The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปรัชญาทางการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดยนักศึกษารุ่นที่ 2 เเละ รุ่นที่ 3 สาขานวัตกรรมการบริหารการศึกษา ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wachiraphan.2903, 2022-08-20 21:51:29

ปรัชญาทางการศึกษา

ปรัชญาทางการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดยนักศึกษารุ่นที่ 2 เเละ รุ่นที่ 3 สาขานวัตกรรมการบริหารการศึกษา ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

47

เอกสารอา้ งองิ

กติ ิมา ปรีดีดลิ ก. (2520). ปรัชญาการศึกษา เลม่ 1 ความรูเ้ บ้อื งต้นเกยี่ วกบั ปรชั ญาการศึกษา.
ประเสรฐิ การพิมพ์.

ดร.ศกั ดา ปรางคป์ ระทานพร. (2536). ปรัชญาการศึกษาฉบบั พ้นื ฐาน. มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ
บางแสน.

ปรชี า เศรษฐธี ร. (2523). ปรชั ญาและคุณธรรมสาหรบั ครู. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์โอเดียนสโตร.์
ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น.์ (2525). ปรัชญาการศึกษาเบอื้ งตน้ . กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ยนต์ ชุ่มจิต. (2524). ปรชั ญาและคณุ ธรรมสาหรบั ครู. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพแ์ พรพ่ ิทยา.
ศกั ดา ปรางค์ประทานพร. (2526). ปรชั ญาการศึกษาฉบับพ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ : สานักพิมพโ์ อเดียนสโตร์.
ศุภร ศรีแสน. (2526). ปรัชญาการศกึ ษาเบือ้ งตน้ . กรุงเทพฯ: เจ้าพระยาการพมิ พ.์
สมาคมดาราศาสตรไ์ ทย. ประวัติอรสิ โตเติล. สืบค้นจาก

http://thaiastro.nectec.or.th/library/article/246/
สุนทร โคตรบรรเทา. (2553). ปรชั ญาการศกึ ษาสาหรบั ผบู้ รหิ ารการศึกษา. ปญั ญาชน.
สสวท. อรสิ โตเติล. สืบคน้ จาก https://www.scimath.org/article-science/item/11332-17-aristotle
อทุ ยานวทิ ยาศาสตรพ์ ระจอมเกล้า ณ หว้ากอ. การกาเนิดส่งิ มีชวี ิต.

http://www.waghor.go.th/v1/elearning/nature/aquariam1-1.php

48

ศึกษาและวิเคราะห์ ปรชั ญาลทั ธปิ ฏบิ ตั ินิยม (Pragmatism)
เชื่อมโยงกับปรชั ญาการศึกษา

1. ปรชั ญาลัทธิปฏบิ ัตนิ ิยม (Pragmatism)
ความเปน็ มา และนักปรชั ญา ของปรัชญาลัทธิปฏิบัตนิ ิยม

จอหน์ ลอ็ ค (John Locke) ค.ศ.1632 – 1704
เชอื่ วา่ ประสบการณเื ป็นแหล่งท่ีมา แหง่ ความรทู้ ่ีแท้จริง
และโลกประกอบขึ้นด้วยสสาร 2 ชนิด คอื รา่ งกาย (Body) และจติ (Soul)

จอรจ์ เบิรค์ เลย์ (George Berkeley) ค.ศ.1685 – 1753
เชอ่ื ว่า ไมม่ คี วามเป็นจริงที่เป็นสสารซึ่งอยูน่ อกการรับรขู้ องเรา

และความจรงิ ประกอบด้วยจติ และสภาวะของจิตเทา่ นน้ั

เดวดิ ฮูม (David Hume) ค.ศ.1711 – 1776
เชื่อวา่ ไม่มคี วามรโู้ ดยธรรมชาติ ทุกสิง่ ท่ีเราจะได้รู้นน้ั

ต้องขอบคณุ การสมั ผัส กับประสบการณ์

49

ชาร์ลส์ แซนเดอรส์ เพิร์ซ (Charles Sender Pierce) ค.ศ.1839 - 1984
นักวศิ วกรเคมี นักคณิตศาสตร์ และนักประดษิ ฐ์
เปน็ ผู้ให้กาเนิดลัทธิปฏิบัตนิ ยิ ม

วลิ เลยี่ ม เจมส์ (William James) ค.ศ.1842 – 1910
ยนื ยันความคิดของเพริ ซ์ ว่าถกู ตอ้ งและนาไปใช้ไดผ้ ลจริง
เจมสเ์ ชื่อวา่ มนุษยค์ วรยึดความคดิ ของตนเอง ในแง่ท่ีเห็นว่าจะมปี ระสทิ ธภิ าพในทางปฏบิ ตั มิ ากที่สุด

จอห์น ดิวอี้ (John Dewey)
เป็นนกั ปฏบิ ัตนิ ิยมแบบอปุ กรณ์นิยม (lnstrumentalism)
ดวิ อีเ้ ช่ือว่า ความจรงิ อยู่ทีป่ ระสิทธภิ าพของการให้ปญั หาเปน็ เคร่อื งมือ

เพ่ือประโยชนใ์ นการดารงชีพ ดังน้นั ตอ้ งฝึก

50

ประทุม อังกูรโรหิต (2537 : 1) กล่าวว่า ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) มีแนวความคิดที่แพร่หลายมา
ตั้งแต่ปลายศตวรรษท่ี 19 เป็นปรัชญาสมัยปัจจุบัน แต่ก็ยังมีนักวิจารณ์บางท่านที่ได้ตีความแนวคิดของนัก
ปรัชญากรีกโบราณ และนักปรัชญาสมัยใหม่ว่า แนวความคิดของนักปรัชญาเหล่านั้น น่าจะเป็นต้นเหตุ
แนวความคิดของปรัชญาปฏิบัตินิยม แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า ปรัชญาปฏิบัตินิยมมีวิวัฒนาการมาอย่างไร
เรมิ่ ตน้ เมือ่ ใด

สมพิศ ณ นคร (2532 : 105) กล่าวว่า ปรัชญาปฏิบัตินิยม เป็นปรัชญาท่ีมีอิทธิพลสูงสุดของต้น
ศตวรรษที่ 20 ในประเทศสหรัฐอเมริกา และยังมีอิทธิพลต่อนักปรัชญาในยุโรบ เช่น วิลเฮมล์ม ออสวอลด์
(Willhelm Oswald) เอ็ดมันต์ ฮัสเซ็ล (Edmund Hussel) จิโอวานนี ปาปินิ (Giovani Papini) และอองรี
แบร์กซอง (Henry Bergson) เป็นต้น ซ่ึงในศตวรรษท่ี 19 ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นชาติที่พึ่งเริ่มต้นทาให้
ปรัชญาได้รับความสนใจน้อยกว่าในยุโรป จนกระท่ังปลายศตวรรษท่ี 19 ได้มีนักปรัชญารวมกลุ่มกัน ได้แก่
ชารล์ ส์ แซนเดอรส์ เพริ ซ์ (Charles Sender Pierce) วลิ เลี่ยม เจมส์ (William James) และจอหน์ ดวิ อี้ (John
Dewey) จึง เกิ ดปรัชญ าท่ีมีลัก ษณะ เด่น ข้ึน คือ “ปฏิบัตินิยม ” (Pragmatism) หรือ “อุ ปก ร ณ์ ”
(Instrumentalism) หรือ “การทดลองนิยม” (ExperimentaIIsm)

สมพศิ ณ นคร (2532 : 105 - 106) กล่าวว่า ปฏิบัตนิ ิยมมแี นวความคิดที่ขดั แย้งกับพวกจิตนิยม ซ่ึงมี
อทิ ธิพลต่อชีวิตชาวอเมริกันมาก่อน เน่ือจากปฏิบัตินิยมได้แสดงถึงขบวนการทางปรัชญาในลักษณะท่ีคัดค้าน
เชงิ วจิ ารณ์ ตอ่ ลัทธทิ ี่สืบตอ่ กนั มาเป็นประเพณี และความเช่ือทางอภิปรัชญาอันไรป้ ระโยชน์ ปรัชญาปฏบิ ัตนิ ยิ ม
ย้าถึงความสาคัญ 3 ประการ คือ จักรวาลแรกน้ันเปิดกว้าง ประการท่ีสองโอกาสท่ีจะเป็นไปได้นั้นเป็นจริง
ประการท่ีสามอนาคตขึ้นอยู่กับการกระทาของมนุษย์ มนุษย์จึงไม่เป็นทาสของวิทยาศาสตร์ และเทววิทยา
ความคดิ เป็นแผนการกระทา และความหมายของการกระทาก็มีคา่ เท่ากบั การปฏบิ ัตทิ ่เี ป็นประโยชน์

ประทุม องั กูรโรหิต (2537 : 12) กล่าววา่ ปรัชญาปฏิบัตินิยมเร่ิมพัฒนาข้ึนโดย ชาร์ลส์ เพิร์ซ เขาเชื่อ
วา่ ประสิทธิภาพเปน็ ตัวกาหนดความจริง และไดเ้ สนอวิธวี ิทยาศาสตร์ เพราะใช้ได้ผลดีเหมาะท่ีจะนามาปฏบิ ัติ
แต่ถ้ามีอะไรดกี วา่ ก็เปลีย่ นไปใช้สิ่งนนั้ หรือวธิ ีนั้นได้ (เป็นปฏิบัตนิ ิยมในแง่นี้) ในปี 1870 มีข้อเขียนเรอ่ื ง “How
to make our idea clear” ซ่ึงตีพิมพ์ในวารสาร The Popular Monthly โดยเขากล่าวว่า ความเชื่อเป็น
เกณฑ์สาหรับการปฏิบัติ ความคิดท่ีแจ่มแจ้งชัดเจนได้ด้วยผลของการปฏิบัติว่าได้ประสิทธิภาพอย่างไร เดือน
คาดี (2522 : 339) กล่าวว่า เพิร์ส เป็นนักตรรกวิทยา เขาสนใจในวิธีคิดอย่างแท้จริง โดยการทาให้ความคิด
(Concept) ต่างๆ กระจา่ ง หรือพอทจี่ ะนาความคดิ น้นั ไปใชอ้ ย่างไดผ้ ล ทฤษฎขี องเขาเนน้ ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง
ความคิด การกระทา และความประพฤติของมนุษย์ แต่การกระทาก็เป็นเพียงวิธีการ มิใช่จุดหมายปลายทาง
เพิร์ส มีความเห็นว่า การพยายามทาให้ความคิดต่างๆ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง ย่อมชี้ให้เห็นว่า ความคิดนั้นมี
ความหมายขึน้ มา แทนที่จะคิดในส่ิงท่ปี ระยุกต์กบั ชีวิตไม่ได้

ประทุม อังกรู โรหิต (2537 : 13 - 14) กล่าววา่ ความคิดของเพริ ์ซถูกพัฒนา และได้รบั การจัดระเบียบ
ใหด้ ีข้ึนโดย วิลเลีย่ ม เจมส์ (William James 1842 – 1910) เขาถอื ว่ามนษุ ย์ควรยึดควมคิดของตนเอง ในแง่ท่ี
เห็นว่าจะมีประสิทธิภาพในทางปฏิบัติมากที่สุด ในปี 1898 เขาได้เสนอแนวคิดแบบปฏิบัตินิยม โดยเสนอ
บทความเรื่อง “Philosophical Conception and Practical Results” เขาเหนว่าความคิดทั้งหลายทาง
ปรัชญา สามารถนาไปสู่การปฏิบตั ิที่ให้ผลไดจ้ ริง ในประสบการณข์ องเราในอนาคต เขาไดใ้ หค้ วามหมายของคา
Pragmatism คือ การกระทา ในความหมายของภาษาอังกฤษว่า Practice และ Practical และมาจากภาษา
กรีกว่า Pragma เจมส์ขยายความคิดของเพิร์สให้กว้างออกไป โดยพยายามทาให้หลักการน้ี เป็นหลักการท่ี
ประยุกต์ได้กับอะไรในอนาคตซ่ึงยังมาไม่ถึง เจมส์นาวิธีการแบบปฏิบัตินิยม ไปใช้กับปัญหาทางศาสนา และ
ปรชั ญา เขาตอ้ งการสรา้ งเกณฑ์ที่จะกาหนดว่าปัญหาใดเป็นปัญหาท่ีแท้จริง คือ มีความหมายในชีวติ ประจาวัน

51

หรือว่าเป็นเพียงการโต้แย้งกันที่คาพูด (Verbal dispute) เท่านั้น เจมส์ต้องการจะให้คนท่ัวไปรู้ตระหนักถึง
ปญั หาทางปรัชญา ว่ามีความสาคัญอย่างแท้จริงสาหรับมนุษย์ เขาเชื่อว่าความเชื่อต่างๆ ท่ีคนเรามีอยู่น้นั ถา้ ได้
นาออกมาใช้จะมผี ลต่อพฤตกิ รรมทุกๆ ด้านของเรา เจมส์ยกตวั อย่างการโตแ้ ยง้ ระหวา่ งพวกเทวนิยม (theist)
กับสสารนิยม (materialist) เก่ียวกับเร่ืองสิ่งที่เป็นสาเหตุพ้ืนฐาน (basic cause) ของโลก เขาช้ีให้เห็นว่า ถ้า
เรายอมรบั ว่าโลกเป็นส่งิ สมบรู ณ์ ย่อมมคี า่ เท่ากัน ไม่ว่า จะยนื ยนั ว่าพระเจา้ หรอื สสาร เปน็ สาเหตุพน้ื ฐานของ
โลก ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร โลกก็ยังเป็นเช่นท่ีเป็นอยู่ตามปรากฏแก่เรา ช่ือดังกล่าวที่เราเรียกเพ่ือใช้
อธิบายท่ีมาของโลก เป็นเพียงคาที่เราตั้งขึ้นเท่าน้ัน โดยแก่นแท้แล้วไม่มีสิ่งใดต่างกัน จะเห็นได้ว่าทัศนะของ
เจมส์น้ัน หน้าท่ีของปรัชญา คือ การหาทางท่ีจะทาให้ความคิดของแต่ละคนไปด้วยกันได้ ไม่ยึดมั่นในระบบใด
ระบบหนงึ่ อย่างตายตวั ดงั นนั้ เรามที างเลือกเสมอไมว่ า่ จะใช้ทฤษฎีใด

เดือน คาดี (2522 : 339) กล่าวว่า อีกคนหนึ่งถือว่าเป็นบุคคลสาคัญ ที่สนับสนุนแนวความคิดปฏิบัติ
นิยม คือ จอนหน์ ดิวอี้ (John Dewey 1859 - 1952) ดิวอี้ได้ประยุกต์ความคิดของเพิร์ส และเจมส์ เขาถือว่า
ความคิดเปน็ เคร่ืองมอื ของการกระทา และความคดิ น้ีเอทีเ่ ป็นเคร่ืองมืออันสาคัญทส่ี ุดของชวี ติ ความคดิ ใดท่นี า
เราไปสผู่ ลที่สมหวงั ความคดิ น้ันถอื ว่าเปน็ ความจริง เมื่อชีวิตยังดาเนินไปอยู่อยา่ งเรียบร้อยมนษุ ยจ์ ะไม่คิด และ
คิดท่ีจะวางแผนเพ่ือรับมือกับสถานการณ์อันยากลาบากด้วยดีท่ีสุด ดังนั้น ความคิดน้ันจะถือว่าผิดหรือถูก
ประการใด ย่อมวัดได้ด้วยประสิทธิภาพในทางปฏิบัติเท่านั้น นอกจากนักปรัชญาทั้งสามท่านที่กล่าวมาแล้ว ก็
ยงั มีนักปรชั ญาชาวอังกฤษ คอื เฟอร์ดนิ ัน ชิลเลอร์ (Ferdinan Schiller 1864 – 1937) ไดพ้ ัฒนาแนวความคิด
ปฏิบัตินิยมในเกาะอังกฤษ โดยเน้นประสิทธิภาพของมวลมนุษย์เป็นมาตรการแท้ของความจริง และยังมีนัก
ปรัชญาปฏิบัตินิยมท่านอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม แม้นักปรัชญาปฏิบัตินิยม จะมีทัศนะที่แตกต่างกัน
ออกไปบ้าง แต่ความแตกต่างนั้นก็เป็นเพียงประเด็นปลีกย่อย เพราะหลักการใหญ่ๆ ไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ
เป็นการรวบรวมความคิดและทัศนะคติต่างๆ ทไ่ี ดพ้ ัฒนามาในระยะหนึ่ง ถา้ มองในแง่กระบวนการววิ ัฒนาการ
ทางปรัชญา ภายใต้อิทธิพลท่ีแตกต่างกันออกไปของเพิร์ส เจมส์ และดิวอี้ ในสมัยท่ีปฏิบัตนิ ิยมมีความรุ่งเรือง
ลักษณะของการเปล่ยี นแปลงเกดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ จงึ เกิดความยงุ่ ยากสับสนในการศึกษา ดังนัน้ อาจแบง่ ปรัชญา
ปฏิบตั นิ ิยมออกไดต้ ามความสาคญั ของแนวคิด ได้ 5 สาย คอื

1. ปฏิบัตนิ ิยมทางตรรกะ (Logical Pragmatism)
สมพิศ ณ นคร (2532 : 107) กล่าวว่า ในกลุ่มนี้มีนักปรัชญาท่ีสาคัญ คือ เพิร์ซ (1839 – 1914) ไวลาติ

(Vailati 1863 – 1909) และคาลเดอโรนี (Calderoni 1879 – 1914) ปฏบิ ตั ินิยมทางตรรกะถือว่า ความหมาย
ท่ีแท้จริงของความคิดของเรา จะอยู่ในผลที่ได้ในทางปฏิบัติของความคิดนั้นๆ ถ้าความคิดใหม่ๆ ไม่ให้ความ
แตกต่างในผลทางปฏิบัติแล้ว มันก็เป็นเพียงวิธีการต่างๆ ในการกล่าวถึงส่ิงเดียวกัน เพิร์ส ถือว่า ปฏิบัตินิยม
เปน็ วิธีการในการเห็นเหตกุ ารณล์ ่วงหนา้ และการมีความคิดแจ่มชดั ต่อเนอ้ื หาทีส่ ามารถคิดหมายได้ ซึ่งทาให้เรา
สามารถเตรียมตัวในการตอบสนองต่อไป ไวลาติ ได้เพ่ิมเติมว่าอย่าให้เขา้ ใจกฎนี้ในความหมายของประโยชน์
นิยม (Utilitarianism) หรือ อัตนัยนิยม (Subjectivlsm) ปฏิบัตินิยมจะเป็นประโยชน์นิยมได้ในขอบเขตท่ีว่า
“เพื่อขจัดปัญหาท่ีไร้ประโยชน์” ให้เหลือแต่ปญั หาที่ปรากฏอยู่เท่านั้น กฎของการปฏิบัตินิยมเป็นการนาไปสุ่
การเร่มิ ตน้ การทดลองมใิ ชเ่ พยี งเพือ่ หาข้อยตุ เิ ท่านน้ั แต่เพอ่ื ปญั หาท่จี ะแกน้ นั้ ดว้ ย

2. ปฏิบตั นิ ิยมเชงิ เจตนิยม – ประจกั ษนยิ ม (Empirio – Spiritualistic Pragmatism)
สมพิศ ณ นคร (2532 : 108 – 109) กล่าวว่า ปฏิบตั ินิยมในทศั นะของวลิ เลี่ยม เจมส์ เขาให้ชือ่ )ปฏิบตั ินยิ ม

ของเขาว่า “ปฏิบัตินิยมแบบจัด” (Radicai Empericism) สาหรับเจมส์ ประสบการณ์เป็นข้อพิสูจน์ และเป็น
การทดสอบความรขู้ องอนาคต “ในการดชก้าวไปสจู่ ดุ หมายแห่งอนาคต” และการเลือกวถิ ีทางเพ่ือความสาเร็จ
นั้น มีสัญลักษณ์ทแ่ี สดงถึงหลักประกัน และมาตรการซึ่งจะเปน็ สง่ิ ท่ียนื ยนั การมีอยู่ของจิตในปรากฏการณ์หนึ่ง
(Principles of Psychoiogy) การกระทาด้วยความสมัครใจมีพลังเหนือกว่าการกระทาด้วยเหตุผลและ

52

ความรู้สกึ ฉะน้ันการรบั รแู้ ละการคดิ มีอย่ใู นแงข่ องพฤตกิ รรมเพียงอย่างเดียว ทั้งสองอย่างน้ีจะเป็นผู้รับใช้การ
กระทาเพื่อมนุษย์จะได้สามารถจัดการสง่ิ ตา่ งๆ ในโลกไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ เจมสไ์ ด้ใส่ “ลักษณะแห่งจิตใจ”
(Spiritualistic) ให้แก่ปฏบิ ตั ินยิ มของเขา ซึ่งอยใู่ นรูปของ “เจตนารมณ์ท่ีจะเช่อื ” (The Will to Belive) เขาได้
วางพน้ื ฐานให้แก่มโนคติทั้งหลายที่เกี่ยวกับจักรวาล ซ่ึงมีพระเจา้ เปน็ สตั หนึ่งในสตั จานวนมากมาย พระองคเ์ ป็น
ส่งิ จากัดทีอ่ ยูใ่ นเวลา ขณะทีพ่ ระองคส์ รา้ งมนุษย์ พระองค์ก็กลาลังสร้างประวัตศิ าสตร์สาหรบั พระองค์เองด้วย
พระเจ้าในลักษณะนี้จะสามารถสนองความต้องการของความสานึกทางศาสนา และรบั ประกนั ความจริงในโลก
มนษุ ยไ์ ด้

3. ปฏิบัตนิ ิยมเชงิ มนุษยนิยม (Humanistic Pragmatism)
สมพศิ ณ นคร (2532 : 109) กลา่ วว่า ปฏิบตั นิ ยิ มในทัศนะของ เอฟ.ซี.เอส. ชลิ เลอร์ (F.C.S. Schiller 1964

– 1937) เขาเชอ่ื ว่าความคิดทงั้ หมด หรือกระบวนการทางตรรกะมสี าเหตุมาจากความต้องการ ความรู้สกึ และ
ความกดดันในจิตใจของมนุษย์ จึงกล่าวได้ว่า ปฏิบัตินิยมของเขาอยู่ในรูปของมนุษยนิยม ทุกๆ ส่ิงถูกกาหนด
โดยความจาเป็นในการปฏิบัตหิ รือการกระทา ชลิ เลอร์ยกย่องคากลา่ วอันโด่งดังของโปรทากอรัส (Protagorus)
ทวี่ ่า “มนุษย์เป็นมาตรวัดทุกสิ่ง” ว่าเป็นการค้นพบท่ีย่ิงใหญ่ทางปรัชญา โดยเขาไม่ได้ชี้แจงเหตุผลไว้ แต่ตาม
ทัศนะของชิลเลอร์ มีหลักการชนิดหน่ึงท่ีชักนาให้ปัจเจกบุคคลละทิ้งความต้องการเบ้ืองต้นบางประการ แล้ว
เลือกเอาหลักที่จริงและแนน่ อนกว่า คอื การกระทาท่มี ีประโยชน์ตอ่ สังคม และสามารถตอบสนองความต้องการ
ของคนจานวนมากที่สดุ ได้ดที ่ีสุดในสถานการณ์หนึ่งๆ สรุปได้ว่า ปฏิบัตินยิ มเชิงมนุษยนิยม ของชิลเลอร์ อยู่ใน
รปู ของอัตนิยมไปส่สู มั พัทธนิยม

4. ปฏบิ ตั นิ ิยมเชงิ นิยาย (Fictional Pragmatism)
สมพิศ ณ นคร (2532 : 110) กล่าวว่า เป็นทัศนะของฮัลล์ ไวฮินเจอร์ (Hans Vaihinger 1852 – 1933)

เชอื่ ว่มนษุ ย์ไม่พอใจกบั สัมผสั แท้ๆ ของตนเอง มนษุ ย์จงึ สร้างนิยายขน้ึ สาหรบั ตวั เอง เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อชีวติ ที่
จาต้องคงอยู่ เชน่ มโนคตเิ รอ่ื งอิสรภาพ เป็นต้น นิยายเหลา่ นัน้ เป็นภาพมายาของความพอใจภายในชวี ิตอันรีบ
ร้อน แต่มนุษย์ทาราวกับวา่ นิยายที่สร้างขึน้ นน้ั เป็นความจริง ความจริงในปรชั ญาวิทยาศาสตร์ และศาสนา เป็น
ภาพปรัชญาทีล่ กึ ลับแต่กม็ ปี ระโยชน์ ฉะนน้ั ประสบการณบ์ รสิ ุทธิ์ไม่มี มนษุ ยจ์ งึ ได้สรา้ งนยิ ายขึ้นประกอบ

5. ปฏบิ ัตินยิ มแบบอุปกรณน์ ยิ ม (lnstuumentalism Pragmatism)
สมพิศ ณ นคร (2532 : 110) กล่าวว่า เป็นปฏิบัตินิยมในทัศนะของ จอห์น ดิวอ้ี (1859 – 1952) ซึ่งเขา

เชื่อถือวา่ มนษุ ย์กับธรรมชาติมคี วามสมั พันธ์กนั อย่างใกล้ชิด และเหนยี วแนน่ มนษุ ย์ร้สู กึ วา่ เขาเป็นสว่ นหนึ่งของ
ธรรมชาติ และมีความผูกพันท่ีจะต้องปรับปรุงโครงสร้าง และเข้าใจในความหมายของธรรมชาติ ฉะน้ัน
ความคิดเป็นเครื่องมือสาหรับจัดประสบการณ์ในอนาคต เหตุผลมีหน้าที่ในการสร้างสรรค์ความสมเหตุสมผล
ของความคดิ เกิดขึน้ โดยความมีประสิทธิภาพของมันในฐานะท่เี ปน็ เครอ่ื งมือ ซ่งึ เปน็ ทางผ่านจากประสบการณ์
ทก่ี ลมกลืนกนั เพียงเลก็ นอ้ ย หรือไม่เขา้ กันเลย ไปส่ปู ระสบการณท์ ีก่ ลมกลืนกันมากขึน้

แนวความคิดของปรัชญาลทั ธิปฏิบตั ินิยม
บุณย์ นลิ เกษ (2522) กล่าววา่ ปรัชญาปฏบิ ัตินิยมเสนอความคดิ ท่ีแตกตา่ งกับปรัชญาลัทธิอ่นื ตรงท่ีเน้นผลทาง
ปฏิบัติมากกว่าหลักการหรือทฤษฎี แต่การกลา่ วเชน่ น้ี มิได้หมายความว่าหลักการไม่สาคญั คนเราจะแกป้ ัญหา
ใดกต็ ามได้ จาเป็นต้องร้หู ลักการท่ีสาคญั เกีย่ วกับส่ิงน้ันก่อน ขณะเดียวกันก็สามารถนาหลักการหรอื ทฤษฎีน้ัน
นามาใช้แก้ปัญหา ปรชั ญาปฏิบตั ินิยมมุ่งหมายให้คนเราคานึงถึงความเปน็ ไปได้ในทางปฏิบัติมากกว่าจะยดึ ติด
กับทฤษฎีใดทฤษฎีหน่ึงอย่างตายตัว เพราะในชีวิตจริงของคนเราน้ัน บางคร้ังก็ไม่สามารถหาความคิดที่เป็น
แบบสาเร็จรูปท่ีสมบูรณ์พร้อม เพอ่ื นาไปใช้แก้ปญั หาท่ีเราเผชิญอยู่ได้ ดังน้ัน การเปิดใจให้กว้าง และพิจารณา
จากหลายดา้ น อาจชว่ ยให้การดาเนนิ ชีวิตของเราเป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ และมคี า่ มากยงิ่ ข้ึน

53

ลักษณะปรัชญาลทั ธิปฏิบตั ินิยม
เมธี ปิลันธนานนท์ (2523) กล่าวว่า ปรัชญาลัทธิปฏิบัตินิยม พัฒนามาจากปรัชญาลัทธิสัจนิยมเชิงธรรมชาติ
ลัทธิปฏิบัตินิยม นักปรัชญาคนสาคัญ คือ วิลเลียม เจมส์ (William James) เห็นว่า เราควรยึดความคิดทาง
ปรัชญาท่ีสามารถนาไปสู่การปฏิบัติท่ีได้ผลจริง ผู้ให้กาเนิดปรัชญาปฏิบัตินิยม คือ ชาร์ลส์ แซนเดอรส์ เพิร์ซ
(Charles S. Pierce) และผู้ท่ีทาให้ปรชั ญาน้ีเปน็ ที่รจู้ ักกันทั่วโลก ได้แก่ จอห์น ดิวอ้ี (John Dewey) และแม้ว่า
ปรัชญาลัทธิปฏิบัตินิยมนี้ จะเกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางในปรัชญาของสหรัฐอเมริกา แต่ตามความเป็นจริง
แนวคิดน้ี เป็นแนวคิดท่ีเติบโตข้ึนในสังคมของประเทศอังกฤษมาก่อน ซ่ึงเช่ือว่ามนุษย์เรามีความรู้ได้ด้วย
ประสบการณท์ างประสาทสัมผสั ทง้ั 5 คือ การเหน็ การฟัง การดมกลิน่ การสมั ผัสแตะต้อง และการล้ิมรส

