The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปรัชญาทางการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดยนักศึกษารุ่นที่ 2 เเละ รุ่นที่ 3 สาขานวัตกรรมการบริหารการศึกษา ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wachiraphan.2903, 2022-08-20 21:51:29

ปรัชญาทางการศึกษา

ปรัชญาทางการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดยนักศึกษารุ่นที่ 2 เเละ รุ่นที่ 3 สาขานวัตกรรมการบริหารการศึกษา ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

1

ปรัชญาทางการศึกษา

คณะผจู้ ัดทา
นกั ศึกษาหลักสูตรครศุ าสตรมหาบณั ฑติ
สาขานวตั กรรมการบริหารการศึกษา

รุ่นที่ 2 รหสั 64U546202
รนุ่ ที่ 3 รหัส 65U546201

เสนอ
รองศาสตราจารย์ ดร.ฐิติพร พชิ ญกุล

รายวชิ า EMA 501 ปรชั ญาทางการศกึ ษา
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565

ครุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชานวัตกรรมการบรหิ ารการศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์



คานา

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษากระบวนวิชา EMA 501 ปรัชญาทางการศึกษา ตามหลักสูตร
ครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชานวตั กรรมการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรม
ราชูปถัมภ์ ได้ศึกษาและวิเคราะห์ปรัชญาพ้ืนฐานตะวันตก ตะวันออก ศึกษาและวิเคราะห์ปรัชญาลัทธจิ ิตนิยม
(Idealism) เ ช่ื อ ม โ ย ง กั บ ป รั ช ญ า ก า ร ศึ ก ษ า นิ ร น ต ร นิ ย ม ป รั ช ญ า ลั ท ธิ สั จ จ นิ ย ม ( Realism)
เช่ืองโยงกับปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) ศึกษาและวิเคราะห์ปรัชญาลัทธิปฏิบัตินิยม
(Pragmatism) เช่ือมโยงกับปรัชญาการศึกษา และศึกษาและวิเคราะห์ปรัชญาลัทธิอัตตภาวะนิยม
(Existentialism) เช่ือมโยงกับปรชั ญาการศึกษา

คณะผู้จัดทาขอขอบพระคุณอาจารย์ ผู้เช่ียวชาญ เจ้าของบทความ เอกสารตารา โดยเฉพาะรอง
ศาสตราจารย์ ดร.ฐิติพร พิชญกุล ท่ีได้ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างดี ขอขอบคุณผู้เขียนตาราเอกสาร
และบทความ ทน่ี ามาอา้ งองิ เพอ่ื ประโยชน์ทางวชิ าการทุกทา่ นมา ณ โอกาสนี้

คณะผู้จดั ทาหวงั ว่า รายงานเลม่ น้ีจะเป็นประโยชนก์ บั ผอู้ ่าน นักเรียน นักศึกษา และผทู้ ส่ี นใจเป็นอยา่ ง
ยง่ิ หากมีข้อผดิ พลาดประการใด คณะผู้จดั ทาขอนอ้ มรับไวแ้ ละขออภยั มา ณ ทนี่ ้ี

คณะผจู้ ัดทา

สงิ หาคม 2565

สารบญั ข

คานา หน้า
สารบญั ก
บทท่ี 1 ศึกษาและวิเคราะหป์ รัชญาพน้ื ฐานตะวนั ตก ตะวนั ออก ข
1
ปรัชญาตะวันตก 3
ปรชั ญาตะวันตก 8
เอกสารอา้ งองิ 12
บทที่ 2 ศึกษาและวิเคราะหป์ รัชญาลัทธจิ ติ นยิ ม (Idealism) เชือ่ มโยงกบั ปรชั ญาการศึกษา
นิรนั ตรนยิ ม 13
ปรชั ญาลัทธจิ ิตนยิ ม
โรงเรียนสตั ยาไสย 13
ปรัชญาการศกึ ษานิรันตรนิยม 18
เอกสารอา้ งอิง 20
บทที่ 3 ปรัชญาลัทธิสัจจนิยม (Realism) เช่อื งโยงกบั ปรชั ญาการศึกษาสารัตถนิยม 23
(Essentialism) 24

ทีม่ าและความเชอ่ื 24
ประวัตขิ องอรสิ โตเติล 24
ปรัชญาทฤษฎี 25
27
ปรชั ญาลทั ธิสัจนิยม 27
ความหมายของปรัชญา 30
กาเนดิ ของปรัชญา 31
ววิ ัฒนาการของปรัชญา 33
องค์ประกอบของปรชั ญา



สารบญั (ต่อ)

ปรัชญาการศกึ ษาสารัตถนยิ ม หน้า
ภมู ิหลงั 38
ปรัชญาอนรุ กั ษ์นิยม (Conservatism) 38
ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialist Philosophy of Education) 39
นกั ปรัชญาท่ีจัดว่าเปน็ นักสัจนิยม 42
เอกสารอา้ งอิง 46
47
บทที่ 4 ศึกษาและวิเคราะหป์ รชั ญาลัทธิปฏิบัตินยิ ม (Pragmatism) เชอื่ มโยงกบั ปรชั ญา 48
การศกึ ษา
48
ปรชั ญาลทั ธิปฏบิ ัตินิยม (Pragmatism) 54
59
ปรัชญาการศึกษาพพิ ฒั นาการนยิ ม (Progressivism) 65

ตัวอยา่ งการจัดการศึกษาตามแนวคิดปฏิบัตนิ ยิ ม 66

เอกสารอ้างอิง 66
68
บทที่ 5 ศกึ ษาและวิเคราะหป์ รชั ญาลัทธิอัตตภาวะนยิ ม (Existentialism) เชอื่ มโยงกับปรัชญา 84
การศึกษา 91
92
ปรัชญาลัทธิอัตถภิ าวะนยิ ม 95

นกั ปรัชญาอตั ถิภาวะนยิ ม

โรงเรยี นทจ่ี ัดการศกึ ษาตามแนวปรัชญา อัตถิภาวะนิยม

เอกสารอา้ งองิ

บรรณานกุ รม

ภาคผนวก

1

ปรชั ญาพื้นฐานตะวนั ตก ตะวนั ออก

1 ความหมายของปรัชญา

1.1 ความหมายตามรูปศัพท์ การพิจารณาความหมายของปรัชญา โดยปรัชญาแบบแรกคือพิจารณา
ตาม รูปศัพท์ ซึ่งสามารถพิจารณาได้เป็น 2 แนวทางคือ รูปศัพท์ภาษาไทยและรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยมี
รายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ ความหมายตามรูปศพั ท์ในภาษาไทย คาว่า ปรัชญา เปน็ คาท่ีพระเจ้าวรวงศ์เธอเธอ กรม
หม่นื นราธิปพงศ์ประพันธท์ รงบญั ญัติขึ้น เพ่ือใช้แทนคาว่า Philosophy ในภาษาอังกฤษ (กีรติ บญุ เจอื , 2522)
เป็นศัพท์บญั ญัติท่ีเปน็ ที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ตามรากศัพท์ปรัชญา เปน็ คาสันสกฤตมาจากคา
ว่า ชญา แปลว่า รู้ เข้าใจ เมื่อเติม ปร ซึ่งแปลว่า ไกล สูงสุด ประเสริฐ ลงไป ข้างหน้า จึงกลายเป็นคาว่า
ปรัชญา ซึ่งให้ความหมายไดว้ ่า เป็นความรอบรู้ รกู้ วา้ งขวาง หรือความรู้ อนั ประเสรฐิ โดยนัยนี้ความหมายของ
ปรัชญาในรูปศัพท์ภาษาไทยจึงหมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยความรู้ ท้ังปวงของมนุษย์(ภิญโญ สาธร, 2525) เพ่ือ
นามาใช้เป็นเคร่ืองมือในการอธิบายข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้ เข้าใจไปในแนวเดียวกัน ซึ่งเป็นความรู้พิเศษที่ไม่มี
จดุ ส้ินสุด ไม่มอี วสานแห่งความรู้ในสรรพส่ิงทว่ั อัน เป็นความรอู้ ันประเสริฐอย่างแท้จริง (สวามี สัตยานันทบุรี,
2514)

ความหมายตามรูปศัพท์ในภาษาอังกฤษมีความหมายแตกต่างไปจากภาษาไทยอยู่ บ้าง ซ่ึงพีทาโกรัส
(Pythagoras) เป็นคนเริ่มใช้คานี้ โดยเรียกตัวเองว่านักปรัชญา (สุภา ใจบุญ, 2531) รากศัพท์เดิมของคาว่า
Philosophy น้ัน มาจากคาภาษากรีก 2 คาสนธิกัน คือคาว่า Philos กับ 10 Sophia ซ่ึงคาว่า Philos หรือ
Philia หมายถึง รักหรือความรัก ส่วนคาว่า Sophia หมายถึง ความรู้ ความปราดเปร่ือง เม่ือรวมกันเป็น
Philosophy จึงหมายถึง ความรักในความรู้ ความรักในความ ปราดเปร่ือง โดยความหมายตามรูปศัพท์ใน
ภาษาองั กฤษจะเนน้ ท่ีกระบวนการในการหาความรู้ ทศั นคตินสิ ัย และความต้งั ใจ

1.2 สาขาของปรัชญา ปรัชญาเกิดจากผลของกิจกรรมทางแนวความคิด และการศึกษาค้นคว้าของ
มนษุ ย์ ซงึ่ ตกทอดมาเป็นผลผลิตและเคร่ืองกาาหนดวฒั นธรรม รวมถึงอารยธรรมต่าง ๆ อันมีสภาวะแวดล้อม
ตลอดจนประวัติศาสตร์เป็นมูลฐาน ปรัชญาจึงเป็นความรู้อันเป็นพ้ืนฐานของสรรพวิชาท่ีมีอยู่ในโลก ปัจจุบัน
เช่น วิทยาศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และจิตวทิ ยา เป็นตน้ ปรัชญาสามารถแบ่งออกได้ 2 สาขา ใหญ่ ๆ คือ ปรัชญา
บริสทุ ธิ์ และปรชั ญาประยกุ ต์ โดยมรี ายละเอียดดังต่อไปน้(ี พมิ พ์พรรณ เทพสุ เมธานนท์ & และคณะ, 2542)

1. ปรัชญาบริสุทธ์ิหมายถึง การศึกษาปรัชญาที่เป็นเนื้อหาสาระของปรัชญาโดยตรง หรือ การศึกษา
แนวความคิดท่ีเปน็ เนื้อหาแห่งปรัชญาล้วน ๆ ความรู้ท่ีเป็นปรัชญาบริสุทธิ์นีเ้ ป็นผลแห่ง ความพยายามในการ
คิดคน้ และแสวงหาความจริงของมนุษย์ ปรัชญาบริสทุ ธ์ิแบ่งออกเป็น 3 สาขาคือ

1) อภปิ รัชญา (Metaphysics)
2) ญาณวิทยา (Epistemology)
3) คณุ วิทยา (Axiology)

1) อภปิ รัชญา (Metaphysics) เรอ่ื งท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั อภปิ รชั ญา ได้แก่ การเรยี นร้เู พ่ือหลักความจริง เช่น
การกล่าวว่า “มนุษยศ์ ึกษาเพอื่ หลักความจริงต่าง ๆ” สิ่งที่ต้องคดิ ตอ่ ไปคอื “ความจรงิ คืออะไร” ความจริงอาจ
เป็น วัตถุหรือส่ิงที่รับรู้ด้วยการสัมผัสท้ัง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย หรือความจริงอาจเป็นสิ่งท่ีเป็น
นามธรรม เช่น ความจริงที่เก่ียวกับศาสนา ความถูกต้องดีงาม ค าถามท่ีถูกใช้ในทางวิทยาศาสตร์ มักจะ
เกย่ี วขอ้ งกบั อภปิ รชั ญาอยู่มาก นักการศกึ ษาผู้ท่ไี ม่มีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกับอภิปรัชญา ยอ่ มจะเกิดความยา
กล าบากในการทจ่ี ะอธิบายปัญหาต่าง ๆ ให้เข้าใจไดโ้ ดยแจม่ แจ้ง

2

2) ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับธรรมชาติความเป็นจริงความรู้ ขอบเขตของ
ความร้แู ละความ สมเหตุสมผลของความรู้ โดยการศึกษาค้นคว้าจะเป็นไปในลักษณะของการวเิ คราะห์วิจารณ์
และ สังเกตการณ์เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรู้ที่แทจ้ ริง

3) คุณวิทยา (Axiology) เป็นการศึกษาเก่ียวกับคุณค่า เป็นความพยายามที่จะตอบคาถามและหา
ความหมาย ของจุดเร่ิมต้น และความแน่นอนของค่านิยมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับ
ค่านยิ ม นนั้ ๆ สามารถจาแนกออกเปน็ 3 แขนง

3.1) ตรรกวิทยา (Logics) เปน็ การวา่ ด้วยเรอื่ งหลักแหง่ ความจรงิ วธิ ีการตดั สิน ความจริง หลกั คิดหรือ
การใช้เหตุผลในการแสวงหาความจรงิ สมมุติฐาน การนิยาม การเปรียบเทียบ การจ าแนก การกระจายและ
กฎเกณฑต์ ่าง ๆ ในการใช้เหตผุ ลเพอ่ื เขา้ ถงึ ความจรงิ เป็นตน้

3.2) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นการว่าด้วยเรื่องกฎเกณฑ์แห่งความประพฤติ หลักการ ในการแสวงหา
ความดี หลักการความถกู ต้องและความยตุ ิธรรม ตลอดถึงคณุ ค่าทางจริยธรรม เปน็ ต้น

3.3) สุนทรียศ์ าสตร์ (Aesthetics) เปน็ เรอ่ื งทีว่ ่าดว้ ยธรรมชาตแิ ห่งความงาม หลกั การแห่งการแสวงหา
ความงาม มาตรฐานแหง่ การตดั สนิ ความงาม และลักษณะความงาม เปน็ ตน้

2. ปรัชญาประยุกต์หมายถึง การนาปรัชญาบริสุทธ์ิไปประยุกต์ใช้ตอบปัญหา โดยยึดการ ตอบสนอง
ความปรารถนาท่ีจะรู้ของมนุษย์ เพ่ือน าไปปฏิบัติหรือปรารถนาท่ีจะรู้พื้นฐานเพ่ือน าไปเป็น แนวทางตอบ
ปญั หาในเรื่องนน้ั ๆ ได้แก่

ก. ปรชั ญาการศกึ ษา
ข. ปรชั ญาสังคมการเมอื ง
ค. ปรชั ญาวทิ ยาศาสตร์
ง. ปรัชญาศาสนา เปน็ ตน้

3

2.ปรชั ญาตะวันตก

ปรัชญาตะวันตก เป็นปรัชญาที่เสนอแนวความคิด หลักการ ความรู้ ในเชิงปรัชญา ตาวแบบ
ชาวตะวนั ตกหรือชาวยโุ รป โดยมวี ิวัฒนาการมาตง้ั แต่เมื่อ 6๐๐ ปีกอ่ น คริสต์ศกั ราชมากระท่ังปัจจุบัน ปรชั ญา
ตะวันตกแบง่ ได้ 3 ยุค คอื

1) ยุคกรีกโบราณ
2) ยุคกลาง
3) ยคุ ใหม่

ยุคกรกี โบราณ

ธาเลส (Thales)
ธาเลส ( Thales )

ธาเลสเรมิ่ ปรชั ญาของเขาด้วยคาถามที่วา่ อะไรคอื ปฐมธาตขุ องโลก
ธาเลสตอบว่า น้าคือละอองธุลีหรือธาตุเดิมแท้ของโลก เพราะว่าโลกและสรรพส่ิงเกิดมาจากน้า และเมื่อแตก
สลายก็จะกลบั คืนสสู่ ภาพของน้า ธาเลสให้เหตุผลว่า นา้ เปน็ ปฐมธาตุ เพราะนา้ ทรง ประสิทธิภาพในการ “แปร
รปู ” (Transformation) เป็นส่ิงอืน่ ๆน้าจับตัวเป็นของแข็งก็ได้ ละลายเป็นของเหลวก็ได้ และระเหยกลายเป็น

4
ไอก็ยงั ได้ ธาเลสบอกว่า เม่อื น้าระเหยขึ้นฟา้ ความเย็นน้าค่อยๆแปรสภาพเป็นความร้อน น้าแปรรูปเป็นไฟ แต่
เม่ือน้าตกลงมาในรูปสายฝน แสดงว่าน้ากาลังแปรรปู เป็นดนิ เหตุน้ี นา้ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นธาตุเดิมของ
โลก

อาเนกซมิ านเดอร์ (Anaximander)
อาเนกซิมานเดอร์ ( Anaximander )

อาเนกซิมานเดอร์ได้เคยทาาแผนที่โลก และเป็นผูเ้ ผยแพรน่ าฬิกาแดดแก่ชาวกรีก เขา ศึกษาปรัชญา
จากธาเลส และเขียนหนังสือปรัชญาเรื่อง “ธรรมชาติ” ( On Naturs ) หนังสือเล่มน้ีจัดเป็นตาราปรัชญาเล่ม
แรกของกรกี

อเนกซานเดอร์เป็นศิษย์ของธาเลส เขาไม่เหน็ ดว้ ยกับทัศนะของธาเลส ท่ีว่า น้าคือปฐมธาตุ อเนกซาน
เดอร์ได้ให้ทศั นะของตนว่า สิ่งท่ีจะเปน็ ปฐมธาตุของโลกควรจะมีความ “ เป็นกลาง ” คือในตัวมันเองยังไม่เป็น
อะไร ยังไมเ่ ป็นดนิ ,น้า ลมหรอื ไฟ มันไม่สังกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ปฐม ธาตุจึงเป็นสารไรร้ ูป (Formless Material
) ท่ีไม่มีรูปลักษณะเหมือนส่ิงของใดๆท่ีคนเรารู้จัก มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันเป็นส่ิงท่ีอยู่เป็น
นริ ันดร และแผซ่ ่านไปไมม่ ีที่สน้ิ สดุ

โซคราตีส (Socratet)
โซคราตีส (Socratet)

ปรัชญาของโซคราตีส ความรู้คือการรู้มโนภาพของสิ่งท้ังหลาย ค้นพบมโนภาพของสิ่ง ต่างๆ ได้โดย
อาศัยกรรมวิธีของการสร้างคาจากัดความ โซคราตีสเชื่อว่าทุกคนมีมโนภาพ เกี่ยวกับสงิ่ ทั้งหลายอยู่แล้ว ท่าน
ไม่ได้ยัดเยียดความรู้ใหม่แก่คนอื่น แต่ท่านช่วยคู่สนทนา ให้ค้นพบมโนภาพท่ีตนมีอยู่แล้ว โซคราตีส เชื่อว่า
“คนมีความรจู้ ะไม่ทาผิด และคนทีท่ าผดิ เพราะเขาไมร่ วู้ า่ อะไรถูก”

5

พลาโต (Plato)
พลาโต (Plato)

เดมิ ช่ือ “อริสโตเคลส”เปน็ คนมบี คุ ลกิ ดี มรี ูปร่างทา่ ทางทสี่ ง่า ได้รบั การศกึ ษาตั้งแต่เด็ก พลาโต เป็น
เจ้าของวาทะว่า “คนทาผิด เพราะเขาไม่รู้ว่าการทาถูกเป็นอย่างไร ผู้ที่เช่ือว่านักปรัชญาเท่าน้ันจะเป็นนัก
ปกครองท่ีดีท่ีสุด” การรู้จักโลกแห่งเหตุผล พลาโต้เรียกว่า “ความรู้” ส่วนการรู้จักโลกแห่งสัญชาน เรียกว่า
“ทัศนะ” ในกระบวนการแห่งการรับรู้ อภิปรัชญาของพลาโต้เป็นเร่ืองเกย่ี วกบั ทฤษฎีแห่งมโนคติและจักรวาล
วทิ ยา

อริสโตเตลิ (Aristotle)
อริสโตเติล (Aristotle)

ทัศนะของอรสิ โตเตลิ ความสขุ เป็นความรู้สึกของวิญญาณไมใ่ ชร่ า่ งกาย วญิ ญาณเป็นแบบของมนุษย์ท่ี
ทาให้มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ ความสุขของมนุษย์จึงเป็นความสุขที่เกิดกับ วิญญาณ นั่นคือความสุขเกิดจาก
คุณธรรม อริสโตเติลได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิชาตรรกวิทยา” อริสโตเติลกล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์
สังคม” อริสโตเติลเสนอความคิดเห็นว่า สิ่งสากลไม่น่าจะอยู่ในโลกอื่นแต่ควรจะอยู่ในโลกแห่งผัสสะ ของเรา
แนวความคิดของอริสโตเติลมีว่า คนเราจะมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสก็ไม่ใช่เร่ืองสาคัญอะไร เพียงแต่ใช้วิธีให้ถูก
เทา่ น้ัน กจ็ ะเหน็ ความจรงิ มาตรฐานได้ตรงกนั ทกุ คน

6

ยุคกลาง

ปรชั ญาตะวันตกยุคกลางมลี ักษณะทางปรัชญาท่ีผสมผสานคาสอนของ ศาสนาเฉพาะครสิ ตก์ ับปรชั ญา
นักปรชั ญาในสมยั น้สี ว่ นมากเป็นนักบวช ในยุคน้ีเปน็ ยุคมืดทางปรชั ญา

เซนต์โธมสั อะควินัส
เซนตโ์ ธมสั อะควินัส

แนวคิดทางปรัชญาของเขาได้รับอิทธิพลจากปรัชญาอริสโตเติลเป็นส่วนใหญ่และนามาตีความ ให้
กลมกลืนกับหลักคาสอนศาสนาคริสต์ โธมสั อะควินัส ถือว่าความดีคือความสุข และความสุขทแ่ี ท้จริงคือการ
เขา้ ถงึ พระเจ้า และ เขา้ ถึงสวรรคอ์ ันเปน็ อาณาจักรของพระเจ้าชัว่ นิรันดร โธมัส อะควินัสกลา่ วว่า ปรัชญาผา่ น
ข้อเท็จจริงเข้าหาพระเจ้า ส่วนเทววิทยาผ่านพระเจ้าเข้า หาข้อเท็จจริง ปรัชญาเป็นเร่ืองราวเก่ียวกับเหตุผล
ปญั ญา ท่ีเกิดจากข้อเท็จจริง เทววิทยาเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความต้ังใจ ปรารถนาและการยอมรับนับถือ ศรัทธา
กับเหตผุ ล พระเจ้าเปน็ จติ บรสิ ุทธ์ิ มนุษย์ รู้ความมอี ย่ขู องพระเจ้าดว้ ยศรทั ธา

เซนตอ์ อกสั ติน (St. Augustine)
เซนตอ์ อกสั ติน (St. Augustine)
ในตัวมนุษย์ได้เกดิ การต่อสู้ระหวา่ งความรัก 2 แบบ คือการรักพระเจ้าและการทาตามกฏศีลธรรม กับการรัก
พระองคแ์ ละรักโลกนี้

ยุคใหม่

นักปรัชญาตะวันตกในยคุ ใหม่ไดก้ ล่าวถึงนักปรัชญาที่ พยายามค้นคว้าเรื่องท่ีพิสูจน์ได้ และเป็นประโยชน์ต่อ
ชีวิตมนุษย์ ทาให้เกิดวิทยาการใหม่ๆ แยกตัวออกไปเป็นศาสตร์ต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ ดารา
ศาสตร์และโหราศาสตร์ เปน็ ตน้

7

อิมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant)
อิมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant)
มแี นวความคิดว่า การจะเข้าถึงความจริงโดยวิธีเจริญวิปัสสนากาจัดกิเลสนั้นไม่แน่ใจว่าจะเข้าถึงความจริงได้
เพราะนักปรัชญา สมัยกลางล้วนเป็นอุปสรรคขัดขวางการเข้าถึงความจริงจึงไม่ใช่กิเลสอย่างเดียวแต่ ยังมีอีก
อยา่ งอน่ื ซึง่ มีความสาคญั มากคือ อคติ

เรเน เดสก์ ารต์ ส์ (René Descartes)
เรเน เดส์การ์ตส์ (René Descartes)
เป็นนักปรัชญาในกลุ่มเหตุผลนยิ ม เดส์การ์ตส์ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ บิดาแห่งปรัชญาตะวนั ตกสมัยใหม่ ”
วิธกี ารคน้ หาความรู้และความจริงของเดส์การต์ ส์ด้วย “ ความสงสยั ” ซ่งึ ความสงสยั อย่างเปน็ ระเบยี บยอ่ มทา
ให้เป็นความรเู้ มือ่ มนษุ ยเ์ กดิ ความสงสัยแลว้ ก็คิด

จอหน์ ล๊อค
จอห์น ลอ๊ ค
ทัศนะความเช่ือของจอห์น ลอ๊ คว่า โลกประกอบขึน้ ด้วย สสารและสสารคอื บ่อเกดิ หรือเปน็ สาเหตขุ องคุณภาพ
ร่างกายเป็นสสารทม่ี ีคุณภาพ เชือ่ ว่าความรขู้ องมนษุ ย์เกิด จากประสบการณท์ เ่ี กดิ ข้นึ ประสบการณม์ ี ๒ อยา่ ง
คือ ผสั สะและมโนภาพ ผสั สะ คือการทางประสาท สมั ผัสทง้ั ๕ มโนภาพ คือการ รบั รภู้ ายในจติ

8

บารคุ สปโิ นชา (Baruch Spinoza)
บารุค สปิโนชา (Baruch Spinoza)
แนวคิดทางปรัชญาของเขามี พ้ืนฐานมาจากปรัชญาของ เดส์การ์ตส์ แนวความคิดของสปิโนซา จัดเป็นเอก
นยิ ม (Monism) เพราะเขาเหน็ วา่ สรรพส่ิง รวมกนั เปน็ หน่ึงคอื พระเจา้ (God)

จงั จาค รุซโซ
จัง จาค รซุ โซ

เป็นนักคิดและนักเขียน ผลงานที่สาคัญ คือ “ สัญญาประชาคม ” ให้ทัศนะว่า สภาวะธรรมชาติคือ
ความดี สูงสดุ และในสภาวะธรรมชาตินนั้ มนุษย์ มชี วี ติ อยู่ในความสงบและปฏิบตั ิตาม ความรู้สกึ ของธรรมชาติ

ปรัชญาตะวันออก หมายถึง แนวคิดเชิงปรัชญาในดินแดนเอเชีย ซ่ึงในอดตี อารยธรรมท่ีเจรญิ รุ่งเรือง
ตัง้ แต่โบราณแบ่งกวา้ ง ๆ ได้สองแนว คือ ปรัชญาอนิ เดีย และ ปรัชญาจนี (หรอื เรียกวา่ ปรัชญาแห่งแม่นา้ สนิ ธุ/
คงคา กับปรชั ญาแห่งแมน่ ้าฮวงโห/แยงซเี กยี ง)

สองอารยธรรมท่ีย่ิงใหญ่ตั้งแต่อดีตในซีกโลกตะวันออก (ทวีปเอเชีย) ได้แก่ อินเดียและจีน ถือเป็น
แหล่งกาเนิดของภูมิปัญญาตะวันออก (ปรัชญาตะวันออก) นักปรัชญาตะวันออกสนใจความเป็นจริ ง
เช่นเดียวกับนักปรัชญาตะวันตก แต่ส่ิงท่ีเป็นเอกลักษณ์สาคัญของปรัชญาตะวันออก คือ ความสนใจต่อความ
เป็นจริงเพือ่ การปฏบิ ัติตนมงุ่ สู่การเป็นหน่ึงเดียวกบั ความเป็นจริง น่ีเองท่ีผ้ศู กึ ษาปรัชญาจึงมีความคดิ ว่าปรัชญา
ตะวันออก (โดยเฉพาะปรัชญาอินเดีย) เปน็ ปรชั ญาชวี ิต เพราะแนวคิดทางปรชั ญาที่คน้ คิดขึ้นไดน้ ้ัน มกี ารนาไป
ปฏบิ ตั ิในชวี ติ ประจาวนั โดยลกั ษณะดงั กล่าวนี้ “ปรัชญากับศาสนาของอินเดียจงึ มกั ไปด้วยกนั เสมอ”)
3.ปรัชญาตะวนั ตก
ปรัชญาตะวันออก คือ ปรัชญาที่เกิดขึ้นทางแถบตะวันออกทั้งหมด เช่น ปรัชญาอินเดีย ปรัชญาจีน ปรัชญา
ญี่ปุ่น เปน็ ต้น ปรัชญาตะวนั ออก ส่วนใหญเ่ ป็นปรัชญาชีวิต มุ่งศึกษาเพ่ือรู้และส่งเสริมการปฏิบัติมีพืน้ ฐานมา
จากศาสนา

