The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 63040108115, 2024-02-09 00:31:45

วิจัยในชั้นเรียน

การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จิราภรณ์ ดาราษี งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566


การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จิราภรณ์ ดาราษี งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566


ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 ผู้วิจัย นางสาวจิราภรณ์ ดาราษี สาขาวิชา การศึกษาพิเศษ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์นนท์ณภัสร์ วนกาญจน์กุล อาจารย์โฆษิต พรประเสริฐ ครูพี่เลี้ยง นางสุนารี พนมศักดิ์ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ ที่ประสมด้วยสระเดี่ยวโดยใช้แบบฝึกเสริม ทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 2. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน ของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนที่มีมีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้และ ประสบปัญหาด้านความสามารถในการอ่าน จำนวน 1 คน เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/7 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan: IIP) จำนวน 15 แผน และแบบทดสอลการอ่านสะกดคำที่ประสมสระเดี่ยว วิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 การ วิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ สรุปผลการใช้แผนได้ ดังนี้ 1. ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมี ความบกพร่องทางการเรียนรู้ สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2. ผลการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช สูงกว่าก่อนใช้ แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านและการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ̅=1.06 , S.D.= 0.00 หลังการใช้ แบบฝึกพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ในระดับดี ̅=2.60 , S.D.= 0.93 แสดงว่า การจัดกิจกรรมโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ภาษาไทยสามารถช่วยพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำประสมด้วยสระเดี่ยว ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช ได้


ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ตำบล หมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวิจัยในชั้นเรียน เพื่อการศึกษาผลของ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยวของ นักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้การทำวิจัยในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความร่วมมือ ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/7 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง อุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและร่วมกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างดี จึง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณ คุณครูสุนารี พนมศักดิ์ คุณครูพี่เลี้ยง ที่ให้คำปรึกษาแนะนำ อ่านและตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่อง ต่าง ๆ ตลอดจนให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ และดูแลให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยซาบซึ้ง ในความกรุณา และขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณ ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหมากแข้ง นายเจริญชัย บรรเลงรมย์ ท่านรองผู้อำนวยการ โรงเรียน และคณะครูสายชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทุกท่าน ที่อำนวยความสะดวกและความช่วยเหลือมาโดยตลอด ขอขอบคุณ อาจารย์นนท์ณภัสร์ วนกาญจน์กุล อาจารย์โฆษิต พรประเสริฐ ที่ให้คำปรึกษาในเรื่องการทำวิจัย ในชั้นเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนคำชี้แนะเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ ท้ายนี้ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา รวมทั้งครอบครัว ญาติพี่น้องทุกท่าน เพื่อน ๆ ที่ให้ความ ช่วยเหลือ ชี้แนะ ให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยมาโดยตลอด ขอกราบขอบพระคุณ ครู อาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ให้แก่ผู้วิจัย ผู้วิจัยขอยกประโยชน์และคุณค่าทั้งมวลที่เกิดจากงานวิจัยฉบับนี้ บูชาแด่บิดา มารดา ผู้มีพระคุณ และครู อาจารย์ทุกท่าน จิราภรณ์ ดาราษี


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ฉ บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 สมมุติฐานของการวิจัย 3 ขอบเขตของการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับจากการวิจัย 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 7 1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 7 1.2 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระที่ 1 การอ่าน 9 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน 10 2.1 ความหมายของการอ่าน 10 2.2 ความสำคัญของการอ่าน 11 2.3 ประเภทของการอ่าน 12 2.4 วิธีที่ใช้ในการสอนอ่าน 13 เอกสารที่เกี่ยวของกับนักเรียนที่่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 15


ง สารบัญ หน้า 3.1 ความหมายของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 15 3.2 ลักษณะของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 15 3.3 การจัดการเรียนการสอนสําหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 17 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก 17 4.1 ความหมายของแบบฝึก 17 4.2 ประโยชน์ของแบบฝึก 20 4.3 ลักษณะของแบบฝึกที่ดี 22 4.4 การสร้างแบบฝึก 24 4.5 ส่วนประกอบของแบบฝึก 25 4.6 รูปแบบการสร้างแบบฝึก 26 4.7 แนวคิดหลักการที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก 27 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 27 5.1 งานวิจัยในประเทศ 27 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ 29 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 27 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 27 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 27 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 27 การเก็บรวบรวมข้อมูล 29 การวิเคราะห์ข้อมูล 30 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 30 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 36


จ สารบัญ หน้า บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 39 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 39 สมมติฐานของการวิจัย 39 วิธีดำเนินการวิจัย 39 สรุปผลการวิจัย 41 อภิปรายผล 41 ข้อเสนอแนะ 42 บรรณานุกรม 43 ภาคผนวก 45 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ รายชื่อผู้ช่วยผู้วิจัยในการประเมิน 46 ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 48 ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 53 ภาคผนวก ง ตัวอย่างแผนการสอนเฉพาะบุคคล 55 ประวัติผู้วิจัย 81 ภาพประกอบ 82


ฉ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 แสดงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระที่ 1 การอ่าน 10 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง 32 ตารางที่ 3 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน 37 และการสะกดคำก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ตารางที่ 4 เปรียบเทียบคะแนนและร้อยละของความสามารถในการอ่านสะกดคำ 37 ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของประเด็นแบบ 54 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของ ผู้เชี่ยวชาญ


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความ สมดุลทั้งด้าน ร่างกาย ความรู้คุณธรรม มีจิตสำนึก ในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลกยึดมั่นในการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จําเป็นต่อ การศึกษาในการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551) วิชา ภาษาไทย เป็นหนึ่งในกลุ่มสาระที่มีความสําคัญที่สุดในชีวิตประจำวัน สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหา ความรู้เพิ่มเติมได้ (กรมวิชาการ, 2533) ภาษาไทยคือภาษาประจำชาติเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมไทย เป็นเครื่องมือที่สําคัญ ยิ่งของสังคมและประเทศชาติในการศึกษารวบรวมสั่งสม สร้างสรรค์และถ่ายทอดศิลปะ วิทยาการทุกแขนง รวมทั้ง สร้างความเป็นเอกราชของชาติไทยนับแต่อดีตจนปัจจุบัน ภาษาไทยจึงนับเป็นความ ภูมิใจของคนไทยทั้งชาติและการ ที่ผู้เรียนจะนําความรู้วิชาภาษาไทยไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันนั้น จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการฝึกฝนทักษะ ทั้ง 4 ได้แก่ การฟัง พูด อ่าน และเขียน การสอนภาษาไทยให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องฝึก ทักษะต่าง ๆ ให้สัมพันธ์กันทั้งการรับเข้ามา คือ การอ่านและการฟังกับทักษะการถ่ายทอดออกไป คือ การพูดและการ เขียน ในด้านการเขียนถือเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อนและเป็นทักษะถ่ายทอดที่สำคัญต่อการสื่อสารอย่างยิ่ง การอ่านเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ ดังที่ ชัยณรงค์ ขำบัณฑิต กล่าวไว้ว่าการอ่านมีความสำคัญต่อผู้เรียน เนื่องจากการอ่านเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าที่ใช้ในการแสวงหาความรู้อันเป็นประโยชน์สำหรับพัฒนาความรู้ ความสามารถของตนเองหรือถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์สู่สังคม และ ณัฐพงศ์ เชื้อเพชร ได้กล่าวไว้ว่า การอ่าน เพิ่มมากขึ้นจะทำให้นักเรียนเกิดทักษะการอ่าน ซึ่งการอ่านทำให้เกิดความเข้าใจในสาระสำคัญที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร กับผู้อ่านเกิดความคิดและสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่าน สามารถพัฒนาไปสู่การอ่านในระดับที่สูงขึ้นเกิด ประโยชน์ใน การแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของตนต่อไป แต่จากผลสำรวจการอ่านของประชากร พ.ศ.2561 ของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า คนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปอ่านหนังสือเฉลี่ยร้อยละ 78.8 หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 49.7 ล้านคน แต่ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือกลุ่มเด็กเล็กซึ่งจากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.8ยังขาดความเข้าใจในเรื่องการอ่านหนังสือของเด็กเล็กโดยให้เหตุผลว่าเด็กยังมีอายุน้อยเกินไปทำให้เด็กกลุ่มนี้คิด เป็นจำนวนราว 1.1 ล้านคน ไม่ได้รับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน นอกจากนี้ผลการสำรวจในปี 2561 ยังระบุถึง ประเด็นการอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียว ในเด็กวัยต่ำกว่า 6 ปีที่มีจำนวนร้อยละ 5.4 เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จากผลสำรวจเมื่อครั้งที่แล้วนั่นหมายถึงมีเด็กจำนวนถึง 145,000 คน ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่าง เดียว ในขณะที่งานวิจัยเรื่องผลกระทบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านจอทีมแพทย์ระบุว่าการเสพสื่อผ่านจออิเล็กทรอนิกส์ มีผลกระทบกับพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กซึ่งไม่สมควรใช้กับเด็กเล็กแรกเกิดจนถึง 1 ขวบครึ่งอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นการ รณรงค์ให้รักการอ่านและส่งเสริมทักษะการอ่านจึงเป็นสิ่งจำเป็นและเร่งด่วนในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความคิดและสามารถใช้ทักษะการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2 นอกจากนี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อทักษะการอ่านของผู้เรียนมีหลายหลากปัจจัย ดังที่ อุมาพร ตรังคสมบัติ (2553) กล่าวไว้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการอ่าน ได้แก่ ความสามารถของผู้เรียนกระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูไม่ น่าสนใจ ไม่เร้าความสนใจ ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังขาดแรงจูงใจในการเรียนและไม่กระตือรือร้นหรือสนใจในการเรียนรู้ทำ ให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดการเรียนการสอนของครูและที่สำคัญเด็กวัยเรียนในระดับปฐมวัยและประถมศึกษา โดยเฉพาะในช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) ในภาวะปกติแล้วความสนใจและสมาธิของเด็กในวัยนี้มีขีดจำกัด สาเหตุ เนื่องมาจากพัฒนาการทางด้านสมอง อารมณ์ สังคมและการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อต่าง ๆ ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่เหมือน เด็กโตส่วนใหญ่ที่สามารถควบคุมตัวเองได้ดีและด้วยเหตุนี้เองเด็กจึงมีสมาธิในการอ่านที่น้อยลงจนส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนได้ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศกำหนดนโยบายสำคัญและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 (2565, ออนไลน์) ไว้ว่า ให้ผู้เรียนทุกระดับชั้นอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง และสื่อสารได้ เพื่อเป็นการวางรากฐานในการเรียนรู้ภายใต้แนวคิด “เด็กไทย วีถีใหม่ อ่านออกเขียนได้ทุกคน” โดยมี เป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้อ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง และใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จากข้อมูลสภาพปัญหา ความสำคัญ และหลักการดังกล่าว ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง ตัวครูผู้สอนควรจะมีการศึกษาหาวิธีปรับปรุงพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ ให้ทั้งความรู้ทักษะ การคิด ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กัน มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้เกิดความ แม่นยำ จดจำง่าย และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จัดระบบเชื่อมโยงความคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่านสะกดคํา เป็นเด็กประเภทหนึ่งที่รวมอยู่ในเด็กที่มีความ บกพร่องทางการเรียนรู้เด็กพวกนี้มีความบกพร่องในเรื่องการสะกดคํา ยิ่งไปกว่านั้นความไม่คงที่ของแบบแผนการ สะกด ไม่ว่าในภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย มักทำให้ผู้เรียนสับสนยุ่งยากและเป็นความบกพร่องแบบที่มักจะยังคงติด ตัวไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กที่มีความบกพร่องในการจำคำ ปกติจะมีความบกพร่องในการสะกดคําแต่เด็กบางคน สามารถ อ่านคำได้ดีแต่สะกดไม่ได้ความยุ่งยากในการสะกดคำมักรวมถึงพฤติกรรมดังต่อไปนี้เช่น เรียงลำดับอักษร ผิดในคำต่าง ๆ สลับตัวอักษรในคำต่าง ๆ สะกดผิดในคำพ้องเสียง และอักษรบางตัว เขียนไม่ได้ใจความหรือเขียนวกวน เขียนสะกด ตัวการันต์ไม่ถูก (ศรียา นิยมธรรม, 2540: 32) ดังนั้นการสอนเขียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ควรเริ่มสอนการสะกดคําและควรเน้นมากขึ้นในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทั้งนี้เพื่อให้การ เรียนรู้และเขียนคำใหม่ ๆ ได้มากขึ้นตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ขึ้นไปการเขียนเป็นการแสดงออก ซึ่งความคิด รวมทั้งการฝึกเขียนให้ถูกต้องตามหลักภาษา ครูจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผสมผสานวิธีการสอนเพื่อให้เด็กเกิดการพัฒนาตามศักยภาพของตนเองให้เต็มที่ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ยังขาดทักษะจำเป็นในการเขียนอย่างมากและต้องอาศัยวิธีการสอนหลายวิธีเพื่อ กระตุ้นการรับรู้ในด้านต่าง ๆ ชุดฝึกจึงมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนเป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมหนังสือเรียนช่วย ลดภาระของครูได้มาก ตลอดจนช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้นและการให้นักเรียนทำแบบฝึกจะช่วยชี้ จุดบกพร่องของนักเรียนได้ชัดเจนเพื่อที่ครูจะได้แก้ไขปรับปรุงเฉพาะจุดอย่างทันท้วงที และชุดฝึกเป็นสื่อการเรียนการ สอนที่มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบรวมทั้งชี้แจงให้นักเรียนได้เห็นความสําคัญและมีโอกาสได้ฝึกทักษะบ่อย ๆ ตามกฎ แห่งการฝึกของธอร์นไดค์ที่ว่าสิ่งใดที่คนได้ทําบ่อย ๆ หรือมีการฝึกเสมอ ๆ คนย่อมทําสิ่งนั้นได้ดีคนขาดการฝึกฝนย่อม ทำสิ่งนั้นได้ไม่ดีและจะค่อย ๆ ลืมเลือนไป (สุจริต เพียรชอบ,2522) นอกจากนี้ชุดฝึกยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้


