไป ก็อาจจะมเี ดก็ คนอ่นื ๆ เห็น
แย้งขึ้นมา เด็กในชั้นเรียนก็จะได้อภิปรายร่วมกัน ถกเถียงถึงความรู้นัน้ ด้วยกนั สุดท้ายครูและนกั เรยี นก็
จะร่วมกันสรุปประเด็นของความรู้ได้สำหรับจุดสำคัญของวิธีการสอนด้วยวิธี แบบเปิดจะต้องให้นักเรียน
เปิดใจกว้างเกี่ยวกับคณิตศาสตร์โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนเรียนคณิตศาสตร์ได้ สอดคล้องกับ
ศักยภาพทางคณิตศาสตร์ ของตนและระดับของการกำหนดการเรียนรู้ด้วยตนเองนอกจากนี้ยังต้องการ
ให้เด็กสามารถใช้ศักยภาพของ ตนเองได้อย่างเต็มที่ในกระบวนการคิดทางคณิตศาสตร์ดังนั้น การได้
พัฒนาบทเรียนร่วมกันและได้ร่วมกันดูว่าจุดมุ่งหมายของบทเรียนและวัตถุประสงค์มีความเหมาะสม กับ
หลกั สูตรท่ใี ช้กบั นักเรียนช้นั ต่าง ๆ อย่างไร และจะวัดความคิดของนกั เรยี นระหว่าง บทเรียนน้ันอยา่ งไรก็
ถือว่าเป็นส่ิงท่ีสร้างคุณค่ามากการสังเกตบทเรียนและการสนทนาจากข้อสงั เกตร่วมกนั แน่นอนว่า มันจะ
เกิดพลังการฝักที่สร้างการหยั่งรู้ที่ยิ่งใหญ่และได้ปรับปรุงความรู้วิชาการด้วยหากกลุ่มริเร่ิมมีเวลาและ
ความสนใจก็มีความสำคัญต่อการดำเนินการต่อในกระบวนการทบทวนบทเรียนและการมีครูอื่นนำไป
สอนและมีการสังเกตบทเรียนอีกผู้บริหารมีความเช่ือว่านวัตกรรมการศึกษาชั้นเรียนด้วยวิธีการแบบเปิด
จะเป็นการพัฒนาครูในด้านพฤติกรรมการสอนมีการเปล่ียนแปลงระบบการทำงานของครูที่เมื่อก่อนคิด
คนเดียววางแผนการทำงานคนเดียวเขียนแผนการจัดการเรียนรู้คนเดียวแล้วนำไปใช้สอน แต่การศึกษา
ช้นั เรียนทำงานเป็นกลุ่ม เป็นระบบเกิดความสามัคคี ในหมู่คณะทำให้องค์กรพฒั นา ผู้บรหิ ารได้รับทราบ
ถึงปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนการจัดตารางสอนการให้ความร่วมมือของครูในโรงเรียนทำให้
คณะทำงานมขี วัญและกำลังใจและส่งเสริมการดำเนินงานเป็นอย่างดีผู้รว่ มงานให้ความสำคัญในกิจกรรม
ที่ร่วมกันของคณะกรรมการดำเนินงานให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม ผู้บริหารเข้าร่วมกับคณะครู
และทีมวิจัยเข้าร่วมสังเกตการสอน เข้าร่วมการประชุมสะท้อนผล ในแต่ละสัปดาห์และเข้าร่วมกิจกรรม
อืน่ ๆ (Inprasitha, 2009)
32
กระบวนการการศึกษาชัน้ เรียน สามารถแสดงได้ดังแผนภูมิต่อไปน้ี (Inprasitha, 2003)
รว่ มกันสร้างแผนการจัดการเรียนรู้
นำแผนการจดั การเรยี นรู้ไปใชแ้ ละสังเกตชนั้ เรียนตามตารางสอนปกติ
สะทอ้ นผลช้ันเรียนทกุ สัปดาห์
สรปุ ผลการเรยี นรขู้ องครูจัดทำ open class
ปรบั แผนการจดั การเรียนรู้เมือ่ เรม่ิ ปีการศกึ ษาใหม่
ภาพที่ 1 แสดงรปู แบบกระบวนการการศกึ ษาช้ันเรียน
ลำดับแรกของกระบวนการการศึกษาช้นั เรยี น
1. การสร้างสถานการณ์ปัญหาที่จะทำให้ผู้เรียนนำสถานการณ์นั้นไปเป็นโจทย์การ
เรียนรู้เด็กจะมีวิธีคิดที่แตกต่างกันในกลุ่มเด็ก ๆ พยายามช่วยกันคิดเพื่อให้กลุ่มของตนประสบ
ความสำเร็จแม้ว่าบางคร้ังอาจมีความขัดแย้งกันแต่เด็ก ๆ ก็สามารถสรุปเป็นข้อตกลงในกลุ่มของตนเอง
ได้
2. การสร้างส่ือการเรียนรู้จะช่วยให้ครูได้เห็นวิธีการคิดของผู้เรียนแต่ละคนท่ีแตกต่าง
กนั และช่วยให้ ผู้เรยี นแต่ละคนไดแ้ สดงความสามารถแสดงศักยภาพความสนใจและการเรยี นรู้ที่แตกต่าง
กนั
3. การมีช่วงเวลาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนใช้เวลากับการเรียนรู้ที่
เกิดขึ้นครูเป็นเพียงผู้สังเกตและบันทึกวิธีคิดของเด็กที่ได้พบรวมถึงสภาพบรรยากาศภายในห้องเรียน
การมีส่วนร่วมของผู้เรียนพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนแนวความคิดทักษะกระบวนการของแต่ละคนซ่ึงมี
ครอู ีกคนคอยสังเกตแุ ละบันทกึ สิ่งตา่ ง ๆ ที่เกิดขน้ึ เพ่ือนำมาสะทอ้ นผลร่วมกนั กบั ครูผู้สอน
4. การแลกเปลี่ยนแนวความคิดร่วมกัน ผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะนำเสนอความ คิดที่กลุ่ม
ของตนคิดรว่ มกันแล้วมานำเสนอผลงานของกลุ่มใหเ้ พอ่ื นๆ ในห้องได้รับฟงั
5. ขั้นสรุป ครูจะทำหน้าที่เชื่อมร้อยความคิดของทุกกลุ่มเข้าด้วยกันและนำไปสู้ความ
เขา้ ใจในเรือ่ งท่คี รูต้องการสอนโดยอาศัยความเข้าใจของผู้เรียนที่มีอยู่เดมิ เป็นฐาน
33
6. นำสงิ่ ที่ไดว้ างแผนร่วมกันมาสะท้อนถงึ ส่ิงท่เี กิดขนึ้ ในชน้ั เรยี นที่ครูไดร้ ่วมกันวางแผน
กันไว้และปรับปรุงในสิ่งที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการคิดของเด็ก เช่น สื่อการ เรียนรู้มีขนาดเล็กเกินไป
กระดานแม่เหล็กไม่เพียงพอต่อจำนวนกลุ่มสีสันของสื่อไม่เร้าความสนใจเป็นต้น เพื่อที่ครูผู้สอนจะได้
นำไปปรบั ปรงุ และพัฒนาต่อไป
7. แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพ่ือนร่วมวิชาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์และ
ข้อเสนอแนะจากเพื่อนร่วมวิชาชีพในการพัฒนาการเรียนการสอนลักษณะต่อไปนี้ของ Lesson Study
ทำให้ Lesson Study แตกต่างจาก การพัฒนาครูทั่วไป คือ (1) Lesson Study เปิดโอกาสให้ครูได้
มองเหน็ การสอนและการเรยี นรู้ในชัน้ เรียนอย่างเป็นรปู ธรรมครูร่วมกันอภิปรายเกย่ี วกบั การวางแผนการ
สอนการทำแผนการสอนไปใช้การสังเกตการสอนและสะท้อนความคิดเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในชั้น