ลัทธิย่อยของปรชั ญาลทั ธิปฏบิ ตั ินิยม
1. บ้านจอมยุทธ (2543) กล่าวว่า ปรัชญาประสบการณ์นิยม Experimentalism (John Dewey) คือ
ปรัชญาประสบการณ์นยิ มมีแนวคดิ เกี่ยวกับโลกและจกั รวาลว่าเปน็ “โลกแห่งประสบการณ์” (The World of
Experience) และมีแนวคิดว่าความรู้ที่แท้จริง คือ “ส่ิงที่นามาปฏิบัติในชีวิตอย่างได้ผล” (Truth as what
works) แนวคิดเกย่ี วกับความดี หรือจริยธรรม ของนกั ปรชั ญากลมุ่ ประสบการณ์นิยม คือ “จริยธรรม เปน็ การ
กระทาท่ีสังคมส่วนรวมเห็นชอบ และยอมรับว่าถูกต้อง” แนวคิดเกี่ยวกับความงาม หรือสุนทรียภาพ คือ
“สุนทรียะ เปน็ ไปตามค่านยิ มของคนสว่ นมาก”

2. สมพิศ ณ นคร (2532 : 110) กล่าวว่า ปรัชญาอุปกรณ์นิยม lnstrumentalism คือ เป็นปฏิบัตินิยมใน
ทศั นะของ จอห์น ดิวอี้ (1859 – 1952) ซึง่ เขาเชื่อถือว่ามนุษย์กับธรรมชาตมิ ีความสัมพันธ์กนั อยา่ งใกลช้ ดิ และ
เหนียวแน่น มนุษย์รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และมีความผูกพันที่จะต้องปรับปรุงโครงสร้าง และ
เข้าใจในความหมายของธรรมชาติ ฉะน้ัน ความคิดเป็นเครื่องมือสาหรับจัดประสบการณ์ในอนาคต เหตุผลมี
หน้าที่ในการสรา้ งสรรคค์ วามสมเหตุสมผลของความคิด เกิดขน้ึ โดยความมีประสิทธิภาพของมันในฐานะทเ่ี ป็น
เครื่องมอื ซ่ึงเปน็ ทางผ่านจากประสบการณ์ทีก่ ลมกลืนกันเพยี งเลก็ น้อย หรอื ไม่เข้ากันเลย ไปสู่ประสบการณ์ท่ี
กลมกลนื กนั มากขึ้น

3. บา้ นจอมยทุ ธ (2543) กลา่ ววา่ ปรชั ญาการศกึ ษาพิพฒั นาการนิยม Progressivism คอื การเปล่ยี นแปลง
ไม่หยุดนิ่ง การจัดการศึกษาต้องปรบั ปรุงใหส้ อดคล้องกบั ความเปลี่ยนแปลง จึงได้เชอื่ วา่ “แนวทางแห่งความมี
อิสระเสรีท่ีจะนาไปสู่การเปล่ียนแปลง ปรับปรุงวัฒนธรรม และสังคม” พิพัฒนาการนิยมเกิดข้ึนเพื่อต่อต้าน
แนวคิด และวิธีการศึกษาแบบเดมิ ที่เน้นแต่เน้ือหา สอนแต่ท่องจา ไม่คานึงถึงความสนใจของเด็ก และพัฒนา
เดก็ แต่เพียงสตปิ ัญญาเทา่ นน้ั ทาให้ผเู้ รียนขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไมม่ คี วามม่นั ใจในตนเอง จัง จ๊าค รสุ โซ
, จอหน์ เฮนร่ี, เปสตาลอสซี่, เฟรด เดอริค ฟรอเบล เปน็ ผู้มีแนวคิดทางปรัชญาการศึกษาพพิ ฒั นาการนิยมเป็น
พวกแรกของยุโรป ค.ศ.1870 ฟรานซีส ดบั เบิลยู ปาร์คเกอร์ ไดเ้ สนอให้มีการปฏิรปู ระบบโรงเรยี นข้ึนใหม่ แต่
ยงั ไม่ได้รับการยอมรับ ตอ่ มา จอห์น ดุย ทาการทดลองเพ่ิมเตมิ จนทั่วโลกได้รู้จกั ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการ
นิยมของเขา มีนักการศึกษาร่วมอยู่ด้วย วิลเลียม เอช คิลแพททริค, จอห์น ไซล์ค และเฮนรี่ บาร์นาร์ด
สหรัฐอเมริกาจัดต้ังสมาคมการศกึ ษาพพิ ัฒนาการขึน้ ในปี ค.ศ.1919 ได้จัดทาหลักสตู รการศึกษาเพอื่ ชวี ิต (The
Life - Centered Curriculum) ข้นึ ใชใ้ นโรงเรียนอย่างกว้างขวาง จอห์น ดุย ได้ยกย่อง ปาร์คเกอร์ วา่ เป็นบิดา
ของปรัชญาการศึกษาพิพฒั นาการนิยม ปรัชญาการศึกษาพิพฒั นาการนิยม ก่อตั้งขนึ้ มาหลังสงครามโลกครั้งที่
สอง (ราว ค.ศ.1920) และนามาใช้อย่างแพร่หลายมากท่ีสุดในยุคปัจจุบัน สาหรับวงการศึกษาไทยได้ต้อนรับ
ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (แบบก้าวหน้า) อย่างกระตือรือร้น โดยรู้จักกนั ในนามว่า “การศึกษาแผน
ใหม”่

54

ปรชั ญาลัทธิปฏบิ ัตนิ ิยม แบ่งออกเป็น 3 สาขา
เมธี ปิลนั ธนานนท์ (2523) กลา่ ววา่

1. อภิปรัชญา (Metaphysics) / ภาววิทยา (Ontology) คือ ความเป็นจริง สภาวการณ์ท่ีมีอยู่ เป็นอยู่
ความเป็นจริงเป็นส่ิงทมี่ นษุ ยเ์ ลือก และกาหนด เปน็ สิ่งท่ีผา่ นการปฏิบัติดว้ ยการสงั เกต พสิ ูจน์ ทดลอง เป็นส่งิ ที่
พสิ ูจน์ไดด้ ้วยผลทางการปฏิบัติ เป็นเหมือนเครื่องมือทางการปฏิบัติ ดังกระจกทส่ี อ่ งหาความจรงิ เปน็ ส่ิงเฉพาะ
และสัมพทั ธ์ ไม่ตายตวั และไม่จาเปน็ ต้องเป็นจริงอยู่ตลอดไปโดยไม่เปลี่ยนแปลง

2. ญาณวิทยา (Epistemology) คือ ความรู้ไมใ่ ชส่ ่งิ ที่กาหนดไวล้ ่วงหน้า เป็นผลแห่งการเลือกของ
บุคคล แต่ละคน ความรู้จะเกิดข้ึนได้ก็ด้วยการลงมือปฏิบัติ และกระบวนการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการทาง
วทิ ยาศาสตร์

3. คุณวิทยา (Axiology) คือ จริยธรรม / จริยศาสตร์ เป็นเสรีภาพของแต่ละคนท่ีเลือกปฏิบัติ
สุนทรียภาพ / สุนทรียศาสตร์ อยูท่ ี่ความพอใจ และการเลือกของแต่ละคน โดยไม่ยึดถอื จารีตประเพณี ความ
ตอ้ งการและรสนิยมสว่ นใหญเ่ ปน็ ทย่ี อมรับซ่ึงกันและกนั

2. ปรัชญาการศกึ ษาพิพัฒนาการนยิ ม (Progressivism)
นักปรัชญาการศกึ ษาพพิ ฒั นาการนิยม

ฌอง ฌาค รสุ โซ (Jean – Jacques Rousseau) ค.ศ.1712 – 1778
- เดก็ เปรียบเสมอื นผา้ ขาว
- การศกึ ษาจะช่วยพัฒนาเดก็ ไปในทางทด่ี ี
- การศึกษาโดยธรรมชาติเกิดจาก ผคู้ น ธรรมชาติ และสง่ิ ของ

โจฮันน์ ไฮน์รคิ เปสตาลอสซ่ี (Johann Heinrich pastalozzi) ค.ศ.1746 – 1827
- นาหลักการของรุสโซมาใช้
- ครูควรคานึงถึงธรรมชาติ และความพรอ้ มของเด็กเปน็ หลัก
- ครูต้องคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คล
- การเรียนรู้ของเดก็ ตอ้ งมาจากประสบการณต์ รง

55

ฟรานซิส ดับเบลิ ยู ปารค์ เกอร์ (Francis W. Parker) ค.ศ.1837 – 1902
ได้รับยกยอ่ งเปน็ บิดาแห่งการศึกษาพิพฒั นาการนยิ ม ปี ค.ศ.1870 เสนอใหม้ ีการปฏริ ปู การศึกษา
เพราะการเรียนแบบเก่าเข้มงวดเร่อื งระเบยี บวนิ ัย และก่อตงั้ โรงเรียนหอ้ งปฏิบัติการแห่งแรกของโลก

เพอื่ นาแนวทางพิพัฒนาการนิยมไปใช้

จอหน์ ดวิ อ้ี (John Dewey) ค.ศ.1859 – 1952
แนวคิดพิพัฒนาการนิยมแพรห่ ลาย เม่ือดิวอ้ีนามาทาการศึกษาค้นควา้ เพ่มิ เตมิ
เน้นฝึกปฏบิ ัติ (Learning by doing) ใชก้ ารสอนแบบแก้ปัญหา (Problem solving)

โดยนาหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์มาใช้ เช่ือวา่ การศึกษาคือชีวิต
ไมใ่ ช่การเตรยี มตัวเพอื่ การดาเนนิ ชวี ิต

Kneller (1971 : 47) กล่าวว่า ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ให้กาเนิดขึ้นเพื่อต่อต้านแนวคิด
ด้งั เดิม ที่การศึกษามกั เนน้ แต่เนอ้ื หา สอนใหท้ ่องจาเพียงอยา่ งเดียว ทาให้เด็กพฒั นาด้านสตปิ ัญญาอยา่ งเดียว
ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีความกล้า และความม่ันใจในตนเอง ประกอบกับมีความก้าวหน้าในด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมเกิดข้ึนใน ค.ศ.1870 โดย ฟรานซีส ดับเบิลยู
ปาร์คเกอร์ (Francis W. Parker) ได้เสนอให้มีการปฏิรูปการศึกษาเสียใหม่ เพราะการเรียนแบบเก่าเข้มงวด
เร่ืองระเบียบวินัย แต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับ ต่อมา จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้นาแนวคิดน้ีมา
ทบทวนใหม่ โดยเริ่มงานเขียนช่ือ School of Tomorrow ออกตีพิมพ์ในปีค.ศ.1915 ต่อมามีผู้สนับสนุนมาก
ขึ้น จึงต้ังเปน็ สมาคมการศึกษาแบบพพิ ัฒนาการ (Progessive Education Association) และนาแนวคิดไปใช้
ในโรงเรียนต่างๆ แต่ก็ถูกจู่โจมตีจากฝ่ายปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม ภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ปรัชญา
การศึกษาสารัตถนิยมกลับมาได้รับความนิยมอีก จนสมาคมการศึกษาพิพัฒนาการนิยมต้องยุบเลิกไป แต่

56

แนวคิดทางการศึกษาปรัชญาพิพัฒนาการนิยมยังคงใช้ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้รับความนิยมมากข้ึน และ
แพรห่ ลายไปยังประเทศต่างๆ รวมท้งั ประเทศไทยดว้ ย

แนวความคดิ ของปรัชญาการศกึ ษาพพิ ัฒนาการนิยม
ทิศนา แขมมณี (2545) กล่าวว่า เป็นปรัชญาการศึกษา ที่ยึดหลักการของปรัชญาสากล สาขา

ปฏิบัติการนิยม โดย ชารลส์ เซนเดอร์ เพริ ์ซ (Charles Sender Peirce) โดยมีความเชื่อว่า นักเรียนเปน็ บคุ คล
ที่มีทักษะพร้อมท่ีปฏิบัติงานได้ ครูนั้นเป็นผู้นาทางในด้านการทดลอง และวิจัย หลักสูตรเป็นเนื้อหาสาระที่
เกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆ ของสังคม เช่น ปัญหาของสังคม รวมท้ังแนวทางท่ีจะแก้ปัญหานั้นๆ ปรัชญา
ปฏิบตั ิการนยิ มใหค้ วามสนใจอย่างมากต่อการ “ปฏิบตั ิ” หรือ “การลงมือกระทา” ซง่ึ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า
นกั ปรัชญากลุ่มนี้ ไมส่ นใจหรือไม่เห็นความสาคัญของ “การคิด” สนใจแต่การกระทาเป็นหลัก แต่แท้ท่ีจริงแล้ว
ความหมายของปรัชญาน้ีก็คือ “การนาความคิดให้ไปสู่การกระทา” เพราะเห็นว่า ลาพังแต่เพียงการคิดไม่
เพยี งพอต่อการดารงชีวติ การดารงชวี ติ ทด่ี ีตอ้ งตัง้ อยบู่ นพ้ืนฐานของการคดิ ทดี่ ี และการกระทาที่เหมาะสม

บรรจง จนั ทรสา (2522 : 244) กล่าวว่า แนวความคิดพ้นื ฐานปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม มพี ื้นฐานมา
จากปรัชญาลัทธิประจักษ์วาท (Empirism) ซึ่งเกิดในประเทศอังกฤษ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ต่อมาได้นาเอา
แนวคิดประจักรวาทมาสร้างเป็นปรัชญาลทั ธิใหม่ มีช่ือเรียกต่างๆ กนั เช่น Experimentalism, Pragmatism,
Instrumentalism ซึ่งปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมก็มีแนวคิดมาจากปรัชญาดังกล่าว คาว่า “พิพัฒน”
หรือ Progessive หมายถึง ก้าวหน้า เปลี่ยนแปลง ไม่หยุดอยู่กับท่ี สาระสาคัญของความเป็นจริง และการ
แสวงหาความรู้ไมห่ ยดุ น่ิงอยกู่ ับท่ี แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และส่ิงแวดล้อม บุคคลสามารถแสวงหา
ความรู้ได้จากประสบการณ์ ประสบการณ์จะนาไปสู่ความรู้ และความรู้เป็นกระบวนการท่ีต่อเน่ือง ปรัชญาน้ี
เน้นกระบวนการ โดยเฉพาะกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เมื่อนามาใช้กับการศึกษา แนวทางของ
การศกึ ษาจงึ ต้องพยายามปรับปรงุ ใหส้ อดคล้องกบั กาลเวลา และภาวะแวดล้อมอยูเ่ สมอ การศึกษาจะไมส่ อนให้
คนยึดมัน่ ในความจริง ความรู้ และค่านิยมที่คงท่ี หรือสิ่งที่กาหนดไวต้ ายตัว ต้องหาทางปรับปรงุ การศกึ ษาอยู่
เสมอ เพือ่ นาไปสกู่ ารคน้ พบความรใู้ หมๆ่ ปรชั ญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม อาจเรยี กอีกอย่างหนึง่ ว่า ปรชั ญา
ประสบการณน์ ยิ ม (Experimentalism)
Kneller (1971 : 48 – 53) กล่าวว่า การศกึ ษาคือชีวติ มิใช่เปน็ การเตรียมตวั เพือ่ ชวี ิต หมายความว่า การที่จะ
มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จะต้องอาศยั การเข้าใจความหมายของประสบการณ์นิยม ฉะน้ัน ผเู้ รียนจึงควรจะได้
เรียนรู้ในสิ่งที่เหมาะแก่วัยของเขา และสิ่งทจ่ี ัดให้ผู้เรียนควรจะเป็นไปในทางที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ท่ีผู้เรียน
สามารถเขา้ ใจปัญหาชีวิตและสงั คมในปจั จุบัน และหาทางปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ภาวะที่เปน็ จริงในปัจจบุ นั

ศกั ดา ปรางคป์ ระทานพร (2523 : 64 – 65) กล่าววา่ จุดมุ่งหมายของการศึกษาปรัชญาการศึกษาพพิ ฒั นาการ
นิยม ไม่มีจุดมุ่งหมายท่ีตายตัว เพราะชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
วัตถุประสงค์ของการศกึ ษาก็เพื่อแก้ปญั หาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผ้เู รียนเกิดแนวทางในการแก้ปัญหาแต่ละครั้ง และ
เป็นวิถีทางให้เกิดการเรียนรู้ท่ีใหม่กว่าต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนผู้เรียนจะต้องพัฒนาตนเองทั้งด้านร่างกาย
อารมณ์ สงั คม และสติปัญญาควบคู่กนั ไป เรียนรู้ตามความถนัด และความสนใจ สามารถนาความรูไ้ ปปรับตัว
ให้เข้ากับสังคมได้อย่างมีความสุข สามารถแก้ปัญหาได้ ทางานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีวินัยในตนเอง ( Self
discipline)

องค์ประกอบของการศกึ ษา
เมธี ปิลนั ธนานนท์ (2523 : 90)

1. หลักสูตรปรัชญาน้ี ต้องการให้ผู้เรียนเรียนจากประสบการณ์ในชีวิตจริง เป็นประสบการณ์ท่ีสัมพันธ์กับ
สังคม หลักสูตรจึงครอบคลุมชีวิตประจาวันทุกรูปแบบท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมใน

57

ประสบการณ์การเรียนรู้ทุกรูปแบบ หลักสูตรจะเน้นวิชาท่ีเสริมสร้างประสบการณ์ทางสังคม ตลอดจน
ชีวิตประจาวัน เน้ือหา ได้แก่ สังคมศึกษา วิชาทางภาษา วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ แต่ความสาคัญของ
การศึกษา พิจารณาในแง่ของวิธีการท่ีนามาใช้ คือ กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ผู้เรียน มี
ความสามารถในการแกป้ ัญหาในบทเรยี น และนาเอากระบวนการแกป้ ญั หาไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน

2. ครู ไม่เป็นผอู้ อกคาสัง่ แต่ทาหน้าท่ีทาในการแนะแนวทางให้แกผ่ ู้เรียนแล้วจัดประสบการณท์ ่ีดที เี่ หมาะสม
ให้แก่ผู้เรียน ครูจะต้องมีความรู้และประสบการณ์อย่างกว้างขวาง รู้จักผู้เรียนเป็นอย่างดีและยอมรับความ
แตกต่างระหว่างบุคคล และวางแผนให้เกิดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการของ
ผูเ้ รยี น จดั สภาพในโรงเรยี น และในหอ้ งเรียนให้พรอ้ มทจ่ี ะศกึ ษาเล่าเรียน ใหไ้ ด้ประสบการณ์ตามทต่ี ้องการ

3. นักเรยี น ปรัชญานใ้ี ห้ความสาคญั แก่ผู้เรียนมาก ถือว่าผู้เรียนโดยธรรมชาตมิ ีอินทรีย์ทจี่ ะสืบเสาะแสวงหา
ประสบการณ์และพร้อมท่ีจะรับประสบการณ์ ผู้เรียนจะได้ประสบการณ์ด้วยการลงมือกระทาด้วยตนเอง
(Learning by doing) ผู้เรียนจะต้องมีอิสระในการเลือกตัดสินใจและต้องทางานร่วมกัน (Participation)
เพ่ือให้การเรียนการสอนตรงกับความถนัดความสนใจและความสามารถของผู้เรยี น

4. โรงเรียน ทาหน้าท่ีเป็นแบบจาลองสังคม โดยเฉพาะแบบจาลองท่ีดีงามของชีวิต และประสบการณ์ใน
สงั คม โดยการจัดประสบการณใ์ หเ้ หมาะสมกับวุฒิภาวะของผูเ้ รียนในแต่ละกลมุ่ เรมิ่ จากการเรียนรพู้ ื้นฐานของ
สงั คม ลกั ษณะอน่ื ๆ ของสงั คม โรงเรยี นจะต้องสร้างบรรยากาศทีเ่ ป็นประชาธิปไตยโดยใหผ้ ู้เรียนไดม้ ีการเรยี นรู้
สงิ่ แปลกๆ ใหม่ๆ มีความพร้อม มีความรู้จัก และเขา้ ใจสังคมอย่างดี พอที่จะออกไปปรับปรงุ และพัฒนาสังคม
ได้

5. กระบวนการเรียนการสอน เป็นการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child centered) โดยให้ผู้เรียนมี
บทบาทมากที่สุด การเรียนเป็นเร่ืองการกระทา (Doing) มากกว่ารู้ (Knowing) การเรียนการสอนจึงให้ผู้เรียน
ลงมือกระทาเพื่อให้เกิดประสบการณ์และการเรียนรู้ การกระทา ทาให้สามารถแก้ปัญหาได้ ครูต้องจัด
ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมท่ีเอื้ออานวยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนการสอนใช้วิธีการ
แก้ปญั หาแบบวิทยาศาสตร์ (Problem solving)

รปู แบบหลกั สูตรปรัชญาการศกึ ษาพพิ ฒั นาการนิยม
นายเฉลิมลาภ ทองอาจ (2555) กล่าวว่า ความพยายามในการทาลายกรอบแนวทางการจัดการศึกษาที่
เคร่งครดั และไม่ให้ความสาคญั กบั ความสนใจ และความเป็นมนุษย์ที่มีศกั ยภาพในการคดิ ของผเู้ รียน เป็นเหตุ
ให้เกิดปรัชญาการศึกษาสานักพิพัฒนาการนิยม ซึ่งนาโดยนักปรัชญาคนสาคัญ เช่น John Dewey และ
William Kilpatrick โดยเฉพาะ Dewey นนั้ เขามีความคิดว่า มนษุ ย์เปน็ สตั วส์ ังคมและเรียนรไู้ ดจ้ ากการปฏิบัติ
กิจกรรมตา่ งๆ ร่วมกับผู้อื่น เพื่อแก้ปัญหาชีวิตและสงั คม การเรียนรู้จะเกดิ ขึ้นก็ต่อเม่ือบุคคลได้รับเสรีภาพใน
การเข้าไปร่วมทากิจกรรมที่มีความหมายต่อตนเอง ดังน้ัน ความรู้ในแนวคิดของ Dewey จึงเกิดข้นึ จากการที่
บุคคลประยุกต์ใช้ประสบการณ์เดิมในการดาเนินการแก้ปัญหาใหม่ ในการจัดการศึกษาจึงควรมุ่งเน้นการให้
ความสาคญั กบั “กระบวนการเรยี นรู้” (learning process) ของผ้เู รียน มากกวา่ ความรู้ หรอื ความสามารถทคี่ รู
มี ผู้เรียนจะต้องได้รับการสนับสนุน หรือส่งเสริมให้ใช้กระบวนการสร้างประสบการณ์จากการได้ลงมือปฏิบัติ
โดยเฉพาะอย่างยงิ่ การกระตุน้ ให้ผู้เรยี นตั้งคาถามจากข้อมูล หรอื ประสบการณใ์ หม่ที่ได้รับ เพ่อื นาไปสกู่ ารใช้วิธี
ทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ ผู้เรียนตามแนวคิดของปรัชญาน้ี จึงเป็นทั้งนักแก้ปัญหา (problem
solver) และนักคิด (thinker) โดยครูมีบทบาทในการจัดหรือเตรียมประสบการณ์ที่มีความหมายแก่ผู้เรียน
เพ่ือให้เกิดการเรียนร้จู ากการลงมอื ปฏบิ ัติ (learn by doing) หลกั สูตรตามแนวคดิ ของปรชั ญาจึงมลี กั ษณะเป็น
หลักสตู รประสบการณ์ที่เกดิ จากปัญหาหรอื ความสนใจของผู้เรียนเป็นสาคัญ หลักการจดั การจัดการศกึ ษาตาม
แนวคดิ ปรัชญาพิพัฒนนยิ ม ไดแ้ ก่

58

1. เน้นการให้ผู้เรียนเรยี นรจู้ ากการลงมอื ปฏิบัตหิ รือเรียนรู้จากประสบการณ์ และเปน็ การเรียนร้อู ย่าง
ต่อเน่ืองตลอดชวี ติ

2. หลอมรวมเนื้อหาให้มีลักษณะเป็นหลักสูตรบูรณาการ หรือหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดย
จดั เป็นหน่วยการเรียนรู้หัวเร่ืองต่างๆ (thematic units) ที่สัมพันธ์กับชีวิตประจาวัน หรือปัญหาอันเปน็ ความ

จาเป็นในสงั คม
3. เน้นให้ผูเ้ รียนใชก้ ระบวนการแก้ปญั หา และการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ
4. ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนทางานกลมุ่ โดยใช้การเรียนรแู้ บบร่วมมอื เพือ่ พฒั นาทกั ษะชีวิตด้านสงั คม

5. สรา้ งคา่ นิยมเกย่ี วกบั ประชาธปิ ไตย และความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม (social responsibility)
6. มุง่ หมายทีจ่ ะเตรยี มผ้เู รียนเพ่อื ดารงชวี ิตในสังคมปัจจุบัน

7. เนื้อหาเนน้ ท่กี ารบูรณาการท้ังเรือ่ ง ความรู้ ชีวติ สังคมและประสบการณท์ ่ีเด็กจะได้รับผนวกกนั ไป
ดว้ ย

8. ใช้วธิ ีสอนใหเ้ หมาะสมกบั สภาพสังคม

9. ความรู้เน้นสง่ิ ทอ่ี ยรู่ อบๆ ตวั ทางกายภาพ และเปน็ รปู ธรรมท่สี ามารถนามาปรับใชใ้ นชีวติ จรงิ ได้

ตารางการจดั การศกึ ษาตามปรัชญาพพิ ัฒนนิยม

องค์ประกอบของการศกึ ษา แนวทางการปฏิบตั ิ
1. จดุ มุ่งหมายของการศึกษา
2. องคป์ ระกอบของการศกึ ษา พัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ท้ังใน
2.1 หลักสูตร ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
การศึกษาควรมุ่งตอบสนองต่อความต้องการและ
2.2 ครู ความสนใจของผเู้ รียนอย่างแท้จรงิ
2.3 นักเรียน
แนวทางการปฏบิ ตั ิ
2.4 สถาบนั การศึกษา
หลักสูตรที่เน้นประสบการณ์ หลักสูตรที่เน้นผ้เู รียน
เป็น สาคัญ ( child-centered curriculum) หรือ
หลักสูตรกิจกรรม (activities-based curriculum)
ซึง่ เกิดจากความสนใจและความต้องการของผู้เรียน
กาหนดประสบการณ์ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้วิธีทาง
วิทยาศาสตร์ (scientific method) ในการค้นคว้า
และสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง

ครูเป็นผู้จัดเตรียม แนะนาให้คาปรึกษา “กระตุ้น
หนุน หนี” เข้าใจและให้ความสาคัญกับความ
แตกตา่ งของผเู้ รยี นเป็นรายบุคคล

ผู้เรียนมีอิสระและเสรีภาพในการตัดสินใจเกี่ยวกับ
การเรียนรู้ของตนเอง มีส่วนร่วมในกิจกรรมการ
เรียนการสอน เช่น มีส่วนในการเลือกเน้ือหาหรือ
วิธีการเรียนตามลักษณะการเรียนรู้ (learning
style)

ต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพสังคม และ
การดาเนินชีวิตจริง โดยเหมาะสมกับวุฒิภาวะของ
ผเู้ รียน

59

3. กระบวนการเรยี นการสอน วิธีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
4. การวัดและประเมินผล ( child – centered approach) เ ช่ น ก า ร ท า
โครงงาน การแก้ปัญหา การเรียนรู้แบบร่วมมอื การ
สร้างสรรค์ช้ินงานหรือผลงาน การเรียนรู้รายบุคคล
การอภิปราย การแสดงบทบาทสมมติ ทัศนศึกษา
ฯลฯ

ต้องดูว่าเน้ือหาเหล่านั้นสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี
ความสามารถในการแกป้ ัญหาได้มากนอ้ ยเพยี งใด