9

ปรชั ญาอินเดีย
บริบทและพื้นฐานของปรัชญาอินเดีย

ชนเผ่าอารยัน (Aryan) เข้มแข็ง ฉลาด ได้เข้ามายึดครองดินแดนชมพูทวีปที่กว้างใหญ่และมีชน
พืน้ เมืองหลายเผ่าพันธ์ุ เมื่อชนเผ่าอารยันเข้ามายดึ ครอง และมกี ารสรา้ งอารยธรรม โดยน่าจะมี/ใช้คัมภีร์ เร่อื ง
เลา่ /บันทึกประสบการณท์ ี่สัมพันธ์กับสงิ่ เหนือธรรมชาต/ิ ความเปน็ จริงสูงสดุ ซึ่งมีชอื่ “คัมภีรพ์ ระเวท” มาเป็น
ต้นแบบและการจัดระบบการดาเนินชีวติ ในสังคม คมั ภีร์พระเวทในระยะแรกยังคงมีลักษณะเปน็ วญิ ญาณนิยม
(คัมภีร์พระเวทมีลักษณะเป็นตู้หนังสือ เหมือนพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์/ไบเบิ้ล) มีบันทึกว่ามีเทพเจ้า
มากมาย แตม่ ีพูดถึงเทพสาคญั ๆ สามองค์ ได้แก่ พระอินทร์ พระอัคนแี ละพระวรณุ (ต่อมาพัฒนาการเป็น “ตรี
มรู ต/ิ Trimurti” คือ พระพรหม พระวษิ ณุ และศวิ ะ ในศาสนาฮินดู)

ปรชั ญาอนิ เดยี ทกุ ระบบ ลว้ นได้รบั อิทธิพลจากคัมภีร์พระเวทท้ังสิ้น หลังยุคพระเวทเราอาจแบ่งระบบ
ปรัชญากวา้ ง ๆ ได้สองแนว คอื
ก. แนวนาสตกิ ะ (Heterodox) คอื แนวคิดท่มี ลี ักษณะทสี่ อนตรงขา้ มกบั สิง่ ท่ีพระเวทสอน มีสามแนวคิดสาคัญ
คอื จารวาก (Carvaka) ปรชั ญาเชน (Jainism) และพุทธปรัชญา (Buddhism) ซึ่งถอื ว่าได้รบั อิทธิพลจากพระ
เวทโดยออ้ ม เพราะได้สรา้ งปรชั ญาขึน้ มาขัดแยง้ กบั พระเวท
ข. แนวอาสตกิ ะ (Orthodox) คือ แนวคิดที่ดาเนินตามและอธิบายเพ่ิมเติมในส่ิงท่พี ระเวทสอน เช่ือเรอื่ งพระ
เจ้าหรือเชื่อเรื่องความขลัง ความศักดิ์สิทธ์ิของพระเวท ประกอบด้วยแนวปรัชญา 6 สานัก ซ่ึงถือว่าได้รับ
อิทธิพลจากพระเวทโดยตรง (สางขยะ /Sankhya เวทานตะ /Vedanta โยคะ /Yoga มีมางสา /Mimamsa)
นยายะ /Nyaya ไวเศษิกะ /Vaiseshika)

มกี ารแบ่งปรัชญาอินเดยี ออกเป็นสองยคุ คือ ปรัชญาอินเดยี โบราณ (ขยายความหรือต่อต้านพระเวท)
กับปรชั ญาอินเดียรว่ มสมยั (การผสานกับวฒั นธรรมตะวนั ตก)

ลกั ษณะโดยรวมของปรัชญาอินเดยี (ปรัชญาอนิ เดยี โบราณ)
ปรชั ญาอินเดีย มีลกั ษณะท้ังทฤษฏี (อภิปรชั ญา ญาณวทิ ยา) และภาคปฏิบตั ิ (จรยิ ศาสตร)์ ซง่ึ ควบค่ไู ป

ด้วยกัน โดยมีพื้นฐานจากศาสนา (ยกเว้นลัทธิจารวาก) ปรัชญาอินเดียจึงมีลักษณะขยายความคาสอนของ
ศาสนา โดยให้หลกั เหตุผลเปน็ เครอ่ื งมอื จงึ มลี ักษณะเปน็ ปรัชญาศาสนา ในแบบปรัชญาชีวิต เพอื่ งา่ ยตอ่ การทา
ความเข้าใจ จึงขอยกแนวคิดของ ศ. สุนทร ณ รังสี (2521) ท่ีเสนอลักษณะเด่นของปรัชญาอินเดีย (ไม่รวม
จารวาก ซงึ่ ถอื วา่ เป็นแนวคดิ พิเศษของปรัชญาอินเดยี ) ดังน้ี
ก. ปรัชญาอินเดียมลี ักษณะเป็นปรัชญาชีวติ
เน้นความคิดในแบบท่ีสามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ จึงไม่ใช่รู้เพื่อรู้ แต่รู้เพื่อเอาไปใช้เกิดประโยชน์แก่
ชวี ติ
ข. ปรัชญาอินเดยี มองชีวติ ว่าเปน็ ทุกข์ แต่มีวถิ ีดบั ทุกข์
กลา่ วคือ มองชีวติ วา่ มแี ต่ทุกข์ จึงพยายามนาเสนอวิถีดับทุกข์ มองว่าทกุ ขน์ ้ีมีวิธีแก้ไขหรอื พน้ ทุกขไ์ ด้ (ชีวิตเต็ม
ดว้ ยทกุ ข์ แตเ่ ราสามารถหลดุ พ้นทุกขไ์ ด้)
ค. ปรชั ญาอินเดียเชอื่ ในกฎแหง่ กรรม
ถือเป็นกฎสากลหรือกฎแห่งเหตุและผล ทาดีไดด้ ี ทาชั่วได้ชว่ั โดยต่างกันบ้างในเร่ืองเก่ียวกับการกระทาว่าสิ่ง
ไหนดี สิ่งไหนไมด่ ี
ง. ปรัชญาอินเดยี สอนวา่ “อวิชชา” หรอื การรู้ผดิ หลงผดิ เปน็ บ่อเกดิ แหง่ ปัญหาชีวติ
ปรัชญาอินเดียจึงเสนอวถิ ีมุ่งสู่การบรรลุโมกษะหรือการหลุดพน้ จากทุกข์ท้ังปวง อันถือเป็นเป้าหมายชีวิต (แต่
กระน้ันความคิดเรื่องอวิชชา มีแตกต่างกันบ้าง เช่น อวิชชาของปรัชญาลัทธิหน่ึง อาจเป็นวิชชาของอีกสานัก
หน่งึ เป็นต้น)

10

จ. ปรัชญาอนิ เดยี เน้นการบาเพญ็ พรต อันเปน็ วถิ ีส่กู ารหลุดพน้
ปรัชญาอนิ เดียสอนว่าการบาเพญ็ สมาธิและวิปัสสนา โดยมองสงิ่ ตา่ ง ๆ ตามทีเ่ ป็นจริง เป็นวิถีส่กู ารหลุดพน้ ทุกข์
(โดยอาจต่างกันบ้างในแต่ละแนวคิด)
ฉ. ปรัชญาอนิ เดียสอนใหค้ วบคุมตนเอง
เห็นว่าการควบคุมตนเองหรือควบคุมจิตใจไม่ปล่อยตามกิเลสตัณหา เป็นวิถีแห่งขจัดกิเลส เพ่ือบรรลุโมกษะ
(ภาวะแหง่ การหมดทกุ ข์อยา่ งสิน้ เชิง)
ช. ปรัชญาอนิ เดียมองวา่ มนษุ ย์สามารถไปสูก่ ารหลดุ พ้นได้
การหลดุ พ้นหรือการบรรลุถงึ โมกษะ เปน็ สงิ่ ทส่ี ามารถทาได้ อาศยั การบาเพ็ญเพียร โดยแต่ละระบบมีแนวของ
ตนเอง

ปรัชญาจนี
เชื่อกันว่าสิ่งที่เป็นบ่อเกิดปรัชญาจีนสมัยโบราณก็คือ ปากว้า (Pa Kua) หรือ โป้ยก่าย เส้นท้ัง 8 เส้น

แทนธาตทุ ั้งมี ดนิ น้า ลม ไฟ ท้องฟา้ หรอื สวรรค์ ฟา้ ร้องหรือสายฟ้า ภูเขาและหนองบึง

ศาสนาในยุคโบราณของชาวจีนเชื่อว่าตามธรรมชาติต่างๆล้วนแต่มีเทพเจ้าสิ่งสถิตอยู่ ถ้ามนุษย์ทาให้
เทพพอใจ ก็จะทรงประทานส่ิงท่ีดีงามให้ แต่ถ้าไม่ทรงโปรดกจ็ ะทรงบัลดาลให้มีภัยพิบัตติ ่างๆ ความจริงความ
เช่อื แบบน้ีก็มีอย่ทู ่ัวไปในทกุ ประเทศ ทั้งนีก้ ็เพราะมนษุ ยย์ งั ขาดความเขา้ ใจในเรื่องธรรมชาติ จึงพากันสร้างเทพ
เจ้าหรือพระเจ้าข้ึนมา จากความไม่เข้าใจของตนแล้วก็พากันบูชาส่ิงที่ตนสร้างข้ึนมาน่ันเอง มีแต่
พระมหากษตั ริย์เท่านนั้ ที่สามารถทาการบูชาเซน่ สรวงจอมเทพได้ กษัตริยจ์ ึงเปน็ ศาสนาจารย์โดยปรยิ าย ทาให้
ศาสนาตกอยู่ในอานาจการเมอื ง ไม่สามารถแยกตัวเปน็ สถาบนั อสิ ระ พระจงึ ไมม่ อี านาจเหมือนศาสนาอืน่

ลทั ธเิ ต๋า
เมอื่ 3,000 ปีมาแล้ว ชาวจีนตามลุ่มแมน่ า้ เหลือง มคี วามเคารพธรรมชาติ เช่น ภเู ขา แม่นา้ ต้นไม้ ฯลฯ

เป็นอยา่ งสงู แต่อันทจี่ ริงเป็นการนบั ถือวิญญาณ (Spirits) ในระดับต่าง ๆ จากสูงมาหาตา่ ได้แก่ วิญญาณแห่ง
สวรรค์ หรอื เซี่ยงต่ี (เทยี นต)่ี วิญญาณภาคพืน้ ดนิ วญิ ญาณมนุษย์ และวิญญาณสัตวท์ ั้งหลาย สวรรค์ถือว่าเป็น
วิญญาณสูงสุด เป็นบรรพบุรุษของฮ่องเต้หรือพระจักรพรรดิ และเป็นหัวหน้าวิญญาณของบรรพบุรุษสวรรค์
ไม่ใช่สถานท่ี แต่เป็นเจตจานงของพระผู้เป็นเจ้า หรือ พูดใหถ้ ูกท่ีสุดเป็นระเบียบแห่งเอกภพ ฮ่องเต้จะต้องทา
การบูชาสวรรค์และแผ่นดินปีละคร้ังประชาชนธรรมดาไม่อาจบูชาสวรรค์และโลกง่ายนัก จึงบูชาบรรพบุรุษผู้

11

ลว่ งลบั ของตนแทน เชอ่ื กนั วา่ วิญญาณของบรรพบุรษุ ยังดารงอยู่ และจะคอยช่วยเหลือบุคคลทีก่ ระทาการบชู า
ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีการกินเลี้ยงฉลองอย่างมโหฬาร การบูชาเป็นเรื่องส่วนตัว และโดยตรง ไม่ใช่
เพราะมคี วามกลัว หรอื ใช้เวทมนตร์คาถา ตามความคดิ เกา่ แก่ของจนี นักปราชญ์จีนโบราณ จึงพบคาอธิบายซ่ึง
ยนื ยนั วา่ ในเอกภาพน้ีมพี ลังหรอื อานาจตรงกนั ขา้ มอยู่ 2 อยา่ ง คอื

1) หยาง (Positive Power) คือพลังบวกมีลักษณะสีแดง เป็นพลังเพศชาย พบในทุกสิ่งทุกอย่างท่ีให้ความ
อบอ่นุ สวา่ งไสว มัน่ คง สดใส เชน่ ดวงอาทิตย์ ไฟ ฯลฯ
2) หยนิ (Negative power) คือพลังลบ มลี ักษณะสีดา เปน็ พลงั เพศหญิง พบในทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งที่ใหค้ วามหนาว
เย็น ความมืด ออ่ นนุ่ม ชื้นแฉะ ลกึ ลบั และเปลย่ี นแปลง เชน่ เงามืด นา้ ฯลฯ
สานักปรัชญาขงจ้อื

มีขงจื้อเป็นหัวหน้า มุ่งสอนให้คนกลับสอู่ ดีตเช่นกัน จะต่างที่เน้นธรรมชาติจารีตประเพณี และดนตรี
วธิ ีนีจ้ ะทาใหค้ นมีความสุข
สานักปรัชญาม่อจ้ือ

มีม่อจื้อเป็นหัวหน้า เชื่อว่าความผันผ่านมาแล้วก็ไม่อาจหวนกลับมาอีก สิ่งท่ีเหมาะกับสมัยหนึ่งไม่
จาเป็นตอ้ งเหมาะสมกบั อีกสมัยหนึ่ง
สานกั ปรัชญานิตนิ ิยม

ฮั่นเฟยจื้อเป็นตัวแทน เห็นว่าอานาจกฎหมายมีความจาเป็น และสาคัญที่สุดที่พาความสงบสุขมาสู่
สังคม

ปรชั ญาญปี่ ่นุ
ฐานชินโต
เป็นลัทธิตามความเช่ือเดิมของชาวญ่ีปุ่น ชินโตมาจากอกั ษรจีนหรือคันจิ 2 ตัวรวมกัน คือชินหมายถึง

เทพเจ้า โตหมายถงึ ศาสตรว์ ชิ า หรือเต๋าในลทั ธเิ ตา่ รวมกนั แล้วจะเปน็ ศาสตรข์ องเทพเจา้
ฐานมกิ าโต
การนับถอื ระบบจักรพรรดิ ระบบภายในครอบครวั เป็นเอกลกั ษณ์ยากที่จะหาไดจ้ ากสงั คมของชาตอิ ่ืน

ภักดตี ่อบรรพบุรุษ ครอบครัว สงั คมในชาติ
ฐานปุตโต
ความภักดีต่อพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนา มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ควบคู่ไปกับศาสนาชินโต นา

ความเจริญดา้ นจิตใจและวัฒนธรรมใหก้ บั ชาวญีป่ ุน่ ทกุ ระดบั

12

เอกสารอ้างองิ

กรี ติ บุญเจอื . (2518). G.T.W. Patrick, Introduction to philosophy. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พไ์ ทยวัฒนา
พานิช จากัด.

ชยั วฒั น์ อตั พฒน.์ (2518). ปรัชญาตะวันตกสมัยปจั จบุ นั 2. โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
ทศิ นา แขมมณ.ี (2545). ศาสตร์การสอน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
บรรจง จนั ทรสา. (2527). ปรัชญากบั การศึกษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
บุณย์ นิลเกษ. (2522). ปรัชญาตะวนั ตกยคุ รว่ มสมยั . มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่
ประทุม องั กรู โรหิต. (2551). ปรัชญาปฏบิ ตั นิ ยิ ม : รากฐานปรัชญาการศกึ ษา. สานกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์

มหาวิทยาลัย.
ปรัชญาลัทธปิ ฏบิ ัตนิ ยิ ม. (2555). สืบคน้ จาก http://dc.oas.psu.ac.th/dcms/files/00254/Chapter3

(13-35).pdf
เมธี ปิลนั ธนานนท.์ (2523). ปรัชญาการศกึ ษาสาหรับครู. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
เลศิ ชาย ปานมุข. (2558). ปรัชญาการศึกษาพิพฒั นาการนยิ ม. สืบค้นจาก

http://www.lertchaimaster.com/forum/index.php?topic=66.0
วชิ ยั ตันศริ .ิ (2549). อดุ มการณท์ างการศึกษา: ทฤษฎี และภาคปฏิบตั ิ. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์แห่ง

จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
สมพิศ ศรีประไพ. (2522). วเิ คราะหป์ รชั ญา “ประจักษนยิ มแบบจดั ” ของวิงเลยี ม เจมส์ (วิทยานพิ นธ์

มหาบณั ฑิต ภาควิชาปรัชญา บณั ฑิตวิทยาลยั ). จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.

13

ศึกษาและวิเคราะหป์ รชั ญาลทั ธิจติ นิยม (Idealism)
เชอ่ื มโยงกบั ปรชั ญาการศกึ ษานิรนั ตรนยิ ม

1. ปรัชญาลัทธิจิตนยิ ม (Idealism)

1.1 ความเปน็ มาของปรัชญาลทั ธจิ ิตนยิ ม
ลัทธิจิตนิยม มาจากภาษา Idealism ซ่ึงมาจากศัพท์ idea (ความคิด) บวกกับ ism ความจริง ควร

เขียนเป็น Idealism แต่การออกเสียงลาบากไม่นุ่มนวล จึงใส่ l ลงไปและเป็น Idealism เป็นลัทธิปรัชญาที่
เก่าแก่ท่ีสุดในบรรดาปรัชญาต่างๆ มีกาเนิดพร้อมกับการเริ่มต้นของปรัชญา ปรัชญาลัทธินี้ถือเร่ืองจิตเป็นสิ่ง
สาคัญ มีความเช่ือวา่ ส่ิงท่ีเป็นจริงสูงสดุ นั้นไม่ใชว่ ัตถุหรอื ตัวตน แต่เป็นเร่ืองของความคดิ ซึ่งอยู่ในจติ (Mine) สิ่ง
ที่เราเห็นหรือจับต้องได้น้ัน ยังไม่ความจริงท่ีแท้ความจริงท่ีแท้จะมีอยู่ในโลกของจิต (The world of mind)
เท่านั้น ผู้ที่ได้ช่ือว่าเป็นบิดาของแนวความคิดลัทธิปรัชญาน้ี คือ พลาโต (Plato) นักปรัชญาเมธีชาวกรีก ซึ่งมี
ความเชอื่ วา่ การศกึ ษาคอื การพัฒนาจิตใจมากกว่าอย่างอนื่
1.2 หลกั การและแนวคดิ ลทั ธิจิตนิยม

ลัทธิจิตนิยม (Idealism) มีแนวคิดเก่ียวกับโลกและจักรวาล ว่าเป็น“โลกแห่งจิต” (The world of
mind) และมีแนวคิดว่าความรู้ที่แท้จริงคือ “จิตท่ีหยั่งรู้” (Truth as idea) แนวคิดเกี่ยวกับความดี หรือ
จริยธรรมของนักปรชั ญากลุ่มจติ นยิ ม คอื “จริยธรรมเป็นการเลยี นแบบความดีอนั สมบูรณ์” (imitation of the
absolute self) ที่มคี า่ คงท่ีไม่เปล่ียนแปลงตามกาลเวลาหรอื สถานท่แี นวคดิ เกย่ี วกับความงาม หรือสนุ ทรียภาพ
คือ “สุนทรียะ เป็นเครอ่ื งสะท้อนถึงมโนคติ” (reflection of the idea) (บา้ นจอมยทุ ธ,2543)

ลัทธิจิตนิยม ถือว่า ความแท้จริง ( reality ) อยู่ หรือความคิด (idea) จิตเป็นส่ิงสาคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
เพราะว่า จิตเป็นตัวกาหนดรูปแบบหรือลักษณะของสรรพสิ่งทั้งหลาย วัตถุภายนอก และปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติท้ังมวลไม่มีความจริงแท้แน่นอน พวกจิตนิยมมีความตรงกันข้ามกับพวกสัจจะนิยม ถือว่าประสาท
สัมผัสหลอกเราได้ไม่ถือว่าเป็นความจริงแท้ของสิ่งนั้น โลกที่ปรากฏอยู่ก็ไม่ใช่ของจริง ส่ิงที่จริงแท้อยู่ที่จิต
(ศภุ กร ศรีแสน,2526)
1.3 องคป์ ระกอบของปรชั ญาลัทธิจิตนยิ ม

1.3.1 อภิปรชั ญาของจติ นิยม
ปรัชญาจติ นยิ มนีเ้ ช่ือวา่ ความจรงิ ทแี่ ท้นนั้ มีลักษณะเป็นนามธรรมกว่ารูปธรรม เปน็ จิตมากกวา่ วัตถุ จะ
รู้และเห็นความจริงไดก้ ็ด้วยความคดิ (Idea) เทา่ นน้ั สิ่งท่ีเราเห็นส่งิ ท่ีเราสัมผัสจับต้องไดน้ ั้นยังไมใ่ ช่สิ่งเหล่านั้น
ท่ีแท้จริง เป็นแต่เพียงเครื่องจาลองหรอื ตัวแทนเท่านนั้ มันยังไม่ใช่ตัวจริงของมันเองเหมือนกับเรามรี ูปถ่ายของ
ดาราภาพยนต์คนหน่ึงหลาย ๆ รูปหลาย ๆ แบบ แต่รปู ท่ีเราเหน็ นัน้ จาลองหรอื ถ่ายมาจากรูปตวั จริงของเขาอีก
ทหี่ น่งึ รปู ที่เราเห็นจึงเปน็ แต่เพยี งตวั แทนของคนจรงิ ๆ เทา่ น้ัน
1.3.2 ญาณวิทยาของจิตนยิ ม
ทฤษฎีความรู้หรือญาณวิทยาของจิตนิยมนั้นสอดคล้องอภิปรัชญาคือการรับรู้นั้นเกิดข้ึนในจิตใจเป็น
หลักสาคัญคนจะได้รู้ได้ด้วยความคดิ และเปน็ อิสระจากประสบการณ์ โดยเหตุนี้คนจึงอาจจะหย่ังรู้ (Intuition)
โดยไม่จาเป็นจะตอ้ งอาศัยผัสสะหรอื ประสบการณ์ เพราะความรหู้ ลายอย่างก่อนประสบการณ์ของคนบางอย่าง
กเ็ ช่ือไมไ่ ด้ เช่น ถ้าเรายืนบนทางรถไฟ แล้วมองตามทางรถไฟ เราจะเห็นทางรถบรรจบกัน ซึ่งไมเ่ ป็นความจริง
ดงั นั้น ชาวจิตนิยมจึงเชื่อในเหตุผลเป็นสาคัญ เหตุผลจะทาให้คนเข้าถึง “แบบ” หรือความรู้ท่ีแท้จริงได้อย่าง
ถูกตอ้ ง

14

1.3.3 คณุ วิทยาของจติ นยิ ม
เมื่อหลกั การสาคญั ของจติ นยิ มเน้นในความจริงแท้ ทจี่ ะรู้และเห็นจริงก็ดว้ ยความคดิ และจติ ใจเป็นหลัก
พรอ้ มท้งั ความจริงแท้นน้ั เปน็ ความจรงิ สมบรู ณ์ เปน็ แบบท่ีตายตวั ไม่เปลีย่ นแปลง
ด้านจรยิ ศาสตร์ คอื คุณค่าท่ถี ูกต้องเหมาะสมดงี ามน้นั เป็นคณุ ค่าคงที่ถาวรไม่เปลย่ี นแปลงและมีแบบ
แผนท่ีสมบูรณ์ การอบรมส่ังสอนเรื่องคุณค่าจึงต้องถือหลัก “ดาเนินรอยตามแบบอย่างของอัตตาสมบูรณ์” (
The imitation of the Absoloute self ) คือ การปรับปรุงพัฒนาจรยิ ธรรมของตนให้ใกลเ้ คียงแบบอย่างทด่ี ีท่ี
กาหนดไว้แล้วใหม้ ากท่ีสดุ แบบอย่างน้นั อาจจะเป็นแบบอยา่ งทางศาสนาหรือพระเจ้าหรอื อาจจะเป็นแบบอยา่ ง
ทแ่ี น่นอนตายตวั ของธรรมชาตกิ ไ็ ด้ ( ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์, 2525)
ด้านสุนทรยี ศาสตรน์ ัน้ การถ่ายทอดความงามเกดิ จากความคิดสร้างสรรคแ์ ละอุดมการณ์อันสูงสง่
สรุป ด้านอภิปรชั ญา ลัทธจิ ิตนิยม ถือวา่ ความจริงแท้ อยู่ท่ีจิต (Ideas) ทกุ สิ่งท่ีเราเหน็ ยงั ไมจ่ ริงแท้ จริง
หรือไม่ “ข้ึนอยกู่ ับจติ คือเนน้ The World of Mind เปน็ ปรัชญาท่ยี ึดนามธรรมมากกวา่ รูปธรรม คนทุกคนเป็น
สตั ว์สง่ิ มชี ีวิต ได้แก่ จติ ใจ (Spiritural Being) ดา้ นญาณวทิ ยา นักปรัชญากลุ่มนเ้ี ช่อื วา่ ความรู้ที่แท้จริงต้องมาก
จากจิตใจ หรือจากการใช้ความคิดหาเหตุผล พวกจติ นิยมยอมรบั ว่าความรู้แบบ Revealed knowledge และ
Intuitive knowledge เป็นจรงิ และเชื่อถือได้ ยอมรบั ทฤษฎีพสิ ูจนค์ วามรู้แบบเช่ือมนยั กนั ด้านคุณวิทยา ด้าน
สุนทรียศาสตร์ ถือเอาอุดมคติเป็นท่ีตั้งทางด้านจริยศาสตร์ถือเอาที่ศาสดาให้ไว้เป็นหลักค่านิยมน่าจะต้องมี
ความสมบูรณแ์ ละไมเ่ ปลย่ี นแปลง (ศุภร ศรีแสน, 2526)
1.4 นักปรชั ญาสาขาจิตนยิ ม
นักปรัชญากลุ่มสาขาจติ นยิ มนไี้ ดแ้ ก่ เพลโต (Plato) เดสการด์ สบีโนซ่า ไลบ์นติ เบิร์คเลย์ (Berkeley)
และเฮเกล
1.4.1 เพลโต (ค.ศ. 347-427)
เพลโต เป็นผู้ให้กาเนิดลัทธิจิตนยิ ม เพลโตคิดว่าสิ่งทั้งหลายในโลกอยทู่ ่ีความรสู้ ึกนึกคิดหรือจติ เพลโต
เชื่อว่าเนื้อแท้ของจักรวาลมี 2 ประเภท คือ โลกของสสารหรือวัตถุ และโลกของแบบ หรือมโนคติ จิตแบ่ง
ออกเปน็ 3 ภาค คือ
ภาคปญั ญา ทาหน้าทเี่ กย่ี วกบั การใช้เหตุผล
ภาคน้าใจ ทาหนา้ ทเ่ี ก่ยี วกับความรู้สึกสานึกในหนา้ ท่ี
ภาคตัณหา ทาหนา้ ท่ีเกย่ี วกับความตอ้ งการหรอื ความอยาก
จิตภาคปัญญาทาหนา้ ท่คี วบคุมจติ ภาคอนื่ ๆ และทาใหม้ นุษย์พบสัจจะ หรอื ความรู้ทบี่ ริสุทธ์ิ โดยนยั นี้
เพลโตจึงแบ่งองค์ประกอบของจักรวาลเปน็ 2 ส่วน คือ ส่วนท่เี ปน็ วัตถุจับต้องได้เป็นสสาร แต่อีกส่วนหนงึ่ เป็น
จติ จับต้องไม่ได้เป็นอสสาร แต่เรารู้ได้ด้วยความคิดและจิตในเช่น ต้นน้อยหน่า ต้นชมพู่ ต้นมะม่วง ท้ังสาม
อย่างนี้เปน็ ต้นไม้เป็นวัตถุเราจับต้องไดแ้ ละเราเห็นความแตกตา่ งของต้นไม้ท้ังสาม แต่ท้ังสามก็ยังเหมือนกันอยู่
อย่างหนึง่ คือเป็นต้นไม้ “ความเป็นต้นไม้” (Treeness) น้ีเองที่เพลโตถือว่าเป็นส่วนของจิตคือเราจบั ต้องไมไ่ ด้
แต่เรารู้ด้วยความคิดของเราเพราะพอเราไปเห็นเสาไฟฟ้าเราก็บอกว่านไี่ ม่ใช่ต้นไม่แน่ แต่ถ้าเราไปเห็นต้นฝรั่ง
เราก็บอกไดอ้ กี วา่ นต่ี ้นไม้ ทาไมเราจึงบอกไดเ้ พราะต้นฝร่ังนน้ั มันมีลักษณะเหมอื นหรือใกล้เคียงกับ “ความเป็น
ต้นไม้” เรามอี ยใู่ นใจ สิ่งท่ีมอี ย่ใู นใจน้เี องเพลโตเรียกวา่ “แบบ” (Form) ซึง่ เป็นความจริงท่ีแท้ไม่เปล่ียนแปลง
รไู้ ดด้ ้วยความคดิ และจติ เทา่ นน้ั มนี กั ปรชั ญากลุ่มนีก้ ลา่ วกนั ว่า “ความเป็นจริงมอี ยู่ในความคิดเท่านน้ั ” “โลกน้ี
อยใู่ นความคิดของขา้ พเจา้ ” เปน็ ต้น (ไพฑูรย์ สินลารัตน,์ 2524)

15

ภาพท่ี 1 เพลโต
หมายเหตุ : จาก http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/2 /Plato.html
1.4.2 เดส์การต์ ส์ (ค.ศ. 1596 – 1650)

เดส์การ์ตส์ กล่าวว่า คุณสมบัติท่ีสาคัญของจิตคือการคิดได้ เขาสนับสนุนให้ใช้วิธีเรขาคณิตในการ
ค้นหาความจริง

ภาพที่ 2 เดส์การ์ตส์
หมายเหตุ : จาก https://sites.google.com/site/kruinintira/rex-ne-dek-artt

16
1.4.3 สปโี นซ่า (ค.ศ. 1632 – 1637)