เรียน การที่ได้สังเกตการสอนจริงในชั้นเรียนทำให้ครูได้เข้าใจและเห็นภาพว่าการสอนที่ดีนั้นเป็น
อย่างไร ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจในสิ่งที่ตนกำลังเรียนได้ดียิ่งขึ้น (2) นักเรียนเป็นหัวใจสำคัญของ
โปรแกรมพัฒนาครูซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให ครูได้ศึกษา วิเคราะห์การกระบวนการเรียนรูและความ
เข้าใจของนักเรียนผานทางการสังเกตการสอนและการอภิปรายเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการสอน (3)
Lesson Study ทำให้ครูได้มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสอนและ
การพัฒนาหลกั สตู ร
สรุป Lesson Study มีคุณลักษณะท่ีพบว่ามีประสิทธิภาพในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมของครู
เช่น การใช้ส่ือของจริงเพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างมีความหมายการที่ครูได้สะท้อน
เกี่ยวกับการสอนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การที่ครูได้มีเครือข่ายสนับสนุนทางวิชาการภายใน
โรงเรียน ในขณะเดียวกัน Lesson Study หลีกเลย่ี งลักษณะอันไมพ่ ึงประสงค์ทพี่ บในการพฒั นาครูทั่วไป
เช่น เป็นการอบรมระยะส้ัน การอบรมท่ีไมต่ อ่ เนื่อง และไม่ไดป้ รับให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนและ
ความต้องการของครูองค์ประกอบสำคัญของการทำ Lesson Study คือ กลุ่มของผู้สอนร่วมกันเตรียม
แผนการสอนของบทเรียน จากนั้นนำแผนการสอนนั้นไปสอนในชั้นเรียนโดยมีทีม Lesson Study และ
บุคลากรทางการศึกษาอื่น ๆ เข้าร่วมสังเกตการสอนหลังจากนั้นจะมีการอภิปรายหลังการสอนเพื่อ
วิเคราะห์การสอนบทเรียนนั้น การศึกษาชั้นเรียนจะช่วยให้ครูสนใจกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดข้ึนใน
บทเรียนอีกท้ังเป็นโอกาสที่ครูจะได้รวบรวมข้อมูลจากการสอนตามแผนการสอนที่ทีม Lesson Study
ไดร้ ว่ มกนั จดั ทำขึน้ ระหว่างการอภิปรายหลงั การสอน ครูร่วมกันพจิ ารณาข้อมลู เพอื่
(1) ทำความเขา้ ใจเกย่ี วกบั แนวคดิ ทางการศึกษาท่เี กย่ี วข้องกบั แนวปฏบิ ัตใิ นการสอน
(2) แบ่งปนั ความคิดและปรับเปล่ยี นมมุ มองเก่ียวกับการสอนและการเรียนรู้
(3) พิจารณาการสอนจากมุมมองของนักเรยี น
(4) แลกเปล่ยี นเรียนรู้กับเพื่อนครดู ้วยกัน
34
กระบวนการนเิ ทศแบบ “PIDRE” มีข้นั ตอนดงั น้ี
ข้ันท่ี 1 วางแผนการนเิ ทศ (Planning-P) เป็นข้นั ที่ผู้บรหิ ารผู้นิเทศและผูร้ ับการนิเทศจะ
ทำการประชุมปรกึ ษา หารือเพอ่ื ให้ไดม้ าซงึ่ ปัญหาและความต้องการจำเปน็ ท่ีจะต้องมีการนิเทศ รวมท้ัง
วางแผนถงึ ขน้ั ตอนการปฏิบัติงานเก่ียวกบั การนิเทศทีจ่ ะจัดขนึ้ อีกดว้ ย
ขั้นท่ี 2 ให้ความรคู้ วามเข้าใจในการทำงาน (Informing –I) เปน็ ข้ันตอนของการให้
ความรคู้ วามเข้าใจถึงส่ิงทจ่ี ะดำเนนิ งานวา่ จะต้องอาศัยความร้คู วามสามารถอยา่ งไรบ้าง จะมขี ้ันตอนใน
การดำเนนิ การอย่างไร และจะทำอยา่ งไรจงึ จะทำให้ไดผ้ ลงานออกมาอยา่ งมีคณุ ภาพ ขัน้ นี้จำเป็นทุกครั้ง
สำหรับการเรม่ิ การนิเทศทจ่ี ัดข้ึนใหมไ่ มว่ า่ จะเป็น เรื่องใดก็ตาม และกม็ คี วามจำเป็นสำหรบั งานนเิ ทศที่
ยงั ไม่ได้ผล หรือได้ผลไมถ่ ึงขน้ั ทพี่ อใจซึ่งจำเป็นจะต้องทำการทบทวนใหค้ วามรู้ในการ ปฏบิ ัติงานท่ี
ถูกต้องอีกครง้ั หนึ่ง
ข้นั ที่ 3 ลงมอื ปฏบิ ัติงาน (Doing –D) ประกอบดว้ ยงานใน 3 ลักษณะคือ
3.1 การปฏบิ ตั งิ านของผู้รับนเิ ทศเป็นขน้ั ท่ผี ูร้ บั การนิเทศลงมอื ปฏบิ ัติงานตาม ความรู้
ความสามารถที่ได้รบั มาจากดำเนินการในขัน้ ท่ี 2
3.2 การปฏบิ ตั งิ านของผใู้ หก้ ารนิเทศ ขั้นนีผ้ ใู้ หก้ ารนเิ ทศจะทำการนิเทศและควบคมุ
คณุ ภาพให้งานสำเร็จออกมาทันตามกำหนดเวลาและมีคณุ ภาพสงู
3.3 การปฏบิ ตั งิ านของผู้สนับสนุนการนเิ ทศ ผู้บรหิ ารก็จะใหบ้ ริการสนับสนุนในเร่อื ง
วสั ดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเครอ่ื งใช้ตา่ ง ๆ ทจ่ี ะช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างได้ผล
ขั้นท่ี 4 สร้างเสรมิ กำลงั ใจ (Reinforcing –R) ขั้นนี้เปน็ ข้ันของการเสรมิ กำลงั ใจของ
ผบู้ รหิ ารเพื่อใหผ้ ้รู ับการนิเทศมคี วามมนั่ ใจและบังเกดิ ความพึงพอใจในการปฏิบตั ิงานขัน้ น้ีอาจจะ
ดำเนนิ การไปพร้อม ๆ กนั กับผู้ทร่ี บั การนเิ ทศกำลังปฏบิ ตั ิงานหรอื การปฏิบตั งิ านได้เสรจ็ สน้ิ ลงไปแลว้ กไ็ ด้
ขั้นที่ 5 ประเมินการนิเทศ (Evaluating –E) เป็นขั้นที่ผู้นิเทศทำการประเมินผลการ
ดำเนินการซึ่งผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่าง ไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศหากพบว่ามีปัญหาหรือ
อุปสรรคอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำให้การดำเนินงานไม่ได้ผลก็สมควรจะต้องทำการปรับปรุงแก้ไขซึ่งการ
ปรบั ปรงุ แก้ไขอาจจะทำไดโ้ ดยการให้ความรู้ในส่ิงท่ีทำใหม่อีกครั้งหนึ่ง สำหรับกรณที ี่ผลงานออกมายังไม่
ถึงขั้นที่พอใจหรือดำเนินการปรับปรุงการดำเนินงานทั้งหมดสำหรับกรณีการดำเนินงานเป็นไปไม่ได้ผล