3. ตัวอยา่ งการจัดการศึกษาตามแนวคิดปฏบิ ัตนิ ิยม
1. โรงเรยี นรงุ่ อรณุ

โรงเรียนรุ่งอรุณ ต้ังอยู่เลขท่ี 391 ซอยอนามัยงามเจริญ 25 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ มี
ปรัชญาการจัดการศึกษาท่ีว่า รุ่งอรุณพัฒนาการศึกษา : พัฒนาคน เพื่อพัฒนาประเทศ รุ่งอรุณของการศึกษา
บม่ เพาะเมลด็ พนั ธุ์แห่งความดีงามของเยาวชนใหง้ อกงาม เรียนรแู้ ละพัฒนาตนสูก่ ารเปน็ มนุษยท์ ่สี มบูรณ์ เปี่ยม
ดว้ ยพลงั สร้างสรรค์ รว่ มนาพาสังคมและประเทศไทยไปสูค่ วามเปน็ สงั คมอุดมธรรมสบื ไป บนพ้นื ฐานท่ีว่า

 โพธสิ ทั ธา ความเชือ่ มั่นในศักยภาพมนษุ ยท์ ี่สามารถพฒั นาตนเองไปสู่ปัญญาได้

 ชวี ิตมนษุ ย์คือการศกึ ษา การพฒั นาพฤตกิ รรม จติ ใจ ปัญญาในระบบไตรสิกขา

 ชุมชนกัลยาณมิตร การมีวฒั นธรรมแหง่ การเรียนรเู้ ป็นพืน้ ฐานของสังคมที่มคี วามเจริญ
การศกึ ษาองคร์ วม กระบวนการบูรณาการความร้ภู ายนอก (ศาสตร์ตา่ งๆ) และภายใน (ชวี ติ ) เป็นการเรยี นรู้
ที่สอดคล้องกับธรรมชาติท่ีฝึกได้ของมนุษย์ และมีวิสัยทัศน์ท่ีว่า เรียนรู้ด้วยศรัทธา กล้าสร้างสรรค์ จิตตั้งม่ัน
อยา่ งมีสตปิ ัญญา โดยมี 3 องค์ประกอบหลกั ของการเรยี นร้แู บบองคร์ วม คือ

1. การเรยี นร้อู ยา่ งลกึ ซ้ึง (Deeper Learning)
มีเป้าหมายเพ่ือส่งเสริมขีดความสามารถภายในของมนุษย์ เพ่ือส่งเสริมผู้เรียนท่ีใช้ปัญญาเป็น

ฐานใช้วิธีการในการเจริญสติเพื่อการรู้จักตนเอง การสะท้อนตนเอง การภาวนา จริยศลิ ป์ การทางานจิตอาสา
เพื่อสว่ นรวม

2. การเรียนรู้จากการลงมอื ปฏิบัติจรงิ (Learning by Doing)
มีเป้าหมายเพ่ือให้ผเู้ รียนได้ลงมือปฏิบตั ิในสถานการณ์จริง เพือ่ ส่งเสรมิ ผู้เรียนทีแ่ ท้จริง นั่นคอื การเรยี นรู้

ด้วยตนเองและพึ่งพาตนเอง โดยใช้วิธีการในการเรยี นรู้จากกิจกรรมและกจิ วัตรประจาวนั การเรียนรู้จากการ
แกป้ ญั หา การเรยี นรูจ้ ากการทาโครงงาน การเรยี นรู้ผา่ นการวิจัยท่บี รู ณาการกบั ชีวิตจริง

3. การเรยี นรู้จากการสอ่ื สาร (Communicative Learning)
มเี ป้าหมายเพื่อแบ่งปันความรู้และความเขา้ ใจในการสร้างองค์กรการเรียนร้หู รือชุมชนของการ

ปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางสังคมและการสร้างพันธมิตรการเรียนรู้อย่างย่ังยืน ใช้วิธีการโดยการ
เรียนรจู้ ากกลมุ่ สุนทรียสนทนา การจัดการความรู้ การแลกเปล่ียนเรียนรู้สู่ชุมชน การประชุมกลุ่ม การทาแผนที่
คนดี การนาเสนอดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศ

60

สมรรถนะของโรงเรียนร่งุ อรุณ

การจัดการเรยี นรู้ระดบั มัธยมศกึ ษา

61

มีการใชก้ ารจดั การเรยี นร้ดู ว้ ยการลงมอื ทาในหลากหลายรูปแบบ ไดแ้ ก่
- Research-based Learning
- Enquiry-based Learning
- Project-based Learning
- Problem-based Learning
- Field Study

ตวั อยา่ งการใช้ปัญหาจริงเปน็ โจทย์การเรยี นรู้/โครงงาน (Problem-based Learning)
นักเรียนเกิดการเรียนรู้ท้ังสาระวิชาและพัฒนาทัศนคติ จิตสานึก จนเป็นเจ้าของในเร่ืองท่ีศึกษา เพ่ือที่จะ

ดูแล รบั ผดิ ชอบสงั คม ส่งิ แวดล้อมและโลก ในฐานะพลเมอื งทีม่ ีความรู้ ความเขา้ ใจ และมสี ่วนร่วมในการพฒั นา
นกั เรยี นไดฝ้ ึกทักษะการสังเกต สบื คน้ สัมภาษณ์ บันทึก แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ สื่อสาร และคิดอย่างเป็นระบบ

ประมวลความคดิ สาคญั เพอื่ แกป้ ญั หาโจทย์ของโครงงานไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

โครงงานการศกึ ษาการจัดการเพื่อการพ่งึ พาตนเองทั้งระบบของชุมชนบ้านทงุ่ หยเี พ็ง อ.เกาะลนั ตา จ.กระบี่
(ดาวน์โหลดหนงั สอื “ท่งุ หยีเพ็ง บา้ นอุน่ ปา่ เย็น”)

โครงงานของนักเรียนช้ัน ม.๖ สานักส่อื สร้างสรรค์และภาษาเพ่ือสงั คม จากการออกภาคสนามศึกษาปรากฏ
การณ์จริงในพ้ืนท่ีชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง ที่นักเรียนต้องทาความรู้จักชุมชนด้วยตนเอง ออกแบบ หาวิธีเก็บ
ประเด็น ให้ความหมายและวิเคราะห์คุณค่า แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือ “ทุ่งหยีเพ็ง : บ้านอุ่น ป่าเย็น”
หนังสือที่รวบรวมองค์ความรู้ของชุมชน แนวคิด และการดาเนินการในโครงการต่างๆ ของชุมชน ตามความ
ประสงค์ของชุมชนที่ต้องส่ือสร้างแรงบันดาลใจให้คนในชุมชนหันกลับมาศึกษาคุณค่าในตนเอง ทั้งยังเป็นสื่อ
บันทึกเร่ืองราวและความเป็นมาของชุมชน ตลอดจนวิธีคิดของผู้คนในช่วงเวลาหนึ่งท่ีคนในรุ่นถัดไปสามารถ
ศึกษาได้

การออกไปเรียนรู้ปรากฏการณ์จรงิ ในพนื้ ท่ีจริง (Phenomenon inquiry-based Learning) เช่นนี้ ชว่ ยให้
นักเรียนเข้าใจและเท่าทันความเปล่ียนแปลงของสังคม ทงั้ ยังช่วยกระตุ้นสานึกพลเมอื งให้เกิดขึน้ เม่ือนักเรียน
เลง็ เห็นว่าตนเป็นส่วนหนึง่ ของสังคมโลก เขา้ ใจปรากฏการณ์และความเปลย่ี นแปลงต่างๆ แล้วใชศ้ กั ยภาพของ
ตนทาประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม ดังเช่นหนังสือ “ทุ่งหยีเพ็ง : บ้านอุ่น ป่าเย็น” เล่มนี้ ท่ีนักเรียนสามารถ
หยบิ สารท่มี คี ุณค่ามาสอ่ื อยา่ งสรา้ งสรรคเ์ พ่ือสรา้ งการเปล่ยี นแปลงต่อชมุ ชนเลก็ ๆ แห่งนี้

62

ซึ่งผลงานของนกั เรียนระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สานักสื่อสร้างสรรค์และภาษาเพื่อสังคม ปีการศึกษา 2561
(RA 17) ที่หนังสือ “ทุ่งหยีเพ็ง : บ้านอุ่น ป่าเย็น” หนังสือรวบรวมองค์ความรู้จากโครงงาน “การศึกษาการ
จดั การเพื่อการพึ่งพาตนเองท้งั ระบบของชุมชนบ้านทุ่งหยีเพง็ อ.เกาะลันตา จ.กระบ”่ี ไดร้ บั เลือกใหเ้ ปน็ หนังสือ
1 ใน 4 เลม่ ท่ีได้รบั รางวลั ลกู โลกสีเขียว ครง้ั ที่ ๒๐ ประจาปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ประเภทงานเขยี น
ซึง่ หนงั สือได้ถกู แจกจา่ ยไปเพอ่ื กจิ การอันเปน็ ประโยชน์

ผลงานดงั กล่าวดาเนินการภายใต้โครงการสร้างตน้ แบบสือ่ และองค์ความรู้เพื่อพฒั นาสอื่ ปลอดภัยและ
สร้างสรรค์ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาและจัดพิมพ์จากกองทุนพัฒนาส่ือปลอดภัยและ
สรา้ งสรรค์
บทสรปุ

โรงเรยี นรุ่งอรุณ มงุ่ พัฒนาผเู้ รียนให้เกดิ 6 สมรรถนะ คือ 1) การเขา้ ถึงระบบคุณคา่ ชีวิต 2) การคิด
ด้วยระบบคุณค่า 3) การสื่อความหมายและการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4) การเป็นผู้ประกอบการแบบร่วมมือกับ
ผ้อู ่ืน 5) สานึกความเป็นพลเมือง 6) การรู้เท่าทันส่ือเทคโนโลยสี ารสนเทศ ซึ่งทางโรงเรียนได้การจัดการเรียนรู้
หลากหลายรปู แบบท่ีจะก่อให้เกดิ สมรรถนะเหล่านีใ้ นตัวผู้เรียน โดยมุ่งเนน้ การเรียนรู้ผ่านการลงมือทาเพ่ือให้
ผเู้ รียนเกิดการเรียนรสู้ ูงสุดและก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ ส่วนรวม

2. โรงเรียนสุจปิ ุลิ
โรงเรียนสุจปิ ุลิ เปน็ โรงเรียนแนวคดิ ใหม่ ตั้งอยู่ในอาเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา มุ่งพัฒนาเด็กให้เปน็ ผู้มี
สมรรถนะทจ่ี าเป็นทีจ่ ะดารงชีวิตในโลกอนาคตไดอ้ ย่างมีความสุข โดยการพัฒนาเดก็ อย่างเปน็ องค์รวม (Whole
Child Development) โรงเรียนจงึ ได้จัดการเรียนการสอนตามหลกั สูตรฐานสมรรถนะ สร้างกรอบความคิดให้
ผูเ้ รียนรู้วา่ การเรียนรู้เป็นสว่ นใหญข่ องชีวติ และเราเรียนรู้เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ไมใ่ ช่การเรียนรู้เพื่อ
สอบเท่านั้น การจัดการเรียนการสอนจึงเป็นการเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือทาจริงในรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุก
(Active Learning) ฝึกฝนให้ใช้กระบวนการในการคดิ แก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบ รวมถึงการสะท้อนคดิ และการ
อภิปรายในชั้นเรียนตามสถานการณ์ที่หลากหลาย โรงเรียนนาแนวคิดการพัฒนานวัตกรรม การคิดอย่างมี
วิจารณญาณ และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์จากระบบการศึกษาของฟนิ แลนด์ นั้นคือ การคิดเชิงออกแบบ
(Design Thinking) มาสอนให้นักเรียนระดับประถมศึกษาได้เรียนรู้และพัฒนาตามกระบวนการ โรงเรียนให้
ความสาคัญในการสร้างพลเมืองไทยท่ีใส่ใจสังคมและการจัดการตนเองผ่านกระบวนการสร้างอุปนิสัย ตาม
หลักสูตร 7 Habits & The Leader in Me เพื่อเป็นการสร้างคุณลักษณะของผู้เรียน และเพ่ิมโอกาสในการ

63

ประสบความสาเร็จ ได้คน้ หาศักยภาพในตนเอง ได้เรียนร้ใู นส่ิงที่รัก และพฒั นาจนเป็นความถนดั พร้อมหนทาง
ทจ่ี ะนาไปประกอบอาชีพไดใ้ นอนาคต

แนวคดิ 7 habits ประกอบดว้ ย
1. Be Proactive เริม่ ตน้ ลงมอื ทา
2. Begin With the end in Mind มีเป้าหมายชดั เจน
3. Put First thing First ทาสิ่งท่ีสาคัญทีส่ ุดกอ่ น
4. Think Win Win คดิ แบบ ชนะ-ชนะ คิดถึงคนอน่ื กอ่ น
5. Seek First to Understand Then to Be Understood พยายามเข้าใจคนอื่นก่อน
6. Synergize ทางานเป็นทีม
7. Sharpen The Saw พัฒนาตนเองใหพ้ รอ้ มอยเู่ สมอในทุกดา้ น

แนวทางการจัดการเรยี นร้ฐู านสมรรถนะเชิงรกุ
แนวทางที่ 1 ใช้งานเดิม เสรมิ สมรรถนะ
แนวทางที่ 2 ใชง้ านเดมิ ตอ่ เตมิ สมรรถนะ
แนวทางท่ี 3 ใช้รูปแบบการเรียนรู้ สูก่ ารพัฒนาสมรรถนะ
แนวทางที่ 4 สมรรถนะเปน็ ฐาน ผสานตวั บง่ ชี้
แนวทางท่ี 5 บรู ณาการผสานหลายสมรรถนะ
แนวทางที่ 6 สมรรถนะชีวิต ในกจิ วัตรประจาวัน
แนวทางท่ี 7 การเรียนรู้สมรรถนะแบบผสมผสาน
แนวทางท่ี 8 การเรียนการสอนฐานสมรรถนะ เพอื่ ร่วมกันพฒั นาสมรรถนะนักเรียน ทั้งโรงเรยี น โดยใช้

ประเด็นการเรียนรู้รว่ มกนั (Whole – School Learning)
ซึ่งทางโรงเรียนสจุ ิปุลิ ได้ใชแ้ นวทางที่ 5 บูรณาการผสานหลายสมรรถนะ ในการจัดการเรียนการสอน โดย

การเรียนการสอนเป็นไปในรปู แบบโปรเจค็ (Project Approach)

โปรเจคหมกู ระทะ
การใช้หมูกระทะเป็นโจทย์ในการเรียน โดยทางโรงเรียนจดั ให้มกี ารทานหมูกระทะเป็นอาหารกลางวัน โดย

เด็กแต่ละช้ันจะรับผิดชอบหน้าที่แตกต่างกันออกไป โดยรุ่นพ่ีจะต้องดูแลรุ่นน้อง โดยช้ัน ป.4 - ป.6 ท่ี
รับผิดชอบการทาความสะอาดกระทะ จะได้โจทย์ในช้ันเรียนว่าใช้อะไรล้างกระทะได้บ้าง ในห้องเรียนจะมี

64
อุปกรณ์ต่างๆ ให้เลือก โดยครูเปิดโอกาสให้เด็กคิดอย่างเต็มที่ ทาให้เกิดความคิดที่หลากหลาย ทั้งวิธีการ
แกป้ ัญหา และวธิ ีการปอ้ งกันปญั หา มีการใช้วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 1) สงั เกตและระบุปัญหา 2) ตัง้ สมมตฐิ าน
3) ทาการทดลองหรอื ทดสอบสมมติฐาน 4) เก็บรวบรวมขอ้ มูลและวิเคราะหข์ อ้ มูล 5) สรปุ ผล

บทสรุป
โรงเรยี นสุจปิ ุลุ เป็นโรงเรยี นท่ีนาหลักสูตรฐานสมรรถนะมาใช้ มุ่งเน้นการสรา้ งสมรรถนะให้กับผู้เรียน ผ่าน
การลงมือปฏิบัติ โดยบูรณาการวิชาการเข้ากับชีวิตประจาวัน โดยนาแนวคิด 7 habits มาใช้ในการเรียนการ
สอน และกิจวัตรในโรงเรียน และนา การคิดเชิงออกแบบ มาจากระบบการศึกษาของประเทศฟินแลนด์มาใช้
พัฒนาผู้เรยี น

65

เอกสารอา้ งอิง

กรี ติ บญุ เจือ. (2518). G.T.W. Patrick, Introduction to philosophy. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ไทยวัฒนา
พานิช จากัด.

ชัยวัฒน์ อัตพฒน์. (2518). ปรัชญาตะวนั ตกสมัยปัจจบุ ัน2. โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
ทศิ นา แขมมณี. (2545). ศาสตรก์ ารสอน. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นายเฉลมิ ลาภ ทองอาจ. (2555). ปรัชญาการศกึ ษาพิพฒั นาการนยิ ม. สบื คน้ จาก

https://www.gotoknow.org/posts/419487
บรรจง จันทรสา. (2527). ปรชั ญากบั การศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
บ้านจอมยุทธ. (2543). ปรชั ญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม. สบื ค้นจาก

https://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/05.html
บ้านจอมยุทธ. (2543). ปรัชญาประสบการณ์นิยมกบั การศกึ ษา. สบื ค้นจาก

https://www.baanjomyut.com/library_3/extension-1/western_philosophy_imp/06.html
บุณย์ นิลเกษ. (2522). ปรชั ญาตะวันตกยคุ รว่ มสมัย. มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่.
ประทมุ อังกูรโรหติ . (2551). ปรัชญาปฏบิ ตั นิ ิยม : รากฐานปรชั ญาการศึกษา. สานกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์

มหาวทิ ยาลยั .
ปรัชญาลทั ธิปฏิบตั นิ ิยม. (2555). สบื ค้นจาก http://dc.oas.psu.ac.th/dcms/files/00254/Chapter3

(13-35).pdf
เมธี ปลิ ันธนานนท์. (2523). ปรชั ญาการศกึ ษาสาหรับครู. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
โรงเรยี นรงุ่ อรณุ . รจู้ กั รุ่งอรุณ. สืบค้นจาก www.roong-aroon.ac.th
โรงเรียนสุจิปุล.ิ โรงเรียนสุจปิ ลุ ิ – โรงเรยี นแนวคดิ ใหมใ่ นฉะเชงิ เทรา. สบื คน้ จาก

https://www.facebook.com/sujipulischool
เลศิ ชาย ปานมุข. (2558). ปรชั ญาการศกึ ษาพิพฒั นาการนยิ ม. สบื คน้ จาก

http://www.lertchaimaster.com/forum/index.php?topic=66.0
วชิ ยั ตันศริ .ิ (2549). อดุ มการณท์ างการศึกษา ทฤษฎี และภาคปฏบิ ัติ. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แห่ง

จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สมพศิ ศรีประไพ. (2522). วิเคราะหป์ รชั ญา “ประจักษนยิ มแบบจดั ” ของวงิ เลียม เจมส์ (วิทยานิพนธ์

มหาบัณฑิต ภาควิชาปรชั ญา บณั ฑติ วิทยาลัย). จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. (2564). การเรียนรฐู้ านสมรรถนะเชิงรกุ : ถอดบทเรียนการปฏิบตั ิของ

โรงเรยี นสจุ ิปุลิ จังหวดั ฉะเชิงเทรา. กรงุ เทพฯ.
Ryan, A. & Dewey, J. (1995). and the High Tide of American Liberalism.

66

ศกึ ษาและวิเคราะหป์ รัชญาลทั ธอิ ัตตภาวะนิยม (Existentialism)
เช่ือมโยงกับปรชั ญาการศกึ ษา

1. ปรัชญาลทั ธอิ ัตตภาวะนยิ ม (Existentialism)

1.1 ความเป็นมา
ปรัชญาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) ก่อตัวข้ึนที่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงสงครามโลก
ครงั้ ที่ 2 โดยมีกลุ่มคนที่มิใช่นกั วชิ าการอาชีพ หรือนักปรัชญาตามมหาวิทยาลัย มาแลกเปล่ียนความคดิ เห็นกัน
ตามร้านกาแฟในท้องถ่ิน ปรัชญาอตั ถิภาวะนิยมจึงเป็นสง่ิ ท่ีมนุษย์แสดงความรูส้ ึกนกึ คิดออกมาในรูปแบบต่าง
ๆไม่ว่าจะเปน็ นวนิยาย (novel) บทละคร บทกวีนพิ นธ์ ศิลปะและเทววิทยาเป็นแนวคิดปรัชญาร่วมสมยั แล้ว
ค่อย ๆ ได้รับความสนใจจากคนท่ัวๆ ไป ตัวอย่างเช่น ผลงานของนักเขียน นวนิยายอย่าง ช็อง ปอล ซาร์ตร
(Jean Paul Satre: 1905-1980) อัลแบร์ต์ กามูส์ (Albert Camus: 1913-1960)ได้แสดงข้อคิดข้อเขียนท่ี
สะทอ้ นอารมณ์ความรู้สึกตอ่ ประชาชน และกระตนุ้ ความต่นื ตัวของประชาชนท่วั ไปมากทีส่ ดุ

1.2 ความหมายของลทั ธอิ ัตถภิ าวะนิยม
คาวา่ “อัตถภิ าวะ” สารานกุ รมปรชั ญา มาจากศัพท์มคธ: อัตถิ = เป็นอยู่ + ภาวะ = สภาพ (กรี ติ บุญ
เจือ 2521 : 280) ตรงกับศพั ท์ภาษาอังกฤษวา่ Existence ซ่ึงแปรรูปมาจากศัพท์ภาษาลาติน วา่ Existentia (
Ex = จาก+ Stare = ยืน ) แปลว่า ความมีอยู่
“ไม่มีความจริงนิรันดรให้ยึดเหน่ียวเป็นสรณะตายตัว ความจริงที่แท้คือ สภาพของมนุษย์ (human
condition) ในแตล่ ะขณะ” คีรเ์ คอกอรด์ (Sören Kierkegaard, 1813-1855)

1.3 ความสาคญั
ปรัชญาสาย อตั ถภิ าวะนิยม(existentialism) ถือว่าการค้นหาสารัตถะ (essence) ทาให้ผู้คิดออกห่าง
จากความเป็นจริง ความเป็นจริงที่แท้ก็คือ อตั ถิภาวะของแตล่ ะบุคคลซ่ึงมีสิง่ แวดล้อมและสภาพท่ีตนเองสะสม
ไว้ โดยการตัดสนิ ใจเลือกต้ังแตต่ ้นมาจนปัจจบุ ัน ปรัชญาทม่ี ีประโยชน์ก็คอื ปรชั ญาท่ีศกึ ษาอัตถิภาวะของตนเอง
ปรชั ญาสายน้ี ดึงความสนใจคน้ ควา้ ใฝ่หาความเป็นจริงท่ีอยภู่ ายนอกตัวมนุษย์ที่หาเทา่ ไรกไ็ ม่มที างพบ และไม่มี
ทางรวู้ า่ จริงได้ เข้ามาสู่ความเป็นจรงิ ทีม่ ีอยแู่ น่ ๆ ภายในตวั ตนมนุษยแ์ ตล่ ะคนท่ตี ้องรูแ้ ละปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง
ปรัชญาอัตถิภาวะนิยม เป็นขบวนการปรับปรุงท่าทีของความคิดที่มีปฏิกิริยาต่อปรัชญาที่แตกต่างไป
จากเดิม เปน็ การกา้ วทะลกุ รอบแนวคิดทอี่ ย่บู นฐานของอภิปรัชญาและญาณปรัชญาแบบเดิม ๆ เขา้ สู่แบบใหม่
เป็นท่าทีท่ีให้ความสาคัญแก่ปัจเจกภาพมากกว่าสากลภาพ เสรีภาพมากกว่าระเบียบกฎเกณฑ์ เน้นการ
สรา้ งสรรค์มากกว่ากฎเกณฑ์ตายตวั ความรู้สกึ มากกวา่ เหตผุ ล ใหค้ วามสาคัญแก่ความรู้เชิงอัตนัย (subjective
knowledge) มากกว่าความรู้เชิงปรนัย (objective knowledge) ทาให้ท่าทีของมนุษย์ที่มีต่อโลกและชีวิต
กวา้ งขึ้นกว่าเดิมมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งทา่ ทีตอ่ ความเป็นจริงแห่งการมีอยู่ของตน ทม่ี ีชีวิตอยูใ่ นสง่ิ แวดล้อมจริง
ๆ และการขบคิดแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจริงในสถานการณ์ต่าง ๆ ของชีวิตจริงของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน โดย
เลง็ เห็นวา่ แกน่ แท้และสารตั ถะของมนุษย์ คือ เสรีภาพ ที่จะตอ้ งตัดสนิ ใจเลือกวิถีทางของตนเองในแต่ละกรณีท่ี
จะตอ้ งเผชญิ หน้า ดว้ ยสานึกรบั ผิดชอบอยา่ งเป็นตวั ของตัวเอง
คณุ ค่าของท่าทีอัตถิภาวะนิยมนั้นก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ แก้ไข ปรับปรุงและปฏิรูปสู่แนวคิดใหม่ ๆ
ขึ้นในสังคมมนษุ ย์ ทาให้มนษุ ย์สามารถหลุดพน้ จากกรอบของระบบเครอื ข่ายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ตายตวั ท่ี
เปน็ มาตรการสากล/คา่ นิยมทีค่ รอบงาสังคมอยู่ ทาใหม้ นุษย์รู้จักท่จี ะตั้งคาถามถึงค่านิยมต่าง ๆ ทยี่ อมรับกนั อยู่
ในสังคมร่วมสมัยของตนน้ันว่าสมบูรณ์ที่สุดแล้วหรือไม่ ยังสามารถปรับปรุงและแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในแง่ใดบ้าง

67

หรือไม่ พระศาสดาทั้งหลาย เช่นพระพุทธเจ้า และพระเยซูคริสต์ล้วนมีท่าทีแบบอัตถิภาวนิยมท้ังสิ้นโดย
พระพุทธเจ้าทรงกระทาปฏิกิริยาต่อบทบัญญัติตายตัวของระบบวรรณะและการบูชายัญในศาสนาพราหมณ์
ในขณะทพ่ี ระเยซูคริสต์ก็ทรงกระทาปฏกิ ิริยาต่อบทบญั ญัตติ ายตัวของศาสนายูดาหเ์ ช่นกนั แต่ข้อเสียของท่าทีนี้
ก็เหมอื นกบั ปรัชญาลัทธอิ ื่น ๆ คอื การยึดมัน่ ถือม่ันจนมคี วามหวงั ว่า มนุษยเ์ มื่อถอื ลทั ธอิ ตั ถิภาวนยิ มแล้วจะรจู้ ัก
รบั ผดิ ชอบกันอย่างสมบรู ณโ์ ดยอัตโนมัติ ซ่ึงไม่น่าจะหวังไดจ้ ริงตราบเทา่ ทม่ี นุษย์ยังมกี ิเลสและความเห็นแก่ตัว
(บ้านจอมยทุ ธ์, 2543)

1.4 หลกั การและแนวความคิดของอตั ถภิ าวะนยิ ม
อตั ถภิ าวนิยมไมใ่ ช่ระบบปรชั ญาหรอื ระบบความคดิ แตท่ วา่ ระบถุ งึ ท่าทีของความคิดทมี่ ปี ฏิกริ ยิ าทม่ี ตี ่อ
ปรัชญาท่ีเป็นระบบ แต่นักปรัชญาอัตถิภาวนิยมหลายทา่ นก็สร้างระบบความคิดข้นึ มาใหม่ แต่หลายท่านก็ไม่
ยอมรับวา่ ตนถอื ลทั ธิอตั ถภิ าวนยิ ม เพราะคานี้มีความหมายเลอื นไปถงึ การชอบทาอะไรแปลก ๆ แหวกแนว เช่น
แฟช่ันแหวกแนว ทรงผมแหวกแนว เป็นต้น แต่ในปัจจุบันน้ีหมายถึงความคดิ ท่ีได้จากการเผชญิ หน้ากับความมี
อยู่ของตนเอง คือ ยอมรับสภาพของตนเองในสิ่งแวดลอ้ มท่ีเปน็ จริง ยอมรับปญั หาอันเกิดจากการมีอยู่ของตน
ในสิ่งแวดลอ้ มทีก่ าหนดให้ในความเป็นจริง ยอมรับวา่ การแก้ปญั หาต้องมีพ้ืนฐานอยู่บนความเป็นจริงแหง่ การมี
อยขู่ องตนเอง ในส่งิ แวดล้อมจรงิ ทีก่ าหนดให้ตง้ั แตเ่ กิดจนปัจจบุ นั
ดังนั้นนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมจึงเป็นการเสนอแนวคิดเพื่อปลุกใจและกระตุ้น ให้ผู้อ่าน ผู้สนใจ คิด
สร้างปรัชญาของตนขึ้นเอง มีวิธีการมองปัญหาของตนเองอย่างลึกซ้ึงถ่องแท้ และมีวิธีการหาคาตอบให้กับ
ตนเอง เพื่อทจี่ ะรจู้ ักตนเองมากข้ึนด้วย
นักอัตถิภาวะนิยมฝ่ายท่ียังมีศรัทธาต่อศาสนาเห็นว่า แนวทางการแก้ปัญหาของลัทธิอัตถิภาวนิยมน้ี
เหมาะสมที่สดุ แล้วสาหรับมนุษย์ในสมัยปัจจบุ ัน หากแต่เห็นว่าการแก้ไขโดยไม่มีศาสนานน้ั จะได้ผลไม่เต็มเม็ด
เต็มหน่วย เพราะขาดสิ่งบันดาลใจที่สาคัญที่สุดสาหรับจิตใจมนุษย์ สาหรับฝ่ายท่ีไม่พึ่งศาสนามีสุทรรศนะต่อ
มนุษย์เกินไป คือ ลืมคิดถึงแง่มนุษย์ทุกคนมีกิเลส การท่ีเชื่อว่ามนุษย์เราเมื่อถืออัตถิภาวนิยมแล้วจะรู้จัก
รับผิดชอบกันอย่าง สมบรู ณ์โดยอัตโนมัตินนั้ เปน็ ความหวังท่ีไม่น่าจะหวังได้จริง จึงต้องอาศัยศาสนาช่วยจงู ใจ
และช่วยขดั เกลากิเลสไปในตวั จึงจะสาเร็จสมประสงค์ (ครบู ้านนอก.คอม, 2564)