3 นักเรียนมีความเข้าใจในการอ่านสะกดคําเนื่องจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอผู้เรียนจะสามารถอ่านสะกดคำได้อย่าง ถูกต้องและเกิดทักษะ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพื่อมา บูรณาการความรู้ควบคู่กับแผนการสอนเฉพาะบุคคลที่มีรูปแบบการสอนที่หลากหลายมาใช้พัฒนาความสามารถใน การอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยวของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานีให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากที่สุด วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ ที่ประสมด้วยสระเดี่ยวโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียน ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 2. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สมมุติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ ที่ประสม ด้วยสระเดี่ยวโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการบกพร่องทางการเรียนรู้หลังจาก การใช้แบบฝึกสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบแบบปกติ มีทักษะการอ่านกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมือง อุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำ นวน 249 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/7 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมือง อุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำ นวน 1 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3. ตัวแปรในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีตัวแปร ดังนี้ 3.1 ตัวแปรต้น คือ การอ่านสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย 3.2 ตัวแปรตาม คือ ทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 4. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ขอบเขตด้านเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้คัดเลือกคำจากบัญชีคำพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 เฉพาะคำที่มีเสียงสระเดี่ยวจำนวน 4 สระ ได้แก่ สระอา สระอี สระอูสระเอ มาทำเป็นแบบฝึก แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย


4 5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ทำการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เป็นเวลา 15 สัปดาห์ ติดต่อกัน โดยผู้วิจัยเลือกเนื้อหาที่ เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่าง ใช้เวลาเรียนชั่วโมงซ่อมเสริม ในวันอังคาร เวลา 14.00 – 15.00 น. แต่ละครั้งใช้เวลา 1 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ความสามารถในการอ่านสะกดคำ หมายถึง สามารถอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว จำนวน 4 สระ ได้แก่ สระอา สระอี สระอู สระเอ ได้อย่างคล่องแคล่ว ชัดเจน และถูกต้องตามอักขรวิธีการอ่าน 2. แบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย หมายถึง แบบฝึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 5 ชุด ประกอบไปด้วย การฝึกอ่าน แจกลูกสะกดคำ ฝึกอ่านสะกดคำ ฝึกอ่านซ้ำจำแม่น และแบบทดสอบหลังเรียน ทั้งนี้แบบฝึกการอ่าน ชุด เรียนรู้สระไทยนี้สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการอ่านของผู้เรียนและใช้ประกอบการจัดกิจกรรม BBL ( Brain Based Learning ) โดยนำคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยวในภาษาไทยจาก บัญชีคำพื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มา สร้างเป็นแบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย 3. นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หมายถึง นักเรียนที่มีความยุ่งยากหรือลำบากในการเขียนสะกด คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้วิธีคัดเลือกคัดแยกเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้โดยใช้แบบคัดกรอง นักเรียนที่ภาวะสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้และออทิสซึม ( KUS-SI Rating Scales ) การสัมภาษณ์เด็ก ผู้ปกครองอาจารย์ผู้สอน และการทดสอบเป็นรายบุคคล (ด้านการเขียน) ซึ่งได้รับการประเมินโดย เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้ว่าเป็นผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ 4. ประสิทธิภาพของแบบฝึก หมายถึง แบบฝึกการประสมอักษรที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีระดับประสิทธิภาพที่จะ ช่วยให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เกิดการเรียนรู้ระดับที่ผู้วิจัยพึงพอใจตามเกณฑ์ 80/80 5. การจัดการเรียนรู้แบบ BBL ( Brain Based Learning ) หมายถึง การเรียนรู้ ที่ใช้โครงสร้างและหน้าที่ ของสมองเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยไม่สกัดกั้นการทำงานของสมอง แต่เป็นการส่งเสริมให้สมองได้ปฏิบัติหน้าที่ ให้สมบูรณ์ ที่สุด ภายใต้แนวคิดที่ว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ทุกคนมีสมองพร้อมที่จะทำเรียนรู้มาตั้งแต่กำเนิด BBL (Brain Based Learning) เป็นการ การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัย เป็นการนำองค์ ความรู้เรื่องสมองมาใช้เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โดยมีที่มาจากศาสตร์การเรียนรู้ 2 สาขาคือ 1.ความรู้ทางประสาทวิทยา (Neurosciences) ซึ่งอธิบายที่มาของความคิดและจิตใจของมนุษย์ โดยเฉพาะในด้านที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับทักษะการเรียนรู้ อันได้แก่ ความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ ความเข้าใจ และความชำนาญ โดยผ่านทฤษฎีว่าด้วยการทำงานของสมองเป็นสำคัญ 2.แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theories) ต่างๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับการเรียนรู้ของสมอง มนุษย์ และกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นและมีพัฒนาการอย่างไร


5 การบูรณาการองค์ความรู้ทั้ง2 สาขาเข้าด้วยกันทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้ตั้งอยู่บนฐานของการพิจารณา ว่าปัจจัยใดบ้างที่จะทำให้สมองมีการเปลี่ยนแปลงสมองมีปฏิกิริยาตอบรับต่อการเรียนการสอนแบบใด และอย่างไร ซึ่ง ทั้งหมดนี้นำไปสู่การจัดกิจกรรมระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน การจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และที่สำคัญคือการ ออกแบบและใช้เครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ต่างๆ โดยเน้นว่าต้องทำให้ผู้เรียนสนใจ เกิดการเรียนรู้ ความเข้าใจ และการ จดจำตามมา และนำไปสู่ความสามารถในการใช้เหตุผล เข้าใจความเชื่อมโยงสัมพันธ์ในทุกมิติของชีวิต ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับจากการวิจัย 1. ได้พัฒนาการอ่านสะกดคำ ที่ประสมด้วยสระเดี่ยวโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มี ภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น เพื่อนำไปประยุกต์ ใช้กับเด็กที่มีภาวะบกพร่อง ทางการเรียนรู้และวิชาการด้านการศึกษาพิเศษต่อไป


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการ เรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาศึกษาเอกสารตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามลำดับดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 1.2 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระที่ 1 การอ่าน 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน 2.1 ความหมายของการอ่าน 2.2 ความสำคัญของการอ่าน 2.3 ประเภทของการอ่าน 2.4 วิธีที่ใช้ในการสอนอ่าน 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน 3. เอกสารที่เกี่ยวของกับนักเรียนที่่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3.2 ลักษณะของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3.3 การจัดการเรียนการสอนสําหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก 4.1 ความหมายของแบบฝึก 4.2 ประโยชน์ของแบบฝึก 4.3 ลักษณะของแบบฝึกที่ดี 4.4 การสร้างแบบฝึก 4.5 ส่วนประกอบของแบบฝึก


7 4.6 รูปแบบการสร้างแบบฝึก 4.7 แนวคิดหลักการที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงถึงภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรมประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คง อยู่คู่ชาติไทยตลอดไป เรียนรู้อะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง • การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้าง ความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน • การเขียน การเขียนสะกดคำตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการวิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิง สร้างสรรค์ • การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็นความรู้สึก พูดลำดับ เรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้ม น้าวใจ


8 • หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและ บุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย • วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม เพื่อศึกษาข้อมูลแนวความคิด คุณค่าของงาน ประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญา ที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และ ความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนิน ชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบ ต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกใน โอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและ นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย อัมพร อังศรีพวง (อ้างในวิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. 2549 : 94-95) ได้ให้แนวการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ภาษาไทยไว้ดังนี้ 1. ฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนให้ถูกต้อง คล่องแคล่ว โดยการฝึกทักษะแต่ละอย่างให้ แม่นยำแล้วจึงฝึกทักษะทั้ง 5 ให้สัมพันธ์กันและส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์


9 2. ฝึกทักษะทางภาษาซ้ำ ๆ และบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญ และหมั่นฝึกฝนทบทวนอยู่เสมอ ครูผู้สอนต้องส่งเสริมให้นักเรียนฝึกทักษะเป็นรายบุคคลอย่างทั่วถึง 3. ฝึกให้ผู้เรียนรู้หลักเกณฑ์ทางภาษาควบคู่ไปกับการใช้ภาษาและรู้จักวัฒนธรรมทางภาษา 4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ และทักษะที่ได้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารใน ชีวิตประจำวัน และใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนกลุ่ม ประสบการณ์อื่น ๆ 5. ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและตระหนักในความสำคัญของ ภาษาไทย ทั้งในส่วนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการสื่อสาร และในด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ 6. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจความงดงามของภาษาเพื่อให้เกิดความจรรโลงใจ โดยใช้ ธรรมชาติ บทร้อยแก้ว และร้อยกรองที่เหมาะสมกับวัยและระดับชั้นมาเป็นสื่อการเรียนการสอน 7. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่หาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิต 8. สอดแทรกคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความมีระเบียบวินัย ความขยัน ความอดทน ความรับผิดชอบ 9. ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนช่างสังเกต จดจำ และจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ทาง ภาษา ได้รับความรู้ ความเพลิดเพลิน และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ 10. นำภาษาที่ใช้ในสังคมแวดล้อมมาเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเพื่อให้สัมพันธ์กับการเรียน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน 11. ให้แบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาและการสื่อสารของครูผู้สอน 12. วัดและประเมินผล โดยคำนึงถึงวัย ระดับชั้นและพัฒนาการทางภาษาของนักเรียน 13. ส่งเสริมให้นักเรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพื่อให้นักเรียนพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นตามลำดับ 14. ศึกษา ติดตามและแก้ไขข้อบกพร่องทางภาษาของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 15. จัดทำหนังสือที่เหมาะสมให้ผู้เรียนอ่านมาก ๆ หรือส่งเสริมการอ่านหนังสือในห้องสมุด เพื่อให้ นักเรียนมีความรู้กว้างขวางขึ้น 1.2 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระที่ 1 การอ่าน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระ ที่ 1 การอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ดังนี้


