The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชิงรังสี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Yannawit Yothatorn, 2022-10-19 10:10:16

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชิงรังสี

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชิงรังสี

48

คำชแี้ จง: จงคำนวณหาผลลัพธจ์ ากโจทยต์ ่อไปนี้

1. ปากกาแท่งหนึง่ วางห่างจากเลนส์ชนิดหนึ่ง 12 เซนติเมตร พบว่า เกิดภาพจริงหา่ งจากเลนส์ 6 เซนติเมตร

ถ้าวางปากกาไว้หางจากหน้าเลนส์อันเดิม 3 เซนติเมตร จงหาชนิดของเลนส์ ชนิดของภาพ และตำแหน่งของ

ภาพ

วิธีทำ จากสมการ 1 = 11s12++s1'16
1f =
f
f = 4 cm

ฉะน้นั เลนส์ทใ่ี ชค้ ือ เลนส์นนู เพราะเกดิ ภาพจริง และระยะโฟกัสมคี า่ เป็นบวก

จากสมการ 1 = 1 + 1
1f = 1s + s1'
4 3 s'
s’ = -12 cm

ดังนนั้ เปน็ เลนส์นนู เกดิ ภาพเสมอื น และอย่หู ่างจากหน้าเลนสเ์ ทา่ กบั 12 เซนติเมตร

2. นำเลนส์นนู ทมี่ คี วามยาวโฟกัส 20 เซนติเมตร และเลนส์เวา้ ท่มี คี วามยาวโฟกสั 10 เซนตเิ มตร มาวางหา่ งกัน

50 เซนตเิ มตร ถ้านำวตั ถมุ าวางห้าเลนสน์ นู 40 เซนติเมตร จงหาชนดิ ของภาพ และตำแหน่งของภาพสุดท้ายท่ี

เกิดจากเลนส์เวา้

วิธที ำ จากสมการ 1 = 14s10++s1's1'
f1 =
20
s’ = 40 cm

ภาพที่เกดิ จากเลนส์นนู คอื วตั ถขุ องเลนส์เว้า

ซ่ึงห่างจากเลนส์เว้าเท่ากบั 50 – 40 = 10 cm

จากสมการ 1 = 11s10++s1's1'
f1 =
10
s’ = -5 cm

ดงั นั้น เกดิ ภาพเสมอื น และอยหู่ ่างจากเลนสเ์ วา้ ดา้ หนา้ เทา่ กับ 5 เซนตเิ มตร


49

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 5 เรื่อง ภาพจากกระจกเงาทรงกลม

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 11 แสงเชิงรังสี รหัสวิชา ว32203 ชอ่ื วชิ า ฟิสกิ ส์ 3

จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ จำนวน 4 ชวั่ โมง

ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. มาตรฐานการเรียนรู้

สาระฟิสิกส์ : เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้

ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและคำนวณ

ตำแหน่งและขนาดภาพของวัตถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้งอธิบาย
การนำความรู้เรื่องการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจำวัน

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
- อธิบายรงั สีของแสงที่สะทอ้ นจากผิวของกระจกเงาทรงกลมเพ่ือระบตุ ำแหน่งและชนิดของ

ภาพ
3.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- เขยี นรงั สขี องแสงที่สะทอ้ นจากผวิ ของกระจกเงาทรงกลมเพื่อระบตุ ำแหนง่ และชนดิ ของ

ภาพ
- คำนวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กยี่ วข้องกบั การเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม

3.3 ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
- มวี ินยั ใฝ่เรยี นรู้ มุง่ มั่นในการทำงาน

4. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น
4.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
4.2 ความสามารถในการคิด


50

5. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

6. สาระสำคัญ

เลนส์บางทำงานโดยใชห้ ลักการหักเหของแสง ทำจากแก้วหรอื พลาสติกทม่ี ผี วิ โคง้ ทรงกลมทงั้ สอง ข้าง

ไม่ขนานกนั เลนส์บางมี 2 ชนดิ คอื เลนสน์ นู (convex lens) และเลนส์เว้า (concave lens) เมื่อวางวัตถุ

หน้าเลนสบ์ างจะเกดิ ภาพของวัตถุ โดยตำแหนง่ ขนาดและชนดิ ของภาพที่เกดิ ข้นึ หาไดจ้ ากการเขยี น รงั สีของ

แสงหรอื ใชค้ วามสมั พนั ธ์ 1 = 1 + 1 ซ่งึ เรยี กว่า สมการของเลนส์บาง
f s s'
กำลังขยาย (magnification, M) เท่ากับอัตราส่วนความสูงของภาพ y'กับความสูงของวัตถุ y ดัง

สมการ M= y'
y
กระจกเงาทรงกลมทำด้วยวัสดุที่สามารถสะท้อนแสงไดด้ ีเช่นเดียวกับกระจกเงาราบ กระจกเงาทรง

กลม มี 2 ชนิด คือ กระจกโค้งเว้า (concave mirror) และกระจกโค้งนูน (convex mirror) เมื่อวางวัตถุ

หนา้ กระจกเงาทรงกลมจะเกิดภาพของวัตถุ โดยตำแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพทเี่ กิดขนึ้ หาไดจ้ าก การเขียน

รงั สขี องแสงและการคำนวณโดยใชร้ ปู แบบสมการทีเ่ หมอื นกบั สมการของเลนส์บาง

7. ภาระงาน/ชิ้นงาน
7.1 ใบงาน 11.5 ภาพจากกระจกเงาทรงกลม

8. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ข้ันท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
ครูนำเข้าสู่บทเรียน โดยครูนำนักเรียนอภปิ รายทบทวนความรู้เกียวกับภาพที่เกดิ จากจากกระจกเงา

ราบ แลว้ รว่ มกนั อภิปรายตอ่ โดยตอบคำถามดังนี้
- ภาพที่เกิดจากกระจกเงาที่มีผิวโค้งจะเหมือนหรือแตกต่างจากกระจกเงาราบหรือไม่

อยา่ งไร
- กระจกเงาผิวโคง้ มีกแี่ บบ แต่ละแบบจะทำให้เกิดภาพเหมอื นหรอื แตกต่างกนั หรอื ไม่

ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรยี นแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไมค่ าดหวงั คำตอบท่ีถูกตอ้ ง

ข้ันที่ 2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา
1. นกั เรียนสบื ค้นข้อมลู เกี่ยวกบั ภาพที่เกิดจากกระจกเงากลม ตามรายละเอยี ดหนังสือเรยี นหนา้ 205-
209
2. นกั เรยี นสรปุ องค์ความร้ทู ีไ่ ด้จากการสืบค้นขอ้ มูล บนั ทึกลงในสมุดจดบนั ทกึ


51

ขน้ั ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ
1. ครูสมุ่ นักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการสบื ค้นขอ้ มูลหนา้ ช้ันเรียน
2. ครนู ำนกั เรียนอภิปรายจนไดข้ ้อสรุปตามประเด็นคำถามขา้ งต้นดังน้ี

- กระจกเงาโคง้ สามารถทำใหเ้ กิดภาพจากการสะทอ้ นของแสง ทำด้วยวสั ดทุ ีส่ ามารถสะท้อน
แสงได้ดีเชน่ เดียวกบั กระจกเงาราบแต่มีผิวโค้ง

3. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ในระดับนี้นักเรียนจะศึกษาเกี่ยวกับกระจกเงาโค้งที่มีผิวโค้งเป็น
ส่วนประกอบของผิวของทรงกลม ซึ่งเรยี กว่า กระจกเงาทรงกลม ซึ่งแบ่งไดเ้ ปน็ กระจกโค้งนูนและกระจกโค้ง
เว้า

4. ครูอธิบายการหาภาพจากกระจกเว้าสามารถทำ ได้โดยเขียนรังสี 4 เส้น ที่ลากจากส่วนปลายบน
ของวัตถุมากระทบกระจกโค้งเว้า ได้แก่ รังสีของแสงที่ขนานกับเส้นแกนมุขสำคัญ รังสีของแสงที่ผ่านโฟกัส
ด้านหน้ากระจกโค้งเวา้ รังสีของแสงทีก่ ระทบกึง่ กลางกระจก และรังสีของแสงทีผ่ ่านศนู ย์กลางความโคง้ โดย
ตอ่ เส้นรงั สีสะท้อนของรังสตี กกระทบทง้ั ส่เี ส้นจนตัดกนั จะเปน็ ตำแหน่งภาพปลายบนของวัตถุ จากนั้นวาดภาพ
วัตถุส่วนที่เหลือทัง้ หมดจากภาพปลายบนไปตั้งฉากกบั แกนมุขสำคัญ โดยภาพจริงจากกระจกโค้งเวา้ เกิดจาก
รังสีของแสงตดั กนั จริงทดี่ ้านเดียวกบั วตั ถซุ ึ่งเป็นดา้ นหน้าของกระจกโค้งเว้า

4. นักเรียนทำแบบฝึกหัดคำถามตรวจสอบความเข้าใจ 11.3 ในหนังสือเรียนหน้า 217 ส่งครูท้าย
ชวั่ โมง

ข้นั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้
1. นักเรียนศึกษาลักษณะของกระจกโค้งนูนในหนังสือเรียน จากนั้นครูใช้รูป 11.41 นำนักเรียน
อภปิ รายจนสรุปเก่ียวกับโฟกัสของกระจกโคง้ นูน รังสีสะท้อนทเ่ี กิดจากรงั สีตกกระทบมีแนวขนานเส้นแกนมุข
สำคัญ มีแนวผ่านโฟกัส มีแนวผ่านกึ่งกลางกระจก และมีแนวผ่านศูนย์กลางความโค้ง โดยการหาภาพที่เกิด
จากกระจกโค้งนูนสามารถทำ ได้โดยการเขียนแผนภาพรังสีของแสงเช่นเดียวกับกระจกโค้งเว้าดังรูป 11.42
ตามรายละเอยี ดในหนงั สือเรียน
2. ครูนำนกั เรยี นอภปิ รายเกยี่ วกบั การคำนวณเก่ียวกับกระจกเงาทรงกลม โดยยกตัวอย่างรปู ท่ี 11.40
ในหนังสือเรียนหนา้ 207 และรปู ที่ 11.42 ในหังสอื เรยี นหนา้ 209
3. นักเรียนศึกษาตัวอย่างการคำนวณเกี่ยวกับกระจกเงาทรงกลม จากตัวอย่างที่ 11.12-11.13 ใน
หนังสอื เรียนหน้า 214-1215
4. ครูมอบหมายใหน้ กั เรยี นทำใบงาน 11.5 เรื่อง ภาพจากกระจกเงาทรงกลม ส่งครูในชัว่ โมงถดั ไป

ขน้ั ที่ 5 ขัน้ ประเมินผล
1. ครตู รวจสอบผลการทำแบบฝึกหดั รวจสอบความเข้าใจ 11.3
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำใบงานท่ี 11.5 เรื่อง ภาพจากกระจกเงาทรงกลม
4. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานของนักเรียน


52

9. ส่อื การเรยี นรู้
9.1 ส่อื การเรียนรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 11 เรอื่ ง แสงเชงิ รังสี
2) แบบฝึกหัดหน่วยการเรียนรู้ที่ 11 ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับ
ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
3) ใบงานที่ 11.5 เรือ่ ง ภาพจากกระจกเงาทรงกลม
9.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) หอ้ งสมุด
3) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ


53

10. การวัดผลประเมินผล

รายการวัด วิธีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
- คำถามตรวจสอบความ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ดา้ นความรู้ (K) เข้าใจ 11.3
ระดับคุณภาพ 2
- อธบิ ายรังสีของแสงท่ี - ตรวจคำถามตรวจสอบ - แบบประเมนิ ทกั ษะ ผ่านเกณฑ์
กระบวนการทาง
สะท้อนจากผิวของกระจก ความเขา้ ใจ 11.3 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั คณุ ภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
เงาทรงกลมเพื่อระบุ - แบบประเมิน
คณุ ลกั ษณะ
ตำแหนง่ และชนดิ ของ อนั พงึ ประสงค์

ภาพ

ดา้ นกระบวนการ (P)

- เขียนรังสีของแสงท่ี - ตรวจใบงาน 11.5

สะท้อนจากผิวของกระจก

เงาทรงกลมเพ่ือระบุ

ตำแหน่งและชนดิ ของ

ภาพ

- คำนวณหาปริมาณต่างๆ

ทเี่ ก่ยี วข้องกบั การเกดิ

ภาพจากกระจกเงาทรง

กลม

ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

- คุณลกั ษณะอันพงึ - สงั เกตความมวี นิ ัย

ประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ มนั่

ในการทำงาน

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน


54

การประเมนิ กจิ กรรม

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ดา้ นความรู้ ด้านทกั ษะ ดา้ น รวม ระดับ
คะแนน คณุ ภาพ
เลขท่ี (K) (P) คณุ ลกั ษณะ
9 ดีมาก
(A) 9 ดีมาก
9 ดีมาก
333 9 ดีมาก
9 ดมี าก
13 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
23 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
33 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
43 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
53 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
63 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
73 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
83 3 3 9

93 3 3

10 3 3 3

11 3 3 3

12 3 3 3

13 3 3 3

14 3 3 3

15 3 3 3

16 3 3 3

17 3 3 3

18 3 3 3

19 3 3 3

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถงึ ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรุบปรงุ
คะแนน


55


56

ใบงานที่ 11.5

เรอ่ื ง ภาพจากกระจกเงาทรงกลม

คำชี้แจง : จงเขียนแผนภาพรงั สขี องแสงตอ่ ไปนี้ พร้อมระบชุ นดิ ของภาพท่เี กดิ ขนึ้

1. ชนิดกระจก: กระจกเว้า

ตำแหนง่ วตั ถุ รูปแสดงการเขยี นรงั สี ชนิดของ ขนาดของ ตำแหนง่
ภาพ ภาพ ภาพ

ระยะอนนั ต์

อยหู่ น้า C

อยทู่ ี่ C

ระหว่าง C
กบั F

ท่จี ุด F

ระหวา่ งจุด F
กับ V


2. ชนิดกระจก: กระจกนูน 57

ตำแหน่งวตั ถุ รูปแสดงการเขียนรังสี ชนิดของ ขนาดของ ตำแหนง่
ภาพ ภาพ ภาพ

ระยะอนันต์

อยู่หน้า C

อยทู่ ี่ C

ระหวา่ ง C
กับ F

ทจี่ ุด F

ระหว่างจุด F
กบั V


58

คำชแี้ จง: จงคำนวณหาผลลพั ธจ์ ากโจทย์ต่อไปนี้
1. วางวัตถุไว้ตรงกลางระหว่างกระจกเว้าและกระจกราบ โดยหันกระจกเข้าหากัน ปรากฏว่าเกิดภาพจาก
กระจกทัง้ สองที่ตำแหนง่ เดียวกับวัตถุ ถ้ากระจกเว้ามีรศั มีความโค้ง 75 เซนติเมตร จงหาว่ากระจกท้ังสองบาน
วางหา่ งกันเท่าใด พรอ้ มวาดภาพประกอบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. วางวัตถุไว้หน้ากระจกเว้า ปรากฏว่า ได้ภาพที่ตำแหน่งเดียวกับวัตถุ เมื่อเลื่อนวัตถุเข้าหากระจกอีก 15
เซนติเมตร จะไดภ้ าพทร่ี ะยะอนันต์ ถา้ เล่ือนวัตถุย้อนออกไปอีก 5 เซนติเมตร จงหาชนิดของภาพและตำแหน่ง
ของภาพ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


