The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชิงรังสี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Yannawit Yothatorn, 2022-10-19 10:10:16

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชิงรังสี

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชิงรังสี

แผนการจดั การเรยี นรู้

วชิ า ฟสิ กิ ส์ ว32203
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 11 แสงเชงิ รงั สี
ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรยี นอดุ รธานพี ทิ ยาคม

นายญาณวทิ ย์ โยธาทอน
รหสั นกั ศกึ ษา 61100143121
สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (เนน้ ฟสิ กิ ส)์

การฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศกึ ษา 1 รหสั วชิ า ED18501
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี
ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565



คานา

แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าฟสิ ิกส์ 3 รหสั วิชา ว32203 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เล่ม 3 น้ี จัดทาขน้ึ
เพือ่ ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรยี นการสอนให้มีประสทิ ธิภาพ และให้นกั เรียนบรรลตุ ามมาตรฐานการ
เรียนรู้/ตัวชว้ี ดั ท่ีกาหนดไว้ในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ
2560) ผู้จัดทาจงึ ได้ศกึ ษาสาระการเรยี นรู้ เทคนิค วิธีการสอน การวดั และประเมินผล มาจัดทาแผนการจดั การ
เรียนรูใ้ นครงั้ น้ี

แผนการจัดการเรยี นร้เู ล่มนี้ ประกอบไปดว้ ย ทาไมต้องเรียนวทิ ยาศาสตร์ เรียนรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ คณุ ภาพผูเ้ รียนเมอ่ื จบช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน
คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคส์ าคัญของผู้เรยี น ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลางชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5
คาอธิบายราชวิชาเพมิ่ เติม โครงสรา้ งรายวิชา แผนการประเมนิ การเรียนรู้ การวิเคราะหต์ วั ช้วี ัดเพือ่ กาหนด
น้าหนักคะแนน โครงสร้างกาหนดการสอน แผนการจัดการเรยี นร้หู น่วยการเรียนรู้ท่ี 11 เรอ่ื ง แสงเชงิ รงั สี
เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นบรรลุมาตรฐานการเรียนรไู้ ดเ้ ต็มศกั ยภาพอย่างแทจ้ รงิ

จึงหวังเป็นอย่างย่ิงวา่ แผนการจดั การเรียนรูฉ้ บับน้ี จะสามารถนาไปใช้ประกอบการจดั การเรยี นการ
สอนรายวชิ าฟสิ กิ ส์ นาไปสู่การพฒั นาที่ถกู ต้องและเกิดผลแก่นักเรียนเป็นอยา่ งดี

นายญาณวิทย์ โยธาทอน
15 ตลุ าคม 2565

สารบญั ข

เรอ่ื ง หนา้
คานา ก
สารบัญ ข
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 11 แสงเชงิ รังสี
1
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 เรือ่ ง การสะทอ้ นของแสง 15
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 2 เรือ่ ง การหกั เหของแสง 22
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 3 เรอ่ื ง การมองเหน็ ภาพและการเกิดภาพ 32
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 4 เรื่อง ภาพจากเลนสบ์ าง 49
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5 เรื่อง ภาพจากกระจกเงาทรงกลม 62
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 6 เรื่อง แสงสีและการมองเห็นแสงสี 73
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 7 เรอ่ื ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติของแสง

1

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 เร่ือง การสะทอ้ นของแสง

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 11 แสงเชิงรังสี รหสั วชิ า ว32203 ชื่อวิชา ฟสิ ิกส์ 3

จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ จำนวน 4 ชวั่ โมง

ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

สาระฟิสิกส์ : เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้

ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเห รวมท้ังอธิบาย

ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของแสง และ
คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
- อธิบายการสะทอ้ นของแสง และกฎการสะทอ้ นของแสงได้
3.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงและกฎการสะทอ้ นของแสง
3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
- มีวินัย ใฝเ่ รยี นรู้ มงุ่ มนั่ ในการทำงาน

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
4.1 ความสามารถในการสื่อสาร
4.2 ความสามารถในการคดิ

5. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

2

6. สาระสำคญั
การสะท้อนของแสง (reflection of light) เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความ

หนาแน่นค่าหนึ่งมายังตัวกลางที่มีค่าความหนาแน่นอีกตัวหนึ่ง ทำให้แสงตกกระทบกับตัวกลางใหม่ แล้ว
สะท้อนกลบั สตู่ ัวเดิม เม่อื แสงตกกระทบผวิ วตั ถจุ ะเกิดการสะท้อนของแสง โดยเปน็ ไปตามกฎการสะท้อน ดังนี้

1. มุมตกกระทบกับมมุ สะท้อน
2. รงั สีตกกระทบ รงั สสี ะท้อน และเสน้ แนวฉาก อยใู่ นระนาบเดียวกนั

7. ภาระงาน/ชิน้ งาน
7.1 ใบงาน 11.1 การสะทอ้ นของแสง
7.2 กจิ กรรม 11.1 การสะท้อนของแสง

8. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ขัน้ ที่ 1 ข้นั สร้างความสนใจ
1. ครูนำเขา้ ส่บู ทที่ 11 โดยใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เรือ่ ง แสงเชิงรงั สี
2. ครูจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นักเรียนสงั เกตการสะทอ้ นของแสงเมือ่ ฉายแสงจากเลเซอร์หรือไฟฉาย

ไปยังกระจกเงาราบ
3. ครูนำอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า ขนาดของมุมตกกระทบและขนาดของมุมสะท้อนท่ีเกิดจากรังสี

ของแสงที่ตกกระทบและสะท้อนบนกระจกเงาราบ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียน
แสดงความคดิ เห็นอย่างอิสระ และไม่คาดหวังคำตอบท่ถี ูกตอ้ ง

ข้ันท่ี 2 ข้ันสำรวจและค้นหา
1. นักเรียนแบ่งกลุ่มๆละ 4-5 คน ปฏิบัติกิจกรรม 11.1 การสะท้อนของแสง ในหนังสือเรียนหน้า
160-161 พร้อมทงั้ ตอบคำถามท้ายกจิ กรรม
2. ครูชแ้ี นะวธิ กี ารทำการทดลอง และใหค้ ำแนะนำตลอดการทำกิจกรรม

ขั้นที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
1 ตัวแทนนกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ออกมานำเสนอผลการทดลองหนา้ ชัน้ เรยี น
2 นกั เรียนและครรู ่วมกนั อภิปรายและสรุปผลการทำกิจกรรม จนสรปุ ได้ ดงั นี้

การสะท้อนของแสงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง คือ 1. มุมตกกระทบและมุมสะทอ้ น
2. รงั สตี กกระทบ รังสสี ะท้อน และเสน้ แนวฉากอย่ใู นระนาบเดียวกนั การสะทอ้ นของแสงในกรณีผิวสะท้อนมี
ความขรุขระ ผวิ สะทอ้ นนูน และผวิ สะท้อนเว้า ยงั คงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง

3

ขัน้ ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้
1. ครูใช้รูป 11.3 ในหนังสือเรยี น นำนักเรียนอภปิ รายเก่ียวกับการสะทอ้ นของแสง จนสรปุ ได้ว่า การ
สะทอ้ นของแสงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง จากนนั้ ครนู ำอภิปรายโดยถามนักเรียนว่า ถ้าผิวสะท้อนมี
ความขรขุ ระ การสะท้อนของแสงจะเป็นอยา่ งไร
2. ครูใช้รูป 11.4 ในหนังสือเรียน นำ นกเรียนอภิปรายร่วมกันจนสรุปได้ว่า การสะท้อนของแสงใน
กรณีผิวสะทอ้ นมคี วามขรุขระยงั คงเป็นไปตามกฎการสะทอ้ นของแสง
3. นกั เรยี นศกึ ษาตัวอย่าง 11.1 โดยครเู ป็นผู้ให้คำแนะนำ
4. ครมู อบหมายให้นกั เรยี นทำใบงาน 11.1 เรื่อง การสะทอ้ นของแสง ส่งครทู ้ายชวั่ โมง

ขั้นที่ 5 ขนั้ ประเมนิ ผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เพอื่ ตรวจสอบความเขา้ ใจก่อนเรยี นของนกั เรียน
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำใบงานท่ี 11.1
3. ครตู รวจสอบผลจากการทำกิจกรรมที่ 11.1
4. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานของนกั เรียน