10 ตารางที่ 1 แสดงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระที่ 1 การอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้น สาระ มาตรฐาน ตัวชี้วัดชั้นปี ป.1 สาระ ที่ 1 การอ่าน ม า ต ร ฐ า น ท 1.1 ใ ช้ กระบวนการอ่านสร้างความรู้ และความคิดเพื่อนำไปใช้ ตัดสินใจแก้ปัญหาในการ ดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการ อ่าน 1. อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง และ ข้อความสั้น ๆ 2. บอกความหมายของคำ และข้อความ ที่อ่าน 3. ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน 4. เล่าเรื่องย่อจากเรื่องที่อ่าน 5. คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน 6. อ่านหนังสือตามความสนใจอย่าง สม่ำเสมอและนำเสนอเรื่องที่อ่าน 7. บอกความหมายของเครื่องหมายหรือ สัญลักษณ์สำคัญที่มักพบเห็นใน ชีวิตประจำวัน 8. มีมารยาทในการอ่าน 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน 2.1 ความหมายของการอ่าน จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการอ่านปรากฎว่ามีผู้ให้ความหมายของการอ่านไว้ หลายทัศนะดังนี้ วนิดา พรมเขต (2559, หน้า 4) ได้สรุปความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่าน หมายถึงการทำความเข้าใจ ความหมายของสัญลักษณ์ใด ๆ ซึ่งเป็นได้ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาที่ต้องใช้ความคิดในการพิจารณาเพื่อให้ได้ เนื้อหาสาระที่ถูกต้อง ใดนี สาและ (2560, หน้า 11) ได้สรุปความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการรับรู้ความหมาย จากสิ่งที่อ่านและการอ่านคือทักษะที่สำคัญทักษะหนึ่ง ซึ่งใช้ในการแสวงหาความรู้และเพื่อความบันเทิง ทักษะการ อ่านจึงเป็นทักษะที่จำเป็นต้องฝึกฝนให้กับนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพใช้ในการ แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง


11 ศิรินญา คำสอน (2561, หน้า 26) ได้สรุปความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่าน หมายถึงกระบวนการรับสาร โดยการค้นหาความหมายจากสัญลักษณ์หรือตัวอักษรโดยผ่านกระบวนการทางสมองตีความ ในการตีความเพื่อให้เกิด ความเข้าใจระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียน ขนิษฐา ซังยืนยง (2563, หน้า 12) ได้สรุปความหมายของการอ่านสะกดคำไว้ว่า การอ่านสะกดคำเป็นการ เปล่งเสียงออกมาโดยการนำพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมาประสมกันเป็นคำอ่านที่มีความหมายและ ต้องเขียนถูกต้องตามหลักพจนานุกรม เมื่ออ่านสะกดคำได้แล้วก็จะสามารถอ่านเป็นข้อความได้ ซึ่งสามารถแปล ความหมายของคำที่อ่านและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ได้ ปรียาพร พนาผดุงธรรม (2565, หน้า 13) ได้สรุปความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็นหนึ่งในทักษะที่ สำคัญที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ แสวงหาข้อมูลเพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ช่วยพัฒนา และเพิ่มพูนประสบการณ์ ความรู้ ความคิด และวิจารณญาณหากนักเรียนอ่านไม่ได้จะกลายเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องขึ้นไปในชั้นที่ระดับสูงขึ้นไปและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียนเป็นอุปสรรคในการต่อยอดในการ ทำงานและการประกอบอาชีพนอกจากนี้การอ่านยังให้ความเพลิดเพลินและตอบสนองความต้องการพื้นฐานของ บุคคล ดังนั้นปัญหาการอ่านหนังสือไม่ออกจึงเป็นหนึ่งในปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนโดยต้องเกิดจากการ ร่วมมือกันของทั้งครูผู้สอน ผู้บริหารและผู้ปกครองนักเรียน จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า การอ่าน คือ การเข้าใจสัญลักษณ์ที่กำหนด เช่น พยัญชนะสระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ นำมาอ่านประสมกันเป็นคำอ่านที่มีความหมายซึ่งการอ่านจะส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจ ความหมายของสิ่งที่แทนค่าสัญลักษณ์ได้ด้วยประสบการณ์และการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลจนนำไปสู่ทักษะการอ่านได้ 2.2 ความสำคัญของการอ่าน ความสำคัญของการอ่านในสมัยโบราณที่ยังไม่มีตัวหนังสือใช้ มนุษย์ได้ใช้วิธีเขียนบันทึกความทรงจำและเรื่องราว ต่าง ๆ เป็นรูปภาพไว้ตามฝาผนังในถ้ำ เพื่อเป็นทางออกของอารมณ์ เพื่อเตือนความจำหรือเพื่อบอกเล่าให้ผู้อื่นได้รับรู้ ด้วย แสดงถึงความพยายามและความปรารถนาอันแรงกล้าของมนุษย์ ที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเป็น สัญลักษณ์ที่คงทนต่อกาลเวลาจากภาพเขียนตาม ผนังถ้ำ ได้วิวัฒนาการมาเป็นภาษาเขียนและหนังสือ ปัจจุบันนี้ หนังสือกลายเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อมนุษย์จนอาจกล่าวได้ว่าเป็น ปัจจัยอันหนึ่งในการดำรงชีวิตคนที่ไม่รู้หนังสือแม้จะ ดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ เป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีความเจริญ ไม่สามารถประสบความสำเร็จใด ๆ ในสังคมได้หนังสือและการ อ่านหนังสือจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง จุดประสงค์ของการอ่านในการอ่านบุคคลแต่ละคนจะมีจุดประสงค์ของตนเอง คนที่อ่านข้อความเดียวกันอาจ มีจุดประสงค์หรือความคิดต่างกัน โดยทั่วไปจุดประสงค์ของการอ่านมี 3 ประการ คือ 1. การอ่านเพื่อความรู้ ได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทตำรา สารคดี วารสาร หนังสือพิมพ์ และ ข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอันเป็นข้อความรู้ หรือเหตุการณ์บ้านเมือง การอ่านเพื่อความรอบรู้เป็นการอ่าน


12 ที่จำเป็นที่สุดสำหรับครู เพราะความรู้ต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมอยู่ทุกขณะ แม้จะได้ศึกษามามากจาก สถาบันการศึกษาระดับสูง ก็ยังมีสิ่งที่ยังไม่รู้และต้องค้นคว้าเพิ่มเติมให้ทันต่อความก้าวหน้าของ โลกข้อความรู้ต่าง ๆ อาจมิได้ปรากฏชัดเจนในตำรา แต่แทรกอยู่ในหนังสือประเภทต่าง ๆแม้ในหนังสือประเภทบันเทิงคดีก็จะให้ เกร็ดความรู้ควบคู่กับความบันเทิงเสมอ 2. การอ่านเพื่อความคิด แนวความคิดทางปรัชญา วัฒนธรรม จริยธรรม และความคิดเห็นทั่วไป มัก แทรกอยู่ในหนังสือแทบทุกประเภท มิใช่หนังสือประเภทปรัชญา หรือจริยธรรมโดยตรงเท่านั้น การศึกษาแนวคิดของ ผู้อื่น เป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตหรือแก้ ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต ผู้อ่านจะต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกนำความคิดที่ได้อ่านมาใช้ให้ เป็นประโยชน์ในบางเรื่องผู้อ่านอาจเสนอ ความคิดโดยยกตัวอย่างคนที่มีความคิด ผิดพลาดเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้อ่านได้ความยั้งคิด เช่น เรื่องพระลอแสดงความ รักอันฝืนทำนองคลองธรรมจึงต้องประสบเคราะห์กรรมในที่สุด ผู้อ่านที่ขาดวิจารณญาณมีความคิดเป็นเรื่องจูงใจให้คน ทำความผิดนับว่าขาด ประโยชน์ทางความคิดที่ควรได้ไปอย่างน่าเสียดายการอ่านประเภทนี้จึงต้องอาศัย การศึกษา และการชี้แนะที่ถูกต้องจากผู้มีประสบการณ์ในการอ่านมากกว่าครูจึง ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านเพื่อความคิดของ ตนเองและเพื่อชี้แนะหรือสนับสนุน นักเรียนให้พัฒนาการอ่านประเภทนี้ 3. การอ่านเพื่อความบันเทิงเป็นการอ่านเพื่อฆ่าเวลา เช่น ระหว่างที่คอยบุคคลที่นัดหมาย คอยเวลา รถไฟออก เป็นต้น หรืออ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดีในเวลาว่าง บางคนที่มีนิสัยรักการอ่านหากรู้สึกเครียดจากการ อ่านหนังสือเพื่อความรู้ อาจอ่านหนังสือประเภทเบาสมองเพื่อการพักผ่อน หนังสือประเภทที่สนองจุดประสงค์ของการ อ่านประเภทนี้มีจำนวนมาก เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย การ์ตูน วรรณคดีประเทืองอารมณ์ เป็นต้นจุดประสงค์ในการอ่าน ทั้ง 3 ประการดังกล่าว อาจรวมอยู่ในการอ่านครั้งเดียวกันก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องแยกจากกันอย่าง ชัดเจน 2.3 ประเภทของการอ่าน การอ่านเป็นวิธีสื่อสารที่เป็นได้ทั้งการส่งสารและการรับสาร การอ่านแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. การอ่านออกเสียง วิธีการอ่านออกเสียงประกอบไปด้วย 1.1 อ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน 1.2 อ่านเสียงดัง ฟังได้ทั่วถึง 1.3 อ่านให้เป็นเสียงพูดธรรมชาติ 1.4 รู้จักทอดจังหวะและลมหายใจ ฯลฯ การอ่านออกเสียง เป็นได้ทั้งการรับสารและการส่งสาร ส่วนการอ่านในใจจะเป็นได้เฉพาะการรับสาร เพียงทางเดียวเท่านั้น


13 การอ่านออกเสียง หมายถึง การอ่านที่ผู้อื่นสามารถได้ยินเสียง การอ่านออกเสียงมักไม่นิยมอ่านเพื่อ การรับสารโดยตรงเพียงคนเดียว เว้นแต่การอ่านบทประพันธ์เป็นท่วงทำนองเพื่อความไพเราะเพลิดเพลิน ส่วนใหญ่ การอ่านออกเสียงมักเป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง การอ่านออกเสียงให้ผู้อื่นฟังจะต้องอ่านให้ชัดเจน ถูกต้อง ได้ข้อความ ครบถ้วนสมบูรณ์ มีลีลาการอ่านที่น่าสนใจและน่าติดตามฟังจนจบ 2. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ได้แก่ (1) ด้านความรู้ คือ ได้ทั้งความรู้ รอบตัวและความรู้เฉพาะด้าน (2) ด้านอารมณ์ ช่วยให้เกิดความเพลินเพลิด คลายความเครียดความขุ่นมัวต่าง ๆ (3) ด้านคุณธรรม เช่น การอ่านหนังสือประเภทธรรมะ ชีวประวัติ สารคดี ฯลฯทำให้ได้เห็นตัวอย่างดี ๆ หรือได้ข้อคิดคำ สอนและสามารถนำมาใช้กับตนเองได้ การอ่านในใจ จึงเป็นวิธีการศึกษาอย่างหนึ่งเพื่อเรียนรู้และเข้าใจประสบการณ์ ใหม่ ๆ ซึ่งช่วยให้มนุษย์เกิดการปรับตัวเพื่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข หลักการอ่านในใจ ได้แก่ 2.1 ตั้งสมาธิให้แน่วแน่ 2.2 กะระยะช่วยสายตาแต่ละคราวให้กว้างที่สุดจะทำให้อ่านได้รวดเร็ว ไม่ควรมองเป็นคำ ๆ เพราะจะทำให้อ่านช้าและจับใจความไม่ได้ 2.3 จับใจความสำคัญและใจความประกอบให้ได้ อาจตั้งคำถามถามตนเองว่าใครทำอะไร ที่ ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แล้วตอบคำถามเหล่านั้นก็จะสามารถจับใจความสำคัญได้ 2.4 ไม่ทำปากขมุบขมิบหรือออกเสียงในเวลาอ่าน 2.5 ไม่ใช้นิ้ว ปากกา หรือดินสอชี้ที่ตัวหนังสือทีละตัว 2.6 บันทึกความรู้ ความเข้าใจ และความคิดไว้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป 2.4 วิธีที่ใช้ในการสอนอ่าน การสอนให้ผู้เรียนสามารถอ่านออกได้นั้นมีหลายหลากวิธีดังที่นักการศึกษาได้อธิบายวิธีที่ใช้ในการสอนอ่าน ดังต่อไปนี้ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้กล่าวถึงวิธีการสอนอ่านคำไว้ดังนี้ 1. วิธีการสอนอ่านแบบแจก เป็นการสอนอ่านแบบแจกพยัญชนะและสระ เช่น กะ กา กิ กีกึ กุกู และ กา ขา คา งา มา นา รวมทั้งการผันวรรณยุกต์ที่แยกตามอักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ เช่น กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า 2. วีธีสอนอ่านแบบสะกดคำ ซึ่งเป็นวิธีการสอนอ่านแบบแจกลูกประสมคำนั้นเอง เช่น กิน ก็เป็น กอ-อิ-กิ กิ-นอ-กิน เป็นต้น 3. วิธีสอนอ่านแบบเป็นคำเป็นประโยค ซึ่งเป็นการสอนแบบสมัยใหม่ นำนักเรียนอ่าน กา มา นา อา มา รถไฟ จากนั้นสอนความเป็นมาของคำคำนั้น ก็คือสอนแจกลูกสะกดคำนั่นเอง