ใบงานท่ี 11.5 59

เร่อื ง ภาพจากกระจกเงาทรงกลม เฉลย

คำช้ีแจง : จงเขียนแผนภาพรงั สีของแสงตอ่ ไปน้ี พรอ้ มระบชุ นิดของภาพทีเ่ กดิ ข้ึน
1. ชนิดกระจก: กระจกเวา้


60

2. ชนดิ กระจก: กระจกนูน


61

คำชแี้ จง: จงคำนวณหาผลลัพธ์จากโจทย์ตอ่ ไปนี้

1. วางวัตถุไว้ตรงกลางระหว่างกระจกเว้าและกระจกราบ โดยหันกระจกเข้าหากัน ปรากฏว่าเกิดภาพจาก

กระจกทัง้ สองทตี่ ำแหนง่ เดียวกับวัตถุ ถ้ากระจกเวา้ มรี ัศมีความโคง้ 75 เซนติเมตร จงหาวา่ กระจกทั้งสองบาน

วางห่างกันเทา่ ใด พรอ้ มวาดภาพประกอบ

วธิ ีทำ กำหนดให้ x คือ ระยะหา่ งระหว่างกระจกท้งั สอง

เนอื่ งจากภาพที่เกดิ จากกระจกเงาราบ เป็นภาพเสมือน ระยะภาพเท่ากับระยะวตั ถุ

ฉะนั้น เกดิ ภาพของกระจกเงาราบทีร่ ะยะ x cm ซึง่ หา่ งจากกระจกเวา้ เทา่ กบั x = x + 3 cm (ระยะ
2 2 2
วัตถขุ องกระจกเวา้ ) และระยะภาพของกระจกเว้าเท่ากบั x cm
2
R 725312s2=x+++36s1'7x2'.5
จากโจทย์ f = 2 = cm
จากสมการ = 3x
1 =
f1 =
371.5
37.5
x = 100 cm

ดังนน้ั กระจกท้ังสองบานวางห่างกันเท่ากบั 100 เซนติเมตร

2. วางวัตถุไว้หน้ากระจกเว้า ปรากฏว่า ได้ภาพที่ตำแหน่งเดียวกับวัตถุ เมื่อเลื่อนวัตถุเข้าหากระจกอีก 15

เซนติเมตร จะได้ภาพท่ีระยะอนนั ต์ ถา้ เล่อื นวตั ถุย้อนออกไปอกี 5 เซนตเิ มตร จงหาชนิดของภาพและตำแหน่ง

ของภาพ

วิธที ำ ตำแหนง่ แรก ท่ีไดภ้ าพท่ีตำแหน่งเดียวกับวัตถุ แสดงว่า วตั ถุอยู่ท่จี ดุ ศนู ย์กลางความโค้ง เมื่อเลอื่ นวัตถุ

เข้าหากระจกอกี 15 เซนติเมตร จะได้ภาพท่รี ะยะอนันต์ แสดงวา่ วตั ถุทอ่ี ย่ตู ำแหนง่ จุดโฟกสั ฉะนน้ั ความยาว

โฟกัสเทา่ กับ 15 เซนติเมตร

เมอ่ื เล่อื นวตั ถยุ ้อนออกไปอกี 5 เซนติเมตร ฉะน้ัน ระยะวัตถุเท่ากบั 20 เซนติเมตร

จากสมการ 1 = 21s10++s1's1'
f1 =
15
s’ = 60 cm

ดงั นัน้ ภาพท่ไี ด้เป็นภาพจริง อยู่หา่ งจากหน้ากระจกเทา่ กบั 60 เซนติเมตร


62

แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 6 เรอ่ื ง แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 11 แสงเชงิ รังสี รหัสวชิ า ว32203 ชอื่ วิชา ฟิสิกส์ 3

จำนวน 1.5 หน่วยกิต จำนวน 3 ชวั่ โมง

ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. มาตรฐานการเรียนรู้

สาระฟิสิกส์ : เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้

ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
สังเกตและอธิบายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทั้งอธิบาย

สาเหตุของการบอดสี

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
- อธิบายการมองเห็นแสงสี สีของวตั ถุ และสาเหตุของการบอดสี
- อธบิ ายการผสมแสงสี และการผสมสารสี
3.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- ทดลองเกี่ยวกับแสงสแี ละการมองเห็นแสงสี
3.3 ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
- มีวนิ ยั ใฝ่เรียนรู้ ม่งุ มน่ั ในการทำงาน

4. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
4.1 ความสามารถในการสือ่ สาร
4.2 ความสามารถในการคดิ

5. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนิค : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)


63

6. สาระสำคญั
การมองเห็นแสงสเี ปน็ การรับรู้อย่างหน่งึ ท่ีเกิดขน้ึ ในสมองเม่ือมีแสงมากระทบบนจอตา (retina) ซ่ึงมี

เซลล์รูปกรวย (cone cell) 3 ชนิด คือ ชนิด S ชนิด M และ ชนิด L โดยเซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดจะมีการ
ตอบสนองตอ่ แสงทมี่ ีความยาวคล่นื ตา่ ง ๆ ทแ่ี ตกต่างกนั การมองเห็นสีของวัตถุจะขน้ึ กับแสงสที ี่ตก กระทบกับ
วตั ถแุ ละสารสีบนวตั ถโุ ดยสารสีจะดูดกลืนบางแสงสีและสะท้อนบางแสงสีเมื่อแสงสีสะทอ้ นจาก วัตถุมาเข้าตา
ทำให้สามารถมองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ได้ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน จัดเป็น แสงสีปฐมภูมิ
(primary colours of light) เพราะเมื่อแสงสีเหล่านี้มาผสมกนั จะได้เปน็ แสงสตี ่าง ๆ ครบทุกสี ส่วนสารสีน้ำ
เงินเขียว สารสีเหลือง และสารสีแดงม่วง จัดเป็นสารสีปฐมภูมิ (primary colours of pigment) เพราะเม่ือ
สารสีเหล่านมี้ าผสมกนั จะได้สตี ่าง ๆ ครบทกุ สี ถ้าเซลล์รปู กรวยชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ หรือ มากกวา่ มคี วามบกพร่อง
จะมองเห็นสแี ตกต่างไปจากคนปกติเรยี กความผิดปกติในการมองเหน็ สีนี้วา่ การบอดสี (colour blindness)