9. สอื่ การเรยี นรู้
9.1 ส่ือการเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 11 เร่ือง แสงเชงิ รังสี
2) ใบงาน 11.1 เรอื่ ง การสะทอ้ นของแสง
9.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) ห้องเรียน
2) ห้องสมุด
3) แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ

10. การวัดผลประเมนิ ผล 4

รายการวัด วธิ ีวัด เคร่อื งมอื เกณฑ์การประเมิน
ระดบั คณุ ภาพ 2
ดา้ นความรู้ (K) - ใบงาน 11.1 ผา่ นเกณฑ์

- อธิบายการสะท้อนของ - ตรวจใบงาน 11.1 - แบบประเมินทักษะ ระดบั คณุ ภาพ 2
กระบวนการทาง ผ่านเกณฑ์
แสง และกฎการสะทอ้ น วิทยาศาสตร์
ระดบั คณุ ภาพ 2
ของแสงได้ - แบบประเมิน ผ่านเกณฑ์
คณุ ลกั ษณะ
ด้านกระบวนการ (P) อนั พึงประสงค์

- ทดลองและอธบิ ายการ - ตรวจกจิ กรรม 11.1

สะทอ้ นของแสงและกฎ

การสะทอ้ นของแสง

ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)

- คุณลักษณะอนั พึง - สงั เกตความมีวนิ ัย

ประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งม่นั

ในการทำงาน

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

5

การประเมนิ กจิ กรรม

จุดประสงค์การเรยี นรู้

ด้านความรู้ ด้านทกั ษะ ดา้ น รวม ระดับ
คณุ ภาพ
เลขท่ี (K) (P) คณุ ลกั ษณะ คะแนน
ดมี าก
(A) ดีมาก
ดีมาก
3339 ดีมาก
ดมี าก
13 3 3 9 ดมี าก
ดมี าก
23 3 3 9 ดมี าก
ดมี าก
33 3 3 9 ดมี าก
ดมี าก
43 3 3 9 ดีมาก
ดีมาก
53 3 3 9 ดีมาก
ดีมาก
63 3 3 9 ดีมาก
ดมี าก
73 3 3 9 ดมี าก
ดมี าก
83 3 3 9

93 3 3 9

10 3 3 3 9

11 3 3 3 9

12 3 3 3 9

13 3 3 3 9

14 3 3 3 9

15 3 3 3 9

16 3 3 3 9

17 3 3 3 9

18 3 3 3 9

19 3 3 3 9

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถงึ ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถงึ ระดับปรุบปรงุ
คะแนน

6

7

กจิ กร2ร2ม. 11.1

การสะทอ้ นของแสง

จุดประสงค์

เพ่ือศกึ ษาระนาบของรังสตี กกระทบ รังสีสะท้อน และเสน้ แนวฉาก และความสัมพนั ธร์ ะหว่าง

มมุ ตกกระทบและมมุ สะท้อน

เวลาท่ีใช้

30 นาที

วัสดุและอปุ กรณ์

1. ชดุ กล่องแสง 1 ชดุ

2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำขนาด 12 โวลต์ 1 เครอื่ ง

3. แท่งพลาสติกสเี่ หลย่ี มผนื ผ้า 1 แท่ง

4. ผิวสะท้อนเวา้ และนนู 1 อนั

5. ครึ่งวงกลมวัดมุม 1 อัน

6. กระดาษขาว 1 แผ่น

วธิ ีดำเนนิ กิจกรรม

1. ตอ่ หลอดไฟฟ้าของกลอ่ งแสงเข้ากบั หมอ้ แปลงโวลต์ต่ำขนาด 12 โวลต์

2. วางกระดาษขาวหนา้ กล่องแสง จากนั้นใสแ่ ผ่นชอ่ งแสงที่มี 1 ช่อง ท่หี น้ากลอ่ งแสง แลว้ จัดให้ลำแสง

ขนานกบั ระนาบของกระดาษ

3. วางแผน่ พลาสตกิ สีเ่ หลี่ยมผนื ผ้าหน้ากลอ่ งแสง โดยใหห้ นา้ ขนุ่ ทาบกับกระดาษบนโตะ๊ ดังรูป

4. ลากเสน้ ตรงแทนแนวของของแทง่ พลาสตกิ
5. จัดกล่องแสงให้ลำแสงตกกระทบผิวของแท่งพลาสติกโดยทำมุม 30 องศา กับผิวของแท่งพลาสตกิ
เปดิ หม้อแปลงโวลตต์ ่ำเพื่อใหก้ ลอ้ งแสงทำงาน สงั เกตแสงที่สะท้อนกบั ผวิ ของแทง่ พลาสตกิ
6. ลากรังสตี กกระทบ รังสสี ะท้อน และเสน้ แนวฉาก จากน้ัน วดั มมุ ตกกระทบและมุมสะท้อน
7. ทำซำ้ ขอ้ 5-6 โดยเปลี่ยนมมุ ตกกระทบอีก 2 คา่
8. ทำซ้ำขอ้ 3-7 โดยเปลย่ี นแทง่ พลาสติกเปน็ ผิวสะท้อนเว้า และผิวสะท้อนนนู ตามลำดับ

8

บนั ทึกผลการทดลอง
วาดภาพการสะทอ้ นของแสงโดยแทง่ พลาสตกิ สเี่ หลยี่ มผนื ผ้า

วาดภาพการสะทอ้ นของแสงโดยผิวสะท้อนเว้า

วาดภาพการสะทอ้ นของแสงโดยผิวสะท้อนนูน

ตารางบันทึกผล มมุ 30 องศา มมุ 45 องศา มมุ 60 องศา

ชนดิ วัตถุ มมุ ตกกระทบ มมุ สะท้อน มุมตกกระทบ มมุ สะทอ้ น มมุ ตกกระทบ มมุ สะท้อน

แท่งพลาสตกิ (องศา) (องศา) (องศา) (องศา) (องศา) (องศา)
สเ่ี หลยี่ มผนื ผ้า
วตั ถผุ วิ สะท้อนเวา้
วัตถผุ ิวสะทอ้ นนูน

9

สรุปผลการทำกจิ กรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำถามท้ายกิจกรรม
1. รงั สีตกกระทบ รงั สีสะท้อน และเสน้ แนวฉากอยู่ในระนาบเดยี วกนั หรอื ไม่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. มมุ ตกกระทบและมมุ สะท้อนท่ผี วิ สะท้อนของแทง่ พลาสตกิ เทา่ กันทุกครง้ั หรอื ไม่ อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. มุมตกกระทบและมมุ สะท้อนทผี่ ิวสะทอ้ นนนู เทา่ กันทุกครง้ั หรอื ไม่ อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. มมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ นทผ่ี ิวสะทอ้ นเว้าเทา่ กนั ทกุ ครงั้ หรอื ไม่ อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

10

ใบงานที่ 11.1
เร่ือง การสะท้อนของแสง

คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปน้ี
1. จงหาตำแหนง่ ภาพจากการเขียนรังสขี องแสง

1)

2)

2. จงหาขนาดของมุม x จากแนวรังสีตกกระทบและสะทอ้ นที่กำหนดให้
1)

2)

11

กจิ กร2ร2ม. 11.1

การสะทอ้ นของแสง เฉลย

จุดประสงค์

เพ่อื ศึกษาระนาบของรังสีตกกระทบ รังสีสะทอ้ น และเสน้ แนวฉาก และความสมั พนั ธร์ ะหว่าง

มุมตกกระทบและมมุ สะทอ้ น

เวลาทใ่ี ช้

30 นาที

วสั ดุและอปุ กรณ์

1. ชุดกลอ่ งแสง 1 ชุด

2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำขนาด 12 โวลต์ 1 เคร่อื ง

3. แทง่ พลาสตกิ ส่ีเหลย่ี มผืนผา้ 1 แทง่

4. ผิวสะทอ้ นเว้าและนนู 1 อัน

5. ครง่ึ วงกลมวัดมมุ 1 อัน

6. กระดาษขาว 1 แผ่น

วธิ ดี ำเนินกจิ กรรม

1. ต่อหลอดไฟฟ้าของกล่องแสงเข้ากบั หมอ้ แปลงโวลตต์ ่ำขนาด 12 โวลต์

2. วางกระดาษขาวหนา้ กล่องแสง จากน้ันใส่แผ่นช่องแสงที่มี 1 ชอ่ ง ท่หี น้ากล่องแสง แลว้ จัดให้ลำแสง