และ ถ้าหากการประเมินผลได้พบว่าประสบผลสำเร็จตามที่ได้ตั้งไว้หากจะได้ดำเนินการนิเทศต่อไปก็
สามารถทำไปไดเ้ ลยโดยไมต่ อ้ งให้ความรใู้ นเรอื่ งนน้ั อีก
การดำเนินการนิเทศตามวัฏจักรนี้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่งจนกว่าจะบรรลุผล
ตามจุดมงุ่ หมายทวี่ างไวห้ รือพัฒนาผ้รู ับการนิเทศให้เป็นไปตามต้องการ หากบรรลสุ ำเรจ็ ตามจุดมุ่งหมาย
แล้วตอ้ งการจะหยุดกระบวนการทำงานกถ็ ือวา่ การนิเทศไดส้ ิน้ สดุ ลงแลว้ ครัน้ ต้องการเริ่มนเิ ทศในสิ่งใหม่
หรอื ตั้งเปา้ หมายใหมก่ ็จะต้องดำเนนิ การ ตงั้ แตเ่ ริ่มแรกอีกดังแสดงใหเ้ ห็นความต่อเน่ืองของกระบวนการ
นเิ ทศการศกึ ษาใน
กระบวนการนเิ ทศโดยใช้วงจรของเดมมิง (Circle Deming Cycle)
การนำวงจรเดมมิง (Deming circle) หรือโดยท่วั ไปนยิ มเรียกกนั วา่ P-D-C-A มาใชใ้ นการ
ดำเนินการนเิ ทศการศึกษา โดยมีขนั้ ตอนทสี่ ำคญั 4 ข้ันตอน คือ
1. การวางแผน (P-Planning)
2. การปฏบิ ตั ิตามแผน (D-Do)
35
3. การตรวจสอบ/ประเมินผล (C-Check)
4. การปรับปรุงแกไ้ ข (A-Act)
ทั้งน้ี กลมุ่ นิเทศติดตามและประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษาของสำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา
มัธยมศกึ ษา เขต 33 ไดน้ ำกระบวนการนิเทศท้ังแบบ PIDREและ PDCA มาประยกุ ตใ์ ช้ให้เหมาะสมกบั
การนเิ ทศติดตามการจัดการศึกษาสำหรบั สถานศกึ ษา สว่ นการจัดการเรยี นการสอนของครูผูส้ อนใน
สังกัด ไดส้ ง่ เสริมสนบั สนุนการนิเทศภายในสถานศกึ ษา โดยการใช้กระบวนการนิเทศทเ่ี น้นให้โรงเรยี นได้
ใชว้ ธิ ีการแบบเปดิ ชั้นเรยี น (Open Approach) ในการพฒั นาบทเรียน (Lesson Study) เพอ่ื ให้ครูได้
ร่วมกนั คดิ พัฒนา ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ สู่การพัฒนานักเรียนทีใ่ ห้เกดิ ความยั่งยืนและมี
ผลสัมฤทธิ์ทส่ี งู ข้ึนตามเป้าหมายของโรงเรยี นกำหนด
36
แผนภูมิการนเิ ทศ สพม.33 คร้ังท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563
นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ (จุดเนน้ สพฐ.) การนิเทศ ตดิ ตามนโยบาย /จดุ เน้น
กลยุทธ์ท่ี 1 การเพมิ่ โอกาสใหผ้ ้เู รียนเข้าถงึ บริการการศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษา
1. การปรบั ปรงุ โครงสรา้ งหลกั สตู ร
อย่างท่ัวถงึ
จุดเน้นท่ี 1 เพ่ิมโอกาสการเข้าถงึ การศึกษาท่ีมีคุณภาพ 2. การยกระดบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึน้ รอ้ ยละ3
จุดเน้นท่ี 2 ลดความเหลื่อมลำ้ ทางการศึกษา
กลยุทธท์ ่ี 2 การพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รยี นเทยี บเคยี งมาตรฐานสากล 3. การส่งเสรมิ ทักษะการเรยี นรสู้ ู่ศตวรรษที่ 21
บนพื้นฐานความเปน็ ไทย 4. การส่งเสริมกจิ กรรมสะเต็มศึกษา และวทิ ยาการคำนวณ
จุดเน้นที่ 1 เสริมสรา้ งคุณลักษณะทพี่ งึ ประสงค์ของผเู้ รยี น
จดุ เนน้ ที่ 2 เสริมสรา้ งความเขม้ แข็งในการพัฒนาผ้เู รยี นอยา่ งมคี ุณภาพ 5. การสง่ เสรมิ การจัดการศึกษาดว้ ย DLIT
จุดเนน้ ท่ี 3 เสริมสรา้ งสขุ ภาพจิต สขุ ภาพกายทด่ี ีและมที กั ษะอาชีพ
6. การตดิ ตามการบรหิ ารโรงเรียนมาตรฐานสากล/
กลยทุ ธท์ ี่ 3 การพฒั นาหลักสตู รและการจดั การเรยี นการสอน
จุดเนน้ ท่ี 1 พัฒนากรอบหลักสูตรท้องถิน่ และหลกั สตู รสถานศึกษา โรงเรยี นในฝัน/โรงเรยี นประชารฐั /โรงเรียนคณุ ภาพประจำตำบล
จดุ เน้นท่ี 2 พฒั นากระบวนการเรียนรู้
จุดเน้นท่ี 3 พฒั นาระบบนิเทศ ฯลฯ
กลยุทธท์ ี่ 4 พัฒนาคุณภาพขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา 7. การส่งเสรมิ ใหม้ ีทักษะอาชีพ (Career Skills) และ ดา้ นทักษะ
จุดเน้นท่ี 1 การจัดทำแผนกรอบอัตรากำลัง
จดุ เนน้ ท่ี 2 การพฒั นาศักยภาพครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ชีวิต (Life Skills)
จุดเนน้ ที่ 3 การสรา้ งระบบแรงจงู ใจและขวญั กำลังใจขา้ ราชการครูและบุคลากร
8. การวดั และประเมินผลตามหลกั สูตร 51
ทางการศึกษา
กลยทุ ธท์ ี่ 5 ICT เพอ่ื การศึกษา 9. การจดั กจิ กรรมการจัดการขยะ ส่งิ แวดลอ้ ม
จดุ เนน้ ที่ 1 ส่งเสริมการประยกุ ตใ์ ช้นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการ 10. ระบบประกันคณุ ภาพภายใน
ส่อื สารเพ่อื การบรหิ ารจดั การและการจดั การเรียนการสอน ในยุคไทยแลนด์ 4.0
กลยุทธ์ท่ี 6 ดา้ นการบรหิ ารจัดการ 11. การนิเทศภายในโรงเรยี น ผา่ นกระบวนการชมุ ชนแห่งการ
จุดเนน้ ที่ 1 การกระจายอำนาจการบรหิ ารจัดการ เรยี นรูท้ างวิชาชพี
จุดเนน้ ที่ 2 การมีสว่ นร่วมในการพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น
12. การดำเนินงานโรงเรยี นคณุ ธรรม สพฐ
13. การจดั การเรียนการสอนเรยี นรวม
14. การจดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ ทกั ษะการใช้ภาษาอังกฤษเพอ่ื การ
ส่ือสาร
15. การประเมนิ ความย่งั ยืนของสถานศกึ ษาพอเพยี งและ
ยกระดบั เป็นโรงเรยี นแกนนำและศนู ย์การเรียนรู้
16. การดำเนนิ งานโรงเรยี นสจุ รติ
17. การจดั กิจกรรมลดเวลาเรยี น เพม่ิ เวลารู้
18. การดำเนนิ งานโรงเรยี นวถิ พี ุทธ
19. การแก้ปญั หานกั เรียนตดิ 0 ร มส.