14 4. วิธีสอนอ่านแบบใช้แผนภูมิประสบการณ์ เป็นการสอนโดยใช้แผนภูมิซึ่งอาจจะมีรูปภาพประกอบใน แผนภูมิด้วย สถาบันภาษาไทย (2559, หน้า 13) กล่าวไว้ว่าการสอนให้อ่านออกมีหลายวิธี ครูไม่ควรยึดวิธีใด วิธีหนึ่ง ควร ผสมผสานหลายวิธีจนสามารถทำให้เด็กอ่านออกเป็นคำและรู้ความหมายของคำดังวิธีการต่อไปนี้ 1. สอนโดยวิธีประสมอักษร เป็นการสอนที่ใช้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่แสดงถึงภูมิปัญญา 2. การสอนอ่านแบบไทย ซึ่งทำให้เด็กอ่านหนังสือไทยได้แตกฉานวิธีหนึ่ง วิธีการสอนแบบนี้เป็นการนำ พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์มาประสมกันแล้วฝึกอ่านแบบแจกลูก การอ่านแบบสะกดคำเป็นการสอนอ่านที่เน้นการฟัง เสียงของพยัญชนะต้น สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ที่นำมาประสมกันเป็นคำ เมื่อฝึกฝนบ่อย ๆ จนชินหูก็จะอ่านได้ ถูกต้องแม่นยำ 3. การอ่านแบบแจกลูก เป็นการอ่านโดยยึดพยัญชนะต้นเป็นหลัก ยึดสระเป็นหลัก หรือยึดสระและตัวสะกด เป็นหลัก เช่น ก + า = กา 4. การอ่านแบบสะกดคำ เป็นการอ่านโดยสะกดคำหรือออกเสียงพยัญชนะ สระ ตัวสะกดวรรณยุกต์ การันต์ ที่ประกอบเป็นคำ เช่น ตอ + อา = ตา 5. สอนด้วยการเดาคำจากภาพหรือการสอนอ่านจากภาพ เด็กเริ่มหัดอ่านจากรูปภาพก่อนแล้วจึงนำไปสู่การ อ่านจากตัวอักษร รูปภาพจะเป็นสิ่งชี้แนะให้เด็กอ่านคำนั้นได้ 6. สอนอ่านจากรูปร่างของคำ เมื่อเด็กเห็นรูปร่างของคำ โดยส่วนรวมก็จะจำได้แล้วจะนำไปเปรียบเทียบกับ คำที่เคยอ่านออกแล้วคำใดที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกันก็สามารถเดาและเทียบเสียงได้ว่าอ่านอย่างไร การสอนแบบนี้ครูต้อง ตีกรอบคำที่ทำให้เด็กสามารถมองเห็นรูปร่างคำได้อย่างชัดเจน เน้นการฝึกให้เด็กสังเกตรูปร่างของคำ 7. สอนด้วยการเดาคำจากบริบทหรือคำที่อยู่แวดล้อม สำหรับเด็กมักจะใช้บริบทที่เป็นปริศนาคำทาย หากครู ต้องการให้เด็กอ่านคำใดก็สร้างปริศนาคำทาย เมื่อเด็กทายคำได้ถูกก็สามารถอ่านคำนั้นออก 8. สอนอ่านโดยให้รู้หลักภาษา วิธีนี้เด็กจะรู้หลักเกณฑ์ของภาษาเพื่อการอ่านการเขียน เช่นอักษร 3 หมู่ สระ เสียงเดี่ยว สระเสียงประสม มาตราตัวสะกด การผันวรรณยุกต์การอ่านคำควบกล้ำการอ่านอักษรนำ เป็นต้น วิธีนี้ต้อง หาวิธีสอนที่หลากหลายจัดกิจกรรมที่น่าสนใจให้เด็กเรียนรู้หลักภาษาที่ง่าย ๆ ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ทำ ให้เด็กสนุกสนาน กิจกรรมที่เด็กชอบ เช่น เล่านิทาน ร้องเพลง เล่นเกม เป็นต้น 9. สอนอ่านตามครูวิธีนี้เป็นการสอนที่ง่ายครูส่วนใหญ่ชอบมากถ้าครูไม่คิดพิจารณาให้ดีว่าเมื่อใดควรสอนด้วย วิธีนี้จะเป็นอันตรายต่อเด็ก ครูจะใช้วิธีนี้ต่อเมื่อเป็นคำยาก คำที่มีตัวสะกดแปลก ๆ หรือครูได้ใช้วิธีอื่นแล้วเด็กยังอ่าน ไม่ได้สำหรับชั้น ป.1 ครูอาจใช้วิธีนี้ได้โดยครูอ่านนำแล้วให้นักเรียนอ่านตาม เมื่อเด็กอ่านได้แล้วจึงฝึกให้อ่านเป็นกลุ่ม


15 เป็นรายบุคคล การอ่านบทร้อยกรองนั้น ครูจำเป็นต้องอ่านนำก่อนเพื่อให้รู้จังหวะและลีลาการอ่านบทร้อยกรองตาม ประเภทของคำประพันธ์นั้น ๆ สรุปได้ว่า วิธีที่ใช้สอนอ่านนั้นมีหลากหลายวิธีที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถอ่านหนังสือออกได้เช่น สอนโดยวิธี ประสมอักษร สอนด้วยการเดาคำจากภาพหรือการสอนอ่านจากภาพ สอนอ่านจากรูปร่างของคำ สอนด้วยการเดาคำ จากบริบทหรือคำที่อยู่แวดล้อม สอนอ่านโดยให้รู้หลักภาษาสอนอ่านตามครูสอนอ่านแบบเทียบเสียง สอนแบบ มาตรฐาน สอนแบบผสม เป็นต้น ซึ่งวิธีสอนที่ผู้วิจัยจะนำมาพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 คือ วิธีการสอนอ่านแบบแจกลูกสะกดคำ วิธีการอ่านแบบเทียบเสียง วิธีสอนแบบมาตรฐาน (สอนอ่านเป็นคำและสอน อ่านเป็นประโยค) 3. เอกสารที่เกี่ยวของกับนักเรียนที่่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ LD หรือ Learning Disabilities คือ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ เป็นความบกพร่องในการรับรู้ข้อมูลและ นำข้อมูลไปใช้ในการฟัง พูด อ่าน เขียน และคำนวณ ซึ่งไม่ใช่ความบกพร่องทางสติปัญญา และไม่ได้เกิดจากการถูก ละเลย ไม่ใส่ใจ ถูกทอดทิ้ง ขาดโอกาส หรือพิการ เช่น ตาบอด แขนขาพิการ เป็นต้น และความบกพร่องทางการ เรียนรู้ยังคงมีอยู่แม้จะได้รับการบำบัดแล้วอย่างต่ำ 6 เดือนก็ตาม โดยความบกพร่องทางการเรียนมี 3 ด้าน ดังนี้ 1. ความบกพร่องด้านการอ่าน เด็กมีความบกพร่องในการจำพยัญชนะ สระ อ่านหนังสือไม่ออก หรืออ่าน หนังสือได้ไม่สมกับวัย อ่านสะกดไม่ถูก อ่านตกหล่นไม่ครบถ้วน หรืออ่านตะกุกตะกัก เป็นต้น 2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ เด็กมีความบกพร่องในการเขียน เขียนไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เขียนและสะกดคำผิด เขียนตกหล่น สลับตำแหน่ง และยังอาจรวมถึงไม่สามารถเรียบเรียงภาษาเขียนออกมาได้อย่าง ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และความหมาย เป็นต้น 3. ความบกพร่องด้านการคำนวณ เด็กมีความบกพร่องด้านการคำนวณ ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลข จำนวน และความเชื่อมโยงของจำนวน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ ขั้นตอนการคำนวณ ทำให้ไม่สามารถคิดคำตอบจาก หลักและขั้นตอนการบวก ลบ คูณ หาร ได้ เป็นต้น เด็กอาจมีพฤติกรรมไม่สนใจเรียน ทำงานช้าและไม่เสร็จ ไม่มีสมาธิในการเรียน หลีกเลี่ยงการอ่าน การเขียน หงุดหงิด และไม่มั่นใจการอ่านเขียน มักจะตอบว่าไม่รู้ ทำไม่ได้ เครียดมากเวลาทำการบ้าน อาจทำให้ผู้ใหญ่มองว่าเด็ก ขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียน ดื้อ เกเร เด็กมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาทางอารมณ์และการปรับตัวตามมาได้มาก เช่น อารมณ์ หงุดหงิด ท้อแท้ เบื่อหน่ายมีอารมณ์เศร้า ไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกด้อยกว่าเพื่อนเพราะตนเองทำไม่ได้ บางรายถึงขั้น ต่อต้านหรือไม่อยากไปโรงเรียน การค้นหาและช่วยเหลือเด็ก LD มีความสำคัญมาก ต้องอาศัยความเข้าใจจาก ผู้ปกครอง พ่อแม่ แพทย์ ครู ต้องให้ความร่วมมือกันทั้งสามฝ่าย เด็กควรได้รับการเรียนวางแผนเป็นรายบุคคล ( IEP) และหาสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก LD เมื่อเด็กLD ได้รับช่วยเหลืออย่างถูกต้อง นอกจากจะทำให้เด็กมีความสุขในเรื่อง


16 การเรียนมากขึ้น แล้วยังทำให้เด็กอยากไปโรงเรียนมากขึ้น ที่สำคัญที่สุด คือเด็กมีความรู้สึกมั่นใจและรู้สึกมีคุณค่าใน ตนเองมากขึ้น 3.2 ลักษณะของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 1. ปัญหาด้านการอ่าน เด็กที่มีปัญหาด้านการอ่านจะไม่สามารถอ่านหนังสือได้เท่ากับระดับของเด็กในชั้น เรียนเดียวกันแม้ว่าจะพยายามช่วยเหลือในเรื่องความจำเป็นพิเศษแล้วซึ่งอาจเป็นผลมาจากความบกพร่องของการ มองเห็น หรือการอ่านได้ พฤติกรรมการอ่านที่ไม่เหมาะสมจึงปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง ดังนี้ 1.1 การเคลื่อนไหวร่างกายที่แสดงอาการเครียด เช่น อารมณ์เสีย หน้างอ 1.2 อ่านหลงบรรทัด อ่านซ้ำคํา 1.3 อ่านตกหลน อ่านเพิ่มคํา หาคํามาแทนที่หรืออ่านกลับคำ 1.4 อ่านเรียงลําดับคำผิด สัมผัสตําแหน่ง ประธาน กริยา กรรม 1.5 อ่านสับกันระหว่างอักษรหรือคําที่คล้ายคลึงกัน 1.6 อ่านช้า และตะกุกตะกัก 1.7 อ่านด้วยความลังเลไม่แน่ใจ 1.8 อ่านเอาเรื่องไม่ได้ 1.9 บอกลําดับเรื่องราวไม่ได้ 1.10 จําประเด็นสําคัญของเรื่องราวไม่ได้ 1.11 แยกสระเสียงสั้น ยาวไม่ได้ 2. ปัญหาด้านการเขียน เด็กที่มีปัญหาด้านการเขียน อาจมีสาเหตุมาจากความบกพร่องใน 3 ลักษณะ คือ 2.1 การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตาไม่ดีจึงทำให้เด็กลอกตัวอักษร และตัวเลข ไม่ถูก 2.2 ความบกพร่องของการจําสิ่งที่มองเห็น จึงทําให้เด็กจําคําที่เห็นไม่ได้ 2.3 ความบกพร่องในการทํางานเข้าใจกฎเกณฑ์และความสัมพันธ์ระหว่างถ้อยคําในประโยค จึงทํา ให้เด็กมีปัญหาในการรวบรวมหรือจัดระบบความคิดเพื่อสื่อสารออกมาโดยการเขียนไม่ได้ 3. ปัญหาด้านการสะกดคำ เด็กที่มีปัญหาด้านการสะกดคําที่มีพฤติกรรม ปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย อย่าง ดังนี้