ขนานกับระนาบของกระดาษ

3. วางแผ่นพลาสติกสเี่ หล่ยี มผนื ผ้าหน้ากลอ่ งแสง โดยใหห้ นา้ ขุ่นทาบกับกระดาษบนโต๊ะ ดังรปู

4. ลากเสน้ ตรงแทนแนวของของแท่งพลาสติก
5. จัดกล่องแสงให้ลำแสงตกกระทบผิวของแท่งพลาสติกโดยทำมุม 30 องศา กับผิวของแท่งพลาสติก
เปดิ หมอ้ แปลงโวลต์ต่ำเพอ่ื ให้กลอ้ งแสงทำงาน สังเกตแสงท่สี ะท้อนกับผวิ ของแทง่ พลาสติก
6. ลากรังสตี กกระทบ รงั สสี ะทอ้ น และเส้นแนวฉาก จากนน้ั วัดมมุ ตกกระทบและมุมสะทอ้ น
7. ทำซ้ำข้อ 5-6 โดยเปลย่ี นมุมตกกระทบอีก 2 ค่า
8. ทำซ้ำข้อ 3-7 โดยเปล่ยี นแท่งพลาสตกิ เปน็ ผวิ สะทอ้ นเวา้ และผวิ สะท้อนนนู ตามลำดบั

12

บนั ทกึ ผลการทดลอง
วาดภาพการสะทอ้ นของแสงโดยแทง่ พลาสตกิ ส่เี หลยี่ มผนื ผา้

วาดภาพการสะทอ้ นของแสงโดยผวิ สะทอ้ นเว้า

วาดภาพการสะทอ้ นของแสงโดยผวิ สะทอ้ นนูน

ตารางบันทึกผล มุม 30 องศา มุม 45 องศา มุม 60 องศา
มุมตกกระทบ มมุ สะท้อน มุมตกกระทบ มมุ สะทอ้ น มมุ ตกกระทบ มมุ สะท้อน
ชนิดวัตถุ
(องศา) (องศา) (องศา) (องศา) (องศา) (องศา)
แทง่ พลาสติก
สี่เหล่ยี มผืนผา้ 30 30 44.7 45.0 60.0 59.5
วัตถผุ ิวสะทอ้ นเว้า
วัตถผุ วิ สะทอ้ นนนู 29.7 30.2 44.6 44.6 60.0 60.0
29.5 29.8 45.0 45.2 59.7 60.4

13

สรุปผลการทำกิจกรรม
เมื่อแสงผา่ นช่องแสงชนดิ 1 ชอ่ ง จะทำใหเ้ กิดลำแสง และเมอื่ ลำแสงดังกล่าวตกกระทบกับผิวสะท้อน ลำแสง
จะเกดิ การสะท้อนโดย

1. มมุ ตกกระทบเทา่ กบั มุมสะทอ้ น
2. รงั สตี กกระทบ รังสีสะทอ้ น และเสน้ แนวฉาก อยู่ในระนาบเดยี วกัน

คำถามท้ายกจิ กรรม
1. รังสตี กกระทบ รงั สสี ะทอ้ น และเส้นแนวฉากอยูใ่ นระนาบเดยี วกนั หรือไม่
รังสีตกกระทบ รังสสี ะท้อน และเส้นแนวฉากอย่ใู นระนาบเดียวกนั

2. มุมตกกระทบและมมุ สะท้อนที่ผวิ สะท้อนของแท่งพลาสตกิ เท่ากันทุกครั้งหรอื ไม่ อย่างไร
มมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ นมีค่าใกล้เคียงกันจนประมาณได้ว่าเทา่ กันทกุ คร้ัง

3. มุมตกกระทบและมมุ สะทอ้ นที่ผวิ สะท้อนนนู เท่ากันทุกครั้งหรอื ไม่ อยา่ งไร
มมุ ตกกระทบและมุมสะท้อนมีคา่ ใกลเ้ คยี งกันจนประมาณได้วา่ เทา่ กนั ทุกครง้ั

4. มมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ นทผี่ วิ สะท้อนเว้าเทา่ กนั ทุกครั้งหรอื ไม่ อย่างไร
มุมตกกระทบและมุมสะท้อนมคี ่าใกล้เคียงกันจนประมาณได้ว่าเทา่ กันทุกครั้ง

14

ใบงานที่ 11.1

เรอื่ ง การสะทอ้ นของแสง

คำช้ีแจง : จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้
1. จงหาตำแหนง่ ภาพจากการเขยี นรังสขี องแสง

1)

2)

2. จงหาขนาดของมุม x จากแนวรังสีตกกระทบและสะท้อนทกี่ ำหนดให้ = 180o
1) = 240o
วธิ ที ำ พจิ ารณารูปสามเหลี่ยม ABC = 240o
จะได้ 60o + (1802o-x) + x = 60o
180o – x + 2x
180o + x
X

2)

วธิ ีทำ พจิ ารณารูปสามเหล่ียม ABC

จะได้ x + 65o + 45o = 180o

X = 70o

15

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 เร่อื ง การหักเหของแสง

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 11 แสงเชิงรังสี รหสั วิชา ว32203 ชื่อวิชา ฟิสกิ ส์

จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ จำนวน 4 ชัว่ โมง

ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

สาระฟิสิกส์ : เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำคว ามรู้ไปใช้

ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเห รวมท้ังอธิบาย

ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของแสง และ
คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง

3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
- อธิบายการหกั เหของแสง และกฎของสเนลลไ์ ด้
3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
- ทดลองการหกั เหของแสง กฎของสเนลล์
3.3 ดา้ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
- มวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้ มุ่งม่ันในการทำงาน

4. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
4.1 ความสามารถในการสอื่ สาร
4.2 ความสามารถในการคิด

5. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
แนวคิด/รูปแบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนิค : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

16

6. สาระสำคัญ

การหกั เหของแสง (refraction of light) เกดิ ข้ึนเมอ่ื แสงมีการเดินทางจากตัวกลางหนึง่ ไปอีกตัวกลาง

หนึ่ง ทำให้มีอัตราเร็วเปลี่ยนไป โดยอัตราส่วนระหว่างอตั ราเร็วแสงในสุญญากาศกับอัตราเร็วแสงในตัวกลาง
c
ใดๆ คือ ดรรชนีหักเห (index of refraction) n = v และ n1 sinθ1 = n2 sinθ2 เรียกว่า กฎของสเนลล์

(Snell’s law)

การหักเหของแสงเปน็ ไปตามกฎการหกั เห (law of refraction) คอื

1. n1 sinθ1 = n2 sinθ2
2. รงั สตี กกระทบ รังสหี กั เห และเสน้ แนวฉาก อยใู่ นระนาบเดียวกัน

7. ภาระงาน/ชิ้นงาน
7.1 ใบงาน 11.2 การหักเหของแสง
7.2 กิจกรรม 11.2 การหกั เหของแสง

8. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ข้ันท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ
1. ครูนำเข้าสู่บทเรียน โดยใช้รูป 11.5 ในหนังสือเรียนหน้า 165 หรือจัดกิจกรรมสาธิตโดยฉาย

ลำแสงเลเซอร์ลงไปในแก้วที่บรรจุน้ำแล้วให้นักเรียนรว่ มกันสังเกตเส้นทางการเคลื่อนที่ของแสงเลเซอร์ แล้ว
ร่วมกันอภปิ รายโดยให้นกั เรียนตอบคำถามว่า เพราะเหตุใดแสงเลเซอรจ์ ึงเกิดการเปลี่ยนทิศทางเมื่อเคล่อื นท่ี
จากอากาศไปนำ้ โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นแสดงความคิดเห็นอยา่ งอสิ ระและไมค่ าดหวงั คำตอบที่ถูกต้อง

2. นักเรยี นศึกษาการหกั เหของแสงตามรายละเอียดในหนังสือเรียน และรว่ มกนั อภปิ รายจนสรปุ
ไดว้ า่ ปรากฏการณ์ดงั กลา่ วเกิดจากการหักเหของแสง โดยครูใหน้ กั เรยี นศึกษารังสีตกกระทบ รังสีหักเหมุมตก
กระทบ มมุ หกั เห และเสน้ แนวฉาก จากรปู 11.6 ในหนงั สอื เรยี นหน้า 165