20. การจดั กจิ กรรมส่งเสริมนิสยั รักการอา่ น .
21. การดำเนินงานตามมาตรฐานการปฏบิ ัตงิ านมัธยมศกึ ษา
(8 ด้าน)
22. การบรหิ ารจัดการคณุ ภาพโรงเรยี นขนาดเล็ก
สถานศึกษา กระบวนการนิเทศ
ของสำนกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 33
1. ขับเคล่ือนนโยบายและจุดเนน้ ตามแผนกลยุทธ์สู่ระบบประกัน 1. จัดทำแผนการนเิ ทศ ตามนโยบาย/จดุ เน้นของสพฐ.
คุณภาพภายในของสถานศึกษา นโยบายของเขตพนื้ ท่กี ารศึกษา
2. พฒั นาระบบนิเทศภายใน 2. สรา้ งความรู้ ความเข้าใจรว่ มกนั ระหว่างเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษากับ
3. จดั กจิ กรรมตามนโยบายและจุดเน้นฯ สถานศึกษา
4. สรุป ประเมนิ ผลและรายงานผลต้นสงั กัดฯ 3. สง่ เสรมิ และขบั เคลอื่ นกระบวนการนเิ ทศผา่ นกระบวนการชุมชน
การเรียนรู้ทางวชิ าชพี (Professional Learning Community :
PLC) โดยใชก้ ระบวนการพัฒนาบทเรยี นรว่ มกัน (Lesson study)
4. ดำเนินการนเิ ทศตามปฏทิ นิ การนิเทศ
5. เสรมิ สรา้ งกำลงั ใจแก่ผรู้ บั การนเิ ทศผา่ นกระบวนการชมุ ชนแห่ง
การเรยี นรทู้ างวชิ าชพี วิชาชพี (Professional Learning
Community : PLC) โดยใชก้ ระบวนการพฒั นาบทเรียนรว่ มกนั
(Lesson study)
6. สรปุ ประเมิน และรายงานผลการนิเทศ
7. ปรบั ปรงุ แกไ้ ข
37
ส่วนท่ี 3
การนิเทศ ติดตามการดาเนินงาน
สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษาสรุ นิ ทร์ ดำเนินการขับเคลอื่ นโยบายสกู่ ารปฏิบตั ิ 6 ด้าน
สอดคลอ้ งกบั นโยบายของกระทรวงศึกษาธกิ าร คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานและมาตรฐานการศึกษา
ของสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษาเพ่ือพฒั นาคุณภาพการศึกษาให้มีความเหมาะสมและกำหนดแนว
ทางการนเิ ทศบูรณาการโดยใชพ้ นื้ ทเ่ี ป็นฐานในการกำหนดวสิ ยั ทศั น์ พนั ธกจิ เป้าประสงค์ กลยุทธ์การนเิ ทศ
ขอบข่ายการนเิ ทศ ตวั ช้วี ัด เป้าหมายการนเิ ทศ รูปแบบการนิเทศ กระบวนการนิเทศ ทเ่ี น้นการนเิ ทศการจดั
กจิ กรรมการเรียนรขู้ องครผู สู้ อนโดยใชก้ ระบวนการชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ผ่านการพฒั นา
บทเรยี นรว่ มกัน(Lesson study) ส่กู ารพัฒนาการจดั กิจกรรมการเรียนรู้จากครสู ่นู ักเรยี นไดอ้ ยา่ งชัดเจนและ
เกิดความยัง่ ยืน
1. วตั ถปุ ระสงค์
1. เพอ่ื นเิ ทศบูรณาการโดยใชพ้ ื้นทเี่ ปน็ ฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีความเหมาะสม
โดยใช้กระบวนการชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
2. เพอื่ นิเทศ ตดิ ตาม งาน/กจิ กรรม/โครงการ ตามนโยบายฯ
3. เพื่อนิเทศการจดั การเรียนการสอนในช้นั เรียนผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทาง
วิชาชีพ(PLC) ในการพฒั นาบทเรยี นร่วมกัน โดยการใชก้ ระบวนการเปดิ ชนั้ เรยี น (Lesson study)
4. เพื่อพัฒนาวิชาชีพครูภายใตก้ ระบวนการปรับปรงุ พฤตกิ รรมการสอนด้วยตวั ของครูเอง
2. ขอบขา่ ยการนเิ ทศ
ด้านเนื้อหา
1. การบริหารจดั การคณุ ภาพการศกึ ษาของสำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาโดยใชร้ ปู แบบ TPS
MODEL
2. รปู แบบการบริหารจดั การสำหรบั สถานศกึ ษา TPS MODEL FOR SCHOOL
3. นวัตกรรมและวิธกี ารปฏบิ ตั ทิ ี่เป็นเลศิ
4. การนิเทศสงั เกตการสอน
5. งานตามนโยบายและกจิ กรรม/โครงการต่างๆ
1.) การพัฒนาหลักสตู รและกระบวนการเรยี นรู้
2.) การจัดการเรียนร้เู ชิงรกุ (Active learning)
3.)การจดั กจิ กรรมลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้
4.) การพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาไทยตามนโยบาย
“เดินหนา้ และพฒั นาการอา่ นออกเขยี นได”้
5.) การจัดกิจกรรมสง่ เสริมนิสยั รกั การอา่ นและพัฒนาหอ้ งสมดุ
6.) การสง่ เสรมิ การจดั การเรยี นรู้วิทยาการคำนวณ
7.) การส่งเสรมิ การพฒั นากจิ กรรมสะเต็มศึกษา
8.) การสง่ เสรมิ ทกั ษะการเรยี นร้สู ู่ศตวรรษท่ี 21
9.) การยกระดบั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
10.) การแก้ปัญหานักเรียนติด 0 ร มส
11.) การดำเนนิ งานโรงเรียนสุจรติ
12. )การจัดกิจกรรมการจัดการขยะส่งิ แวดล้อม
38
13.) การพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาดว้ ยเทคโนโลยี การศึกษาทางไกล
(DLTV /DLIT)
14.) การประกันคุณภาพการศกึ ษา
15.) ทักษะอาชีพ(Career Skills) , ทักษะชวี ิต (Life Skills)
16. )มาตรฐานการปฏิบตั ิงานโรงเรยี นมัธยมศึกษา 8 ดา้ น
17. )การดำเนินงานโรงเรียนคุณธรรม/สพฐ.