สปิโนซ่าไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากปรัชญาเหตุผลนิยมของเดส์การ์ตส์ โดยเฉพาะเกย่ี วกบั วิธีการและปญั หา
สาคัญบางประการในปรัชญาและได้เสนอแนวคิดใหม่ๆ สปิโนซาคิดว่าเราสามารถรู้ความเป็นจริงได้อย่าง
แน่นอนชัดเจน โดยวิธีการเดียวกับวิธีการทางเรขาคณิต สปิโนซ่าจัดระบบให้สมบูรณ์โดยอาศัยหลักการและ
สัจพจน์จานวนหน่ึง มีลักษณะเหมือนเรขาคณิต เขาสร้างระบบเรขาคณิตให้แก่ปรัชญา คือ มีกล่มุ ของสัจพจน์
และทฤษฎีบท สามารถอธิบายความเป็นจริงทั้งหมดได้อย่างเป็นระบบ เหมือนกับท่ีเรขาคณิตอธิบาย
ความสัมพันธ์ของมโนภาพ ในเรขาคณติ น้ันขอ้ สรปุ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเหตผุ ล สปิโนซ่าคิดว่าทฤษฎีเกีย่ วกับ
ธรรมชาติของความจรงิ กส็ ามารถพสิ จู นไ์ ด้

ภาพที่ 3 สปีโนซา่
หมายเหตุ : จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/03.html
1.4.4 ไลบน์ ิต (ค.ศ.1645 – 1716)
มีความเชอ่ื ว่า สากลจักรวาลประกอบด้วย โมนาดจานวนมากนบั ไมถ่ ้วน และตกอยู่ภายใต้โมนาดใหญ่
คือพระเจา้ เขาเชือ่ วา่ ความรู้เกดิ ขนึ้ ในจิตใจโดยตรง

ภาพท่ี 4 ไลบน์ ติ
หมายเหตุ : จาก https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/04.html

17
1.4.5 เบิรก์ เลย์ (ค.ศ.1685 – 1753)

เช่ือว่าลักษณะความเป็นจรงิ ของวตั ถุทีเ่ รารจู้ ากการประจกั ษ์เป็นลักษณะเดียวกับวัตถุที่อยู่ในความคิด
ของเรา อะไรก็ตามท่ีเราได้เรียนรู้จากการประจักษ์ ส่ิงน้ีต้องข้ึนอยู่จิตของผู้ประจักษ์ถือว่าสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่
ย่อมขึ้นอยู่กับจิต เบิร์กเลย์ได้แสดงทัศนะตามศาสนาคริสเตียนสาขาออร์ธอด็อกว่า วิญญาณของมนุษย์เป็น
อมตะ พระเจ้าเป็นผู้ประทานวญิ ญาณให้ เมอ่ื มนษุ ยต์ ายไปวญิ ญาณจะไปอยกู่ ับพระเจา้ อย่างมีความสขุ

ภาพท่ี 5 เบริ ก์ เลย์
หมายเหตุ : จาก https://th.wikipedia.org/wiki
1.4.6 เฮเกล (ค.ศ. 1770 – 1831)
เชื่อว่าส่ิงท่ีเป็นความจริงจะต้องมีลักษณะสมบูรณ์ทั่วด้าน ที่เรียกว่า จิตสัมบูรณ์ (absolute spirit )
จิตสมบูรณ์น้ีคือตัวตนสมบูรณ์ ครอบงาสรรพสิ่ง และเป็นส่ิงตรงข้ามกับโลกความเป็นจริงที่มนุษย์เห็นอยู่
โดยทวั่ ไป หรือสมั ผสั ได้

ภาพที่ 6 เฮเกล
หมายเหตุ : จาก https://th.wikipedia.org/wiki

18

2. ตวั อยา่ งโรงเรียนการจดั การศกึ ษาตามแนวคดิ จิตนยิ ม
2.1 โรงเรยี นสตั ยาไส

ภาพที่ 7 โรงเรียนสตั ยาไส
หมายเหตุ : จาก https://ac127.wordpress.com/2015/10/26/

ปรัชญาของโรงเรยี นสตั ยาไส คือ “ปลายทางการศกึ ษา คอื อปุ นสิ ัยท่ีดีงาม”
วัตถปุ ระสงค์ของโรงเรยี น เพื่อใหน้ ักเรยี นเจริญเติบโตเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เชื่อวา่ ต้องสอนให้เด็กเป็น
คนดีกอ่ น ความเกง่ จะตามมาเอง มีความเปน็ เลิศทางคุณธรรม วิชาการและกีฬา สามารถดารงชีวิตอยใู่ นสังคม
ปจั จุบนั ได้อย่างมีความสขุ
วิสยั ทศั น์ของโรงเรียน เด็กจะได้รบั การอบรมบม่ นสิ ยั ให้มคี วามรัก ความเมตตากรุณา มีกิรยิ ามารยาท
ท่ีดีงาม มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์ สุจริต กล้าหาญ กตัญญู ม่ันใจในตนเอง รู้จักคิด เสียสละ มีระเบียบ
วินยั ปฏบิ ัติต่อผูอ้ ่ืนอย่างผู้มีความรบั ผิดชอบ และรกั วฒั นธรรมไทย
หลักสูตร ใช้หลักสูตรสถานศึกษา โดยยึดมาตรฐานเกณฑ์กลาง ๘ กลุ่มสาระฯ เพ่ิมกิจกรรมการ
เรียนรู้อีก ๑ กจิ กรรม คอื กจิ กรรมทักษะชีวิต ได้นาหลกั “ศีล สมาธิ ปญั ญา” มาประยกุ ตใ์ ช้ในการจัดการเรยี น
การสอน เน้น “ความรกั ความเมตตา” และ “คุณธรรม” โดยบรู ณาการเข้าไปในการเรียนการสอนและกิจกรรม
ท้ังหลาย
ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โรงเรียนสัตยาไส ใช้หลัก ”Educare” โดยมุ่งดึงสิ่งที่ดีจาก
นักเรียน ตั้งคาถามท่ีดีและสร้างสรรค์ โน้มนาให้สวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิ ระลึกถึงบุญคุณของผู้อ่ืน บุญคุณของ
สรรพสิ่ง มคี วามนอบนอ้ ม มคี วามเคารพ มคี วามเมตตากรุณา ฯลฯ อยู่เปน็ ปกตนิ สิ ยั
การใช้หลักคุณธรรม 5 ประการ” ซึ่งถือเป็นหลักในการดาเนินชีวิตและดาเนินกิจกรรมท้ังหลายใน
โรงเรยี นสตั ยาไส คอื
1. เปรมา (ความรกั ความเมตตา)
2. สัตยา (ความจริง) (สัตยาไสย = มารดาแหง่ ความจรงิ )
3. ธรรมะ (การประพฤติชอบ)
4. สันติ (ความสงบสุข)
5. อหงิ สา (การไม่เบียดเบียน)

19

ภาพที่ 8 หลักคณุ ธรรมโรงเรยี นสัตยาไส
การจัดการศึกษาของโรงเรียนสัตยาไสเป็นไปเพ่ือพัฒนาให้นักเรียนเป็นมนุษย์ที่มีอุปนิสัยท่ีดีงาม ใน
ดา้ นร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตและสามารถอยู่
ร่วมกับผอู้ ื่นไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข ทงั้ นี้เพราะคุณค่าความเป็นมนุษย์อนั เป็นพืน้ ฐานการศกึ ษาของโรงเรียนสัตยาไส
ถกู นาออกมาจากตัวผู้เรียนควบคไู่ ปกับการเรยี นการสอนในเชิงวิชาการ ซ่ึงเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีสอด
ผสานทง้ั ความรู้ทางโลกภายนอก (ลดั ดา จลุ วงษ,์ 2563. 305)
2.2 โรงเรยี นวถิ พี ุทธ
ความเชื่อของครูตามปรัชญาน้ี เช่ือว่า “การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับการหย่ังเห็นวิธีการสอน จะมุ่งสอนให้
ผู้เรยี นแสวงหาความสขุ ทางใจ มากกว่าแสวงหาวัตถุ ผเู้ รียน ครจู ะยึดตนเองเปน็ ศูนย์กลางของการสอน
สรุปคือ การเรียนการสอนตามแนวจิตนิยม จะเน้นความรู้ที่ได้มาจากการฟัง (สุตมยปัญญา) และ
ความรู้ท่ไี ด้มาจากการคดิ (จินตมนปญั ญา) ตามหลักในพุทธศาสนาหรือเนน้ การเรียนรทู้ ี่ผ่านประสาทสมั ผสั ทาง
ใจน่นั เอง (โรงเรียนวถิ พี ุทธ, 2561)

ภาพที่ 9 โรงเรียนวิถีพุทธ
หมายเหตุ : จาก https://www.vitheebuddha.com/main.php

20

2.3 ศูนย์จติ ปญั ญาศึกษา มหาวิทยาลยั มหดิ ล
ศูนย์จติ ตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหดิ ล คอื องค์กรการศกึ ษา ที่ดาเนินการจัดการเรียนการสอนและ

การวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้องกับองคค์ วามร้แู ละการปฏบิ ัติด้านจิตตปัญญาและการพฒั นาคุณภาพมนษุ ย์ในมติ แิ ละบริบท
ท่หี ลากหลาย แนวทางจติ ตปัญญานาวิถีแบบจิตตปญั ญาไปใช้ในการขับเคลอ่ื นงานของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น การ
สอนในช้ันเรยี น การฝึกอบรมใหก้ ับสมาชิกองค์กรทงั้ ภาครฐั และเอกชน การทางานในเชงิ เยียวยา หรือการผลิต
สอ่ื ในรปู แบบต่างๆ

กระบวนการเรยี นรู้และวิถีปฏิบตั ิทศี่ นู ยจ์ ิตตปญั ญาศึกษาล้วนมุ่งเนน้ การปลกุ ใหป้ จั เจกบุคคลเกดิ ความ
ต่นื รู้ บนฐานของการภาวนาและการใคร่ครวญอย่างลกึ ซง้ึ

ภาพท่ี 10 ศนู ย์จติ ตปญั ญาศกึ ษา

หมายเหตุ : จาก https://mahidol.ac.th/th/event

แนวทางการปฏิบัติประกอบไปด้วยกจิ กรรม อาทิ การเจริญสติในรปู แบบต่าง ๆ สนุ ทรียสนทนา การ
เคลอื่ นไหวร่างกาย การทางานศิลปะและกระบวนการสรา้ งสรรค์ ซงึ่ ล้วนถกู นามาใช้เป็นเคร่ืองมือสาคัญของท้ัง
ผู้เรียนและผู้สอน ในการสืบค้น เรียนรู้ และทาความเข้าใจเก่ียวกับตนเอและผู้อ่ืน รวมไปถึงสัมพันธภาพ
ระหวา่ งบุคคล องคก์ ร และสังคมวงกวา้ ง

เป้าหมายของการศึกษาท่ีนี่คือ การบ่มเพาะ สร้างเสริมทักษะและองค์ความรู้ให้แก่นักปฏิบัติและ
นกั การศกึ ษาในบริบทต่างๆ รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้เรียน ใหเ้ กดิ ความมุง่ ม่นั ทจ่ี ะพัฒนาคุณภาพภายใน
ของตนเอง ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถในเชิงวิชาชีพ เพ่ือให้เกิดประโยชน์สุขทั้งต่อ
ตนเอง ผู้อนื่ และสังคม ( สืบคน้ จาก http://www.ce.mahidol.ac.th/news-events)

“กระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยใจอย่างใคร่ครวญ การศึกษาท่ีเน้นการพัฒนาด้านในอย่างแทจ้ ริง เพ่ือให้เกิด
ความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของส่ิงต่าง ๆ โดยปราศจากอคติ เกิดความรักความเมตตา อ่อนน้อมต่อธรรมชาติ มี
จิตสานกึ ต่อส่วนรวมและสามารถเชื่อมโยงศาสตรต์ ่าง ๆ มาประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ไดอ้ ยา่ งสมดลุ ”

3. ปรัชญาการศกึ ษานิรนั ตรนยิ ม
ความหมายของปรัชญาและปรชั ญาการศึกษา

ปรัชญาคือการมุ่งศึกษาของชีวิตและจักรวาลเพ่ือหาความจริงอันเป็นที่สุด ส่วนการศึกษามุ่งศึกษา
เร่ืองราวเก่ียวกบั มนุษย์และวิธกี ารทพี่ ฒั นามนษุ ย์ให้มีความเจรญิ งอกงาม สามารถดารงชีวิตอยไู่ ดด้ ้วยความสุข
ประสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพ ดงั น้ันการจัดการศึกษาต้องอาศัยปรัชญาในการกาหนดจุดมุง่ หมาย
และหาคาตอบทางการศกึ ษา

ปรัชญาการศึกษาคือ แนวความคิด หลักการ และกฎเกณฑ์ ในการกาหนดแนวทาง ในการจัด
การศึกษา ซึ่งนักการศึกษาได้ยึดเป็นหลักในการดาเนินการทางการศึกษาเพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้
ปรัชญาการศึกษายังพยายามทาการวิเคราะห์และทาความเข้าใจเก่ียวกับการศึกษา ทาให้สามารถมองเห็น

21

ปัญหาของการศึกษาได้อย่างชัดเจน ปรัชญาการศึกษาจึงเปรียบเหมือนเข็มทิศนาทางให้นักการศึกษา
ดาเนินการทางศกึ ษาอยา่ งเป็นระบบ ชดั เจน และสมเหตุสมผล
3.1 ความเป็นมาของปรชั ญาการศกึ ษานริ ันตรนิยม

คาว่า “นิรันตร” หรือ Perennial หมายถึง สิ่งที่คงท่ี ถาวร ไม่เปล่ียนแปลง เป็นนิรันดร ปรัชญา
การศกึ ษานริ ันตรนิยม เชื่อว่าการศึกษาควรจะได้สอนสิง่ ซงึ่ เป็นนริ ันดรไมเ่ ปลี่ยนแปลง มคี ุณค่าไม่ว่าจะเป็นยุค
สมัยใด ได้แก่ คณุ คา่ ของเหตุผลและคณุ ค่าของศาสนา อันเป็นหลักสาคัญของปรัชญานริ นั ตรนยิ ม

ความเช่ือของปรัชญาการศึกษาน้ีเน้นความสาคัญของความคงท่ี ความไม่เปล่ียนแปลงธรรมชาติของ
มนุษย์ คอื เป็นผู้ท่ีมีความสามารถท่ีจะใช้ความคิดสามารถใหเ้ หตุผลตัดสินแยกแยะ ทุกคนต้องมีความคิดและ
เหตุผล และใช้สิง่ เหล่านต้ี ลอดเวลา ยึดถือหลักความจริงและความดีสูงสดุ ไม่เปล่ยี นแปลง
3.2 แนวคดิ พ้นื ฐานปรชั ญานริ ันตรนิยม

บดิ าของปรัชญานิรันตรนิยม คือ เพลโต กล่าวว่าโลกที่เราอยู่นี้ไม่ใช่โลกที่แท้จรงิ ดังนั้นความรู้ที่ได้
จากโลกน้ีจึงเป็นความรู้ท่ีเป็นจริงสูงสุดไม่ได้ ความรู้อยู่ท่ีจิตมนุษย์ในการเข้าใจความจริงสูงสุดได้ ความจริง
สูงสุด คอื มโนมติ (Ideas) เหน็ ว่าทุกสิง่ อยา่ งในโลกมี 2 สว่ น คือ รปู และสาระและมคี วามเป็นนริ นั ดร์ ทั้งเพลโต
และอริสโตเติล เห็นตรงกันว่า “จิตหรือปัญญาของมนุษย์เข้าถึงความจริงแท้สูงสุดได้ และความรู้ได้มาจาก
เหตุผลมากกว่าจากประสาทสัมผสั ”
(สบื คน้ จาก: https://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/02.html)

ปรัชญานิรันตรนิยมมีรากฐานมาจากปรัชญาจิตนิยม ปรัชญาการศึกษาลัทธิน้ีแบ่งออกเป็น 2 ทัศนะ
คือ ทัศนะแรกเน้นในเรื่องเหตผุ ลและสตปิ ัญญา อกี ทศั นะหนึง่ เปน็ เร่ืองเก่ียวกบั ศาสนา โดยเฉพาะกลุ่ม ศาสนา
คริสต์นิกายโรมนั คาทอลิค ตงั้ แต่ 2 ทศั นะ เกยี่ วข้องกับเหตุและผล จนเช่อื ได้วา่ เป็น โลกแห่งเหตุผล(A world
of reason) การศึกษาควรสอนสิ่งท่ีเป็นนิรันตร ไม่เปลี่ยนแปลงและจะเป็นสิ่งท่ีมีคุณค่าทุกยุคทุกสมัย ได้แก่
คุณคา่ ของเหตผุ ล คณุ คา่ ของศาสนา (อดุ มศกั ด์ิ มสี ุข, 2552)
3.3 แนวคิดทางการศึกษา

ปรัชญาการศึกษาลัทธิน้ีเช่ือว่าส่ิงท่ีสาคัญท่ีสุดของธรรมชาติมนุษย์คือ ความสามารถในการใช้เหตุผล
ซ่ึงความสามารถในการใช้เหตุผลน้ีจะควบคุมอานาจฝ่ายตา่ ของมนุษยไ์ ด้ เพ่อื ให้มนษุ ย์บรรลุจุดม่งุ หมายในชวี ิต
ท่ปี รารถนา ดงั ท่ี โรเบริ ต์ เอ็มฮัทชนิ ส์ กลา่ วว่า การปรบั ปรงุ มนุษย์ หมายถงึ การพัฒนาพลังงานเหตุผล ศีลธรรม
และจิตใจอย่างเต็มท่ี มนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังเหล่าน้ี และมนุษย์ควรพัฒนาพลังที่มีอยู่ให้ดีที่สุด การศึกษาใน
แนวปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม คือ การจัดประสบการณ์ให้ได้มาซึ่งความรู้ ความคิดท่ีเป็นสัจธรรม มี
คณุ ธรรม และมีเหตผุ ล
3.4 จดุ มงุ่ หมายของการศึกษา

ปรชั ญาการศกึ ษาน้มี ีจุดม่งุ หมายทจ่ี ะสรา้ งคนใหเ้ ปน็ คนทสี่ มบูรณเ์ พราะมนษุ ยม์ พี ลงั ธรรมชาตอิ ยใู่ นตัว
พลังในที่นค้ี ือสติปญั ญา จะต้องพัฒนาสติปญั ญาของมนษุ ย์ให้เตม็ ที่ เมือ่ มนุษย์ได้พฒั นาสติปัญญาอย่างดแี ลว้ ก็
จะทาอะไรอย่างมีเหตุมีผล การจัดการศึกษาก็ควรจะพัฒนาคุณสมบัติเชิงสติปัญญาและเหตุผลในตัวมนุษย์
เพื่อใหม้ นษุ ย์ดารงความเป็นคนดีตลอดไปไมเ่ ปลยี่ นแปลง แต่ไม่เนน้ การเปลี่ยนแปลงของสังคม (ศักดา ปรางค์
ประทานพร, 2526)
3.5 การจดั การศึกษาตามแนวคิดของปรัชญาการศึกษานิรนั ตรนิยม
3.5.1 แนวคิดหลักสตู ร

หลกั สูตรนิรันตรนิยมประกอบดว้ ยการเรยี นหลักๆ ในด้านไวยากรณ์ตรรกศาสตร์ ซ่ึงเปน็ เร่อื งของการ
อ่าน การฟงั การพูด การเขียนและการใชเ้ หตผุ ล โดยถือเป็นวิชาจาเปน็ และบงั คบั ให้เรียนเพ่อื เป็นเคร่อื งมืองใน
การแสวงหาความรู้ต่อไปในทุกสิ่งในโลก อีกกลุ่มหน่ึงคือ ศิลปะการคานวณ ( Mathematical arts)
ประกอบด้วยเลขคณิต วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ และดนตรี นอกจากนยี้ ังให้ผู้เรียนรผู้ ลงาน อันมีค่า

22

ของผู้มอี จั ฉริยะในอดตี ประวตั ศิ าสตรเ์ พ่ือคงความรูเ้ อาไว้ เช่น ผลงานอมตะทางดา้ นศิลปะ วรรณกรรม ดนตรี
รวมทง้ั ผลงานทางด้านวิทยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์ ในปัจจุบันได้แกห่ ลักสูตรของวิชา พื้นฐานท่วั ไป (General
education) ในระดบั อดุ มศกึ ษา
3.5.2 แนวคิดเกี่ยวกบั ครู

ครู ปรัชญาการศึกษาน้ีมีความเช่ือวา่ เด็กเป็นผู้มีเหตุผลและมีชีวิตมีวิญญาณ ครูจะต้องรักษาวินัยทาง
จิตใจ และเป็นผู้นาทางวิญญาณของนักเรียนทุกคน ครูต้องเป็นผู้ใฝ่รู้อยู่เสมอ เข้าใจเน้ือหาวิชาท่ีสอน อย่าง
ถูกต้องชัดเจน มีความคิดยาวไกล เป็นผู้ดูแลรักษาระเบียบวินัย ควบคุมความประพฤติของผู้เรียน เป็น
แบบอยา่ งในการประพฤตปิ ฏิบัติทด่ี ี
3.5.3 แนวคิดเกย่ี วกบั ผูเ้ รยี น

ผู้เรยี นโดยธรรมชาติเป็นผมู้ ีเหตผุ ล มีสติ มีศักยภาพในตัวเองท่สี ามารถพัฒนาไปสู่ความมีเหตุผล ถอื ว่า
ผู้เรียนมีความสนใจใคร่เรียนรู้ อยู่แล้ว ดังที่อริสโตเติลกล่าวไว้ว่า All man by nature desire to know (ไพ
ทูรย์ สินลารัตน์ 2523 : 74) การให้การศึกษาจึงต้องพัฒนาสิ่งท่ีผู้เรียนมีอยู่อย่างเต็มท่ี โดยมุ่งพัฒนาเป็น
รายบุคคลฝึกฝนคุณสมบัติที่มีอยู่โดยการสอนและการแนะนาของครู ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสเรียนเท่าเทียมกัน
หมด ใชห้ ลกั สูตรเดียวกนั ท้ังเดก็ เก่งและเดก็ อ่อน ถ้าเด็กอ่อนเข้าใจชา้ ก็ตอ้ งฝึกฝนบอ่ ยๆ หรือทาซ้ากนั เพ่ือไปให้
ถงึ มาตรฐานเดียวกนั กบั เดก็ เก่ง
3.5.4 แนวคดิ เก่ียวกบั กระบวนการสอน

ใช้วิธีท่องจาเนื้อหาวิชาต่าง ๆ และฝึกให้ใช้ความคิดหาเหตุผลโดยอาศัยหลักวิชาที่เรียนรู้ไว้แล้วเป็น
แนวทางพน้ื ฐานแห่งความคิด เพ่ือพัฒนาสตปิ ญั ญาหรือเนน้ ดา้ นพทุ ธิศึกษา ทีเ่ รยี กว่า Intellectual Education
(Wingo 1974 : 148 อ้างถึงใน อรสา สุขเปรม 2541) นอกจากน้ีผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมทางจิตใจจึงจะ
สามารถจดจาส่ิงต่าง ๆ ได้ การเรยี นการสอนท่ีกระตุ้นและหนนุ ให้เกิดศักยภาพดังกล่าว จึงต้องมกี ารอภิปราย
ถกเถียง ใช้เหตผุ ล และสติปัญญาโต้แย้งกนั ครูเป็นผู้นาในการอภิปราย ตั้งประเด็นและยั่วยุให้มีการอภิปราย
ถกเถยี งกนั ผเู้ รียนจะได้พฒั นาสติปัญญาของตนไดอ้ ย่างเตม็ ท่ี
3.5.5 แนวคิดเกี่ยวกับโรงเรยี น

โรงเรียนไม่มีบทบาทต่อสังคมโดยตรง เพราะเน้นท่ีตัวบุคคลเป็นหลักใหญ่ เพราะถือว่าถ้าเกิดการ
พัฒนาในตัวบุคคลแล้วก็สามารถทาให้สงั คมนั้นดขี ึ้นด้วย โรงเรียนจงึ เปน็ เสมอื นตวั กลางในการเตรียมผู้เรยี นให้
เกิดความก้าวหน้าทีด่ ีงามทีส่ ุดของวัฒนธรรมท่ีมีมาแต่อดีต โรงเรียนจะสร้างบรรยากาศและจัดสภาพแวดล้อม
ใหม้ ีลักษณะสรา้ งความนิยมในวฒั นธรรมที่มีอยู่และเคร่งครดั ในระเบยี บวนิ ยั โดยเนน้ การประพฤติปฏบิ ัติ
บทสรปุ ปรัชญาการศึกษานิรันตรนยิ ม

ทฤษฎกี ารศึกษานิรันตรนยิ มเน้นเร่ืองความสาคญั ของครูและเน้อื หาวิชา การจดั การเรยี นการสอนตาม
ทฤษฎีน้ีจงึ มุ่งเน้นให้ผูเ้ รียนจดจา ใช้เหตุผล และต้ังใจกระทาสิ่งตา่ งๆ โดยผสู้ อนใช้การบรรยาย ซักถามเป็น
หลัก รวมท้ังเป็นผู้ควบคุม ดูแลให้นักเรียนอยู่ในระเบียบวินัย การจัดการเรียนการสอนที่ปล่อยให้ผู้เรียนมี
อิสระมากเกินไปในการท่ีจะเลือกเรียนตามใจชอบเป็นการขัดขวางโอกาสที่ผู้เรียนจะได้พฒั นาความสามารถที่
แท้จรงิ

23

เอกสารอา้ งองิ

บ้านจอมยทุ ธ. (2543). ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (ออนไลน)์ . สบื ค้นเม่อื 9 กรกฎาคม 2565.
https://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/02.html

ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์. (2524). ปรัชญาการศึกษาเบ้ืองตน้ . (พมิ พ์ครั้งท่ี 5). กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .

มหาวทิ ยาลยั มหิดล. (2561). ศนู ยจ์ ติ ตปัญญาศกึ ษา (ออนไลน์). สืบคน้ เมอ่ื 5 กรกฎาคม 2565.
http://www.ce.mahidol.ac.th/news-events/

ลดั ดา จุลวงศ์. (2563). ภาวะผู้นาเชิงจิตวิญญาณของดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยากบั การจดั การศกึ ษา
เพือ่ พัฒนาความเปน็ มนุษยท์ ส่ี มบรู ณ์ กรณศี ึกษาโรงเรยี นสัตยาไส. วารสารวชิ าการมหาวทิ ยาลยั
การจัดการและเทคโนโลยอี ีสเทิร์น.