3 ครูถามนักเรียนว่า ในกรณีที่รังสีตกกระทบไม่ตั้งฉากกับผิวรอยต่อของตัวกลาง มุมของรังสีตก
กระทบและมุมของรังสีหักเหมคี วามสมั พันธก์ นั อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสระ

ขั้นที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา
1. นกั เรียนแบง่ กลุ่มๆ ละ 4-5 คน ปฏบิ ัตกิ ิจกรรม 11.2 การหักเหของแสง พรอ้ มทัง้ ตอบคำถามท้าย
กิจกรรม
2. ครูชี้แนะวิธกี ารทำการทดลอง และให้คำแนะนำตลอดการทำกจิ กรรม

ขนั้ ที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
1. ตวั แทนแต่ละกลุ่ม ออกมานำเสนอผลการทดลองหน้าชัน้ เรียน
2. นักเรียนและครรู ว่ มกันอภิปรายและสรุปผลการทำการทดลอง จนสรุปได้ ดังนี้

17

1) เม่ือลำแสงเคลอื่ นท่จี ากอากาศเขา้ ส่แู ทง่ พลาสตกิ ส่เี หล่ียมผนื ผา้ แสงจะเกดิ การหักเหและ

เมอ่ื แสงเคลื่อนท่ีจากแทง่ พลาสติกส่เี หล่ียมผนื ผา้ กลบั ออกสอู่ ากาศ แสงจะเกิดการหกั เหอีกครงั้

2) มมุ θ1 โตกวา่ θ2 นน่ั คอื เมอ่ื แสงเคลอ่ื นที่จากอากาศเข้าไปในแท่งพลาสติกส่เี หล่ียม ผืน
ผา้ มมุ หักเหจะเลก็ กว่ามมุ ตกกระทบ

3) มุม θ3 เล็กกว่า θ4 นั่นคือ เมื่อแสงเคลื่อนที่จากแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้าเข้าไปใน
อากาศ มุมหักเหจะโตกวา่ มุมตกกระทบ

4) อตั ราสว่ นของ sin θ1 และอตั ราสว่ นของ sin θ3 มีค่าคงตัว
sin θ2 sin θ4
sin sin θ3
5) อตั ราสว่ นของ sin θ1 เทา่ กับส่วนกลบั ของอตั ราสว่ น sin θ4
θ2
6) อัตราส่วนระหว่างไซน์ของมุมตกกระทบกับไซน์ของมุมหักเหมีค่าคงตัวค่าหนึ่ง เรียก

ความสมั พนั ธน์ ี้ว่า กฎของสเนลล์

ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้
1. ครนู ำนักเรยี นอภปิ รายเกย่ี วกับดรรชนีหกั เหของตัวกลางตามรายละเอียดในหนังสือเรยี น จนสรุปได้
ว่า การหักเหของแสงเป็นผลโดยตรงจากอัตราเร็วของคลื่นในตัวกลางแต่ละชนิดไม่เท่ากัน โดยดรรชนีหักเห
ของตวั กลางเปน็ อตั ราสว่ นระหว่างอัตราเรว็ แสงในสุญญากาศกับอัตราเร็วแสงในตัวกลางนน้ั
2. ครูให้นักเรียนศึกษาตาราง 11.1 และอภิปรายรว่ มกันเก่ียวกับดรรชนหี ักเหของสารชนิดต่าง ๆตาม
รายละเอยี ดในหนงั สอื เรียน จนสรปุ ไดว้ า่ ดรรชนีหกั ของของสารแต่ละชนิดมคี ่าไมเ่ ท่ากัน
3. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการหักเหของแสง พร้อมยกตัวอย่างการคำนวณปริมาณที่เกี่ยวข้อง
ตามตวั อยา่ ง 11.2 ในหนงั สอื เรียนหนา้ 169-170
2. ครูมอบหมายให้นักเรยี นทำใบงาน 11.2 เร่ือง การหักเหของแสง สง่ ครูในชวั่ โมงถดั ไป

ขนั้ ท่ี 5 ขั้นประเมนิ ผล
1. ครตู รวจสอบผลการทำกจิ กรรม 11.2 การหกั เหของแสง
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำใบงานที่ 11.2
4. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานของนกั เรียน

18

9. ส่อื การเรียนรู้
9.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ที่ 11 เรอ่ื ง แสงเชิงรังสี
2) กิจกรรม 11.1 เรื่องการหกั เหของแสง
3) ใบงาน 11.2 เร่ือง การหกั เหของแสง
9.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) หอ้ งสมุด
3) แหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศ

10. การวัดผลประเมินผล 19

รายการวดั วิธีวดั เคร่ืองมือ เกณฑก์ ารประเมิน

ดา้ นความรู้ (K) - ใบงาน 11.2 ระดบั คุณภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์
- อธบิ ายการหกั เหของ - ตรวจใบงาน 11.2 - แบบประเมินทกั ษะ
กระบวนการทาง ระดับคุณภาพ 2
แสง และกฎของสเนลล์ได้ วิทยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์

ดา้ นกระบวนการ (P) - แบบประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ 2
คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์
- ทดลองการหกั เหของ - ตรวจกจิ กรรม 11.2 อันพงึ ประสงค์

แสง กฎของสเนลล์

ด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)

- คุณลกั ษณะอนั พงึ - สังเกตความมวี ินัย

ประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และม่งุ มน่ั

ในการทำงาน

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

20

การประเมนิ กจิ กรรม

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ดา้ นความรู้ ด้านทกั ษะ ดา้ น รวม ระดับ
คะแนน คณุ ภาพ
เลขท่ี (K) (P) คณุ ลกั ษณะ
9 ดีมาก
(A) 9 ดีมาก
9 ดีมาก
333 9 ดีมาก
9 ดมี าก
13 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
23 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
33 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
43 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
53 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
63 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
73 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
83 3 3 9

93 3 3

10 3 3 3

11 3 3 3

12 3 3 3

13 3 3 3

14 3 3 3

15 3 3 3

16 3 3 3

17 3 3 3

18 3 3 3

19 3 3 3

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถงึ ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรุบปรงุ
คะแนน

21

22

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 3 เรอ่ื ง การมองเห็นภาพและการเกิดภาพ

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 11 แสงเชิงรังสี รหสั วชิ า ว32203 ชอื่ วชิ า ฟิสกิ ส์ 3

จำนวน 1.5 หน่วยกิต จำนวน 4 ช่ัวโมง

ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

สาระฟิสิกส์ : เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้

ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและคำนวณ

ตำแหน่งและขนาดภาพของวัตถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้งอธิบาย
การนำความรู้เรื่องการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจำวัน

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
- อธบิ ายวิธีการเขยี นรงั สขี องแสงและการเกิดภาพ
3.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- เขียนรงั สขี องแสงและอธบิ ายการเกิดภาพ ระบุตำแหน่งและชนิดของภาพทเี่ กดิ จากการ

สะทอ้ นของแสงจากกระจกเงาราบ
- เขยี นรงั สขี องแสง และคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ของการเกิดภาพท่ีเกดิ จากการหักเหของ

แสงท่ีผา่ นตัวกลางทต่ี ่างกนั
3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
- มีวินยั ใฝเ่ รียนรู้ มงุ่ มน่ั ในการทำงาน

4. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน
4.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
4.2 ความสามารถในการคิด

23

5. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

6. สาระสำคัญ

เมื่อแสงจากวัตถุถูกทำให้เปลี่ยนเส้นทางเดินมาเข้าตา เช่น การสะท้อนกับกระจกเงาราบ การหักเห

ผ่าน เลนส์บาง การสะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทำให้เห็นวัตถุตรงตำแหน่งที่แนวรงั สีที่เปลี่ยนเส้นทางมา

เข้าตาตดั กนั ซ่ึงอาจไม่พบวัตถจุ ริงตรงตำแหนง่ น้ัน เรียกส่ิงท่มี องเห็นว่า ภาพ (image)

กระจกเงาราบสามารถสะทอ้ นแสงได้ดี ภาพของวัตถุท่ีเกิดจากการสะทอ้ นกบั กระจกเงาราบหาได้จาก