17 3.1 เรียงตัวอักษรในคําผิด 3.2 สลับตัวอักษรและคำ 3.3 มีปัญหาในการเชื่อมโยงเสียงที่ถูกต้องกับตัวอักษร 3.4 สะกดข้ามตัวอักษรหลายตัว 3.5 สร้างการสะกดคําแบบใหม่ของตัวเอง 3.3 การจัดการเรียนการสอนสําหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (2538 : 83-86) ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่าความบกพร่องทางการ เรียนรู้มีขอบข่ายกว้างขวางทั้งพฤติกรรมทางการเรียนวิชาการ และพฤติกรรม ที่แสดงออกในเชิงรบกวนชั้นเรียนจึงได้ เสนอแนะแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสําหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในชั้นเรียนปกติ ดังนี้ 1. สอนโดยเน้นความสามารถเด่นของเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ของความสำเร็จ เช่น ถ้าพบว่าเด็กใช้ สายตาในการเรียนรู้ได้ดีที่สุด ครูควรให้เด็กมองดูวัตถุต่าง ๆ แทนที่จะพูดให้เด็กฟังเท่านั้น 2. พยายามลดกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะหรือความสามารถที่เป็นจุดบกพร่องของเด็ก เช่น ถ้าพบว่าเด็กมีความ บกพร่องทางการเรียน ก็ไม่ควรให้งานที่เด็กต้องเขียนมาก แต่อาจให้เด็กตอบปากเปล่าหรือตอบใส่เทปบันทึกเสียง แทนการเขียน 3. พยายามพัฒนาจุดบกพร่องของเด็ก หลังจากที่เด็กประสบความสําเร็จจากการใช้ความสามารถเด่นได้แล้ว 4. กําหนดความคิดรวบยอดที่จะให้เด็กเรียนได้ชัดเจน ถ้าจะสอนความคิดรวบยอดใหม่ ครูต้องทำความคิด รวบยอดใหม่ไปสัมพันธ์กับสิ่งที่เด็กเคยเรียนรู้มาแล้ว และสรุปความคิดรวบยอดให้ชัดเจน เพราะเด็กจะไม่สามารถสรุป ใจความสําคัญได้เอง 5. ช่วยให้เด็กตระหนักถึงเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยชี้ให้เด็กเห็นว่าเมื่อวานนี้เด็กทําอะไรได้ บ้าง วันนี้เด็กทำอะไรสําเร็จ และเด็กจะทําอะไรได้ในวันพรุ่งนี้บ้าง 6. ตั้งเป้าหมายระยะสั้นอย่างชัดเจนที่เด็กสามารถทําได้ โดยจัดลําดับของงานให้มีความยากง่ายต่าง ๆ กันไป โดยให้เด็กทํางานในอันดับแรก ๆ ตามความสามารถของเด็กจากนั้นค่อย ๆ จํากัดเวลา พร้อมทั้งบันทึกความก้าวหน้า ของเด็ก เมื่อเด็กทำงานก้าวแรกได้เสร็จตามกําหนดเวลา จึงคอยให้งานที่ยากขึ้น โดยใช้กระบวนการเรียนการสอน แบบเดียวกัน 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก 4.1 ความหมายของแบบฝึก


18 แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนรู้ประเภทหนึ่ง ดังนั้นจึงมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้อย่าง หลากหลาย ดังนี้ สุนทร ธัญกิจจานุกิจ (2553, หน้า 39-40) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกทักษะหรือ แบบฝึกหัดเป็นสื่อการเรียนที่สำคัญประเภทหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ฝึกทักษะของผู้เรียนให้บรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้ง ไว้ตามเนื้อหาของแต่ละวิชาและสอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียนซึ่งลักษณะของผู้เรียนที่ต้องคำนึงถึงคือจิตวิทยาและ ความสนใจของผู้เรียน แบบฝึกเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องการเรียนดีขึ้น เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้ความชำนาญใน เรื่องนั้น ๆ มากขึ้น เกริก และจินตนา ท่วมกลาง (2555, หน้า 176) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกหัด แบบฝึกแบบฝึกทักษะ แบบ ฝึกเสริมทักษะหรือชุดฝึก หมายถึง สื่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนประเภทหนึ่งสำหรับให้ผู้เรียนประกอบการ เรียนรู้ ฝึกปฏิบัติต่อเนื่องจากการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ มาแล้วเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะด้านใดด้าน หนึ่งเพิ่มขึ้น ไพรินทร์ พึ่งพงษ์ (2556, หน้า 72) ได้กล่าวถึงความหมายของแบบฝึกเสริมทักษะไว้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ หมายถึง สื่อสิ่งพิมพ์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนใช้ควบคู่กับการเรียน ครอบคลุมกิจกรรมที่ผู้เรียนพึงกระทำสำหรับให้ ผู้เรียนฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้และทักษะเพิ่มมากขึ้น พิมลพร พงษ์ประเสริฐ (2563, หน้า 51) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นสิ่งที่ ครูผู้สอนสร้างขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดกับนักเรียนไม่ว่าจะเป็นการทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้ มาแล้วทำให้นักเรียนเกิดความชำนาญและเข้าใจในเรื่อวที่เรียนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำดีขึ้น ขวัญนภา บุญนิธิ (2564, หน้า 21) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะเป็น เครื่องมือที่ช่วยพัฒนาทักษะในเรื่องที่เรียนรู้ให้มากขึ้น โดยอาศัยการฝึกฝนหรือปฏิบัติด้วยตนเองของผู้เรียน ลักษณะ ปัญหาในแบบฝึกทักษะจะเป็นปัญหาที่เสริมทักษะพื้นฐานโดยกำหนดขึ้นให้ผู้เรียนตอบเรียงลำดับจากง่ายไปยาก ปริมาณของปัญหาต้องเพียงพอที่สามารถตรวจสอบและพัฒนาทักษะ กระบสนการคิด กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่เรียนไปแล้วเพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหารวมทั้งในแบบฝึกทักษะจะทำให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจ บทเรียนด้วยตนเองได้เพื่อให้เกิดทักษะ เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความชำนาญในเนื้อหาที่ผู้เรียนได้เรียนไปในเรื่องนั้น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) กล่าวว่า ความสำคัญของแบบฝึกทักษะว่าเป็นแบบฝึก ทักษะที่มีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียน ให้เกิดการเรียนเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้น ทำให้การสอนของครู และการเรียนของนักเรียนประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ จารุวรรณ เขียวอ่อน (2551 : 52) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการสอนที่สร้างขึ้นสำหรับให้นักเรียน ฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ มากขึ้น


19 ดวงมณี กันทะยอม (2551 : 26) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ เป็นเครื่องมือที่ใช้ฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนได้ปฏิบัติ จริงและทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นการเสริมให้เกิดทักษะที่ถูกต้อง และเป็นส่วนที่เพิ่ม หรือเสริมจากบทเรียน ช่วยฝึก ทักษะการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น อนงพันธุ์ใบสุขันธ์ (2551 : 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึงสื่อการเรียนการสอนที่ครูสร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึก ทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา ความสามารถของผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ วราภรณ์ ระบาเลิศ (2552 : 34) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง งานหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้นักเรียนได้ฝึก ทักษะการปฏิบัติบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาที่เรียนและสามารถนำความรู้นั้นไปใช้ ในชีวิตประจำวันได้ สลาย ปลั่งกลาง (2552 : 31 - 32) กล่าวว่า แบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่ ใช้สำหรับให้ผู้เรียนฝึกความชำนาญในทักษะต่าง ๆ จนเกิดความคิดรวบยอด ในเรื่องที่ฝึกและสามารถนำทักษะไปใช้ ในการแก้ปัญหาได้ สมศรี อภัย (2552 : 21) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการสอนที่ครูสร้างขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้ฝึก ปฏิบัติให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ มากขึ้น นักเรียนมีทักษะเพิ่มขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้ อย่างถูกต้อง สมพงษ์ ศรีพยาต (2553 : 41) กล่าวว่า แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อฝึกฝนและทักษะต่าง ๆ ให้แก่นักเรียนจนเกิดความเข้าใจ โดยมีจุดหมายที่ชัดเจนเหมาะสมกับระดับความรู้ ความสามารถของนักเรียน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และมีทักษะการเขียนเพิ่มมากขึ้น และเป็นการแก้ปัญหาการเรียนการสอน ศุภรณ์ ภูวัด (2553 : 21) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ เป็นสื่อประกอบกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ฝึกทักษะเพิ่มเติมจากเนื้อหาจนปฏิบัติได้ อย่างชำนาญและให้ผู้เรียน สามารถไปใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยมีครูเป็นผู้แนะนำ ณัฐชา อักษรเดช (2554 : 19) กล่าวว่า แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นอย่างมีจุดหมายที่แน่นอน เพื่อให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการกระทำจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียน สามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดีและนำการเรียนรู้และความรู้ที่ได้ไปใช้ในสถานการณ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2554 : 687) กล่าวว่า แบบฝึก แบบอย่างปัญหา หรือคำสั่งที่ตั้งขึ้น เพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง ชุดฝึกทักษะที่ครูสร้างขึ้นให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้ว เพื่อ สร้างความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะความชำนาญการ และฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทำให้ทราบความเข้าใจของ


20 นักเรียนที่มีต่อบทเรียนฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่น และสามารถประเมินผลของตนเองได้ ทั้งยังมีประโยชน์ช่วยลดภาระ การสอนของครู และยังช่วยพัฒนาตามความแตกต่าง จากการศึกษาความหมายของแบบฝึกสรุปได้ว่า แบบฝึก หมายถึง สื่อการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะด้านในด้านหนึ่งเพิ่มขึ้น เป็นแบบฝึกที่ให้ผู้เรียนใช้ควบคู่กับการเรียนรู้ ครอบคลุมกิจกรรมที่ ผู้เรียนเรียนรู้จนนำไปสู่การพัฒนาตนเองต่อไปได้ 4.2 ประโยชน์ของแบบฝึก ในการสร้างแบบฝึกทักษะมีองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งได้มีนักการศึกษาหลายท่านให้ข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับลักษณะของแบบฝึกที่ดี ไว้ดังนี้ 1. แบบฝึกที่ดีควรความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำ คำสั่งหรือตัวอย่างแสดงวิธีทำที่ใช้ไม่ควรยากเกินไป เพราะ จะทำความเข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายและเหมาะสมกับผู้ใช้ เพื่อนักเรียนสามารถเรียนด้วยตนเองได้ 2. แบบฝึกที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดหมายของการฝึกลงทุนน้อย ใช้ได้นาน ทันสมัย 3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกเหมาะกับวัยและพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 4. แบบฝึกที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไป แต่ควรมีกิจกรรมหลายแบบเพื่อเร้าความ สนใจ และไม่เบื่อในการทำและฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนชำนาญ 5. แบบฝึกที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดคำตอบในแบบและให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความ รูปภาพใน แบบฝึก ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความสนใจของนักเรียน ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ว่านักเรียนจะเรียนได้เร็ว ในการกระทำที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือที่ ตัวเองเคยใช้ จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น และรู้จักนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง มี หลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่ได้ฝึกนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกที่ดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ เป็นต้น ฉะนั้น การทำแบบฝึกแต่ละ เรื่องควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับตั้งแต่ ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งนักเรียนเก่ง ปาน กลาง และอ่อน จะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้ประสบความสำเร็จในการทำแบบฝึก 8. แบบฝึกที่จัดทำเป็นรูปเล่ม นักเรียนสามารถเก็บรักษาไว้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเองต่อไป