วิถพี ุทธ. (2561). โรงเรียนวถิ ีพุทธ (ออนไลน)์ . สืบคน้ เมอ่ื 9 กรกฎาคม 2565.
https://www.vitheebuddha.com/main.php

ศกั ดา ปรางค์ประทานพร. (2526). ปรชั ญาการศกึ ษาฉบับพืน้ ฐาน. ชลบุรี : มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.
ศกุ ร ศรีแสน. (2522). ปรัชญาและแนวคดิ ทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : อภิชาตการพมิ พ์.
อดุ มศักดิ์ มีสขุ . (2552). ปรชั ญาและปรัชญาการศกึ ษา (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 4 กรกฎาคม 2565.

https://www.kroobannok.com/addku. (4 กรกฎาคม 2565)

24

ปรัชญาลทั ธิสจั จนยิ ม (Realism)
เชื่องโยงกับปรัชญาการศกึ ษาสารตั ถนยิ ม (Essentialism)

1. ที่มาและความเชือ่ ประวตั ิของอรสิ โตเตลิ
ประวัตแิ อริสตอเติล

แอริสตอเติล (กรีก: Αριστοτέλης; อังกฤษ: Aristotle, 384–322 ปี
ก่อนคริสตกาล) เปน็ นักปรัชญาและผ้รู ู้รอบด้านชาวกรีกระหว่างสมยั คลาสสิก
ในกรีซโบราณ เป็นศิษย์ของเพลโต ผู้ก่อต้ังไลเซียม, สานักปรัชญาเพริพา
เททิก และขนบแอริสตอเติล งานนิพนธ์ของเขาครอบคลุมหลายสาขาวิชา
รวมทั้งฟิสิกส์ ชีววิทยา สัตววิทยา อภิปรัชญา ตรรกศาสตร์ จริยศาสตร์
สุนทรียศาสตร์ บทกวี การละคร ดนตรี วาทศาสตร์ จิตวิทยา ภาษาศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ การเมืองและการปกครอง แอริสตอเตลิ เป็นผู้สังเคราะห์อย่าง
ซับซ้อนซึ่งปรัชญาต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ก่อนหน้าเขา เหนืออ่ืนใดโลกตะวันตกได้รับ
เอาศัพทานุกรมทางปัญญาจากคาสอน ตลอดจนปัญหาและวิธีการสอบสวน
ของเขา ผลทาให้ปรชั ญาของเขาส่งอิทธิพลเป็นเอกลักษณ์ต่อความรู้แทบทุก
แบบในโลกตะวนั ตก และยังเป็นหัวข้อการอภิปรายทางปรัชญาร่วมสมยั
ท้ังน้ี ชวี ิตของเขาไมค่ ่อยเปน็ ทท่ี ราบเท่าใดนกั แอริสตอเตลิ เกิดในนครสตะไยระ (Stagira) ในภาคเหนอื ของกรีซ
บิดาเขาเสียชวี ติ ตั้งแตย่ ังเยาว์ และผปู้ กครองเปน็ ผู้เลี้ยงดเู ขาตอ่ มา คร้ันอายไุ ด้ 17 หรือ 18 ปี เขาเขา้ ร่วมอะคา
เดมีของเพลโตในเอเธนส์และอยู่ที่นัน่ จนอายุได้ 37 ปี (ประมาณ 347 ปีกอ่ น ค.ศ.) ไม่นานหลังเพลโตเสียชีวิต
แอริสตอเติลออกจากเอเธนส์ และเป็นพระอาจารย์ให้แก่อเล็กซานเดอร์มหาราชเร่ิมตั้งแต่ 343 ปีก่อน ค.ศ.
โดยคาขอของพลี ิปโปสท่ี 2 แห่งมาเกโดนีอา เขาต้ังห้องสมุดในไลเซียมซง่ึ ช่วยใหเ้ ขาเขียนหนังสือหลายรอ้ ยเล่ม
บนม้วนกระดาษปาปิรุส แอริสตอเติลเขียนศาสตร์นิพนธ์และบทสนทนาอันสละสลวยจานวนมากสาหรับ
เผยแพร่ แตม่ ผี ลงานด้งั เดมิ เพียงประมาณหน่งึ ในสามเท่านัน้ ทีเ่ หลือรอดสืบมา ซ่งึ เขาไม่ไดต้ งั้ ใจเผยแพรท่ ง้ั ส้ิน
ทศั นะต่อวิทยาศาสตร์กายภาพของแอริสตอเติลมีผลให้เกิดวิชาการสมัยกลางอย่างลึกซ้ึง อิทธิพลจาก
ทัศนะของแอริสตอเติลคงอยตู่ ั้งแต่สมัยโบราณตอนปลายจนถึงสมัยฟ้นื ฟูศิลปวิทยา จนกระทั่งในยุคเรอื งปญั ญา
ทฤษฎีอย่างกลศาสตร์ดั้งเดิมเขา้ แทนที่ทศั นะของแอริสตอเติลอย่างเป็นระบบ คนไม่เชื่อถือข้อสังเกตทางสัตว
วิทยาบางประการของแอริสตอเติลพบในผลงานชีววิทยาของเขาจนกระท่ังคริสต์ศตวรรษท่ี 19 เช่น เร่ืองแขน
สืบพันธุ์ของหมึก ผลงานของเขามีการศึกษาตรรกศาสตร์รูปนัยเก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีอิทธพิ ลมาจนคริสต์ศตวรรษท่ี
19 เช่นกัน เขายังมีอิทธิพลต่อความคิดของอิสลามในสมัยกลาง ตลอดจนเทววิทยาศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งคตินิยมแบบเพลโตใหม่ (Neoplatonism) ในคริสตจักรสมัยต้น และขนบลัทธิอัสมาจารย์ของ
โรมันคาทอลิก แอริสตอเติลได้รับการยกย่องในหมู่นักวิชาการอิสลามสมัยกลางว่าเป็น "ปฐมครู" และในหมู่
คริสต์ศาสนิกชนสมัยกลางอย่างทอมัส อไควนัสว่าเป็น "นักปรัชญาหนึ่งเดยี ว" จริยศาสตร์ของเขาได้รับความ
สนใจใหมเ่ ม่อื มกี ารรเิ ร่มิ จรยิ ศาสตรค์ ุณธรรมสมัยใหม่
แอริสตอเติล เกิดเมื่อประมาณ 384 หรือ 383 ปีก่อนคริสตกาลท่ีเมืองสตากิรา (Stagira) ในแคว้นมา
เซโดเนีย (Macedonia) ซง่ึ เปน็ แคว้นท่แี หง้ แล้งทางตอนเหนอื สุดของทะเลอีเจยี น (Aegean Sea) ของประเทศ
กรีก เปน็ บุตรชายของนายนิโคมาคสั (Nicomachus) ซึง่ มีอาชีพทางการแพทยป์ ระจาอยูท่ เี่ มอื งสตาราเกยี และ
ยงั เปน็ แพทย์ประจาพระองค์ของพระเจา้ อมนิ ตัสที่ 2 (King Amyntas II) แหง่ มาซโิ ดเนีย
ในวัยเด็กนั้นผู้ท่ีให้การศึกษาแก่แอริสตอเติลคือบิดาของเขานั้นเองซึ่งเน้นหนักไปในด้ านธรรมชาติ
วิทยา เม่ือเขาอายุได้ 18 ปีก็ได้เดินทางไปศึกษาต่อกับปรัชญาเมธีผู้ย่ิงใหญ่ที่สุดในยุคนั้นคือ เพลโต ในกรุง

25

เอเธนส์ (Athens) ในระหว่างการศึกษาอยู่กบั เพลโต 20 ปีน้ันทาให้แอรสิ ตอเติลเป็นนักปราชญ์ท่ีลอื นามต่อมา
จากเพลโต ตอ่ มาเมื่อเพลโตถงึ แกก่ รรมในปี 347 ปีกอ่ นคริสตศ์ ักราช แอรสิ ตอเติลจงึ เดนิ ทางไปรบั ตาแหนง่ เป็น
พระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ในปี 343 - 342 ก่อนครสิ ต์ศักราช ต่อมาในปี 336 กอ่ นคริสต์ศักราช
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระเจา้ ฟิลิป พระองค์จงึ ได้พระราชทานทุนให้แก่แอริสตอ
เตลิ เพอื่ จัดตั้งโรงเรยี นทสี่ ตากริ าชอ่ื ไลเซยี ม (Lyceum)

ในการทาการศึกษาและค้นคว้าของแอริสตอเติลทาให้เขาเป็นผู้รอบรู้สรรพวิชา และได้เขียนหนังสือไว้
มากมายประมาณ 400 - 1000 เลม่ ซ่ึงงานต่าง ๆ ท่ไี ด้เขียนข้ึนมาน้นั ได้มีอิทธิพลต่อความเช่ือในศาสนาครสิ ต์
จวบจนกระทั่งยคุ กลางหรอื ยคุ มดื ซ่งึ มีเวลาประมาณ 1,500 ปเี ปน็ อย่างน้อย

ปรชั ญาทฤษฎี
ตรรกศาสตรพ์ จน์
แอริสตอเติลเป็นผู้เขียน Prior Analytics ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นงานศึกษาตรรกศาสตรร์ ูปนัยท่ีมีอายุ

มากที่สุด และมโนทัศน์ตรรกศาสตร์ของเขาเป็นตรรกศาสตร์ตะวันตกรปู ท่ีครอบงาจนมีความก้าวหน้าในคณิต
ตรรกศาสตรใ์ นคริสต์ศตวรรษท่ี 19

ออรก์ านอน
ส่ิงท่ีปัจจุบันเรียก ตรรกศาสตร์แบบแอริสตอเติลและตรรกบทประเภทต่าง ๆ (วิธีการให้เหตุผลเชิง
ตรรกะ) แอริสตอเติลเองเรียกว่า ศาสตร์การวิเคราะห์ (analytics) คาว่า "logic" น้ันเขาสงวนไว้ หมายถึง
วิภาษวธิ ี งานส่วนใหญข่ องแอรสิ ตอเติลอาจไม่อยู่ในรปู ด้ังเดิม เพราะนา่ จะมีการแก้ไขโดยนักเรยี นและผสู้ อนใน
ภายหลงั งานเชิงตรรกะของแอริสตอเตลิ มกี ารรวบรวมเปน็ หนังสือหกเล่มชื่อ ออร์กานอน เมื่อประมาณ 40 ปี
ก่อน ค.ศ.การวิเคราะห์งานเขียนของแอริสตอเติลเร่ิมจากพื้นฐาน คือ การวิเคราะห์พจน์อย่างง่าย, การ
วเิ คราะห์ประพจนแ์ ละความสมั พนั ธ์มูลฐาน, การศึกษาตรรกบทและวภิ าษวธิ ี
อภปิ รัชญา
แอริสตอเติลพิจารณามโนทัศน์ของสาระ ( ousia) และสารัตถะ (to ti ên einai) ในหนังสือ
Metaphysics (Book VII) เขาสรุปว่าสสารหน่ึงเป็นสสาร (matter) และรูป (form) ประกอบกัน เป็นทฤษฎี
ปรัชญาช่ือ สสารรูปนิยม (hylomorphism) ใน Book VIII เขาแยกแยะสสารของสาระเปน็ substratum หรือ
ส่ิงท่ีประกอบเป็นสสาร ตวั อย่างเช่น สสารของบ้านคอื อิฐ หิน ไม้ ฯลฯ หรือสิง่ อื่นท่ปี ระกอบเปน็ บ้าน สว่ นรูป
ของสสารคือบ้านทแ่ี ท้จริง กล่าวคือ "สิ่งท่ีคมุ้ ร่างกายและทรัพย์" หรือ differentia อ่ืนท่ีทาให้นิยามส่ิงหนึ่งว่า
บา้ น สูตรซึ่งใหส้ ่วนประกอบเป็น account ของสสาร และสูตรทใ่ี ห้ differentia เป็น account ของรูป
ปรัชญาของแอรสิ ตอเตลิ มุ่งที่ระดับสากล (universal) เช่นเดียวกับครเู พลโตของเขา ภววทิ ยาของแอริ
สตอเติลวางระดับสากล (katholou) ในรายละเอียด (kath' hekaston) สงิ่ ทอ่ี ยใู่ นโลก ในขณะทส่ี าหรับเพลโต
แลว้ ภาวะสากลเป็นรูปที่มีอยแู่ ยกกันซง่ึ สิ่งทแี่ ท้จริงเลียนแบบ แตส่ าหรับแอริสตอเติล "รูป" เปน็ ภาพน่ิงซ่ึงเป็น
พน้ื ฐานของปรากฏการณ์ แตเ่ ป็น "ตวั อย่างประกอบ" (instantiated) ในสสารหนึ่ง ๆ
สจั นิยมภายใน
เพลโตใหเ้ หตุผลว่าทุกสิ่งมรี ูปสากล ซึ่งอาจเป็นคุณสมบัติหรือความสัมพนั ธ์กบั ส่ิงอ่ืน ตัวอย่างเช่น เมือ่ เราดูลูก
แอปเป้ิล เราเห็นแอปเปิ้ล และเราสามารถวิเคราะห์รปู ของแอปเปิ้ลได้ดว้ ย ในลักษณะนี้ มแี อปเปิ้ลเฉพาะราย
และรูปสากลของแอปเปิ้ล ย่ิงไปกว่าน้ัน เราสามารถวางแอปเป้ิลไว้ข้างหนังสือ เพ่ือที่เราสามารถพูดถึงท้ัง
หนังสือและแอปเป้ิลว่าอยู่ข้างกัน เพลโตให้เหตุผลว่ามีรูปสากลบางอย่างซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของส่ิงเฉพาะ
ตัวอย่างเชน่ มีความเป็นไปได้ว่าไม่มีความดีเฉพาะสว่ นอยู่ แต่ "ความด"ี ยังเปน็ รปู สากลแท้ แอริสตอเตลิ ไมเ่ ห็น
ด้วยกบั เพลโตในข้อนี้ โดยใหเ้ หตุผลว่าระดับสากลท้ังหมดเป็นตวั อยา่ งที่อยู่ในบางชว่ งเวลา และไมม่ ีระดบั สากล
ใดท่ไี ม่ยึดโยงกบั สิ่งทม่ี อี ย่แู ลว้ นอกจากน้ี แอริสตอเติลยังไมเ่ หน็ ดว้ ยกับเพลโตเกย่ี วกบั ตาแหน่งของระดับสากล

26

เม่ือเพลโตพูดถึงโลกของรูป ซ่ึงเป็นสถานที่ที่มีรูปสากลทง้ั หมดอยู่ แอริสตอเติลยืนยนั วา่ ระดับสากลนั้นมีอยู่ใน
ทุกส่ิงซึ่งระดับสากลเป็นภาคแสดง (predicated) ฉะนั้น แอริสตอเติลจึงว่า รูปของแอปเป้ิลมีอยู่ในทุกลูก
มากกว่าในโลกของรูป

ทฤษฎีของเพลโตว่า รูปมีอยเู่ ป็นสากล เช่น รูปในอุดมคติของแอปเปิ้ล แต่แอริสตอเติลเห็นว่าท้ังสสารและรูป
เป็นของปัจเจก (สสารรูปนยิ ม)
ศกั ยภาพและภาวะจรงิ

เกี่ยวกับการเปล่ียนแปลง ( kinesis ) และสาเหตขุ องการเปลยี่ นแปลงในขณะนี้ ตามทีเ่ ขากาหนดไวใ้ น
Physics and On Generation and Corruption 319b–320a เขาแยกความแตกต่างท่ีจะเกิดขึ้นจาก: การ
เจรญิ เติบโตและการลดลงซึ่งเป็นการเปล่ียนแปลงของปริมาณการเคลื่อนไหวซึ่งเป็นการเปลีย่ นแปลงในอวกาศ
และการเปลี่ยนแปลงซึ่งเปน็ การเปลีย่ นแปลงในคณุ ภาพสง่ิ ที่จะเกิดขึ้นคือการเปล่ียนแปลงท่ีไม่มสี ิ่งใดคงอยู่ซ่ึง
ผลลัพธ์คอื คุณสมบตั ิ ในการเปลี่ยนแปลงนน้ั เขาได้แนะนาแนวคิดของศักยภาพ (ไดนามิก) และความเป็นจริง
(entelecheia) ร่วมกับเรื่องและรูปแบบ หมายถึงศักยภาพ น่ีคือส่ิงที่สามารถทาได้หรือดาเนินการได้หาก
เงื่อนไขถกู ตอ้ งและส่ิงอ่นื ไม่ได้ปอ้ งกัน ตัวอย่างเชน่ เมล็ดพชื ในดินอาจเป็นพืช (ไดนาไม) และหากไม่ได้รบั สง่ิ กีด
ขวาง มันจะกลายเป็นพืช สิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพสามารถ 'กระทา' (poiein) หรือ 'ถูกกระทาตาม' (Paschein)
ซึ่งสามารถเกดิ ข้ึนไดเ้ องหรือเรียนรูก้ ็ได้ ตัวอย่างเชน่ ดวงตามศี ักยภาพในการมองเหน็ (โดยกาเนิด - ถกู กระทา)
ในขณะท่ีความสามารถในการเล่นขลุ่ยสามารถถูกครอบงาโดยการเรียนรู้ (การออกกาลังกาย - การแสดง)
ความเปน็ จริงคือการเตมิ เตม็ จุดสน้ิ สุดของศกั ยภาพ เพราะจดุ จบ (telos) เปน็ หลักการของการเปลี่ยนแปลงทุก
อย่าง และเพื่อประโยชน์ในการส้ินสุดจึงมีศักยภาพ ดังนั้นความจริงก็คือจุดจบ จากตัวอย่างก่อนหน้าน้ี อาจ
กล่าวได้วา่ ความจริงก็คอื เม่ือโรงงานทากิจกรรมอย่างหน่ึงที่พชื ทาเพื่อประโยชน์ของสิ่งนน้ั (แก่ hou heneka)
สิ่งน้ันคือ หลักการของมัน และการบังเกิดมีข้ึนเพอื่ ประโยชน์ของท่ีสุด และความเป็นจริงก็คือจุดจบ และเพื่อ
ประโยชน์ในการนท้ี ไ่ี ด้มาซงึ่ ศักยภาพ เพราะสัตวท์ งั้ หลายไมไ่ ด้ดูเพอ่ื ท่พี วกมันจะได้มองเหน็ แต่มีไว้เพื่อมองเหน็

โดยสรุปเรอ่ื งทีใ่ ช้ทาบ้านมีศกั ยภาพทจี่ ะเป็นบ้านท้ังกิจกรรมการสร้างและรูปแบบของบ้านหลงั สดุ ท้าย
เป็นเร่ืองจริงซ่ึงเป็นสาเหตุหรือจุดจบในท่ีสุด จากน้ันอริสโตเติลดาเนินการและสรุปว่าความเป็นจริงอยู่ก่อน
ศักยภาพในสูตร ในเวลา และในสาระสาคัญ ด้วยคาจากัดความของสสารเฉพาะ (เช่น สสารและรูปแบบ)
อริสโตเติลพยายามแก้ปัญหาเกี่ยวกับความสามัคคีของส่ิงมีชีวิต เช่น "อะไรที่ทาให้มนุษย์เป็นหน่ึงเดียวกัน" ?
เน่ืองจากเพลโตมีแนวคิดสองประการ: สัตวแ์ ละสตั ว์สองเท้า แล้วมนุษย์เป็นเอกภาพได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม
ตามคากล่าวของอรสิ โตเตลิ ศกั ยภาพ (สสาร) และตวั ตนทแ่ี ทจ้ ริง (รูปแบบ) เปน็ หนงึ่ เดียวกนั

27

อริสโตเติลแย้งวา่ ความสามารถเชน่ การเล่นขล่ยุ สามารถได้มาซงึ่ ศกั ยภาพทเ่ี กดิ ขนึ้ จริงโดยการเรยี นรู้
ทีม่ า จากวิกิพีเดีย สารานกุ รมเสรี
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A
A%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A5

2. ปรชั ญาลทั ธสิ จั นิยม
2.1 ความหมายของปรัชญา

ปรชั ญา ในภาษาไทย พระเจ้าวรวงศ์เกรมหม่ืนนราธปิ พงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญัตขิ นึ้ โดยมารากศพั ทใ์ น
ภาษาสนั สกฤตวา่ ปร (สงู สุด) + ชญา (รู้) ซึ่งมีความหมายถงึ ความรู้อนั สูงสดุ

สาหรับในภาษาอังกฤษ Philosophy มาจากภาษากรีก Philosophia ซ่ึงแยกออกเป็น Philos ซึ่ง
แปลวา่ รักและ Sophia ซึ่งแปลวา่ ปัญญา เมือ่ รวมกันเข้าจงึ หมายถงึ ความรกั ในปญั ญา นน่ั คอื “ความรักใน
ความรอบร้ทู ัง้ ปวง”

ในหนังสือ The World Book of Dictionary ของ บาร์นาร์ต (Barnhart.1979 : 1565) ได้ให้
ความหมายของปรัชญา ไว้หลายนัยด้วยกนั ดงั น้ี

1.ปรชั ญา คอื การศกึ ษาถงึ ความจริงหรือหลักของความรคู้ วามจริงท้ังมวล ซึ่งเปน็ การศึกษาถึงตน้ เหตุ
และหลกั เกณฑต์ ่าง ๆ ของจกั รวาล

2.ปรชั ญา คอื คาอธิบายหรอื ทฤษฎีความรขู้ องจักรวาล
3.ปรัชญา คือ หลักในการดาเนินชีวิต เช่น หลักเกณฑ์ในด้านความประพฤติ ความเชอื่ ในศาสนาหรือ
ขนบธรรมเนียมประเพณี
4.ปรชั ญา คือ หลักกว้าง ๆ ทว่ั ไปของวิชาเฉพาะหรอื กลุม่ กิจกรรม
5.ปรชั ญา คอื เจตคติท่ีสขุ มุ และมีเหตผุ ล การยอมรับสิ่งต่าง ๆ เสมอื เป็นสงิ่ ที่ดที ส่ี ดุ
6.ปรชั ญา คือ ความรักหรือการขวนขวายเพื่อให้ได้มาซึง่ ปญั ญา (ความฉลาด)
โกฟ (Gove. 1965 : 1698) ได้ใหค้ วามหมายของปรัชญาไวค้ ล้าย ๆ กันหลายนัยด้วยกัน
1.ปรัชญา คือ ความรักหรือการขวนขวายในปัญญาและการค้นหาต้นเหตุและหลักการต่าง ๆ ของ
ความจรงิ
2.ปรัชญา คือ การค้นหาความจริงโดยวิธีการทางตรรกวิทยา(เหตุผล)มากกว่าที่จะได้จากการ
สงั เกตเหน็
3.ปรัชญา คือ การวิเคราะห์วิจารณ์ถึงมูลเหตุของความเชือ่ พื้นฐานและการวเิ คราะหค์ วามคดิ พื้นฐานท่ี
ไดจ้ ากความเชื่อน้ัน ๆ
4.ปรัชญา คอื การนาการเรียนรู้ตา่ ง ๆ มาสัมพันธก์ ัน

28

กดู๊ (Good) ไดใ้ ห้ความหมายของปรชั ญาไว้ใน Dictionary of Education ไวห้ ลายนัยด้วยกนั
1.ปรัชญา หมายถึง ความคิดโดยรวม ๆ ของปัจเจกบุคคลท่ีใช้เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติของแต่ละ
บุคคล
2.ปรัชญา คือ ศาสตร์ท่ีพยายามสืบเสาะเพื่อจัดหมวดหมู่และระบบความรู้ทุกสาขา เพ่ือเป็นแนวทาง
ทาใหเ้ กิดความเข้าใจและตคี วามหมายที่เกย่ี วข้องกับความจรงิ ท้งั มวล
นอกจากนี้ กติ มิ า ปรีดีดลิ ก ได้รวบรวมความหมายของปรชั ญาตามทัศนะของบคุ คลต่าง ๆ ไวด้ งั นี้
ปรัชญา เปน็ ความรู้อันเปน็ ระเบียบแบบวทิ ยาศาสตร์ของมนุษย์และการสารวจตรวจสอบกฎเกณฑอ์ ัน
เป็นพื้นฐานของปรากฏการณ์ท้ังมวล ศาสตรท์ ุกสาขามปี รัชญาเป็นพ้ืนฐาน ปรัชญาแสวงหาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
ซึง่ เชือ่ มโยงวทิ ยาศาสตรเ์ ข้ากบั ส่ิงตา่ ง ๆ

(ประยรู เวชปาน)
ปรัชญา คือการคิดตรึกตรองวิเคราะห์วิจารณ์ด้วยเหตุผลว่า ความเชื่อข้ันพื้นฐานของมนุษย์เก่ียวกับ
โลกและชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ นั้น มีเหตุผลหรือไม่เพียงใดและคาพูดความนึกคิดท่ีใช้แสดงความเช่ือเหล่านั้น มี
ความหมายตรงกันกบั ความจรงิ หรือไม่เพียงใด ท้งั นเี้ พื่อใหค้ วามเชือ่ ถูกตอ้ งมีเหตุผลอันสมควรจรงิ

(รุ่งเรือง บญุ โญรส)
ปรัชญาคือศาสตร์ชนิดหน่งึ ที่มีวตั ถุประสงคท์ ่ีจะจดั หมวดหมู่หรือแบบความรูส้ าขา ตา่ งๆ เพือ่ นามาใช้
เป็นเคร่อื งมือทาความเข้าใจ และแปลความหมายขอ้ เท็จจริงต่าง ๆ อยา่ ง สมบูรณ์แบบ

(ภญิ โญ สาธร)
ปรัชญา คือ การจัดความรู้ทางวิทยาศาสตร์และประสบการณ์ทางจริยศาสตร์ สุนทรียศาสตร์และ
ศาสนาให้เป็นระบบ วิเคราะห์ความคิดรวบยอดทั่วไปและความคิดรวบยอด ทางวิทยาศาสตร์ พจิ ารณาความ
สมเหตุสมผลของความคิดเหล่าน้นั และนาความคดิ เหล่านั้น มาสัมพนั ธ์กนั และกนั วธิ ีการของปรัชญา คอื การ
คิดหาเหตผุ ลตามหลักตรรกวทิ ยา

(อมร โสภณวเิ ชษฐวงศ)์
ปรัชญา หมายถึง สงิ่ ท่ีแสดงถึงความเช่อื ถือท่ีบุคคลใช้เป็นหลักในการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมของตน
หรือหมายถึงทัศนะของบุคคลที่มีต่อการดารงชีวิต ปรชั ญาไม่ใช่ความเชอื่ ถือหรอื ทศั นะอย่างธรรมดาๆ แตเ่ ป็น
สิ่งที่ไดก้ ล่ันกรองแล้วอยา่ งรอบคอบโดยปราศจาก อารมณ์เห็นแก่ตัว และดว้ ยการได้มีการทดสอบแลว้ จนเป็นท่ี
พอใจ และมีการปรงุ แต่งอย่เู ร่ือย ปรชั ญาทแี่ ต่ละบุคคลยดึ ถอื อยู่นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงได้ และอาจปรับปรุงให้ดี
ขึน้ ไดด้ ว้ ย

(ธารง บวั ศรี)
ปรัชญา คือ ความพยายามจะเข้าใจหรือรวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ ของโลกและชีวติ แล้วเอามาสรุป
เขา้ เป็นกฎเกณฑ์หรอื เปน็ สิ่งเดยี ว ถา้ หากรวบรวมรายละเอียดไดม้ าก และมคี วามคิดลกึ ซ้ึง ส่งิ ท่ีสรุปไดก้ ย็ ่ิงเป็น
สง่ิ ที่แน่นอนและเป็นหลกั ธรรมยง่ิ ขน้ึ

(นาเฉลยี ว สุมาวงศ์)
ปรชั ญา เป็นเจตคติสว่ นบคุ คลท่มี ีต่อชีวติ และทุกอย่างในจักรวาล เปน็ วธิ ีการ ยา่ งหนึ่งของการคิดและ
การถามท่ีต้องการเหตุผล เป็นความพยายามที่จะเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด เป็นตรรกวิทยาวิเคราะห์
ความหมายของคาและมโนภาพใหก้ ระจา่ งขนึ้ เปน็ ทฤษฎขี องปญั หา และเปน็ ทฤษฎีของการแก้ปญั หาดว้ ย

(Titus)
ปรชั ญา เปน็ ความพยายามทจี่ ะคดิ ใหเ้ ป็นระเบยี บมากที่สุดเกีย่ วกับจกั รวาล ความเปน็ จรงิ ทง้ั หมด

(Kneller)

29

ปรัชญา คือ ความรักในความฉลาด คอื การทาให้ประสบความสาเรจ็ ได้ด้วยคว ฉลาด ซึ่งจะมีอิทธิพล
ต่อความเป็นอย่ขู องชีวิต ปรชั ญาเปน็ ความพยายามทีจ่ ะคิดอย่างรอบคอ โดยการรวบรวมรายละเอียดของชวี ิต
ของโลกไวท้ ง้ั หมด

(Brubaoher)
(อ้างอิงจาก กติ ิมา ปรีดีดิลก 2520 : 2-3)
จะเหน็ วา่ มีผ้ใู ห้ความหมายของปรัชญาไว้แตกต่างกันไปตามทัศนะและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
ซึ่งมที ั้งคล้ายคลึงกันและแตกต่างกนั อยา่ งไรกต็ าม ตามทัศนะของ ผเู้ ขียนเข้าใจวา่ “ปรัชญา คือ แนวความคิด
หรือความเชื่อถือที่ได้ไตร่ตรองดีแล้วท่ี ถือ เพื่อเป็นหลักในการทางานหรือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติในการ
ดาเนนิ ชีวิตของตน ฉะนั้น ปรัชญาการศึกษา จึงหมายถึง การนาเอาแนวความคิดหรือความเชื่อ ปรัชญาต่างๆ
มาเป็นแนวทางในการกาหนดจุดหมายปลายทางของการศึกษา หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ปรัชญา
การศึกษากค็ ือ ความหมายมน่ั หรือปณิธานในการจดั การศกึ ษานน่ั เอง
ลักษณะของปรัชญา
ส่ิงทจี่ ะพจิ ารณาตดั สนิ วา่ เป็นปรัชญา ควรประกอบด้วยลักษณะดัง
1.ปรัชญาเป็นวิชาท่ีว่าด้วยส่ิงท่ีสิ้นสุด (Ultimate) ปรัชญามีวิธีการที่พยาย สืบค้นส่ิงจริงแท้ที่สิ้นสุด
(Ultimate Reality) ซึง่ ไมม่ อี ะไรจะแทจ้ ริงยิ่งกว่าในสิ่งเหลา่ น้ี
1.1 สืบค้นถึงธรรมชาติของเอกภพ (Universe) วิญญาณมนุษย์ จุดหมาย ปลายทางของ
วญิ ญาณ ธรรมชาตขิ องพระผูเ้ ปน็ เจ้า ตลอดจนสมั พนั ธภาพระหวา่ งสงิ่ เหลา่ น้นั
1.2 สืบค้นถึงเนื้อแท้ของสสาร กาล อวกาศ ความเป็นเหตุเป็นผล วิวัฒนาการ ชีวิตและจิต
ตลอดจนสัมพันธภาพระหว่างส่งิ เหล่าน้ัน
1.3 สบื ค้นถึงการกาเนิดและการดาเนนิ ชวี ิตของมนษุ ย์
2.วิธีการของปรัชญาเป็นเรื่องของการคิดไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล เครือมือท่ีใช้ มักเป็นเรื่องของ
ตรรกวิทยา
3.ปรัชญาไม่ใช่เป็นเร่ืองของขอ้ เท็จจริง แต่เป็นการพยายามเข้าถึงความเปน็ จริงของ
4.ปรัชญาไม่มองโลกเป็นส่วน ๆ เหมือนวิทยาศาสตร์ แต่พยายามมองความแท้จริง ท้ังหมดโดยรวบ
ยอด
5.ปรัชญาอาจนาเอาข้อสรปุ ของวิทยาศาสตร์ สาขาต่าง ๆ มาผสมผสานกัน โดย สืบค้นหาเน้ือแท้ของ
ความคิดทางวิทยาศาสตร์อกี ท่หี นงึ่
ประโยชนข์ องปรชั ญา
ปรัชญาเป็นวิชาท่ีให้ความเพลิดเพลินใจ ช่วยใหม้ นษุ ย์ไดม้ ีความรู้และเข้าใจถงึ สิ่ง ต่าง ๆ เช่น
สภาพทางจิตใจ ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับชีวติ ความคิดที่สลับซับซ้อน การ ต่อสู้กันในทางเศรษฐกิจ ตลอด
จนถงึ ผลที่เกิดขึ้น เบนตน
เพลโต (Plato) กลา่ วว่า ปรัชญาเป็นสิ่งประเสริฐอนั ทรงคุณค่า” เป็นวิชาท่ีทาให้ชวี ิตมนษุ ย์มี
ความหมาย
เบรานิ่ง (Browning) จินตกวีอังกฤษ กล่าวว่า การพยายามแสวงหาสัจธรรมในชีวิตนั้นคือ
อาหารอนั วิเศษของข้าพเจ้า
ธอรโ์ ร (Thoreau) กลา่ วว่า “การเป็นนักปรชั ญาน้ันมิใช่เพียงแต่มคี วามคิดสขุ ุม รอบคอบ แต่
ควรรู้จักใช้ปัญญาให้เกิดผลสาเร็จตามเป้าประสงค์ ควรใช้ชีวิตอย่างง่าย ๆ เป็นอิสระ มีสุขภาพจิตดี เป็นที่
เชอ่ื ถอื ได้ และท่สี าคญั ต้องร้จู ักแสวง (หาส่ิงท่มี ีประโยชนต์ ่อการสร้างภมู ปิ ญั ญา”
เบคอน (Bacon) ได้ใหท้ ศั นะวา่ “ปัญญานั้น แม้จะไม่ทาให้เราร่ารวยไดก้ ต็ าม แต่ก็เป็นสิ่งท่ีมี
ส่วนชว่ ยใหเ้ ราเป็นอสิ ระได้