สรุปแนวคิดของลัทธอิ ตั ถิภาวนิยม
ไม่ มรี ะบบปรชั ญาทีต่ ายตวั แนน่ อน แตแ่ นวคิดอตั ถิภาวนิยมอยู่ทก่ี ารคดิ อยา่ งปรัชญา คือการตระหนัก

ในปัญหาด้วยตนเอง และตัดสินใจยึดถือคาตอบด้วยการตัดสินใจของตนเอง นักปรัชญาที่แท้จะต้องขบคิด
วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ตระหนกั และเชอ่ื ม่นั ในความคิด เหตุผลของตน

1.5 องคป์ ระกอบ
อภปิ รชั ญา
ความจริงเป็นอย่างไร ขน้ึ อยกู่ ับแต่ละบคุ คลจะพิจารณา และกาหนดวา่ อะไร คือความจริง
ญาณวิทยา
การแสวงหาความรขู้ ้นึ อยกู่ บั แต่ละบุคคลทจี่ ะเลือกสรรเพอ่ื ให้สามารถดารงชวี ิตอยูไ่ ด้
คุณวทิ ยา
ทกุ คนมีเสรีภาพท่ีจะเลือกค่านิยมท่ตี นเองพอใจด้วยความสมัครใจสว่ นความงามน้ันบุคคลจะ
เปน็ ผเู้ ลอื กและกาหนดเอง โดยไมจ่ าเปน็ จะตอ้ งใหผ้ ้อู ่นื เข้าใจ (ครูบา้ นนอก.คอม, 2564)

68

ปรัชญานีใ้ ห้ความสนใจในตัวบคุ คล หรอื ความเป็นอยู่ ปรัชญาน้ีเชื่อวา่ ความจริงเป็นเรื่องนามธรรมท่ี
ไม่มีคาตอบสาเร็จรูปให้ ความเป็นจริงคือความมีอยู่ เช่ือว่ามนุษย์มีศักยภาพในทางที่จะเป็นตัวเองตลอดเวลา
นักปรัชญาสนใจเก่ียวกับ โลกแห่งการดารงชีวิตอยู่ได้ เช่ือว่า คนคือความไม่แน่นอน ไม่มีแก่นสาร ความจริง
หรือความรู้จะเป็นเร่ืองที่ช่วยให้คนดารงชีวิตได้ มนุษย์มีความเป็นอิสระ มีเสรภี าพในการเลอื ก ในการกระทา
มนุษย์ตัดสินใจด้วยตนเอง และรับผิดชอบต่อการกระทาของตนเอง เช่อื ว่า ความจริงคือการดารงชีวิต ไม่เห็น
ด้วยกับความสมบูรณ์แท้งจริงท่ีสุดของการให้เหตุผลหรือตรรกวิทยาบริสุทธ์ิ ลัทธิน้ีเน้นชีวิตและประสบการณ์
ความแตกต่างระหว่างบุคคล เชื่อว่ามนุษย์จะดีก็อยู่ที่การเลือกท่ีจะทาตนให้เป็นเช่นน้ัน เชื่อว่าความจริงคือ
ความรู้จะช่วยให้ดารงชีวิตอยู่ได้ และถือว่าปรากฎการณ์ที่เกิดข้ึนแก่แต่ละบุคคล ความรู้ไม่ใช่ผลบั้นปลายอัน
ต้องประสงค์

ลทั ธิอัตถิภาวะนิยมจึงเป็นลัทธิท่ีเน้นเร่ืองความมีอยู่ สารานุกรมปรชั ญา ให้คาอธิบายว่า “ลัทธิถือว่า
การค้นคว้าหาสารัตถะ ทาให้ผคู้ ิดออกหา่ งจากความเปน็ จริง ความเป็นจริงทแี่ ท้กค็ อื อัตถิภาวะ ของแตล่ ะบคุ ล
ซ่ึงมีส่ิงแวดล้อมและสภาพท่ีตนเองได้สะสมไว้โดยการตัดสินใจเลือกต้ังแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน ปรัชญาท่ีมี
ประโยชน์จรงิ ๆ ก็คอื ปรชั ญาที่ศึกษาอัตถิภาวะของตนเอง นกั ปรัชญาทสี่ าคัญของลทั ธิน้ีมีหลายคนด้วยกนั เช่น
ครี ์เคกอร์ด, ยัสเปริ ส์ , ไฮเดก๊ เกอร์, ซารต์ ร์, มาร์เซ็ล, บเู บอร์ เป็นต้น”

2.นักปรัชญาปรชั ญาลทั ธิอัตตภาวะนิยม (Existentialism)

ภาพท่ี 1 เซอร์เรน็ อาบี คีร์เคกอรด์
จาก 10 หนุม่ พรหมจารี แหง่ ประวัติศาสตร์. [ออนไลน]์ , เข้าถึงไดจ้ าก :
https://www.unigang.com/Article/19983. (วันที่สบื ค้นขอ้ มลู 10 กรกฎาคม 2565).
ประวัติ
คีรเ์ คกอ์ดเปน็ นักปรชั ญาชาวเดนมารก์ ท่านเกิดในครอบครัวทมี่ บี รรยากาศหงุดหงดิ เครง่ ศาสนาครสิ ต์
นิกายลูเทอร์ เป็นคนสุดทอ้ ง มีพส่ี าว 3 คน และมีพชี่ าย 3 คน กาพร้าแม่ตงั้ แต่เยาว์ ท่านเขา้ มหาวิทยาลัยตอน
อายุ 17 ปี คีร์เคกอร์ดเองก็เป็นคนขโี้ รค หลังคอ่ มและอารมณ์อ่อนไหว ได้พบหญิงสาววัยรุ่นคนหนงึ่ ช่ือ เรยีน
อ็อลเซ็น (Regine Olsen) และหลงรักอย่างจับใจ อายุ 27 ก็ได้รับปริญญาทางศาสนศาสตร์ แต่งงานกับเรยีน
แล้วเข้ารับการอบรมเป็นศาสตราจารย์ ปีตอ่ มาหยา่ กบั เรยีน โดยอ้างว่าไมไ่ ดร้ ักจริง ทแ่ี ต่งงานกเ็ พราะต้องการ
ชนะเกมรักเท่าน้ัน และถูกเพื่อนฝูงตาหนิจนต้องหลบหน้าไปอยู่เบอร์ลินชั่วคราว และถือโอกาสเข้าฟังเช็ลลิ่
งบรรยายปรัชญาของเฮเก็ล เม่ือเขากลับบ้านเขาได้เขียนหนังสือกว่า 20 เรื่อง เพื่อเสนอความคิดของตน
เก่ยี วกบั ปรัชญาและชวี ติ และถงึ แกก่ รรมเมอ่ื อายุได้เพยี ง 42 ปี

69

ความสาคัญของอตั ถภิ าวะตามแนวคดิ ของคีร์เคกอรด์
1. อตั ถภิ าวะเปน็ พื้นฐานของความรู้
คีร์เคกอร์ด บอกว่ากอ่ นทจี่ ะรอู้ ะไรจากภายนอก “ เราต้องเรียนรู้ตัวเองก่อนที่จะรู้สง่ิ อ่ืนใดทงั้ หมด ”
อันท่ีจริงควรเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้น การที่จะรู้อะไรจากภายนอกของชีวิตของตนเองแต่หากไม่รู้ชีวิตตนเอง
เสียก่อนแล้ว อย่างอื่นย่อมไม่มีความหมายสาหรับเราและสาหรับคนอ่ืนด้วย หากแต่รู้ว่าการเรียนรู้ตัวเองรู้ว่า
ตนเองเป็นใครอยา่ งไรดีแล้ว น่ันเป็นอตั ถิภาวะที่แทจ้ ริงของตนเอง ย่อมจะเข้าใจถึงอัตถิภาวะของส่ิงภายนอก
ตวั เราดว้ ย อตั ถภิ าวะทแี่ ทจ้ รงิ น้นั ยอ่ มเกิดข้นึ กับตวั บคุ คลแตล่ ะคนเอง แต่วา่ ก็ตอ้ งมคี วามสัมพนั ธ์อันดีต่อกนั

2. อตั ถิภาวะเป็นพื้นฐานของเทววิทยา
ท่านเริ่มจากจดุ ท่เี ป็นจริงในชีวิต น่ันคือเป็นอัตถิภาวะของพระครสิ ต์ในสิง่ แวดล้อมตามประวัติศาสตร์
คอ่ ย ๆ ตรึกตรองหาความหมายของอัตถิภาวะของพระองค์โดยตง้ั สมมติฐานตรึกตรองขยายเขตออกไป การที่
เรามองดูอตั ถิภาวะของพระคริสตแ์ ลว้ น้นั เราต้องหวนกลับมองดตู วั เราวา่ เราไดป้ ฏบิ ตั ิตามคาสอนของพระคริสต์
แล้วหรือยัง ถ้ายังก็ควรปรับปรุงตัวให้สอดคล้องกับพระคริสต์ ถ้าเราทาอย่างนี้เร่ือยไปจะได้ความคิดท่ีลึกซึ้ง
และกว้างขวางมากขึ้น จะมีความหมายต่อเราอย่างแท้จริง และความเป็นจริงในความเป็นอยู่ของเราย่อม
สมบูรณ์ขึ้นตามสภาพชีวิตของเราแต่ละคนตามฐานะของตน แต่อัตถิภาวะที่แท้จริงย่อมมีความยุ่งยาก
เหมือนกันเก่ียวกับคาสอนของคริสตศาสนาในด้านคาสอนและการปฏิบัติจริงย่อมไม่ค่อยสอดคล้องกัน ปฏิบัติ
ได้ยาก นี่ยังเป็นปัญหาของทางปรัชญาอยู่ แต่ก็มีบ้างท่ีบางคนได้ปฏิบัติ และพยายามที่จะดาเนินชีวิตไปใน
แนวทางท่ีถูกต้องตามหลักศาสนา “เพราะฉะน้ันโดยกิจกรรมของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมชาติ
ของพระองคใ์ ห้มนุษยเ์ ข้าใจ ความสมั พันธข์ องพระคริสตก์ ับพระเจ้า มนุษยแ์ ละธรรมชาติ และสถานการณ์ของ
มนษุ ย์ เป็นไปตามเงอื่ นไขของกิจกรรมของพระองค์ ส่งิ อื่นทั้งหมดจึงถือไดว้ ่าเป็นเพยี งอารมั ภบท”

3. อัตถภิ าวะเป็นพื้นฐานของจริยธรรม
ครี เ์ คกอร์ด ให้สตู รสั้น ๆ แตก่ นิ ความหมายมากไว้ว่า “คริสตศาสนาเปน็ กระแสชีวิต” นนั่ คอื จริยธรรม
ของคริสตชนไม่ใช่การปฏิบตั ติ ามแผนท่ีวางไว้ตายตัวเรียบร้อยแล้วเท่านน้ั แต่เป็นเร่ืองทคี่ ริสตชนทุกคนจะตอ้ ง
พนิ ิจพิเคราะห์จากอัตถิภาวะของพระครสิ ต์ ซึ่งตนมีความศรัทธาและยอมรับเป็นตัวอยา่ งแห่งการดารงชีพอยู่
นามาผสมผสานกับอัตถิภาวะของตนตามสภาพแวดล้อมท่ีเป็นจริง มใิ ช่ถือตามกฎตัวอกั ษร แตต่ ้องปฏิบตั ิด้วย
ความรกั เพราะว่าสถานการณส์ มัยพระเยซูเจ้ากับสมยั ปัจจุบนั มนั ต่างกันมาก อกี อยา่ งคือ สภาวะของพระองค์
กบั สภาวะมนุษย์มนั แตกต่างกนั ในสถานการณ์ปัจจบุ นั ของเรา เราพงึ ปฏิบตั ติ นอยา่ งไรในสถานการณน์ ้นั จงึ จะ
เหมาะสม
คีร์เคกอร์ดชี้แจงว่า พระองค์ปฏิบัติเหมาะสมกับสถานการณ์ของพระองค์ ถ้าเราอยากจะเลียนแบบ
พระองค์ต้องไมย่ ึดเอาการปฏิบตั ิเหมือนพระองค์อย่างตรง แตต่ ้องเลือกการปฏิบัติท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์
พระองค์ทรงอย่ใู นสถานการณ์อย่างหน่ึงที่กาหนดตายตัวสาหรับพระองค์ พระองค์ไม่สามารถจะทรงอยใู่ นทุก
สถานการณ์เพ่ือเป็นแบบอยา่ งแกเ่ ราได้

4. อตั ถิภาวะเป็นจุดหมายของการสร้างโลก
สาหรับความมีอย่บู นโลกนี้เปน็ สง่ิ สร้างทั้งสิ้น และส่ิงสร้างเหล่านี้ แตล่ ะอยา่ ง แต่ละชนิดเป็นสงิ่ ท่ีไมซ่ ้า
แบบใคร และเป็นปัจเจกภาพอย่างแท้จริง และยังเป็นมหัพภาคอย่างแท้จริงด้วย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลก
เหมอื นกันเกิดขนึ้ และวนั หน่ึงก็มจี ุดจบ จุดจบของสงิ่ มชี ีวติ คอื ตาย

70

สรุปแนวความคดิ ของคีรเ์ คกอรด์
เป็นแนวการมองชีวิตที่ไม่แตกต่างจากจากคนในสมัยปัจจุบันเท่าไหร่นัก จากความคิดของเขาท่ีว่า
คนเราน้ันเป็นอัตถิภาวะดั้งเดิมไม่ซ้าแบบใคร และแตล่ ะคนก็เผชิญหน้ากับปัญหาที่คล้าย ๆกันด้วยคือ สภาพ
ชีวิตของมนุษยชาตทิ ่ีเกิดมามชี ีวติ ทุกวันน้ีก็ไม่ต่างกันเทา่ ใดนัก มีสภาพความรู้สานกึ และความนึกคิดทีคล้าย ๆ
กัน เมื่อประสบกับปัญหาชีวิต แต่ทางออกของการแก้ปัญหาชีวิตน้ันย่อมแตกต่างกัน แต่ว่า คีร์เคกอร์ด ให้
แนวทางไว้บ้าง ในหนทางของเราท่ีจมอยู่ในสภาพเช่นน้ี เราต้องกระโดดออกด้วย คือ ต้องกระโดดจากสภาพ
เดิมไปสู่สภาพท่ีดีกว่า น่ันคือ ขั้นของศาสนา และน่ีเป็นข้ันที่ดีที่สุดแล้ว ศาสนาน้ันเป็นแนวทางเดียวท่ีช่วย
แก้ปัญหาได้ทกุ อย่างถา้ เรามีความเช่ือพอ และตนเองเขา้ ไปแลกด้วย ในหนทางน้ีนั้นทีค่ ีร์เคกอร์ดให้แนวคิดแก่
เรา เพ่ือว่าแต่ละคนท่ีกาลังประสบกับปัญหาชีวิต โดยที่เราไมจ่ าเปน็ ตอ้ งท้อแทจ้ นเกินไป อยา่ งน้อยเรามีเพื่อน
ร่วมโลกอยู่ ยังมีเพ่ือนร่วมเดินทางกับเราอยู่ในชีวิตแต่ละวัน แต่บางคร้ังการดาเนินไปของชีวิตแต่ละวันมัน
ยากลาบากก็จริงอยู่ แตถ่ ้าเรามีความรสู้ านึกคิดสักนดิ ถึงความผิดพลาดของตัวเอง เราก็มีกาลังใจท่ีจะปรับปรุง
ตวั เองใหด้ ีข้นึ กวา่ น้ี และย่ิงไปกวา่ น้นั ผู้ท่จี ะคอยชว่ ยเรายงั คงมอี ย่เู สมอหากเราพึ่งพาเขา
คนคนนั้นก็คือ “ องค์พระเยซูคริสตเจ้าเอง” ในระดับความเช่ือน้ี เป็นอัตถิภาวะของเรามนุษย์อย่าง
แท้จรงิ ในระดับของขัน้ ศาสนา ศาสนาที่แทจ้ ริงอยทู่ พ่ี ระเยซูเจา้ เองทนี่ าความรอดมาสู่เรา พระองค์เองมาอยกู่ ับ
เราในชีวติ ประจาวนั ทีเ่ ราอย่ใู นโลกน้ี

3. แนวคดิ การจดั การศึกษาตามลัทธอิ ัตถิภาวนยิ ม

3.1 แนวคดิ เกี่ยวกบั โรงเรียน
โรงเรียนเป็นแหล่งพัฒนาเสรีภาพของเอกัตบุคคล เพ่ือให้ผู้เรียนแต่ละคนได้ค้นพบ และรู้จักตนเอง
อย่างแทจ้ ริง
3.2 แนวคิดเกย่ี วกับหลกั สูตร
1) มคี วามยืดหยุน่ ไม่กาหนดตายตวั
2) เปดิ ใหม้ วี ิชาเลือกอยา่ งกวา้ งขวางทสี่ ุด เพื่อสนองตอบความตอ้ งการ และความสนใจของผู้เรยี น
3.3 แนวคดิ เกย่ี วกับการเรียนการสอน
1) ให้ผู้เรียนได้สารวจและค้นหาความสนใจที่แท้จริงของตนเอง แล้วเลือกเรียนตามวิธีการและเนื้อหา
สาระทต่ี นสนใจ
2) ครเู ปน็ เพยี งผคู้ อยย่วั ยุ หรือกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นอยากเรียนรู้ส่งิ ท่ีตนสนใจ
3.4 แนวคดิ เก่ยี วกับการศกึ ษากับการพฒั นาคณุ ธรรม
โรงเรียนต้องกระตุ้นให้แต่ละบุคคลสานึกได้ด้วยตนเอง ตระหนักในเสรีภาพ รู้จักเลือกแนวทาง
จรยิ ธรรมของตนเองและมีความรับผดิ ชอบต่อการเลือกนั้น การจัดการศกึ ษาด้านสุนทรียภาพเน้นการฝึกฝน
ให้ผู้เรียนสร้างงานด้านศลิ ปะตามแนวคิดของตนเองอย่างเสรี

4. ปรัชญาการศกึ ษาอตั ถิภาวะนิยม

ปรัชญาน้ีให้ความสนใจในตัวบคุ คล หรอื ความเป็นอยู่ ปรัชญานี้เช่ือว่า ความจริงเป็นเรื่องนามธรรมที่
ไม่มีคาตอบสาเรจ็ รูปให้ ความเป็นจริงคือความมีอยู่ เช่ือว่ามนษุ ย์มีศักยภาพในทางที่จะเป็นตัวเองตลอดเวลา
นักปรัชญาสนใจเกี่ยวกับ โลกแห่งการดารงชีวิตอยู่ได้ เช่ือว่า คนคือความไม่แน่นอน ไม่มีแก่นสาร ความจริง
หรือความรู้จะเป็นเรื่องท่ีชว่ ยให้คนดารงชีวิตได้ มนุษย์มีความเป็นอิสระ มีเสรีภาพในการเลอื ก ในการกระทา
มนุษย์ตดั สินใจด้วยตนเอง และรับผิดชอบต่อการกระทาของตนเอง เชอื่ ว่า ความจริงคอื การดารงชีวิต ไม่เห็น
ดว้ ยกับความสมบูรณ์แท้งจริงที่สุดของการให้เหตุผลหรือตรรกวิทยาบริสุทธิ์ ลัทธินี้เน้นชีวิตและประสบการณ์
ความแตกต่างระหว่างบุคคล เชื่อว่ามนุษย์จะดีก็อยู่ท่ีการเลือกท่ีจะทาตนให้เป็นเช่นนั้น เช่ือว่าความจริงคือ

71

ความรู้จะช่วยให้ดารงชีวิตอยู่ได้ และถือว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นแก่แต่ละบุคคล ความรู้ไม่ใช่ผลบ้ันปลายอัน
ตอ้ งประสงค์ (ศินีนาถ ศรีบรุ ัมย์, 2563)

ลัทธิอัตถิภาวะนิยมจึงเป็นลัทธิท่ีเน้นเรื่องความมีอยู่ สารานุกรมปรชั ญา ให้คาอธิบายว่า “ลัทธิถือว่า
การค้นคว้าหาสารัตถะ ทาให้ผู้คิดออกห่างจากความเป็นจริง ความเป็นจริงทแี่ ทก้ ค็ อื อตั ถิภาวะ ของแต่ละบคุ ล
ซึ่งมีสิ่งแวดล้อมและสภาพที่ตนเองได้สะสมไว้โดยการตัดสินใจเลือกตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน ปรัชญาท่ีมี
ประโยชน์จริง ๆ กค็ อื ปรัชญาท่ศี ึกษาอตั ถภิ าวะของตนเอง นกั ปรัชญาที่สาคญั ของลัทธนิ ี้มหี ลายคนด้วยกัน เช่น
คีร์เคกอรด์ , ยัสเปริ ์ส, ไฮเดก๊ เกอร์, ซาร์ตร์, มารเ์ ซ็ล, บูเบอร์ เป็นต้น”

4.1 แนวคิดพนื้ ฐาน
นกั ปรชั ญาอัตถภิ าวนยิ มทม่ี ีคนร้จู กั กันมากและมีอิทธิพลมากทส่ี ุด คือ ฌอง ปอล ชาร์ต (Jean Paul
Sartre) ชาวฝร่งั เศส ซึ่งเขาให้ความเห็นเกี่ยวกับลัทธนิ ีไ้ ว้พอสรุปไดด้ งั นี้

1. มนษุ ย์ คอื เสรีภาพ สภาพความเปน็ มนุษย์และเสรภี าพเป็นสิ่งท่ีแยกออกจากกันไม่ได้ กฎเกณฑ์ หรือ
ข้อหา้ มตา่ งๆใน สังคมโดยตวั ของมนั เองไม่มีอานาจอะไรท่ีมากีดกันเสรีภาพของมนษุ ย์ มนุษย์มสี ิทธทิ ่ี
จะเลอื กรบั หรือปฏิเสธกไ็ ด้

2. มนษุ ย์เปน็ ผู้กาหนดชะตาชวี ติ ของตนเอง ชีวิตของแต่ละคนจงึ ไมม่ พี ระเจา้ หรือพระพรหมเปน็ ผู้
กาหนด หรือกล่าวอีกนัยหนงึ่ ก็คอื ชวี ิตจะมีความหมายเชน่ ไร อยทู่ ่กี ารตัดสินใจหรอื การต้ังกฎเกณฑ์
ของมนษุ ย์เอง

3. ไม่มสี งิ่ ใดไมว่ ่าจะเป็นภายในตัวหรือนอกตัวมนุษย์ ทีจ่ ะปน้ั มนษุ ยไ์ ด้ เช่น ความดี ชว่ั ถ้าหากขาดการ
ยินยอมของมนุษยส์ ง่ิ ดังกลา่ วนน้ั ได้แก่ อารมณ์ สัญชาตญาณ สิ่งแวดลอ้ ม เป็นตน้

4. เชอ่ื วา่ ทกุ คนมอี ดีต อดตี เปลี่ยนแปลงไมไ่ ด้ มนษุ ยไ์ มเ่ ปน็ ทาสของอดีต ปจั จบุ ันเปน็ ส่ิงที่มีค่าท่สี ดุ
ดังน้นั มนษุ ย์จึงไมค่ วรทาลายชีวติ ปัจจุบนั เพ่ืออดีต เพราะถอื ว่ามนษุ ย์เป็นผเู้ ลอื กอดีต

5. มนุษยจ์ ะต้องมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองและมีความรับผิดชอบตอ่ สงั คมดว้ ยบางครง้ั ความรับผดิ ชอบ
อนั ใหญห่ ลวงทาให้คนไมต่ อ้ งการเสรภี าพ

6. ความเชอื่ พน้ื ฐานของลทั ธปิ รัชญาอัตถิภาวนยิ มน้ใี หค้ วามสาคญั กับเสรีภาพของมนษุ ย์โดยถือว่ามนุษย์
เปน็ ผู้มีสิทธ์ิท่จี ะเลือกตัดสินใจ พร้อมกันนัน้ กต็ ้องรับผดิ ชอบในเสรีภาพท่เี ลือก จงึ จะถือว่าเปน็ บุคคลท่ี
มีค่าเน่อื งจากสง่ิ ทผ่ี ่านมาแล้ว คือ อดีตไม่สามารถเปล่ยี นแปลงได้ ดงั นนั้ สงิ่ ที่เลือกในปัจจบุ ันยอ่ มไมม่ ี
ค่าในอนาคต
4.2 ความหมายของการศกึ ษา
การศกึ ษาคอื การสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นแตล่ ะคนรู้จกั พิจารณา ตัดสินใจตามสภาพและเจตจานงท่ีมี
ความหมายตอ่ การดารงชีวติ ของตนเองอยา่ งแท้จรงิ โดยเปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนมีอิสระในการเลอื กสรร
คุณธรรมค่านิยมไดอ้ ย่างเสรี พรอ้ มกันนัน้ ก็ต้องมคี วามรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองด้วย หรืออาจกลา่ วอย่าง
สรปุ ได้วา่ การศกึ ษาคอื กระบวนการท่ีสง่ เสริมใหม้ นุษยเ์ ป็นมนษุ ย์ นนั่ คือมีอสิ ระทจ่ี ะเลือกแนวทางใน
การดาเนนิ ชวี ิตของตนเอง ด้วยตนเองและรับผดิ ชอบต่อการตัดสินใจเลอื กนน้ั

4.3 องค์ประกอบของการศึกษา
จดุ มุ่งหมายของการศึกษา

การศึกษาจะต้องทาให้ผเู้ รียนมีความเขา้ ใจตนเอง ว่ามีความต้องการอย่างไร แล้วพัฒนาตนเองไปตาม
ความต้องการอย่างอิสระ เพื่อจะได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ของตนเองได้อย่างเต็มท่ีด้วยการเลือกเรียนได้ตาม

72

ความพอใจ และมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เลือก นอกจากน้ียังมุ่งให้ผู้เรียนเป็นผู้มีวินัยในตนเอง (Self
discipline)

หลกั สตู ร
ไม่กาหนดตายตัว แต่ตอ้ งเป็นหลกั สตู รทช่ี ่วยให้ผู้เรียนเขา้ ใจตนเองไดด้ ีขึน้ เนื้อหาของหลักสตู รจะเน้น
ทางสาขามนุษยศาสตร์ (Humanities) เช่น ศิลปะ ปรัชญาวรรณคดี ประวัติศาสตร์ การเขียน การละคร
จิตรกรรม ศิลปะประดิษฐ์ นักปรัชญาเช่อื ว่างวิชาเหล่าน้ีจะฝึกฝนผู้เรยี นทางด้านสุนทรียศาสตร์ อารมณ์ และ
ศีลธรรม จริยธรรมอันดีงาม วิชาต่าง ๆไม่ได้จัดให้เรียนตายตัว แต่จะให้ผู้เรียนเลือกได้ตามความพอใจ และ
ความเหมาะสมเพ่อื ผเู้ รียนจะไดพ้ ฒั นาความเป็นตัวของตวั เอง

ครู
มีบทบาทคล้ายกับปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ทาหน้าที่คอยกระตุ้น หรือเร้าให้ผู้เรียนต่ืนตัว ให้เข้าใจ
ตนเอง สามารถใช้ความถนัดและความสามารถเฉพาะตัวออกมาให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ครูจะให้
ความสาคัญแก่ผู้เรียนมาก ใหเ้ สรีภาพ และเคารพในศักดศ์ิ รีของผ้เู รียน ให้ผเู้ รียนรู้จักรับผิดชอบในการกระทา
ของตนเอง และครจู ะตอ้ งเปน็ ผ้รู จู้ รงิ ในเรอื่ งทสี่ อนซอ่ื สัตย์และจรงิ ใจตอ่ ผู้เรียน

ผ้เู รยี น
ถือว่าผู้เรียนเป็นผู้ที่สาคัญที่สุดในกระบวนการศึกษาและเชื่อว่าผู้เรียนเป็นผู้ที่ มีความคิด มี
ความสามารถในตนเองมีเสรีภาพอย่างแท้จริง เป็นผู้ทีเลือกแนวทางที่จะพัฒนาตนเอง ด้วยตนเอง เพราะ
เป้าหมายการศึกษามิใช่เน้ือความรู้ มิใช่เพ่ือสังคม แต่เพื่อผู้เรียนท่ีจะรู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง ด้วนเหตุนี้
แนวทางจริยธรรม และการประพฤติปฏิบัติต่างๆเป็นเร่ืองส่วนบุคคล ที่จะเลือกใช้วิธีทางใด แต่ทั้งนี้จะต้องมี
วินัยในตนเอง และรับผิดชอบต่อการกระทาและผลท่ีเกิดข้ึน (Power 1982 : 145 อ้างถึงใน อรสา สุขเปรม
2541)

โรงเรยี น
ต้องสร้างบรรยากาศแหง่ เสรีภาพทงั้ ในและนอกหอ้ งเรยี นและจัดสิ่งแวดล้อมใหผ้ เู้ รยี นเกิดความพอใจท่ี
จะเรียน สร้างคนให้เป็นตัวของตนเอง คือให้นักเรียนเลือกอย่างอิสระ ส่วนแนวทางในด้านจริยธรรม ทาง
โรงเรียนจะไม่กาหนดตายตวั แต่จะให้ผ้เู รยี นได้เลือกแนวทางของผ้เู รียน

กระบวนการเรยี นการสอน
เน้นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเองมากที่สดุ ใหผ้ ู้เรียนพบความเป็นจริงด้วยตัวเอง เปิดโอกาส
ใหผ้ ู้เรียนเลือกเรยี นด้วยตนเองของเขาเอง การเรยี นจะต้องเรียนรู้จากสง่ิ ภายในกอ่ น หมายถงึ จะต้องใหผ้ ้เู รียนรู้
วา่ ตนเองพอใจอะไรมีความต้องการอะไรอย่างแท้จริง แล้วเลือกเรียนในสิ่งที่พอใจหรือต้องการ กระบวนการ
เรยี นการสอนจะเน้นการมีส่วนร่วม เป็นหลักสาคัญในการเรยี นรู้ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนยิ ม เป็นปรัชญาท่ี
ทา้ ทายแนวความคิดของคนรุ่นใหม่ และได้แพรห่ ลายไปยงั ประเทศต่างๆ ในประเทศไทยได้มกี ารนามาทดลอง
ใช้เป็นครั้งแรกที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จังหวัดกาญจนบุรี เป็นความพยายามที่จะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มี
อิสรเสรีภาพในเลือกเรียนวิชาต่างๆ ปัจจุบันโรงเรียนนี้ยังดาเนินการสอนอยู่ แต่ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้
เหมาะสมและนบั ไดว้ า่ ประสบความสาเร็จในระดับหนึ่ง

73

ฟรีดริช นิตเช่ Friedrich Nietzsche (ค.ศ.1844 - 1900)

ภาพท่ี 2 ฟรดี ริช นติ เช่
จาก พระเจ้าตายแลว้ และศลี ธรรมอันไรข้ อบเขตของมนุษยฉ์ บบั ฟรีดรชิ นิตเช่. [ออนไลน]์ ,
เข้าถึงไดจ้ าก : https://www. bubeeja.blogspot.com. (วันทสี่ ืบค้นขอ้ มูล 10 กรกฎาคม 2565).