18.) การดำเนินงานโรงเรยี นวถิ ีพุทธ
19.) การจัดการเรยี นการสอนเรียนรวม
20.) การประเมนิ ความย่ังยนื ของสถานศกึ ษาพอเพยี งและยกระดบั เป็นโรงเรยี นแกน
นำและศนู ย์การเรยี นรู้ **
21.) การจัดการศกึ ษาของโรงเรยี นมาตรฐานสากล/โรงเรยี นคณุ ภาพประจำตำบล /
โรงเรยี นประชารัฐ * ฯลฯ
ดา้ นกลุม่ เป้าหมาย
โรงเรียนในสังกดั ภาคเรียนท่ี 2/2563 จำนวน 40 โรงเรยี น
3. เป้าหมายการนิเทศ
สหวิทยาเขต 1 สุรวิทยาคาร ขอบขา่ ยการนเิ ทศ นิเทศการจดั การเรยี นการสอนใน
(ขอ้ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) ชั้นเรียนโดยการใช้กระบวนการ
ที่ โรงเรียน เปิดชัน้ เรยี น (Lesson Study)
✓
1 แสงทรัพยป์ ระชาวิทยาคาร ✓ สพม.33 นเิ ทศภายใน
2 ศรไี ผทสมันต์ ** ✓ ✓✓
3 นาบวั วิทยา ✓
4 เทนมียม์ ติ รประชา ✓✓
✓✓
✓✓
สหวิทยาเขต 2 สริ นิ ธร
ที่ โรงเรยี น ขอบข่ายการนิเทศ นิเทศการจดั การเรยี นการสอน
(ข้อ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) ในชน้ั เรียนโดยการใช้
1 สุรินทรภ์ กั ดี กระบวนการเปดิ ช้ันเรียน
2 ศรรี ามประชาสรรค์ ** ✓ (Lesson Study)
3 ท่าสวา่ งวิทยา ✓
✓ สพม.33 นิเทศภายใน
✓✓
✓✓
✓✓
39
สหวิทยาเขต 3 จอมสรุ ินทร์ ขอบขา่ ยการนเิ ทศ นเิ ทศการจดั การเรียนการสอนใน
(ขอ้ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) ชัน้ เรียนโดยการใช้กระบวนการ
ท่ี โรงเรยี น เปิดช้นั เรยี น (Lesson Study)
✓
1 หนองสนิทวิทยา ✓ สพม.33 นิเทศภายใน
2 แร่วิทยา ✓ ✓✓
3 เมอื งลีงวิทยา ✓
4 บุแกรงวิทยาคม ✓ ✓✓
5 บึงนครประชาสรรค์
✓✓
✓✓
✓✓
สหวิทยาเขต 4 ศรีสำโรง
นเิ ทศการจดั การเรยี นการสอน
ในชั้นเรียนโดยการใช้
ที่ โรงเรียน ขอบขา่ ยการนิเทศ กระบวนการเปดิ ชั้นเรยี น
(ขอ้ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) (Lesson Study)
1 ศรีสขุ วิทยา *
2 ยางวิทยาคาร ✓* สพม.33 นิเทศภายใน
3 จารยว์ ทิ ยาคาร ✓ ✓ ✓
4 ขวาวใหญ่วิทยา ✓
5 กดุ ไผทประชาสรรค์ ✓ ✓✓
✓
✓✓
✓
✓✓
สหวิทยาเขต 5 ท่าตูม – ชมุ พลบุรี
ที่ โรงเรียน ขอบขา่ ยการนเิ ทศ นเิ ทศการจัดการเรียนการสอน
(ข้อ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) ในชั้นเรยี นโดยการใช้
กระบวนการเปิดชัน้ เรยี น
1 ศรปี ทมุ พิทยาคม * ✓* (Lesson Study)
2 ลำพลับพลาวทิ ยาคาร * ✓* สพม.33 นิเทศภายใน
✓✓
3 ลานทรายพิทยาคม ✓
4 เมืองแกพิทยาสรรค์ * ✓* ✓✓
5 พรมเทพพิทยาคม ✓ ✓✓
6 ทุง่ กุลาพทิ ยาคม ✓ ✓✓
7 ช้างบุญวิทยา ✓
✓✓
✓✓
✓✓
40
สหวิทยาเขต 6 ศรนี ครเตา ขอบขา่ ยการนเิ ทศ นเิ ทศการจัดการเรยี นการสอน
(ข้อ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) ในชัน้ เรียนโดยการใช้
ที่ โรงเรียน กระบวนการเปิดชัน้ เรียน
✓ (Lesson Study)
1 หนองอียอวทิ ยา ✓
2 หนองขุนศรวี ทิ ยา ✓ สพม.33 นเิ ทศภายใน
3 ประดแู่ ก้วประชาสรรค์ ✓ ✓✓
4 โนนเทพ ✓*
5 แกศึกษาพฒั นา * ✓✓
สหวิทยาเขต 7 ปราสาทเชงิ พนม
✓✓
ท่ี โรงเรียน
✓✓
1 ปราสาทเบงวทิ ยา **
2 ไทรแกว้ วทิ ยา * ✓✓
3 ทุ่งมนวทิ ยาคาร *
4 ตาเบาวทิ ยา ขอบขา่ ยการนเิ ทศ นเิ ทศการจัดการเรยี นการสอน
5 เชอ้ื เพลิงวทิ ยา (ขอ้ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) ในช้ันเรียนโดยการใช้
6 โคกยางวิทยา * กระบวนการเปดิ ช้นั เรยี น
7 โคกตะเคยี นวิทยา ✓ (Lesson Study)
สหวิทยาเขต 8 ศรีนครอจั จะ ✓*
✓* สพม.33 นิเทศภายใน
ที่ โรงเรียน ✓ ✓✓
✓ ✓✓
1 มัธยมศรลี ำเภาลนู ✓*
2 มัธยมทบั ทมิ สยาม 04 * ✓ ✓✓
3 พระแก้ววิทยา
4 ตาคงวทิ ยารชั มงั คลาภเิ ษก ✓✓
✓✓
✓✓
✓✓
ขอบข่ายการนเิ ทศ นเิ ทศการจดั การเรียนการสอน
(ขอ้ 1 –4) ข้อ 5 (1 – 19 ) ในชั้นเรียนโดยการใช้
กระบวนการเปิดชัน้ เรียน
✓ (Lesson Study)
✓*
✓ สพม.33 นเิ ทศภายใน
✓ ✓✓
✓✓
✓✓
✓✓
41
4. โรงเรยี นท่ขี อรบั การประเมินเป็นศูนย์การเรยี นรตู้ ามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
จำนวน 3 โรงเรียน เพอ่ื นิเทศ ติดตามเตรียมความพร้อมในการขอรับการประเมนิ เปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ฯ
(ขอ้ 20 ** )
5. การจดั การศกึ ษาของโรงเรียนมาตรฐานสากล/โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล /โรงเรยี นประชา
รฐั ฯลฯ (ข้อ 21 * )
6. ผนู้ เิ ทศ ประกอบด้วย
6.1 ผู้อำนวยการสำนกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 33 จำนวน 1 คน
6.2 รองผ้อู ำนวยการสำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 จำนวน 4 คน
6.3 ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำนวน 13 คน
6.4 ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ /คณะกรรมการนิเทศ (ก.ต.ป.น.) จำนวน 8 คน