30

บางคนมีความเห็นว่า ปรัชญาเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่มีประโยชน์ มีแต่ส่ิงมืดมน ทาให้โง่เฉ่ือย
ชาและอยู่ในกรอบท่ีแคบ โดยเฉพาะ ซเิ ซโร (Cicero) ไดใ้ ห้ทศั นะไว้ว่า ไมม่ ีอะไรที่เหลว ไหลน่าหวั เราะเยาะย่ิง
ไปกว่าส่งิ ทพี่ บในหนงั สือปรชั ญา
2.2 กาเนิดของปรัชญา

ปรัชญามีท่ีมาจากเหตจุ ูงใจหลายอย่างคือ
1.เกดิ จากความอัศจรรย์ใจ หรือความฉงนใจใคร่รู้ เช่น Thales คนแรกของกรีก มคี วามประหลาด
ใจเก่ียวกับความเป็นมาของโลกและเอกภพ มีความกระหาย ใครรู้ว่ามันมีต้นตอมาจากอะไร เขาคิดและ
สงั เกตจากปรากฏการณต์ ามธรรมชาติ ในทสี่ ุดก็ สรุปว่าโลกนี้มาจากน้า นอกจากน้ียังมีหลายคนทีเ่ ร่ิมต้นด้วย
เหตจุ ูงใจ เช่น
Anaximander ถอื ว่าอวกาศอันไรข้ อบเขตจากดั เป็นความแทจ้ รงิ เพยี งสง่ิ เดียว
Anaximines ถอื ว่าอวกาศเป็นต้นกาเนดิ ของสง่ิ ทงั้ ปวง
Heraclitus ถอื ว่าไฟเปน็ สภาวะทีแ่ ท้จรงิ เพยี งสิง่ เดียว
Empadocres ถือว่าดิน น้า ลม ไฟ เป็นเน้อื สารทีถ่ าวร
Aristotle มีความเชือ่ วา่ พิภพเป็นศูนยก์ ลางของจักรวาล พระเจ้าคอื ความคิดของความคิด พระ

เจ้ามิใช่บุคคล ความดีคือความสุข Life is the Gift of nature, but beautiful life
is the
Gift of wisdom.
Plato มีความเช่ือเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ ส่ิงท่ีเป็นจริงคือเป็นจริง ในตัวของมันเอง ส่วนสิ่งท่ี
เราเห็นเป็นเพียงเงาของความจริง ส่ิงทง้ั หลายมีจริงเฉพาะในห้วงจิตหรือความคิดของ
มนุษย์ เท่าน้ัน ความดีเป็นอิสระตายตัว ไม่ขึ้นกับสถาบัน ความจริง มีแน่นอนตายตัว
และมอี ยูใ่ นโลกแห่งจินตนาการ
2.เกิดจากความสงสัย เช่น Rene Descartes นักปรัชญาผู้มีส่วนในการสร้างปรัชญา สมัยใหม่ของ
ยุโรป เขาเริ่มต้นปรัชญาของเขาด้วยความสงสัย เขาสงสัยวาส่ิงท่ีเห็นด้วยตา นั้นมันจริงหรือเปล่า เพราะ
บางคร้ังมันกเ็ ปน็ ภาพลวงตา สงสัยในความจรงิ และความเชือ่ ที่ใคร ๆ เขาเชื่อกัน เขาคิดได้ว่าสง่ิ ท่ีไม่ต้องสงสัย
อยู่คือความสงสัยของตนเอง เขาจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดเพราะฉะน้ันข้าพเจ้าจึงมีอยู่” (I think therefore I
exist) นอกจากนี้ยังมีอีก หลายคนท่เี ร่ิมต้นด้วยความสงสัย เชน่ Limmanuel Kant ปรัชญาอินเดียท่ีเกิดจาก
ความสงสัย เช่นเดยี วกัน นักปรัชญาพระเวทสงสัยในสภาวะสูงสุดของธรรมชาติ ถือว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ท้องฟ้า ลมหรือพายุ ฝน ลว้ นมวี ญิ ญาณสงิ สถิตย์อยู่ทง้ั ส้ิน
3.เกิดจากความอยากได้ปัญญา โสเครตีส มีความเข้าใจว่า ถ้ามีความรู้แจ้ง เกี่ยวกับชีวิตและ
ตัวเอง ซึ่งเรียกว่าปัญญา เขาคงมีความสุขอย่างแท้จริง ทาให้เขาแนะ ใคร ๆ ว่า “จงรู้จักตวั เอง” เมื่อคนต้อง
คดิ กับแสวงหาความจริง ทาให้เขาต้องตรึกตรอง วิเคราะห์วิจารณ์ชีวิตและการกระทาของเข การกระทาของ
เขาและมนุษยโ์ ดยทัว่ ไป สิ่งที่ไดม้ าเป็นความจรงิ ท่ี มดาและเปน็ ปรชั ญา รางวาร
4.เกิดจากการวิจารณ์ศาสนาและการปกป้องศรัทธาต่อศาสนาที่ตนนับถือ เซ่น ซีโนฟานีส นัก
ปรัชญากรีก โจมตีความเชื่อถือเกี่ยวกับเทพเจ้าของชาวกรีกท่ีว่าเทพเจ้ามี หลายองค์และมีอารมณ์ความรู้สึก
เหมือนมนุษย์ และวาดภาพเทพเจ้าไปตา่ งๆ นานาตามความรู้ สึกของตน เขาคิดว่าเทพเจ้ามีหน่ึงสถติ ย์อยู่ ณ.
แห่งหนง่ึ โดยไม่เคล่อื นไหวไปทใ่ี ด เทพเจ้า เหน็ ทัง้ หมด ไดย้ ินทัง้ หมด คอื ทง้ั หมด มีความเปน็ อย่นู ิรนั ดร ไมม่ ีการ
เรม่ิ ต้น ไมม่ กี ารส้นิ สุด เทพเจา้ คอื โลก เป็นทั้ง เป็นท้งั หมดของธรรมชาติ ซ่ึงเคล่ือนไหวมชี ีวิต
5.เกดิ จากความจาเป็นที่มนษุ ย์ตอ้ งมีหลักยึด ตอ้ งมหี ลักความจรงิ ทีเ่ หมาะสมกบั มนุษย์โดยตรง เป็น
ปรัชญาทมี่ ุ่งต่อโลก ตอ้ งการมคี วามสุขในโลก เช่น ปรชั ญาพวก pragmatism, Humanisn เปน็ ต้น

31

พวก pragmatism เปน็ ปรชั ญาที่มุง่ เอาความจริงทก่ี อ่ ประโยชนใ์ นชวี ติ การงาน ของมนุษย์ ความคิดใด
หรือความเชอ่ื ใด เมือ่ ปฏิบัติตามแลว้ มผี ลสาเร็จในการตอบสนองความ จาเป็น อานวยประโยชน์ทีต่ ้องการหรือ
แกไ้ ขปญั หาชีวติ ได้ ความจรงิ นน้ั เปน็ ความจริงแท้

พวก Humanism เป็นปรัชญาท่ีให้ความสนใจแก่มนุษย์ ของมนุษย์สาคัญกว่าส่ิงอ่ืนใด มนุษย์เป็น
มาตรการของสิ่งทั้งปวง คือโลกแหง่ ธรรมชาติ ซึ่งมีทกุ ส่งิ ทุกอย่างให้มนษุ ยถ์ ือว่ามนุษย์และสวัสดิการ ส่ิงที่เป็น
สิง่ จริงแทแ้ นน่ อน คือโลกแห่งธรรมชาติ ซงึ่ มีทกุ สิง่ ทกุ อย่างใหม้ นษุ ย์

นอกจากนี้อาจเกิดจากแรงเร้าฝ่ายวญิ ญาณ ได้แก่เหตุกาเนิดปรัชญาอินเดยี ในยุคหลัง คือยุคอุปนิษัท
เป็นต้นมา นกั ปรัชญาอินเดยี ไม่เพียงสนใจท่จี ะได้ปัญญาหรือขจัดข้อสงสยั แต่ ตอ้ งการสนองความต้องการอัน
ยง่ิ ลกึ ของวญิ ญาณ ได้แก่ การพ้นจากโลกแหง่ ความทุกข์ ความ ขัดข้องท่มี ีไมร่ ู้จักจบสิ้น เป็นต้น
2.3 วิวัฒนาการของปรัชญา

ปรัชญาทั้งน้นั ค่อย ๆ มาแยกตัวออกไปภายหลัง ปรชั ญาจึงเป็นแม่บังเกิดเกล้า ปรัชญาเกดิ ก่อนวิชา
อนื่ ท้ังหมด แต่เกิดก่อนกี่ปีไม่มีการจดจา อาจพูดได้ไม่เกินความจริงว่าปรัชญาเกิด พร้อมกับความคิดแรกของ
มนษุ ย์

ปรัชญามีกาเนิดมาต้ังแต่มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ภาษา สาหรับปรัชญาที่ไม่มีการขีดเขียนลง 600 ปี เป็น
หนังสือจึงสูญหายไป ส่วนที่พอจะมีหลักฐานเป็นวิวัฒนาการของปรัชญาได้ก็คือราว ก่อน ค.ศ. เกิดข้ึนใน
ประเทศกรกี ซง่ึ พอจะแบง่ ววิ ฒั นาการของปรชั ญาออกได้เป็น 3 สมยั คอื

ก. สมัยโบราณ สมยั นี้มงุ่ แสวงหาความจริงเกี่ยวกบั ธรรมชาติ
ธารีส (Thales) นบั เปน็ นักปรัชญาคนแรกท่คี ิดว่าเหตุการณ์ทัง้ หลายท่ีเป็นมา ในโลกนา่ จะมกี ฎเกณฑ์
ของธรรมชาติ พระเจ้ามอี านาจเหนือธรรมชาติก็เพราะรู้กฎเกณฑ์ของมัน บันดาลให้ธรรมชาติเป็นไปตามพระ
ประสงค์ โดยเดินตามกฎเกณฑ์ธรรมชาตินัน่ เอง เขามคี วาม คดิ ว่ามนุษย์สามารถสืบสาวกฎเกณฑค์ วามเปน็ มา
ของสิ่งท้ังหลายและอธิบายเหตุการณ์ท้ังหลาย ที่เป็นมาในโลกของเราได้ เช่น เขาเห็นว่าเป็นตัวกลางซึมแทรก
อยใู่ นทกุ ส่ิงและอาจจะแปร สภาพเป็นอะไรก็ได้ เชน่ น้าเยน็ จดั แข็ง นา้ ร้อนจัดกระเหยเป็นอากาศ ต้นไม้ดูดน้า
เข้า ไปเป็นเน้ือไม้ สัตว์กินเข้าไปเป็นเลือดเป็นเนื้อ คนกระหายคมนาทาใหช้ ีวติ กระชุ่มกระชวย ดังน้ันจึงนา่ จะ
เป็นตน้ ตอหรือปฐมธาตุ (First Element) ของสง่ิ ท้งั หลาย
นักปรัชญากรีกสมัยโบราณที่ค่อนข้างจะเป็นที่กล่าวถึงกันมาก ได้แก่ โสเครตีส (Socrates) เพลโต
(Plato) และ อริสโตเติล (Aristotle) Socrat นักปรัชญากรีกซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกับพวกลัทธิ lawan
(Sophism) ส ลทั ธิ โสพสต์น้เี ชือ่ วา่ ความจรงิ (Truth) ไม่มมี าตรการแน่นอนท่ีจะวดั ขน้ึ อยู่กบั ว่าใครจะคดิ เอา
เอง ใครเหน็ ก็เช่ือไปตามนั้น Pythagoras เป็นคนหนึ่งในพวก โสฟีสต์ ที่เชื่อว่า Man is the measure of all
things มนุษย์แต่ละคนเป็นมาตรการวัดความจริงโดยตัวเอง ส่ิงท่ีจริงสาหรบั คนหนึ่งอาจจะไม่จริงสาหรับอีก
คนหนึ่งทไ่ี ด้ ความเหน็ ทีข่ ดั แยง้ กันอาจจะถูกต้องทัง้ 2 ฝา่ ย เพราะมีมาตรการวดั ตา่ งกัน เช่น ร่างกายคนเราจะ
วา่ เลก็ กถ็ กู ถา้ เทียบกับช้าง จะวา่ ใหญ่ก็ถกู ถ้า
เทียบกับมด เขายังเน้นว่าอะไรก็ได้ท้ังน้ันถ้ามีวาทศิลป์ โสเครตีส เห็นว่าวิธีของพวก โสฟิสต์ สอนให้คนปลิ้น
ปล้อนตลบแตลง คนส่วนมากจะตกเป็นเหย่ือของคนฉลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในคาพูดพลิกแพลง เขามีความ
เชื่อว่ามนุษย์ทุกวัน ตะเกียกตะกายเพ่ือหาความสุข และความสุขของมนุษย์คืออะไรน้ัน จะต้องเรียนให้รู้จัก
ตวั เอง เสียก่อน จึงจะทราบเคลด็ ลบั ของความสุข มนุษยจ์ ะมีความสุขอันแท้ แท้จริงได้ต้องรู้ความจริง แกน่ แท้
ไม่ใช่ความจรงิ ผิวเผิน ความจรงิ (Reality) จะต้องมีหน่ึงเดียวสาหรับทุกคนต้อ สมองให้มีสมาธิแน่วแน่ ตัณหา
กิเลสเป็นอุปสรรค ต้องวางใจเป็นกลาง มีอุเบกขา ต้ังสมาธิ ฝึกเร่ือยไปจนถึงแก่นแท้ของความจริงอันเป็น
ปรมตั ถ์ (Ultimate Reality)
สรปุ ความคิดของ โสเครตีส
1.ความดตี อ้ งมมี าตรการวดั แนน่ อน

32

2.ความดมี าจากความเปน็ จรงิ ความเปน็ จริงจึงต้องมีแนน่ อน

3.จะเขา้ ถึงความจรงิ ไดด้ ้วยวิธีวปิ สั สนา ประสาทรบั แต่เปลือกของความจริงเท่านน้ั

เพลโต (Plato) เปน็ นกั ปรัชญากรกี มคี วามเหน็ เก่ียวความจรงิ (Reality) ดังน้ี

ความเป็นจริงท่ีตายตัวจะอยู่ในโลกนี้ไมไ่ ด้ เพราะโลกนไี้ ม่มีอะไรคงทีต่ ายตวั เลยจาเปน็ ต้องมโี ลกหน่ึง

ต่างหาก สาหรับโลกที่เป็นจริงตายตัวเรียก World of Ideas of World of Forms (โลกแห่งจินตนาการหรือ

โลกแห่งแบบ) โลกนี้เห็นไม่ได้ด้วยตา เป็นโลกที่มองไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ดับสูญ ถือว่าโลกที่เราอยู่ ไม่มีของ

แท้จรงิ แต่เปน็ จรงิ อย่างเลียนแบบ คนจึงไม่ เหมอื นกันจะหาความรู้จากโลกเราไม่ได้ ต้องใชว้ ธิ วปิ ัสสนาดงั เช่น

โสเครตสี สอนไว้

สรปุ ความคิดเหน็ ของเพลโต

1.มคี วามจริงแน่นอนตายตวั

2.ความจริงตายตัวอย่ใู นโลกแห่งจินตนาการ ส่วนโลกเราเปน็ โลกแห่งปรากฏ การณ์ ร้ไู ดด้ ้วยประสาท

3.ความสุขสูงสุดของมนุษย์อยู่ท่ีเข้าใจความจริงในโลกแห่งจินตนาการ จินตนา ภาพแห่งความดีเป็น

จินตนาภาพสงู สดุ และให้ความสุขทส่ี ดุ ใครสร้างกุศลเพยี ง พอก็จะกลบั ไปมคี วามสขุ ในถน่ิ เดิม

อริสโตเติล (Aristotle) นกั ปรัชญากรีกผู้มีหัวทางภาคปฏิบตั ิมากหน่อยเหน็ ว่า ไมจ่ าเป็นแก้ปัญหา

โดยสมมตุ ิความเช่ือถอื นอกโลก เขามคี วามเห็นพอสรุปได้ คือ

1.ความเปน็ จรงิ มีแนน่ อนตายตัว

2.ความเป็นจรงิ ท่อี ยใู่ นหน่วยยอ่ ยในโลกนี้ มนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงนี้ได้ โดยผ่านประสาทสัมผัส

หนว่ ยย่อย

3.ความสุขอันแท้จรงิ ของมนษุ ย์อย่ทู ่กี ารเขา้ ใจความจรงิ

ปรัชญากรีกสมัยหลัง (หลังจาก อริสโตเติลตายแล้ว) เป็นเรื่องราวความคิดของสมัยโรมัน เร่ือง

อานาจ ปรชั ญาท่สี นใจกันในยุคนกี้ ็คือปรัชญาของ เพลโต เพราะเปน็ ท้ังในเรื่องสานวน ภาษาและจินตนาการ

เปน็ วรรณกรรมชั้นสูง ส่วนหนังสอื ของ อรสิ โตเตลิ สานวนเปน็ วิชาการ เกินไป เน้นหนักทางประสพการณ์และ

คดิ ตามระเบยี บเหตผุ ล คนยคุ นั้นชอบใช้จติ นาการมาก กวา่ สารวจวิจัย

ยคุ นีไ้ ด้ปรับปรุงปรัชญา เพลโต ใหม่ จงึ ได้ช่ือวา่ Neoplatonism ปญั หาทนี่ กั ปรัชญา ต้องประจันหน้า

ก็คือ ลัทธิศาสนาและศีลธรรมทก่ี าลงั แขง่ ขัน เช่น

ศาสนา Zoroaster จากเปอร์เซีย ถือว่าภวันต์สูงสุด มีดีที่สุดและช่ัวท่ีสุด จิตเป็นผลงานฝ่ายดี

ร่างกายเป็นฝา่ ยช่วั

ศาสนา Judaism จากยวิ ถือว่าภวนั ตม์ ี 1 เดยี ว คือพระยะโฮวาห์

ศาสนา Christianism พระเยซูปรบั ปรุงจากยูอาอิสม์ – มนษุ ย์ทกุ คนเป็นพี่ น้องกันโดยไม่เลือกชาติ

ภาษา และศาสนา

ลัทธิ Hedonism ถอื ว่าความสุขอยทู่ ่ีได้รับความพึงพอใจอยากไดอ้ ะไรก็ ไดส้ มอยาก ถอื ว่าผู้มี

บญุ

ลัทธิ Epicureanism ถือว่าความสุขอยู่ท่ีได้รับความพึงพอใจทางประสาทให้ขาดทุน เหมือนกัน

แต่สอนให้รู้จักประมาณ แต่ละคนควร ศึกษาสร้างมาตรการของตัวเองให้

เหมาะทส่ี ดุ เพ่อื ไมใ่ หข้ าดทนุ

สทิ ธิ Stoicism ถือว่าความอยากเป็นบ่อเกิดของความเดือดร้อน ฉะ ใครอยากมีสุขจงตัด

ความอยากเสียแต่ต้นมือ ไม่ตะเกียกตะกาย ไม่ดิ้นรน ถ้ามีโอกาสทางาน

สังคมสงเคราะห์ ชว่ ยเพ่อื นมนุษยก์ พ็ ึ่งทา

33

ลัทธิ Cynicism ตัดจนไมเ่ หลืออะไรเลย ควรมีชวี ิตอย่อู ย่างง่ายๆ เหมอื นสัตว์ หวิ เม่ือไหรค่ ่อย

หากิน อยู่อย่างธรรมชาติ การขืนธรรมชาติเป็นบ่อเกิดของความเดือดร้อน

ท่ีสุด

ข. สมัยกลาง เน่ืองจากกรีกสมัยหลังมีปัญหามาจากลัทธิศาสนาต่างๆ ผู้เช่ือลัทธิศาสนาพยายาม

ประนปี ระนอมปรัชญาเขา้ กบั ลทั ธิศาสนาของตน ตอนในสมัยกลางคนส่วนมาก สนใจความคิดของเพลโต ตอ่ มา

จงึ หนั มาสนใจของ อริสโตเตลิ ยุคกรีกสมยั หลงั นีส้ ่วนมากมกั จะ นับถือความคดิ เห็นของพระเปน็ ส่วนใหญซ่ ึ่งสืบ

ทอดมาถงึ สมยั กลางด้วย คนท่ีไดร้ ับความนยิ มใน สมัยนัน้ ไดแ้ ก่ St. Thomas Aquinas

ค. สมัยฟื้นฟู สมัยนี้เน้นเรื่องนาเหตผุ ลเข้ามาใช้ในความคิด หรือปรัชญาต่างๆ มากขึ้น นักปรัชญาใน

สมยั นี้ไดแ้ ก่

Bacon เป็นผู้เริ่มให้ความคิดว่าความรู้ทั้งหลายควรเริ่มจากประสาทสัมผัสและทดลองดูให้เห็นจริง

แล้วจงึ คอ่ ยคดิ หาความจรงิ สืบเนอื่ งกนั ตอ่ ไป

Locke เชื่อว่าเราเกดิ มาไม่มีความรู้ติดตัวเลย ค่อยๆ เก็บเอาจากประสบการณ์ โดยมีมโนภาพขึ้นทีละ

อยา่ ง 2 อยา่ ง จากงา่ ยไปหายากสลับซบั ซอ้ น จนความสมั พันธ์กนั ลกึ ซึง้ เข้าทุกที

Descartes เป็นผู้นาลัทธิ Rationalism หรือเหตุผลนิยมมาใช้ พยายามคิดหา วิธีสร้างระบบปรัชญา

ข้ึนตามวธิ ีการของเรขาคณติ Spinoza ไดน้ าหลักที่ Descartes วางไวไ้ ป เขยี นหนังสอื ปรัชญา

ง. สมัยใหม่ ความคดิ ในยุคนี้เข้าสู่ข้ันนามธรรมโดยแท้จรงิ

Kant มีความเห็นว่า น่าจะมีอะไรลึกลับซับซ้อนซึ่งสามารถจะย้อมสีความ เป็นจริงท่ีผ่านเข้ามาทาง

ประสาทและปัญญา เปลีย่ นสภาพเดิมออกมาเปน็ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์

Fichte, Schelling แa: Hegel ถือว่า เมื่อฝึกสมาธิถึงขั้นสูงสุดแล้วเราก็รู้แจ้งเห็นจริงว่า อะไร ๆ ทุก

อย่างก็เนื่องมาจากจิตดวงใหญ่ คือแต่เดิมมีแต่จิตสากลดวงเดียว จิตอยู่ไม่น่ิง วิวัฒนาการเรื่อยไป Hegel เรยี ก

วิวฒั นาการน้ีวา่ Dialectic ซงึ่ ดาเนนิ เปน็ 3 ข้ันคือ

1. Thesis สภาพพืน้ ฐาน (จิต)

2. Antithesis สภาพขดั แย้ง (สสาร)

3. Synthesis สภาพประนปี ระนอม (จิต + สสาร)

Marks มีความเห็นว่าสังคมมนุษย์ต้องวิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ ตามกฎ Dialectic อันมีเศรษฐกิจเป็น

ตัวการขดั แยง้ และประนปี ระนอมสลับกนั เปน็ ข้ัน ๆ เรือ่ ยไป

ในสมยั นี้เกดิ พวก Neo - empiricism และ Neo - positivism พวกน้ถี อื วา่ วชิ าทุก อยา่ งควรมพี ืน้ ฐาน

บนวิชาฟิสกิ ส์ อะไรไม่เข้าเกณฑน์ ้ีถือเป็นโมฆะ เช่น อภปิ รัชญา พวกนี้ชว่ ย ผลักดนั ใหภ้ าษาศาสตร์ก้าวหน้าข้ึน

เปน็ อนั มาก

Pragmatism ถอื วา่ อะไรเป็นประโยชนท์ างปฏบิ ตั ิ คือปฏบิ ัตแิ ลว้ ได้ผลดี กร็ ับไว้เป็นความจริง

Existentialism ถือว่ามนุษย์แต่ละคนสรา้ งตวั ขึน้ ดว้ ยการตัดสนิ ใจตนเองครัง้ แลว้ ครั้งเล่า

2.4 องค์ประกอบของปรชั ญา

จากแนวคดิ ของนกั การศกึ ษาท่กี ล่าวมาสามารถสรปุ ขอบขา่ ยของปรชั ญาไดเ้ ป็นดงั นี้ คือ

1.อภปิ รชั ญา

2.ญาณวิทยา

3.คณุ วิทยา

ดงั จะกล่าวในรายละเอยี ดของแต่ละสาขา

1.อภปิ รัชญา (Metaphysics)

เปน็ สาขาหน่งึ ของปรชั ญาที่ศึกษาเกี่ยวกับรากฐานของความเป็นจริง ประเด็นถกเถียงในอภิปรัชญาจะ

ประกอบไปด้วยคาถามสาคัญ เช่น อะไรเป็นส่ิงพ้ืนฐานท่ีสุดของความเป็นจริง จิตกับวัตถุกายภาพมี

34

ความสัมพันธ์กันอย่างไร เจตจานงเสรีมีอยู่จริงหรือไม่ ธรรมชาติของเวลาคืออะไร ความเป็นสาเหตุมีอยู่จริง
หรอื ไม่ อะไรทที่ าใหต้ ัวเราเป็นตวั เรา พระเจา้ มีอยู่จริงหรอื ไม่

คาว่า อภิปรัชญา เป็นคาที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญัติข้ึน เม่ือ
พิจารณาตามรูปศัพท์ อภิปรัชญามาจากคาว่า “อภิ” หมายถึง ความยิ่งใหญ่ สูงสุด เหนือสุด และ ”ปรัชญา
“หมายถงึ ความรู้อนั ประเสริฐ. เมื่อรวมเข้าดว้ ยกัน “อภิปรัชญา” จึงหมายถึง ความรอู้ ันประเสรฐิ ท่ีเกี่ยวข้อง
กับส่ิงท่ีอยู่นอกเหนือจากการเห็นทั่ว ๆ ไป หรือความรู้ท่ีอยู่นอกเหนือการรู้เห็นใด ๆ แต่สามารถรู้และเข้าใจ
ด้วยเหตผุ ล

คาว่า metaphysics มาจากภาษากรกี มคี วามหมายตรงตัวว่า หลังจาก [การศึกษา] สิง่ ธรรมชาติ คา
ดงั กล่าวทม่ี าจากหนังสอื ของอรสิ โตเติล ซงึ่ งานเขียนช้ินตา่ งๆ ของเขาถูกรวมรวบเขา้ เปน็ เล่ม โดยมงี านเขียนชื่อ
Metaphysics เปน็ เล่มหลงั จาก Physics ทอี่ ริสโตเตลิ ไดศ้ ึกษาเกยี่ วกบั โลกธรรมชาติ

ปรชั ญาสาขา บางคนเรียกวา่ ภววิทยา ซง่ึ เป็นการศึกษาถึงเรื่องราวขอ ธรรมชาติทีม่ อี ยู่จรงิ หรือความ
จริงแทข้ องธรรมชาติ (What is the nature of reality) จาแนกไดเ้ ป็น ๓ ประการดว้ ยกัน คอื