21 9. การที่นักเรียนได้ทำแบบฝึก ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆของนักเรียนได้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ ครูดำเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้ทันท่วงที 10. แบบฝึกที่จัดขึ้น นอกจากมีในหนังสือเรียนแล้วจะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ 11. แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้ครูประหยัดแรงงานและเวลาในการที่จะต้องเตรียมแบบฝึก อยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึกจากตำราเรียนหรือกระดานดำ ทำให้มีเวลาและโอกาสได้ ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ได้มากขึ้น ประโยชน์ของแบบฝึก หากเป็นแบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ จะช่วยทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จในการ ฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี ทำให้ครูลดภาระการสอนลงและผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ เพิ่มความมั่นใจใน การเรียนได้เป็นอย่างดีหากได้มีการฝึกบ่อยครั้งจนชำนาญ และยังช่วยผู้เรียนที่มีปัญหาในการเรียนรู้จำเป็นต้องมีการ สอนต่างจากกลุ่มปกติทั่วไปด้วยการเสริมเพิ่มเติมให้เป็นพิเศษ ยุพา ยิ้มพงษ์ (อ้างใน สุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2544 ) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้หลายข้อด้วยกัน ดังต่อไปนี้ 1. เป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วยลดภาระครูได้มาก เพราะแบบฝึกเป็นสิ่งที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นระบบและมีระเบียบ 2. ช่วยเสริมทักษะแบบฝึกหัดเป็นเครื่องมือที่ช่วยเด็กในการฝึกทักษะ แต่ทั้งนี้จะต้องอาศัยการส่งเสริมและ ความเอาใจใส่จากครูผู้สอนด้วย 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษาแตกต่างกัน การให้เด็กทำ แบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับความสามารถของเขา จะช่วยให้เด็กประสบผลสำเร็จในด้านจิตใจมากขึ้น ดังนั้นแบบฝึกหัด จึงไม่ใช่สมุดฝึกที่ครูจะให้เด็กลงมือทำหน้าต่อหน้า แต่เป็นแหล่งประสบการณ์เฉพาะสำหรับเด็กที่ต้องการความ ช่วยเหลือพิเศษและเป็นเครื่องมือช่วยที่มีค่าของครูที่จะสนองความต้องการเป็นรายบุคคลในชั้นเรียน 4. แบบฝึกช่วยเสริมทักษะให้คงทน ลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้นได้แก่ ฝึกทันทีหลังจากที่เด็ก ได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ฝึกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัด และแบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรู้ ในหน่วยการเรียนรู้และสามารถเรียนรู้ได้ โดย สรุปได้ดังนี้ 1. เป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 2. ผู้เรียนมีสื่อสำหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การคิดวิเคราะห์ และการเขียน 3. เป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน


22 4. พัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนจากประโยชน์ของแบบฝึกที่กล่าวมา สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้สรุปประโยชน์ของแบบฝึกทักษะได้ดังนี้ 1. ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ 2. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน 3. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4. ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพัง โดยมีความรับผิดชอบ 5. ช่วยลดภาระครู 6. ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ 7. ช่วยพัฒนาความแตกต่างระหว่างบุคคล 8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้น ได้แก่ 8.1 ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ 8.2 ฝึกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง 9. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 10. ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเอง 11. ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน 12. ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู อุบลวรรณ ปรุงวนิชพงษ์ (2551 : 86) กล่าวว่า ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะช่วยในการฝึกฝนทักษะทักษะ การใช้ภาษา และลดปัญหาด้านความแตกต่างระหว่างบุคคล และมีทักษะทางภาษาที่คงทน ช่วยให้ครูประหยัดเวลาใน การที่ต้องเตรียมแบบฝึกหัดตลอดเวลา และทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจนขึ้นนอกจากนี้แบบฝึกยังช่วย ให้นักเรียนสามารถทบทวนสิ่งที่เรียนไปแล้วได้ด้วยตนเอง และทราบถึงความก้าวหน้าในการเรียนของตน และพัฒนา ทักษะทางการเรียนของตนอีกด้วย สรุปได้ว่า แบบฝึกมีประโยชน์ และจำเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพื่อจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ บทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจำเนื้อหาในบทเรียนและคำศัพท์ต่าง ๆ ได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนานในขณะเรียน ทราบความก้าวหน้าของตนเอง และครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจนสามารถนำแบบฝึก 4.3 ลักษณะของแบบฝึกที่ดี


23 แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพ จึง จำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบ และลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับระดับความเหมาะสมกับระดับ ความสามารถของนักเรียน ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกและแบบฝึกทักษะที่ดีไว้ดังนี้ 1. จุดประสงค์ 1.1 จุดประสงค์ชัดเจน 1.2 สอดคล้องกับพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้และกระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2. เนื้อหา 2.1 ถูกต้องตามหลักวิชา 2.2 ใช้ภาษาเหมาะสม 2.3 มีคำอธิบายและคำสั่งที่ชัดเจนง่ายต่อการปฏิบัติตาม 2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอดและหลักการสำคัญของ กลุ่มสาระการเรียนรู้ 2.5 เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่าง บุคคล 2.6 มีคำถามและกิจกรรมที่ท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ของธรรมชาติวิชา 2.7 มีกลยุทธ์การนำเสนอและการตั้งคำถามที่ชัดเจน น่าสนใจปฏิบัติได้สามารถให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อปรับปรุงการเรียนได้อย่างต่อเนื่อง สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 กล่าวว่า ลักษณะของแบบฝึกที่ดี ควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยา การเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน และสรุปลักษณะของแบบฝึก ไว้ดังนี้ 1. ใช้หลักจิตวิทยา 2. สำนวนภาษาไทย 3. ให้ความหมายต่อชีวิต 4. คิดได้เร็วและสนุก 5. ปลุกความน่าสนใจ


24 6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง และได้แนะนำให้ผู้สร้างแบบฝึกให้ลักษณะของแบบฝึกไว้ ดังนี้ 7.1 แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำคำสั่งหรือตัวอย่างวิธีทำที่ใช้ไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั้งนี้เพื่อให้ นักเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองถ้าต้องการ 7.2 แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดหมายของการฝึกลงทุนน้อยใช้ได้ นาน ๆ และทันสมัยอยู่เสมอ 7.3 ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 7.4 แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรมหลาย รูปแบบ เพื่อเราให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่าย ในการทำ และเพื่อฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความ ชำนาญ 7.5 แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความหรือรูปภาพแบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคย และตรงกับความในใจของนักเรียน เพื่อว่า แบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะก่อให้เกิดเกิดความ เพลิดเพลิน และพอใจแก่ผู้ใช้ กับหลักการเรียนรู้ได้เร็วในการกระทำที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ 7.6 แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองรู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่พบเห็น บ่อย ๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น และจะรู้จักความรู้ในชีวิตประจำวันอย่าง ถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกนั้น มีความหมายต่อเขาตลอดไป 7.7 แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน หลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา และประสบการณ์ ฯลฯฉะนั้นการทำ แบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้ง เด็กเก่ง กลาง และ อ่อนจะได้เลือกทำไปตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กทุกคนประสบความสำเร็จใน การทำ แบบฝึกหัด 7.8 ฝึกหัดที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึงหน้าสุดท้าย 7.9 ฝึกหัดที่ดีควรได้คู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอ และควรใช้ได้ดีทั้งในและนอกบทเรียน 7.10 แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบที่สามารถประเมิน และพัฒนาความเจริญงอกงามของเด็กได้ด้วย สรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดีควรเปรียบเสมือนผู้ช่วยที่สำคัญของครู ทำให้ครูลดภาระการสอนลงได้ ทำให้ผู้เรียนพัฒนา ความสามารถของตนเพื่อความมั่นใจในการเรียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นครูยังจำเป็นต้องศึกษาเทคนิควิธีการขั้นตอนใน การฝึกทักษะต่าง ๆ มีประสิทธิภาพที่สุด อันส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่และแบบฝึกที่ดีนั้น


25 จะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน ตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถความสนใจ และสภาพ ปัญหาของผู้เรียน 4.4 การสร้างแบบฝึก การสร้างแบบฝึกควรมีองค์ประกอบที่กำหนดชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกดังนั้นจึงมีนักการ ศึกษาได้กล่าวถึงองค์ประกอบของแบบฝึกไว้ ดังนี้ • ปกหน้า • ปกใน • ภาพประกอบ • สารบัญ • แบบทดสอบก่อนเรียน • ใบความรู้ • แบบฝึกทักษะ • แบบทดสอบหลังเรียน • เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน • เฉลยคำตอบแบบฝึกหัด • เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน • บรรณานุกรมและปกหลัง จากการศึกษาองค์ประกอบของแบบฝึกสรุปได้ว่า องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างแบบฝึกทักษประกอบด้วย หน้าปก คำนำ สารบัญ คำแนะนำหรือคำชี้แจงในการทำแบบฝึก เนื้อหาแบบทดสอบระหว่างเรียน แบบทดสอบหลัง เรียน เฉลยแบบทดสอบ บรรณานุกรม และปกหลัง 4.5 ส่วนประกอบของแบบฝึก สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้กำหนดส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะได้ดังนี้ 1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำหรับประกอบการใช้แบบฝึกว่าใช้เพื่ออะไรและมีวิธีใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานสุดท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม ประกอบด้วย - ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึกทั้งหมดกี่ชุดอะไรบ้างและมี ส่วนประกอบ อื่น ๆ หรือไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทึกผลการประเมิน


26 - สิ่งที่ครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือนักเรียนเตรียมตัวให้ พร้อม ล่วงหน้าก่อนเรียน - จุดประสงค์ในการใช้แบบฝึก - ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อความตามลำดับการใช้ และอาจเขียนในรูปแบบของแนว การ สอนหรือแผนการสอนจะชัดเจนยิ่งขึ้น - เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด 2. แบบฝึกเป็นสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ถาวรควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ - ชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย - จุดประสงค์ - คำสั่ง - ตัวอย่าง - ชุดฝึก - ภาพประกอบ - ทดสอบก่อนและหลังเรียน - แบบประเมินบันทึกผลการใช้ 4.6 รูปแบบการสร้างแบบฝึก สมเดช สีแสง, สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543 อ้างถึงใน กุศยา แสงเดช, 2545) กล่าวว่ารูปแบบของแบบฝึก ควรมีความหลากหลายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากทำ และได้เสนอรูปแบบของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่าให้ผู้เรียนอ่านแล้วเลือกใส่เครื่องหมายถูกหรือผิดตามดุลย พินิจของผู้เรียน 2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยคำถามหรือตัวปัญหาซึ่งเป็นตัวยืนไว้ในสดมภ์ซ้ายมือโดยมีที่ว่างไว้ หน้าข้อ เพื่อให้ผู้เรียนเลือกหาคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับคำถามให้สอคล้องกัน โดยใช้หมายเลข คำตอบไปวางไว้ที่ว่างหน้าข้อคำถาม หรือจะใช้โยงเส้น 3. แบบเติมคำหรือแบบเติมข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้แต่จะเว้นช่องว่างไว้ให้ผู้เรียนเติมคำหรือ ข้อความที่ขาดหายไป ซึ่งคำที่นำมาเติมอาจให้เติมอย่างอิสระหรือกำหนดตัวเลือกให้เติมก็ได้