6.5 ประธานสหวทิ ยาเขต / เลขานุการสหวิทยาเขต จำนวน 16 คน
7. วธิ ีการนิเทศ
7.1 การสอบถาม สัมภาษณ์ ผู้บริหารสถานศกึ ษาหรือผรู้ บั ผิดชอบ
7.2 การติดตาม ตรวจสอบ ประเมนิ การดำเนนิ งานตามสภาพจริง
7.3 การสังเกตการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนของครูผสู้ อน ผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการ
เรยี นรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) โดยใชก้ ระบวนการเปิดช้ันเรียน (Lesson
Study) : ครูทมี่ ีการพัฒนาตนเองและมคี วามพร้อมในการเปิดช้นั เรยี น โรงเรียนขนาดเลก็ ตอ้ งเปดิ ชัน้ เรยี นอยา่ ง
นอ้ ย 1 ห้องเรียน โดยครูทรี่ ่วมวง PLC ตรวจสอบหนว่ ยการเรียนรู/้ แผนการจดั การเรียนรู้ สงั เกตการสอนและ
สะทอ้ นผลการสอนรว่ มกนั กับศึกษานิเทศก์ เพ่ือการเรยี นรู้วิธกี ารปรบั ปรุงและพัฒนาการสอนจากการสะท้อน
ผลท่ไี ดร้ ับในวง PLC หากคณะกรรมการนเิ ทศ พบวา่ การเปิดชั้นเรยี นของครูผู้สอน มกี ารจดั กจิ กรรมการ
เรียนรู้ได้เหมาะสม ชดั เจน เป็นไปตามกระบวนการและเปา้ หมาย จะไดร้ บั การพจิ ารณาคุณสมบัตแิ ละไดร้ บั
การยกย่องประกาศเกียรตคิ ุณให้เปน็ ครสู อนดี (Smart Teacher) ของสำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาต่อไป
ขั้นตอนสงั เกตกิจกรรมการเรียนการสอนของครผู ูส้ อนผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรยี นรู้
ทางวชิ าชีพ (Professional Learning Community : PLC) โดยใช้กระบวนการเปดิ ชน้ั เรยี น
(Lesson Study)
42
ขนั้ ท่ี 1 Study ครู และบุคลากรโรงเรยี นจดั ทำแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ จี่ ะเปดิ ชนั้ เรยี น
43
ขัน้ ท่ี 2 Plan ครู และบคุ ลากรโรงเรียน PLC แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ จ่ี ะเปิดชั้นเรยี น
หมายเหตุ เพ่ือให้ครูท่ที ำการเปดิ ชน้ั เรยี นได้มกี ารพฒั นาแผนทชี่ ัดเจนขนึ้ โรงเรยี นสามารถส่งแผนตาม
กำหนดการสอนของครูท่ีจะรับการนิเทศแบบเปิดช้ันเรียนส่งมาใหท้ ีมศึกษานเิ ทศก์ รว่ มวง PLC แตเ่ ปน็ ลักษณะ
ของ E-PLC ก่อนจะทำการเปิดชนั้ เรยี น 1 สัปดาห์
ขั้นที่ 3 Teach/Observe การเปิดห้องเรียน สงั เกตการสอนตามทโี่ รงเรียนกำหนดไว้ ทีมศึกษานเิ ทศกจ์ าก
สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาจะเข้ารว่ มสงั เกตการสอนตามกลุ่มสาระการเรยี นร้ทู โี่ รงเรยี นได้จัดไว้ และสง่ิ ที่
สำคัญสำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาจะพิจารณาผลการจัดกิจกรรมในครง้ั นเี้ สนอรายชอ่ื ครรู บั รางวลั SMART
Teacher
44
ขนั้ ท่ี 4 Reflect สะท้อนผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ โดยทีมทเ่ี ขา้ สังเกตชน้ั เรยี นทั้งหมด เพือ่ ปรับปรุง
แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ ละสังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นเปน็ รายบคุ คล ถึงสภาพการเรยี นรู้ในหน่งึ
ชั่วโมงนน้ั ๆ
หมายเหตุ เพื่อให้เกดิ ความเหมาะสมและเกิดการพัฒนาทงั้ ระบบของโรงเรียนผู้อำนวยการสามารถแจง้ ความ
ประสงคก์ ารสะท้อนกลุ่มใหญ่ทั้งโรงเรยี น (โรงเรยี นต้องวางแผนบริหารจดั การกบั ชั่วโมงของครูทเ่ี ขา้ ร่วมรับ
ฟงั การสะท้อนผลในคร้งั นี้ด้วย)
ขน้ั ที่ 5 Revise ปรับปรุงพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ีทำการเปดิ ชั้นเรียนและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้
ในหน่วยตอ่ ๆ ไป ตามขอ้ เสนอแนะเพ่ือใหเ้ กิดความสอดคลอ้ งกับบริบทของผูเ้ รยี น โรงเรียน
7. ระยะเวลาการนิเทศ
ระหวา่ งวนั ท่ี 21 ธันวาคม 2563 ถงึ 28 มกราคม 2564
45
สว่ นท่ี 4
ผลการนเิ ทศ ตดิ ตามการดำเนนิ งาน
การนเิ ทศ ติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาในสังกดั ตามแผนการนิเทศบูรณาการโดยใชพ้ นื้ ที่
เป็นฐานผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ (Professional Learning Community : PLC)
และการพฒั นาบทเรียนรว่ มกันโดยใชก้ ระบวนการเปิดชนั้ เรียน (Lesson study) แบบมีส่วนรว่ มเป็นการ
ดำเนินงานเพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาตามกลยุทธก์ ารนิเทศภายในของสำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา
มธั ยมศึกษาสุรินทร์ซง่ึ สอดคล้องกับนโยบายและการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานการมัธยมศึกษาอยา่ ง
ต่อเน่ืองโรงเรยี นกลมุ่ เป้าหมายการยกระดบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นในโรงเรยี นขนาดกลางและขนาดเล็ก