1.ศึกษาเก่ียวกับธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล (Cosmology) การศึกษาในส่ิงเหล่านี้ยังสามารถ
จาแนกกลมุ่ ปรชั ญาออกไดอ้ กี เช่น

1.1 กลมุ่ ธรรมชาตนิ ยิ ม (Naturalism) สาระสาคญั ของกลุม่ นี้ คือ
 ไม่เชอ่ื เรื่องพระเปน็ เจา้
 เนน้ เร่อื งกฎการคงตัวของพลังงานและกฎวิวัฒนาการ
 ถือวา่ จิตเปน็ ปรากฏการณข์ องสมอง
 ถอื ว่าสสาร ชวี ติ และจิตใจเปน็ วิวฒั นาการในข้ันทแ่ี ตกตา่ งกัน

1.2 กลุม่ จักรกลนิยม (Mechanism) ความคดิ ทสี่ าคัญของกล่มุ น้ี คอื
 อินทรีมีชวี ิตถกู สรา้ งข้ึนจากธาตตุ า่ ง ๆ และเป็นจกั รกลอนั ซับซอ้ น
 ชีวติ เป็นแรงทางฟิสิกส์และเคมอี ันซบั ซอ้ น

1.3 กลุ่มชวี ะนยิ ม ความคิดที่สาคัญของกลมุ่ นี้ คอื
 อนิ ทรีย์ไม่ใช่เครือ่ งจักรกล
 อนิ ทรียเ์ ปน็ พลงั งาน ซงึ่ ไม่มีในสิ่งทไ่ี รช้ ีวิต

2.ศึกษาเกี่ยวกบั จิต วิญญาณหรืออตั ตา (Mind, Soul, and the Self) เป็นการศึกษาค้นคว้าหาความ
จรงิ ว่า จติ วิญญาณ และอตั ตานค้ี ืออะไร เกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร

3.ศกึ ษาเก่ียวกับพระผเู้ ป็นเจ้า โดยพยายามวินจิ ฉยั ว่า พระเจ้าคืออะไร มีลกั ษณะสาคัญอยา่ งไร เชน่
เพลโต้ (Plato) ถือวา่ พระผเู้ ป็นเจา้ คอื ความคิดเกยี่ วกบั ความ ความดที สี่ มบรู ณ์ท่ีสดุ
เดสการ์เตส (Descartes) ถอื ว่า พระผู้เป็นเจ้า คอื เนื้อสารท่ีไม่มีท่ีสน้ิ สดุ เป็น นิรนั ดร เปน็ อสิ ระ รู้สิ่ง
ท้ังปวง มีอานาจทวั่ ไป และเปน็ ผูส้ รา้ งสรรพส่งิ ตา่ ง ๆ
2.ญาณวิทยา (Epistemology)
ปรัชญาสาขานี้พยายามศึกษาเก่ียวกับความรู้ คือพยายามที่จะรู้ว่าความรู้คืออะไร (What is the
Knowledge ?) เกิดข้ึนได้อย่างไร เช่น คนบางกลุ่มอาจจะคิดว่า ความรู้เกิดข้ึนจากสัมผัส (Sensation) เกิด
จากความเข้าใจ (Understanding) หรือเกิดจาก สัญชาตญาณ (Intuition)
ทฤษฎีนีแ้ บง่ การกาเนิดของความรูไ้ วเ้ ป็น ๔ วิธีการดว้ ยกนั คอื
1.เหตผุ ลนิยม (Rationalism)
ทฤษฎีนี้มีความเช่ือว่า กระบวนการความรู้ท้ังปวงย่อมได้มาจากการใช้เหตุผล น่ันคือต้องใช้ปัญญา
พจิ ารณาให้มองเห็นชัดแจ้งในเหตุและผล เจ้าของทฤษฎี คือ เดสการเ์ ด (Descartes) ซ่ึงเขาไดจ้ าแนกความคิด
ไว้เปน็ 3 ชนิด คือ

35

1.1 ความคิดจากภายนอก (Adventitious Idea) ได้มาจากเวทนาการ (Sensation) จัดว่าเป็น
ความคดิ ทช่ี ัดเจน

1.2 ความคิดท่ีสร้างข้ึน (Factitious Idea) เป็นความคิดท่ีเกิดจากการ ผสมผสานความคิดหลาย ๆ
อย่างเข้าดว้ ยกนั จดั ว่าเปน็ ความคดิ ที่ไมช่ ดั เจน

1.3 ความคิดติดตัว (Innate Idea) เป็นความคิดที่ได้มาจากพรสวรรค์ท่ี ติดตัวมาต้ังแต่เด็ก จึงเป็น
ความคิดที่แจ่มแจ้งในตวั

2.ประสบการณ์นยิ มหรอื ประจกั ษ์นยิ ม (Epiricism)
ทฤษฎีนี้มีความเห็นว่า ความรู้ทั้งปวงไม่ใช่กาเนิดมาจากความคิดติดตัวแต่ได้มาจากประสบการณ์
ทง้ั หลาย
เจ้าของทฤษฎี คือ ล้อค (Locke)
3.อนุมานนยิ ม (Apriorism)
ทฤษฎีน้ีเกิดจากการผสมผสานระหว่างทฤษฎีเหตุผลนิยม และประสบการณ์ นิยมโดยมีความเห็นว่า
“ความรู้ทงั้ ปวงได้มาจากประสบการณ์และการคิดหาเหตผุ ล เจ้าของทฤษฎี คือ คา้ นท์ (Kant)
4.สญั ชาตญาณนิยม (Intuitionism)
ทฤษฎนี ้ีมีความเช่ือว่า “สัญชาตญาณเป็นองคาพยพของความรู้ท่ีแท้จริง สัญชาตญาณในท่ีน้ีหมายถึง
ความรู้ทางประสาทสมั ผสั ทอ่ี ยูใ่ ตว้ ฒุ ปิ ญั ญา
เจ้าของทฤษฎี คือ เฮนรี เบอร์กสนั (Henri Bergson)
แหล่งทม่ี าของความรู้
มนุษย์สามารถเรยี นร้หู รอื หาความร้ไู ดห้ ลายวิธี หากจาแนกแล้วจะได้ดังต่อไปนี้
1.จากคาสอนในศาสนา (Revealed Knowledge)
คนที่นับถือศาสนาใดก็จะมีความรู้ความเข้าใจในศาสนาน้ัน ๆ มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ความสนใจ
หรือความยึดม่ันในศาสนาท่ีตนนับถือความรู้ที่ได้จากคาสอนในศาสนาถือว่าเป็นความรู้ท่ีประเสริฐย่ิง เพราะ
เปน็ ความจริงอันบรสิ ุทธิ์
2.จากผ้เู ชี่ยวชาญ (Authoritative Knowledge)
ความรู้ที่ได้ในแนวนี้ อาจจะได้รับจากตารับตาราที่ผู้มีความรู้เขียนไว้ เช่น สารา นุกรม ตาราทาง
วชิ าการต่าง ๆ หรือได้รับความรู้จากบุคคลที่ท่านถ่ายทอดให้โดยตรง เช่น จากบิดามารดา จากครูอาจารย์ใน
สาขาวิชาการต่าง ๆ หรอื จากวิทยากรเฉพาะเรอ่ื งเปน็ ต้น
3.จากประสบการณ์ (Experience)
ความรู้ชนิดนเี้ กดิ จากการกระทาการทดลอง สัมผสั แตะต้อง หรอื ไดเ้ หน็ ในส่ิงนัน้ ๆ แลว้ ทาใหร้ ู้เรอ่ื ง
เขา้ ใจไดอ้ ย่างถกู ต้องแม่นยา
4.จากสัญชาตญาณ (Intuitive Knowledge)
ความรู้ประเภทน้ีได้โดยไม่ตอ้ งมีโครมาแนะนาส่งั สอน เป็นความรู้ทีเ่ กดิ ขึ้น โดยฉบั พลัน โดยท่บี างครั้ง
ไม่รู้เสียดว้ ยซ้าวา่ เกดิ ข้นึ ได้อยา่ งไร ความรชู้ นิดนสี้ ามารถตรวจสอบ ไดด้ ้วยการพิจารณาหาเหตุผล
5.จากการคิดหาเหตผุ ล (Rational Knowledge)
ความรู้ที่ได้ในแนวนี้ เกิดจากการพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลของการเกิด การมีข้ึนของสิ่งต่าง ๆ ซ่ึง
บางครัง้ ต้องใช้ประสบการณห์ รือความร้เู พิม่ เข้ามาเปน็ ปจั จัยในการคดิ ดว้ ย

36

3.คุณวทิ ยา (Axiology)

ปรัชญาสาขานี้ ศึกษาในเรอ่ื งคุณค่าของส่ิงต่าง ๆ และคณุ คา่ ของมนษุ ย์ ซึ่ง โดยทั่วไปแล้ว คุณคา่ มอี ยู่

2 แบบดว้ ยกนั คือ

1.คณุ ค่าภายใน ซง่ึ ได้แก่ความสวยงาม ความถูกต้อง ความสมบรู ณ์ ความ ฉลาด คณุ ค่าชนิด

น้ตี ัดสนิ โดยอาศยั คณุ ค่าในตัวของมนั เอง

2.คุณค่าภายนอก ซ่ึงต้องอาศัยเหตุผลส่วนตัวเข้าไปเก่ียวข้องด้วย หรืออาศัย ตัวเองเป็น

เครื่องตัดสินใจ เช่น คุณค่าท่ีเก่ียวกับรสนิยมของแต่ละบุคคลในส่ิงต่าง ๆ การศึกษาในด้านคุณวิทยา

สามารถจาแนกไดเ้ ป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คอื

1. จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นการพิจารณาคุณค่าทางศีลธรรม ความประพ ของมนุษย์ เน้น

ดา้ นถูก-ผิด ควร-ไม่ควร ดี-ช่ัว เพ่ือเป็นแนวทางในการดารงชีวิต คุณ ชนดิ น้ีส่วนใหญ่มีรากฐานมาจาก

ทางศาสนา ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ทฤษฎี คือ

1.1 Intuitionism เป็นค่านิยมท่ีเกิดข้ึนโดยสัญชาตญาณ รู้ได้ทันทีไม่ต มีการทดสอบหรือ

ทดลอง เชน่ ความซอื่ สัตย์ ความรกั ความสามัคคี ความเอ้อื เฟื้อ

1.2 Naturalism เป็นค่านิยมท่ีมนุษย์กาหนดขึ้นอันเก่ียวกับศีลธรรม ผลได้เสียของส่วนรวม

เชน่ การโค่นไม้ทาลายป่านามาซงึ่ ความยากจน ลกู มากจะยากจน

(บันลือ พฤกษะวนั 2519 : 36)

2. สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นการศึกษาเร่ืองความสวยงามของ ต่างๆ ซ่ึงเป็นเร่ือง

ของทฤษฎีศลิ ปะและความงาม

ความงาม (Beauty) หมายถึงคุณสมบตั ิในทางศีลธรรม พุทธปิ ัญญาและท รูปสมบตั ิ ซง่ึ อาจโน้มน้าวใจ

เราใหเ้ กิดความร้สู ึกปลาบปลื้มยินดีด้วยความสมบูรณ์ของรูป สว่ นสัด เสียง ถ้อยคา และความคดิ เห็นกันอยู่ใน

คุณสมบตั นิ นั้ ๆ

ฉะนน้ั ในการตัดสนิ คุณค่าของความสวยงามนนั้ จะต้องอาศัยท้งั วตั ถุวสิ ยั และ วิสยั เพราะบางครั้งสง่ิ ที่

คนอื่นเห็นว่าสวย เรากลับมองไม่สวย แต่ในทางกลับกัน เราม เห็นว่าของส่ิงนั้นสวยโดยที่คนอื่นว่าไม่สวย

เพราะฉะนนั้ ทัศนะเรือ่ งความงามจงึ เปน็ เร่ือ อุดมคตแิ ห่งความงามของแตล่ ะบคุ คล

(กติ มิ า ปรดี ีดลิ ก 2520 : 41)

4.ตรรกวิทยา (Logic)

ตรรกวิทยา หมายถงึ ศาสตรท์ วี่ ่าดว้ ยความคิดหาเหตผุ ลหรอื ศลิ ปะของการศกึ ษา หาเหตผุ ล ซ่ึงจาแนก

ออกได้เปน็ 2 ประเภท คอื

1.ตรรกวิทยานิรนัย (Deductive Logic) บางท่ีเรียกว่า ตรรกวิทยาเชิงรูป Formal Logic) หรือ

ตรรกวิทยาบริสุทธ์ิ (Pure Logic) ตรรกวิทยาประเภทนี้ เป็นการ หาเหตุผลจากหลักท่ัวไปไปหาบทสรุปหรือ

ขอ้ ปลกี ย่อย ซึง่ อาจจะเป็นความจรงิ หรอื ไมจ่ รงิ ก็ได้ เช่น

ขอ้ เท็จจริงใหญ่ คนทาความดีควรไดร้ ับคาสรรเสรญิ

ขอ้ เทจ็ จริงย่อย ความกรุณาปรานเี่ ป็นความดีอยา่ งหน่งึ

สรปุ คนที่มีความกรณุ าปรานี้ควรไดร้ บั คาสรรเสรญิ

ขอ้ เท็จจริงใหญ่ มนษุ ย์เป็นผ้ใู ชเ้ หตุผลได้ดี

ขอ้ เท็จจริงย่อย นายนริ นามเปน็ คน

สรุป นายนินามเป็นผ้ใู ชเ้ หตุผลได้ดี (อาจจะไม่จรงิ )

37

2.ตรรกวิทยาอุปนัยหรืออุปมาน (Inductive Logic) บางที่เรียกว่า ตรรกวิทยาเชิงเนื้อหา (Material

Logic) หรือตรรกวิทยาประยุกต์ (Applied Logic) ตรรกวิทยา แบบน้ี เป็นการคิดหาเหตุผลจากข้อเท็จจริง

ปลีกยอ่ ยไปยงั บทสรปุ ซึง่ เป็นหลกั ทัว่ ไป เชน่

นายรุง่ เปน็ พ่อค้า เขาเปน็ คนขยนั

นายเรืองเปน็ พอ่ ค้า เขาเป็นคนขยนั

สรปุ พอ่ ค้าเปน็ คนขยัน

สรุปลทั ธสิ ัจนยิ ม (Realism)

มีนกั ปรชั ญาไดช้ ี้ให้เหน็ ถึงความแตกต่างของความหมายของคาต่อไปน้ี

1.Real (ความจริง) หมายถึงส่ิงท่ีแท้หรือความคงอยู่ของสิ่งต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ธรรมชาติ ซึ่งเป็น

ความจรงิ ในตนเอง

2.Reality (ความจริงแท)้ หมายถึงสถานหรือคุณภาพของความเป็นจริงหรือหมายถึงส่ิงจรงิ แท้ทค่ี งอยู่

ทีป่ รากฏใหเ้ หน็ จรงิ

3.Realism (ลทั ธสิ ัจนยิ ม) หมายถงึ ลัทธิท่ีมคี วามขอ้ เทจ็ จริงและอธบิ ายคา้ นกบั ความคดิ ทจี่ ินตนาการ

แนวคิดของกลุ่มน้ีเน้นในเร่ืองโลกแห่งวัตถุธรรม (A World of Thing) มีความเช่ือว่าความจริงหรือ

ความรู้ต่าง ๆ คือส่ิงท่ีสังเกตเห็นได้ และทุกส่ิงทุกอย่างท่ีมีอยู่ในโลก นี้เป็นจริงอยู่ในตัวของมันเองอย่างเป็น

อสิ ระ เพราะฉะนัน้ คนเราจะต้องหาวธิ ีการหรอื เทคนคิ ท่เี หมาะสมเพอ่ื เรยี นรูส้ ่งิ นั้น ๆ เอาเอง

ลทั ธิสัจจนยิ มอาจแบง่ ออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ คือ

1.Rational Realism พวกน้ีเน้นด้านเหตุและผลมากพวกนจะนิยมนาตรรกศาสตร์หรือวิธีการทาง

วทิ ยาศาสตรเ์ ข้ามาเก่ียวขอ้ งด้วย

2.Natural Realism พวกน้ีเชื่อว่าสิง่ ต่าง ๆ นัน้ มีอยู่จริง (Exist) และอาจมีการเปล่ียนแปลงไป ถ้าจะมี

การเปล่ียนแปลงท่จี ะเปล่ยี นแปลงไปตามกฎธรรมชาติ ความคิด มโนภาพ จะเป็นท่ียอมรับวา่ ถกู ต้อง ก็ต่อเม่ือ

ความคิดนั้นสอดคล้องเหมาะเจาะกับส่ิงท่ีมีอยู่แล้ว (Exist) ถ้ามีก็จะเรียกเป็น Theory of Truth

Correspondence

แนวความเชือ่ ของลทั ธิสัจนิยม จะได้กล่าวถึงแนวความเชอ่ื ในลักษณะตา่ ง ๆ ดังนี้

ธรรมชาตขิ องความแทจ้ รงิ

นักสัจนิยมมีความเช่ือเก่ียวกับความแท้จริง (Reality) ต่างจากของนักจิตนิยม ซ่ึงนักจิตนิยมถือว่า

Reality มีอยู่ในจิต (Mind) แต่พวกเขาเชื่อว่า Reality จะถูกพบว่า แยกออกจากตัวคนและถูกพบว่ามีอยู่ใน

ธรรมชาตดิ ้วยตวั ของมันเอง กฎของธรรมชาติคือกฎของ Reality แต่เน่ืองจาก Reality เปน็ เรือ่ งที่มคี วามเชื่อ

เกี่ยวกับธรรมชาติ วิธีการท่ีจะเข้า ถึงธรรมชาติได้ก็ต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ และเป็นการเน้นเรื่องความมี

จดุ มุ่งหมาย พวกนไ้ี ม่เชื่อโชคลาง และในการพิจารณาความจริงจะต้องพจิ ารณาโดยลาพังตามหลกั วทิ ยาศาสตร์

ไม่มี ความลาเอียงปะปนอยู่ พวกเขาเช่ือว่าเอกภพได้มเี กิดข้ึนนานแล้วก่อนคน ไมม่ ีใครสร้างขึ้น โดยมีกฎของ

ธรรมชาติเป็นกฎสูงสุด ในการที่คนปฏิบตั ิต่อกฎหมายน้ันเป็น เพราะธรรมชาตบิ ังคับ การท่ีคนทางานร่วมกับ

ธรรมชาติและพยายามเข้าใจธรรมชาติ จะชว่ ยให้ ไดพ้ บความแทจ้ ริง (Reality)

ธรรมชาตขิ องคน

นักสัจจนิยมเชื่อว่า คนมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์และขบวนการวิวัฒนาการเป็น ขบวนการ

ต่อเน่ืองกัน คนแตกต่างจากสัตว์อ่ืนตรงที่มีความเป็นอยู่อย่างดีและมีเหตุมีผลสามารถที่ จะคิดและติดต่อกับ

ผู้อื่นได้ นักสัจนิยมเช่ือว่านักวิทยาศาสตร์ช่วยให้คนเดินหน้าไปเรื่อย ๆ และ ช่วยให้คนมีชีวิตอยู่อย่างมี

ประสิทธผิ ลในโลกแหง่ ธรรมชาติ

38

ธรรมชาติของความจริง
ถ้าความแท้จริง (Reality) ถูกพบในกฎของธรรมชาติและถ้าคนวิวัฒนาการมาจาก สัตว์แล้ว นัก

สจั จนิยมจะมองดูความจริง (Truth) ในแง่ใด นักสัจจนิยมเข้าถึงความจริงได้ โดยวิธีการที่มีจุดมุ่งหมายพวกน้ี
นับถือความมีระเบียบ ความซื่อตรง แม่นยา ตลอดถึงวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ มันจะเปน็ ไปได้ไหมในบางครั้ง
คนในสมัยเม่ือ 50 ปีล่วงมาแล้วมีความก้าวหน้า มากกว่าคนเมื่อ 2 พันปีล่วงมาแล้ว และเขาจะก้าวหน้ามาก
ยิ่งขึ้นใน 50 ปีข้างหน้ายิ่งกว่า 50 ปี ทีล่วงมาแล้ว เหล่าน้ีจะเป็นไปได้หรือไม่หรืออย่างไร เป็นเร่ืองของ
วิทยาศาสตร์และการ มุ่งเข้าสู่ความจริง นักสัจจนิยมจะตอบว่า มันเป็นไปได้หากพิจารณากฎของธรรมชาติ
พวกน้ีเช่อื ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นมีอยจู่ ริงและอาจมีการเปล่ยี นแปลงไปตามกฎธรรมชาติ ความคิด และมโนภาพ เขา
ถอื วา่ ทกุ สิ่งทุกอย่างทีม่ ีอยใู่ นโลกนเี้ ป็นจริงอยู่ในตวั ของมนั เองอย่างเป็นอสิ ระ
ลทั ธสิ จั จนยิ มกับการศกึ ษาปรชั ญา 3 แง่

ก. ลัทธิสัจจนิยมในด้านอภิปรัชญา (Metaphysics) นักปรัชญากลุ่มน้ีปฏิเสธสาเหตุ แห่งการเกิด
ของสรรพส่ิงท้ังหลายที่ไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์ที่แท้จริง เป็นการฝึกคิดเอาเอง พวกเขามีความเชื่อในส่ิงที่
สามารถวิเคราะห์ได้ เชื่อว่ากฎเกณฑ์ คาจากัดความหรือความรู้ต่างๆ ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ข้ึนใหม่ แต่เป็นสิ่งท่ี
สบื เสาะวิเคราะห์ดว้ ยเหตุผล สาหรับความเช่ือในเรอ่ื งพระเจ้าและศาสนา เชื่อว่าพระเจ้ามีอยจู่ รงิ ทาหน้าทป่ี ก
ปกั รกั ษาผทู้ ี่ทาดี พระเจา้ เปน็ สงิ่ ท่ีมี
ค่าสูงสุดและอย่เู หนอื โลกท่เี ราอยู่

ข. ลัทธิสัจจนิยมในด้านญาณวิทยา (Epistemology) พวกนี้มีความเช่ือวา่ มนุษย์ ไม่จาเป็นต้องไป
ยุง่ เกีย่ วกบั สิ่งต่างๆ ที่มีอย่ใู นโลกแล้ว เพราะโลกภายนอกจะไม่เป็นตามท่ีมนุษย์ต้องการจะเป็น หากแต่มันจะ
เป็นไปเองตามสภาพของมัน สง่ิ ที่มนษุ ยท์ าไดก้ ็คอื การวิเคราะห์สิ่งท่ีมอี ยู่แลว้ ซ่ึงทาให้เกิดการวิเคราะห์ค้นคว้า
สิ่งใหม่ๆ ขึน้ ความคิดของมนุษย์ที่เก่ียวกับโลกภายนอกจะเปน็ จริงก็ต่อเมือ่ ความคดิ นัน้ สมั พันธ์กับสภาพความ
เปน็ จริงของโลกภายนอก เพราะ ฉะนัน้ ความรู้ท่ีแท้จรงิ เป็นความรู้ท่ีสัมพันธ์กับโลกภายนอก มนุษยไ์ ด้แสวงหา
ความรู้จากโลกภายนอกมานานและสะสมข้อเท็จจรงิ น้นั ไว้ ตราบใดทค่ี วามรนู้ นั้ ยงั เป็นความจรงิ อยู่ ก็ต้องถอื ว่า
เป็นความรู้ท่ีแท้

ค. ลัทธิสัจจนยิ มในด้านคุณวิทยา (Axiology) พวกน้ีเชื่อวา่ คณุ ค่า (Value) ทง้ั หลาย มีอยู่แลว้ ในตัว
ของวตั ถุ และเป็นส่งิ ทปี่ รากฏอยู่ภายนอกของวัตถุแต่ละสิ่งทาให้เกดิ ความประทบั ใจได้ การศึกษาวัตถุจากสิ่งท่ี
ปรากฏดกี วา่ การศกึ ษาด้วยจิตใจของเราเองซึ่งเปน็ รากฐานของวทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่

3.ปรชั ญาการศึกษาสารัตถนยิ ม

3.1 ภูมหิ ลัง
นักปรัชญาการศึกษาประสบการณ์นิยมเสนอแนะให้นักการศึกษาเลกิ สอนหนังสือแบบเก่า ซึ่งไม่เป็น
ประชาธิปไตยและเน้นการทอ่ งจามากเกนิ ไป ให้เลิกมองธรรมชาติของมนุษย์ในแงร่ า้ ยและเลกิ แสวงหาความรู้ที่
สาเร็จรูป และตายตัว พร้อมกับเรียกร้องให้นักการศึกษา และประชาชนท่ัวไปมาสนใจกับวิธีคิดแบบ
วิทยาศาสตร์และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งของอเมริกาก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้านความคิด
ของประสบการณ์นิยมตั้งแต่ ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา ปัญญาชนกลุ่มนี้ประกอบด้วยอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็น
สว่ นมาก เชน่ วิลเลยี ม ซี แบ๊กลีย์ (William C. Bagley, 1874-1946) เฟรดเดอรคิ บรดี (Frederick S. Breed
1876-1952) และเฮอร์แมน ฮอร์น (Herman H. Horne. 1874-1946) เป็นต้น ในท่ีสุดปัญญาชนกลุ่มน้ีก็
รวมตัวกันอย่างเป็นทางการภายใต้ช่ือว่า คณะกรรมการสารตั ถนิยม เพ่ือความกา้ วหน้าของการศึกษาอเมริกัน
(The Essentialist Committee for the Advancement of American Education) เม่ือ ค.ศ. 1938 นักสา
รัตถนิยม เป็นห่วงสถานะการณ์ บ้านเมืองพอ ๆ กับนักประสบการณ์ นิยม แต่นักสารัตถนิยมวิตกว่าหาก
โรงเรียนท้ังหลาย เอาหลักการของประสบการณ์นิยมไปใชแ้ ล้ว จะทาให้มาตรฐานทางการศึกษาลดต่า ลงและ
สังคมก็จะมีแต่ผู้ไร้ความสามารถซ่ึงไม่เข้าใจแม้กระทั่งความรู้พื้นฐาน เพราะการศึกษาแบบประการณ์นิยม

39

“ปล่อย ผู้เรียนมากเกินไป นักสารัตถนิยมต้องการให้การศึกษาเป็นเคร่ือง พิทักษ์และส่งเสริมประชาธิปไตย
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในขณะน้นั ประชาธิปไตย กาลังถกู ท้าทาย จากระบบเผด็จการและฟาสซสิ ม์ (Fascism) อยู่
ท่ัวโลก วิลเลียม แบ๊กลีย์ กล่าวว่าหน้าท่ีของการศึกษา คือ ปกป้องประชาธิปไตย เพื่อผดุงไว้ซ่ึงเสรีภาพทาง
ศาสนา ทางการพูด การเขียน และการสมาคม การศึกษาจะตอ้ งผลิตพลเมืองท่ีมีความรับผดิ ชอบต่อสงั คมและ
มคี วามรพู้ ื้นฐานทด่ี ี หน้าทีเ่ หล่านส้ี าคญั เกินกว่าที่จะปลอ่ ยให้ผ้เู รียน เรียนรู้ตามยถากรรม แบ๊กลีย์และคณะของ
เขาทาการรณรงค์ เผยแพร่ความคิดอย่างขะมักเขม้นโดยผ่านสื่อสารมวลชนประเภทต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์
นติ ยสาร หนังสือ วิทยุ และโทรทศั น์ ในระยะเริ่ม สารตั ถนิยมประสบความสาเร็จพอควรในการชักนาใหบ้ ุคคล
ทั่วไปเหน็ คล้อยตามตน แต่มาซบเซาเอาเมื่อกอ่ นสงครามโลกครั้งทสี่ อง ภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ีสอง สารัตถ
นิยมกลับมา รับความสนใจจากประชาชนอย่างมากมาย เพราะตอนน้ันคนอเมริกันระแวงภัยจากเผด็จการ
คอมมิวนิสต์มาก โดยเฉพาะจากโซเวียต รัสเซีย ซงึ่ เม่ือรัสเซียสามารถส่งดาวเทียม สปทุ นิค (Sputnik) ออกไป
โคจรในอวกาศได้เปน็ ประเทศแรกในโลก เม่ือวันท่ี 4 ตลุ าคม ค.ศ. 1957 คนอเมริกา ยิ่งตระหนกตกใจและไม่
ไว้ใจเจตนารมณ์ของรัสเซียย่ิงข้ึน ปรชั ญาประสบการณ์นยิ มถูกโจ อย่างหนักว่าทาให้อเมริกาล้าหลังรัสเซียทาง
วิทยาศาสตร์ ถูกกลา่ วหาว่าไม่ได้อบรมให้ผู้เรียน และสอนให้ผู้เรียนมีความรู้เพียงงู ๆ ปลา ๆ ข้อเรียกร้อง ใจ
ประชาธิปไตยอยา่ งแท้จริง สารตั ถนยิ มจงึ ไดร้ ับการยอมรับมากข้นึ