การเขียนรังสขี องแสง หรอื ใชค้ วามสมั พนั ธ์ s'=-s

เมื่อแสงจากวัตถุเดนิ ทางผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหต่างกนั ตำแหน่งภาพที่มองเห็น

จะ ต่างไปจากตำแหนง่ ของวตั ถุจริงทำใหค้ วามลกึ ทีป่ รากฏตอ่ สายตาตา่ งไปจากความลกึ จริงของวัตถุ ซงึ่ หาได้

จากการเขยี นรังสีของแสง หรอื ใช้ความสมั พนั ธ์ s' = n2
s n1

7. ภาระงาน/ชิ้นงาน
7.1 ใบงาน 11.3 การมองเห็นภาพและการเกดิ ภาพ
7.2 คำถามตรวจสอบความเข้าใจ 11.2

8. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
ครูนำเข้าสู่บทเรียน โดยยกสถานการณ์ว่า ในเวลากลางคืนหรือเวลาที่เราอยู่ในสถานที่ทีม่ ืดสนทิ ทำ

ให้เราไม่สามารถมองเห็นวัตถุได้ แต่ถ้ามีการส่องแสง เช่น แสงจากไฟฉายไปกระทบวัตถุจะทำให้สามารถ
มองเหน็ วตั ถไุ ด้ จากนั้นครูนำอภปิ รายโดยให้นักเรยี นตอบคำถามว่า จากสถานการณด์ ังกล่าวจะสามารถนำมา
อธิบายการมองเห็นวัตถุได้อย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นกั เรยี นแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไมค่ าดหวัง
คำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง

ขน้ั ที่ 2 ข้ันสำรวจและค้นหา
1. นักเรียนศกึ ษาขอ้ มลู เกี่ยวกับการทองเห็นและการเกิดภาพจากแหลง่ ข้อมูลตา่ งๆ เชน่ หนังสือเรียน
หน้า 178-185 อนิ เทอรเ์ นต็ ต่างๆ ห้องสมุด เป็นตน้
2. จากการสืบคน้ ขอ้ มูล นักเรยี นสรปุ องคค์ วามรทู้ ีไ่ ดจ้ ากการสืบค้นลงในสมุดจดบันทกึ

ขั้นท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
1. ตัวแทนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานำเสนอผลการสบื คน้ ขอ้ มูลหนา้ ชนั้ เรยี น
2. นกั เรยี นและครรู ่วมกันอภิปรายและสรปุ การมองเหน็ และการเกิดภาพ จนได้ข้อสรปุ ดงั น้ี

24

- เมื่อแสงจากวัตถุถูกทำให้เปลี่ยนเส้นทางเดินมาเข้าตา เช่น การสะท้อนกับกระจกเงาราบ
การหักเหผ่านเลนส์บาง การสะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทำให้เห็นวัตถุตรงตำแหน่งที่แนวรังสีที่เปลี่ยน
เส้นทางมาเขา้ ตาตัดกัน ซ่งึ อาจไมพ่ บวัตถจุ รงิ ตรงตำแหน่งน้นั เรยี กสงิ่ ท่มี องเหน็ วา่ ภาพ (image)

3. นักเรยี นทำแบบฝึกหดั ตรวจสอบความเขา้ ใจ 11.2 ในหนังสอื เรียนหน้า 186 ส่งครทู ้ายชว่ั โมง

ข้นั ที่ 4 ข้ันขยายความรู้

1. ครูใหค้ วามรู้เพ่ิมเตมิ เก่ียวกับการมองเห็นภาพและการเกดิ ภาพ ดงั นี้

- กระจกเงาราบสามารถสะท้อนแสงได้ดี ภาพของวัตถุที่เกิดจากการสะท้อนกับกระจกเงา

ราบหาไดจ้ ากการเขียนรงั สีของแสง หรือใช้ความสมั พนั ธ์ s'=-s

- เม่อื แสงจากวัตถุเดนิ ทางผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางที่มีดรรชนีหกั เหต่างกนั ตำแหน่งภาพ

ทม่ี องเหน็ จะ ต่างไปจากตำแหน่งของวตั ถจุ ริงทำใหค้ วามลกึ ทป่ี รากฏต่อสายตาตา่ งไปจากความลกึ จรงิ ของวัตถุ

ซึ่งหาไดจ้ ากการเขยี นรงั สขี องแสง หรอื ใช้ความสมั พนั ธ์ s' = n2
s n1
2. ครูมอบหมายให้นักเรียนทำใบงาน 11.3 เรื่อง การมองเห็นและการเกดิ ภาพ ส่งครูในชั่วโมงถดั ไป

ขัน้ ท่ี 5 ขั้นประเมนิ ผล
1. ครตู รวจสอบผลการทำแบบฝึกหดั ตรวจสอบความเขา้ ใจ 11.2
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำใบงานที่ 11.3
4. ครปู ระเมินผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานของนกั เรยี น

9. สอื่ การเรยี นรู้
9.1 สอื่ การเรียนรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ที่ 11 เรื่อง แสงเชิงรังสี
2) แบบฝกึ หัดหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 11 แสงเชงิ รังสี ในหนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิม่ เตมิ ฟิสกิ ส์ ม.5 เลม่ 3
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
3) ใบงาน 11.3 เรือ่ ง การมองเห็นภาพและการเกดิ ภาพ
9.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) ห้องเรยี น
2) หอ้ งสมุด
3) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ

25

10. การวัดผลประเมนิ ผล

รายการวดั วธิ วี ัด เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมิน
- คำถามตรวจสอบความ ระดับคุณภาพ 2
ด้านความรู้ (K) เขา้ ใจ 11.2 ผา่ นเกณฑ์
- แบบประเมนิ ทักษะ ระดบั คุณภาพ 2
- อธิบายวิธกี ารเขยี นรงั สี - ตรวจคำถามตรวจสอบ กระบวนการทาง ผา่ นเกณฑ์
วิทยาศาสตร์
ของแสงและการเกิดภาพ ความเข้าใจ 11.2 ระดับคณุ ภาพ 2
- แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์
ด้านกระบวนการ (P) คณุ ลักษณะ
อันพึงประสงค์
- เขียนรงั สขี องแสงและ - ตรวจใบงาน 11.3

อธิบายการเกดิ ภาพ ระบุ

ตำแหนง่ และชนิดของ

ภาพทเ่ี กิดจากการสะทอ้ น

ของแสงจากกระจกเงา

ราบ

- เขียนรงั สีของแสง และ

คำนวณหาปรมิ าณต่าง ๆ

ของการเกิดภาพทีเ่ กิดจาก

การหกั เหของแสงทผ่ี ่าน

ตัวกลางท่ตี ่างกนั

ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

- คณุ ลกั ษณะอนั พงึ - สงั เกตความมวี ินยั

ประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมัน่

ในการทำงาน

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

26

การประเมนิ กจิ กรรม

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ดา้ นความรู้ ด้านทกั ษะ ดา้ น รวม ระดับ
คะแนน คณุ ภาพ
เลขท่ี (K) (P) คณุ ลกั ษณะ
9 ดีมาก
(A) 9 ดีมาก
9 ดีมาก
333 9 ดีมาก
9 ดมี าก
13 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
23 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
33 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
43 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
53 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
63 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
73 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
83 3 3 9

93 3 3

10 3 3 3

11 3 3 3

12 3 3 3

13 3 3 3

14 3 3 3

15 3 3 3

16 3 3 3

17 3 3 3

18 3 3 3

19 3 3 3

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถงึ ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรุบปรงุ
คะแนน

27

28

ใบงานที่ 11.3

เร่อื ง การมองเห็นภาพและการเกดิ ภาพ

คำช้แี จง : จงคำนวณหาผลลพั ธ์จากโจทย์ตอ่ ไปน้ี
1. กระจกเงาราบ 0.2 เมตร ติดอยู่บนผนังหอ้ ง ห่างจากดวงตาของนนั 30 เซนติเมตร ถ้านันมองเหน็ ตู้เส้ือผ้าที่
อยู่ข้างหลังได้ตลอดทั้งตู้พอดี และนันวัดระยะระหว่างตู้เสื้อผา้ กับผนังได้ 3 เมตร จงหาความสูงของตู้เสือ้ ผ้า
(พร้อมวาดภาพประกอบ)

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. ถ้าชายคนหนึ่งสูง 170 เซนติเมตร และตาของเขาอยู่ต่ำจากส่วนที่สูงที่สุดในร่างกายเป็นระยะ 10
เซนตเิ มตร มกี ระจกเงาราบตั้งอยู่บนพ้ืนในแนวดง่ิ ขอบบนของกระจกต้องอยู่สงู จากพ้ืนเท่าใด จึงจะทำให้เขา
มองเหน็ เอวซ่ึงอยู่สงู จากพื้น 100 เซนตเิ มตร (พรอ้ มวาดภาพประกอบ)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
..