ฟรดี รชิ นิตเช่ (Friedrich Nietzsche : 1844 – 1900) เกดิ เวลาประมาณ 10 นาฬิกาของวนั ที่ 15
ตุลาคม ค.ศ. 1844 ในหมูบ่ ้านเล็ก ๆ ชือ่ รอคเคน เมืองไลพซ์ ิก แคว้นแซกโซนี ประเทศเยอรมันนี ซง่ึ ตรงกบั วนั
คลา้ ยวนั ประสตู ขิ องพระเจ้าฟรดี รชิ วิลเฮล์มท่ี 5 กษตั รยิ ์แหง่ ปรสั เซีย ขณะมพี ระชนมายุ 49 พรรษา ช่อื นิตเช่
จงึ ไดร้ บั การตงั้ ชือ่ ตามพระนามของพระองค์ อันเปน็ การถวายพระเกียรตแิ ละแสดงออกถงึ ความจงรกั ภักดี
นติ เช่นิตเชเ่ กิดในครอบครัวเครง่ ศาสนา เขามีบิดาชอ่ื คาร์ล ลุดวิค (Karl Ludwig : 1813 - 1849) และมารดา
ชื่อ ฟรานซสิ กา้ (Franziska : 1826 - 1897) บดิ าและป่ซู ึง่ ช่ือ ฟรีดรชิ ออกสุ ลดุ วิค (Friedrich August
Ludwig) ของนติ เช่เป็นพระในนกิ ายลเู ธอลนั

แนวคดิ ทางปรัชญาของนิตเช่
จากการศึกษา ผลงานของนิตเชไ่ ม่ค่อยมีความเป็นเอกภาพและเป็นระบบนัก เห็นไดจ้ าก

แนวคิดทป่ี รากฏในผลงานของเขา จะขึ้นกบั ชว่ งระยะเวลาท่ีเขาได้รบั อิทธิพลจากโชเปนฮาวเออร์ และวากเนอร์
ภาวะความเจ็บป่วยเร้ือรงั สมั พนั ธภาพกบั บุคคลท่ีเขารกั และบุคลกิ ภาพส่วนตัวของเขาเอง ประกอบกับเขามี
ความรูแ้ ละอจั ฉริยภาพทางด้านปรัชญาและนิรกุ ตศิ าสตร์สงู วิธกี ารประพนั ธ์ของเขาจงึ เต็มไปด้วยวรรณศิลป์ที่มี
การใชอ้ ปุ มา (Simile) และอปุ ลกั ษณ์ (Metaphor) มากซงึ่ ยากต่อทาความเข้าใจและตีความ ดังน้นั ผูว้ ิจัยจงึ ขอ
สรุปแนวคดิ หลกั ที่น่าสนใจ ซง่ึ เรยี บเรียงมาจากงานเขยี นของเขา เพื่องา่ ยตอ่ การทาความเขา้ ใจแนวคดิ ของเขา
ในทีน่ ้จี ะกล่าวเน้นแนวความคดิ หลกั ทางปรัชญาของนติ เช่ อนั ประกอบไปดว้ ย แนวคติดเรอ่ื งเจตจานงที่จะมี
อานาจ แนวคดิ เรื่องนิจวัฏฎ์ และแนวคดิ เรือ่ งศลี ธรรม

เจตจานงทจี่ ะมอี านาจ (The Will to Power)
นติ เชก่ ล่าวถึงเจตจานงทจี่ ะมีอานาจ คอื ความจริงสงู สุดซ่ึงเป็นพลังสรา้ งสรรค์และ

เป็นแรงกระตุน้ พ้นื ฐานของชีวติ มนุษย์ นิตเช่กลา่ ววา่ มนษุ ย์ทุกคนมคี วามตอ้ งการทจี่ ะมีพลงั อานาจเหนือคนที่
ออ่ นแอกว่า แต่พวกท่มี ีเจตจานงท่จี ะมีอานาจ ท่แี ทจ้ รงิ จะเปน็ พวกที่ต้องการจะเอาชนะตนเองเพือ่ ที่จะมีการ
พัฒนาตนเองเพื่อนาไปส่กู ารมีพลงั อานาจอยา่ งแท้จริง การเอาชนะตนเองเช่นนเี้ อง ก็คอื พลังทพี่ ัฒนาผลกั ดนั
ใหม้ นุษย์ก้าวไปสจู่ ุดหมายทสี่ ูงกว่า และไกลกวา่ ความตอ้ งการในระดับธรรมดา นติ เช่เน้นวา่ การไปสูม่ นษุ ยท์ ี่
สมบูรณอ์ ยา่ งแท้จริงจะขาดเจตจานงที่จะมอี านาจ ซง่ึ เป็นพลังสร้างสรรค์ตามธรรมชาติในมนษุ ย์ทุกคนไม่ได้
ดังนน้ั เจตจานงทจี่ ะมีอานาจ จงึ ไม่ใช่พลังหรือแรงกระตุ้นในการปรารถนา หรือความต้องการถึงช่อื เสียง เงิน

74

ทอง แต่เปน็ กระแสพลงั ที่ด้ินรนต่อสูแ้ ละผลกั ดันมนุษย์ ให้พยายามเอาชนะอปุ สรรคท่ขี ัดขวางทั้งมวลไม่วา่ จะ
เปน็ นิสัยสว่ นตวั ตลอดจนไปถงึ ขนบธรรมเนียม ประเพณี เพื่อให้มนษุ ย์พัฒนาไปสคู่ วามเป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์
แท้จรงิ ดว้ ยตัวเอง เพ่อื สรา้ งโลกท่ีดีกวา่ เดิมได้

นจิ วฏั ฎ์ (The Eternal Recurrence)
นจิ วฏั ฎ์ หรอื การเวยี นว่ายตายเกิดของชีวติ อย่างเป็นนริ นั ดร์ เปน็ แนวคดิ หนงึ่ ท่ี

สาคัญของนิตเช่ จะเห็นไดจ้ ากใน Twilight of the Idols นติ เชไ่ ด้ประกาศวา่ ตนนั้นเปน็ สาวกคนสุดทา้ ยของ
นักปรัชญาไดโอนีซสุ และเป็นผสู้ อนเรอ่ื งนจิ วัฏฎโ์ ดยแนวคิดเรือ่ งนิจวัฏฎ์เปน็ แนวคิดพน้ื ฐานจากงานเรอ่ื ง Thus
Spoke Zarathustra ยกตัวอยา่ งเชน่ ในตอนท่ีมีชื่อว่า On the Vision and the Riddle โดยซาราทสุ ตราได้
กล่าววา่ “ปัจจุบันคอื จดุ บรรจบของอดตี และอนาคตท่ไี ม่มที ี่สิน้ สดุ และจากประตูแห่งปัจจบุ ัน ขณะทางจะทอด
ยาวถอยหลังไปไมม่ ีท่สี นิ้ สุดและไม่ว่าอะไรกต็ ามทสี่ ามารถเดนิ ทางได้ก็ย่อมต้องผา่ นเส้นทางนม้ี าก่อน และทุก
สง่ิ ที่เกดิ ขนึ้ ย่อมต้องผ่านมาก่อนแล้วทง้ั สนิ้ ”

กล่าวโดยสรุปคอื นติ เช่ถอื ว่าทรรศนะเร่อื งนิจวัฏของเขาเปน็ แนวความคิดท่ีสาคัญ
ทส่ี ุด โดยกลา่ ววา่ ทรรศนะน้ีเป็น “ความคดิ แห่งความคิดทัง้ หลาย” และเปน็ “แนวคดิ ที่ย่ิงใหญท่ ่ีสุด” ใน
กระบวนความคดิ ทางปรัชญาของเขาทรรศนะเรอ่ื งนจิ วฏั ก็คือ ทรรศนะทีเ่ ช่ือวา่ ชีวติ ของแต่ละคนรวมท้ังการผัน
แปรทุกอย่างของโลก จะหมุนเวียนซา้ รอยเดิมทุกประการอย่างไม่มีสนิ้ สดุ แนวคิดในการอธิบายโลกเช่นนเ้ี องท่ี
นติ เชถ่ ือวา่ เป็น “สมมติฐานท่เี ปน็ วิทยาศาสตร์ท่ีสุดในบรรดาสมมติฐานทเ่ี ป็นไปได้ทั้งหมด” แต่ปรากฏวา่ ในตัว
สมมตฐิ านท่ีเป็นวทิ ยาศาสตร์ของนิตเชน่ ้เี องก็ยังมคี วามคลมุ เครืออยู่มาก และการพสิ ูจน์ทรรศนะนีก้ ย็ ังไม่เป็นท่ี
ยอมรบั ว่าถูกตอ้ งน่าเชอ่ื ถอื จากนกั วิทยาศาสตร์ทวั่ ไป ดังนนั้ ความสาคญั ของทรรศนะเรื่องนิจวฏั ทม่ี ตี อ่ นิตเช่จึง
ไมน่ า่ จะอยู่ว่า ทรรศนะนเ้ี ป็นแนวทางอธบิ ายโลกและเอกภพเพียงอย่างเดียวหากแต่อยทู่ ค่ี วามสัมพันธร์ ะหว่าง
ทรรศนะนก้ี ับแนวทางการวิจารณจ์ ริยศาสตร์ของเขาเองมากกวา่ ทรรศนะเรื่องนจิ วฏั ในฐานะเปน็ ทฤษฏที างจกั
วาลทางวทิ ยา ได้อธิบายเอกภพในลักษณะทีห่ มนุ เวยี นเป็นวงจรซ้ารอยเดิม การอธบิ ายเช่นนี้เองเป็นการยนื ยนั
ว่า โลกที่มีอยูจ่ ริงน้ันมีเพียงโลกที่ปรากฏให้เหน็ เท่าน้นั ไม่มีโลกอ่ืนทอี่ ยู่เหนอื ประสบการณข์ องมนษุ ย์ การ
ยืนยันวา่ ประสบการณเ์ ท่าน้ันทเ่ี ป็นจรงิ เชน่ นี้ ย่อมนาไปสู่การปฏิเสธสิ่งที่เปน็ พื้นฐานสาหรับศีลธรรมแบบเก่า
เช่น “โลกที่แท้จริง” ตัวตน เจตจานงเสรี พระเจ้า ตลอดจนกระท้งั ระบบศลี ธรรมตายตวั และทาใหม้ าตรฐาน
ทางคณุ ค่าท่ีนติ เช่เสนอ คอื มาตรฐานแห่งอานาจ กลายเปน็ มาตรฐานทางคณุ ค่าเพียงมาตรฐานเดยี วท่ีควรแก่
การยอมรับแทนคุณค่าแบบเก่า ทรรศนะเรอ่ื งนจิ วัฏซ่ึงนาไปสู่การปฏิเสธพระเจา้ และศลี ธรรมตายตัวแบบเดิมนี้
เองทาใหต้ อ้ งปฏเิ สธความหมายของโลกทเี่ คยยึดถือกนั มาแตเ่ ดมิ และจัดเปน็ ลัทธิสุญนยิ มจัดที่สุดรูปแบบหนึ่ง

แนวความคดิ แบบลทั ธิทาลายลา้ งน้ี นติ เชเ่ ชื่อว่าก่อให้เกดิ วิกฤติทางคุณค่าข้นึ และ
กระตุน้ ให้มนุษย์เรา โดยเฉพาะพวกท่ีแข็งแกร่ง ค้นใหค้ ณุ ค่าใหม่ที่เหมาะสมกบั ตน โดยเป็นอสิ ระจากคณุ คา่
แบบเดมิ ทเี่ คยผูกมัดสญั ชาตญาณตามธรรมชาติของเขาไว้ เม่ือพวกทเี่ ขม้ แข็งไดก้ ลบั คุณคา่ ใหม่แลว้ พวกเขาก็
สามารถคนื สู่ความเป็นตวั ของตัวเอง กลับคืนมาสู่สญั ชาตญาณตามธรรมชาติของเขา รวมท้งั กลับคืนสคู่ วามเปน็
ธรรมชาติของโลก แตก่ ารกลับคนื สธู่ รรมชาติดงั้ เดิมเทา่ นนั้ ยงั ไม่เพยี งพอ เพราะวา่ ทรรศนะเรื่องนิจวฏั สอนวา่
มนุษยจ์ ะต้องเผชญิ กับชวี ติ แบบเดมิ ซา้ แล้วซ้าเล่าจนชวั่ นิรันดร ดงั นน้ั ผูท้ ่มี คี วามแขง็ แกรง่ ยอ่ มจะต้องพบกับ
นริ นั ดรภาพของตนเองอยา่ งท่ีตนพอใจที่สุด นั่นคือ เขาจะตอ้ งเปน็ ผู้สรา้ งคุณค่าและกฎเกณฑส์ าหรับตนเอง
สรา้ งสรรค์ตนเองให้สมบูรณ์ทส่ี ุดในทกุ ๆด้าน และกา้ วข้ามจากความเป็นมนุษยธ์ รรมดาไปสูค่ วามเป็นผู้เหนอื
มนุษย์ และโดยนยั กลบั กัน ผ้ทู เ่ี ปน็ “อภมิ นษุ ย”์ ย่อมตอ้ งการตวั เองในแบบเดมิ ไม่เปล่ียนแปลง เขายอ่ ม
ตอ้ งการนิรันดรภาพเพราะความสขุ ท่เี ขาได้รบั ในชีวิตทเี่ ขาเองเป็นผ้สู ร้างสรรคข์ ้ึนมา และถึงแมว้ ่าชวี ิตของเขา
จะมคี วามทุกข์ทรมานอยูด่ ้วยก็ตาม แต่เขากย็ ังคงยืนยันชวี ิตในแบบเดมิ นี้ เพราะเขารคู้ วามสขุ ท่ีเขาได้รบั ไม่อาจ
แยกออกจากความทกุ ข์ทีเ่ ขารู้จัก

75

ดังนนั้ อภิมนษุ ย์ ซงึ่ นติ เชเ่ รยี กในนาม “ไดโอนซี ุส” น้นั จงึ เปน็ ผูท้ ยี่ นื ยนั ในชีวติ อยา่ งสูงสดุ
เพราะเขาไมเ่ พียงแต่เป็นผูย้ อมรบั ชีวิตไมว่ า่ ทกุ ข์หรอื สุขในปัจจุบนั นีเ้ ทา่ น้นั แต่เขายงั ปรารถนาชีวิตแบบ
เดยี วกันนีซ้ า้ แลว้ ซา้ เล่าไปจนชว่ั นิรนั ดร นิตเชเ่ รียกความปรารถนาเชน่ น้วี า่ ความรักในชะตากรรม

ผลงานของนิตเช่
การที่จะศึกษาแนวคดิ ทางปรัชญาของนติ เช่ ซง่ึ ตวั เขาไม่ได้แสดงออกมาเปน็ ระบบ

ชดั เจน การศึกษางานเขยี นของเขาจงึ เปน็ สงิ่ ทสี่ าคญั ในการจะเขา้ ใจแนวคิดทางปรชั ญา เพราะนติ เช่เอง แสดง
ออกมาทางวรรณคดี วรรณกรรม และความเรียงรอ้ ยแก้วเป็นส่วนมาก ลาดบั งานเขยี นของนิตเช่ โดยเรยี งจากปี
ทต่ี ีพมิ พ์ไดด้ ังนี้

1) The Birth of Tragedy (1872)
2) On Truth and Lies in a Nonmoral Sense (1873)
3) Untimely Meditations (1876)
4) Human, All Too Human (1878; เพ่มิ เตมิ 1879, 1880)
5) Daybreak (1881)
6) The Gay Science (1882)
7) Thus Spoke Zarathustra (1883–1885)
8) Beyond Good and Evil (1886)
9) On the Genealogy of Morality (1887)
10) The Case of Wagner (1888)
11) Twilight of the Idols (1888)
12) The Antichrist (1888)
13) Ecce Homo (1888)
14) Nietzsche contra Wagner (1888)
15) The Will to Power
มาร์ติน บเู บอร์ Martin Buber (ค.ศ.1878 - 1960)

ภาพที่ 3 มารต์ ิน บูเบอร์
จาก มารต์ นิ บูเบอร์. [ออนไลน์], เข้าถงึ ได้จาก : https://g.co/kgs/M5SWXY.

(วันที่สืบคน้ ข้อมูล 10 กรกฎาคม 2565).

76

ประวตั ิ
มาร์ติน บูเบอร์ นักปรัชญาชาวยิวซึ่งเกิดในออสเตรีย เขาเกิดในวันวันที่ 8 ก.พ. เม่ือ 135 ปีที่แล้ว(ปี

ค.ศ.1878)ในครอบครัวยิวออโทดอกซ์ พ่อแม่ของเขาแยกทางกนั เมอ่ื เขาอายไุ ด้ 3 ขวบ บูเบอรจ์ ึงอาศัยอยูก่ บั ปู่
ของเขา(โซโลมอน บูเบอร์) ช่วงวัยเด็กเขาเติบโตข้ึนโดยได้รับการศึกษาและเลี้ยงดูจากปู่ ช่วงนีเ้ องท่ีบเู บอร์ได้
อ่านและเรียนรูเ้ กย่ี วกับ Talmud (คัมภีรโ์ บราณของศาสนายิว) และเรื่องราวอ่ืนๆเก่ียวกับศาสนาศาสนายวิ ท่ี
บ้านนีบ้ ูเบอร์ตอ้ งพูดภาษา ยิดดชิ (ภาษาเยอรมันผสมฮีบรู) จนเม่ือบเู บอรอ์ ายุได้ 14 ปเี ขาจงึ กลบั ไปอยกู่ บั พอ่ ท่ี
ยเู ครนถึงแม้บูเบอร์จะมีเช้ือสายของกษัตย์เดวิด(ตามไบเบิลของศาสนายิว)แต่ วิกฤติทางความคิดเห็นส่วนตัว
ของบูเบอร์ที่มีต่อศาสนาทาให้บูเบอร์หันหลังให้ศาสนายิว เขาเริ่มอ่านผลงานของ Immanuel Kant,
Kierkegaard และ Nietzsche ซง่ึ น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้บูเบอร์สนใจอยา่ งจริงจังที่จะศึกษาหาความรูด้ ้าน
ปรัชญา

ในปี ค.ศ. 1896 บเู บอร์เข้าเรียนด้านปรัชญา, ประวัติศาสตร์ศลิ ป์, เยอรมันศึกษา และภาษาโบราณ ท่ี
เวยี นนา

ในปี ค.ศ. 1898 บูเบอร์เข้าร่วมกลมุ่ เคลอื่ นไหวท่ีเรียกกนั ว่า Zionist (เป็นกล่มุ ท่ีตอ้ งการก่อตัง้ ประเทศ
ให้กับชนชาติยิว) ในปีถัดมาน้ันเองเขาก็ได้พบกับ Paula Winkler นักเขียนของกลุ่มZionist ท่ีไม่ใช่ชาวยวิ ซ่ึง
ตอ่ มากค็ อื ภรรยาของบูเบอร์ และเธอไดเ้ ข้ารีตมานบั ถอื ศาสนายวิ ในภายหลงั

ปี ค.ศ. 1923 บูเบอร์เขียนบทความ ทชี่ ื่อ Ich und Du ทาให้เขาเป็นท่รี ู้จกั อย่างกวา้ งขวาง ต่อมาแปล
เป็นภาษาอังกฤษโดยใช้ช่ือว่า I and Thou และในอีกสองปีต่อมาเขาก็ได้เร่ิมแปล ฮีบรูไบเบิล
(ไบเบลิ ของศาสนายิว)ใหเ้ ป็นภาษาเยอรมัน

ปี ค.ศ. 1930 บูเบอร์ได้รับการแต่งต้ังเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักด์ิในมหาวิทยาลัย Goethe
University Frankfurt ซงึ่ อยู่ที่เมืองแฟรงเฟริต และลาออกในทันทีที่ฮิตเลอรข์ ้ึนสู่อานาจในเยอรมันในปี 1933
เขาเป็นผกู้ ่อตงั้ สานกั งานการศึกษาผู้ใหญช่ าวยิว ซง่ึ ย่ิงทาใหเ้ ขามคี วามขัดแย้งกบั ทางการเยอรมนั ท่ีพยายามกีด
กันชาวยิวไม่ให้ได้รับการศึกษา บูเบอร์ออกจากเยอรมันในปี ค.ศ. 1938 ไปลงหลักปักฐานท่ี เมืองเยรูซาเล็ม
ปาเลสไตน์(ภายหลังจึงเป็นประเทศอิสราเอล) ได้รับตาแหน่งศาสตราจารย์ด้านปรัชญาในมหาวิทยาลัยฮีบรู
สอนวิชามนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ ภรรยาของบูเบอร์เสียชีวติ ลงในปี ค.ศ. 1958 และตัวเขาเองก็จากโลก
นไี้ ปในปี ค.ศ. 1965 ณ บา้ นของเขาเองซึง่ อยใู่ กล้ๆกบั กรงุ เยรูซาเล็ม

บเู บอร์ ได้เขยี นบทความ(Essay)ทรี่ ูจ้ กั กันดชี ่อื I and Thou ซึง่ สนใจในด้าน ความสัมพันธ์ที่บุคคล
มีต่อคนอื่น ซึ่งอธิบายไว้ ๒ แบบ คือ “I - It” หรือ“ตัวเรา-มัน” คือความสัมพันธ์ซง่ึ บุคคลมองคนอน่ื ใน
ฐานะท่ีเป็นวัตถุ เป็นแค่ส่ิงใดส่ิงหน่ึงทมี่ ีการคงอยู่สามารถมองเหน็ วดั ได้เช่นสูง/ต่า ดา/ขาว เป็นตน้ และมอง
แต่ในมุมทจี่ ะใช้เป็นเครือ่ งมอื แสวงประโยชน์สาหรบั ตน หรือตนเองจะจัดการได้ตามต้องการโดยบางคร้ังเราก็
ยังกลับคิดว่าที่ทาไปน้ันก็เพ่ือตัวเขาเอง และความสัมพันธ์อีกแบบหน่ึงคือแบบ “I - Thou” ซ่ึงบุคคลมอง
บุคคลอื่นในฐานะท่ีเป็นมนุษย์ผู้มีจุดหมายและมีคุณค่าความหมายของตนเอง เขาเป็นเช่นตัวเรามีความ
ต้องการเฉพาะของตนเอง มีจิตวิญญาณ พฒั นาไดด้ ว้ ยตัวเขาเอง
บเู บอร์ เห็นว่าวงการธุรกจิ รัฐบาล หรือแม้แต่การศึกษาในปัจจุบันก็ปฏิบัติต่อมนุษย์เยี่ยงวัตถุ คือมองแบบ
“I - It” จึงทาให้ความเป็นมนุษย์ลดลง มนุษย์จึงต่างจ้องทาลายทาร้าย และแสวงหาประโยชน์จากมนุษย์
ด้วยกนั อยา่ งเหน็ แกต่ ัว เพราะไมไ่ ด้มองคนอ่นื แบบ “I - Thou”

บูเบอร์ เสนอวา่ ความสัมพันธ์ระหว่างครแู ละนักเรยี นควรเปน็ ความสัมพันธแ์ บบ “I - Thou”
เพราะสมั พันธภาพระหว่างครูและนักเรยี นเปน็ ส่งิ ทสี่ าคัญมาก ถึงแม้ทัง้ สองฝ่ายจะมีความแตกต่างกันในระดับ
ความรู้แต่ทั้งครูและนักเรียนต่างก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน การมีความสัมพันธ์แบบ “I -
Thou” เพื่อจะได้มีความเข้าใจซ่ึงกันและกันเห็นอกเห็นใจกันแบ่งปันความรู้ ความรู้สึก แรงบันดาลใจซึ่งกัน

77

และกนั และตา่ งฝ่ายต่างก็เปน็ ทง้ั ครูและนักเรียนไปพร้อม ๆ กัน และความสัมพนั ธเ์ ชน่ นี้ บูเบอร์ เห็นว่าควร
ปรากฏอยู่ในการศกึ ษาทกุ ระดับและในสังคมส่วนรวมด้วย

คารล์ แจสเปอร์ Jasper (ค.ศ.1883-1969)

ภาพที่ 4 คาร์ล แจสเปอร์
จาก Karl Jaspers และวธิ ชี ีวประวัตทิ างจิตเวช. [ออนไลน]์ , เข้าถงึ ไดจ้ าก : https://th.sainte-
anastasie.org/articles/psicologia/karl-jaspers-y-el-mtodo-biogrfico-en-la-psiquiatra.html.