นักสารัตถนยิ มเรยี กร้องให้ครูกลบั มาเข้มงวดตอ่ การสอนมากขน้ึ พรอ้ มกับกล่าว วา่ นักการศึกษาตง้ั แต่
ระดับประถมไปจนถึงอุดมศึกษา มุ่งแต่กิจกรรมและความสนใจของผู้เรียน จนลืมพัฒนาสติปัญญาของผู้เรียน
นอกจากนี้ นักสารัตถนิยมยังวิจารณส์ ถาบนั ฝกึ หัดครูว่าหยอ่ นในประสิทธิภาพ เพราะสนใจแต่การปฏริ ูปสังคม
และการร่วมมือรว่ มใจในการทางาน นักศึกษาฝึกหัดครูจึงได้แต่ทางานเป็นกลมุ่ รู้อะไรก็แต่เพียงผิวเผิน ขาด
ความม่ันใจในตัวเอง ทาอะไรก็ต้องคอยถามเพ่ือน เมื่อเป็นดังนี้ จะไปสอนนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพได้
อยา่ งไร

3.2 ปรัชญาอนรุ กั ษน์ ิยม (Conservatism)
เป็นระบบปรัชญาท่ีเปน็ พื้นฐานของปรชั ญาการศกึ ษาสารตั ถนิยม เช่นปรชั ญาจิตนิยมแบบเพลโต้ และ
ปรชั ญาสจั นิยมแบบอริสโตเตลิ เป็นปรชั ญาอนุรักษ์นิยมอยา่ งเหน็ ได้ชัดและไม่ได้จากดั อยู่เพยี งจิตนยิ มแบบเพล
โต้ และสัจนยิ มแบบอริสโตเตลิ เท่านัน้ แตย่ ังมลี ักษณะอนื่ ๆ ของตนเองอีกดว้ ย
ตงั้ แตส่ มัยกรีกโบราณเป็นตน้ มาก นักปรัชญาหลายคนไดเ้ สนอระบบปรัชญา แต่นักปรัชญาเหล่านนั้ ให้
ช่ือระบบความคิดของตน ท่ีตอนหลังมาเป็นพ้ืนฐานของสารัตถนิยม แต่นักปรัชญาเหล่าน้ันให้ชื่อระบบของ
ความคิดของตนแตกต่างกันออกไป ความคิดเหล่านั้นรวมกันว่าอนุรักษ์นิยม ดังเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว
เพราะฉะน้ันเราจึงต้องมาพจิ ารณาดูก่อนว่า อนุรักษ์นยิ มนั้นคอื อะไร ? นกั อนรุ กั ษ์นยิ มคนหน่ึงตอบคาถามนวี้ ่า
“อนุรักษ์นิยมคือระบบความคิดที่มุ่งค้นหากฎเกณฑ์ท่ีเป็นสารัตถะของสังคม (ไม่ต้องการกาหนดกฎเกณฑ์
เหล่านี้เอาเอง) เม่ือค้นพบแล้วกจ็ ะธารงรักษาและทานุ บารุงกฎเกณฑเ์ หล่าน้ี ไมห่ ลงไหลคลง่ั ไคลตามยุคสมัย
นักอนุรักษ์นิยมเห็นว่านกั เสรีนิยมเขา้ ใจธรรมชาติของมนุษย์ผิดจงึ ปฏิรูปสังคมไม่ได้ มนุษยไ์ ม่ได้เป็นคนดีตาม
ธรรมชาติ ถ้าปล่อยให้อยู่กันตามลาพังแล้ว มนุษย์จะโกงกันเอง จะขาดวินัยและทาลายตัวเองในที่สุด นัก
อนรุ ักษ์นิยมกล่าวว่า ขนาดมีกฎหมายเป็นหลักในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยด์ ้วยกนั มนุษย์ยังทาผิดกฎหมาย
ทุกวนั ถา้ ขืนปล่อยให้อยู่กนั โดยไมต่ อ้ งมีกฎเกณฑ์แลว้ ละก็สงั คมพินาศแน่ ๆ
3.2.1 ธรรมชาติของมนุษย์
เอ็ดมันด์ เบิร์ค (Edmund Burke. 1729-1797) นักปรัชญาชาวองั กฤษซึ่งเป็นผู้นาทางความคิดแบบ
อนุรักษน์ ิยม เชอ่ื วา่ มนุษย์มขี ้อเสยี ในตัวเองมากและเกิดมาพรอ้ มกับความเลวรา้ ยต่าง ๆ ทั้งหลายในสังคมมิได้
เกิดมาจากการจดั ระเบียบสถาบนั ทางสังคมหรือความไมป่ ระสีประสาของมนุษย์ แต่เกิดมาจากความเลวในตัว
มนุษย์เอง ที่สังคมยังไมพ่ ัง พินาศทั้ง ๆ ท่เี ต็มไปด้วยความเลวร้ายกเ็ พราะวา่ ตามปกติมนุษย์จะพยายามทาตัว
เหมือนกับเป็นคนดี แต่ก็มีเหมือนกันท่ีทาไม่สาเร็จ พวกน้ีก็จะถูกจับเข้าคุกไป ความคิดของเบิร์คเช่นน้ี

40

เหมือนกับความคิดของชาวคริสต์ ในขณะน้ันที่เช่ือเร่ืองบาปด้ังเดิม (Original Sin) ของมนุษย์อย่างเต็มท่ี
ความคิดของเบิร์กตรงกนั ข้ามกับความคิดของรุสโซอยา่ งหนา้ มือเป็นหลังมือและเบิร์คก็ต่อต้าน รุสโซอย่างแข็ง
ขันอีกด้วย รุสโซเช่ือว่ามนุษย์เป็นคนดีโดยธรรมชาติแต่มาเลวเพราะสังคมกระทา เบิร์คเช่ือว่ามนุษย์ไม่ได้ถูก
ทาลายแต่ได้รับการช่วยให้หลุดพ้นจากความเลวร้าย โดยการอยู่ร่วมใจ สังคม โดยการเช่ือฟังและเคารพใน
ขนบธรรมเนียมประเพณี

เบิร์คต้องการให้สังคมมีกฎเกณฑ์และสงบเรียบร้อย การปฏิรูปเป็นสิ่งดี แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ตาม
ความเหมาะสมของสถานะการณ์ เบริ ์คไมเ่ ช่อื ในพลังมวลชน (masses) ว่าจะทาอะไรได้ เขาต่อต้านการปฏวิ ัติ
ในฝร่ังเศสเม่ือปี ค.ศ. 1789 อย่างออกหน้าออกตา กล่าวหาว่าพวกบ้าคล่ังในฝร่ังเศสกาลังทาลายระเบียบ
ประเพณีอันดีงามของสังคม เขาไม่เห็นดว้ ยกับหลักการเรื่องความเสมอภาค อธิปไตยของปวงชน และสิทธิใน
การปฏิวัติของประชาชน เขากล่าววา่ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้นคนที่เหมาะสมท่ีจะเป็น
ผ้ปู กครองจึงควรเป็นผู้ปกครองประเทศ นี่เป็นหนา้ ที่ ๆ ต้องกระทา หน้าที่สาคัญกว่าสิทธิ มนุษย์ทุกคนต้องมี
หน้าที่ ไม่ว่าเขาจะชอบหน้าที่ของเขาหรือไม่ก็ตาม มนุษย์ถือกาเนิดมาในรัฐ ดังน้ันจะต้องเคารพ อานาจและ
สถาบันของรัฐ รัฐตั้งข้ึนมาก็เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาลอย ๆ ในความคิด ทุกรัฐมี
ลักษณะเฉพาะของตนเองอันเน่ืองมาจากประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณี ฉะนั้นการที่รัฐหนึ่งจะ
ลอกเลียนแบบอกี รฐั หน่งึ น้ันมแี ต่จะลม้ เหลว ไมม่ ีวันทจ่ี ะกระทาได้

ด้วยเหตุทมี่ นุษยม์ ขี อ้ เสยี ในตัวเองมาก นักอนุรักษน์ ิยมจึงเหน็ วา่ มนุษย์จะตอ้ งทาลายระเบียบประเพณี
ของสังคมและสถาบันท่ีดีของสังคม ถ้ามีคนที่เป็นอัจฉริยะเกิดขึ้นในสังคม และเขาได้เสนอความคิดในการ
ปรับปรงุ ระเบียบสังคมใหด้ ีข้นึ ซง่ึ ความคิดของเขาหากใช้ไดผ้ ล จะให้ประโยชน์แก่มนุษยชาติอยา่ งมาก ในกรณี
เชน่ นี้ นกั อนุรกั ษน์ ยิ มก็ยังเหน็ ว่ามนุษยค์ วรจะทดลองนาความคดิ ของอัจฉรยิ ชนนไ้ี ปปฏบิ ัติทลี ะอยา่ ง ไมค่ วรคิด
จะปฏิรูปท้ังสังคมเลยทีเดียวเพราะต้องไม่ลืมว่ามนุษย์ไม่ได้มีความดีงามโดยธรรมชาติ การจะปรับปรุงมนุษย์
และสงั คมให้ได้

ผลดีจะต้องให้มนุษย์มีความรู้สึกผูกพันกับสังคม ท้ังในอดีตและปจั จุบนั โดยให้เขาเห็นว่าเขาเป็น ส่วน
หนึ่งของสังคมและการจะทาเช่นนี้ได้ก็ต้องมีการปลูกฝังให้ความคิดของเขาเติบโตข้ึนโดยผ่าน กระบวนการที่
เรียกว่าการศกึ ษา

3.2.2 มนุษย์กบั สงั คม
นกั อนุรกั ษ์นิยมมีทศั นะว่า สงั คมเป็นข้อตกลงของมนษุ ยชาติ ใครจะมาทาลายมิได้ ท่กี ล่าวว่าสังคมเป็น
ข้อตกลงน้ันหมายความว่า มนุษย์ ในยุคปจั จบุ นั เจริญร่งุ เรอื งมาไดจ้ ากผลงาน ของมนุษย์ร่นุ กอ่ น ๆ เรามอี ารย
ธรรมที่สูงส่งก็เพราะมนุษย์รุ่นก่อน ๆ ได้ปูพ้ืนฐานให้เราเอาไว้ เราจึงต้องไม่ลืมความจริงข้อน้ี เราต้องยอมรับ
และปฏิบัติตามข้อตกลงของมนุษยชาติ ต้องมีความ กตัญญูรู้คุณต่ออดีตโดยการสนับสนุนและธารงรักษา
ระเบียบประเพณีของสงั คม การเปล่ียน แปลงแบบถอนรากถอนโคนเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาและผิดข้อตกลง
ของมนุษยชาติ ข้อตกลงนี้ มิใช่มีเพียงแต่ระหว่างมนุษย์ในอดีตกับมนุษย์ในปัจจุบัน มนุษย์จะต้องปฏิบัติตาม
ข้อตกลงน้ีอย่างเคร่งครดั สังคมทุกสงั คมในอดีตยืนหยดั อยู่ได้ ก็เพราะ ท่ไี ม่ดีของมนุษย์ แต่รวมไปถึงมนุษย์ใน
อนาคตด้วย สมาชิกในสงั คมมีความเคารพตอ่ ระเบยี บประเพณซี ง่ึ สร้างวนิ ยั ให้กับสังคมและชว่ ยระงบั ธรรมชาติ
จะเห็นว่านักอนุรักษ์นิยมให้ความสาคัญต่อสังคมมาก มนุษย์ ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมให้ได้
เพราะฉะน้ันจึงดูเหมือนว่า นักอนุรักษ์นิยมไม่เห็นความ สาคัญของปัจเจกบุคคลเลย ซ่ึงไม่เป็นความจริง นัก
ปรชั ญาอนรุ กั ษน์ ิยมให้ความสาคัญแกป่ จั เจก บุคคลเหมือนกัน โดยเห็นวา่ ทุกคนมีสิทธติ ามธรรมชาติและดาเนิน
ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ปัจเจกบุคคลสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มท่ี ตามสิทธิของตนและตาม
กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทุกคนมีสิทธิท่ีจะอยู่อย่างเสรีและยุติธรรม ผู้ใดจะมาละเมิดสิทธิตามธรรมชาติของ
ปัจเจกบุคคล เช่นวา่ นี้ไม่ได้ แต่เมื่อมีสิทธิก็ต้องมีหน้าที่ดว้ ย นกั อนุรกั ษน์ ิยมชี้ให้เห็นวา่ ปัญหาทั้งหลายใน สงั คม
น้ี เชน่ การทาผดิ ของเยาวชน การประทว้ งของนกั ศึกษา และการไม่รูจ้ กั เสยี สละเพื่อชาติ ลว้ นมสี าเหตสุ าคัญมา

41

จากการที่สถาบันการศึกษาไม่สอนให้ผู้เรียนรู้จักหน้าท่ีต่อสังคม สอนแต่สิทธิและเสรีภาพจนผู้เรียนเอาแต่
เรียกร้องโน่นนี่ ไมค่ านึงถึงภาระหน้าท่ีของตนบ้างเลย เบิร์คเชื่อว่าหน้าท่ตี ้องมาก่อนสิทธิ เขาไมส่ นใจคิดเร่ือง
สทิ ธิตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ทีเ่ ป็นนามธรรม เพราะเห็นวา่ เป็นเรื่องเพ้อฝันเขาสนใจแต่หลักสิทธติ ามธรรมชาติ
ที่นามาใช้ไดจ้ ริง ๆ และเปน็ ประโยชนต์ ่อสังคม เขากล่าวว่าสังคมมนุษย์ ไม่ไดเ้ กดิ ข้นึ มาเพื่อสนองตอบสิทธติ าม
ธรรมชาติ แตเ่ กิดข้นึ มาเพื่อนสิทธิเหล่าน้นั ไปปรับปรงุ ใชใ้ หเ้ กิดประโยชนส์ ุขมากที่สดุ

นักอนุรักษ์นิยมมุ่งค้นหากฎเกณฑ์ที่เป็นสารัตถะของสังคมไม่ต้องการกาหนดกฎเกณฑ์เหล่าน้ีเอา
เองให้กบั สังคม นักอนุรักษ์นิยมจึงมีทัศนะในเรือ่ งความจรงิ แทข้ องโลกเหมือนกบั นักสัจนิยม (Realist) ว่า
สรรพ ส่ิงท้ังหลายในโลกนี้มีความเป็นจริงอยู่ในตัวของมันเอง และความจริงทั้งหลายมีความเป็นมาจาก
ธรรมชาตทิ ง้ั สนิ้ และดาเนนิ ไปตามกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติและทางวิทยาศาสตร์ ทส่ี ามารถค้น พบและพิสูจนไ์ ด้
มนุษย์จึงต้องพยายามศึกษาและทาความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของธรรม ติ เม่ือเข้าใจแล้วก็จัดระเบียบ
สถาบันและวิถีชีวิตไปตามนั้นชีวิตก็จะผาสุก เพราะฉะนั้น จะ เห็นได้ว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นผู้บงการความจริงแท้
ของโลก แต่ความจริงแท้ของโลกเป็นผู้บงการวิถี ชีวิตของมนุษย์ ความคิดต่าง ๆ จะถูกต้องเม่ือสอดคล้องกับ
ความเป็นจริงตามธรรมชาติ การจะ พิสูจน์ว่าความคิดใดดีหรือถูกต้องน้ันต้องใช้เวลาทดสอบและทดลองใน
ประสบการณ์จริงของสงั คม การเปลย่ี นแปลงในสงั คมจะต้องเป็นไปอย่างช้า ๆ และระมัดระวัง

3.2.3 ธรรมชาตขิ องความรู้
นกั อนรุ ักษ์นิยมเชอื่ ว่ามนุษย์สามารถแสวงหาความรู้ท่ีแน่นอนได้ เขาคัดค้าน ความเชอื่ ของนกั เสรีนยิ ม
ทีต่ ิดอยู่กบั ประสบการณ์และวิธีการทางวทิ ยาศาสตรม์ ากเกินไป และเมือ่ ประสบการณน์ ยิ มเสนอแนะให้ผูเ้ รียน
เรยี นจากการกระทา (learning by doing) นักอนรุ กั ษน์ ิยมย่ิงไม่พอใจมากข้ึน และทาการเรียกร้องให้โรงเรยี น
ตา่ ง ๆ นาวิธกี ารสอนท่ีเนน้ การใชค้ วามคดิ และเหตุผลกลับมาใช้ เพราะนักอนุรกั ษ์นิยมม่ันใจวา่ น่ันคือหนทางท่ี
จะนาผู้เรียนไปสู่ความรู้ท่ีแท้จริง ประสบการณ์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่จะ
นามาซ่ึงความรู้ท่ีเชอ่ื ถือได้ นักอนรุ ักษน์ ิยมไม่ปฏิเสธคุณค่าของสิง่ เหลา่ น้ี ส่ิงที่เขาปฏิเสธคอื ความคิด ของนัก
เสรีนยิ มท่ีไม่ยอมรับความสาคญั ของการได้ความรู้มาโดยวิธีใช้เหตุผล(Rationalism) เขาเช่ือว่า วิทยาศาสตร์
เป็นวิชาทมี่ ีคณุ ค่าควรแก่การศกึ ษาอย่างลึกซ้ึง กว่าวิชาภาษาศาสตร์ วรรณคดี ประวัตศิ าสตร์และคณิตศาสตร์
เลย เพราะฉะนน้ั มนุษย์จะสนใจ วิทยาศาสตรม์ ากกว่าวิชาอ่ืนไม่ได้
มที ศั นะวา่ ความจรงิ แท้ของโลกนี้ไม่ได้ขึน้ อยู่กับความคิดหรอื จิตมนุษย์ มันเปน็ อิสระอยูต่ ามลาพังของ
มนั เอง จิตมนุษย์จะรับรู้ถึงความคงอยู่ของมนั หรอื ไมก่ ็ไมส่ าคญั เพราะมันอยู่ของมนั ก่อนแล้ว มนษุ ย์มารจู้ ักส่วน
ต่าง ๆ ของมันทหี ลัง วธิ ีการทมี่ นุษย์ไดม้ าซึ่ง ความรู้ท่ีแท้จริงเกย่ี วกบั ธรรมชาติและเป้าหมายอันลึกซึ้งของโลกน้ี
ก็คือ ใช้ปัญญาความคิดไตร่ ตรองจัดระเบียบข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้มาจากประสบการณ์เข้าด้วยกัน มนุษย์มี
ความสามารถท่ีจะทาส่ิง sa oddat นีไ้ ด้ดี เพราะมนุษยเ์ ป็น “สตั ว์ที่มีปัญญา” มาแต่กาเนิดดังที่อริสโตเตลิ วา่ ไว้
กระบวนที่ได้มาซ่ึง 3 ความรู้ของอนุรักษ์นิยมจึงเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างความจริงแท้ซึ่งคงอยู่โดย
อิสระ กับ ตวั มนุษย์ เพราะฉะนนั้ อนุรักษน์ ิยมจงึ เชอ่ื ว่าความรูท้ ีต่ ายตัวแน่นอนมจี ริง มคี วามเปน็ สากล และเป็น
สิ่งทีพ่ ่ึงแสวงหาของมนุษย์ การจะพสิ ูจน์ว่าความคดิ ของเราถูกต้องหรือไม่นัน้ ก็ต้องดวู ่า มนั สอดคลอ้ งกับความ
เป็นจริงตามธรรมชาติหรือเปล่า ถ้าสอดคล้องก็แสดงว่าความคิดของเราถกู ถ้าไม่สอดคล้องก็แสดงวา่ ผิด การ
พิสูจน์เช่นนี้เป็นวัตถุวิสัย คือมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา อย่างแน่นอน มนุษย์สามารถเปรียบเทียบความคิด
ของตัวเองได้ ความถูกต้องของความคดิ ข้ึนอยู่ กับตัวความคิดน้ันเอง (คือ สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่)
ไมไ่ ด้ขึน้ อยู่กับการตัดสินใจของ ผ้ใู ดผหู้ นึ่ง
3.2.4 ธรรมชาตขิ องคุณค่า
นักอนุรกั ษ์นิยมเช่ือว่าคุณคา่ ท่ีสงู สุดมีจริง และมคี วามเป็นสากลดว้ ย หมายความ ว่า คุณค่าเหลา่ นีเ้ ป็น
ทพ่ี งึ ปรารถนาของมนุษย์ทุกหนทุกแห่ง คณุ คา่ เปน็ ปรนัยหรือวตั ถุวิสัยมิได้ เปน็ อัตนัยตามท่ีปรัชญาปฏิบตั ินยิ ม
เชือ่ ความดีความงาม หรือความสาคญั ของคุณคา่ น้ันขน้ึ อยู่กับกฎเกณฑ์ท่ีตายตัวคือ กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ซ่ึง

42

กฎเกณฑ์ทางธรรมชาตเิ หลา่ นี้มอี ยใู่ นธรรม ของมนษุ ย์เชน่ กนั ส่วนกฎเกณฑท์ คี่ วบคมุ พฤตกิ รรมของมนุษย์นั้นมี
เงื่อนไขทีแ่ นน่ อน มนุษย์ทุกคนได้เข้าใจและปฏบิ ตั ติ นไดถ้ กู ต้อง

จะเหน็ ได้วา่ อนรุ กั ษ์นยิ มปฏเิ สธความคิดท่วี ่าคณุ ค่าทางศลี ธรรมข้นึ อยกู่ ับสถานการณ์ทางสงั คม เพราะ
“กฎศีลธรรมหรือกฎธรรมชาตินน้ั เปน็ แบบแผนของการกระทาทีไ่ ม่แปรผันไม่วา่ จะเปน็ เอกัต

บุคคลหรือสังคม ย่อมจาเป็นจะต้อง ยึดถือกฎน้ีเพ่ือให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเป็นมนุษย์อย่าง
สมบูรณ์ มนุษย์ทุก ๆ คนพอจะรู้กฎธรรมชาตินี้อยู่บ้าง โดยการ สังเกตตนเอง แต่หากได้ศึกษา
ธรรมชาติของมนุษยอ์ ยา่ งจริงจงั และศึกษาเหตกุ ารณท์ ีเ่ กดิ ขึ้นในประวัติศาสตร์แล้ว กย็ งิ่ จะมคี วาม ร้ใู น
เรอ่ื งนอ้ี ย่างเพม่ิ พูนและชดั แจ้งขึ้น
อมิ มานเู อล คานท์ คือ บุคคลควรปฏบิ ตั ิ ตนตามกฎศีลธรรมอยา่ งเคร่งครัด ไม่ควรเอาเหตุการณ์จาเป็น
เฉพาะหน้ามาเป็นข้ออ้างในการทา ผิดกฎศีลธรรม ถ้าการพูดเท็จเป็นสิ่งไม่ดี เราพูดเท็จเม่ือใด ที่ไหน เพราะ
อะไรย่อมไม่ดีทั้งน้ัน เพราะฉะน้ันการกระทาดี คือการกระทาตามกฎธรรมชาติที่ตายตัว การจะเป็นคนดีได้
จะตอ้ ง จักสังเกตและควบคุมตนเองไม่ให้ละเมดิ กฎธรรมชาติ บคุ คลเรยี นร้คู ณุ ค่าทางศีลธรรมได้โดยการ ศกึ ษา
สภาพแวดลอ้ มและรู้จักปรับตนให้เขา้ กับสภาพแวดลอ้ ม อันไดแ้ ก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี อนั ดงี ามของสังคม
3.3 ปรัชญาการศึกษาสารัตถนยิ ม (Essentialist Philosophy of Education)
ปรัชญาการศึกษาสารัตถนยิ ม ถอื กาเนดิ ขึ้นมาใน อเมริกาในช่วงเวลาท่ีปรชั ญาการศึกษาประสบการณ์
นยิ มกาลังไดร้ ับการกล่าวถึงอย่างมากและในช่วงเวลาสถานะการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในโลกกาลงั ผัน
แปรอย่างรวดเร็ว ปัญญาชนกล่มุ ทีร่ ่วมกัน เสนอปรัชญาการศึกษาน้เี ป็นหว่ งวา่ ทิศทางทป่ี รชั ญาประสบการณ์
นิยมนาการศึกษาไปน้นั เป็น ทางแหง่ ความหายนะ จงึ เรยี กรอ้ งให้การศกึ ษาตงั้ อยบู่ นพื้นฐานของปรัชญาอนรุ กั ษ์
นิยม ซึ่งมีความแน่นอนในทิศทางมากกว่า เพราะส่ิงท่ีอนุรักษ์นิยมยึดถือเป็นส่ิงที่ผ่านการทดลอง ทดสอบ
มาแล้วว่าเป็นสง่ิ ทดี่ ี
คนทั่วไปอาจจะคดิ ว่าอนุรักษ์นิยมสนใจแต่จะธารงรักษาสิ่งท่ีดีงามไวอ้ ย่างเดียว ไม่สนใจพัฒนาสังคม
ให้กา้ วหนา้ ยงิ่ ๆ ขึ้นไป ส่วนประสบการณน์ ิยมซงึ่ ตั้งอยู่บนพืน้ ฐานเดยี วกันกบั เสรนี ิยมน้ัน มงุ่ จะพัฒนาสงั คมให้
กา้ วหน้า ความคิดน้ีไม่ถกู ตอ้ งนัก ทั้งอนุรกั ษ์นิยมและประสบการณ์นยิ มต่างกต็ ้องการจะทาให้สังคมดีขนึ้ แต่มี
ความหมายคาว่า “เจริญก้าวหน้า (progress) ไปคนละอย่าง ประสบการณ์นิยมเห็นว่าการศึกษาที่จะช่วยให้
สังคมก้าวหน้าจะต้องผลิตคนทมี่ คี วาม คิดเป็นตัวของตัวเอง และมเี สรีภาพตามหลักประชาธิปไตย จุดมุ่งหมาย
น้ีไม่ได้เกิดมาจากคาสง่ั หรือคาแนะนาของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เกิดมาจากธรรมชาติของมนุษย์และความมุ่งหวังของ
มนุษย์ที่จะรับใช้เพ่ือนมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้นการศึกษาซึ่งเป็นกระบวนการท่ีช่วยให้บุคคลเจริญข้ึนด้วย
ความสามารถที่จะกาหนดทิศทางของตนเองได้ จึงควรท่ีจะช่วยพัฒนามนุษย์ให้สามารถกาหนดทิศทางของ
ประสบการณแ์ ละของส่วนรวมได้ดว้ ย สว่ นอนุรักษ์นิยมมีความเห็นว่า จะเอามาตรฐานของ วตั ถหุ รอื เทคโนโลยี
มาเป็นเครื่องวัดความเจริญก้าวหน้าไม่ได้ ความเจริญก้าวหน้าท่ีแทจ้ ริงนั้นคือ ความเจริญทางสติและปัญญา
เมอื่ ใดมนุษย์สามารถลบลา้ งตณั หาและอวิชชาในตัวได้ เม่ือนัน้ แหละมนษุ ยม์ คี วามเจรญิ เมอ่ื มนุษย์มีความเจริญ
ทางสติ ปัญญา และคุณวินัยแล้ว มนุษย์ก็จะสามารถธารงรักษาและพัฒนาส่ิงที่เป็นสารัตถะของสังคม คือ
มรดกทางวัฒนธรรมได้ ปรชั ญาการศกึ ษาของสารตั ถนิยมก็ไดม้ าจากความเชือ่ พ้นื ฐานเหล่าน้ี
3.3.1 จุดมุง่ หมายของการศกึ ษา
สารตั ถนิยมถามตนเองวา่ “อะไรคอื ส่ิงท่ีเป็นสารตั ถะของการศกึ ษา คาตอบของเขากค็ ือ ประสบการณ์
ทีไ่ ดท้ ดลองทดสอบมาแล้วนาน รวมทัง้ คุณค่าและสถาบันท่ีได้รับการอนุรักษ์ไว้โดยประเพณีด้วย เพราะฉะน้ัน
ลทั ธิปรัชญาการศึกษาน้จี ึงใหค้ วามสนใจ และเชอื่ มัน่ ในส่งิ ที่เปน็ สาระสาคญั ทงั้ หลาย อนั เป็นแกนกลางที่แต่ละ
สังคมจะขาดเสยี มไิ ด้
จดุ มุ่งหมายของปรชั ญาการศึกษาสารัตถนิยมมี 2 ระดับคือ หน่งึ ระดับมหภาค (macro level) หรือ
ระดับกว้าง ๆ ซ่ึงมุ่งท่ีจะถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันมีความสาคัญต่อมวลมนุษย์มาก (น่ีก็คือสิ่งทเ่ี รียกว่า

43

สารัตถะ น่ันเอง) มนุษย์ผู้เข้าใจถึงระเบียบแบบแผนทาง ธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรม
สามารถท่ีจะมองเห็นผลท่ีติดตามมาของการ กระทาหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ของเขา และสามารถท่ีจะบังคับ
วิถีทางของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้บ้าง สอง ระดับจุลภาค (micro level) หรือระดับเฉพาะตัว มุ่งที่จะพัฒนา
สติปัญญา และคุณวนิ ัย ของมนุษย์ให้เป็นผู้ทมี่ ีความเฉลียวฉลาด และมีความประพฤติดีงาม วิลเลยี ม แบ๊กลีย์
อธิบายความคิดของสารตั ถนิยมในเรื่องนวี้ ่า