จำนวน 40 โรงเรียน ผู้รายงานไดด้ ำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากการนิเทศ ตดิ ตามการดำเนนิ งานของ
สถานศึกษาตามนโยบายต่างๆ ตามแผนปฏบิ ัติการนิเทศ ครัง้ ที่ 2/2563 โดยการใชแ้ บบสอบถาม การ
สัมภาษณ์ การตดิ ตาม ตรวจสอบ การประเมนิ ผลการดำเนินงานตามสภาพจริง และการสังเกตการจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชพี (Professional Learning Community :
PLC) และการพัฒนาบทเรยี นรว่ มกันโดยใช้กระบวนการเปิดช้ันเรยี น (Lesson Study) : ครูมกี ารพัฒนา
ตนเองและมคี วามพร้อมในการเปิดชน้ั เรียนในโรงเรยี นขนาดเล็กเปิดชัน้ เรียนอย่างน้อย 1 ห้องเรยี น
ครูทรี่ ว่ มวง PLC ตรวจสอบหน่วยการเรียนรู้/แผนการจัดการเรียนรู้ สงั เกตการสอนและสะทอ้ นผลการสอน
ร่วมกนั กับศึกษานเิ ทศก์เพื่อการเรียนรูว้ ิธีการปรับปรุงและพัฒนาการสอนจากการสะท้อนผลท่ไี ด้รับในวง PLC
การเปิดชัน้ เรยี นของครูผู้สอนมีการจดั กจิ กรรมการเรียนรไู้ ด้เหมาะสม ชดั เจน เปน็ ไปตามกระบวนการและ
เปา้ หมายได้รับการพิจารณาคุณสมบตั ิและได้รับการยกย่องประกาศเกยี รติคุณใหเ้ ปน็ ครสู อนดี (Smart
Teacher)
การรายงานผลการนเิ ทศ ติดตาม ด้านเน้ือหา ขอ้ ท่ี 1 ถงึ ข้อท่ี 3 และ ข้อที่ 5 ถึงขอ้ ท่ี 21
ผู้รับผิดชอบงาน/โครงการ ได้จัดทำรายงานรปู เล่มแยกออกไปเฉพาะเรื่อง ในการรายงานผลคร้ังนี้ ผรู้ ายงานได้
นำเสนอเฉพาะการนเิ ทศ ตดิ ตาม การสังเกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนผา่ นกระบวนการชมุ ชนแห่งการ
เรียนรูท้ างวิชาชพี (Professional Learning Community : PLC) และการพฒั นาบทเรียนร่วมกันโดยใช้
กระบวนการเปิดชั้นเรียน (Lesson Study) ดงั นี้
การนเิ ทศสังเกตการสอน
การสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนผา่ นกระบวนการชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทาง
วชิ าชีพ (Professional Learning Community : PLC) และการพฒั นาบทเรยี นร่วมกนั โดยใชก้ ระบวนการ
เปิดชน้ั เรียน (Lesson Study) พบวา่ ครใู นโรงเรียนกลุ่มเปา้ หมาย จำนวนทง้ั สิ้น 40 โรงเรยี นในสงั กดั
สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษาสรุ นิ ทร์เกิดการสร้างความเปน็ เพื่อนร่วมงาน (Collegiality) และ
ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชพี (Professional Learning Community) มกี าร บรู ณาการทฤษฎกี บั การ
ปฏบิ ตั จิ ริงผ่านกรณศี ึกษาในการวิจัยในชั้นเรียนหรือการวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชั้นเรยี น ผ่านชุมชนแหง่ การเรยี นรู้
ทางวชิ าชีพ โรงเรยี นมีการส่งเสริมสนบั สนุนให้ครูทกุ คนมีการนำเสนอช้นั เรยี นแกเ่ พ่อื นรว่ มงาน โดยใช้
กระบวนการพฒั นาบทเรียนร่วมกนั (Lesson study) เพอื่ เปดิ ชัน้ เรียนให้คณุ ครูเพ่ือนร่วมงานหรอื คนท่ี
46
เกย่ี วขอ้ งกบั การเรยี นรู้ของนักเรยี นไดม้ โี อกาสเขา้ เย่ยี มชน้ั เรยี นและสงั เกตการสอนในชัน้ เรยี นของตนเองเป็น
การสรา้ งความสัมพนั ธ์แบบเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั กับเพื่อนร่วมงานภายในโรงเรียน
กระบวนการพัฒนาบทเรยี นร่วมกัน (Lesson study) พบว่า ครผู ู้เปิดห้องเรยี น (Model
Teacher) ได้พัฒนาทักษะการเรยี นรูใ้ นเชงิ ความคดิ ความรสู้ ึก อย่างต่อเน่ือง เรียนรใู้ นการใชช้ ีวติ และ
ความอ่อนไหวกบั ความรู้สึกของตนเองและผู้อื่นเพือ่ ท่จี ะรบั รู้สิง่ ท่ีเกิดข้นึ กับความรูส้ ึกของตนเองและเพื่อน
ร่วมทีมพฒั นาโดยทีมศึกษานิเทศก์ สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาสุรนิ ทร์ ได้เข้าร่วมเปน็
ผ้เู ชย่ี วชาญ (Expert) ในการชีแ้ นะ ให้คำปรึกษา แนะนำ เพิ่มเตมิ ในสว่ นท่ีครูยังขาดความสมบูรณใ์ นการจดั
กิจกรรมการเรียนรูเ้ ชงิ รุก (Active Learning) เนน้ เทคนิคการจัดกจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบ CO – 5STEPs และ
เทคนิคการสอนท่ีสง่ ผลตอ่ การเรียนรูอ้ ย่างสูง (High Impact Practice) โดยได้เน้นการฝึกทักษะด้านการ
สงั เกตหอ้ งเรียนในประเด็นการเลอื กระดับการรู้คิดที่เหมาะสม (Selection of tasks with appropriate
cognitive demands) อ้างอิงทฤษฎี Bloom Taxonomy การเรียนรู้ 6 ระดับ ได้แก่ การรู้จำ การเขา้ ใจ
การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์และการประเมิน โดยใหค้ รไู ดฝ้ กึ การต้งั คำถามเพื่อกระตุ้นระดับ
ความรู้คดิ ขนั้ สูงในชั้นเรียนและครู Buddy รว่ มสงั เกตการเรียนการสอนในห้องเรยี นตามรายวชิ าทรี่ บั ผิดชอบ