27 4. แบบหลายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยมี2 ส่วน คือส่วนที่เป็นคำถาม ซึ่งจะต้องเป็นประโยค คำถามที่สมบูรณ์ชัดเจน ส่วนที่ 2 เป็นตัวเลือก คือคำตอบซึ่งอาจมี3-4 ตัวเลือกก็ได้ตัวเลือกทั้งหมดจะมีตัวเลือกที่ ถูกต้องที่สุดเพียงตัวเดียวส่วนที่เหลือเป็นตัวลวง 5. แบบอัตนัย คือความเรียงเป็นแบบฝึกที่มีตัวคำถาม ผู้เรียนเขียนบรรยายตอบอย่างเสรี ไม่จำกัดคำตอบ แต่ จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้ในรูปคำถามทั่วไปหรือเป็นคำสั่งให้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ กำหนดเวลาที่จะใช้ในแบบฝึกแต่ละ ตอนให้เหมาะสมก็ได้ 4.7 แนวคิดหลักการที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้อธิบายแนวคิดและหลักการสร้างแบบฝึกว่าการศึกษาใน เรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควรละเลยเพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ ของจิต และพฤติกรรมที่สนองนานาประการ โดยอาศัยกระบวนการที่เหมาะสม และเป็นวิธีที่ดีที่สุดการศึกษาทฤษฎี การเรียนรู้จากข้อมูลที่นักจิตวิทยาได้ทำการค้นพบ และทดลองไว้แล้ว สำหรับการสร้างแบบฝึกในส่วนที่มี ความสัมพันธ์กันดังนี้ 1. ทฤษฎีการลองถูกลองผิดของธอร์นไดค์ ซึ่งได้สรุปเป็นกฎเกณฑ์การเรียนรู้ 3 ประการดังนี้ 1.1 กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลพร้อมที่จะกระทำ 1.2 กฎผลที่ได้รับ หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะบุคคลกระทำซ้ำ ๆ ง่าย 1.3 กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่าง ๆ นั้น ผู้ฝึกจะต้องควบคุมและจัด สภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนดลักษณะ พฤติกรรมที่แสดงออกดังนั้นผู้สร้าง แบบฝึกหัดกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสั่งต่าง ๆ แบบฝึกพูดได้แสดงพฤติกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ผู้สร้าง ต้องการ 2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเชื่อว่า สามารถควบคุมบุคคลให้ทำตามความประสงค์หรือ แนวทางที่กำหนด โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกทางจิตใจของบุคคลที่น่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร เขาจึงได้ทดลองและ สรุปว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ด้วยการกระทำโดยมีการเสริมแรง เป็นตัวการเป็นบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งใดควบคู่ กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะรักษาระดับหรือเพิ่มการตอบสนองให้เข้มขึ้น 3. วิธีการสอนของกาเย่ ซึ่งมีความเห็นว่าการเรียนรู้มีระดับขั้นและผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เนื้อหาที่ง่ายไปหายาก การสร้างแบบฝึกต้องควรคำนึงถึงการติดตามระดับง่ายไปหายาก 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ


28 จิราพร บุดดีอ้วน (2564) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะเรื่อง มาตราตัวสะกดกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนประโยคของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหนองบัวงาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของ แบบฝึกเสริมทักษะให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่าง ก่อนเรียนและหลังเรียน และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกเสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งผลการวิจัยพบว่า (1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ 89.44/85.63 ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกเสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับมากที่สุด ปาลิดา อิธิตา (2564) ได้วิจัยเรื่อง การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนมาตราตัวสะกดของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านมูเซอ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 โดยมี วัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะและ (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า (1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่าน และการเขียนมาตราตัวสะกดของนักเรียน จำนวน 8 มาตรา ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 93.34/89.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และ (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน เรื่อง การอ่านและ เขียนตามมาตราตัวสะกด จำนวน 8 มาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 รชยา ภูตะมาตย์ (2559) ได้วิจัยเรื่อง การวิจัยและพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการเรียนการสอน การอ่านสะกดคำ ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (2) เพื่อสร้างและหาคุณภาพของชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (3) เพื่อทดลองใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทยสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ (4) เพื่อประเมินความพึงพอใจต่อชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทยของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนการสอน ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนมีปัญหาการอ่านสะกดคำที่มีตัวสะกดตรงตามมาตราตัวสะกด มีความ ยากในการจำรูปพยัญชนะและการอ่านพยัญชนะ ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ทักษะในการเรียนหนังสือ การรับรู้ทาง ภาษามีความยากลำบากในการแยกแยะเสียง ป บ พ มีความยากในการจำรูปสระและการอ่านสระ การออกเสียงคำที่ ไม่ชัดหรือไม่ออกเสียงบางเสียง บางครั้งออกเสียงรวบคำไม่สามารถอ่านคำได้ถูกต้อง (2) ชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่พัฒนาขึ้นทั้ง 3 ชุด มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด (3) ดัชนีประสิทธิภาพของการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้


29 ภาษาไทย ที่พัฒนาขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.54 แสดงว่าชุดฝึกทักษะ 38 การอ่าน สะกดคำภาษาไทยที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิผลทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 และ (4) นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อชุดฝึกทักษะการอ่านสะกดคำภาษาไทยกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยที่ พัฒนาขึ้นโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยรวมทุกด้านเท่ากับ 4.27 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.46 จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึก พบว่า เมื่อนำแบบฝึกไปใช้ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ด้วยกลวิธี ต่าง ๆ ของครูผู้สอนจะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดองค์ความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะทักษะการอ่าน ดังนั้นแบบฝึกจึงเป็นสื่อ การเรียนรู้ประเภทหนึ่งที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะความรู้เพิ่มขึ้นซึ่งผู้วิจัยได้นำความรู้จากการศึกษาเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการสร้างแบบฝึกไปพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำชุดเรียนรู้สระไทยของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการอ่านจนเกิดเป็นทักษะการอ่านต่อไป 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ Clanton (1977: 2690-2691-A) ได้ศึกษาผลของวิธีการตัดอักษรตามวิธีการสอนสะกดคำ โดยให้นักเรียนทำ แบบฝึกทักษะที่ตัดตัวอักษรออกจากคำ แล้วให้นักเรียนเติมอักษรที่หายไป โดยใช้เวลาทำการทดลอง 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 แบบฝึกทักษะ โดยทดลองกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 7 จำนวน 194 คน ผลการวิจัยพบว่า คะแนนการทดสอบสะกดคำของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน แต่คะแนนกลุ่มทดลองหลังฝึกสูงกว่าก่อน ได้รับการฝึก Schwendinger (1977: 51) ได้ศึกษาผลการเขียนสะกดคำของนักเรียน เกรด 6 จำนวน 503 คน ที่ได้รับการ จัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะที่มีรูปภาพจริงแบบเขียนตามคำบอกและแบบทดสอบการเขียนสะกดคำ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะที่มีรูปภาพจริง มีผลการเขียนสะกดคำสูงกว่านักเรียนที่ เรียนโดยไม่ได้ใช้แบบฝึกทักษะที่มีรูปภาพของจริง Lowrey (1978: 817 – A ) ได้ศึกษาการใช้แบบฝึกทักษะกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 3 ทำการวิจัย กับนักเรียน จำนวน 87 คน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ นักเรียนที่ได้รับการ ฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และนักเรียนสามารถทำคะแนนเฉลี่ยได้ร้อยละ 98.8 นอกจากนี้ยังพบว่า แบบฝึกช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ทราบว่าความสามารถและพัฒนาการในการ อ่านและการเขียนสะกดคำของนักเรียน เกิดจากวิธีสอนของครูและสื่อการเรียนการสอนของครูที่ช่วยให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น


30 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึก เสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การ เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 249 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี 1.2 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/7 จำนวน 1 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะในการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว โดยใช้แบบ ฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1.1 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยใช้แบบฝึกโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่อง การ อ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว จำนวน 15 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ละ 1 ชั่วโมง รวม ทั้งหมด 15 ชั่วโมง 1.2 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง อ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว จำนวน 5 ชุด ชุดละ กิจกรรมการเรียนรู้ละ 3 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 15 ชั่วโมง การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้


31 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยของเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1.แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ประสม ด้วยสระเสียงเดี่ยว จำนวน 15 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 15 ชั่วโมง ตาม ขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาเนื้อหาหลักสูตรกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 1.2 กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้ 1.3 เขียนแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยใช้แบบฝึกกิจกรรมการเรียนรู้ โดยให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ในแบบฝึกกิจกรรมการเรียนรู้ กำหนดไว้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.3.1 เรื่อง สาระน่ารู้ 1.3.2 เรื่อง การประสมอักษรโดยใช้ภาพ 1.3.3 เรื่อง การอ่านแจกลูกสะกดคำ 1.3.4 เรื่อง ฝึกอ่านสะกดคำ 1.3.5 เรื่อง อ่านซ้ำ จำแม่น 1.4 นำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เสนอคณะกรรมการที่ปรึกษาตรวจและแก้ไขข้อบกพร่อง นำมาปรับปรุงแล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านตรวจสอบ 1.5 นำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 2. แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 การสร้างแบบฝึกแบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 ชุด ผู้วิจัยได้ ดำเนินการสร้างแบบฝึกการอ่านดังนี้ 2.1 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบ้านหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี 2.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2.3 ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระที่ 1 การอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1


32 2.4 กำหนดคำศัพท์ที่ต้องการฝึกอ่าน ซึ่งประกอบไปด้วยคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยวจำนวน 4 สระ ได้แก่ สระอา สระอี สระอู สระเอ โดยการกำหนดคำศัพท์ การเก็บรวบรวมข้อมูล แบบแผนการวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนเรียนและสอบหลังเรียน (The one-group pretest-posttest design) ในการวัดความสามารถในการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยวของนักเรียนที่มี ภาวะเสี่ยงต่อความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง Pre-test Treatment Post-test T1 X T2 T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (P re-test ) X หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การอ่านสะกดคำ โดยใช้ แบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย T2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน (Post-test) การพัฒนาทักษะในการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย ของนักเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยมีขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ศึกษาเนื้อหาหลักสูตรกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 2. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียง เดี่ยว จำนวน 20 ข้อ จากนั้นตรวจให้คะแนนและบันทึกเก็บไว้เป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียน 3. จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว และประเมิน ความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) 4. สร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว และเครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย 5. ผู้วิจัยดำเนินการทดลอง โดยทำการทดลองตามแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับแบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้ สระไทย สำหรับนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการบกพร่องทางการเรียนรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 15 แผน รวม 15 ชั่วโมง


33 6. ทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว จำนวน 20 ข้อ จากนั้นตรวจให้คะแนนและบันทึกเก็บไว้เป็นคะแนนทดสอบหลังเรียน 7. นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมุติฐาน สรุป และอภิปรายผล การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ 3. วิเคราะห์หาคะแนนเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการประเมินการทำแบบฝึกทักษะระหว่าง เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ทักษะการอ่านสะกดคำ 1.1 คะแนนเฉลี่ย (Mean) จากการทดลอง โดยคำนวณได้จากสูตร x̅ = ∑x N เมื่อ x̅ แทน คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลอง Σx แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนของกลุ่มทดลอง 1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยคำนวณได้จากสูตร S.D. = √nΣx 2 − (Σx 2) n(n − 1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง Σx แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่มตัวอย่าง ∑ แทน ผลรวมกำลังสองของคะแนนทั้งหมดในกลุ่มตัวอย่าง


34 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) IOC = ΣR N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้อง ΣR แทน ผลรวมของความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนของผู้เชี่ยวชาญ 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 3.1 หาประสิทธิภาพของแบบฝึกการการอ่าน ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 โดย 75 ตัวแรก ใช้ สูตรดังนี้ E1 = x̅ A × 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่าน ̅ แทน คะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนจากการทดสอบระหว่างเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบระหว่างเรียน สำหรับ 75 ตัวหลัง ใช้สูตรดังนี้ E2 = F B ̅ × 100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่าน F̅ แทน คะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนจากการทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน 3.2 สถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว ก่อนและหลังการสอน โดยใช้แบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย โดยใช้สถิตินอนพาราเมตริกทดสอบ คำนวณได้จากสูตร D = Y - X เมื่อ D แทน ค่าความแตกต่างระห่างคะแนน X และ Y ก่อนและหลังการทดลอง