ความรู้เรื่องแสงเชิงรังสีสามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ
และการเห็นทอ้ งฟา้ เปน็ สีต่าง ๆ ในช่วงเวลาตา่ งกนั รวมท้งั การใชป้ ระโยชน์เกีย่ วกับแสงในชีวติ ประจำวัน เช่น
กลอ้ งโทรทรรศนก์ ล้องจุลทรรศน์และกล้องถ่ายรปู

7. ภาระงาน/ชิ้นงาน
7.1 กจิ กรรม 11.4 การผสมแสงสบี นฉากขาว
7.2 แบบฝึกหัดตรวจสอบความเข้าใจ 11.4

8. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ข้นั ที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยการเปิดวิดีทัศน์เกี่ยวกับการผสมแสงสี การผสมสารสี การจัดฉากการแสดง

ด้วยแสงสี การผสมสารสีสำหรับวาดเขียน หรือฉายแสงสีต่าง ๆ ลงบนวัตถุ ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า มี
ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการมองเห็นสี เหตุใดจึงไม่ใช้ตาของมนุษย์ในการระบุสี แต่ใช้รหัสสีและการจำแนกสี
เช่น ใช้ RGB code ในงานผสมแสงสี และใช้ CYMK code ในงานผสมสารสี ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดง
ความคิดเห็นอยา่ งอสิ ระ

2. ครใู หน้ กั เรียนสงั เกตวัตถุทีม่ ีสตี ่าง ๆ แลว้ ตอบคำถามว่าส่วนใดของตาของมนษุ ย์ทำให้มองเห็นวัตถุ
เป็นสตี า่ ง ๆ โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ

3. นักเรยี นรว่ มกันตอบคำถามของครูวา่ ถา้ ฉายแสงหลายสีมาผสมกันบนฉากขาวจะเกิดอะไรขึ้น เช่น
ถ้าฉายแสงสแี ดงผสมกับแสงสีเขียว หรือ ฉายแสงสเี ขียวผสมกับแสงสีน้ำเงนิ จะมองเห็นเปน็ แสงสใี ด การผสม
แสงสีดังกล่าว มผี ลตอ่ การกระตุน้ เซลลร์ ูปกรวยท่ีตาอย่างไร ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสระ


64

ข้นั ท่ี 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา
1. นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ปฏิบัติกิจกรรม 11.4 การผสมแสงสีบนฉากขาว ในหนังสือเรียน
หนา้ 220 พรอ้ มท้งั ตอบคำถามท้ายกิจกรรม
2. ครชู ี้แจงจุดประสงค์การทำกิจกรรม และคอยใหค้ ำแนะนำตลอดการทำกิจกรรม

ขั้นที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
1. ตัวแทนแต่ละกลมุ่ ออกมานำเสนอผลการสืบคน้ ข้อมลู หนา้ ช้นั เรยี น
2. ครนู ำนักเรียนอภิปรายเพ่อื นำไปสกู่ ารสรุปผลการทำกจิ กรรมจนสรปุ ไดว้ ่า “เมอ่ื นำแสงสตี ่าง ๆ มา
ผสมกนั จะเหน็ เปน็ แสงสีใหม่ โดยการผสมระหว่างแสงสแี ดง สีเขียว และสีน้ำเงิน จะเหน็ เปน็ แสงสขี าว”
3. ครูใช้รูป 11.46 ในหนังสือเรยี น นำนักเรียนอภิปรายเกีย่ วกบั การใช้ไดโอดแปล่งแสงชนิดสามสีใน
การสรา้ งภาพ ตามรายละเอียดในหนงั สือเรียน จนสรุปไดว้ า่ การผสมของแสงสีแดง แสงสเี ขยี ว และแสงสีน้ำ
เงนิ ทำใหเ้ กิดการกระต้นุ เซลลร์ ูปกรวยในลักษณะต่าง ๆ จึงมองเห็นเปน็ แสงสอี ืน่ ๆ ไดค้ รบทกุ สเี ชน่ การผสม
แสงสีจากไดโอดเปลง่ แสง
4. ครูใชร้ ปู 11.47 ในหนังสือเรยี น นำ นักเรียนอภปิ รายเกี่ยวกบั การผสมแสงสจี นสรุปได้วา่ แสงสีปฐม
ภูมปิ ระกอบด้วยแสงสี 3 แสงสคี ือ แสงสีแดง แสงสเี ขียว และแสงสีน้ำ เงิน

ขน้ั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้
1. ครอู ธบิ ายใหค้ วามรูเ้ พิ่มเตมิ เก่ียวกบั แสงสีและการมองเห็นตามประเด็นดงั น้ี

- แสงสที ่ผี า่ นแผน่ พลาสติกโปร่งใส แผ่นพลาสติกโปร่งใสสตี ่างๆ ทำ หน้าท่ีกั้นแสงบางสีไว้
และยอมให้แสงบางสผี า่ นไปไดซ้ งึ่ เรียกว่า แผน่ กรองแสงสีนอกจากนค้ี รูอาจช้แี จงว่า ความสามารถในการกรอง
แสงสขี องแผ่นกรองแสงสีขึ้นอยูก่ ับคุณภาพของแผน่ กรองแสงสียิ่งแผ่นกรองแสงสีมีคุณภาพสูงก็จะกรองแสงสี
ออกมาเปน็ สนี ้ัน ๆ ไดโ้ ดยแสงสอี ่ืน ๆ ปนออกมานอ้ ยมาก

- การผสมสารสี คุณสมบัติการดูดกลืนและสะท้อนแสงสีของสารสีในวัตถุนำ มาใช้อธิบาย
การผสมสารสีสารสีทไี่ ม่อาจสร้างข้นึ จากการผสมสารสีตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกันมี 3 สคี ือ สารสนี ำ้ เงนิ เขยี ว (Cyan)
สารสีเหลือง (Yellow) และสารสีแดงม่วง (Magenta) ซึ่งเรียกว่า สารสีปฐมภูมิซึ่งเมือ่ นำมาผสมกันจะได้เปน็
สารสีอ่นื ๆ ตามต้องการ จึงนำมาใช้เปน็ หมกึ พิมพ์

2. ครมู อบหมายใหน้ กั เรียนทำแบบฝึกหัดตรวจสอบความเข้าใจ 11.4 ส่งครูในชัว่ โมงถดั ไป

ขนั้ ที่ 5 ขน้ั ประเมนิ ผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำกิจกรรมท่ี 11.4 การผสมแสงสีบนฉากขาว
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำแบบฝึกหัดตรวจสอบความเข้าใจ 11.4
4. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานของนักเรยี น


65

9. สื่อการเรียนรู้
9.1 สื่อการเรียนรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 11 เรื่อง แสงเชิงรงั สี
2) แบบฝึกหดั หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 11 เรื่อง แสงเชงิ รงั สี ในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม ฟิสิกส์ ม.5
เล่ม 3 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
9.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรียน
2) ห้องสมุด
3) แหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศ


66

10. การวัดผลประเมินผล

รายการวัด วิธีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ด้านความรู้ (K) - คำถามตรวจสอบความ
เข้าใจ 11.4 ระดับคุณภาพ 2
- อธิบายการมองเหน็ แสง - ตรวจคำถามตรวจสอบ ผ่านเกณฑ์
- แบบประเมนิ ทกั ษะ
สี สขี องวัตถุ และสาเหตุ ความเขา้ ใจ 11.4 กระบวนการทาง ระดบั คณุ ภาพ 2
วทิ ยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
ของการบอดสี
- แบบประเมิน
- อธบิ ายการผสมแสงสี คณุ ลกั ษณะ
อนั พงึ ประสงค์
และการผสมสารสี