(วนั ทส่ี ืบคน้ ขอ้ มลู 10 กรกฎาคม 2565).
ประวัติของ คาร์ล แจสเปอร์

Jaspers เกิดท่ี Oldenburgในปี 1883 โดยมีแม่จากชุมชนเกษตรกรรมในท้องถ่ินและเป็นพ่อของ
นิติศาสตร์ เขาแสดงความสนใจในช่วงต้นปรัชญา แต่ประสบการณ์ของพ่อของเขากับระบบกฎหมายไม่ต้อง
สงสัยอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขาท่ีจะศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก Jaspers ศึกษากฎหมาย
คร้ังแรกในไฮเดลเบิร์กและต่อมาที่มิวนิกเป็นเวลาสามภาคเรียน ในไม่ช้าก็เห็นได้ชัดว่าแจสเปอร์ไม่ชอบ
กฎหมายเป็นพิเศษ และเขาเปล่ียนมาเรียนแพทย์ในปี 1902 ด้วยวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับอาชญวิทยา ในปี ค.ศ.
1910 เขาแต่งงานกบั เกอร์ทรดู เมเยอร์ (พ.ศ. 2422-2517) น้องสาวของเพอ่ื นสนิทของเขากสุ ตาฟเมเยอรแ์ ละ
เอิรน์ ส์เมเยอร์

Jaspers ได้รบั ปรญิ ญาเอกด้านการแพทย์จากโรงเรียนแพทยแ์ ห่งมหาวทิ ยาลัยไฮเดลเบิร์ก ในปี 1908
และเร่ิมทางานที่โรงพยาบาลจิตเวชในไฮเดลเบิร์กภายใต้การดูแลของ Franz Nisslผู้สืบทอดของEmil
KraepelinและKarl Bonhoefferและ Karl Wilmans แจสเปอร์ไม่พอใจกับวิธีท่ีชุมชนทางการแพทย์ในสมัย
นนั้ เข้าใกล้การศึกษาความเจบ็ ป่วยทางจติ และมอบหมายงานในการปรับปรุงวธิ ีการทางจติ เวช ในปี ค.ศ. 1913
แจสเปอรอ์ าศัยอยู่ที่คณะปรชั ญาของมหาวิทยาลยั ไฮเดลเบิรก์ และไดร้ ับตาแหน่งเป็นครูสอนจิตวิทยาในปี ค.ศ.
1914 โพสต์ต่อมากลายเป็นปรัชญาถาวรและแจสเปอรไ์ ม่เคยกลับไปปฏบิ ัติทางคลินิก ในช่วงเวลาน้ีแจสเปอร์
เปน็ เพอ่ื นสนิทของครอบครัวเวเบอร์ ( แมก็ ซ์ เวเบอรไ์ ดร้ ับตาแหนง่ ศาสตราจารยท์ ไี่ ฮเดลเบริ ก์ ดว้ ย)

ในปพี .ศ. 2464 เม่ืออายไุ ด้ 38 ปี Jaspers ไดเ้ ปล่ียนจากจิตวิทยาเป็นปรัชญาโดยขยายประเด็นท่ีเขา
พฒั นาขนึ้ ในงานจิตเวชของเขา เขากลายเป็นนกั ปรชั ญาในเยอรมนแี ละยุโรป

หลังจากการยึดอานาจของนาซีในปี พ.ศ. 2476 แจสเปอร์ได้รับการพิจารณาว่าเป็น "มลทินของ
ชาวยิว" ( jüdische Versippungในภาษาเฉพาะของเวลา) เน่ืองจากภรรยาชาวยิวของเขา และถูกบังคับให้
ลาออกจากการสอนในปี พ.ศ. 2480 ในปีพ.ศ. 2481 เขาล้มลง ภายใต้การห้ามสิ่งพิมพเ์ ช่นกัน อย่างไรก็ตาม
เพื่อนทีค่ บกนั มานานของเขาหลายคนยืนเคียงขา้ งเขา และเขากส็ ามารถศึกษาและค้นควา้ ตอ่ ไปได้โดยไมถ่ ูกโดด

78

เดี่ยวโดยสิ้นเชิง แต่เขาและภรรยาอยูภ่ ายใต้การคุกคามอย่างตอ่ เนอ่ื งที่จะถูกเคล่ือนย้ายไปยงั ค่ายกกั กันจนถึง
วันท่ี 30 มีนาคม พ.ศ. 2488 เม่ือไฮเดลเบิร์กได้รับการปลดปลอ่ ยจากกองทหารอเมริกนั

ผลงานด้านปรัชญาและเทววทิ ยา
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่เชื่อมโยง Jaspers กับปรัชญาของอัตถิภาวนิยมส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาดึงเอา

รากเหง้าอัตถิภาวนิยมของNietzscheและKierkegaardเปน็ หลัก และส่วนหน่ึงเป็นเพราะธีมของเสรีภาพส่วน
บคุ คลแทรกซึมงานของเขา ในปรัชญา (3 vols, 1932) Jaspers ให้มุมมองเก่ียวกับประวตั ิศาสตร์ของปรัชญา
และแนะนาหวั ข้อหลกั ของเขา เริ่มตน้ ด้วยวิทยาศาสตรส์ มยั ใหม่และประสบการณ์นิยม Jaspers ชีใ้ หเ้ หน็ วา่ เม่ือ
เราต้ังคาถามถึงความเป็นจริงเราเผชิญกับพรมแดนท่ีวิธีการเชิงประจักษ์ (หรือวิทยาศาสตร์) ไม่สามารถอยู่
เหนอื ได้ ณ จุดนี้บุคคลทีใ่ บหน้าทางเลอื ก: อ่างล้างจานในความส้ินหวังและการลาออกหรือใช้การก้าวกระโดด
ของความเช่ือที่มีต่อส่ิงที่เรียก Jaspers วิชชา ในการก้าวกระโดดนี้บุคคลเผชิญหน้าท่ีไร้ขีด จากัด ของตัวเอง
เสรภี าพซึง่ Jaspers เรียก Existenzและในที่สดุ ก็จะได้พบกับการดารงอยูข่ องแท้

ปอล ทิลลิช Paul Tillich(ค.ศ.1886-1965)

ภาพที่ 5 ปอล ทิลลชิ
จาก Paul Tillich. [ออนไลน์], เข้าถงึ ไดจ้ าก : https://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Tillich.

(วนั ท่ีสบื คน้ ข้อมูล 10 กรกฎาคม 2565).
ประวัติ

ทิลลิช เกิดเมื่อวันท่ี 20 สิงหาคม พ.ศ. 2429 ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของ Starzeddel (Starosiedle),
จงั หวัดบรันเดนบูร์ก, ซึ่งเป็น จากนั้นก็เป็นส่วนหน่ึงของเยอรมนี. เขาเป็นลูกคนโตในบรรดาลกู สามคนมีพีส่ าว
สองคน: โยฮนั นา (เกิดปี พ.ศ. 2431 เสียชวี ิตในปี 2463) และอลซิ าเบธ (เกดิ ปี พ.ศ. 2436) Tillich's ปรัสเซียน
พอ่ ของโยฮนั เนสทิลลชิ เป็นคนหัวโบราณ ลูเธอรนั ศษิ ยาภิบาลของ Evangelical State Church of Prussia's
older province; Mathilde Dürselenแม่ของเขามาจาก ไรนแ์ ลนด์ และเสรมี ากข้นึ

เม่ือทิลลิชอายุสี่ขวบพ่อของเขาก็กลายเป็น หัวหน้าอุทยาน ของสังฆมณฑลใน Bad Schönfliess
(ตอนนี้ Trzcińsko-Zdrój, โปแลนด์) เมืองสามพันที่ Tillich เรม่ิ โรงเรียนประถม (Elementarschule). ในปพี .

79

ศ. 2441 Tillich ถูกส่งตัวไปท่ี Königsbergใน der Neumark (ตอนน้ี โชจนา, โปแลนด์) เพื่อเร่ิมต้น โรงยิม
การศึกษา. เขาถูกขังอยู่ในหอพักและพบกับความเหงาท่ีเขาพยายามเอาชนะโดยการอ่านพระคัมภีร์ขณะ
เผชญิ หน้า เหน็ อกเหน็ ใจ ความคดิ ท่โี รงเรยี น

ในปี 1900 พ่อของ Tillich ถูกย้ายไป เบอร์ลินส่งผลใหท้ ิลลิช เปลยี่ นไปเป็นโรงเรียนในเบอร์ลินในปี
1901 ซึ่งเขาจบการศึกษาในปี 1904 ก่อนจบการศึกษาแม่ของเขาเสียชีวิตจาก โรคมะเร็ง ในเดือนกันยายน
พ.ศ. 2446 เม่ือทิลลชิ อายุ 17 ปีทิลลิชเข้าเรยี นในมหาวทิ ยาลัยหลายแหง่ - มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เริ่มต้นในปี
1904 มหาวทิ ยาลยั Tübingen ในปี 1905 และ มหาวทิ ยาลัย Halle-Wittenberg ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2448 ถึง พ.ศ.
2450 เขาไดร้ บั ปรญิ ญาปรัชญาดษุ ฎีบัณฑติ ที่ มหาวิทยาลัย Breslau ในปีพ. ศ. 2454 และได้รบั ใบอนุญาตดา้ น
เทววิทยาที่ Halle-Wittenberg ในปีพ. ศ. 2455[7] วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาที่ Breslau คือ แนวคิด
เกยี่ วกบั ประวัติศาสตรศ์ าสนาในปรชั ญาเชงิ บวกของ Schelling: การสันนษิ ฐานและหลักการ.

นักเทววิทยาชาวเยอรมัน พอล ทิลลิช (Paul Tillich) ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามจะจาแนก
ความแตกต่างระหว่างความโดดเดี่ยว (Loneliness) และความสันโดษ (Solitude) ออกจากกัน คากล่าวของ
เขาท่ีว่า “ความโดดเดี่ยวน้ันคือการแสดงออกถึงความเจ็บปวดของการดารงอยู่ และความสันโดษนั้นคือการ
แสดงออกถงึ ชัยชนะของการอยู่เพยี งลาพัง” สอดพ้องกับแนวคิดของฮันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) นัก
ทฤษฎกี ารเมอื งคนสาคัญของศตวรรษท่ี 20

มาร์ตนิ ไฮเดก็ เกอร์ Heidegger (ค.ศ.1889-1976)

ภาพที่ 6 มาร์ตนิ ไฮเดก็ เกอร์
จาก ความหมายของชีวิต: แนวคิดขา้ มมนษุ ยนยิ ม. [ออนไลน]์ , เข้าถึงไดจ้ าก : https://www.sm-
thaipublishing.com/content/6911/meaning-of-life-on-lit. (วนั ทส่ี บื ค้นข้อมลู 10 กรกฎาคม 2565).

ไฮเดกเกอร์ ตอ่ ตา้ นแนวคดิ ท่ีพยายามจะจัดท่านไว้ในระบบปรัชญาใดปรัชญาหนึ่ง ท่านปฏิเสธว่าท่าน
ไม่ใช่นกั ปรัชญาอตั ถิภาวนิยม แต่ในความเปน็ จริงแล้วท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การวิเคราะหอ์ ัตถิภาวะของมนษุ ย์
(Human existence) ของท่านนั้น เป็นการริเร่ิมขบวนการอัตถิภาวนิยมในช่วงศตวรรษท่ี 20 ท่านได้รับ
อิทธิพลทางความคิดมาจาก ฮุสเซริ ์ล (Husserl) เฮเกล (Hegel) ค้านท์ (Kant) และ คีร์เคกอร์ด ( KieKergard)
แตก่ ็ไม่ไดห้ มายความว่า ท่านได้ยืมแนวคิดของท่านเหล่าน้ันมาดดั แปลงเปน็ ปรัชญาของตน ในทางกลับกันก็ยัง
มีความแตกต่างในหลายด้านระหว่างท่านไฮเดกเกอร์และนักปรัชญาเหล่านั้น ที่น่าสนใจและสาคัญคือไฮเดก
เกอร์ยอมรับวิธีการแห่งปรากฏการณ์นิยม (Phenomenology[1] = ปรากฏการณ์วิทยา ซ่ึงศึกษาเกี่ยวกับ

80

ปรากฏการณ์ตามแนวคิดของฮุสเซิร์ล หมายถึงวธิ ีการทางปรัชญา ซ่งึ บรรยายปรากฏการณ์ตามความรู้โดยตรง
ท่ีได้จากปรากฏการนั้น) ของฮุสเซิร์ล แต่ท่าน ไฮเดกเกอร์ก็ได้แปลความหมายในทางที่ว่ามันมีประโยชน์
ตอ่ อตั ถภิ าวะของมนษุ ย์ เพราะมนุษยจ์ ะต้องใส่ใจศึกษาปรากฏการณ์แหง่ ชวี ติ ท่ีดาเนนิ ไปอยา่ งสลับซบั ซอ้ นตาม
ความเป็นจริงตามท่ีปรากฏ ท่านไฮเดกเกอร์มีความสนใจต่อประวัติศาสตร์เหมือนเฮเกล และได้พยายาม
ตล อด เ ว ล าท่ี จ ะ ป ร ะ ส าน ปั ญ ห า ทา ง ป รั ชญ า กั บ แน ว คิด ขอ ง นัก ป รัช ญ า ใ น ป ร ะ วั ติศ า สต ร์

ไฮเดกเกอร์ มีความเห็นว่า ปรัชญาตะวันตกได้เดินผิดเส้นทางครั้งแรกเริ่มต้ังแต่ช่วงเวลาของพลาโต
(Plato) ท่ีไม่ให้ความสนใจต่ออัตถิภาวะของมนุษย์ โดยท่ีท่านพลาโตได้ให้ความสนใจศึกษาเร่ือง Forms ซ่ึง
ถึงแม้ว่าท่าน Heidegger จะรับฟังความคิดเห็นของนักปรัชญาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Kant หรอื ใคร ท่านก็ไม่ได้
ลาเอียงเข้าข้างนักปรัชญาคนใดเลย แต่ท่าน เห็นว่า ค้านท์ คือนักปรัชญาผู้ท่ีจะพยายามสร้างอภิปรัชญา
(Metaphysics[2]) ในมิติที่ให้ความสาคัญแก่มนุษย์ (Human existence) ท่านคีร์เคกอร์ดต่อต้านเฮเกลอย่าง
หนักตรงท่ีว่า ท่านเฮเกล ให้ความสาคัญแก่ “Concept” มโนทัศน์[3]มากเกินไป และท่าน เองก็ได้ให้
ความสาคัญแก่การกระทาของปัจเจกชน ท่านยังได้ตาหนิฮุสเซิร์ล ตรงประเด็นท่ีว่า ได้มัวแต่ยุ่งอยู่
กับ “essence[4]” สารัตถะ มากเกินไป (essence =ภาวะอันเป็นเน้ือแท้ของสง่ิ ใดส่ิงหนง่ึ ซ่ึงทาใหส้ ิ่งน้ันเป็น
ตัวของตัวเอง) ท่านHeidegger เห็นว่า Phenomenology (ปรากฏการณ์วิทยา) ของฮุสเซิร์ล ละเลยอัตถิ
ภาวะของปัจเจกชน โดยได้ให้เหตุผลไว้ว่า การวิเคราะห์หาเหตุผลด้านนามธรรม (concept) มากเกินไป ยังไม่
เพยี งพอทีจ่ ะก่อให้เกดิ ความรู้เกยี่ วกับส่ิงมอี ย่จู รงิ ๆ และไมม่ อี ยจู่ ริง ไฮเดกเกรอ์ คันค้านทา่ นฮุสเซริ ์ลอีกตรงท่ีว่า
ทา่ นฮสุ เซิร์ลไมส่ นใจ being ( ความเป็นตวั ตนจรงิ ๆของสรรพสง่ิ ) แต่อุทศิ เวลาใหก้ บั “Essence” เทา่ นั้น

นกั คิดชาวเยอรมัน ไฮเด็กเกอร์ (Heidegger: 1889- 1976) เกิดในแถบแบล็กฟอเรส (Black Forest)
มีผลงานที่โด่งดังคือ “Being and Time- ความเป็นอยู่และกาละ” (1927) เป็นผลงานแนวคิดระบบ
อัตถิภาวะนยิ ม

ไฮเด็กเกอร์ได้ชี้ในเห็นว่า “คน-man” ต่างจาก “ส่ิงของ-things” คือคนเท่าน้ันที่สามารถตั้งคาถาม
เกี่ยวกับ “ความเป็น-Being” ของเขาเองและสนใจเก่ียวกบั “ความเป็น-Being” ในตวั ของมันเองได้ “คนใน
ฐานะดาซีน-Man as Dasein” คาว่า “คน” อาจถูกหลอกลวงได้ เพราะในประวัติศาสตร์ของปรัชญาให้
คาอธบิ ายของคาว่า “คน” ไวม้ ากมายจนดูไปเหมือนกบั คานิยามของ “สิ่งของท่ีจากดั -the definite of thing”
การที่จะคิดเร่ืองของมนุษย์จะต้องอาศัยสารัตถะ 2 อย่าง (two substances) คืออย่างแรกมนุษย์ในฐานะ
ของ “ผู้รู้-a knowing subject” ที่เผชิญโลกอยู่ และอีกอย่างในฐานะ “วัตถทุ ่ีรไู้ ด้-knowable object” ไฮ
เด็กเกอรจ์ งึ นาคาว่า “ดาซนี -Dasein” ทใ่ี นภาษาเยอรมนั แปลวา่ “being there-อยทู่ ี่นนั่ ” ให้ความหมายของ
ความเป็นคนคือ ความดารงอยู่ หลักการที่ว่า “ Man as Dasein – มนุษย์คือดาซีน” จึงหมายถึงมนุษย์ที่
สาเหนียกรถู้ ึงการมอี ยู่ เป็นอยู่ ดารงอยแู่ ห่งตนดว้ ยการคดิ รู้ในตนเองได้

ภาวะพ้ืนฐานของมนษุ ย์ทร่ี ู้อยู่ รู้เป็นของตนเอง (ดาซนี -Dasein) เขารู้ว่าเขาอยู่ในโลกนี้ (his being-
in-the-world) เขารู้ตัวว่าขณะน้ีเขาคือใครอย่างมีความเข้าใจ (understanding) และรู้ว่าภาวะการดารงอยู่
แห่งตนเป็นสิ่งที่ช่ัวคราว (temporal) เปล่ียนแปลงไปได้ตามกาลเวลา และสถานการณ์ ซ่ึงทาให้มนุษย์เกิด
ภาวะวิตกกังวล (anxiety) ถึงแม้ว่า “มนุษย์จะถูกจับโยน” เข้ามาอยู่ในโลกนี้ โดยไม่ได้ร้องขอมา (thrown
into the world) แตเ่ ม่อื มกี ารดารงอยู่ข้นึ มาแล้วก็ต้องรู้จักตดั สินใจชวี ิตด้วยตนเอง ไม่ใช่อยู่อย่างเล่ือนลอยใช้
ชีวิตล่องลอยไปตามยะถากรรม แม้ว่าจะรู้อยู่ว่าคนเราจากการดารงอยู่ก็ไปสู่การไม่มีอยู่ (no-thing) ซ่ึงเป็น
ข้อจากัดของชีวติ ก็ตามที

81

กาเบรียล มาร์เชล Marcel (ค.ศ.1889-1973)

ภาพที่ 7 กาเบรียล มาร์เชล
จาก กาเบรยี ล การเ์ ซีย มาร์เกซ” เจ้าของรางวลั โนเบลวรรณกรรม เสยี ชวี ติ แล้ว ในวยั 87 ป.ี [ออนไลน์],

เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=vinitsiri&month=18-04-
2014&group=70&gblog=170. (วันที่สบื ค้นขอ้ มูล 10 กรกฎาคม 2565).

ประวตั ิ
กาเบรียล มารเ์ ซล ( Gabriel-Honoré Marcel ) (เกิดเมื่อวันท่ี 7 ธนั วาคม พ.ศ. 2432 ณ กรุงปารีส

ประเทศฝรั่งเศส เสียชีวิตเม่ือวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ณ กรุงปารีส) นักปรัชญานักเขียนบทละครและนัก
วิจารณ์ชาวฝรั่งเศสที่มีความเกี่ยวข้องกับขบวนการปรากฎการณ์และอัตถิภาวนิยมในศตวรรษท่ี 20 ปรัชญา
ยโุ รปและผลงานและรูปแบบของพวกเขามักมลี กั ษณะเปน็ เทวนยิ มหรือครสิ เตียนอตั ถิภาวนิยม (คาทีม่ ารเ์ ซลไม่
ชอบโดยเลือกใช้คาอธิบายท่ีเป็นกลางมากกว่า“ นีโอโซคราตคิ ” เพราะจับภาพการสนทนาการตรวจสอบและ
บางครั้งกแ็ สดงถงึ ธรรมชาตขิ องการสะทอ้ นของเขา)

รูปแบบทางปรชั ญาของ Marcel เปน็ ไปตามวธิ กี ารพรรณนาของ ปรากฏการณ์วทิ ยา . ละทิ้งโครงสร้าง
วธิ กี ารทเ่ี ป็นระบบมากข้ึน Marcel พัฒนาวธิ ีการของประเดน็ ละเอียดรอบขอบของประสบการณช์ วี ิตกลางท่ีมุ่ง
เปา้ ไปทกี่ ารเปดิ โปงความจรงิ เกี่ยวกบั สภาพของมนุษย์ อนั ท่ีจรงิ ผลงานช้ินแรกของเขาหลายชน้ิ เขียนในรูปแบบ
ไดอาร่ีซึ่งเป็นแนวทางท่ีไม่ธรรมดาสาหรับนักปรัชญา มาร์เซลยืนยันเสมอที่จะทางานโดยใช้ตัวอย่างท่ีเป็น
รูปธรรมจากประสบการณ์ธรรมดาเป็นพ้ืนฐานเบ้ืองต้นสาหรับการวิเคราะห์เชิงปรัชญาเชิงนามธรรมมากขึ้น
ผลงานของเขายังเปน็ อตั ชวี ประวตั อิ ยา่ งมนี ัยสาคญั ซ่ึงสะทอ้ นให้เหน็ ถงึ ความเชื่อของเขาทวี่ ่าปรชั ญาเปน็ ภารกิจ
ส่วนบุคคลมากพอ ๆ กับการค้นหาความจริงเชิงวัตถุประสงค์โดยไม่สนใจ. ในมุมมองของ Marcel คาถามเชิง
ปรัชญาเก่ยี วขอ้ งกบั ผู้ถามอย่างลึกซึ้งความเข้าใจที่เขาเชอ่ื ว่าหายไปจากปรัชญาร่วมสมัยส่วนใหญ่ ผลงานละคร
ของมาร์เซลมีจุดมุ่งหมายเพื่อเติมเต็มความคิดเชิงปรัชญาของเขา ประสบการณ์มากมายที่เขานามาสู่ชีวิตบน
เวทีข้นึ อยกู่ บั การวิเคราะห์รายละเอยี ดเพ่มิ เตมิ ในงานเขียนเชงิ ปรัชญาของเขา

แนวปรชั ญาพ้นื ฐาน
Marcel ได้รับอทิ ธิพลจากปรากฏการณ์วทิ ยาของนักปรัชญาชาวเยอรมัน Edmund Husserlและโดย

การปฏิเสธอุดมคตินิยมและ Cartesianism โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชว่ งตน้ อาชพี ของเขา แนวปรัชญาพืน้ ฐานของ
เขาได้รับแรงบันดาลใจจากความไม่พอใจกับแนวทางปรัชญาท่ีพบในRené Descartesและในการพัฒนา
Cartesianism หลงั จาก Descartes Marcel สังเกตเห็น (ในความเปน็ อยแู่ ละการมี ) วา่ “ คาร์ทเี ซียนหมายถึง
การแบ่งแยก…ระหว่างสติปัญญาและชีวิต; ผลลัพธ์ของมนั คือค่าเสื่อมราคาของส่ิงหน่ึงและความสูงส่งของอีก
คนทั้งสองโดยพลการ” เดส์การ์ตส์มีช่ือเสียงในด้านการต้ังข้อสงสยั เกี่ยวกับความคิดท้ังหมดของเขาอย่างเด็ด
เด่ียวและการแยกตวั ตนภายในออกจากโลกภายนอก กลยุทธ์ในการตงั้ ข้อสงสัยอย่างเปน็ ระบบของเขาคอื ความ

82

พยายามท่ีจะฟื้นฟูความเช่ือมโยงระหว่างจิตใจและความเป็นจริง จากข้อมูลของ Marcel จุดเริ่มต้นของ
Descartes ไม่ใชก่ ารพรรณนาถึงตวั ตนท่ีถูกตอ้ งในประสบการณ์จริงซ่ึงไม่มีการแบ่งแยกระหว่างจิตสานึกและ
โลก เมื่ออธิบายแนวทางของ Descartes ว่าเป็นมุมมองของ "ผูช้ ม" Marcel แยง้ ว่าควรเขา้ ใจตวั เองว่าเป็น "ผู้มี
ส่วนร่วม" ในความเป็นจริงแทนน่ันคือความเข้าใจทถี่ กู ตอ้ งมากขึ้นเก่ยี วกับธรรมชาตขิ องตวั ตนและการจมอยูใ่ น
โลกแหง่ ประสบการณ์ทเี่ ปน็ รูปธรรม

ฌอง ปอล ซาร์ตร์ Jean Paul Sartre(ค.ศ.1905-1980)

ภาพที่ 8 ฌอง ปอล ซารต์ ร์
จาก นักปรัชญา. [ออนไลน์], เขา้ ถึงได้จาก : https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/12.html.