29

3. ปลาอยู่ในน้ำที่ระดับความลึกจากผิวน้ำ 0.20 เมตร ความลึกปรากฏของปลาเป็นเท่าใด เมื่อผู้สังเกตมอง
ปลาในแนวดิ่งตรงตัวปลา กำหนดให้ดรรชนีหักเหของอากาศเท่ากับ 1.00 และดรรชนีหักเหของน้ำเท่ากับ
1.33
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. ถา้ ปลาตวั หนง่ึ มองนกอินทรีท่บี ินอย่ใู นอากาศสงู จากผวิ นำ้ 20.00 เมตร ปลาจะเห็นนกอินทรีสงู จากผวิ นำ้
เทา่ ใด กำหนดใหน้ ้ำมดี รรชนีหกั เหเท่ากบั 1.33 และอากาศมีดรรชนีหกั เหเท่ากบั 1.00
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

30

ใบงานที่ 11.3 เฉลย
เรือ่ ง การมองเหน็ ภาพและการเกิดภาพ

คำช้ีแจง : จงคำนวณหาผลลัพธจ์ ากโจทย์ต่อไปน้ี
1. กระจกเงาราบ 0.2 เมตร ตดิ อยูบ่ นผนงั ห้อง ห่างจากดวงตาของนนั 30 เซนตเิ มตร ถา้ นนั มองเห็นตเู้ สื้อผ้าท่ี
อยู่ข้างหลังได้ตลอดทั้งตู้พอดี และนันวัดระยะระหว่างตูเ้ สื้อผ้ากับผนังได้ 3 เมตร จงหาความสูงของตู้เสื้อผา้
(พร้อมวาดภาพประกอบ)

วิธีทำ พจิ ารณา ∆ABC ≅ ∆DAE

จะได้ x = 3 + 0.3
0.2 0.2
x = 2.2 m

ดงั นนั้ ความสงู ของตเู้ สอื้ ผา้ เท่ากบั 2.2 เมตร

2. ถ้าชายคนหนึ่งสูง 170 เซนติเมตร และตาของเขาอยู่ต่ำจากส่วนที่สูงที่สุดในร่างกายเป็นระยะ 10
เซนตเิ มตร มีกระจกเงาราบต้ังอยบู่ นพืน้ ในแนวดง่ิ ขอบบนของกระจกต้องอยู่สงู จากพื้นเท่าใด จึงจะทำให้เขา
มองเห็นเอวซึ่งอย่สู ูงจากพน้ื 100 เซนตเิ มตร (พร้อมวาดภาพประกอบ)
วธิ ีทำ จากรปู AE คือความสูงของชายคนนีเ้ ทา่ กับ 170 cm

DE คอื ระยะจากตาถึงส่วนทส่ี ูงทีส่ ดุ เท่ากับ 10 cm
AB คือความสูงจากพื้นถึงเอวเทา่ กับ 100 cm
AC คือระยะขอบบนของกระจกถงึ พน้ื
จากกฎการสะทอ้ นของแสงจะได้ BC = CD = X
จะได้ AE = AB + BC + CD + DE

170 = 100 + X + X + 10
2X = 60
X = 30 cm
ดงั นัน้ ขอบบนของกระจกสงู จากพน้ื AC = AB + BC = 100 + 30 = 130 cm

31

3. ปลาอยู่ในน้ำที่ระดับความลึกจากผิวน้ำ 0.20 เมตร ความลึกปรากฏของปลาเป็นเท่าใด เมื่อผู้สังเกตมอง

ปลาในแนวดิ่งตรงตัวปลา กำหนดให้ดรรชนีหักเหของอากาศเท่ากับ 1.00 และดรรชนีหักเหของน้ำเท่ากับ

1.33

วธิ ที ำ จากสมการ s' = n2
จะได้ s n1
s' 1.00
0.20 =
1.33
s’ =
0.150 m

ดังนั้น ความลกึ ปราฏของปลาเท่ากับ 0.15 เมตร

4. ถา้ ปลาตัวหน่ึงมองนกอินทรีทบี่ นิ อยูใ่ นอากาศสูงจากผิวน้ำ 20.00 เมตร ปลาจะเหน็ นกอนิ ทรีสูงจากผิวนำ้

เทา่ ใด กำหนดใหน้ ้ำมีดรรชนหี กั เหเท่ากับ 1.33 และอากาศมีดรรชนหี ักเหเทา่ กับ 1.00

วธิ ีทำ จากสมการ s' = n2
จะได้ s n1
s' 1.33
20.00 =
1.00
s’ =
26.60 m

ดงั นนั้ ความลึกปราฏของปลาเทา่ กบั 26.60 เมตร

32

แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 4 เรอ่ื ง ภาพจากเลนส์บาง

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 11 แสงเชิงรังสี รหัสวิชา ว32203 ช่อื วชิ า ฟสิ ิกส์ 3

จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต จำนวน 5 ชั่วโมง

ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. มาตรฐานการเรียนรู้

สาระฟิสิกส์ : เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้

ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและคำนวณ

ตำแหน่งและขนาดภาพของวัตถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้งอธิบาย
การนำความรู้เรื่องการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจำวัน

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
- อธิบายรงั สขี องแสงที่หกั เหผ่านเลนส์บางเพอื่ ระบตุ ำแหน่งและชนดิ ของภาพ
3.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- ทดลอง และเขียนรงั สีของแสงท่หี กั เหผ่านเลนส์บางเพ่อื ระบตุ ำแหน่งและชนิดของภาพ
- คำนวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกบั การเกิดภาพจากเลนส์บาง
3.3 ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
- มีวินยั
- ใฝ่เรียนรู้
- ม่งุ มน่ั ในการทำงาน

4. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
4.1 ความสามารถในการสือ่ สาร
4.2 ความสามารถในการคิด

33

5. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคิด/รปู แบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนิค : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

6. สาระสำคญั

เลนส์บางทำงานโดยใชห้ ลกั การหักเหของแสง ทำจากแก้วหรือพลาสตกิ ท่มี ผี วิ โคง้ ทรงกลมทง้ั สอง ขา้ ง

ไมข่ นานกนั เลนสบ์ างมี 2 ชนิด คอื เลนสน์ นู (convex lens) และเลนส์เวา้ (concave lens) เมอื่ วางวัตถุ

หน้าเลนส์บางจะเกิดภาพของวัตถุ โดยตำแหน่ง ขนาดและชนดิ ของภาพที่เกดิ ขึน้ หาไดจ้ ากการเขยี น รังสีของ

แสงหรือใชค้ วามสัมพนั ธ์ 1 = 1 + 1 ซง่ึ เรยี กว่า สมการของเลนสบ์ าง
f s s'
กำลังขยาย (magnification, M) เท่ากับอัตราส่วนความสูงของภาพ y'กับความสูงของวัตถุ y ดัง

สมการ M= y'
y
กระจกเงาทรงกลมทำด้วยวัสดุที่สามารถสะท้อนแสงไดด้ ีเช่นเดียวกับกระจกเงาราบ กระจกเงาทรง

กลม มี 2 ชนิด คือ กระจกโค้งเว้า (concave mirror) และกระจกโค้งนูน (convex mirror) เมื่อวางวัตถุ

หนา้ กระจกเงาทรงกลมจะเกดิ ภาพของวตั ถุ โดยตำแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพทเ่ี กดิ ขนึ้ หาได้จาก การเขียน

รงั สขี องแสงและการคำนวณโดยใช้รปู แบบสมการที่เหมือนกบั สมการของเลนสบ์ าง

7. ภาระงาน/ชิน้ งาน
7.1 ใบงาน 11.4 ภาพจากเลนส์บาง
7.2 กิจกรรม 11.3 การหกั เหของแสงผ่านเลนส์นนู

8. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ขัน้ ที่ 1 ขนั้ สร้างความสนใจ
1. ครูนำเข้าสู่บทเรียน โดยนำเลนส์นนู และเลนส์เว้าแบบตา่ ง ๆ มาใหน้ ักเรยี นสังเกต แลว้ นำนักเรียน

อภิปรายว่า เมอื่ ให้แสงผา่ นเลนส์นูนและเลนส์เวา้ แสงจะมลี ักษณะเปน็ อย่างไร เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นอภิปราย
โดยไม่คาดหวงั คำอบทีถ่ กู ตอ้ ง

2. นักเรียนสังเกตจากการสาธิตการเกิดภาพจากเลนส์นูนเมื่อวัตถุอยู่ห่างจากเลนส์นูนในระยะท่ี
แตกต่างกัน แล้วใหน้ ักเรียนอภปิ รายร่วมกนั โดยตอบคำ ถามตอ่ ไปนี้

- ภาพจากเลนสน์ นู เกิดขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร
- ระยะวตั ถุทอ่ี ย่หู า่ งจากเลนสน์ ูนมีผลตอ่ ภาพทีเ่ กิดขึน้ หรือไมอ่ ย่างไร
- หาระยะภาพจากเลนส์นนู ได้อย่างไร
ครเู ปดิ โอกาสให้นกั เรยี นแสดงความคดิ เห็นอย่างอสิ ระ

34

ข้ันที่ 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา

1. นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ปฏิบัติกิจกรรม 11.3 การหักเหของแสงผ่านเลนส์นูน ในหนังสือ

เรยี นหนา้ 199-200 พรอ้ มตอบคำถามทา้ ยกจิ กรรม

2. ครูคอยให้คำชี้แนะตลอดการทำกิจกรรม โดยชี้แจงวัตถุประสงค์ และขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรม

ตา่ งๆ

ขนั้ ท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป

1. ครูสุ่มนักเรยี น 2 คน ออกมานำเสนอผลการสบื ค้นข้อมลู หนา้ ช้นั เรียน

2. นกั เรยี นและครูร่วมกันอภปิ รายและสรุปผลการทำกจิ กรรม จนสรปุ ได้ ดังนี้

- เมื่อวัตถุอยู่ไกลจากเลนส์นูนมาก ๆ แสงจากวัตถุส่วนที่มากระทบเลนส์นูนถือว่าเป็นแสง

ขนาน และเมื่อแสงขนานผ่านเลนส์นนู จะไปตัดกันที่โฟกัส นั่นคือ เกิดภาพของวัตถุที่อยู่ไกลมากที่โฟกัสของ

เลนส์ ทำให้สามารถหาความยาวโฟกัสของเลนส์นูน เท่ากับ 14.5 เซนติเมตร

- ความสมั พันธ์ระหว่างส่วนกลับของระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส คอื 1 = 1 + 1
f s s'

ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
1. ครูนำนักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการคำนวณเกี่ยวกับเลนส์บาง โดยยกตัวอย่างรูปที่ 11.37 และ
11.38 ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรียนหนา้ 200-202
2. นักเรียนศึกษาการใช้เครื่องหมายสำหรบั สมการของเลนส์บางและร่วมกันอภิปรายจนสรุปได้ตาม
ตาราง 11.2 ในหนังสือเรียน จากนั้นครูให้นักเรียนศึกษากำลังขยายในหนังสือเรยี น และร่วมกันอภิปรายจน
สรุปได้ว่า กำลังขยายเท่ากับอัตราส่วนความสูงของภาพต่อความสูงของวัตถุ โดยกำลังงขยายเป็นบวกสำหรบั
ภาพเสมือน และกำลงั ขยายเป็นลบสำหรับภาพจริง
3. นักเรียนศึกษาตัวอยา่ งการคำวณเก่ียวกับเลสบาง จากตวั อยา่ งท่ี 11.8-11.10 ในหนังสือเรียนหน้า
203-205
4. ครมู อบหมายใหน้ ักเรยี นทำใบงาน 11.4 เรื่อง ภาพจากเลนส์บาง ส่งครูในช่ัวโมงถดั ไป

ข้นั ท่ี 5 ข้นั ประเมนิ ผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำกจิ กรรมที่ 11.3 การหักเหของแสงผาเลนสน์ นู
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำใบงานท่ี 11.4 เร่อื ง ภาพจากเลนสบ์ าง
4. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานของนกั เรียน

35

9. ส่อื การเรียนรู้
9.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ที่ 11 เร่อื ง แสงเชิงรงั สี
2) กิจกรรมที 11.3 การหักเหของแสงผาเลนส์นูน
3) ใบงาน 11.4 เรอ่ื ง ภาพจากเลนส์บาง
9.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) หอ้ งสมุด
3) แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ

10. การวัดผลประเมินผล 36

รายการวดั วิธวี ัด เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ
- ใบงาน 11.4 ระดบั คณุ ภาพ 2
ด้านความรู้ (K) ผ่านเกณฑ์
- แบบประเมินทักษะ
- อธิบายรงั สขี องแสงท่ีหัก - ตรวจใบงาน 11.4 กระบวนการทาง ระดับคณุ ภาพ 2
วทิ ยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์
เหผ่านเลนสบ์ างเพือ่ ระบุ
- แบบประเมิน ระดบั คณุ ภาพ 2
ตำแหนง่ และชนิดของ คณุ ลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
อนั พงึ ประสงค์
ภาพ

ดา้ นกระบวนการ (P)

- ทดลอง และเขียนรังสี - ตรวจกจิ กรรม 11.3

ของแสงท่หี กั เหผ่านเลนส์

บางเพอื่ ระบุตำแหน่งและ

ชนดิ ของภาพ

- คำนวณหาปริมาณตา่ ง

ๆ ท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การเกิด

ภาพจากเลนส์บาง

ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)

- คณุ ลักษณะอันพึง - สงั เกตความมีวินัย

ประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งมัน่

ในการทำงาน

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

37

การประเมนิ กจิ กรรม

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ดา้ นความรู้ ด้านทกั ษะ ดา้ น รวม ระดับ
คะแนน คณุ ภาพ
เลขท่ี (K) (P) คณุ ลกั ษณะ
9 ดีมาก
(A) 9 ดีมาก
9 ดีมาก
333 9 ดีมาก
9 ดมี าก
13 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
23 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
33 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
43 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
53 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
63 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
73 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
83 3 3 9

93 3 3

10 3 3 3

11 3 3 3

12 3 3 3

13 3 3 3

14 3 3 3

15 3 3 3

16 3 3 3

17 3 3 3

18 3 3 3

19 3 3 3

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถงึ ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรุบปรงุ
คะแนน

38

39

กิจกร2ร2ม. 11.3

การหักเหของแสงผา่ นเลนส์นนู

จุดประสงค์

ศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกสั ของเลนส์นนู

เวลาที่ใช้

50 นาที

วสั ดุและอุปกรณ์

1. เลนส์นูน 1 อัน

2. ฉากขาว 1 อัน

3. ชดุ กลอ่ งแสง 1 ชดุ

4. ไม้เมตร 1 อัน

วธิ ดี ำเนินกจิ กรรม

ตอนที่ 1 การหาความยาวโฟกสั ของเลนส์นูน

1. จดั เลนส์นนู และฉาก ดงั รปู

2. เลื่อนเลนสน์ นู ไปทตี่ ำแหน่งปลายสดุ ของราง

3. จัดเลนสน์ นู ใหร้ ับแสงจากวัตถุทอ่ี ยไู่ กลจากเลนสน์ ูนมากๆ เชน่ แสงจากดวงอาทิตย์

4. เลอ่ื นฉากจนไดภ้ าพวตั ถคุ มชดั ท่ีสุดบนฉาก เพื่อวัดความยาวโฟกัสของเลนสน์ นู

5. บนั ทกึ ความยาวโฟกสั (f) ของเลนสน์ ูนท่วี ัดได้

ตอนที่ 2 การหาความสมั พนั ธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกสั

1. วางกล่องแสงไว้ทีป่ ลายขา้ งหนึ่งของไม้เมตร

2. วางเลนส์นนู บนไม้เมตรใหห้ ่างจากไสห้ ลอดไปของกล่องแสงโดยมรี ะยะประมาณ 1.5 เทา่ ของความ