ด้านกระบวนการ (P)

- ทดลองเกี่ยวกบั แสงสี - ตรวจกิจกรรม 11.4

และการมองเหน็ แสงสี

ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)

- คณุ ลักษณะอันพึง - สงั เกตความมีวนิ ัย

ประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุง่ มนั่

ในการทำงาน

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน


67

การประเมนิ กจิ กรรม

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

ดา้ นความรู้ ด้านทักษะ ด้าน รวม ระดับ
คุณภาพ
เลขที่ (K) (P) คุณลกั ษณะ คะแนน
ดมี าก
(A) ดีมาก
ดีมาก
3339 ดีมาก
ดมี าก
13 3 3 9 ดมี าก
ดมี าก
23 3 3 9 ดมี าก
ดมี าก
33 3 3 9 ดีมาก
ดมี าก
43 3 3 9 ดีมาก
ดีมาก
53 3 3 9 ดีมาก
ดีมาก
63 3 3 9 ดีมาก
ดมี าก
73 3 3 9 ดมี าก
ดมี าก
83 3 3 9

93 3 3 9

10 3 3 3 9

11 3 3 3 9

12 3 3 3 9

13 3 3 3 9

14 3 3 3 9

15 3 3 3 9

16 3 3 3 9

17 3 3 3 9

18 3 3 3 9

19 3 3 3 9

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถงึ ระดับปรุบปรงุ
คะแนน


68


69

กิจกร2ร2ม. 11.4

จุดประสงค์ การผสมแสงสบี นฉากขาว
เพ่ือศึกษาการผสมแสงสี
1 อัน
เวลาทีใ่ ช้
30 นาที

วัสดแุ ละอปุ กรณ์
1. กลอ่ งผสมแสงสี

วธิ ดี ำเนนิ กิจกรรม
1. ถอื กล่องผสมแสงสีโดยหนั ดา้ นที่มแี ผ่นกรองแสงสีแดง เขยี ว และน้ำเงนิ รบั แสงจากดวงอาทิตย์
2. หมนุ แผ่นกรองแสงสีและตวั สะทอ้ นในแสงที่ผา่ นแผน่ กรองแสงสีท้ังสามตกกระทบที่ตำแหนง่ เดียวกัน

บนฉากของกลอ่ งผสมแสงสี
3. สังเกตการผสมของแสงสีแดง แสงสีเขยี ว และแสงสีน้ำเงนิ แล้วบันทึกผล
4. ทำการทดลองซ้ำโดยปรับแผน่ กรองแสงสที ง้ั สามเพ่อื ใหแ้ สงที่ผ่านแผ่นกรองแสงสเี กดิ เป็นวงสีซ้อนกัน

ตามลำดับ ดงั น้ี
ก. แดงและเขยี ว
ข. แดงและนำ้ เงนิ
ค. เขียวและนำ้ เงนิ

สังเกตแสงสผี สมทปี่ รากฏบนฉากในแตล่ ะครั้ง แล้วบนั ทกึ ผล


70

ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง สที ป่ี รากฏบนฉากบรเิ วณที่ ตวั อย่าง
แสงสีทีผ่ สม แสงสีซ้อนกัน

แดง + เขยี ว + น้ำเงิน

แดง + เขียว

แดง + นำ้ เงิน

เขียว + น้ำเงิน

สรปุ ผลการทำกิจกรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. สีทป่ี รากฎบนฉาก ณ บริเวณท่ีวงสซี ้อนกัน เหมอื นกบั สีของแสงทีม่ าซอ้ นสีใดสหี นงึ่ หรือไม่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


กิจกร2ร2ม. 11.4 71

เฉลย

จดุ ประสงค์ การผสมแสงสบี นฉากขาว
เพือ่ ศกึ ษาการผสมแสงสี
1 อัน
เวลาที่ใช้
30 นาที

วัสดแุ ละอปุ กรณ์
1. กล่องผสมแสงสี

วิธีดำเนนิ กจิ กรรม
1. ถือกล่องผสมแสงสีโดยหนั ดา้ นท่ีมีแผน่ กรองแสงสแี ดง เขียว และนำ้ เงิน รบั แสงจากดวงอาทิตย์
2. หมนุ แผน่ กรองแสงสีและตัวสะท้อนในแสงท่ผี า่ นแผน่ กรองแสงสที ง้ั สามตกกระทบทต่ี ำแหน่งเดียวกัน

บนฉากของกลอ่ งผสมแสงสี
3. สังเกตการผสมของแสงสแี ดง แสงสเี ขียว และแสงสีนำ้ เงิน แลว้ บันทึกผล
4. ทำการทดลองซ้ำโดยปรบั แผน่ กรองแสงสที ง้ั สามเพอ่ื ใหแ้ สงท่ีผา่ นแผน่ กรองแสงสีเกิดเป็นวงสีซอ้ นกัน

ตามลำดบั ดังนี้
ก. แดงและเขยี ว
ข. แดงและนำ้ เงิน
ค. เขยี วและนำ้ เงิน

สงั เกตแสงสีผสมทป่ี รากฏบนฉากในแตล่ ะครัง้ แลว้ บนั ทึกผล


72

ตารางบันทกึ ผลการทดลอง สที ่ีปรากฏบนฉากบรเิ วณท่ี ตวั อย่าง
แสงสีทีผ่ สม แสงสีซ้อนกัน

แดง + เขียว + น้ำเงนิ ขาว

แดง + เขียว เหลอื ง

แดง + นำ้ เงิน แดงมว่ ง

เขียว + น้ำเงิน น้ำเงินเขียว

สรุปผลการทำกจิ กรรม
เมื่อนำแสงสตี ่าง ๆ มาผสมกนั จะเห็นเป็นแสงสใี หม่ โดยการผสมระหว่างแสงสีแดง สีเขยี ว และสนี ้ำเงิน

จะเห็นเปน็ แสงสีขาว

คำถามท้ายกิจกรรม
1. สีที่ปรากฎบนฉาก ณ บรเิ วณทีว่ งสีซอ้ นกนั เหมอื นกบั สีของแสงท่ีมาซ้อนสีใดสหี น่งึ หรือไม่

สีที่ปรากฎบนฉาก ณ บริเวณทว่ี งสีซอ้ นกนั ไม่เหมอื นสขี องแสงทม่ี าซ้อนสใี ดสหี น่งึ


73

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 7 เรอ่ื ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติของแสง

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 11 แสงเชงิ รังสี รหสั วชิ า ว32203 ชื่อวชิ า ฟสิ กิ ส์ 3

จำนวน 1.5 หน่วยกติ จำนวน 3 ชวั่ โมง

ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

สาระฟิสิกส์ : เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้

ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ และการเห็นท้องฟ้าเป็น

สีต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่างกัน

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
- อธบิ ายการเกิดรุ้ง การทรงกลด มริ าจ และการมองเหน็ ท้องฟ้าเปน็ สีต่าง ๆ ในช่วงเวลาท่ี

ตา่ งกัน
3.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- สบื คน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกับการนำความรเู้ รอ่ื งแสงเชงิ รังสีไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวัน
3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
- มวี ินยั
- ใฝ่เรยี นรู้
- มุ่งม่ันในการทำงาน

4. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
4.1 ความสามารถในการส่อื สาร
4.2 ความสามารถในการคิด

5. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)


74

6. สาระสำคญั
ความรู้เรื่องแสงเชิงรังสีสามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ

และการเห็นท้องฟา้ เป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาตา่ งกนั รวมทง้ั การใชป้ ระโยชนเ์ กย่ี วกับแสงในชีวิตประจำวัน เช่น
กลอ้ งโทรทรรศน์ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และกลอ้ งถ่ายรูป

7. ภาระงาน/ชิ้นงาน
7.1 ใบงาน 11.6 ปรากฏการณ์ธรรมชาติของแสง
7.2 แบบฝกึ หัดตรวจสอบความเข้าใจ 11.5

8. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ข้ันท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1. ครนู ำเขา้ สูบ่ ทเรยี นโดยให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่า ปรากฏการณธ์ รรมชาติทเ่ี ก่ียวกับแสง ได้แก่

การเกดิ รุ้ง การทรงกลด มิราจ และการมองเห็นท้องฟา้ เป็นสีตา่ ง ๆ ในช่วงเวลาท่ีตา่ งกันมีลักษณะอยา่ งไร เกิด
เมอื่ ไร และเกดิ ไดอ้ ยา่ งไร ครเู ปิดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอิสระ

2. ครูตั้งคำถามเพื่อนำเข้าสู่การทำกิจกรรมว่า รุ้งมีกี่ชนิด แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร รุ้งเกิดข้ึน
เมื่อใด และรงุ้ เกิดขึน้ ได้อย่างไร โดยครเู ปดิ โอกาสให้นกั เรียนแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอิสระ

ข้ันที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา
1. นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4-5 คน สืบคน้ ขอ้ มูลเกีย่ วกับปรากฏการณธ์ รรมชาติท่ีเกี่ยวกบั แสง กลุ่มละ
1 หวั ขอ้ ดงั น้ี

- การเกิดรงุ้
- การเกดิ มริ าจ
- การทรงกลด
- การเห็นท้องฟ้าเปน็ สีต่างๆ ในช่วงเวลาตา่ งกัน
2. นกั เรียนสรปุ องค์ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการสบื ค้นลงในสมุดจดบนั ทึก

ขั้นท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
1. นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ออกมานำเสนอผลการสบื ค้นขอ้ มลู หน้าช้ันเรียน
2. ครูนำนกั เรียนอภปิ รายผลการสบื ค้นข้อมูลปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ เ่ี กีย่ วกับแสง ดงั น้ี

- ครูใช้รูป 11.59 ในหนังสือเรยี น นำนักเรียนอภิปรายเกีย่ วกบั การมองเห็นรุง้ จนสรุปได้ว่า
รงุ้ ที่มองเห็นจะตอ้ งเป็นส่วนของวงกลมเพอื่ ทำให้มมุ ของแสงแต่ละสีท่ีเข้าสู่ตาของผู้สังเกตมีคา่ คงเดิมในทุก ๆ
ส่วนของรุ้ง


75

- ครูใชร้ ปู 11.60 ในหนงั สือเรียน นำนักเรียนอภิปรายเปรียบเทียบการเกิดรุง้ ปฐมภูมิและรุ้ง
ทตุ ิยภมู ิ จนสรุปได้ว่า รุ้งปฐมภูมแิ สงมีการสะท้อนภายในหยดน้ำจำนวน 1 ครั้ง แตร่ ้งุ ทตุ ยิ ภูมิแสงมีการสะท้อน
ภายในหยดนำ้ จำนวน 2 คร้งั ทำให้ลำดับของแสงท่อี อกมาและมุมท่ีแสงแต่ละสมี ีความเขม้ มากท่ีสดุ ระหว่างรุ้ง
ปฐมภูมแิ ละร้งุ ทตุ ิยภมู มิ คี วามแตกตา่ งกัน

- ครูใช้รูป 11.61 11.62 และ 11.63 ในหนังสือเรียน นำนักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่าการ
ทรงกลดเกิดขึ้นจากการที่แสงเบี่ยงเบนเนื่องจากผลึกน้ำแข็งรูปหกเหลี่ยมในชั้นบรรยากาศสูง ๆ ทำให้ ผู้
สังเกตเห็นแสงอาทิตย์อีกท่หี นึ่งทท่ี ำมุม 22 องศากบั แนวตรงของดวงอาทิตย์ เกดิ เปน็ วงกลมรอบดวงอาทติ ย์

- ครูใช้รูป 11.64 ในหนังสือเรียน นำนักเรียนอภิปรายจนสรุปไดว้ า่ มิราจเกิดจากการทีแ่ สง
เกิดการหักเหอยา่ งต่อเนื่องระหว่างรอยต่อระหว่างอากาศทีม่ อี ุณภูมิแตกตา่ งกันทำใหแ้ สงเปลีย่ นทศิ ทางทีละ
น้อยจนเกิดการสะท้อนกลับหมด เกดิ เป็นภาพท่อี ยูค่ นละตำแหนง่ กับวัตถุจริง เช่น การเห็นภาพของทอ้ งฟ้าอยู่
บนพ้นื ถนน

- ครูใช้รูป 11.66 ในหนังสือเรียน นำนักเรียนอภิปรายจนสรุปได้ว่า แสงอาทิตย์ในเวลา
กลางวันจะเกิดการกระเจิงทำให้เมื่อมองส่วนอื่น ๆ ของท้องฟ้าที่ไม่ใช่บริเวณดวงอาทิตย์จะเห็นเป็นสีฟ้าใน
ขณะท่ีแสงอาทิตย์ในเวลาเช้าหรือเย็นจะตอ้ งเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศเป็นระยะทางมาก จงึ เห็นแตแ่ สงสีแดง
เพราะเกิดการกระเจิงน้อยท่สี ดุ

3. นักเรยี นทำแบบฝึกหดั ตรวจสอบความเข้าใจ 11.5 ในหังสอื เรยี นหนา้ 243 ส่งครูทา้ ยชั่วโมง

ข้นั ที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้
1. นักเรียนกลุ่มเดิม สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการนำความรู้เรื่องกระจกเงาและเลนส์บางไปใช้ประโยชน์
พรอ้ มสรปุ ความรู้ทไ่ี ด้สืบค้นลงในสมดุ จด
2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการสืบค้นข้อมูลการนำความรู้เรื่องกระจกเงาและเลนส์บางไป
ใชป้ ระโยชน์ ดงั น้ี

- กล้องโทรทรรศน์ประกอบด้วยเลนส์นูนสองอัน เลนส์นูนอันใหญ่ซึ่งเป็นเลนส์ใกล้วัตถุมี
ความยาวโฟกัสมากกว่าเลนส์นูนอันเล็กซึ่งเป็นเลนส์ใกล้ตา เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดูวัตถุที่อยู่ไกล รังสี
ขนานจากวัตถุจะผ่านเลนสใ์ กลว้ ัตถุแลว้ มาตัดกันท่ีหลังเลนส์ใกล้วัตถุภาพที่เกิดจากเลนสใ์ กล้วัตถุน้ีกลายเป็น
วัตถุของเลนส์ใกลต้ าซ่ึงไดภ้ าพเสมือนขนาดขยายภาพท่ีเกดิ ข้ึนในกลอ้ งโทรทรรศน์เม่อื ใช้สอ่ งดวู ัตถทุ ่ีอยู่ไกล ๆ
จะได้เป็นภาพหัวกลบั