(วนั ทสี่ ืบคน้ ขอ้ มูล 10 กรกฎาคม 2565).
ชวี ประวตั ิของ ณอง-ปอล ซารต์ ร์

ซาร์ตร์เป็นนักวรรณคดีและนักปรัชญาร่วมสมัยชาวฝร่ังเศส ผลงานของท่านเขียนนวนิยาย เร่ืองส้ัน
บทละคร และปรชั ญา เพ่ือเผยแพรล่ ัทธอิ ัตถิภาวะนิยม นับว่าเขาเป็นนกั เขยี นท่ีรู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก
คนหนึ่งในปัจจุบัน โดยที่มีจุดมุ่งหมายท่ีจะปรับปรุงระบบสังคมของมนุษย์ให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเร่ิมจาก
การศึกษาใหร้ ู้จักตัวเองเสียก่อน แลว้ ยอมรับสภาพความเป็นจริงของตนเองแต่ละคน และเขายังเป็นนักคดิ ท่ีมี
อิทธพิ ลตอ่ ความคิดของคนรุ่นใหม่ เป็นผู้ทาให้มนุษย์แสวงหาความหมายท่ีแท้จรงิ ของชีวติ จะทาให้คนรุ่นใหม่
บางคนปฏเิ สธค่านิยมแบบดง้ั เดิมอนั ไมพ่ ึงปรารถนา ซาร์ตรไ์ ดป้ ลูกฝังค่านยิ มใหม่ๆ ในจติ ใจของคนรนุ่ ใหม่และ
งานของเขากน็ ับวา่ ประสบผลสาเร็จมากพอสมควรในสังคมโลกปจั จุบัน
แนวปรชั ญาของซาร์ตร์

ปรัชญาของซาร์ตร์เป็นอัตถิภาวะนิยมระบบเทวะ หรือ ท่ีถูกกว่าน้ันควรเรียกว่าอัตถิภาวะนิยมแบบ
ศาสนา เพราะไม่เห็นชอบกับศาสนาใดทั้งสิ้น โดยถือว่าศาสนาทุกศาสนาเป็นมูลบทที่เหลือเฟือ ซาร์ตร์มี
แนวความคิดว่าไม่จาเป็นต้องอาศัยศาสนาใดเลย เราก็สามารถแก้ปัญหาในชีวิตของเราได้ ท่ีร้ายกว่านั้น
การนบั ถอื ศาสนาจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนฉลาดเอาเปรียบคนโง่ โดยเสนออดุ มคติให้หลงไหล จนทาให้ผู้
นับถือใช้เปน็ ข้อแก้ตัว เพอ่ื หลีกเลย่ี งความรับผิดชอบที่จะเผชญิ หน้ากับปัญหาด้วยตัวเอง ซาร์ตร์ยังไม่เห็น
ด้วยกบั อดุ มคตคิ วามคดิ หลักการหรอื ลทั ธิที่มีความคิดตายตวั เปน็ มาตรฐานเพราะสิ่งเหล่านท้ี าใหม้ นุษยไ์ ม่มี
เสรภี าพทตี่ นพงึ มเี พราะมนษุ ยก์ บั เสรีภาพเป็นของค่กู ัน และจะไมม่ ีใครสามารถแยกมนุษยอ์ อกจากเสรีภาพ
ได้เลย ตราบเท่าทีม่ นุษย์ยังเป็นมนุษยอ์ ยู่ คอื ยังไม่ตายน้นั เอง แม้แตผ่ ู้ท่ียอมเสียเสรีภาพเองเขากไ็ ม่ไดส้ ูญเสีย
เสรีภาพเลย เพราะการที่เขายอมเสียเสรภี าพนัน้ แสดงวา่ เขาสามารถเลือกได้ระหวา่ งการยอมและ ไม่ยอม และ
เขาก็ได้เลือกเอาการยอมเสียเสรีภาพ และน่ันคือเขากม็ ีเสรีภาพในการเลือกด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ซาร์ตร์จึง

83

เน้นวา่ ตราบใดที่มนษุ ย์ยังเปน็ มนุษย์อยู่ มนุษยจ์ ะไมม่ วี นั สญู เสียเสรีภาพอย่างหมดสน้ิ จรงิ ๆ เลยเพราะการเป็น
มนุษย์นั้นจาเป็นต้องมีเสรีภาพ นั่นคือเสรีภาพเป็นแก่นแท้ของมนุษย์หรือเสรีภาพก็คือสารัตถะของ
มนุษย์ แนวปรัชญาของซาร์ตร์ที่เด่นๆ และมงุ่ แสดงอย่างแจ่มชัดก็คือเรื่องอตั ถิภาวะของมนุษย์ หรือความมีอยู่
ความเปน็ มนุษย์ ซ่งึ สาระของความเป็นมนษุ ย์ ซารต์ ร์กไ็ ด้ให้คาตอบว่ามนั คือ “เสรีภาพ” นน่ั เอง

เสรภี าพในแนวความคดิ ของซาร์ตร์
ซารต์ ร์ ได้ใหค้ วามหมายของเสรีภาพไว้ว่า “เปน็ ความสามารถทจ่ี ะเลือกทาสง่ิ ใดก็ไดต้ ามเจตจานงของ

ตนเอง” ดังนน้ั มนษุ ย์จึงสามารถสร้างชีวิตของตนให้เป็นไปตามความตอ้ งการ ซาร์ตร์บอกว่า “มนุษยถ์ ูกสาป
ให้มีเสรีภาพ” (MAN IS CONDEMNED TO BE FREE) เพราะมนุษย์ไม่อาจปฏิเสธเสรภี าพของตนเองได้ และ
มนุษย์ไม่สามารถยุตกิ ารเลือกไดต้ ราบเท่าท่ยี ังมลี มหายใจอยู่ ฉะนั้นเสรีภาพจึงตอ้ งอยู่ควบค่กู ับการเป็นมนุษย์
อยา่ งไรก็ดี แต่เสรีภาพในทนี่ ้ี มใิ ช่เสรีภาพจะทาอะไรกไ็ ด้ตามท่ใี จปรารถนา แม้ว่ามนุษยส์ ามารถท่จี ะเลอื กหรือ
ตัดสินใจอะไรก็ได้ แต่มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อการเลือกและการตัดสินใจน้ัน กล่าวคือ มนุษย์จะต้อง
รับผิดชอบตอ่ การใช้เสรีภาพของตนเลอื ก การกระทาท่ีไมก่ ระทบกระเทอื นเสรีภาพของคนอน่ื และย่ิงไปกวา่ นั้น
มนุษยค์ วรเลือกการกระทาทส่ี ่งเสรมิ เสรีภาพของตนเองและของผูอ้ น่ื ดว้ ย

สาระสาคญั เกย่ี วกับเสรีภาพตามความคิดของซาร์ตร์
มนุษย์เป็นผู้มีเสรีภาพ เสรีภาพเป็นคุณสมบัติที่สาคัญที่สุดของความเป็นมนุษย์ “มนุษย์ถูกสาปให้มี

เสรีภาพ” ทุกส่ิงทุกอย่างอยภู่ ายใต้เสรภี าพของมนุษย์ เสรีภาพเป็นสิ่งท่ีติดตัวมาตัง้ แต่เกิด ซาร์ตร์ปฏเิ สธความ
เชื่อเรื่องพระเจ้า เร่ืองอมฤตภาพของวิญญาณ และความมีตัวตนของวิญญาณ โดยถือว่าวิญญาณเป็นเพียง
กระแสความสานึก (Consciousness) ตายแล้วก็หมดเรื่องกัน ซาร์ตร์เน้นในเร่ืองการเผชิญหน้ากับปัญหาใน
ปัจจุบัน เขาสอนให้แก้ปัญหาและรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า ให้รู้จักใช้เสรีภาพ และภมู ิใจในเสรีภาพ
ของตนเอง ใหร้ ู้จกั ชวี ิตและรับผิดชอบต่อชีวิตในปัจจุบันเท่านั้นพอแล้ว ไมต่ ้องคิดอะไรไปมากกว่านี้ ไม่ยอมรับ
พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ เพราะความเชื่อเรื่องพระเจ้าน้ีขัดกับความคิดเร่ืองเสรีภาพของมนุษย์ นอกจากนั้น
ซาร์ตรย์ ังไดป้ ฏเิ สธเรื่องสวรรค์และกิเลส โดยคดิ วา่ เสรีภาพถูกสร้างขน้ึ มาดว้ ยตวั มนุษยเ์ อง มนษุ ยถ์ ูกกาหนดให้
เป็นอิสระ เสรีภาพเปน็ ส่งิ ทีอ่ ยเู่ หนือส่งิ ใดๆ มนุษย์จาเป็นตอ้ งมีเสรภี าพโดยสมบูรณ์ อเทวนิยมแบบซาร์ตร์เป็น
การเน้นความสาคัญของมนุษย์แต่อย่างเดียวก็คอื พระเจา้ ไม่มีอิทธิพลเหนือมนษุ ย์ใดๆ ท้งั ส้ิน แม้พระเจ้ามีอยู่
แต่ก็ไม่มีอะไรเปลยี่ นแปลงเสรีภาพทแ่ี ท้จรงิ กค็ ือความสามารถของแต่ละบคุ คลทจ่ี ะสร้างชีวิตและรับผดิ ชอบ
ต่ออนาคต และความก้าวหน้าของตนเอง โดยที่การตัดสินใจของแต่ละคนน้ันจะต้องเป็นการตัดสินใจตาม
เหตุผล อาศัยสติปญั ญาทีต่ นเองเข้าใจและยอมรับ โดยไม่ตกเป็นทาสของสงิ่ ใด พรอ้ มกันนั้น ก็อาศัยชีวติ สงั คม
ที่ทุกคนต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา เพ่ือช่วยพัฒนาเราให้รู้เป้าหมายของชีวิตและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ผู้ มี
เสรภี าพมากขนึ้

84

3. โรงเรียนทจ่ี ัดการศึกษาตามแนวปรชั ญา อตั ถิภาวะนยิ ม
3.1 โรงเรยี นซัมเมอร์ฮลิ ล์ | โรงเรยี น Leiston ประเทศองั กฤษ

ภาพท่ี 8 โรงเรยี นซมั เมอร์ฮิลล์
จาก ซัมเมอร์ฮลิ SummerHill (โรงเรียนตามสบาย). [ออนไลน์], เข้าถงึ ได้จาก :

http://anukun666.blogspot.com/2016/11/summerhill.html. (วนั ท่สี บื ค้นข้อมลู 14 กรกฎาคม 2564).
5.1.1 แนวคดิ เกย่ี วกบั ซมั เมอร์ฮลิ

ซัมเมอร์ฮิลต้ังขึ้นในปีพ.ศ. 2464 ที่เมืองเลสตัน มณฑลซัฟโฟค ห่างจากรุงลอนดอนประมาณ 100
ไมล์ รับนักเรียนตั้งแต่อายุ 5 ขวบถึง 15 ขวบ หนงั สือพิมพ์เรียกโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลว่า “โรงเรียนตามสบาย”
(Go- as- you-please school) เหตเุ พราะท่ีซัมเมอร์ฮลิ เปน็ โรงเรยี นที่ให้ชวี ติ ทีเ่ สรีแกน่ กั เรียน บนแนวคดิ ทีว่ ่า

เราต้องสร้าง“โรงเรียนให้เหมาะกับกับเด็กไม่ใช่สร้างเด็กให้เหมาะกับโรงเรียน” ท่ีซัมเมอร์ฮิลให้นักเรียนมี
อิสระท่ีจะสามารถเป็นตัวของตังเองโดยการยกเลิกระเบียบวินัย การสั่งให้ทา การแนะนาให้ทา การอบรม

ศลี ธรรมจรรยา โดยโรงเรียนมีความเช่ือม่นั ในตัวเด็กในฐานะที่เขาเปน็ สิ่งมีชีวิตทดี่ ไี มเ่ ลวทรามแตอ่ ย่างใด เขา
เชื่อว่าเด็กทุกคนเกิดมาพรอ้ มกับความฉลาดและมีความคิดตรงกับความเป็นจริงและถ้าเราปลอ่ ยให้เขาพัฒนา
ตนเองอย่างเป็นอิสระปราศจากการแนะนาหรือบังคับต่างๆเขาจะสามารถพัฒนาตนเองได้มากที่สุดท่ีเขาจะ

สามารถ ท่ีซัมเมอร์ฮิลมองว่า “การเรียนเป็นเรื่องของการเลือกไม่ใช่การบังคับ” นักเรียนจะเรียนก็ได้จะไม่
เรียนก็ได้ นานเท่าไรก็ได้ นักเรียนจะอยู่ช้ันใดข้ึนอยกู่ ับอายุหรือความสนใจ ไม่มีการสอนแบบใหม่เพราะที่

ซัมเมอร์ฮิลไม่ถือว่าการสอนโดยตัวของมันเองเป็นสิ่งสาคัญ เพราะการเรียนข้ึนอยู่กับความสนใจและความ
ตอ้ งการที่จะเรียนของเด็ก ไม่มกี ารสอบประจาชั้นเรยี นแต่บางคร้งั อาจมีการสอบเพียงเพ่ือความสนุกสนานดัง
ตัวอย่างของข้อสอบฉบับหนึ่งว่า ส่ิงเหล่าน้ีอยู่ที่ไหน แมดริด เมื่อวานนี้ ความรัก ประชาธิปไตย ความ

เกลียด และไขควงของฉัน(น่าเสียดายที่ไม่มีคาตอบสาหรับข้อหลังนี้เลย) ซัมเมอร์ฮิลอาจเป็นโรงเรียนท่ีมี
ความสุขที่สุดในโลก เพราะไม่คอ่ ยมีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่คอ่ ยได้ยนิ เสยี งรอ้ งไห้เหตเุ พราะเด็กมีเสรีภาพไม่

ค่อยมีความเกลียดชังทุกคนมีแต่ความรักนั่นคือการยอมรับในตัวเด็ก ซ่ึงถือเป็นแก่นแท้ของโรงเรียน แต่
อย่างไรก็ตามท่ีซัมเมอร์ฮิลให้แนวคิดว่าการยอมรับไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากเง่ือนไขและเกิน
ความสามารถของมนุษย์กล่าวคอื ทุกคนทน่ี ัน่ มีความเสมอภาคและสิทธิท่ีเท่าเทยี มกันในความเป็นมนษุ ยค์ นหนึ่ง

ดังจะเห็นได้จากการประชุมสภาโรงเรียน (General School Meeting) คะแนนเสียงของเด็กหกขวบมีค่า
เท่ากับคะแนนเสียงของเจ้าของโรงเรียน แนวคิดที่สาคัญอีกประการหนึ่งคือท่ซี ัมเมอร์ฮิลเน้นความสาคัญของ

การปราศจากความกลัวในจิตใจของเด็กดังจะเห็นได้จากมีอยู่วนั หน่ึงเด็กชายวัย 9 ขวบเดินเข้าไปบอกเจ้าของ

85

โรงเรียนว่าเขาเตะฟุตบอลถูกกระจกหน้าต่างแตก เหตุท่ีเขากล้าบอกเพราะว่าเขารู้ว่ามันจะไม่เป็นสาเหตุให้
เขาถูกดุ ถกู ลงโทษหรอื กล่าวโทษทางจริยธรรมใหเ้ ขาไดอ้ ับอาย เขาเพยี งแคอ่ าจต้องจ่ายเงินชดใชเ้ ท่านั้น จาก
ตัวอย่างเหตุการณ์ทเี่ กิดในซัมเมอร์ฮิลทาใหพ้ อสรุปไดว้ ่าการท่ีเดก็ ปราศจากความกลัวในจิตใจจะสามารถทาให้
เข้ากับคนแปลกหน้าได้ดีกว่าเด็กท่ีมีความกลัวและส่ิงท่ีเป็นภูมิใจของซัมเมอร์ฮิลอีกอย่าหนึ่งคือการท่ีเด็กท่ีมี
ความเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าได้ดีเป็นพิเศษ โรงเรียนซมั เมอร์ฮิลมองว่าหน้าท่ีของเดก็ คอื การใช้ชวี ิตของเอง
ไม่ใช่ชีวิตทพ่ี อ่ แม่อยากใหเ้ ขาเปน็ หรือชีวิตทีเ่ ปน็ ไปตามจดุ หมายปลายทางของนกั การศกึ ษา

5.1.2 สภาพทวั่ ไปของซัมเมอร์ฮิล
กจิ วัตรประจาวันของครูและนักเรียนในซัมเมอรฮ์ ิล เร่ิมจากครูและนักเรียนรับถาดรับประทานอาหาร
เวลา 08.15-09.00 น. เร่ิมการเรียนเวลา 09.30-13.00 น. แต่เด็กเล็กและเด็กอนุบาลจะหยุดพักรับประทาน
อาหารเท่ียงเวลา 12.30 น. เด็กโตจะพักเวลา 13.30 น.พรอ้ มกับครูหลังจากนนั้ เปน็ ช่วงอสิ ระของเดก็ ใครจะทา
อะไรก็ไดต้ ามใจ เช่น นีลซึ่งเปน็ เจ้าของโรงเรียนชอบทาสวน เด็กเล็กจะเล่นเป็นกลุ่ม เด็กโตจะชอบขลุกอยู่ใน
โรงงานหรือห้องศลิ ปะ เพ่อื ซอ่ มวิทยุ นาฬิกา หรือวาดภาพ เวลา 4 โมงเยน็ เปน็ เวลานา้ ชาและอาหารว่างจนถึง
เวลา๕โมงเย็นก็กลับไปทางานของเขาหรือเล่นต่อท่ีซมั เมอรฮ์ ิลไม่มีใครถูกบังคับให้เข้าห้องเรียนหนังสือเป็นอัน
ขาด เวลากลางคืนคือเวลากิจกรรมสาหรับเด็กคืนวันจันทร์เด็กๆจะไปดูภาพยนตร์ในเมืองและวันพฤหัสบดี
เด็กๆอาจไปดหู นังอีกคร้ังถ้ามโี ปรแกรมหนงั ใหมๆ่ คนื วันองั คารเดก็ โตและครจู ะรบั ฟังการบรรยายเกี่ยวกับวชิ า
จิตวิทยาตามหัวข้อท่ีสนใจ คืนวันพุธจะมีการจัดงานเต้นราซ่ึงเป็นกิจกรรมที่นักเรียนชอบมาก คืนวันเสาร์
ประชมุ สภานกั เรยี นคนื วนั อาทติ ยใ์ นฤดหู นาวเป็นคืนจดั ให้มีการแสดงต่างๆ

นักเรียนท่ีซัมเมอร์ฮิลมักเป็นลูกคนรวยหรือไม่ก็คนช้ันกลางเหตุเพราะการที่จะดาเนินการของ
โรงเรยี นซัมเมอร์ฮลิ ใหส้ ามารถดาเนนิ อยไู่ ด้โดยไม่ลม้ จาเปน็ ต้องใช้เงินจานวนมากนั่นเป็นเพราะด้วยรูปแบบใน
การจัดการเรียนการสอนท่ีเป็นการให้อิสระและสร้างทางเลือกท่ีหลายหลายให้กับเด็กและเหตุผลอีกประการ
หนง่ึ คอื ดว้ ยความเปน็ ซัมเมอร์ฮิลทาให้ในชว่ งแรกไม่ค่อยมีผู้ปกคลองกล้าส่งนักเรียนเข้าเรยี นทนี่ ่ีทาให้โรงเรียน
จะต้องแบกรับภาระคา่ ใช้จ่ายเพอ่ื ให้การดาเนนิ การของโรงเรียนสามารถทาได้

ข้อสังเกตอีกประการหน่ึงของซัมเมอร์ฮิลคือครูไม่ค่อยอารมณ์เสียและเด็กไม่ค่อยแสดงความ
ก้าวร้าวเหตุอาจเป็นเพราะเด็กไม่รู้สึกเกลียดชัง เพราะความก้าวร้าวมักจะเป็นเด็กที่ถูกบังคับและมีความ
เกลียดอยใู่ นจิตใจจงึ แสดงความกา้ วรา้ วออกมาเพอ่ื ประท้วงตอ่ ความเกลียดชังแตอ่ ย่างไรกต็ ามถึงแมซ้ ัมเมอร์ฮิล
จะให้เสรีภาพกบั นักเรียนให้ไดท้ าในส่ิงที่เขาอยากทาแต่ไม่ไดห้ มายความว่าโรงเรียนจะเพิกเฉยหรือละเลยเรือ่ ง
ต่างๆที่เป็นสามัญสานึกเช่นเร่ืองความปลอดภัยแต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามเด็กทาทุกอย่างที่เป็นเร่ือง
อันตรายเพราะเด็กจะเป็นคนขี้ขลาดดังนั้นจึงเป็นการยากท่ีจะแยกระหว่างความสมเหตุสมผลกับความกังวล
จากแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนแบบซัมเมอร์ฮิลทาให้ดูเหมือนว่าระบบที่โรงเรียนซัมเมอร์ฮิลใช้อยู่ไม่
กอ่ ให้เกิดความเป็นอันหนึง่ อันเดียวกนั ในสังคมโดยรวมเป็นการปฏิรปู หรือเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่อย่างไรก็
ตาม นลี ซง่ึ เป็นผู้กอ่ ตั้งโรงเรียนกล่าวว่าเขาไมเ่ คยคดิ ท่ีจะเปลย่ี นแปลงหรอื ปฏิรูปสังคมแตอ่ ย่างใดเพราะหน้าท่ี
ของเขาเพียงแต่ทาให้เดก็ ไม่กีค่ นมีความสุข

86

ภาพที่ 9 บรรยากาศในโรงเรยี นซมั เมอร์ฮลิ ล์
จาก ซัมเมอรฮ์ ลิ SummerHill (โรงเรยี นตามสบาย). [ออนไลน์], เข้าถึงไดจ้ าก :
http://anukun666.blogspot.com/2016/11/summerhill.html. (วันที่สืบคน้ ข้อมูล 14 กรกฎาคม 2564).
5.1.3 บทวจิ ารณ์เกี่ยวกบั แนวคดิ ซัมเมอร์ฮิล
นักปรัชญาการศึกษากบั แนวคิดเกยี่ วกบั เป้าหมายการศึกษา
เพลโต นักปรัชญาคนแรกที่กล่าวถึงเป้าหมายของการศกึ ษาอยา่ งชดั เจนว่า “เป้าหมายของการศกึ ษา
คือ การทาให้บุคคลตระหนักได้ชัดเจนว่าเขาสมควรเป็นชนชั้นไหนของสังคม และส่ิงที่สามารถทดสอบว่าเขา
ควรเป็นชนช้ันไหนของสังคม ก็คือ ความรู้ในความจริงข้ันปรมัตถ์ (ข้ันสูงสุด) กล่าวคือ ถ้าใครสามารถบรรลุ
ความรู้ในขน้ั นี้ เขาสมควรเปน็ ผู้ปกครองรัฐ หรือราชาปราชญ์” [ http://www2.nesac.go.th/nesac/th]
กลุ่มโซฟิสต์ มีความคิดว่า “การศึกษาต้องสามารถทาให้ผู้เรียนได้รับความสาเร็จในการแสวงหา
ผลประโยชน์ให้กับตนเอง” [ http://www2.nesac.go.th/nesac/th]
ส่วนโสคราตีส เห็นว่าเป้าหมายการศึกษา คือ “การค้นพบสัจธรรมหรือความจริงเชิงปรนัย[
http://www2.nesac.go.th/nesac/th]
รุสโซ เห็นว่าเป้าหมายการศึกษา คือ “การให้ผู้เรียนได้เติบโตตามแนวโน้มแห่งธรรมชาติของตน
การศึกษาจึงเป็นอิสระจากสังคมและอิทธิพลใดๆ ท้ังส้ิน ผลของการให้การศึกษาในลักษณะดังกล่าวน้ีคือ
ผูเ้ รียนสามารถเป็นตัวของตัวเอง จากน้ัน จึงเรยี นรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสงั คมและการมุ่งสู่ความดี
ข อ ง สั ง ค ม ทั้ ง สั ง ค ม โ ด ย ล ะ เ ล ย ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ เ ฉ พ า ะ ต น แ ล ะ เ ฉ พ า ะ ก ลุ่ ม ล ง เ สี ย ” [
http://www2.nesac.go.th/nesac/th]
จากแนวคิดข้างต้นอาจพอสรุปได้ว่าเป้าหมายท่ีแท้จริงของการศึกษานั้นไม่ใช้เพียงแค่ทาให้ผู้เข้ารับ
การศึกษารู้ในส่ิงท่ีคิดวา่ ควรรู้หากแท้จริงแลว้ นั้นคือการทาให้ที่เข้ารับการศึกษาได้ รับการพัฒนาตนเองอย่าง
เต็มศักยภาพและที่สาคัญเหนือส่ิงอ่ืนใดคือการดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ดังนั้นกระบวนการจัด
การศึกษาจึงเป็นสง่ิ จาเปน็ และมคี วามสาคญั อยา่ งย่ิงเพราะเปน็ แนวทางทีจ่ ะนามาซ่ึงความสาเรจ็ และบรรลุตาม
เป้าหมายการศกึ ษาในทนี่ คี้ อื ตวั ผเู้ รียนเปน็ เรอ่ื งสาคัญลาดับเปน็ ลาดับทห่ี นึ่ง
จากแนวคิดการจัดการศึกษาในหลายรปู แบบ ซัมเมอร์ฮิลจัดเป็นมิติใหม่ของการจัดการศึกษาเพราะ
เป็นแนวคิดที่ไมไ่ ด้มองการศึกษาเพียงแค่ความสาเร็จทางการเรียนตามเกณฑม์ าตรฐานท่ีโรงเรยี นต้ังไว้เท่าน้ัน
หากแต่มองถึงความต้องการ สิทธิ เสรีภาพ การให้เด็กสามารถเลือกและตอบคาถามตัวเองได้ว่าส่ิงใดเหมาะ

87

หรือไมเ่ หมาะกับตวั เองดังมีคาพดู ของ นีล ผู้กอ่ ตั้งโรงเรียนตอนหนึง่ วา่ เราตอ้ งสรา้ ง“โรงเรยี นใหเ้ หมาะกบั กับ
เดก็ ไมใ่ ช่สร้างเด็กให้เหมาะกบั โรงเรียน” “การเรยี นเป็นเร่ืองของการเลอื กไม่ใชก่ ารบงั คบั ” บนพืน้ ฐานความคิด
ที่ว่า มีความเชื่อม่ันในตัวเด็กในฐานะที่เขาเป็นสิ่งมีชีวิตท่ีดีไม่เลวทรามแต่อย่างใด เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับ
ความฉลาดและมีความคิดตรงกับความเป็นจริงและถ้าเราปล่อยให้เขาพัฒนาตนเองอย่างเป็นอิสระปราศจาก
การแนะนาหรอื บังคับต่างๆเขาจะสามารถพัฒนาตนเองได้มากท่สี ุดท่เี ขาจะสามารถ แต่อย่างไรก็ตามแนวการ
จดั การเรียนแบบซัมเมอร์ฮิลต้องอาศัยองค์ประกอบของความสาเร็จเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายของการศึกษา
หลายประการซึ่งประการที่สาคัญที่สุดน่ันคือความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับองค์กรและบุคลากรใน
องคก์ ร

3.2 โรงเรียนหมูบ่ ้านเด็ก

ภาพท่ี 10 โรงเรยี นหมู่บา้ นเด็ก
จาก มูลนิธเิ ดก็ โรงเรียนหมูบ่ ้านเดก็ . [ออนไลน]์ , เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :
https://www.ffc.or.th/mbd/info/teducation.php. (วันทสี่ ืบค้นขอ้ มลู 14 กรกฎาคม 2564).