ยาวโฟกสั

3. เลื่อนฉากจนไดภ้ าพของไสห้ ลอดไฟของกล่องแสงบนฉากคมชดั ทส่ี ุด

4. วัดระยะวตั ถุ และระยะภาพ บันทกึ คา่ ทไ่ี ด้ในตารางบันทึกผล

5. ทำการทดลองซำ้ ข้อ 2-4 โดยเลอื่ นเลนสน์ นู ให้หา่ งหลอดไฟของกลอ่ งแสงเป็นระยะต่างๆ อีก 4

ค่า

6. คำนวณผลรวมของ 1 กบั 1 แล้วเปรยี บเทยี บค่าทไ่ี ดก้ บั 1
s s' f

40

ตารางบันทึกผลการทดลอง s'(cm) 1 (m-1) 1 (m-1) 1 + 1 (m-1)
s s' s s'
คร้งั ท่ี s (cm)

1
2
3
4
5

สรปุ ผลการทำกจิ กรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำถามทา้ ยกจิ กรรม

1. เมอ่ื เล่ือนเลนส์นูนห่างจากหลอดไฟเป็นระยะตา่ ง ๆ ผลรวมของ 1 กบั 1 มีคา่ เท่ากนั ทกุ กครง้ั หรอื ไม่
s s'
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ผลรวมของ 1 กับ 1 เท่ากบั 1 หรือไม่
s s' f
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

41

ใบงานที่ 11.4

เรอ่ื ง ภาพจากเลนสบ์ าง

คำช้แี จง : จงเขียนแผนภาพรงั สีของแสงต่อไปน้ี พรอ้ มระบุชนดิ ของภาพที่เกดิ ขนึ้

1. ชนดิ เลนส์บาง: เลนส์นูน

ตำแหน่งวตั ถุ รูปแสดงการเขียนรังสี ชนดิ ของ ขนาดของ ตำแหนง่
ภาพ ภาพ ภาพ

ระยะอนันต์

เลยจุด C
ออกไป

ท่จี ดุ C

ระหวา่ ง C
กับ F

ทจ่ี ุด F

ระหว่างจุด F
กับจุด
ก่งึ กลาง
เลนส์

2. ชนิดเลนสบ์ าง: เลนส์เวา้ 42

ตำแหนง่ วัตถุ รูปแสดงการเขียนรังสี ชนดิ ของ ขนาดของ ตำแหนง่
ภาพ ภาพ ภาพ

ระยะอนันต์

เลยจดุ C
ออกไป

ทจ่ี ุด C

ระหวา่ ง C
กบั F

ท่จี ดุ F

ระหว่างจดุ F
กบั จดุ
ก่งึ กลาง
เลนส์

43

คำชแ้ี จง: จงคำนวณหาผลลพั ธ์จากโจทยต์ อ่ ไปนี้
1. ปากกาแท่งหนึง่ วางห่างจากเลนส์ชนิดหนึ่ง 12 เซนติเมตร พบว่า เกิดภาพจริงหา่ งจากเลนส์ 6 เซนติเมตร
ถ้าวางปากกาไว้หางจากหนา้ เลนส์อันเดิม 3 เซนติเมตร จงหาชนิดของเลนส์ ชนิดของภาพ และตำแหน่งของ
ภาพ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. นำเลนสน์ นู ท่ีมคี วามยาวโฟกสั 20 เซนติเมตร และเลนสเ์ ว้าทม่ี คี วามยาวโฟกสั 10 เซนติเมตร มาวางห่างกัน
50 เซนตเิ มตร ถา้ นำวัตถมุ าวางห้าเลนส์นนู 40 เซนติเมตร จงหาชนดิ ของภาพ และตำแหน่งของภาพสุดท้ายท่ี
เกดิ จากเลนส์เวา้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

44

กจิ กร2ร2ม. 11.3

การหกั เหของแสงผ่านเลนสน์ ูน เฉลย

จดุ ประสงค์

ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัสของเลนส์นนู

เวลาทใ่ี ช้

50 นาที

วสั ดแุ ละอุปกรณ์

1. เลนสน์ ูน 1 อัน

2. ฉากขาว 1 อัน

3. ชุดกล่องแสง 1 ชดุ

4. ไมเ้ มตร 1 อัน

วธิ ีดำเนนิ กิจกรรม

ตอนที่ 1 การหาความยาวโฟกัสของเลนส์นูน

1. จดั เลนส์นนู และฉาก ดังรูป

2. เล่อื นเลนส์นูนไปท่ีตำแหนง่ ปลายสุดของราง

3. จัดเลนสน์ ูนให้รับแสงจากวัตถุที่อยไู่ กลจากเลนสน์ ูนมากๆ เช่น แสงจากดวงอาทิตย์

4. เลื่อนฉากจนได้ภาพวตั ถุคมชดั ที่สุดบนฉาก เพื่อวดั ความยาวโฟกสั ของเลนสน์ ูน

5. บันทกึ ความยาวโฟกัส(f) ของเลนส์นนู ทีว่ ัดได้

ตอนที่ 2 การหาความสัมพันธ์ระหวา่ งระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกสั

1. วางกล่องแสงไว้ท่ีปลายขา้ งหนึง่ ของไม้เมตร

2. วางเลนส์นนู บนไมเ้ มตรใหห้ า่ งจากไสห้ ลอดไปของกล่องแสงโดยมีระยะประมาณ 1.5 เท่าของความ

ยาวโฟกสั

3. เล่อื นฉากจนไดภ้ าพของไส้หลอดไฟของกลอ่ งแสงบนฉากคมชัดท่สี ดุ

4. วดั ระยะวัตถุ และระยะภาพ บันทกึ ค่าท่ีได้ในตารางบันทกึ ผล

5. ทำการทดลองซ้ำ ข้อ 2-4 โดยเลื่อนเลนสน์ นู ให้ห่างหลอดไฟของกลอ่ งแสงเปน็ ระยะต่างๆ อกี 4

ค่า

6. คำนวณผลรวมของ 1 กบั 1 แลว้ เปรียบเทยี บคา่ ทไี่ ดก้ ับ 1
s s' f

45

ตารางบันทกึ ผลการทดลอง s'(cm) 1 (m-1) 1 (m-1) 1 + 1 (m-1)
s s' s s'
คร้งั ท่ี s (cm) 34.5
28.1 4.0 2.9 6.9
1 25.0 24.8
2 30.0 22.7 3.3 3.6 6.9
3 35.0 20.4
4 40.0 2.9 4.0 6.9
5 50.0
2.5 4.4 6.9

2.0 4.9 6.9

สรุปผลการทำกจิ กรรม

1. เมื่อวตั ถอุ ยู่ไกลจากเลนสน์ นู มาก ๆ แสงจากวตั ถสุ ว่ นทมี่ ากระทบเลนสน์ ูนถือวา่ เป็นแสงขนาน และ

เมื่อแสงขนานผา่ นเลนส์นูนจะไปตัดกนั ที่โฟกัส นั่นคือ เกิดภาพของวัตถุที่อยู่ไกลมากที่โฟกัสของเลนส์ ทำให้

สามารถหาความยาวโฟกสั ของเลนสน์ ูน เท่ากบั 14.5 เซนตเิ มตร

2. ความสมั พันธ์ระหวา่ งสว่ นกลับของระยะวตั ถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส คอื 1 = 1 + 1
f s s'

คำถามท้ายกจิ กรรม

1. เม่อื เลือ่ นเลนสน์ ูนห่างจากหลอดไฟเป็นระยะตา่ ง ๆ ผลรวมของ 1 กับ 1 มคี ่าเท่ากันทุกกครั้งหรอื ไม่
s s'
เทา่ กันทุกครัง้

2. ผลรวมของ 1 กับ 1 เทา่ กบั 1 หรอื ไม่
s s' f
เทา่ กนั

46

ใบงานที่ 11.4

เรื่อง ภาพจากเลนสบ์ าง

คำชีแ้ จง : จงเขียนแผนภาพรงั สขี องแสงตอ่ ไปนี้ พรอ้ มระบชุ นดิ ของภาพท่ีเกดิ ข้นึ
1. ชนดิ เลนส์บาง: เลนสน์ ูน

47

2. ชนดิ เลนสบ์ าง: เลนส์เว้า


Click to View FlipBook Version