35 X แทน คะแนนทักษะการอ่านสะกดคำก่อนการทดลอง Y แทน คะแนนทักษะการอ่านสะกดคำหลังการทดลอง


36 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่าน สะกดคำ ที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน ตามหลักสูตรโรงเรียนบ้านหมากแข้ง ผู้วิจัยได้ทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน บ้านหมากแข้ง โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้ แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย โดยใช้กิจกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ผู้วิจัยขอนำเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ตอนที่ 1 กรณีศึกษา เด็กชายณภัทร ชัยเดช (ระยะเวลาศึกษาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2566 สิ้นสุดระยะเวลา ศึกษา 12 มกราคม 2567) ลักษณะทั่วไป เด็กชายณภัทร ชัยเดช เป็นเด็กชายไทย นับถือศาสนาพุทธ อายุ 7 ปี รูปร่างค่อนข้างผอม ตัว เล็ก ผิวเนื้อดำแดง ผมดำ การสังเกต และบันทึกการสังเกต ผู้วิจัยได้สังเกตและบันทึกการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน รวมทั้งสิ้นจำนวน 15 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง โดยมี รายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.1 พฤติกรรมการให้ความร่วมมือ เด็กชายณภัทร ชัยเดช ฟงครูสอน ตาจองมองมาที่ครูเวลาครูอธิบาย พยักหนาแสดงความเขาใจในบทเรียน ทํางานตามที่ครูมอบหมายในเวลาที่ครูอยูในหอง บางครั้งก็สอนและอธิบายใหเพื่อนในหองที่นั่งใกลฟง และบางครั้งก็ นั่งเหมอลอยออกไปนอกหนาตาง บางครั้งก็ทําเสียงประหลาดโดยการตะโกนเสียงดัง พอครูหันมามองก็จะเงียบ ทํา เหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น ปฏิบัติงานตามที่ไดรับมอบหมายอยางถูกตอง พูดคุยนอกเรื่องที่เรียน 1.2 วิชาที่ชอบเรียน ได้แก่ วิชาพลศึกษา ผูวิจัยสังเกตจํานวน 1 ครั้ง พบวา เด็กชายณภัทร ชัยเดช จะมีสมาธิ ในการเรียนมาก กลาวคือ ตั้งใจฟงครูสอน ครูอธิบาย ปฏิบัติงานตามที่ไดรับมอบหมายอยางถูกตอง ไมพูดคุยนอกเรื่อง ที่เรียน และเรียนอยางมีความสุข สังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออก สีหนาและแววตา 1.3 วิชาที่ไม่ชอบเรียน ได้แก่ วิชาภาษาอังกฤษ ผูวิจัยสังเกตจํานวน 1 ครั้ง พบวา เด็กชายณภัทร ชัยเดช ไม ตั้งใจเรียน แสดงทาทีเบื่อหนายโดยการถอนหายใจบอยครั้ง มองออกนอกหนาตาง บางครั้งจะชวนเพื่อนคุย


37 ตอนที่ 2 ผลเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการสะกดคำก่อนและ หลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ตารางที่ 3 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการสะกดคำก่อนและหลังการ ใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช พฤติกรรม ก่อนการใช้แบบฝึก หลังการใช้แบบฝึก ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม 1. การอ่านคำ และการสะกดคำได้ ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออกเสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00 ระดับดี รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาไทยของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระ เดี่ยว พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านและการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ̅=1.06 , S.D.= 0.00 หลังการใช้แบบฝึกพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ในระดับดี ̅=2.60 , S.D.= 0.93 แสดงว่า การจัดกิจกรรมโดยใช้แบบฝึก เสริมทักษะภาษาไทยสามารถช่วยพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำประสมด้วยสระเดี่ยว ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช ได้ ตอนที่ 3 ผลการเปรียบเทียบคะแนนและร้อยละของความสามารถในการอ่านสะกดคำประสมด้วยสระเดี่ยว โดย ใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ก่อนและหลังการสอนในระหว่างเรียนแต่ละสัปดาห์โดยจำแนกตามแบบฝึกดังนี้ ตารางที่ 4 เปรียบเทียบคะแนนและร้อยละของความสามารถในการอ่านสะกดคำประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึก เสริมทักษะภาษาไทย ก่อนและหลังการสอนในระหว่างเรียนแต่ละสัปดาห์โดยจำแนกตามแบบฝึกดังนี้ แบบฝึกการอ่านสะกด คำ คำ คะแนนก่อนสอน (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) คะแนนหลังสอน (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ชุดที่ 1 สระอา ราชา ทายา มาหา ขาชา ดารา ตามา อีกา มาลี มานา ระกา 7 10 ชุดที่ 2 สระอี ชีวี ทีวี มีดี ปีดี ลีลา จำปี นาที ฝาชี ชะนี สีดา 8 10 ชุดที่ 3 สระอู หู ดู ถู รูงู รูปู หูตา ปูนา บูชา คูนา ถูขา 5 10


38 แบบฝึกการอ่านสะกด คำ คำ คะแนนก่อนสอน (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) คะแนนหลังสอน (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ชุดที่ 4 สระเอ เท เห เม เล เกเร เทยา เฮฮา เมษา เวลา ทะเล 5 10 ชุดที่ 5 การประสมคำ เวลา ราชา เทยา นาฬิกา คูนา 4 10 รวมคะแนน 29 50 ค่าเฉลี่ย 5.8 10 คิดเป็นร้อยละ 14.5 100 จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาเปรียบเทียบคะแนนและร้อยละของความสามารถในการอ่านสะกดคำ ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ก่อนและหลังการสอนในระหว่างเรียนแต่ละสัปดาห์ พบว่า แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 1 สระอา คะแนนก่อนสอน 7 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 2 สระอีคะแนนก่อนสอน 8 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 3 สระอูคะแนนก่อนสอน 5 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 4 สระเอ คะแนนก่อนสอน 5 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 5 การประสมคำ คะแนนก่อนสอน 4 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับ ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 14.5


39 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน ในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง คำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงทดลอง สรุปได้ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ ที่ประสมด้วยสระเดี่ยวโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียน ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 2. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ ที่ประสม ด้วยสระเดี่ยวโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการบกพร่องทางการเรียนรู้หลังจาก การใช้แบบฝึกสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบแบบปกติ มีทักษะการอ่านกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิธีดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง จังหวัด อุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 ห้องเรียน 249 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 1 คนเพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ ที่ ประสมด้วยสระเดี่ยว จำ นวน 15 แผนการจัดการเรียนรู้ กำ หนดการสอนแผนการจัดการเรียนรู้ละ 1 ชั่วโมง รวม ทั้งหมด 15 ชั่วโมง


40 2. แบบฝึกการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านสะกดคำ ที่ประสมด้วยสระเดี่ยว จำ นวน 5 ชุด ชุดละกิจกรรม การเรียนรู้ละ 3 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 15 ชั่วโมง 3. แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านสะกดคำ ที่ประสมด้วยสระเดี่ยว สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 การเก็บรวบรวมข้อมูล แบบแผนการวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนเรียนและสอบหลังเรียน (The one-group pretest-posttest design) ในการวัดความสามารถในการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยวของนักเรียนที่มี ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง Pre-test Treatment Post-test T1 X T2 T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (P re-test ) X หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล การอ่านสะกดคำ โดยใช้ แบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย T2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน (Post-test) การพัฒนาทักษะในการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย ของนักเรียนที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยมีขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ศึกษาเนื้อหาหลักสูตรกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 2. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียง เดี่ยว จำนวน 20 ข้อ จากนั้นตรวจให้คะแนนและบันทึกเก็บไว้เป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียน 3. จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว และประเมิน ความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) 4. สร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว และเครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย


41 5. ผู้วิจัยดำเนินการทดลอง โดยทำการทดลองตามแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกับแบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้ สระไทย สำหรับนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการบกพร่องทางการเรียนรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 15 แผน รวม 15 ชั่วโมง 6. ทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการสะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว จำนวน 20 ข้อ จากนั้นตรวจให้คะแนนและบันทึกเก็บไว้เป็นคะแนนทดสอบหลังเรียน 7. นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมุติฐาน สรุป และอภิปรายผล สรุปผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่า 1. ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมี ความบกพร่องทางการเรียนรู้ สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2. ผลการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช สูงกว่าก่อนใช้ แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านและการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ̅=1.06 , S.D.= 0.00 หลังการใช้ แบบฝึกพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ในระดับดี ̅=2.60 , S.D.= 0.93 แสดงว่า การจัดกิจกรรมโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ภาษาไทยสามารถช่วยพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำประสมด้วยสระเดี่ยว ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช ได้ การอภิปรายผล ผลการศึกษาการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่าน สะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความบกพร่อง ทางการเรียนรู้ สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประเด็นในการนำมาอภิปรายผลตามลำดับดังนี้ 1. ตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่า เด็กชายณภัทร ชัยเดช ฟงครูสอน ตาจองมองมาที่ครูเวลาครูอธิบาย พยักหนาแสดงความเขาใจในบทเรียน ทํางานตามที่ครูมอบหมายในเวลาที่ครูอยูในหอง บางครั้งก็สอนและอธิบายให เพื่อนในหองที่นั่งใกล ฟังและบางครั้งก็นั่งเหมอลอยออกไปนอกหนาตาง บางครั้งก็ทําเสียงประหลาดโดยการตะโกน เสียงดัง พอครูหันมามองก็จะเงียบ ทําเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น ปฏิบัติงานตามที่ไดรับมอบหมายอยางถูกตอง พูดคุย นอกเรื่องที่เรียน 1.2 วิชาที่ชอบเรียน ได้แก่ วิชาพลศึกษา ผูวิจัยสังเกตจํานวน 1 ครั้ง พบวา เด็กชายณภัทร ชัยเดช จะมีสมาธิในการเรียนมาก กลาวคือ ตั้งใจฟงครูสอน ครูอธิบาย ปฏิบัติงานตามที่ไดรับมอบหมายอยางถูกตอง ไม พูดคุยนอกเรื่องที่เรียน และเรียนอยางมีความสุข สังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออก สีหนาและแววตา 1.3 วิชาที่ไม่ชอบเรียน ได้แก่ วิชาภาษาอังกฤษ ผูวิจัยสังเกตจํานวน 1 ครั้ง พบวา เด็กชายณภัทร ชัยเดช ไมตั้งใจเรียน แสดงทาทีเบื่อหนายโดยการถอนหายใจบอยครั้ง มองออกนอกหนาตาง บางครั้งจะชวนเพื่อนคุย


42 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาไทยของนักเรียนก่อน เรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช สูง กว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านและการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ̅=1.06 , S.D.= 0.00 หลังการใช้แบบฝึกพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ในระดับดี ̅=2.60 , S.D.= 0.93 แสดงว่า การจัดกิจกรรมโดยใช้แบบฝึกเสริม ทักษะภาษาไทยสามารถช่วยพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำประสมด้วยสระเดี่ยว ของเด็กชายณภัทร ชัยเดช ได้ 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาเปรียบเทียบคะแนนและร้อยละของความสามารถในการอ่านสะกดคำ ประสมด้วยสระเดี่ยว โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ก่อนและหลังการสอนในระหว่างเรียนแต่ละสัปดาห์ พบว่า แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 1 สระอา คะแนนก่อนสอน 7 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 2 สระอี คะแนนก่อนสอน 8 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 3 สระอู คะแนนก่อนสอน 5 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 4 สระเอ คะแนนก่อนสอน 5 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก แบบฝึกการอ่านสะกดคำชุดที่ 5 การประสมคำ คะแนนก่อนสอน 4 คะแนน คะแนนหลังสอน 10 คะแนน อยู่ในระดับ ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 14.5 ข้อเสนอแนะ จากผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทย ของนักเรียนที่มีภาวะเสี่ยงต่อการมี ความบกพร่องทางการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ประสมด้วยสระเดี่ยว ผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะใน การวิจัย และข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1.1 เนื้อหาที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสมกับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา 1.2 สามารถนำแบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยไปสอนซ่อมเสริมให้กับนักเรียนที่มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนอยู่ในเกณฑ์พอใช้และปรับปรุงการเรียนรู้ได้ 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการพัฒนาแบบฝึกการอ่านที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ให้กับนักเรียน 2.2 ควรมีนวัตกรรมที่แก้ปัญหาการอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ของนักเรียนที่เหมาะสมกับบริบท ห้องเรียนมากขึ้น 2.3 ควรนำกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) มาบูรณาการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้กับนักเรียนอย่างหลากหลาย


Click to View FlipBook Version