ภายหลงั เสรจ็ สนิ้ คาบเรยี นครูผเู้ ชยี่ วชาญ (Expert) จะใหค้ ำแนะนำแก่ครูผ้สู อนแบบทีมและตัวตอ่ ตวั ซ่ึงทำให้
ครูผ้สู อนสามารถนำความรไู้ ปแก้ไขปัญหาในห้องเรียนได้ทันทีและกลบั มาประชมุ สะท้อนผลรว่ มกนั อกี ครั้งเพื่อ
ประเมินผลและรับทราบผลสะท้อนเชิงลึกจากทีม PLC
ครผู ู้สงั เกตหอ้ งเรยี น (Buddy Teacher) ได้ฝึกการคิดอย่างลกึ ซ้ึงจากคำตอบหรอื
แบบฝกึ หดั ของนักเรียนผ่านการสงั เกต การเปิดชน้ั เรียนทำให้ครไู ดส้ งั เกตข้อเท็จจรงิ จากการเรียนรขู้ องเด็ก
ในห้องเรยี นท่ีไม่ใช่ “การให้คำปรึกษา” และ “การประเมนิ ” การสอน แตเ่ ปน็ การสะท้อน (Reflection)
การเรยี นร้ขู องเด็กเปน็ หลักวจิ ารณ์เชิงสรา้ งสรรค์หวั ใจในการเรยี นรู้ของครูและเกดิ บรรยากาศทำงานเป็นกลุ่ม
เป็นทีม มีลกั ษณะสะอาด สะดวกสบายทำให้เกดิ ความสขุ ในการทำงาน สว่ นบรรยากาศทางจติ ใจ คือ
บรรยากาศที่ผู้ทำงานมีความคนุ้ เคยกนั ไวว้ างใจมมี ติ รสัมพนั ธก์ นั ด้วยความเปน็ ผ้มู รี ะเบยี บวนิ ยั ในตนเอง
มกี ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ของนกั เรยี นทม่ี คี วามหลากหลาย เชน่ การทดสอบเปน็ รายบุคคล นักเรียนทุกคน
ตา่ งคนต่างทำข้อสอบ แต่เวลาเรียนตอ้ งรว่ มมือกัน การเรียนรแู้ บบรว่ มมอื เปน็ การเรียนรู้ที่นกั เรยี นต้องเรียน
รว่ มกนั รับผดิ ชอบงานกลุม่ รว่ มกนั โดยทก่ี ลุ่มจะประสบความสำเร็จได้เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรยี นรู้บรรลตุ าม
จุดมงุ่ หมายเช่นเดยี วกัน
ผู้เรียน ได้รบั การจัดกจิ กรรมการเรียนรูอ้ ย่างดี จดั บรรยากาศการมีส่วนรวมและความเป็น
สาธารณะ ในหอ้ งเรียนของทุกคน โดยไม่มีใครเปน็ เจ้าของ เพียงฝ่ายเดียวนกั เรียนสามารถเรียนรู้อยกู่ บั เพื่อน
อย่างเคารพรบั ฟงั เสียงของทกุ คนและไมท่ อดท้ิงใครให้อยเู่ พียงลำพังในห้องเรยี น ซึ่งครสู ามารถมองเห็น
นกั เรยี นทกุ คนมีความแตกตา่ งกันและครมู องเห็นพวกเขามีสทิ ธพิ ัฒนาศักยภาพเพ่ือก้าวไปสูค่ วามเป็นเลศิ ตาม
แนวทางของตวั เองได้จากการเขา้ สังเกตชน้ั เรยี นและสามารถมองเห็นแนวทางในการสรา้ งนวัตกรรมเพ่ือที่จะ
พัฒนาการจัดกิจกรรมในช่วั โมงตอ่ ไปได้
สถานศึกษา ไดพ้ ัฒนาการจดั กจิ กรรมการเรียนรขู้ องครูท้ังระบบจนเกิดวฒั นธรรมการจดั
กจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ีครูเปลีย่ นบทบาทจากการเป็นผูส้ อนและคอ่ ยบอกหรอื บรรยายตลอดเวลาใน 1 ช่วั โมง
ท่ีปฏิบัตกิ ารสอนเปน็ มาออกแบบการจดั กจิ กรรมท่ีเน้นการตง้ั คำถามปญั หาหรือสถานการณ์ แทนทีจ่ ะนำเสนอ
เพยี งข้อเท็จจริงของบทเรยี น ซึ่งตอ้ งการพฒั นาทกั ษะของนักเรยี นโดยตรงในดา้ นการสืบเสาะ การคดิ เชงิ
วพิ ากษ์และการแกป้ ัญหา ไม่ใชแ่ ค่จดจำคำตอบของคำถามที่ทราบล่วงหน้า ซึ่งการเรียนรู้แบบสืบเสาะ/การใช้
โครงงาน/การใช้ปญั หาเป็นฐาน (Inquiry/ Project/ Problem based learning) จะชว่ ยให้นกั เรยี นเติบโต
47
เป็นผู้ใฝ่เรียนรตู้ ลอดชีวิตและแสวงหาคำตอบอยเู่ สมอ ซ่งึ จะส่งเสรมิ การลงมือปฏิบัตจิ รงิ (Hands-On) ให้กบั
นกั เรยี นทจี่ ะเป็นกำลังของชาตติ อ่ ไปในอนาคต
ตารางที่ 1 ผลการนิเทศสังเกตการสอน การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ผ่านกระบวนการชมุ ชนแหง่ การเรยี นร้ทู าง
วิชาชพี (Professional Learning Community : PLC) และการพฒั นาบทเรียนร่วมกันโดยใช้กระบวนการ
เปดิ ชั้นเรยี น (Lesson Study) คร้งั ท่ี 2/2563 โรงเรยี นในสังกดั สำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา
สรุ นิ ทร์ จำนวน 40 โรงเรียน ดังน้ี
ที่ โรงเรยี น จำนวน จำนวนครู ร้อยละ รางวลั SMART รอ้ ยละ
ครู เปดิ ช้ันเรยี น TEACHER
1 ท่าสว่างวทิ ยา 14 1 7.14
2 ยางวิทยาคาร 17 2 11.76 1 50.00
3 กุดไผทประชาสรรค์ 15 2 13.33
4 หนองสนทิ วิทยา 16 1 6.25 1 100
5 สุรนิ ทรภ์ ักดี 12 1 8.33
6 เทนมีย์มิตรประชา 20 2 10.00
7 ศรีไผทสมนั ต์ 17 1 5.88
8 พรหมเทพพิทยาคม 14 2 20.00 1 50.00
9 ช้างบญุ วทิ ยา 14 2 20.00 1 50.00
10 บึงนครประชาสรรค์ 13 2 16.00
11 เมอื งลีงวิทยา 21 1 4.76 1 100
12 ศรีสุขวิทยา 21 1 4.76
13 จารยว์ ทิ ยาคาร 15 2 13.33
14 แร่วิทยา 13 2 15.38 1 50.00
15 ศรรี ามประชาสรรค์ 12 1 8.33 1
16 แสงทรัพยป์ ระชาวทิ ยาคาร 11 1 9.09
17 นาบัววิทยา 16 2 12.50
18 ทุง่ กุลาพิทยาคม 13 1 7.69
19 ลานทรายพิทยาคม 23 2 8.69 1 50.00
20 บุแกรงวทิ ยาคม 25 2 8.00
21 โนนเทพ 17 2 11.76
22 โคกยางวทิ ยา 21 4 19.04
23 ทงุ่ มนวิทยาคาร 20 2 10.00 2 100
24 หนองอียอวทิ ยา 12 6 50.00 4 66.66
25 ศรปี ทมุ พิทยาคม 15 2 13.33