โรงเรยี นจะต้องทาหนา้ ท่ีสรา้ งวินัยในตัวผู้เรียน อุปกรณก์ ารสอน วิธีการสอนและวถิ ีชีวิตของโรงเรียน
ในฐานะที่เปน็ องค์กรในสังคม จะตอ้ งสะท้อนให้เหน็ อุดมคตใิ นเรื่องความเกรงใจ ความร่วมมือ ร่วมใจ ความสด
ชน ความภักดีต่อหน้าที่ ต่อความสัมพันธ์และความห้าวหาญ ความมานะพยายามท่ีจะเอาชนะความผิดหวัง
คณุ ค่าเหลา่ นอี้ าจไม่เปน็ นิรันดร แต่เช่ือม่ันได้ว่ามนั จะเป็นสิ่งสาคญั ในอกี พันปีข้างหน้า เหมือนกับที่เคยเป็นมา
ในอดีต

ดังน้ันจุดมุ่งหมายของการศึกษาจึงมี 2 ด้าน คือ ด้านจริยธรรม และปัญญาธรรม สารัตถนิยมไม่
ต้องการให้การศึกษา มุ่งแต่ผลเชิงปฏิบัติเฉพาะหนา้ หรือถอื หลักประโยชน์นิยมเป็นเกณฑ์ โรงเรียนมหี น้าที่ ๆ
จะต้องจัดส่ิงแวดล้อมให้เหมาะแก่การพัฒนาปัญญาและจริยธรรม โรงเรียนไม่ได้มีหน้าท่ีทอดความรู้ในเรื่อง
วิชาการและวัฒนธรรมอย่างเดียวเท่าน้ัน จะต้องสอนค่านิยมด้วย ค่านิยมที่ควรสอนก็คือ ค่านิยมเรื่องการ
ดารงชวี ิต ศักยภาพ และข้อจากดั ของธรรมชาติมนุษย์ และหน้าท่ี ๆ มนุษย์มีต่อสังคม ถ้าโรงเรียนทาเชน่ นไ้ี ด้
เยาวชนของชาติก็จะ เปน็ ผทู้ ่สี มบรู ณท์ ั้งจิตใจและปัญญาความคิด ปัญหาเร่ืองการละเมดิ กฎหมายและระเบยี บ
สงั คมกจ็ ะลดนอ้ ยลง

หัวใจของกระบวนการทางการศึกษาก็คือ การผสมผสานเนื้อหาวิชาท่ีได้เลือกสรรแล้ว ทั้งนี้เป็น
เพราะว่าสภาพทางวตั ถุและส่ิงแวดลอ้ มทางสังคมเป็นปัจจัยท่คี อยกาหนดวิถีชีวิตของมนษุ ย์ นักสารัตถนิยมจึง
เห็นว่าการศึกษาควรจะช่วยให้บุคคลตระหนักถึงศักยภาพ หรือความสามารถของตนเอง แต่การตระหนักถึง
ความสามารถของตนเองเชน่ นี้จะกระทาได้กต็ อ่ เมอื่ เข้าใจถงึ โลก แหง่ ความเป็นจรงิ ซ่งึ เป็นอสิ ระจากมนษุ ย์ และ
เป็นตัวกาหนดกฎเกณฑ์ให้มนุษย์ปฏิบัติตาม จุดมุ่งหมายในการให้เด็กไปโรงเรียน ก็เพื่อใหม้ ีโอกาสไดร้ ู้จักโลก
ตามสภาวะ ท่ีแท้จริง ไม่ใช่รู้จักโลกตามความต้องการหรืออคติส่วนตัวของใคร โรงเรียนจะปล่อยให้เด็ก
ผสมผสานเนื้อหาของความรู้ท่ีเล่าเรียนมาตามใจชอบไม่ได้ ความรู้ที่จะใหแ้ กเ่ ด็กนัน้ จะต้อง ได้รับการจัดลาดับ
วชิ าไวแ้ ลว้ เป็นอยา่ งดี

3.3.2 โรงเรยี น
สารัตถนยิ มเนน้ เรือ่ งมาตรฐานการศึกษา เพราะฉะนั้นโรงเรียนจะตอ้ งเคร่งใน ระเบยี บวินยั การศึกษา
ไม่ใช่การเล่นหรือการทดลองพร่าเพร่ือตามใจเด็ก การศึกษามีจุดมุ่งหมายที่จะต้องเข้าถึง และโรงเรียนก็มี
ภารกิจทจ่ี ะต้องกระทา ภารกจิ ท่ีว่าน้ีก็คือ การดาเนินการให้เป็น ไปตามจุดมุ่งหมายของการศกึ ษาตามท่ีกล่าว
มาแล้วข้างต้น เช่น การสร้างบรรยากาศทางการศึกษาให้เหมาะแก่การพัฒนาสติปัญญา จริยธรรม และการ
ถ่ายทอดวัฒนธรรม โรงเรียนจะต้องสร้าง ค่านิยมหรือทัศนคติให้ผู้เรียนเห็นและเข้าใจความหมายของชีวิต
โรงเรียนไม่มีหน้าท่ีและก็ไม่สามารถจะทาทุกสิ่งทุกอย่างได้ ประสบการณ์นิยมต้องการให้โรงเรียนกระทา
โรงเรยี นไมใ่ ช่ที่ถูกปญั หาสังคมวันแล้ววันเล่า โรงเรียนไม่มหี น้าท่นี าสังคม แตเ่ ป็นองค์กรทีช่ ่วยสังคมให้ดารงอยู่
อย่างสงบสุขและมีสมรรถภาพ หน้าท่ีของโรงเรียนอยู่ชัดแจ้งแล้วว่าต้องเป็น สถาบัน ท่ีถ่ายทอดสิ่งที่เป็น
สารัตถะ เช่น มรดกทางวัฒนธรรม และชว่ ยหาทางพัฒนาสารัตถะเหล่าน้ันให้ดขี ้นึ ไปอีก นักสารตั ถนิยมเห็นว่า
ปรัชญาการศึกษาประสบการณ์นิยมส่งเสริมให้ โรงเรียนทาหน้าท่ีหลายต่อหลายอย่างซ่ึงไม่ใช่หน้าท่ีของ
โรงเรียน เช่น พัฒนาสังคมจนโรงเรียนลืมหน้าท่ีหลักของตน คือให้การศึกษาและถ่ายทอดวฒั นธรรมประเพณี
การที่โรงเรยี นมุ่งทา หลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ทาใหโ้ รงเรียนทาอะไรไม่ประสบผลดีสักอยา่ ง ในที่สุดผลเสียก็มา
ตกอยู่ทผ่ี ู้เรียน คอื เยาวชนของชาติ นักสารัตถนิยมจึงเนน้ เร่ืองการกระทาตามหนา้ ท่ีของบคุ คลและสถาบัน ถ้า
ครรู หู้ นา้ ที่และกระทาตามหน้าทข่ี องตน ถ้าผู้เรียนรู้หนา้ ท่ีและกระทาตามหนา้ ท่ี ถ้าโรงเรียนร้หู นา้ ทแี่ ละกระทา

44

ตามหนา้ ท่ีของตน ถ้ารัฐบาลรหู้ น้าทแี่ ละกระทาตามหน้าท่ีของตน ฯลฯ ความสงบสุข และความเจริญก้าวหน้า
ก็จะบงั เกิดแกส่ งั คม

3.3.3 หลักสูตร
หลกั สูตรจะต้องได้รบั การจดั ไวล้ ่วงหนา้ อยา่ งเปน็ ระบบตอ่ เน่ืองตามขน้ั ตอนความยาก นักสารตั ถนิยม
เช่ือว่าความรู้อันเป็นสารัตถะสาหรับมนุษย์น้ันเป็นสิ่งที่ม่ันคงตายตัว และเป็นสากล ดังน้ันความรู้จึงเป็นสิ่งที่
ถา่ ยทอดส่กู ันได้ ไมจ่ าเป็นต้องขน้ึ อยู่กับการทดลองหรือประสบการณ์เสมอไป การจัดหลักสูตรอยา่ งมีระเบียบ
แบบแผนจะช่วยเพม่ิ ประสิทธิภาพในการเรียนการสอน วิชาพนื้ ฐานเช่น คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ สงั คมศาสตร์
ตรรกวิทยา ศิลปะ ดนตรี ภาษา และวรรณคดี ต้องได้รับการบรรจุไว้ในหลักสูตร และการสอนวิชาเหล่าน้ี
จะต้องผสมผสานกัน เพ่อื ชว่ ยเพ่ิมทักษะในการอ่าน การเขียน การคดิ และจินตนาการในตวั ผู้เรียน พูดอีกอยา่ ง
หน่งึ กค็ อื สารตั ถนิยมจดั หลกั สูตรแบบยดื เนอ้ื หาวชิ าเป็นศนู ย์กลาง (Subject-matter-centered)
นกั สารัตถนยิ มกลา่ วหาหลักสูตรประสบการณ์นยิ มว่าตามใจเด็ก และปลอ่ ยเดก็ ให้ข้นึ ชั้นสูงกวา่ โดยไม่
เข้มงวดมาตรฐาน ในความคิดของนักสารัตถนิยมแล้ว เด็กในแต่ละช้ันจะต้องผ่านการทดสอบวิชาพื้นฐานท่ี
จาเป็นจะต้องรู้เสียก่อนจึงจะข้ึนไปเรียนในชั้นที่สูงถัดไปได้ เช่น เด็กประถมจะต้องเรียนรู้หลักเบ้ืองต้นของ
ภาษา การเขียน การสะกด และการคานวณ เป็นอย่างดเี สียก่อน จงึ จะผ่านขึ้นไปเรียนในช้ันมธั ยมได้ วชิ าอ่ืนที่
เด็กอาจจะเรียนด้วยน้ัน มีความ สาคัญรองลงมาจากวิชาพื้นฐานเหล่าน้ี ดังน้ันครูจะต้องเน้นให้เด็กเห็น
ความสาคญั ของวิชาที่เปน็ พื้นฐาน หรอื เปน็ สารัตถะของการศึกษา
นักสารัตถนิยมผู้หน่ึง ซ่ึงเคยดารงตาแหน่งศึกษาธิการของวอชิงตัน ด.ี ซี. ในสหรัฐอเมริกา เขียนไว้ว่า
หลักสูตรสาหรับโรงเรียนประถมจะต้องเน้นทักษะและความรู้อันเป็นสารัตถะซึ่งสามารถนาไปสอนได้ใน
ชว่ งเวลาที่เดก็ อยู่ในโรงเรียน จุดมุ่งหมายของหลักสูตรจะตอ้ ง กาหนดไวแ้ น่ชัด เพอื่ ให้ครู เด็ก และผ้ปู กครองได้
รลู้ ่วงหน้าวา่ จะมีการเรียนการสอนอะไรบา้ งหลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับวุฒิภาวะของผเู้ รียน แตอ่ าจยืดหยุ่น
ได้บ้างในกรณีท่ีหลักสูตรยากหรือ ง่ายเกินไป อย่างไรก็ตามวิชาท่ีเด็กเรียนจะต้องมีความยากพอสมควร
เพ่ือทีจ่ ะได้พัฒนาสติปัญญา ของเด็กอย่างแท้จรงิ สาหรบั เรื่องสาขาวชิ าทีเ่ ด็กควรจะเรียนนน้ั วชิ าทจี่ ะช่วยให้
เด็กมีพฤติกรรมที่ชาญฉลาดได้แก่ วิชาภาษาและคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นพาหะท่ีจะนาเด็กไปสู่ความรู้และ
ประสบการณ์ท่ีคนรุ่นก่อนได้คิดค้นและธารงรักษาเอาไว้ นอกจากนี้ภาษา และคณิตศาสตร์ยังจะช่วยให้เด็ก
สามารถพฒั นาประสบการณท์ ่ีได้รบั ใหด้ ียง่ิ ข้ึนอีกด้วย วิชาเหลา่ นี้จะช่วยใหม้ นุษย์มีหลักเหตุผลในการประพฤติ
ปฏิบัติ นอกจากน้ีวิชา วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดนตรี และศิลปะ จะช่วยเสริมความเข้าใจในประสบการณ์ที่
ไดร้ ับจากคนรนุ่ ก่อนทาให้มนุษยม์ ีความพร้อมท่ีจะเผชิญกับปญั หาในชวี ิตประจาวัน
ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วิชาการท่ีได้รับการจัดไว้ให้แล้ว และท้ัง
ผู้เรียนและผ้สู อนก็รลู้ ว่ งหน้าแลว้ ว่าจะเรยี นจะสอนอะไร วิชาทีเ่ ป็นสารัตถะหรอื เป็นพ้ืนฐานนนั้ เปน็ วชิ าสาคญั ท่ี
จะต้องเน้น แต่กม็ ิไดห้ มายความว่า นัก สารตั ถนิยมทุกคนมีความเห็นตรงกันในเรื่องวิชาพื้นฐานทกุ วิชาเลย นัก
สารตั ถนิยมบางคนก็ เน้นวิชาพืน้ ฐานทแ่ี ตกต่างไปบ้าง เชน่
อาร์เธอร์ เบสเตอร์ (Arthur Bestor) ผู้นาคนหนงึ่ ของปรัชญาการศึกษานี้ เขียนไวว้ ่าวิชาที่เป็นพนื้ ฐาน
คือภาษา (ที่ใช้ในวัฒนธรรมน้ัน) ภาษา ต่างประเทศ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จะเห็นว่า
ถงึ แมว้ า่ เบสเตอร์จะ แตว่ ิชาเลือกวชิ าพืน้ ฐานทไี่ ม่เหมือนกบั นกั สารัตถนิยมคนอ่นื ทเี่ ป็นหวั ใจจริง ๆ ของพนื้ ฐาน
นน้ั เหมือนกัน คือ ภาษา วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
3.3.4 วิธีการสอน
หลกั สูตรของสารตั ถนยิ มมุง่ ผลติ เยาวชน ผูม้ ีปัญญาเฉลยี วฉลาดสามารถคิดได้ อยา่ งกระจา่ งแจง้ และมี
ความรู้พ้ืนฐานม่ันคง การเรียนการสอนจึงเน้นการถ่ายทอดความรู้และ ประสบการณ์ ครูจึงเป็นผู้มีบทบาท
อยา่ งมากในการเรียนรู้ ครูตอ้ งเป็นผู้รเิ ริ่มกิจกรรมทางการ เรียนรขู้ องเด็ก ทกั ษะของครแู ละเนอื้ หาวชิ าเป็นสิ่งที่
สาคัญมาก สาคญั กว่าความสนใจของเด็กเสียอีกสารัตถนิยมเลง็ เห็นความสาคญั ของความสนใจ และความถนัด

45

ของเด็กแต่ละคนเหมือนกัน แต่จะปล่อยให้เด็กไขว่คว้าหาความรู้เองตามลาพังไม่ได้ ครูจะต้องอาศัยความ
ชานาญ และทักษะท่ีเหนือกวา่ ชกั นาใหเ้ ดก็ เลา่ เรียนในสิง่ ที่เปน็ ประโยชน์

นักสารัตถนิยมมีความสนใจไม่น้อยไปกว่านักพิพัฒนาการนิยมในหลักที่ว่า การเรียนรู้จะประสบ
ความสาเรจ็ ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ตั้งอยบู่ นฐานของความสามารถ ความสนใจ และเป้าหมายของผู้เรียน แต่นักสารัตถ
นยิ มเช่อื ว่า ความสนใจและเป้าหมายเหลา่ น้ันจะตอ้ งผา่ นการกลน่ั กรองโดยทักษะของครเู สียกอ่ น เพราะครูรู้จัก
ลาดบั เนอ้ื หาวิชาดกี วา่ และเข้าใจในกระบวนการพฒั นาทางการศกึ ษา

การเรียนเป็นงานหนักซึ่งไม่ได้มุ่งหวังผลเชิงปฏิบัติเฉพาะหน้า จรงิ อยู่ความสนใจใน เน้ือหาวิชามีส่วน
ช่วยให้เดก็ อยากจะเรยี นรู้ แต่ลักษณะเช่นน้ีเป็นเพียงความสนใจในขน้ั ต้นเท่านนั้ ในขั้นสงู และในเรื่องท่ีมีความ
ยากมากขึ้น เด็กอาจจะไม่สนใจอยากจะเรียนรู้ แตถ่ ้าได้ใช้ความพยายาม ความอดทน และความมีระเบียบวา
ระเบยี บวนิ ยั ศึกษาอยา่ งสมา่ เสมอ ในไม่ช้าก็จะบังเกดิ ความเขา้ ใจและความสนใจ

นักสารัตถนิยมกล่าวว่า ในบรรดาส่ิงที่มีชีวิตทั้งหลาย มนุษย์เท่านั้นท่ีสามารถต่อต้านแรงผลักดัน
ภายในตวั เองไม่ให้ทาอะไรโดยปราศจากความย้ังคิด ถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถในตัวเด็กเราก็จะมุง่ หวังให้
เดก็ มีวนิ ยั ในตวั เองท่ีจะแสวงหาส่งิ ท่มี ีประโยชนไ์ ม่ได้ ผู้เรียนสว่ นมากจะควบคุมตวั เองได้ เมื่ออยใู่ ต้ระเบียบวนิ ัย
ทค่ี รูกาหนดข้ึน เพราะฉะนัน้ ครูจึงต้องควบคุมชัน้ เรยี นให้อยู่ในระเบียบ หากจาเปน็ จะต้องทาโทษเด็กก็ไม่ควร
ลังเลใจ ตราบใดที่การ ลงโทษน้ันเหมาะกับลักษณะความผิดของเด็ก วิธีการสอนท่ีปรัชญาการศึกษา
ประสบการณ์นิยมเสนอนั้น ไมส่ ามารถจะใช้กับกระบวนการเรียนรู้ทกุ ๆ อย่างได้ ธรรมชาติของความร้ทู ีแ่ ทจ้ ริง
นั้น เป็นนามธรรมท่ีตอ้ งอาศัยความคดิ ความเข้าใจ ไม่ใช่ส่งิ ทแี่ ยกแยะออกมาเป็นปัญหาทางรูปธรรม เปน็ ขอ้ ๆ
ได้ ดังน้ัน วิธีการสอนที่ดีจึงควรเป็นการบรรยายเพื่อถ่ายทอดข้อเท็จจริง และค่านิยม เม่ือมีโอกาสก็ให้มีการ
อภิปรายเรอ่ื งเนอื้ หาวชิ าที่เรยี น เพอื่ ความกระจา่ งแจง้ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ทแี่ ละเป็นการฝึกใหผ้ ้เู รียนใชค้ วามคิดไปด้วย

จะเห็นว่าครูเป็นผู้มีความสาคัญมากในปรชั ญาการศึกษาสารัตถนิยม ดังน้ันครูจึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดี
เป็นผมู้ คี ุณธรรมสูง และเข้าใจในเนอื้ หาวิชาและวัฒนธรรมของมนุษยชาติเป็นอย่างดี นักสารัตถนิยมจงึ ให้ความ
สนใจต่อกระบวนการผลิตครูเป็นอย่างมาก หลายคนได้ทาและเรียกรอ้ งให้มีการปรับปรุงสว่ นท่ไี มด่ ี การศึกษา
สถาบันฝึกหัดครูของอเมริกาอย่างละเอียด อิทธิพลของปรัชญาการศึกษาประสบการณ์นิยมที่เน้นแต่ผลเชิง
ปฏิบตั เิ ฉพาะหน้า นาไปสูค่ วามหยอ่ นยานทางวิชาการของสถาบนั ฝกึ หัดครู

นักสารัตถนิยมโจมตีสถาบันฝึกหัดครูว่าเต็มไปด้วยนักศึกษาที่เรียนอ่อน อาจารย์ในสถาบันเหล่าน้ีก็
คณุ ภาพตา่ และสอนวิชาที่ผิวเผนิ และไร้ประโยชน์ท่ีแท้จริง เขาเรยี กร้องให้สถาบนั ฝึกหัดครูเข้มงวดต่อหน้าที่
การผลิตครูให้มากขึ้น มีจุดมุ่งหมายท่ีเด่นชัดข้ึน และทาการ “ฝึกหัด” ครูอย่างแท้จริง ผู้ไม่มีวินัยตอนเป็น
นักศึกษาครู จะเป็นครูที่มีวินัยได้อย่างไร ผู้ท่ีไม่แม่นยาในเนื้อหาวิชาที่ตนศึกษา จะเป็นครูผู้ถ่ายทอดความรู้
ให้แก่เดก็ ไดอ้ ยา่ งไร จริงอยู่ครู จะรู้ทุกวิชาอย่างถ่องแท้ไม่ได้ แต่ครกู ็ควรจะรู้วิชาเอกและวิชาโทของตนอย่างดี

3.3.5 ผบู้ ริหาร
มลี ักษณะแบบรวมอานาจ คือ ผ้บู ริหารตัดสินใจแต่เพียงผเู้ ดียว มลี ักษณะยึดกฎระเบียบ ยึดกฎหมาย
เป็นสาคญั มีลักษณะยึดแบบอย่าง ยึดมาตรฐาน ยดึ ระเบียบวินยั มกี ารบริหารจัดการเร่ืองการเรียนรู้ไปในทาง
เดยี วกัน คือระบบบรหิ ารเป็นแบบสงั่ งาน (Bureaucratic Model)
3.3.6 การวดั ผลประเมินผล
เชื่อว่าความรู้ที่แท้จริงอยู่ภายนอกตวั ผเู้ รียน สามารถรับรู้ดว้ ยจิต การได้มาซึ่งความร้นู ้ันเป็นการรับมา
โดยกระบวนการถ่ายทอด จดจา ใช้วิธีการทดสอบความจาในเนื้อหาวิชาท่ีได้เรียนมา ประเมินผู้เรียนทางด้าน
ทฤษฎ(ี วชิ าการ)เปน็ สาคญั
3.3.7 สรุป
ลักษณะของปรัชญาการศึกษาท่ีคล้ายกับลักษณะปฏิบัติของการศึกษาในประเทศไทย ก่อนท่ีจะมี
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 คือครูมีบทบาทมากในการเรียนรู้และหลักสูตรได้ รับการกาหนดไว้แล้ว

46

ล่วงหน้า แต่การที่จะกล่าวว่าไทยไปเอาปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมจากต่างประเทศมาเป็นหลักในการจัด
การศึกษาคงไม่ถูกต้องนัก จริงอยู่นักการศึกษาของไทยหลายคนได้ รับการศึกษามาจากสหรัฐอเมริกาใน
ช่วงเวลาที่สารัตถนยิ มกาลังแพร่หลาย และก็คงได้รบั อิทธพิ ลทางความคดิ มาบ้าง แต่โดยพนื้ ฐานแล้ว นักศึกษา
ไทยเหล่าน้ันก็มีความโน้มเอียงไปทางอนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว การจัดการศึกษาของไทยจึงสะท้อนปรัชญาพื้นฐาน
นั้น ซ่ึงบังเอิญมาใกล้เคียงกับความคดิ ของสารัตถนิยมพอดี หลักความคิดของสารัตถนิยม เช่น ครูไทยจานวน
มากใชอ้ านาจในหอ้ งเรียนแบบเผด็จ จนเดก็ ไม่กล้าแสดงความคดิ เห็น หรอื หลักสูตรชีน้ าความคิดของผู้เรยี นเสีย
ทกุ อย่าง แต่การอ่านวรรณคดี หลกั สูตรทีก่ าหนดไว้เลยว่า ตรงไหนมีความไพเราะและครูควรจะเน้น เดก็ รู้ สา
รัตถนยิ มไม่ไดส้ นบั สนุนสง่ิ เหลา่ น้ี เพราะปรัชญาการศกึ ษานี้ไม่ต้องการ ความคดิ ของผ้เู รยี น ถ้าทาเชน่ นัน้ สงั คม
จะเจรญิ ได้อย่างไร

ปรชั ญาการศึกษาสารัตถนยิ มไดร้ ับความสนใจอย่างมาก ทงั้ ในอเมริกาและประเทศอื่น ท้ังนี้เปน็ เพราะ
นักศึกษาและประชาชนท่ัวไปเร่ิมไม่แน่ใจในคุณค่าของปรัชญาประสบการณ์นิยม ที่เน้นการเรียนโดย
ประสบการณ์ และมหี ลักสูตรท่ยี ืดหยุ่น พวกเหล่านี้ต้องการให้โรงเรยี นทาหน้าที่อันแท้จรงิ ของตน คือ พัฒนา
สติปัญญาของผู้เรียน และถ่ายทอดวัฒนธรรมให้ดีเสียก่อน จึงค่อยไปสนใจหน้าที่อื่น ๆ โรงเรียนจะต้องมี
มาตรฐานทางการศึกษาท่ีสูงส่ง สารัตถนิยมต้องการให้ผู้เรียนรู้จักใช้ปัญญาในการเผชิญกับปัญหาในโลกท่ี
สลับซับซ้อน และเปล่ยี นแปลงอยู่เสมอน้ี และความรู้ที่จะช่วยเสริมสร้างปัญญาของมนุษย์ ก็ตอ้ งเป็นความรู้ท่ี
ได้ผา่ นการทดลองทดสอบมาแล้วว่ามีประโยชน์ ความรูจ้ ะสอนให้ผเู้ รียนทาชีวติ ของตนใหม้ คี ณุ คา่ มคี วามหมาย
สอนให้รู้ว่าการศึกษาคืองานหนัก ชีวิตที่ดีได้มาจากความมานะพยายาม ไม่ใช่ผู้อ่ืนหยิบยื่นให้ จุดหมายของ
การศึกษาไม่ใช่การปรับตัวใหเ้ ข้ากับชีวิตสมยั ใหม่ แต่เป็นการใช้ปญั ญาความคิด ปรับตัว เข้ากบั สิ่งท่ีสงู กวา่ นั้น
ตลอดจนระเบียบประเพณี บรรทัดฐาน และความมีวินัย ครูจะต้องสอนให้ ผู้เรียนไดต้ ระหนักว่าโลกท่ีแท้จริง
เป็นอิสระจากตัวเขา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจิตหรือความสนใจของเขา มนุษย์จะเป็นคนดีได้ก็ด้วยการเอาชนะตัณหา
และแรงผลักดันภายในตนเอง ถ้าครูเข้าใจธรรมชาติท่ีแท้จริงของมนุษย์ ครูก็จะออกระเบียบวินัยมาบังคับ
ผเู้ รยี นจนกระทั่งแนใ่ จวา่ ผูเ้ รียนมวี ินัยในตวั เองแล้ว และเข้าใจถึงเหตุผลท่ีต้องใช้ระเบยี บวนิ ยั กับเขาในตอนต้น
ครูก็จะเลิกบังคับผู้เรียน เพราะฉะน้ันสารัตถนิยมไม่ต้องการให้ระเบียบวินัยเป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมของ
ผูเ้ รียน

3.4 นกั ปรัชญาทจี่ ดั ว่าเป็นนักสัจนิยม
Aristotle เน้นความสนใจเกีย่ วกับแตล่ ะสงิ่ ความเป็นจริงที่ตง้ั อยู่มีแน่นอนตายตัว โลกแห่งความเป็น
จรงิ คือโลกแหง่ การรับรู้แบบ (Form) และสสารเปน็ สิ่งทแี่ ยกไม่ได้
John Mcmurray มีความเชื่อว่าความรู้ต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับโลก ก็คือโลกที่เป็นอยู่อย่างท่ีมนุษย์ได้รับ
มนษุ ย์ไม่สามารถแยกความจริงพื้นฐานท่ีมีความแตกต่างกันโดยไมอ่ าศยั ความคิด ความคิดที่ถูกต้องจะต้องปรับ
เขา้ กับส่ิงของ ถ้าความคิดนน้ั ไม่สอดคล้องกบั สิ่งทม่ี อี ยแู่ ล้ว ความคิดอนั นั้นถือวา่ ไม่ถกู ต้องและไร้ประโยชน์
White Head ได้ใหเ้ หตุผลเก่ียวกับความเช่อื ว่าสง่ิ ต่าง ๆ ทเี่ ราประสบเป็นสิ่งท่สี ามารถแยกได้อยา่ งชัด
แจง้ ด้วยความรขู้ องเรา
D.E. Hocking เชอื่ ว่าลัทธนิ ้ีเป็นเรือ่ งของจติ ใจที่เปน็ อิสระขึน้ อย่กู ับการตดั สินส่ิงตา่ ง ๆ ทอี่ ย่ภู ายนอก
John Locke ไดเ้ น้นในเรือ่ งของจรงิ (Real Things) วา่ จะเกดิ จากการรบั รูข้ องจติ ใน รปู ของคุณสมบตั ิ
ภายนอกของวัตถุแล้วผ่านกระบวนการคิดของจิต และการเปรียบเทียบกับประสบการณ์ท่ีเคยมีอยู่ก่อนท่ีจะ
สามารถตอบโต้ว่าสิ่งนั้น ๆ เป็นอะไร ถ้าจะเป็นของจริงแล้วจะต้องมีตัวตน (Exist) และเป็นอิสระต่อกัน มีชื่อ
แยกกันได้และของจริงน้ันจะต้องคงทน ย่ังยืนมีคุณภาพซึ่งเห็นจริงได้ มิได้มาจากผู้บอกกล่าวหรือผู้รู้เท่านั้น
การรู้สามารถรู้ได้โดยทางอ้อม โดยผ่านความคิดซึ่งแทนความจริงน้ันได้ ของจริงอย่างเดียวกันอาจทาให้เกิด
ความคิดแตกตา่ งกนั ในกลมุ่ มหาชน


Click to View FlipBook Version