- กล้องจุลทรรศนป์ ระกอบด้วยเลนส์นนู สองอนั เลนส์นูนอนั ใหญ่ซึง่ เปน็ เลนสใ์ กลต้ ามีความ
ยาวโฟกัสมากกว่าเลนส์นนู อนั เลก็ ซึ่งเปน็ เลนสใ์ กลว้ ตั ถุถ้านำ วัตถมุ าวางท่รี ะยะระหวา่ ง f กับ 2f ของเลนส์ใกล้
วัตถุจะทำให้เกิดภาพจรงิ ท่ีมีขนาดใหญ่กวา่ วตั ถุหน้าเลนสใ์ กล้ตาโดยมีระยะน้อยกวา่ ความยาวโฟกัสของเลนส์
ใกลต้ า ซ่ึงภาพจากเลนส์ใกลว้ ตั ถจุ ะกลายเป็นวัตถขุ องเลนสใ์ กล้ตาทำ ใหต้ ามองเห็นเป็นภาพเสมือนขนาดใหญ่

3. ครมู อบหมายให้นักเรยี นทำใบงาน 11.6 เรอื่ ง ปรากฏการณ์ธรรมชาตขิ องแสง ส่งครใู นชวั่ โมงถดั ไป
4. นักเรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยที่ 11 แสงเชิงรงั สี


76

ขนั้ ท่ี 5 ขัน้ ประเมนิ ผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบหลังเรียน เพอ่ื ตรวจสอบความรูห้ ลงั เรยี นของนกั เรียน
2. ครตู รวจสอบผลการทำแบบฝกึ หัดตรวจสอบความเข้าใจ 11.5
3. ครูตรวจสอบผลจากการทำใบงาน 11.6 เร่อื ง ปรากฏการณธ์ รรมชาตขิ องแสง
4. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคำถาม พฤตกิ รรมการทำงานของนักเรยี น

9. สอ่ื การเรยี นรู้
9.1 สอ่ื การเรียนรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 11 เรอ่ื ง แสงเชงิ รงั สี
2) แบบฝกึ หัดหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 11 เร่ือง แสงเชงิ รงั สี ในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม ฟิสิกส์ ม.5
เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
3) ใบงานท่ี 11.6 เรอ่ื ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติของแสง
9.2 แหล่งการเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) ห้องสมุด
3) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ


77

10. การวัดผลประเมนิ ผล

รายการวัด วธิ วี ดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
- คำถามตรวจสอบความ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ด้านความรู้ (K) เข้าใจ 11.5
ระดับคุณภาพ 2
- อธบิ ายการเกิดรุ้ง การ - ตรวจคำถามตรวจสอบ - แบบประเมนิ ทกั ษะ ผ่านเกณฑ์
กระบวนการทาง
ทรงกลด มริ าจ และการ ความเข้าใจ 11.5 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั คณุ ภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
มองเหน็ ท้องฟา้ เปน็ สี - แบบประเมิน
คณุ ลกั ษณะ
ต่างๆ ในชว่ งเวลาที่ อนั พงึ ประสงค์

ต่างกัน

ดา้ นกระบวนการ (P)

- สืบค้นขอ้ มูลเก่ียวกบั การ - ตรวจใบงาน 11.6

นำความรู้เร่อื งแสงเชงิ รงั สี

ไปใชป้ ระโยชน์ใน

ชวี ิตประจำวัน

ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)

- คุณลกั ษณะอนั พึง - สังเกตความมีวนิ ัย

ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มน่ั

ในการทำงาน

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน


78

การประเมนิ กจิ กรรม

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ดา้ นความรู้ ด้านทกั ษะ ดา้ น รวม ระดับ
คะแนน คณุ ภาพ
เลขท่ี (K) (P) คณุ ลกั ษณะ
9 ดีมาก
(A) 9 ดีมาก
9 ดีมาก
333 9 ดีมาก
9 ดมี าก
13 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
23 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
33 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
43 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
53 3 3 9 ดีมาก
9 ดีมาก
63 3 3 9 ดีมาก
9 ดมี าก
73 3 3 9 ดมี าก
9 ดมี าก
83 3 3 9

93 3 3

10 3 3 3

11 3 3 3

12 3 3 3

13 3 3 3

14 3 3 3

15 3 3 3

16 3 3 3

17 3 3 3

18 3 3 3

19 3 3 3

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถงึ ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรุบปรงุ
คะแนน


79


80

ใบงานที่ 11.6

เร่ือง ปรากฏการณ์ธรรมชาติของแสง

คำช้ีแจง : จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
1. เมื่อฉายแสงขาวให้ตกกระทบปริซมึ ด้วยมุมเดยี วกนั เพราะเหตใุ ด แสงสีแต่ละสีจงึ มีมุมหักเหไม่เท่ากนั
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. จากภาพ ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายปรากฏการณ์มิราจ ท่เี กดิ ข้ึนท่ีทะเลทรายจากภาพ พร้อมวาดรังสขี องแสง

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


81

3. จากรปู จงตอบคำถามต่อไปน้ี
3.1 ปรากฏการณ์ท่เี ก่ยี วกับแสงทน่ี ักเรยี นเหน็ เรยี กว่าอะไร เกิดขน้ึ ได้อย่างไร

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3.2 ปรากฏการณ์ขา้ งต้น มกั เกิดพรอ้ มกับปรากฏการณ์ท่ีเกีย่ วกับแสงอะไร และเกิดต่างกันอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


ใบงานที่ 11.6 82

เฉลย

เร่ือง ปรากฏการณ์ธรรมชาติของแสง

คำช้แี จง : จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี

1. เมื่อฉายแสงขาวใหต้ กกระทบปริซมึ ด้วยมมุ เดยี วกนั เพราะเหตุใด แสงสีแต่ละสีจึงมมี มุ หกั เหไมเ่ ท่ากัน

เพราะแสงขาวจะประกอบด้วยแสงสีหลายสี ซึ่งและแสงสีมขี นาดความยาวคล่นื ไมเ่ ทา่ กัน เมอื่ แสง

เดินทางจากอากาศแลว้ หักเหเขา้ สู่ปริซึมที่มีดรรชนีหกั เหเท่ากนั n พจิ ารณาจากกฎของสเนลล์

จะได้ n1 sin θ1 = n2 sin θ2

(1) sin θ1 = n2 sin θ2

θ2 = sin-1 (sinnθ1)
จะเห็ว่า มุมหักเหแปรผกผนั กบั n ซึ่ง n ∝ 1
λ
สรปุ ได้วา่ แสงท่ี λ มาก จะมีมมุ หักเหมาก และแสงท่ี λ นอ้ ย จะมมี มุ หกั เหน้อย

2. จากภาพ ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายปรากฏการณม์ ิราจ ทีเ่ กดิ ขน้ึ ท่ีทะเลทรายจากภาพ พรอ้ มวาดรังสขี องแสง

เน่ืองจากอากาศบริเวณเหอื ทะเลทรายจะมีอุณหภูมสิ งู มาก และจะลดลงอย่างรวดเรว็ ตามความสูง ทำ
ใหค้ า่ n ของอากาศเพมิ่ ขึ้นอย่างรวดเร็ว นกั เรียนจงึ เห็นตน้ กระบองเพชรอยู่บนทะเลทราย และใต้ทะเลทราย
โดยจะพจิ ารณารังสจี ากตน้ กระบองเพชรเปน็ 2 รังสี ดงั นี้