ประวัติความเปน็ มา
โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี เป็นโรงเรียนทางเลือก (Alternative Education) ซ่ึงจัดให้
เหมาะสมสาหรับเดก็ ยากจนดาเนินชวี ิตอย่างมีคุณภาพและมคี วามสขุ ในสงั คมโดยการจัดสงิ่ แวดล้อมให้พวกเขา
เติบโตขึ้นท่ามกลางส่ิงแวดล้อมที่ดีให้พวกเขาพร้อมที่จะรู้จักและเข้าใจตนเองและสังคม ด้วยการเรียนรู้จาก
ธรรมชาติ ท่ามกลางความรกั ความเขา้ ใจ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกันบนพน้ื ฐานของเสรีภาพ ความเสมอภาคและ
ภราดรภาพ ที่มีการปกครองตนเองและเคารพสิทธิส่วนตัวของผู้อ่ืน ที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก การศึกษาสาหรับ
เด็กไม่ได้จากัดเฉพาะภายในห้องเรียนและหนังสือเรียนเท่านั้น เด็ก ๆ ทุกคนสามารถเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ จา ก
ธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ศึกษาจากเร่อื งปัจจุบันไปหาอดีต เชื่องโยงความรู้ ความดี และความจริงเข้าด้วยกัน
ศกึ ษาไปพร้อม ๆ ทัง้ ครูกบั เดก็ เด็กกบั ผใู้ หญ่ เดก็ กับเดก็ และเดก็ กบั ธรรมชาติ (พิภพ ธงไชย, 2526)
เป็นท่ีรบั เลยี้ งเดก็ กาพรา้ ยากจน โดยไมม่ ีการเก็บค่าใช้จ่ายใดๆทัง้ สนิ้ ค่าใช้จ่ายทงั้ หมดทไี่ ด้รบั จากการ
บริจาคของผมู้ ีจิตศรัทธา ทง้ั ในและนอกประเทศ ปจั จุบันมีเดก็ 150 คน อายตุ ้งั แต่ 2 ขวบถงึ 20ปี
โรงเรียนหมู่บ้านเด็กตั้งขึ้นเม่ือ พ.ศ. 2522 ในท่ามกลางหุบเขา ริมฝั่ง แม่น้าแควน้อย จ.กาญจนบุรี
และต่อมาย้ายมาตั้งที่ ถ.ลาดหญ้า-ศรีสวัสดิ์ ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โรงเรียนหมู่บ้านเด็กแบ่งระดับ

88

การศึกษา ออกเป็น 2 แนว กล่าวคือ ใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ คือในระดับช้ัน ประถม 1 ถึง 6
จากน้นั จึงเรียนต่อท่ศี นู ยก์ ารศึกษานอกโรงเรียน และทาการฝึกอาชีพให้เดก็ ไปดว้ ยพรอ้ มๆกนั

อกี ระบบหนงึ่ เรียกกนั ทัว่ ไปวา่ "การศึกษาทางเลอื ก" การศึกษาในนัยนีเ้ นน้ ให้นักเรียนค้นหาตัวเอง จนมี
ความเป็นตัวเองไปพร้อมๆ กับท่ีเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม โดยการให้เสรีภาพทางความคิดและ การแสดง
ออกไปพร้อมๆกับ การฝึกให้เขาปกครองตนเอง โรงเรียนหมู่บ้านเด็กจัดการศึกษาในรูปของชุมชน ที่ถอื วา่ การ
ใช้ชีวิตของเดก็ ๆ ณ ทน่ี ้ี คือการไดร้ ับการศกึ ษา

หลักสูตรเร่ิมจากการเรียนรู้ที่รู้จักตัวเองทั้งภายใน และภายนอก เพ่ือขยายจากชุมชนหมู่บ้านเด็ก
ขยายไปสู่ประเทศไทย และประเทศอืน่ ๆ

โครงการตา่ งๆในโรงเรยี นหมบู่ ้านเดก็
1. โครงการบา้ นสวนลาดหญ้า

และเกษตรธรรมชาติ (งานฝึกอาชีพเด็ก) งานส่วนใหญ่ในโครงการบ้านสวนลาดหญา้ จะเป็นการปลูก
พืชผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ เพาะเห็ด ทาอิฐ ซ่อมแซมอาคารสถานท่ี หรือถนนหนทาง บาติก เซรามิก ทอผ้า
คอมพิวเตอรฯ์ ลฯ
2. โครงการอาหารวันเกดิ

ความคิดเห็นของผู้มาเยือนและเด็กๆ ต่อโครงการอาหารวันเกิด " อยากให้โอกาสดีๆแก่เด็กๆเหล่านี้
เพราะแมเ้ ราจะสามารถทาเพียงจุดเลก็ ๆ แต่อย่างนอ้ ยเราก็ได้ลงมอื ทาแล้ว พรอ้ มกันนี้เราต่างกม็ ีโอกาส เรียนรู้
จักการเป็นผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน" คุณกฤตย์ บุญมาดี จ.กาญจนบุรี (นาอาหารมาเลี้ยงเด็ก) " หนูดีใจ
มาก ทพี่ วกพ่ๆี มาเลีย้ งอาหาร รู้สกึ อบอ่นุ ท่ีมีคนมาเอื้อเฟอ้ื เผือ่ แผ่และให้โอกาสกับพวกหนู พวกหนจู ะขยันเรียน
คะ" ด.ญ. สุจิตรา ชุดาภา
3. โครงการเครอื ข่ายการศึกษาทางเลอื ก

เน่ืองจากเด็กแต่ละคนเกิดมาพรอ้ มกับความฉลาดและความสามารถท่ีแตกตา่ งกัน ด้วยเหตุน้ี เด็กควร
จะมีโอกาสที่จะเลอื กระบบ การศึกษาที่เหมาะกับเขาเพ่ือท่จี ะส่งเสรมิ ความฉลาด และความสามารถของเขาให้
สงู สุด น่ีคือเหตุท่ีว่า ควรจะมีระบบการศกึ ษาท่ีหลากหลาย เพ่ือให้ผู้เรียนได้เลือก ดังนี้ โครงการบา้ นสวนเด็ก
บ้านท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ โครงการบ้านทอฝัน ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โครงการ
Home School โครงการฟื้นฟูคณุ ภาพชวี ติ อ.กดุ ชุม จ.ยโสธร เสมสขิ าลยั
4. โครงการอุปการะเด็ก

ความคิดเหน็ ของผอู้ ปุ การะเด็ก ความรู้สกึ คือ
1. อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการชว่ ยเหลอื สงั คมเพราะสถาบันครอบครวั เปน็ พืน้ ฐานสาคัญ
2. คดิ วา่ เงิน 400 บาทแลกกับสภาพความเปน็ อยู่ของเด็กท่ดี ขี น้ึ กวา่ เดมิ น้ันคมุ้ คา่
3. คิดว่าอยากจะให้ของกับเด็กท่เี ราอุปการ
4. เพือ่ ทจี่ ะทาใหเ้ ดก็ มกี าลังใจท่ีจะตอ่ สู้ต่อไป
5. โครงการครอบครวั อปุ ถัมภ์
มเี ด็กจานวนมากท่ีต้องการเรียน แต่ขาดโอกาสด้วยเศรษฐกจิ ของครอบครัวไมเ่ อือ้ อานวย หมู่บา้ นเด็ก
จึงทาสะพานเช่ือมให้กับผู้ที่ต้องการสนับสนุน กับเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา โดยให้การช่วยเหลอื ดังนี้ 5.1
ทางโรงเรียนช่วยเหลือเด็กในระดับประถมศึกษา ให้ทุนอุปกรณ์การเรียนและอาหารกลางวัน 5.2 ส่งเสริมให้
เรียนต่อสายมัธยม 5.3 ส่งเสริมให้ต่อสายอาชีพ(ปวช.) 5.4 ส่งเสริมให้เด็กฝึกอาชีพกับสถานฝึกอาชีพทาง
ราชการ 5.5 หางานให้ทา 5.6 ช่วยเหลือปจั จยั 4

89

ชวี ิตในหมบู่ า้ นเด็ก
ทีน่ ี่ เดก็ จะพักอย่เู ปน็ ประจา โดยแบง่ เปน็ บ้านๆ ละ ประมาณ 10-15 คน รว่ มกบั ผใู้ หญท่ ่ที าหนา้ ท่ี
เสมือนพ่อ แม่ หรอื พจ่ี านวน 2-3 คน กิจกรรมวันจันทร์-ศุกร์
06.00 น. ทาเกษตรร่วมกันทัง้ เด็กและผูใ้ หญ่ ทาความสะอาดบ้าน
07.30 น. อาหารเช้า
08.30 น. เข้าแถว สวดมนต์ และทาสมาธิ กอ่ นเข้าเรียนภาคเช้า
12.00 น. อาหารกลางวัน
13.00 น. เรียนและฝกึ งานอาชีพตามอัธยาศยั
15.00 น. ทางานรว่ มกัน
16.00 น. อาหารว่าง/เลน่ กีฬา
17.00 น. อาหารเยน็ พักผ่อน 21.30 น. เขา้ นอน วันเสาร์ พัฒนาโรงเรยี นรว่ มกัน วนั อาทิตย์ พักผ่อน

กจิ กรรมพเิ ศษ วันจันทร์
13.30 น. ประชมุ ครูและเจ้าหนา้ ทีท่ ุกฝ่าย
วันพธุ 19.30 น. ประชมุ ครแู ละเจา้ หน้าท่เี ร่อื งเด็ก
วนั ศกุ ร์ 13.30 น. ประชุมสภา 20.30 น. กจิ กรรมพบวันศุกร์ (สาหรับเด็กทท่ี างาน)
วนั เสาร์ 20.30 การแสดงเดก็ สภากาแฟผ้ใู หญ่ จัดทุกเดือน สภาโอวัลตินเด็ก จัดทุกเดอื น

การจัดการศกึ ษาในโรงเรียนหมบู่ ้านเดก็ มีความมุ่งหมายในการจัดการศึกษาเพื่อมงุ่ ให้ผู้เรียนมีเสรีภาพ
อย่างเต็มทโี่ ดยไม่ก้าวก่ายเสรภี าพของผู้อื่นมุ่งให้ผู้เรียนเป็นตวั ของตวั เองในการกาหนดความเป็นอยูข่ องตนเอง
ให้ได้มากท่ีสุด มุ่งให้ผู้เรียนเติบโตด้วยความสุข เรียนรู้ชีวิตและสงั คมอย่างมีความสุข มุ่งให้เด็กรู้จักตนเองและ
เข้าใจตนเอง มุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองอย่างเต็มท่ี การจัดการสิ่งแวดล้อมจึงมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กเป็น
อย่างยิ่ง เพราะเด็กจะเรียนรู้และดูดซับประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดข้ึนตลอดเวลาจากสิ่งแวดล้อม มิได้เกิดขึ้น
เฉพาะในห้องเรยี นเท่านั้น (พภิ พ ธงไชย, 2526)

องค์ประกอบ
ผู้สอน

1. ครูจะต้องให้เสรีภาพแก่นักเรียนอย่างเต็มที่ ครูเป็นเสมือนพ่อแม่มากกว่าเป็นครูผู้มีอานาจ เป็นผู้ให้
ความรัก ความอบอุ่น เลี้ยงดู และปฏิบัติต่อเด็กเสมือนเป็นลูกของตนเอง คอยให้คาปรึกษาหารือ
แก้ปญั หาสว่ นตัวตามความต้องการของเดก็ อย่างสม่าเสมอและตอ่ เนือ่ งทงั้ ในภาวะปกติและเจบ็ ปว่ ย

2. ครูจะต้องเอาใจใส่จัดการเรียนการสอนให้เกิดความสนุกสนาน และคานงึ ถึงความแตกต่างของเด็กแต่
ละคน ท้ังด้านสติปญั ญา และอารมณ์ ครูจะตอ้ งช่วยสร้างความพร้อมด้านอารมณ์ ความรู้สึกของเด็ก
ให้เกิดความพร้อมที่จะเรียนรู้ หรือเกิดความสนใจและต้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง และครูต้ อง
พัฒนาการสอนของตนเองใหก้ า้ วหน้าอยเู่ สมอ

3. ครูต้องเป็นผู้เข้าใจเด็ก รู้จิตรู้ใจเด็ก และรู้ปัญหาของเด็กแต่ละคนอย่างแท้จริงเพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจ
ปัญหาและรักษาตนเอง โดยครูจะต้องมีพรสวรรค์พอที่จะรู้ว่าควรอยู่ห่างหรือใกล้ชิดในระยะเวลาท่ี
เหมาะสม และใจกวา้ งพอท่ีจะให้เด็กมเี สรภี าพเสมอภาคกับตนได้

4. ครูของโรงเรยี นหมู่บ้านเดก็ จะต้องมแี นวคิด ความเชอ่ื ในหลักการและความมุ่งหมายของโรงเรยี นเป็น
อยา่ งดี และต้องเข้าใจบทบาทหนา้ ที่ของตนเพยี งพอ เพราะลักษณะการทางานจะต้องร่วมคดิ ร่วมทา
ร่วมแกป้ ญั หา และยอมรบั กันและกันอยา่ งแทจ้ รงิ ครจู ะต้องทางานใหเ้ ดก็ มีความสขุ ดงั นั้นครจู ึงต้องมี
ความสขุ ในการทางาน

90

5. ครูต้องไม่เผด็จการ หรือบังคับให้เด็กทาในสิ่งที่ไม่อยากทาจนกว่าเด็กจะอยากกระทาเองโดยไม่มีการ
บังคับ
ผ้เู รยี น

1. เด็กทุกคนใช้เสรีภาพได้อย่างเต็มท่ีโดยไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวของผู้อ่ืนและส่วนรวม ทุกคนมีเสรีภาพ
อย่างเต็มท่ีและทัดเทยี มกัน มกี ารปกครองตนเองในรูปแบบของการประชุมสภาโรงเรยี น เด็กไดเ้ รียนรู้
ชีวิตจากการดารงชวี ิต ไมใ่ ชว่ ชิ าเกีย่ วกบั ชวี ติ การปกครองตนเองแบบประชาธิปไตย

2. เด็กทุกคนมีเสรีภาพทจี่ ะเรยี นหรือไม่เรยี นก็ได้ ข้ึนอยกู่ ับความพรอ้ มหรือความตอ้ งการของเด็กเอง ไม่
มีการบงั คบั เด็กท่ยี งั ไมเ่ ขา้ ห้องเรียนจะเลอื กเลน่ หรือทากจิ กรรมทเ่ี ขาสนใจก็ได้ตามความสมคั รใจ

3. เด็กมีโอกาสที่จะเลือกเรียน หรือจะทากิจกรรมอ่ืนตามความสนใจ หรือจะเลือกอยู่กับครูที่ตนเองมี
ความพอใจเปน็ พิเศษไดต้ ามความต้องการ
หลักสตู ร

1. เน้นทั้งด้านวิชาการควบคู่กับวิชาชีพ เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาตนเอง คือ เม่ือจบการศึกษาแล้วต้อง
ประกอบอาชีพได้ โดยเฉพาะเกษตรกรรมหรอื เรยี นต่อในระดบั ที่สูงขนึ้ ไดเ้ ชน่ กนั

2. ภาคเช้าเรยี นวิชากลุ่มทักษะ และ สปช. ภาคบ่ายเรียนวิชาชพี หรือกิจกรรมอ่ืนๆโดยให้โอกาสผูเ้ รียน
เลอื กเรียนตามความสนใจ ส่วนวิชาชพี เลอื กเรยี นได้ไมเ่ กิน 3 วิชาในแต่ละภาคเรียน

3. เน้ือหาวิชาภาษาไทยฝึกให้นักเรียนฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะการเขียนและจับ
ประเด็นอภิปรายในเร่ืองตา่ งๆ

4. จัดให้มีกลุ่มประสบการณ์ต่างๆ ไว้ให้นักเรียนเลือกตามความสนใจ เช่น กลุ่มการงานพื้นฐานอาชีพ
ไดแ้ ก่ วิชางานประดิษฐ์ งานเกษตร งานบ้าน งานชา่ ง เปน็ ต้น และกลุ่มสรา้ งเสริมลักษณะนสิ ัย ได้แก่
ศลิ ปศึกษา พลศกึ ษา ดนตรี การแสดงละคร เปน็ ต้น
การประเมินผล
จากความเช่ือทวี่ ่าเด็กมีความแตกต่างกันในด้านการเรยี นรู้ ฉะน้ัน การวัดผลประเมนิ ผลก็เพ่อื

1. สารวจพัฒนาการของเด็กแต่ละคนวา่ สามารถเรียนรู้ในเร่ืองใดผ่านบ้างและควรเน้นหรือทบทวนเร่ือง
ใดเปน็ พเิ ศษบ้าง

2. เพื่อหาข้อบกพรอ่ งของครูผู้สอน เพ่ือจะได้ปรับปรงุ การจัดการสอนให้เหมาะสมและเออื้ ตอ่ การเรยี นรู้
ของเดก็ ใหม้ ากทส่ี ดุ มใิ ชว่ ดั ผลประเมินผลเพอื่ หาข้อบกพรอ่ งของเด็กฝ่ายเดียว

3. เพ่ือเปลี่ยนกลุ่มหรือเล่ือนกลุ่มการเรียนของเด็ก ซ่ึงมีอยู่ตลอดปีเป็นการเลื่อนกลุ่มสาหรับเด็กที่มี
ความสามารถท่ีจะเรียนในกลมุ่ ทีร่ ะดบั สงู ขึน้

4. การวัดผลนั้น ครูจะต้องทาใหเ้ ด็กเกดิ การยอมรบั ในความสามารถของตนเองและของผู้อ่ืน เพราะโดย
ธรรมชาติแล้วเด็กจะมีความถนัด หรอื ความสามารถท่ีแตกตา่ งกัน การท่จี ะให้ทุกคนได้ดีในส่ิงเดยี วกัน
จึงเปน็ เรือ่ งที่ขดั กบั ความเปน็ จริง และเป็นการสรา้ งปมให้เกดิ ขึน้ กับเด็ก ดังน้ัน การเรยี นจะต้องไม่เป็น
ลักษณะการแขง่ ขนั ว่าใครเก่งใครอ่อน แตค่ วรให้เดก็ แขง่ ขันกับตวั เอง

5. ครูต้องหาความเด่นหรือความสามารถของเด็กแต่ละคน และทาให้คนอื่นเห็นและเปิดโอกาสให้เด็ก
เหลา่ นัน้ แนะนาชว่ ยเหลือกันเองในเร่อื งทีแ่ ตล่ ะคนทาไมไ่ ด้

6. ความสาเร็จของเด็กในโรงเรียนหมู่บ้านเด็กที่มีผู้กล่าวถึง คือ ความกล้าทา กล้าสร้างสรรค์ กล้า
แสดงออก และรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองไดด้ ี ช่วยเหลือตนเองในส่ิงท่ีทาได้และกล้ายอมรบั ความผดิ ท่ีตนได้
กระทาโดยไม่ปิดบงั เปน็ ต้น

91

เอกสารอา้ งองิ

การศกึ ษา. (2564). โรงเรียนซัมเมอร์ฮลิ ล์ (ออนไลน์). เขา้ ถึงไดจ้ าก :
https://delphipages.live/th/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%

โกมทุ ทปี ทีวัฒวัฒนา. (2530). ปรชั รัญาเอก็ ซิสซิเทนเชียชลี . กรุงรเุ ทพฯ : สมติ .
ไซเบอรว์ นาราม เน็ต. (2554). ปรัชญาของมาร์ตนิ ไฮเดกเกอร์ (ออนไลน)์ . เขา้ ถึงไดจ้ าก :

https://cybervanaram.net/2009-12-17-14-43-37-13/517-2011-04-22-01-24-44.
เถลงิ พันธุ์เถกงิ อมร. (2558). มนุษยใ์ นทศั นะของ ฌอง-ปอล ชาตร์ (ออนไลน)์ . เขา้ ถึงไดจ้ าก :

http://oknation.nationtv.tv/blog/nn1234/2015/10/12/entry-1.
นติ ยาสารออนไลน์จิตวิทยา. (2564). (Karl Jaspers) ชีวประวัติของปราชญแ์ ละจิตแพทย์เยอรมันคนนี้

(ออนไลน)์ . เข้าถงึ ไดจ้ าก : https://th.yestherapyhelps.com/karl-jaspers-biography-of-this-
german-philosopher-and-psychiatrist-13585.
นิพนิาดา เทวกลุ กุ. (2559). ปรัชญาอตั ถิภาวะนิยม. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าปรชั รัญา
และศาสนา. คณะมนษุ นศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
ปานทิพย์ ศภุ ศนุ คร. (2553). ปรัชรญั าเอกซิสซิเตนเชียชีลลิสลิต์. กรงุ เทพมหานคร : สานักพมิ พ์
มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
พิภพ ธงไชย. (2526). โรงเรยี นหมู่บ้านเด็ก มูลนธิ ิเด็ก (ออนไลน์). เขา้ ถึงได้จาก :
https://www.ffc.or.th/mbd/info/teducation.php.
เลิศชาย ปลายมุข. (2558). ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ได้จาก :
http://www.lertchaimaster.com/forum/index.php?topic=64.0.
ศนิ ีนาถ ศรบี รุ มั ย์. (2563). ปรัชญาการศึกษาอตั ถิภาวนยิ ม (ออนไลน)์ เข้าถึงไดจ้ าก :
https://www.gotoknow.org /posts/677147.
สรณยี ์ สายสร. (2562). เอกสารประกอบการเรียนการสอนปรชั ญาลทั ธอิ ัตตภาวะนิยม (Existentialism).
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรบ์ างเขน.
H.J. Blackham. Six Existentialist Thinkers. (1997). London : Routledge.
Sitawan. (2555). ปรชั ญาการศกึ ษาอตั ถภิ าวนิยม (ออนไลน)์ . เข้าถงึ ได้จาก :
http://sitawan112.blogspot.com /2012/03/existentialism.html.

92

บรรณานกุ รม

การศกึ ษา. (2564). โรงเรยี นซัมเมอรฮ์ ลิ ล์ (ออนไลน์). เขา้ ถึงไดจ้ าก :
https://delphipages.live/th/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%

กติ มิ า ปรดี ีดิลก. (2520). ปรัชญาการศกึ ษา เลม่ 1 ความรเู้ บื้องต้นเกีย่ วกบั ปรัชญาการศึกษา.
ประเสริฐการพมิ พ์.

กีรติ บุญเจือ. (2518). G.T.W. Patrick, Introduction to philosophy. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พไ์ ทยวฒั นา
พานิช จากดั .

โกมุท ทีปทวี ฒั วฒั นา. (2530). ปรัชรัญาเอ็กซสิ ซเิ ทนเชียชีล. กรุงรุเทพฯ : สมิต.
ชยั วัฒน์ อัตพฒน์. (2518). ปรชั ญาตะวนั ตกสมัยปัจจุบัน2. โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
ไซเบอร์วนาราม เนต็ . (2554). ปรชั ญาของมาร์ตนิ ไฮเดกเกอร์ (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :

https://cybervanaram.net/2009-12-17-14-43-37-13/517-2011-04-22-01-24-44.
ดร.ศกั ดา ปรางค์ประทานพร. (2536). ปรชั ญาการศึกษา ฉบบั พน้ื ฐาน. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

บางแสน.
เถลงิ พันธ์เุ ถกิงอมร. (2558). มนษุ ยใ์ นทศั นะของ ฌอง-ปอล ชาตร์ (ออนไลน)์ . เข้าถงึ ได้จาก :

http://oknation.nationtv.tv/blog/nn1234/2015/10/12/entry-1.
ทิศนา แขมมณ.ี (2545). ศาสตรก์ ารสอน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
นายเฉลิมลาภ ทองอาจ. (2555). ปรชั ญาการศึกษาพิพัฒนาการนยิ ม. สบื ค้นจาก

https://www.gotoknow.org/posts/419487
นิตยาสารออนไลนจ์ ิตวิทยา. (2564). (Karl Jaspers) ชวี ประวัติของปราชญแ์ ละจติ แพทย์เยอรมนั คนนี้

(ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ได้จาก : https://th.yestherapyhelps.com/karl-jaspers-biography-of-this-
german-philosopher-and-psychiatrist-13585.
นพิ นิาดา เทวกุลกุ. (2559). ปรัชญาอัตถภิ าวะนยิ ม. กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าปรชั รัญา
และศาสนา. คณะมนษุ นศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
บรรจง จันทรสา. (2527). ปรัชญากบั การศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
บ้านจอมยทุ ธ. (2543). ปรชั ญาการศึกษานิรันตรนยิ ม. สืบคน้ เม่อื 9 กรกฎาคม 2565.
https://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/02.html
บ้านจอมยทุ ธ. (2543). ปรชั ญาการศกึ ษาพพิ ฒั นาการนิยม. สบื คน้ จาก
https://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/05.html
บา้ นจอมยุทธ. (2543). ปรชั ญาประสบการณน์ ิยมกบั การศกึ ษา. สืบค้นจาก
https://www.baanjomyut.com/library_3/extension-1/western_philosophy_imp/06.html
บณุ ย์ นลิ เกษ. (2522). ปรัชญาตะวนั ตกยคุ ร่วมสมยั . มหาวิทยาลยั เชียงใหม่.
ประทมุ องั กรู โรหติ . (2551). ปรัชญาปฏิบัตินยิ ม : รากฐานปรชั ญาการศึกษา.
สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ปรชั ญาลัทธปิ ฏิบัตินิยม. (2555). สบื ค้นจาก http://dc.oas.psu.ac.th/dcms/files/00254/Chapter3
(13-35).pdf
ปานทิพย์ ศภุ ศุนคร. (2553). ปรชั รัญาเอกซสิ ซเิ ตนเชียชีลลิสลติ ์. กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ปรีชา เศรษฐธี ร. (2523). ปรชั ญาและคุณธรรมสาหรับครู. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพโ์ อเดยี นสโตร์.

93

พิภพ ธงไชย. (2526). โรงเรียนหมูบ่ า้ นเดก็ มลู นิธิเดก็ (ออนไลน์). เขา้ ถึงไดจ้ าก :
https://www.ffc.or.th/mbd/info/teducation.php.

ไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน์. (2524). ปรชั ญาการศึกษาเบอ้ื งตน้ (พมิ พ์ครั้งที่ 5). กรงุ เทพฯ : โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .

ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น.์ (2525). ปรชั ญาการศึกษาเบ้ืองต้น. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
มหาวิทยาลยั มหดิ ล. (2561). ศูนย์จติ ตปัญญาศึกษา (ออนไลน)์ . เข้าถึงไดจ้ าก :

http://www.ce.mahidol.ac.th/news-events/
เมธี ปิลนั ธนานนท์. (2523). ปรัชญาการศกึ ษาสาหรบั คร.ู กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
ยนต์ ชมุ่ จติ . (2524). ปรชั ญาและคณุ ธรรมสาหรบั ครู. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพแ์ พร่พิทยา.
โรงเรียนรงุ่ อรณุ . รูจ้ ักรุ่งอรณุ . สบื ค้นจาก www.roong-aroon.ac.th
โรงเรยี นสุจิปลุ ิ. โรงเรยี นสจุ ิปลุ ิ – โรงเรยี นแนวคดิ ใหมใ่ นฉะเชิงเทรา. สบื คน้ จาก

https://www.facebook.com/sujipulischool
ลัดดา จุลวงศ์. (2563). ภาวะผ้นู าเชงิ จิตวิญญาณของ ดร.อาจอง ชมุ สาย ณ อยุธยากบั การจดั การศกึ ษา

เพ่ือพฒั นาความเปน็ มนษุ ย์ท่สี มบูรณ์ กรณีศกึ ษาโรงเรยี นสัตยาไส. วารสารวิชาการมหาวทิ ยาลยั
การจดั การและเทคโนโลยีอสี เทริ น์ .
เลศิ ชาย ปานมขุ . (2558). ปรชั ญาการศึกษาพพิ ัฒนาการนยิ ม. สบื ค้นจาก
http://www.lertchaimaster.com/forum/index.php?topic=66.0
เลิศชาย ปลายมุข. (2558). ปรัชญาการศึกษาอัตถภิ าวนยิ ม (ออนไลน)์ . เขา้ ถึงได้จาก :
http://www.lertchaimaster.com/forum/index.php?topic=64.0.
วชิ ยั ตันศริ ิ. (2549). อดุ มการณ์ทางการศึกษา: ทฤษฎี และภาคปฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพแ์ หง่
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
วิถพี ทุ ธ. (2561). โรงเรียนวถิ ีพทุ ธ (ออนไลน)์ . สบื คน้ เม่อื 7 กรกฎาคม 2565.
https://www.vitheebuddha.com/main.php
ศกั ดา ปรางคป์ ระทานพร. (2526). ปรชั ญาการศึกษาฉบับพ้นื ฐาน. ชลบรุ ี : มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ.
ศักดา ปรางค์ประทานพร. (2526). ปรชั ญาการศึกษาฉบับพื้นฐาน. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์โอเดยี นสโตร์.
ศนิ ีนาถ ศรีบรุ ัมย.์ (2563). ปรัชญาการศกึ ษาอัตถิภาวนิยม (ออนไลน)์ เข้าถงึ ไดจ้ าก :
https://www.gotoknow.org /posts/677147.
ศุกร ศรีแสน. (2526). ปรชั ญาการศึกษาเบือ้ งต้น. กรงุ เทพฯ : เจา้ พระยาการพิมพ์.
ศุกร ศรแี สน. (2522). ปรัชญาและแนวคดิ ทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ : อภชิ าตการพมิ พ์.
สุนทร โคตรบรรเทา. (2553). ปรัชญาการศึกษาสาหรบั ผู้บริหารการศึกษา. ปญั ญาชน.
สมพศิ ศรีประไพ. (2522). วิเคราะหป์ รัชญา “ประจักษนยิ มแบบจัด” ของวิงเลียม เจมส์ (วทิ ยานิพนธ์
มหาบัณฑิต ภาควิชาปรัชญา บณั ฑติ วิทยาลัย). จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สรณีย์ สายสร. (2562). เอกสารประกอบการเรียนการสอนปรัชญาลทั ธอิ ตั ตภาวะนยิ ม (Existentialism).
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรบ์ างเขน.
สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (2564). การเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก : ถอดบทเรียนการปฏบิ ตั ิ
ของโรงเรยี นสุจปิ ลุ ิ จงั หวดั ฉะเชิงเทรา. กรุงเทพฯ.
อุดมศกั ด์ิ มีสขุ . (2552.) ปรัชญาและปรชั ญาการศึกษา. สบื คน้ เม่ือ 4 กรกฎาคม 2565.
https://www.kroobannok.com/addku.
อรสา สุขเปรม. (2544). การศกึ ษาไทย. กรงุ เทพฯ : พิมพ์ครงั้ ท่ี 3. สถาบันราชภฎั บ้านสมเด็จเจ้าพระยา.
H.J. Blackham. Six Existentialist Thinkers. (1997). London : Routledge.

94

Ryan, A. & Dewey, J. (1995). and the High Tide of American Liberalism.
Sitawan. (2555). ปรชั ญาการศกึ ษาอตั ถภิ าวนยิ ม (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :

http://sitawan112.blogspot.com /2012/03/existentialism.html.

95

ภาคผนวก

96

คณะผูจ้ ัดทา

กลมุ่ ท่ี 1

นางสีตลา สงิ ห์มโน รหัสนกั ศึกษา 64U54620201
รหสั นกั ศกึ ษา 65U54620107
นายวชริ พันธ์ุ ธัญญเจรญิ
รหสั นักศึกษา 64U54620204
กลุ่มท่ี 2 รหัสนกั ศึกษา 65U54620101

นายณฐั วฒุ ิ บุญนาค รหัสนักศึกษา 65U54620109
รหสั นกั ศกึ ษา 65U54620110
นายวฒุ ิพงษ์ อินไธสง
รหสั นักศกึ ษา 65U54620102
กลมุ่ ท่ี 3 รหสั นักศึกษา 65U54620103

นางวรี ภัทร วิชยั รัมย์ รหัสนกั ศึกษา 65U54620104
รหสั นักศกึ ษา 65U54620105
นางทิพยว์ รรณ เสวิคาน

กลุ่มท่ี 4

นางสาวเบญจมาศ แกว้ ประเสริฐ

นางสาวพลอยชมพู เอมอนิ ทร์

กลุม่ ที่ 5

นางสาวทฆิ ัมพร เอ่ยี มวิโรจน์

นายนติ กิ ร ประเสรฐิ


Click to View FlipBook Version