รังสีท่ี 1 รังสีของแสงอาทติ ย์ที่สะท้อนเป็นแนวตรงเข้าส่ตู านกั เรียนปกิ ทำใหเ้ หน็ ตน้ กระบองเพชรปกติ
รงั สที ่ี 2 รงั สจี ะเคลอ่ื นที่จากบริเวณ n มากลงส่บู ริเวณ n นอ้ ย แสงจงึ หกั เหโคง้ ขึ้นอย่างต่อเน่ือง ทำ
ใหร้ งั สีเคล่อื นที่กลบั เข้าสบู่ ริเวณ n มากอีกครง้ั จนรังสมี าเขา้ ตาของนกั เรยี น ทำใหเ้ ห็นภาพหัวกลับ


83

3. จากรปู จงตอบคำถามต่อไปนี้
3.1 ปรากฏการณ์ทเ่ี กยี่ วกบั แสงที่นักเรยี นเห็น เรียกว่าอะไร เกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร
ปรากฏการณ์ทเ่ี กย่ี วกับแสงท่นี กั เรียนเห็น เรยี กวา่ ซันดอก โดยเกดิ จากแสงจากดวงอาทิตยห์ ักเหผ่าน

ผลกึ น้ำแขง็ รูปหกเหลี่ยมท่อี ยู่ในเมฆเซอรร์ ัส ซง่ึ ผลกึ นำ้ แขง็ รูปหกเหลย่ี มต้องวางตวั ให้ด้านกว้างของผลึกขนาน
กับแนวระดับของพื้นดิน และแสงต้องทำมุมกับผลึก 22 องศา จากั้นแสงจะสะท้อนเป็นคู่ในแนวขนานกับ
พ้นื ดิน จึงเหน็ ดวงอาทิตย์ 3 ดวง อยบู่ นท้องฟา้ มักเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ดวงอาทติ ย์กำลังขนึ้ หรอื ตกจากขอบฟา้ และมัก
พบในฤดูหนาว

3.2 ปรากฏการณ์ข้างต้น มกั เกิดพร้อมกบั ปรากฏการณท์ ี่เกยี่ วกับแสงอะไร และเกดิ ตา่ งกนั อยา่ งไร
มักเกิดพรอ้ มกับการทรงกลด โดยกรทรงกลด ผลึกน้ำแข็งรูปหกเหลี่ยมที่อยู่ในเมฆเซอร์รัสจะวางตวั
เป็นแนววงกลม จงึ ทำใหเ้ หน็ แสงเป็นแนววงกลม ส่วนซันดอก ผลึกน้ำแขง็ รปู หกเหลยี่ มจะเรียงตวั ในแนวระดับ
ขนานกับขอบฟ้า ลักษณะแถบแสงทเ่ี กิดขน้ึ จงึ อยเู่ ฉพาะทางซ้ายและทางขวาของดวงอาทิตย์


84

แบบทดสอบเก็บคะแนน

คำชี้แจง : ใหน้ ักเรยี นเลอื กคำตอบท่ถี กู ตอ้ งทส่ี ุดเพยี งขอ้ เดยี ว

1. ใครคอื ผ้ทู พ่ี ยายามวดั อัตราเร็วแสงเปน็ คนแรก 6. สว่ นประกอบของตาท่ีทำหน้าท่ีปรับความสว่างของแสง

1. ฟโิ ซ คืออะไร

2. โรเมอร์ 1. มา่ นตา 2. เลนส์ตา

3. นิวตัน 3. กระจกตา 4. กล้ามเนื้อตา

4. กาลิเลโอ 5. จอประสาทตา

5. ไอนส์ ไตน์ 7. มุมหกั เหจะมขี นาดใหญ่หรอื เลก็ กว่ามุมตกกระทบข้นึ อยู่

2. อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ มีค่าตรงกบั ข้อใด กบั อะไร

1. 3 x 108 เมตรต่อวินาที 1. สถานะของตวั กลาง

2. 3 x 108 เมตรตอ่ นาที 2. ตำแหนง่ ของตวั กลาง

3. 3 x 108 เมตรตอ่ ช่ัวโมง 3. ดชั นหี ักเหของตวั กลาง

4. 3 x 108 กโิ ลเมตรตอ่ นาที 4. ความหนาแน่นของตัวกลาง

5. 3 x 108 กโิ ลเมตรตอ่ ช่ัวโมง 5. สถานะและความหนาแน่นของตวั กลางทเทอร์ฟอรด์

3. ระยะทาง 1 ปแี สง มคี า่ เทา่ ใด 8. สาเหตุที่ทำใหเ้ รามองเห็นวตั ถตุ า่ ง ๆ ได้คืออะไร

1. 9.46 x 108 เมตร 1. แสงสะทอ้ นเขา้ สู่นัยน์ตา

2. 9.46 x 1010 เมตร 2. แสงสะทอ้ นออกจากนยั น์ตา

3. 9.46 x 1012 เมตร 3. แสงทะลุผ่านวตั ถุเข้านัยน์ตา

4. 9.46 x 1015 เมตร 4. แสงจากวัตถุทะลุผา่ นนัยน์ตา

5. 9.46 x 1020 เมตร 5. แสงสะทอ้ นหรอื ทะลผุ า่ นวตั ถุเข้านัยน์ตา

4. ลกั ษณะในขอ้ ใดเปน็ การผสมสี 9. ภาพท่ีเกดิ จากกลอ้ งถ่ายรปู มลี กั ษณะใด

1. ปริมาณแสงเขา้ ตามาก สเี ขม้ ข้ึน 1. ภาพจริง หัวตง้ั ขนาดเล็กลง

2. ปรมิ าณแสงเข้าตามาก สีออ่ นลง 2. ภาพจริง หัวกลับ ขนาดเลก็ ลง

3. ปริมาณแสงเข้าตานอ้ ย สอี ่อนลง 3. ภาพจริง หัวกลบั ขนาดใหญ่จริง

4. ปริมาณความเข้มแสงมากขึน้ สีเขม้ ขึ้น 4. ภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดใหญ่ขน้ึ

5. ปริมาณความเข้มแสงน้อยลงสจี างลง 5. ภาพเสมอื น หัวกลบั ขนาดใหญ่ขึน้

5. ความสัมพันธ์ในขอ้ ใดผิด 10. ถ้านักเรียนเข้าไปในร้านขายผ้าแห่งหนึ่งที่เปิดไฟสี

1. เคร่ืองฉายภาพ-เลนส์นูน เหลืองทั้งร้าน นักเรียนซื้อผ้ามาช้ินหน่ึง มีสีม่วงเข้ม

2. กล้องจุลทรรศน์-เลนสน์ ูน เมื่อนำออกมาดูกลางแจ้ง ผ้าชิ้นนี้จะเป็นสีอะไร

3. กระจกส่องฟนั ของทันตแพทย์-เลนส์เวา้ 1. ดำ 2. แดง

4. กลอ้ งโทรทรรศนป์ ระเภทหักเหแสง-เลนสน์ ูน 3. เขียว 4. เหลือง

5. กล้องโทรทรรศน์ประเภทสะท้อนแสง-กระจกนูน 5. น้ำเงิน

เฉลย 1. 4 2. 1 3. 4 4. 2 5. 5 6. 1 7. 3 8. 5 9. 2 10. 5


Click to View FlipBook Version